Madness and Civilization (ความบ้าและอารยธรรม)

สำหรับหนังสือของ Foucault เรื่องนี้ในฉบับภาษาอังกฤษ เป็นงานซึ่งได้ตัดทอนมาจากผลงานต้นฉบับจริงลงไปมาก แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีความยาวถึง 600 หน้าทีเดียว. เราจะมาเริ่มต้นกันตรงที่ การไม่มีไอเดียเกี่ยวกับ"ความบ้า"อย่างสมบูรณ์ ที่แยกมาจากเรื่องของ"เหตุผล"
อันเป็นเรื่องซึ่งตรงข้ามกัน.

ฟังดูแล้วอาจจะยังไม่เข้าใจ จึงต้องตั้งคำถามกันตรงนี้ว่า "แล้วเรื่องนี้ มันเป็นอย่างไรกันล่ะ ? มันไม่ใช่เรื่องความบ้าทั้งหมดที่เรารู้จัก และไม่ใช่เรื่องของคนบ้าที่เราเคยได้ยินกันหรอกหรือ ? มาลองสมมุติกันว่า คุณได้เจอะเจอคนๆหนึ่ง ซึ่งมีท่าทีแปลกๆและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง กำลังทำท่าทำทางเดือดพล่านและพุ่งเข้าใส่อากาศที่อยู่รายรอบตัวเขา โดยไม่มีคู่กรณีแต่อย่างใด. ต่อมา คุณได้พบคนอีกคนหนึ่งซึ่งได้บอกกับคุณว่า FBI ได้ฝังเครื่องรับวิทยุเอาไว้ในหัวของเขา และกำลังตรวจสอบความคิดต่างๆของเขาอยู่ และในไม่ช้า เขาเชื่อว่าพวก FBI จะมาจับตัวเขาไป (สมมุติว่าคุณไม่เชื่อในสิ่งที่ชายผู้นี้พูดเลย). ถัดมา คุณได้พบกับคนๆหนึ่งที่นั่งนิ่งๆโดยไม่มีการเคลื่อนไหวหรือพูดจา แม้ว่าคุณจะพบว่า เขามีความสามารถทางกายภาพที่กระทำเช่นนั้นได้.

ลองมาพิจารณาบุคคลที่ได้รับการกล่าวถึงทั้ง 3 คนนี้ และลืมไปชั่วขณะเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่คุณได้ยินได้ฟังมาเกี่ยวกับเรื่องของความวิกลจริต หรือจิตผิดปกติ.
แน่นอน แต่ละคนนั้นมีปัญาหาอันหนึ่ง ซึ่งอาจจะต้องกันขาออกไป จากบทบาทหน้าที่ในสังคมของเรา.
คุณอาจจะตั้งข้อสงสัยว่า พวกเขาต้องได้รับความทนทุกข์ทรมาน จากอาการโรคชนิดเดียวกันแต่แตกต่างกันในการแสดงออกใช่ไหม ? คุณอาจจะถามว่า มันมีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับพวกเขา ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับการกระทบกระเทือนเช่นนี้หรือ ?
คุณอาจจะคิดว่า วิธีการบำบัดในลักษณะเดียวกันสามารถที่จะเยียวยารักษาบุคคลทั้ง 3 นี้ได้ใช่ไหม ? และคุณอาจจะกล่าวว่า แต่ละคนในพวกนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ดูคล้ายๆกับศาสตรจารย์ทางด้านตรรกศาสตร์ ใช่ไหม ?

พวกเขาอาจดูเหมือนว่ากำลังใช้หลักตรรกะอย่างเข้มงวดกวดขันเอามากๆ. ถ้าหากว่า FBI ได้ฝังเครื่องส่งสัญญานเข้าไปในสมองของคุณ เพื่อตรวจสอบความคิดต่างๆของคุณ มันก็สมเหตุสมผลที่จะตั้งข้อสงสัยว่า พวกเขากำลังพยายามที่จะจับกุมตัวคุณมิใช่หรือ ?

เราอาจจะกล่าวว่า พวกเขาทั้งหมดดูเหมือนจะมีปัญหาทางด้านอารมณ์ความรู้สึก แต่อารมณ์ความรู้สึกอะไรล่ะ ที่ได้รับการนำไปเกี่ยวพัน โดยเฉพาะกับการกระทำต่างๆของพวกเขา ? ถ้ามาลองดูกัน จะเห็นว่า สองคนแรกนั้น ดูจะมีปัญหาต่างๆทางด้านความคิดของพวกเขา แต่อะไรคือปัญหาทางความคิดของคนที่ออกอาการไม่ปกติหรือคล้ายจะวิกลจริตเช่นนี้ ?

เว้นแต่ว่าคุณจะมีไอเดียเกี่ยวกับการจำแนกหมวดหมู่เอาไว้เรียบร้อยแล้ว เช่น "ความบ้า", คุณไม่สามารถคิดไปได้ว่า ผู้คนเหล่านี้ก็เป็นอย่างเดียวกันกับพวกเรา, และคุณจะคิดกับพวกเขาต่อไปว่า พวกเขาเป็นพวกที่ตรงข้ามกันกับพวกเรา ที่เป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วๆไปที่มีเหตุผล. Foucault ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับพัฒนาการของการจำแนกหมวดหมู่อันนี้ และไอเดียต่างๆเกี่ยวกับตัวของพวกเราเอง ซึ่งมีปฏิกริยากับไอเดียเกี่ยวกับคนบ้านี้.

เขาเริ่มต้นจากข้อสันนิษฐานที่ว่า ความบ้าเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวกับการกีดกันผู้คนบางคนออกไปจากสังคม, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โดยการจำกัดหรือตีวงคนพวกหนึ่งเอาไว้ หรือจับกุมคุมขังพวกเขาเอาไว้ในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง.

 

ในสมัยกลาง ผู้คนทุกคนต้องการที่จะจับกุมคุมขังผู้คนที่เป็นโรคเรื้อนเอาไว้ ผู้ซึ่งไม่ได้เป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงแต่ประการใด, แต่จริงๆแล้ว มันเพียงรบกวนสายตาของเราเท่านั้น มันเป็นภาพที่ไม่งดงามมากกว่า. แต่ต่อมา ซึ่งเป็นไปอย่างกระทันหัน, ในศตวรรษที่ 14 คนที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนได้อัตรธารหายไปจากสังคม !

ทุกๆคนต่างดีใจและมีความสุขเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่อะไรคือสิ่งที่พวกเขาจินตนาการเกี่ยวกับสถานที่อันใหญ่โตเหล่านั้น ซึ่งเคยนำผู้คนที่เป็นโรคเรื้อนมากักขังเอาไว้ ? อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้ปล่อยให้สถานที่แห่งนั้นว่างลง, แต่นั่นก็เป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆเท่านั้น…

ในศตวรรษที่ 15 ได้เกิดไอเดียหรือความคิดใหม่ขึ้นมาแทนที่, และมันได้กลายเป็นแกนกลางของภาพหรือความสำคัญขึ้นมาในจินตนาการของผู้คน : นั่นคือ the Ship of Fools . เรือของคนโง่นี้ จะถูกปล่อยลงไปในแม่น้ำ มันเป็นเรือที่บรรทุกผู้คนซึ่งเป็นคนจรจัด คนสารเลว คนสิ้นคิด ที่ถูกนำล่องไปในสายน้ำจากเมืองหนึ่งสู่อีกเมืองหนึ่ง, คนพวกนี้มักจะถูกขับไล่ไสส่งเสมอๆ บ่อยครั้งด้วยการจ่ายเงินให้กับกัปตันเรือ แล้วให้กัปตันนำพาผู้คนเหล่านั้นไปในหนทางของพวกเขา.

ทำไมภาพอันนี้จึงผุดขึ้นมาโดยฉับพลันได้ล่ะ ? อำนาจดึงดูดใจทางวัฒนธรรมกับเรื่องของความบ้า. การคุกคามที่น่ากลัวอันหนึ่ง ซึ่งอาจบรรจุความจริงที่น่ากลัวยิ่งกว่าเอาไว้. Erasmus(1466-1536) ปรัชญาเมธีชาวดัทช์ ได้เขียนเรื่อง The Praise of Folly (Moriae Encomium 1509). เรื่องนี้ และเรื่อง King Lear ของ Shakespear (1605) ทั้งสองเรื่องที่ยกมา ได้เพ่งเล็งลงไปที่การประจักษ์ในอันตรายของคนบ้าซึ่งอาจมีขึ้นมาได้.

(1)"ธรรมชาติของความวิปลาสหรือวิกลจริต แน่นอน มีอยู่สองจำพวก. "พวกแรก"ได้ถูกส่งมาจากนรก โดยมีโทสะจริต หรือความโกรธเป็นรากฐานอันรุนแรง ซึ่งต้องการแก้แค้น... เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาได้ปล่อยงูของพวกเขาออกมา มันก็จะเข้าโจมตีหัวใจของมนุษย์ด้วยแรงปรารถนาสงคราม, คนพวกนี้มีความกระหายในทองคำ แม้ว่าเขาจะได้มันมาแต่ก็ไม่เคยเลยที่จะสนองความพอใจของตนได้, พวกเขาเป็นคนที่มีความอัปยศเกี่ยวกับความรักต้องห้าม, เป็นพวกที่กระทำปิตุฆาต, หรือการมีเพศสัมพันธ์กันเองในสายเลือด.

(2)"ส่วนอีกจำพวกหนึ่ง"นั้น แตกต่างออกไปเลยทีเดียว มันเป็นแรงปรารถนาเหนือสิ่งอื่นใด. สิ่งนี้ เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ ความเบี่ยงเบนไปจากปกติของจิตที่มีความสุข ได้ปลดปล่อยวิญญานอันนั้นจากความกระวนกระวายใจ และในเวลาเดียวกันก็ได้ฟักฟื้นมันขึ้นมามันโดยการเพิ่มทวีความปิติอย่างท่วมท้นและหลากหลาย"
(หัวข้อที่(1)(2)เป็นบางตอนจาก The Praise of Folly).

(3)"ท่านได้เห็นสุนัขของชาวนานั้นแล้วใช่ไหม ที่มันได้เห่าใส่ขอทาน ? และขอทานนั่นได้วิ่งหนีเจ้าสุนัขนั้นไปใช่ไหม ? นั่นไง ท่านสามารถเห็นถึงภาพอันยิ่งใหญ่ของอำนาจ: สุนัขเชื่อฟังคำสั่งในหน้าที่"

(4)"ท่านผู้ถือคทาพิธีอันธพาล, มือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของท่าน ! ทำไมท่านจึงเฆี่ยนตีหญิงสำส่อน ? ช่างเป็นการปอกลอกตัวเองเสียนี่กระไร ท่านปรารถนาอย่างเร่าร้อนที่จะใช้ร่างกายของเธอแบบนั้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นท่านจึงเฆี่ยนตีเธอ…(ใช่ไหม ?)"

(5)"โดยผ่านเสื้อผ้าที่ขาดกระรุ่งกระริ่ง ความชั่วร้ายเลวทรามและความต่ำต้อยก็ปรากฎตัวขึ้น; แต่เสื้อคลุมยาวและเสื้อคลุมขนสัตว์มันกลับอำพรางและซ่อนเร้นความชั่วร้ายได้ทั้งหมด"

(6)"โอ้… สาระและความโอหัง ผสมปนเปกับเหตุผลในความบ้า !"
(หัวข้อ (3)(4)(5)และ(6)เป็นบางตอนที่นำมาจากเรื่อง King Lear).

การกักกันอันยิ่งใหญ่ (The Great Confinement)

ในคริสตศตวรรษที่ 17 ผู้คนเป็นจำนวนมากเท่าที่จะเป็นไปได้ได้ถูกจับกุมคุมขัง. อาชญากร, ใช่, ผู้กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือละเมิดเพียงเล็กๆน้อยๆทุกอย่าง, และคนบ้า, ใครก็ตามที่มีพฤติกรรมแปลกๆ (และแน่นอน อันนี้รวมทั้งคนที่เป็นโรคลมบ้าหมูด้วย), รวมถึงคนป่วย ผู้ซึ่งก่อนหน้านั้นจะได้รับการดูแลเอาใจใส่อยู่ที่บ้าน และเหล่าคนยากคนจนทั้งหลาย ทุกๆคนที่ไม่มีงานทำ จะถูกจับกุมคุมขังไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง. กล่าวได้ว่า ชาวปารีสหนึ่งคนในจำนวนร้อยคนจะถูกกักกันเอาไว้. และในที่ที่เป็นสถานบำบัดคนโรคเรื้อนมาเก่าก่อน คือสถานที่ที่สะดวกที่สุด.

คนบ้ากลายเป็นคนที่ถูกแยกย่อยลงไป สำหรับคนที่ไม่มีงานทำ. คุณอาจคิดไปว่า คนจนต่างตกเป็นเหยื่อของปัญหาเศรษฐกิจปัญหาหนึ่ง, แต่ไม่ใช่, พวกเขาคือบรรดานักสร้างสรรค์ทางศีลธรรมพวกหนึ่งต่างหาก. ความบ้า มาถึงตอนนี้ เป็นเรื่องน่าอายและจะต้องถูกซ่อนเอาไว้. ในคริสตศตวรรษที่ 17-18 นั้น ได้เกิดความไม่พอใจที่จะตรึงติดคนบ้าให้อยู่กับที่เพียงเท่านั้น, ผู้คนทั้งหลายยังต้องการที่จะตรึงไอเดียเกี่ยวกับความบ้าเอาไว้ด้วย. คำถามคือว่า พวกเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องของ"ความบ้า"กันอย่างไร ?

ภาพประกอบเกี่ยวกับที่มาของคำว่า hysteria ในภาษากรีก

Hysteria เป็นหนทางหลักที่สำคัญอันหนึ่ง. ในความคิดแรกเกี่ยวกับโรคนี้นั้น มันเป็นโรคทางกายเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ใหญ่โตมากพอที่จะระบุว่าเป็นคนบ้า, Hysteria เป็นอาการชักกระตุก หรือการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง โดยปราศจากสาเหตุใดๆที่เด่นชัด.

สำหรับคำว่า Hysteria นั้นมาจากภาษากรีกคำว่า womb หรือว่า มดลูก, ครรภ์. แต่พอล่วงมาถึงยุคเรอเนสซองค์ มันถูกเชื่อว่า มดลูกของผู้หญิงสามารถเคลื่อนที่จากตำแหน่งปกติของมันได้ และเคลื่อนไปอย่างไม่มีจุดหมายแน่นอนไปในร่างกาย, ซึ่งอันนี้เป็นมูลเหตุแห่งปัญหาขึ้นมา. ในศตวรรษที่ 17 ไอเดียอันนี้ค่อยๆถูกละทิ้งไป แต่ความคิดที่ว่า hysteria เป็นปัญหาของผู้หญิงอันหนึ่ง และเกี่ยวข้องกับเรื่องเซ็กส์
กลับยังคงเหลือรอดอยู่ต่อมา.

โอ้… ใช่ Michel ที่รัก, คุณได้กล่าวถึงผู้หญิงในเรื่องตัณหาอารมณ์ แต่คุณไม่ได้พูดว่าจะบำบัดอาการ Hysteria นี้ในทางที่เหมาะสมอย่างไรโดยทั่วๆไป. คุณไม่ได้พูดว่ามันล่วงมาถึงศตวรรษที่ 19 ซึ่งบ่อยครั้ง ผู้หญิงได้ถูกจับกุมคุมขังในฐานะคนบ้า เมื่อไรก็ตามที่พวกเธอได้ไปมีเซ็กส์กับใครบางคนที่พวกเธอมิได้ถูกคาดว่าจะไปมีเซ็กส์ด้วย. และคุณไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงเหล่านี้ เมื่อพวกเธอได้ถูกจับกุมคุมขัง. (ข้อความนี้ ผู้เขียนได้ตั้งคำถามกับ Foucault)
โดยในช่วงสิ้นสุดศตวรรษที่ 18 ได้มีการกล่าวว่า การบำบัดทางกายเพียงอย่างเดียวนั้น จะไม่ช่วยรักษาความบ้าได้. อันนี้ไม่ใช่เครื่องหมายสำคัญของการบำบัดรักษาทางจิตวิทยา, แต่ค่อนข้างจะเป็นความล้มเหลวหรือการแบ่งแยกเอกภาพระหว่างร่างกายและวิญญาน ความล้มเหลวเกี่ยวกับความสอดคล้องกันภายในของระบบสัญลักษณ์. -(ในเครื่องหมายลูกโป่งของคำพูดในการ์ตูน คนแรกพูดว่า "มันมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติในร่างกายผม หรือในวิญญานผม ใช่ไหม ?" คนที่สองพูด "คุณกำลังพูดเรื่องอะไร ? ร่างกาย วิญญาณ และใจ ทั้งหมดมันมีความสัมพันธ์ต่อกันและกันอย่างมาก คล้ายกับตรีเอกภาพ, สิ่งที่มีผลกระทบกระเทือนต่อส่วนใดส่วนหนึ่ง ก็จะมีผลสะเทือนไปถึงทุกๆส่วนเลยทีเดียว")-

การปฏิวัติฝรั่งเศส(The French Revolution)

Mirabeau และ the Marquis de Sade, ขุนนางชั้นสูงของฝรั่งเศสทั้งสองคน ได้ถูกจำคุกในเวลาเดียวกัน ในฐานะที่เป็นชนชั้นสูงที่ดื้อรั้นและไม่อยู่ในศีลธรรมอันดีงาม. Marquis de Sade, ได้รับฉายาว่า บิดาแห่งความซาดิสม์, "คนบ้าที่แท้จริง, และไร้ศีลธรรมจรรยา", เขาถูกด่าทอเป็นคนแรก. ขณะที่ Mirabeau, ในไม่ช้าก็ได้กลายเป็นวีรบุรุษขึ้นมาในประเทศของเขา แต่ก็ต้องไปเน่าตายในคุกโดยไม่มีเหตุผล; ความขัดแย้งอันนี้เป็นสัญลักษณ์, สำหรับการปฏิวัติทั้งหลาย, มันเป็นปัญหาทั้งมวลเกี่ยวกับโลก.

ถัดจากนั้น การปฏิวัติก็ได้บังเกิดขึ้น. การโจมตีคุก และป้อมปราการ ซึ่งใช้ขังนักโทษการเมืองของฝรั่งเศส(the Bastille). Mirabeau ได้นำผู้คนเข้าทำการต่อตีกับฝ่ายกษัตริย์. มีการตะโกนก้องว่า ประชาชนเป็นผู้มีอำนาจ ! กำจัดกษัตริย์ออกไป ! กำจัดศาสนาจักรทิ้งไป ! กำจัดคนรวยให้สิ้นสูญไป ! จนกระทั่งในท้ายที่สุด ผู้คนเป็นจำนวนมากได้ถูกขจัดทิ้งไปอย่างมากมายเช่นกัน.

แต่ในช่วงเวลานั้น คนบ้าไม่ได้เผชิญกับประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใด. หลังจากที่การปฏิวัติได้เริ่มต้นขึ้น พวกเขาก็ได้รับการคาดว่าจะได้รับการปลดปล่อย ออกมาจากคุกหรือที่คุมขัง (ส่วนใหญ่เพราะมาจากสาเหตุที่ว่า มันเป็นการลบหลู่และน่าอายสำหรับชาวคุกที่ได้ถูกจับกุมร่วมกันกับคนบ้า), และนำคนเหล่านี้ไปในโรงพยาบาลที่มีลักษณะพิเศษโดยเฉพาะ. แต่ทว่า โรงพยาบาลแบบนั้นไม่ได้มีอยู่. ดังนั้น คนบ้าทั้งหลาย จึงได้ถูกส่งตัวกลับไปยังบ้านที่เป็นครอบครัวของพวกเขามาแต่เดิม.

แต่ต่อมา คนบ้าทั้งหลายเหล่านี้ก็ได้ถูกส่งตัวออกจากบ้านของพวกเขาอีกครั้ง เพราะคนพวกนี้ได้สร้างปัญหามากมายจนเกินไปนั่นเอง (หรืออย่างน้อยที่สุด ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเช่นนั้น). ด้วยเหตุนี้ พวกคนบ้าจึงได้หวนคืนกลับเข้าไปอยู่ในคุกอีกดังเดิม. แต่ในคุกตอนนี้ คนบ้าและอาชญากรทั้งหลาย ต่างก็ถูกแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด.

ตำนานและปกรณัมต่างๆ ได้พัฒนาขึ้นมาในเรื่องเกี่ยวกับผู้กู้อิสรภาพที่ยิ่งใหญ่สองคนของคนบ้า; เขาเป็นบุคคลชั้นสูงและคนที่เฉลียวฉลาด ผู้ซึ่งมีจิตใจเมตตาต่อมนุษย์ในการบำบัดรักษาบุคคลวิกลจริต:

Pinel (Philippe Pinel), ผู้กู้อิสรภาพที่ยิ่งใหญ่ของคนบ้าในช่วงระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส, ได้เดินเข้าไปในคุกต่างๆ และได้ปลดโซ่ตรวนออกจากพวกคนบ้าทั้งหลาย. เมื่อเขาได้ถูกตั้งคำถาม, เขากล่าวว่า "พลเมืองทั้งหลาย, ข้าพเจ้าได้ถูกทำให้เชื่อมั่นว่า คนบ้าเหล่านี้เป็นพวกที่ดื้อด้าน รักษาให้หายยากและควบคุมได้ยากมาก เพียงเพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงถูกตัดสิทธิ์จากบรรยากาศและเสรีภาพกระนั้นหรือ". คนบ้าก็มีการปฏิวัติของพวกเขาเอง, และมีผู้กู้อิสรภาพของพวกเขาเอง.

Samuel Tuke, เป็นเควกเกอร์ที่สุภาพคนหนึ่ง ได้ริเริ่มสร้างโรงพยาบาล(หรือสถานที่พักฟื้น)ในชนบทขึ้นมาสำหรับคนบ้า. สถานที่แห่งนั้นไม่มีลูกกรงเหล็ก ไม่มีโซ่ตรวน. มันดูเหมือนกับฟาร์มในชนบทแห่งหนึ่ง รู้สึกว่าคล้ายกับเป็นครอบครัวๆหนึ่ง.

เรื่องราวที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังเรื่องเล่าตำนานอันนี้ : Samuel Tuke, ใช่, เขาได้สร้างโรงพยาบาลหรือสถานพักฟื้นดังกล่าวเป็นครอบครัวๆหนึ่ง และคนบ้าก็คือเด็กๆของครอบครัว พวกเขาจะต้องเรียนรู้ที่จะเคารพในอำนาจของพ่อ ซึ่งก็คือตัวของ Samuel Tuke นั่นเอง. คนบ้าจะต้องได้รับ การยกระดับขึ้นมา และฝึกฝนตัวเองให้เป็นคนที่มีวินัยคล้ายดังพวกเด็กๆ. พวกเขาจะต้องได้รับการสอนเรื่องศาสนา, แหล่งต้นตอของศีลธรรมอันดีงามทั้งปวง และพวกเขาจะต้องมีงานเล็กๆน้อยๆทำกัน เพราะว่างานเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากในการสอนให้ใครคนหนึ่ง รู้จักควบคุมและรักษาระเบียบให้กับตัวเอง. โซ่ตรวนได้ถูกปลดออก แต่ถ้าหากว่าพวกเขาทำอะไรเลวๆ คนบ้าเหล่านี้ก็จะถูกนำไปใส่ตรวนอีกครั้ง และคนที่ทำตัวเลวนั้น จะเป็นคนที่ทำให้ตัวเองถูกประณามนั่นเอง.

ดังนี้ ในศตวรรษที่ 18 คนบ้าจึงมีอิสรภาพบางอย่างขึ้นมาและต้องรับผิดชอบ ซึ่งปัจจุบันก็คือได้รับการถอดถอนหรือปลดเปลื้อง. มาถึงยุคนี้ ความบ้าเป็นความผิดพลาดของตัวคุณเอง ความรับผิดชอบของคุณ และเพราะว่าคนอื่นๆมักจะกำลังจับตาดูคุณอยู่ คุณจึงต้องเรียนรู้ ที่จะจ้องมองตัวของคุณเองด้วย.

Samuel Tuke และผู้ดูแลทั้งหลายของเขา ได้ชักนำให้มีปาร์ตี้น้ำชาขึ้นมาสำหรับคนป่วยทั้งหลาย แต่ไกลห่างไปจากวิธีปฏิบัติทางสังคมที่เป็นอยู่ พวกเขาต่างอยู่ในการทดสอบต่างๆที่น่ากลัว. บรรดาคนป่วยแต่ละคนจะต้องทำในส่วนของตนต่อหน้าคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก ซึ่งได้เดินทางมาเยี่ยมพวกเขาจากที่ห่างไกล, และจะต้องประพฤติตัวตามมารยาทหรือสมบัติผู้ดี และพูดให้น้อยเข้าไว้. ด้วยเหตุนี้ อุดมคติอย่างใหม่จึงได้รับการจัดเตรียมขึ้นมาเพื่อปรับพฤติกรรมของคนป่วย. พวกเขาแต่ละคนจะต้องเรียนรู้เพื่อที่จะทำตนเป็นคนปกติที่สมบูรณ์ ต้องไม่มีอุปนิสัยอะไรที่ผิดไปจากธรรมดา ไม่มีความเป็นปัจเจกลักษณะ.

Pinel ได้สร้างระบบอันหนึ่งเกี่ยวกับศีลธรรมขึ้นมา ซึ่งมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดมากกับชนชั้นกลางใหม่ที่มีอิทธิพล มันเป็นสถานที่ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จภายในสถานที่ดูแลคนบ้า(โรงพยาบาลบ้า), และเป็นมาตรฐานสำหรับสังคมทั้งมวล. อันตรายของความบ้า มาถึงตอนนี้ มาจากชนชั้นล่าง ผู้ซึ่งไม่ปรารถนาที่จะทำตัวให้เข้ากับหรือสอดคล้องกับมาตรฐานอันนี้

ผู้ดูแลทั้งหลายยังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งของการตัดสินคนบ้าอยู่ต่อไป ทำหน้าที่แบ่งแยก ทำหน้าที่ลงโทษสำหรับการฝ่าฝืนหรือการละเมิดทุกๆชนิด. แบบแผนของการตัดสินและการลงโทษได้รับการทำซ้ำๆอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งได้รับการนำเข้าไปฝังใจอยู่ภายในอย่างมั่นคงโดยบรรดาผู้ป่วยทั้งหลาย (ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงคนหนึ่งที่ชอบฉีกทึ้งเสื้อผ้าของตน เธอจะถูกจับโกนหัวแล้วไปอาบน้ำเย็น แล้วใส่เสื้อคนบ้าที่รัดไม่ให้กระดุกกระดิกตัวได้ เพื่อให้หลาบจำ - แพทย์ได้กล่าวว่า ผู้หญิงคนนี้ชอบฉีกเสื้อผ้าของเธอออกเป็นชิ้นๆจนเป็นนิสัย. ผู้ช่วยของผมต้องทำให้เธอประหลาดใจซ้ำๆ ด้วยการนำตัวเธอไปอาบน้ำฝักบัวที่หนาวเย็น และจากนั้นก็นำเอาเสื้อคนบ้ามาใส่ให้[straightjacket]. ท้ายที่สุด เธอก็เริ่มที่จะแสดงความสำนึกผิด, และฝึกตัวเธอเองให้มีระเบียบวินัยต่อไปข้างหน้า).

 

คนบ้าเข้าไปสู่มือหมอ !
(พวกหมอไม่ได้อยู่ในสถานที่แห่งนั้น (ในสถานที่ดูแลคนบ้า)มาก่อน)

หมอคือคนที่เฉลียวฉลาดที่ได้รับการรับรอง และเป็นคนชั้นสูง. ทั้ง Tuke และ Pinel ได้ค้นพบสิ่งซึ่งสำคัญที่สุด ที่เป็นสิ่งซึ่งดำรงอยู่ของอำนาจทางศีลธรรมอันยิ่งใหญ่,นั่นก็คือ"หมอ"นั่นเอง. ทั้งสองคนได้ว่าจ้างบรรดาพวกแพทย์มาอยู่ที่สถานบำบัดคนบ้าของพวกเขา. อย่างค่อยเป็นค่อยไป บรรดาแพทย์เหล่านี้ก็ได้เริ่มเข้ารับบทบาทหน้าที่แทน"ในฐานะพ่อ"จากคนซึ่งไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ อย่างเช่น Tuke และ Pinel. ปัญหาเพียงประการเดียวก็คือว่า บรรดาแพทย์เหล่านี้ลืมไปว่า พวกเขาอยู่ที่นั่นเพราะพวกเขาฉลาดและเป็นคนชั้นสูง. พวกเขาคิดว่า การแพทย์เป็นวิทยาศาสตร์ที่รุนแรง ซึ่งพวกเขาอยู่ในสถานบำบัดผู้ป่วยทางจิตในฐานะนักวิทยาศาสตร์ และที่นั่น พวกเขาสามารถทำให้เรื่องนั้นปรากฎออกมาอย่างชัดแจ้งได้.

กับบรรดาคนป่วยทั้งหลาย และกับโลกโดยส่วนใหญ่ อำนาจของหมอ ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นเรื่องของ magical (ความวิเศษ)เพิ่มมากขึ้นทุกที คล้ายดังกับว่า บรรดาแพทย์ทั้งหลายบอกกับเราว่า เรื่องวิทยาศาสตร์ มันเป็นอย่างไร.

ทุกๆสิ่งมีศูนย์กลางอยู่บนความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับคนไข้ - เพียง ณ ที่นั้น ความเจ็บป่วยสามารถถูกเข้าใจได้; เพียง ณ ที่นั้น การบำบัดรักษาสามารถถูกทำให้มีผลขึ้นมาได้. และในที่นี้ ณ จุดสิ้นสุดของการตามรอย เราก็ได้พบกับ PAPA FREUD (บิดาฟรอยด์).

ฟรอยด์รู้ว่า แพทย์คือพ่อที่เฉลียวฉลาด และด้วยเหตุนี้ แพทย์จึงมีอำนาจทั้งปวงเช่นเดียวกันกับพ่อ. ฟรอยด์ทราบว่า หมอจะต้องเป็นคนที่ฉลาด ด้วยเหตุนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างจึงแขวนอยู่บนความสัมพันธ์ระหว่างหมอและคนไข้ - ในข้อเท็จจริง, การเยียวยารักษาสามารถที่จะถูกค้นพบได้ ณ ที่นั้นแน่นอน - ในการสังเกตุดูว่า คนไข้มีปฏิกริยากับหมออย่างไร.

ในฐานะที่ตัวของเขาเองเป็นนักวิเคราะห์คนหนึ่ง, Foucault ได้เกิดข้อกังขาและสงสัยขึ้นมาในใจ. Foucault เริ่มต้นคิดเกี่ยวกับฟรอยด์ในงานเขียนหนังสือเล่มนี้ แต่เขาไม่อาจที่จะทำให้มันจบลงได้ด้วยการมองมันมาจากระยะไกล.

(ต่อเรื่อง Birth of the Clinic - กำเนิดคลินิค)

back to midnight's home back to begining midnightuniv(at)yahoo.com