บทความศิลปะมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ประจำเดือน กรกฎาคม 2545 : ศิลปะนอกกระแส พื่อทำความเข้าใจศิลปะของกลุ่มคนซึ่งทำงานศิลปะนอกรั้วแกลอรี่และพิพิธภัณฑ์
H
home
R
relate

บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 199 เดือน กรกฎาคม 45 หัวข้อศิลปะนอกกระแส ค้นคว้าโดย นักศึกษากระบวนวิชาปรัชญาศิลป์ และศิลปวิจารณ์ ควบคุมโดย สมเกียรติ ตั้งนโม (ความยาวประมาณ 15 หน้ากระดาษ A4)
[งานชิ้นนี้สัมพันธ์กับบทความลำดับที่ 198 แต่มีความละเอียดกว่า]


บทความของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการนำไปใช้ประโยชน์ทางวิชาการ กรุณาอ้างอิงแหล่งที่มาตามสมควร

หากนักศึกษา สมาชิก ประสบปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลดขนาดของ font ลงมาจะแก้ปัญหาได้


 

release date
230745

มีอยู่หลายเหตุผลที่ทำไมคนถึงยังสร้างงาน
Graffiti อยู่ บางส่วนคือการย้อนกลับไปในยุค
ที่มี การ กดขี่พวกเขา และนำไปสู่การก่อเหตุจลาจล
เพื่อต่อต้านสังคมที่มีแต่ความฉ้อฉลและอยุติธรรม สำหรับเหตุผลอื่น ๆคือ การแสดงออกถึงการสร้างสรรค์ที่บริสุทธิ์ในรูปแบบของศิลปะ มีคนเคยบอกว่า ให้ทุ่มเทการสร้างสรรค์งานลงบนกำแพง และมันจะสามารถย้อนกลับไปมองเห็นความหวาดกลัว ความหวัง ความฝันและความอ่อนแอ

มีคนบอกว่า…พวกเขาคิดว่าพวกเขาเป็นศิลปินที่มีสิทธิในการพูดอย่างเสรี เพื่อที่จะแสดงความเป็นตัวของตัวเองหรือความเป็นศิลปะออกมา Graffiti จะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับพวกเขาและเพื่อน ๆของเขา

ภาพประกอบดัดแปลง ผลงานของ Keith Haring ชื่อภาพ Monkey Puzzle เขียนขึ้นในปี ค.ศ.1988 เทคนิค Acrylic on Canvas. Keith Haring งานของเขาเป็นงานที่มีชื่อเสียงมากและเป็นงานที่ไม่เหมือนงาน Graffiti ส่วนใหญ่ ทั่วโลกชื่นชมเขา เขาสร้างงานของเขาบนรถไฟใต้ดิน และบนกระดาษที่ติดอยู่ที่ผนังของสถานี ภายหลังเขาได้ผันตัวเองไปเป็นศิลปินกระแสหลัก (ภาพประกอบบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เผยแพร่ฟรีโดยไม่จำหน่าย)

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ


Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ

สนใจสมัครเป็นสมาชิก
กรุณาคลิก member page
ส่วนผู้ที่ต้องการดูหัวข้อบทความ
ทั้งหมด ที่มีบริการอยู่ขณะนี้
กรุณาคลิกที่ contents page
และผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
หรือประกาศข่าว
กรุณาคลิกที่ปุ่ม webboard
ข้างล่างของบทความชิ้นนี้

หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
midnightuniv(at)yahoo.com

ภาพประกอบชิ้นที่ 2 ผลงานของ Jean-Michel Basquait ชื่อภาพ Untitled 1984 ผลงานที่ได้รับอิทธิพลมาจากงาน Graffiti เทคนิค Acrylic, Silkscreen and oil stick collage on canvas (ภาพประกอบดัดแปลง ตัดมาบางส่วนจากชิ้นงานเต็ม)

 

ผลงานภาพประกอบชิ้นนี้มาจากหนังสือ Art today ของ Edward Lucie-Smith ภาพที่ 494 หน้า 443 นำมาจากห้องสมุดคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ทางเลือกเพื่ออุดมศึกษาไท : website นี้สร้างขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการนอกกระแส
Graffiti : กราฟฟิติ
การตะโกนก้องร้องหาเสรีภาพของคนที่ไร้ตัวตน
งานค้นคว้าทางวิชาการศิลปะ ของนักศึกษากระบวนวิชาปรัชญาศิลป์ และศิลปวิจารณ์ 2544
ควบคุมโดย สมเกียรติ ตั้งนโม คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
โครงการกราฟฟิติ (Project : Graffiti)
คำนำ (Introduction)
บทความชิ้นนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับวัฒนธรรมย่อย(Sub culture)ของปรากฏการณ์ของ hip hop Graffiti ของวัยรุ่น(โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Graffiti ที่ทำงานบนพื้นที่กำแพงสาธารณะ และสถานีรถไฟใต้ดิน จนกระทั่งเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นศิลปร่วมสมัยและเข้าไปในวงการธุรกิจ)ที่เกิดขึ้นในนิวยอร์ก ในช่วงปลายยุคทศวรรษที่ 1960 - ต้นทศวรรษที่ 1970 จนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ยังจะพูดถึงประวัติศาสตร์ของ Graffiti ที่เกี่ยวเนื่องกับสังคม-วัฒนธรรม-การเมือง รวมทั้งการต่อต้านการครอบงำของวัฒนธรรมกระแสหลัก ซึ่งกล่าวได้ว่า Graffiti เป็นการเติมเต็มเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของตัวมันเองและเป็นการสะท้อนปัญหาสังคมเมืองในรูปแบบของการแสดงออกของคนที่ด้อยกว่า

Introduction
ศัพท์คำว่า Graffiti หมายถึง"ภาพวาดที่เกิดจากการขีดเขียนหรือการขูดขีดไปบนผนัง" เป็นศัพท์ที่มาจากภาษากรีก คือคำว่า graphein ที่แปลว่า"การเขียน"และคำว่า "graffiti" โดยตัวของมันเองเป็นคำพหูพจน์ของคำว่า "graffito" ในภาษาอิตาเลียน

ความเป็นมาในช่วงก่อนประวัติศาสตร์ มนุษย์ถ้ำได้รู้จักวิธีการขีดเขียนลงบนผนังถ้ำแล้ว มันเป็นการสะท้อนถึงความต้องการของมนุษย์ในการสื่อสารและพิธีกรรม สำหรับ Graffiti ก็เป็นตัวแทนในการแสดงออกเกี่ยวกับความต้องการของมนุษย์ในการติดต่อสื่อสารอีกรูปแบบหนึ่ง และ Graffiti ได้กลายเป็นพลังที่มีความโดดเด่นในชุมชนเมืองในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 "นักเขียน"(เป็นคำเรียกพวกที่ทำงาน Graffiti ว่า writer)ทั้งหลาย จะไม่เรียกงานของพวกเขาว่า Graffiti แต่จะเรียกว่า"งานเขียน". Graffiti เป็นศัพท์เฉพาะทางสังคมที่มีการพัฒนาขึ้นมาตามวัฒนธรรมในยุคทศวรรษที่ 70

ช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 - ถึงต้นทศวรรษที่ 1970 ในมหานครนิวยอร์ก มีปรากฏการณ์อันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นมาและเป็นที่รู้จักกันในชื่อของการเคลื่อนไหวของ hip hop Graffiti ซึ่งมีความซับซ้อนและมีวิธีการชั้นสูงในการคิดค้นการตีตราในทัศนะของชีวิตเมือง hip hop เป็นคำที่ประกอบด้วย rap, break-dance, และ graffiti เกิดขึ้นมาโดยการแสดงออกของชนกลุ่มน้อยที่เป็นคนยากจน ดังนั้น hip hop จึงเป็นอีกวัฒนธรรมย่อยที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน

ถึงแม้ว่า Graffiti จะเป็นองค์ประกอบที่ใช้เป็นตัวเชื่อมภายในทั้งหมดของ hip hop แต่มันยังสามารถศึกษาในรูปแบบที่เป็นรูปธรรมได้ด้วยเช่นเดียวกับ rap. Graffiti เกิดขึ้นด้วยพลังของตัวมันเอง ซึ่งมีแหล่งกำเนิดจากมหานครนิวยอร์กและได้ส่งอิทธิพลต่อเมืองต่างๆในสหรัฐอเมริกา Graffiti สามารถถูกมองได้ในรูปแบบของศิลปะของการต่อต้านอำนาจทางกฎหมาย และในเวลาเดียวกัน ก็มีความหมายของการแสดงความรู้สึกและการเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมย่อยของตัวมันเอง

จากการเกิดขึ้นมาของ Graffiti ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 - ต้นทศวรรษที่ 1970 มันได้ก่อกำเนิดขึ้นมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 1980 ในตอนที่เราเห็นในภาพยนตร์เรื่อง Beat Streets, Wildstyle, Style Wars และนอกจากนี้ยังได้สร้างความน่าสนใจในรูปแบบของงานศิลปะประเภทหนึ่งในหนังสือเรื่อง Subway Art และ Spraycan Art ซึ่งในลอนดอนถือว่าเป็นที่แรกที่ได้มีการรับเอาและดัดแปลงรูปแบบของนิวยอร์กมาผสมผสานกับรูปแบบของตัวเอง

บทที่ 1 การกำเนิดของ Graffiti ในนิวยอร์ก
ในนิวยอร์ก Graffiti เกิดขึ้นในช่วงปลายของยุค 1960 เมื่อตอนที่ Julio ได้เริ่มเขียนนามแฝงของเขา (Tag) นั่นคือ Julio 204 และ Demitrios (หนุ่มชาวกรีก)ใช้ชื่อว่า Taki183 ซึ่งพบเห็นอยู่ทั่วไปในนครนิวยอร์ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรถไฟใต้ดิน ในปีที่ Taki183 ได้เกิดขึ้น เป็นช่วงเวลาที่น่าอัศจรรย์ใจที่หนุ่มสาวนับร้อย ต่างพยายามมองหาการแสดงความรู้สึกของพวกเขาผ่านระบบของรถไฟใต้ดิน ซึ่งระบบนี้ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวในภายหลัง และเกิดคำว่า hip hop Graffiti ขึ้นมา

ประวัติศาสตร์ของ Graffiti ได้เกิดขึ้นในช่วงนี้และได้แพร่หลายไปในสื่อรูปแบบต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของมันได้กลายเป็นวัฒนธรรมซึ่งได้รับความนิยมขึ้นมาใน The New York City Subway (ระบบของรถไฟใต้ดิน) และได้รับการมองว่าเป็นเครือข่ายของระบบ Graffiti สำหรับ Graffiti มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของนักเขียน(writer)ที่ใช้แสดงผลงานของเขาสู่สายตาสาธารณชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเขียนคนอื่น เพราะด้วยวิธีการดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา

บรรดานักเขียนทั้งหลายจะเลือกเส้นทางรถไฟที่เขาพอใจ มันขึ้นอยู่กับพื้นผิวของรถไฟ และเส้นทางเดินรถ นักเขียนที่ยิ่งใหญ่ของเมืองมักจะมองหา Twos'n five ซึ่งเป็นหมายเลขของเส้นทางเดินรถไฟที่เขาจะใช้สร้างสรรค์งาน ซึ่งนั่นก็คือผืนผ้าใบหรือพื้นที่การทำงานของพวกเขา

Graffiti ยังสามารถทำบนกำแพง หรือตึกก็ได้ แต่ว่ารถไฟใต้ดินเป็นสิ่งที่ได้เปรียบมากกว่า ทั้งนี้เพราะมันพางานของพวกเขาไปได้ไกลๆ ทำให้ผู้คนทั้งหลายสามารถมองเห็นได้มากกว่า และมันเป็นการบ่งบอกถึงศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ของผู้ชมและการเชื่อมต่อทางจิตใจของเด็ก ๆ ที่มีต่อเมืองต่างๆ

รูปแบบ (Form)
มีรูปแบบของ Graffiti อยู่ 7 รูปแบบ ซึ่งรูปแบบต่างๆขึ้นอยู่กับความซับซ้อน สถานที่กำเนิดของงาน และขนาดของงาน แต่ละรูปแบบสามารถอธิบายได้ดังนี้

1. Tags เป็นชื่อที่หมายถึงชื่อเล่นของนักเขียน, นามแฝง ซึ่งเป็นรูปแบบที่ธรรมดาที่สุดของ Graffiti ชื่อของนักเขียนจะมีอยู่มากเท่าที่ความต้องการในการจดจำชื่อของเขาจะเป็นไปได้ Tag เปรียบเสมือนลายนิ้วมือ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในการแยกแยะและสิ่งที่ชี้ชัดถึงตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

2. Throw-ups เป็นพัฒนาการอีกขั้นหนึ่งของ Tag โดยปกติจะเป็นการพ่นสเปรย์อย่างรวดเร็วโดยพ่นสเปรย์กระป๋องลงบนตัวถังรถไฟ นิยมใช้รูปแบบของตัวอักษรที่เรียกว่า Bubble Letter ในการเขียนชื่อออกมาด้วยตัวอักษรเพียง 2-3 ตัว และมักจะใช้สีเพียง 2 สี สีหนึ่งสำหรับเส้น out line และอีกสีหนึ่งสำหรับการระบายลงไปในตัวอักษร มันเป็นวิธีการที่รวดเร็วที่สุดในการสร้างสรรค์ชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่

3. Pieces เป็นศัพท์ที่ใช้เรียกผลงานชิ้นเอก มันใช้สำหรับการพิจารณาผลงานชิ้นเด่นที่สุดในการพัฒนางานในรูปแบบของ Hip Hop Graffiti. Piece จะมีการใช้ตัวอักษรมากกว่า Throw-up และมีการประดิษฐ์ประดอยตัวอักษรมากกว่า การสร้างความงดงามนั้นทำขึ้นโดยเทคโนโลยีที่เรียกว่า Fat Cap ซึ่งมันสามารถครอบคลุมพื้นที่การทำงานได้อย่างรวดเร็ว ขนาดใหญ่ และประณีต เทคโนโลยีของนวัตกรรมที่ว่านี้ ได้ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบ Graffiti ในโลกศิลปะอยู่ไม่น้อย เมื่องานขึ้นไปอยู่บนตัวถังรถไฟ piece ได้ขยายขนาดกว้างกว่าตัวถังรถและกินพื้นที่ไปจนถึงหน้าต่างของรถไฟและก็ได้ทำให้เกิดรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้นมาอีกจำนวนมาก

4. Top to Bottoms รูปแบบนี้หมายถึง piece ที่คลอบคุลมพื้นที่ของการทำงานจากบนสุดถึงล่างสุดของตัวถังรถไฟ

5. End to Ends เป็นชื่อที่เกิดจากการประยุกต์งาน มันคือรูปแบบของการสร้างสรรค์งานที่จากตู้โดยสารหนึ่งไปยังอีกตู้โดยสารหนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นการสร้างงานขึ้นมาตลอดทั้งขบวนรถ (creations that cover one end of a subway car to another, but not the entire car)

6. Whole Cars มันเป็นการทำงานลงบนตัวโบกี้รถไฟตลอดทั้งโบกี้ จากหัวถึงท้าย จากด้านบนสุดถึงด้านล่างสุด มันเป็นงานที่สร้างความตื่นตาตื่นใจมากเพราะว่ามันเป็นงาน 3 มิติ ดังนั้นงานประเภทนี้จึงเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกลุ่มหรือไม่ก็ทีมงาน(Crew) ส่วนการออกแบบงานนั้น ได้มีการวางแผนมาก่อนแล้วโดยการวาดลงสมุดสเก็ตภาพ ซึ่งขั้นตอนนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ในกลางปี 1970 งานรูปแบบนี้ส่วนใหญ่จะได้รับการยอมรับให้เป็นผลงานชิ้นเอกบนตัวถังโบกี้รถไฟ ภาพส่วนใหญ่เป็นภาพล้อเลียน ข้อความ และภาพเรื่องราวต่าง ๆ ฉากสำคัญ ๆ และตัวการ์ตูนที่มีชื่อเสียงที่เกิดมาจากวัฒนธรรมอเมริกัน

7. Whole Trains การสร้างงานให้เกิดขึ้นทั้งขบวนรถไฟ(ต่างๆจาก Whole Car ซึ่งเป็นการสร้างงานเฉพาะแต่ละโบกี้)ที่มีชื่อว่า "the freedom train" ถูกสร้างขึ้นในปี 1976 ซึ่งถือได้ว่าเป็นงานที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด แต่ทว่างาน the freedom train มีอายุงานที่สั้นมาก เพราะเหตุว่า มันได้ถูกระบายสีทับไปหลังจากที่ได้สร้างงานเสร็จเพียงวันเดียว

สไตล์ (Style)
ส่วนใหญ่แล้วมักจะเริ่มจากการใช้ Tag ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่จะใช้ในการพัฒนารูปแบบของตนเอง ขนาดที่แตกต่างออกไป และสีที่จะแสดงถึงความโดดเด่นออกมาจากงานของคนอื่น

ในกลางปี 1970 จุดสูงสุดของรูปแบบตัวหนังสือกลายเป็นจุดสนใจที่สำคัญของนักเขียน นักเขียนจำนวนมากในแมนฮัตตันได้มีการปรับเปลี่ยนในรูปแบบของตัวอักษรให้ ยาว ผอม และเบียดติดกันให้อยู่ในพื้นที่ขนาดเล็ก ส่วนในนิวยอร์กก็ได้มีการพัฒนารูปแบบของตนเองเช่นกัน ซึ่งสามารถทำให้อยากรู้ว่างานเขียนชิ้นนี้มาจากนักเขียนคนใด ส่วนนักเขียนคนอื่น ๆ ก็ได้คิดสร้างสรรค์งานในรูปแบบหรือสไตล์ของตนเอง มีการใช้ชื่อที่ไพเราะมากขึ้น

งานที่ชื่อ Style wars มีชื่อเสียงขึ้นในหมู่นักเขียน ในตอนที่ Graffiti เหมือนอยู่ในยุคที่กำลังมีการแข่งขันกันทางด้านความคิดสร้างสรรค์ นักเขียนต่างวิพากษ์วิจารณ์งานของกันและกัน ทั้งเรื่องของรูปแบบดั้งเดิมและความเฟื่องฟูของตัวอักษร การระมัดระวังเรื่องของสเปรย์ เส้นตัดขอบที่คมชัด และการเพิ่มเติมรายละเอียดในการสร้างสรรค์งานประเภท Burner (หมายถึงผลงานชิ้นเอกที่ยอดเยี่ยมที่สุด)

Style และเทคนิกได้ถูกนำเอามาใช้ร่วมกับ wildstyle (คือตัวอักษรที่แทบจะอ่านไม่ออก, ตัวอักษรที่เกี่ยวพันกันไปมาและมีทิศทางที่ไม่สามารถกำหนดได้), ตัวอักษร 3 มิติ , Fading (คือการผสมสี), ตัวอักษรที่แตกกระจาย , ตัวอักษรแหลม ๆ รวมไปถึงตัวอักษรที่มีรูปแบบเป็นตัวอักษรในคอมพิวเตอร์ที่เหมือนกับตัวอักษร 3 มิติที่มีเงา ซึ่งเป็นการดัดแปลงตัวอักษรที่มาจากรูปแบบเก่าๆ ตัวอักษรของ Wildstyle เป็นตัวอักษรที่อ่านได้ค่อนข้างยาก ซึ่งอยู่นอกเหนือบรรดาวัฒนธรรมย่อยในการสร้างสรรค์งาน

ข้อขัดแย้งมักเกิดขึ้นเสมอระหว่างนักเขียนด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการกล่าวหาและมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเล็กๆน้อยๆ การที่นักเขียนได้ทำการเข้าไปสำรวจตรวจสอบผลงานของนักเขียนอีกคนหนึ่งนั้น มันเกิดขึ้นโดยหลายๆสาเหตุ ตั้งแต่เป็นการขอร้องไปจนถึงเป็นการท้าทาย เพราะว่าการมีพื้นที่ๆจำกัด มันทำให้มีการจ้องที่จะดูถูกผลงานของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา และนักเขียนหน้าใหม่ๆ กำลังค้นหาการปรับเปลี่ยนจากงานของนักเขียนที่ได้รับการยอมรับ

ชื่อเสียง (Fame)
นักเขียนที่มีชื่อเสียงจะถูกพิจารณาเยี่ยงราชา นักเขียนที่มีชื่อเสียงแล้วจะถูกตีตราว่าเป็นราชาของรูปแบบนั้น ๆ แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับชื่อเสียงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพราะมีนักเขียนที่ต้องการไปถึงจุดนั้นและพยายามขวนขวายหารูปแบบของตัวเอง เพื่อว่าจะได้เป็นราชาในรูปแบบใหม่ๆ ทำให้ราชามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่ารูปแบบ สี ลักษณะ จะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การกระตุ้นก็เป็นปัจจัยแรกที่จะให้เกิดการทำงานต่อไป

บทที่ 2 สภาพสังคมและวัฒนธรรมของ Graffiti
Graffiti เป็นที่สนใจของนักสังคมวิทยา,นักมานุษยวิทยา,นักจิตวิทยา,นักอาชญากรรมวิทยา ศิลปินและคนอื่น ๆ พวกเขาค้นหาว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงได้พยายามสร้างงาน Graffiti ขึ้นมา อะไรคือแรงจูงใจของคนพวกนี้ และแหล่งเงินทุนไหนที่ให้การสนับสนุนซึ่งทำให้พวกเขาสามารถสร้างงานต่อไปได้ มันคือแรงขับทางวัฒนธรรมย่อย ซึ่งก็เหมือนกับ hip hop

บรรดานักเขียนและทีมงาน (Writers and Crews)
นักเขียนส่วนใหญ่จะเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีฐานะยากจน ส่วนใหญ่จะเป็นพวกคนผิวดำ ส่วนคนผิวขาวพอมีอยู่บ้าง ชนชั้นกรรมาชีพผิวขาวที่มีชีวิตอยู่กับการทำงาน สนใจงานประเภทนี้และพวกเขาจะถูกแยกแยะด้วย hip hop เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้รับการเชื่อเชิญให้อยู่ในสังคมของชนชั้นกลางของพวกผิวขาวตามปกติ(ที่เรียกกันว่า WASP - white anglo saxon protestants)

เมื่อ Graffiti ได้แพร่หลาย มันก็ได้เป็นที่สนใจของวัยรุ่นจากบุคคลที่มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยด้วย ซึ่งได้รับแรงจูงใจด้วยความรุนแรงและความเร้าใจของ Graffiti จากนั้นก็ได้ครอบคลุมไปยังคนผิวขาว ซึ่งถูกแยกแยะด้วยความป่าเถื่อน และทัศนคติที่ผิดกฎหมายต่างๆ

นักเขียนส่วนใหญ่เริ่มตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กตัวน้อย ๆ ไปจนถึงอายุ 10 - 11 ปี และบางส่วนก็ได้หยุดเขียนงานของพวกเขาตอนที่อายุ 16 ปี และเริ่มที่จะทำงาน ต่อตอนที่อายุได้ 20 กว่า ๆ ซึ่งตอนนั้นพวกเขาได้ก้าวเข้าสู่โลกของศิลปะแล้ว และนับแต่นั่นพวกเขาก็จะสร้างสรรค์งาน Graffiti ต่อไปเรื่อย ๆ

แต่อะไรคือหน้าที่ทางสังคมของ Graffiti ที่ได้แสดงออกมา ? มีผู้คนและนักวิชาการหลายคนพยายามแสดงทัศนะของตนออกมา ซึ่งจากการประมวลความคิดและเหตุผลทั้งหลายพอสรุปได้ว่า หน้าที่ทางสังคมนี้จะทำให้สำเร็จได้เมื่อ :

1. เมื่อมันมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมโดยส่วนรวมของมนุษย์
2. Graffiti ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อการมองเห็น หรือไม่ก็ใช้ในเหตุการณ์พื้นฐานทั่วๆไป
3. Graffiti ได้แสดงออกและอธิบายถึงทัศนคติของคนที่ถูกกดขี่โดยรวมๆเกี่ยวกับการดำรงชีวิต ที่ขัดแย้งกับความเป็นปัจเจกชนและการมีประสบการณ์ส่วนตัว

นักเขียนมักจะมีการร่วมมือสร้างงานกันเป็นทีมอยู่บ่อยครั้ง ทีมงานจะสร้างงาน Graffiti จากการแสดงออกของความเป็นตัวของตัวเอง เพื่อนำไปสู่การคิดสร้างสรรค์ที่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน แต่พ่อแม่ของบรรดานักเขียนเหล่านี้ต่างก็ไม่ยอมรับในงานอดิเรกของลูกๆ และน้อยคนนักที่จะเข้าใจ

"มุมของนักเขียน"ได้เกิดขึ้นในนิวยอร์ก งานชิ้นแรกได้เกิดขึ้นมาในปี 1972 ที่ ถนนอูดูบอน หมายเลข 188 ในแมนฮัตตัน หลังจากนั้นกลุ่มของนักเขียนก็ได้เกิดขึ้นทั่วเมือง ทั้ง Vanguards , Last Survivors ,The Ex-Vandals ก็ได้เกิดขึ้น แต่ก็สลายตัวไปในที่สุด เนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มแก๊งต่างๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตำนานในใจของนักเขียนและการส่งอิทธิพลต่องานรุ่นหลัง ๆ ก็ยังคงมีอยู่เสมอมา

ในบรรดานักเขียนและกลุ่มคนทำงานเหล่านี้มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่บางอย่างก็คือ : ทั้งคู่ต่างก็ต้องการการยอมรับ ต้องการความมีเกียรติ, ใช้นามแฝง, เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย, มองเห็นตนเองที่ประสบความสำเร็จในด้านมืด, อายุยังน้อย และมีความยากจน

ในหนังสือ Street Gangs อธิบายถึงแรงกระตุ้นที่อยู่เบื้องหลังแก๊งข้างถนนและพฤติกรรมของพวกเขาว่า Graffiti มันเป็นวิธีการเดียวที่จะทำให้รู้สึกโดดเด่นได้เหมือนเป็น "ใครบางคน" สามารถแสดงความเป็นเจ้าของได้, รู้สึกถึงการได้รับการยอมรับและถูกให้ความสำคัญขึ้นมาสำหรับใครหลายๆคน ซึ่งเติบโตมาจากผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ด้อยกว่า กิจกรรมของกลุ่มคนเหล่านี้จะเป็นวิธีเดียวที่จะมาเติมเต็มความรู้สึกในความกระหายของพวกเขา

กลุ่มของ Graffiti เป็นทางออกของบรรดานักเขียน ถึงแม้ว่าบางครั้งจะมีการก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันขึ้นมาบ้าง แต่มันก็ไม่ใช่เจตนาที่ต้องการจะทำให้เกิดเรื่องราวนั้นขึ้นมา และก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าบางส่วนของงานจะมีผลกระทบกับธรรมชาติ ก็ถือว่ามันเป็นการแสดงออกทางด้านจิตวิทยาผ่านทางงานศิลปะมากกว่าการแสดงออกทางด้านร่างกาย

กลุ่มนักเขียนได้เริ่มรวมตัวกันขึ้นหลังจากการสิ้นสุดของยุค Ex- Vandals และหลังจากนั้นกลุ่มที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ The Fabulous Five และก็เป็นที่ยอมรับนับถือของกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยเช่นกัน

องค์กร (Organization)
ในปี 1972 Graffiti ได้เกิดมุมมองใหม่ขึ้นมา กลุ่มของคนทำงานเกิดมาจากการรวมตัวของเด็กนักเรียนโดย Hugo Martinize ซึ่งถูกเรียกว่า United Graffiti Artists (UGA). Martinize ได้ตั้งกลุ่มของ Graffiti ที่มีพัฒนาการมากยิ่งขึ้นในรูปแบบที่เป็นที่ยอมรับ จุดประสงค์ของ Martinize คือการชักนำให้หนุ่มสาวที่ทำงานประเภทนี้มีมุมมองด้านบวกซึ่งเป็นที่ยอมรับมากขึ้น กลุ่มเหล่านี้ซึ่งรวมถึงนักเขียนที่มีชื่อเสียงในช่วงเวลานั้นด้วย องค์กรนี้ได้จัดแสดงงานและได้รับเงินส่วนแบ่งในรูปแบบต่าง ๆ รวมไปถึงภาพจิตรกรรมที่ได้สร้างสรรค์ขึ้น เพื่อใช้เป็นฉากหลังของการแสดงบัลเล่ต์ "Deuce Coupe" ด้วย แต่ในที่สุดก็เกิดปัญหาขึ้นเนื่องจากความกดดันทางด้านเชื้อชาติ ทำให้ในที่สุด UGA ก็สลายตัวไปและในช่วงเวลานั้น Graffiti ก็ได้มาถึงจุดตกต่ำที่สุด

ในกลุ่มอื่น ๆ เช่น The National Organization of Graffiti Artists (NOGA) ก็ได้รับการก่อตั้งขึ้นมาในกลางปี 1974 โดยผู้กำกับละครเวทีที่ชื่อ Jack Peslinger พวกเขาได้จัดการแสดงผลงานของตัวเอง แต่ในที่สุดก็มีปัญหาทางการเงินที่คาราคาซังมานาน พวกเขาถูก MTA(หน่วยงานที่ดูแลรถไฟใต้ดิน)ปฏิเสธในข้อเสนอที่ว่า จะทำสีรถไฟใต้ดินให้ใหม่เพื่อนำเงินส่วนนั้นมาใช้ในองค์กรของพวกเขา

การเมือง (Politics)
ตั้งแต่ได้มีพัฒนาการของ Graffiti ในรถไฟใต้ดินมานั้น มันก็กลายเป็นประเด็นการโต้เถียงที่เผ็ดร้อนที่สุดในกลุ่มของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หลังจากปี 1975 ความสนใจในสื่อประเภท Graffiti ได้ลดลงและก็ไม่ได้รับการสนใจจนกระทั่ง Hip Hop ได้รับความนิยมขึ้นมาอีกครั้งในช่วงปี 1980

Hip Hop
การเกิดขึ้นมาของ Hip Hop ในนิวยอร์กนั้นสามารถอธิบายได้ถึง "กายภาพของสังคมเมืองและความรุนแรงทางด้านจิตวิทยา" Hip Hop เกิดขึ้นในสังคม วัฒนธรรม และการเมืองที่มีความไม่เสมอภาคกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำในอเมริกา และ Graffiti ก็จะถูกมองว่าเป็น "การแสดงออกส่วนบุคคลที่เกิดจากความคับแค้นใจและต้องการอิสรภาพ" Hip Hop ประกอบด้วย ดนตรี rap, Djing, Break-dance, และ Graffiti. Graffiti และ rap เป็นการแสดงออกในที่สาธารณะที่มีความก้าวร้าวเป็นพิเศษถึงการต่อต้านและการใช้เสียง

ศิลปิน Hip Hop ได้ถูกรวบรวมให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับพวก Underground ที่อยู่ในรูปของศิลปะ คุณค่าและภาษามันมีอยู่ในรูปแบบของพวกเขาเอง Hip Hop มักจะมีการติดต่อกับพลังจากภายนอก ซึ่งอยู่ในระบบของอเมริกันชนที่มีขนาดใหญ่ Graffiti และ Hip Hop ได้แพร่เข้าสู่สังคมเมืองในรูปแบบของ Underground Hip Hop และได้เป็นที่ยอมรับมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1980 ซึ่งก็ได้ถูกนำไปใช้บนแผ่นฟิล์มด้วยเช่นกัน

หนังเรื่อง Wildstyle, Beat Street และ Style Wars เป็นสัญลักษณ์ของงานประเภทนี้ที่มีชื่อเสียงมากของ Hip Hop และมันได้รับการนำไปใช้ในการนำเสนองานของ Lee และ Lady Pink ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ Graffiti ก็ได้มีการเชื่อมกับ rap ด้วย

สำหรับพัฒนาการต่อมาของ Graffiti พบว่า มีพวก Rapper ที่สร้างงาน Graffiti ลงบนเสื้อผ้าและวัฒนธรรมนอกกำแพง โดยการตกแต่งลงบนเสื้อแจ็คเก็ตและได้มีการวาดลงบนฉากหลังของการแสดงการเต้น rap ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่จะแสดงออกถึงความร่วมมือร่วมใจกัน

ความก้าวร้าวและหยาบคายจากภายในส่วนลึกของสังคมเมืองได้แสดงออกมาผ่านงานของนักเขียนด้วยเช่นกัน ดนตรี rap ไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่มีอิทธิพลต่อนักเขียน Graffiti เพราะว่ามันยังมาจากพวกพังค์ร็อกในปี 1980 และร็อกเอนโรล ด้วยเช่นกัน

มหานครนิวยอร์ก (New York City)
พื้นที่เมืองของมหานครขนาดใหญ่ จะถูกแบ่งแยกออกเป็นเมืองเล็กเมืองน้อย โดยชนกลุ่มน้อย ชนชั้นวรรณะ และการแบ่งสีผิว และ Graffiti ในสายตาของผู้คนก็ยังเป็น "การคุกคามเมืองอยู่ทุกๆวัน ทั้งนี้เป็นเพราะการผสมกลมกลืนทางเชื้อชาติของเด็กๆ ที่มาจากพื้นฐานของชีวิตที่แตกต่างกัน"

สังคม วัฒนธรรม และการเมืองในนิวยอร์กในช่วงปี 1970 ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ มีความระส่ำระสายทางการเมือง เพราะมีการเคลื่อนไหวของพวกชนผิวดำ บรรดานักต่อสู้ทั้งหลาย รวมทั้งกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน การเจริญเติบโตทางด้านเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงทางหน้าที่การงาน การเปลี่ยนแปลงของสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน กองทุนของสหภาพ ที่อยู่อาศัย และการอพยพโยกย้าย ที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่จากประเทศอุตสาหกรรมของโลกที่ 3 ซึ่งได้มาสนับสนุนสภาพสังคมและเศรษฐกิจของอเมริกา

กลไกความยากจน , การไร้ที่อยู่อาศัย , ลัทธิชาตินิยมยังคงเป็นเรื่องรุนแรง , การก่อความรุนแรง , การละทิ้งที่อยู่อาศัย ระบบการเรียนที่ย่ำแย่ ความช่วยเหลือทางสวัสดิการสังคมและรัฐบาลก็ย่ำแย่ เพราะมีการไหลทะลักของสิ่งเสพติดเข้ามาในชุมชน ในปี 1970 อัตราการเกิดได้เพิ่มสูงขึ้น และมีช่องว่างทางสังคมค่อนข้างสูงระหว่างความมั่งคั่ง เทคโนโลยี กลุ่มคนทำงานออฟฟิซที่มีคุณภาพชีวิตขึ้นอยู่กับระบบการเงินและเศรษฐกิจ กับคนตกงานและการให้บริการแก่คนตกงาน สิ่งเหล่านี้เป็นภาพที่แท้จริงที่คนผิวดำทั้งหลายได้พบเจอและมีประสบการณ์ นี่เป็นผลที่ได้จากการตัดความช่วยเหลือซึ่งก็ทำให้เกิดปัญหาขึ้นตามมามากมาย

Graffiti และ Hip Hop สามารถมองเห็นได้ในลักษณะของเสียงสะท้อนของการประดิษฐ์คิดค้นจากภายในความเป็นเมือง ในขณะที่มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการในการต่อต้านความแปลกแยกของพวกเขา Graffiti ได้แพร่กระจายเข้าไปในสังคมเพื่อทำการต่อต้าน การก่อเหตุจลาจล รวมไปถึงการต่อต้านอำนาจ และการเปลี่ยนมุมมองของสังคม เพื่อเป็นการส่งอิทธิพลต่อสังคม Graffiti เป็นเหมือนกับการทำลายและการสะท้อนถึงความมีเหตุผลที่ไม่ปกติในเวลาเดียวกัน

Hip Hop เป็นเหมือนเสียงสะท้อนของคนกลุ่มน้อยในสังคมของนิวยอร์ก เด็กๆเหล่านั้นได้ใช้อุปกรณ์ของกระป๋องสเปรย์และไมโครโฟน เพื่อทำการติดต่อสื่อสารและยืนยันวัตถุประสงค์ของการเคลื่อนไหวของพวกเขาในแต่ละครั้ง ต่อสายตาคนภายนอก Graffiti สามารถมองเห็นได้ในรูปแบบของศิลปะเพื่อสาธารณะ พกผืนผ้าใบไปตามท้องถนนแล้ววางมันลง ไม่ว่าคนดูจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม

บทที่ 3 การต่อต้านของเมืองที่มีต่อ Graffiti
มีคนกล่าวว่า "เราคิดว่า Graffiti เป็นการทำลายล้าง พวกเขาคิดว่าพวกเขาเป็นศิลปินและมีสิทธิเต็มที่ในการพูดเพื่อแสดงออกในความเป็นตัวของตัวเอง และความเป็นศิลปะอย่างเต็มที่ Graffiti จะดูดีสำหรับพวกเขาและเพื่อน ๆ ของเขา แต่คนส่วนใหญ่ไม่ต้องการที่จะมองดูมันทุกๆวัน เพราะมันรกลูกตา สกปรก ป่าเถื่อน และปราศจากรสนิยม"

ตั้งแต่ความนิยมของ Graffiti ได้เริ่มขึ้นในปลายปี 60 การต่อต้านก็มีขึ้นทันที Graffiti ถูกมองว่าเป็นคำที่หมายถึงความเสียหาย เป็นสัญลักษณ์และความเสื่อมทรามของสังคม เปรียบได้กับปรอทที่มีความแม่นยำในการวัดความเสื่อมสภาพของสังคมเมือง

การต่อต้าน (Resistant)
รถไฟใต้ดินถูกทำความสะอาดโดยการขัดถูจากแรงงานคน มันเรียกได้ว่าเป็นวงจรอุบาทว์พอๆกับตอนที่รถไฟกลับมารับการทำความสะอาดในตอนที่ได้รับความนิยมขึ้นมาอีกครั้ง ในกลางปี 1970 พวกต่อต้าน Graffiti ได้หวนคืนกลับมาอีกครั้ง เพราะมันถูกมองว่า ภาพสะท้อนของ Graffiti คือความฟอนเฟะของสังคมเมือง งาน Graffiti ในรถไฟใต้ดินมีการเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้มีการปิดหน้าต่างทั้งหมด มันทำให้สาธารณชนรู้สึกว่า..มันไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อมันเป็นเรื่องยากว่ารถไฟได้เคลื่อนขบวนไปถึงสถานีไหนแล้ว เจ้าหน้าที่ยังคงเป็นกังวลเกี่ยวกับพวกที่ก่อเหตุและทำลายทรัพย์สินส่วนรวม

ส่วนวิธีการอื่นในการต่อต้านที่นอกเหนือจากการคอยทำความสะอาด ก็คือการทำลาย วิธีการหนึ่งก็คือโรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตสเปรย์กระป๋องที่มีการทำเป็น Fat Caps ออกมาซึ่งไม่มีความพอดีกันอีกต่อไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นรูปแบบก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับวัตถุดิบที่นำมาใช้

แรงกดดันของตำรวจ (Police Pressure)
มีประเด็นหลัก ๆ อยู่ 3 ประการที่จะทำการต่อต้านงาน Graffiti

1. มันเป็นภาพของความเป็นจริงว่า Graffiti เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย มันเป็นภาพของอาชญากรรม
2. อู่จอดรถไฟเป็นพื้นที่อันตรายสำหรับนักเขียน และตำรวจก็ต้องคอยดูแลสถานที่เหล่านี้ให้พ้นจากอันตราย
3. Graffiti นำไปสู่การก่ออาชญากรรม(จากการสำรวจมา 2 ครั้ง)

ถึงแม้ว่าตำรวจจะมีการพัฒนาการจับกุมคนเหล่านี้ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาขัดขวางการทำงานของพวกเขายิ่งไปกว่าความหยาบคายของตำรวจที่ทำกับพวกเขา นักเขียนก็ยังคงเห็นตำรวจเป็นศัตรูตัวฉกาจหมายเลข 1 ในปี 1979 ด้วยเหตุผลอันใดไม่ทราบตำรวจกลุ่มนี้ก็ได้สลายตัวไปและก็มีตำรวจกลุ่มใหม่เกิดขึ้น ในปี 1980 พวกเขาได้มีการวางแผนตามคำแนะนำว่า ถ้าพบเห็นการใช้สเปรย์พ่นลงบนสิ่งก่อสร้างสาธารณะให้มีบทลงโทษทั้งจำทั้งปรับ

สื่อ (Media)
กลุ่มต่อต้าน Graffiti ได้ทำการผลิตสื่อออกมาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น poster, TV , Slogan บรรดาสาธารณชนต่างให้กำลังใจที่จะเข้าร่วมในวันต่อต้าน Graffiti โฆษณาเต็มแผ่น poster ที่ใช้ชื่อว่า Village Voice ก็ได้ถูกเผยแพร่ออกมา มีคนกล่าวว่า Graffiti เป็นสัญลักษณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้

แต่อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทส์ม ได้เข้าร่วมการต่อต้าน แต่นิวยอร์กแมกกาซีนกลับแสดงจุดยืนที่แตกต่างออกไป เขาบอกว่า "มันไม่ใช่การเติบโตของการนิยมชมชอบเพียงชั่วขณะ แต่สำหรับการต่อต้านที่แสดงออกมานั้น มันอาจจะเป็นเพียงเสียงของเด็กๆที่มีความสมบูรณ์พูนสุข และเป็นการยืนยันให้กับคนทั่วไปได้รับรู้ถึงบ้านเกิดของพวกเขา" นิวยอร์กแมกกาซีนยังคงพิมพ์เผยแพร่ภาพของ Graffiti ที่พวกเขาได้พิจารณาให้รางวัลชนะเลิศ ซึ่งข้อความนี้ ก็ได้วางคู่อยู่ในหน้าเดียวกันที่พูดถึงทั้งการต่อต้านและสนับสนุนงาน Graffiti

การขัดถูทำความสะอาด (The Buff)
มันเป็นสงครามการต่อต้าน Graffiti ที่มีความก้าวหน้ามากขึ้น การคิดที่จะลบงาน Graffiti โดยการทำความสะอาดรถไฟ รวมไปถึงการใช้แรงงานคนในการทำความสะอาด อย่างไรก็ตาม การทำความสะอาดดังกล่าวนำมาซึ่งปัญหาที่รุนแรง : โรงเรียนที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นต้องปิดลง เพราะนักเรียนมีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ รวมไปถึงคนทำความสะอาดรถไฟ ก็มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจและอาเจียรออกมาด้วยเช่นกัน สารเคมีที่ใช้ในการกัดกร่อนทำความสะอาด ถูกพบว่าเป็นสารเคมีที่มีอันตราย และในที่สุดสารเคมีดังกล่าวซึ่งถูกนำมาใช้ได้ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมขึ้นต่อเมืองในที่สุด การกำจัด Graffiti นั้นจึงทำได้เฉพาะบางส่วน

ท้ายสุด ได้มีการค้นหารถคันใหม่ที่จะใช้ในการทำงาน ถึงแม้ว่าในช่วงนี้หลาย ๆ คนจะได้หยุดทำงาน Graffiti ไปแล้วก็ตาม แต่บางส่วนก็คงทำอยู่ บรรดานักหนังสือพิมพ์ได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงความล้มเหลวของ MTA(หน่วยงานดูแลรถไฟใต้ดิน) ในการต่อต้าน Graffiti

ในปี 1981 ทำให้เกิดการต่อต้านรูปแบบใหม่เกิดขึ้น รั้วสายไฟเปลือยและสุนัขเฝ้ายามได้ถูกนำเอามาใช้ในอู่จอดรถไฟ 1 ปีต่อมา ผู้ว่าการรัฐได้ออกกฎหมายที่ห้ามไม่ให้มีการจำหน่ายสีสเปรย์กับพวกคนผิวดำ หลังจากปี 1988 Graffiti ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอีก มันถูกทำขึ้นอย่างมากมายตามท้องถนน ด้านในของรถไฟ กำแพงและในสมุดสเก็ตภาพ มันสืบเนื่องมาจาก 3 โครงการขนาดใหญ่หรือไม่ก็มากกว่านั้น ที่มีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจเพื่อต้องการกำจัด Graffiti ไปในที่สุด

Graffiti ในรถไฟใต้ดินได้สิ้นสุดลงไปเมื่อ 12 พฤษภาคม 1989 อย่างเป็นทางการ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันก็ยากเกินกว่าที่จะยุดยั้งลงได้ เพราะว่า Graffiti ได้แพร่ไปทั่วโลก มันเป็นวิธีการที่ล้าสมัยไปเสียแล้วในการต่อต้านและชัยชนะเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการแก้ปัญหา มีการพยายามแก้ไขด้วยหลายวิธี แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่สำเร็จเหมือนในปี 1989

บทที่ 4 ตัวแทนของผู้หญิง - ผู้หญิงในงาน Graffiti
ผู้ชายส่วนใหญ่มักครอบงำมุมมองของ Hip Hop และ Graffiti ก็ไม่ให้การยอมรับผู้หญิงที่ทำงานประเภทนี้ แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีอยู่เพียงน้อยนิด แต่ก็เป็นจำนวนที่มีความสำคัญสำหรับผู้หญิงที่เป็นตัวแทนในการทำงานด้านนี้ ดังเช่น Lady Pink นักเขียนหญิงคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ซึ่งปัจจุบันนี้เธอยังคงเขียนงานอยู่ ผู้หญิงจะมีโอกาสน้อยที่จะประสบความสำเร็จในงาน Graffiti นอกจาก Lady Pink แล้วยังมีคนอื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงอีกเช่น barbara62, Eva62, Charmin, Stoney ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะใช้ชื่อของผู้ชาย เหตุผลที่จะอ้างได้ในตอนนี้ก็คือ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับก่อนที่จะสร้างงานที่มีรูปแบบที่เหมือนกันออกมาในชื่อของผู้หญิง

นักเขียนชายส่วนใหญ่ไม่ชอบนักเขียนหญิง ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มหรือองค์กร แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมีโอกาส แม้ว่าจะน้อยนิด ถ้าผู้หญิงถูกพิจารณาให้เป็นนักเขียนที่ดี / เลว เธอก็จะถูกเชื้อเชิญให้เข้าร่วมสร้างสรรค์งานร่วมกัน ในทีมทำงานที่เป็นผู้หญิงทุกคน มักจะตกเป็นเบี้ยล่างให้กับนักเขียนชาย และงานของนักเขียนชายจะส่งอิทธิพลครอบงำงานของพวกเธอ และพวกเธอก็จะตกเป็นขี้ปากเกี่ยวกับเรื่องราวทางเพศด้วยเช่นกัน

รูปแบบของงานผู้หญิงก็มีความคล้ายคลึงกับงานของผู้ชาย ถึงแม้ว่าผู้หญิงจะทำงานที่มีรูปแบบที่แสดงออกถึงความเป็นหญิงมากกว่า การใช้สีดำน้อย, มีสีสันมากกว่า, สามารถมองเห็นลักษณะของตัวอักษรและพื้นหลังได้ชัดเจนกว่า, ด้วยการใช้สีที่บ่งบอกถึงเพศนี้ก็ยังคงมีรูปแบบและวิธีการเดิม ผู้หญิงเหล่านี้ยังคงแสดงความเป็นตัวของตัวเองลงไปในงาน ซึ่งก็เป็นสิทธิของพวกเธอที่จะทำเช่นนั้น และบางครั้งพวกเธอก็ทำงานได้ดีกว่าพวกผู้ชายด้วยซ้ำไป

บทที่ 5 จากงานใต้ดินสู่งานที่ได้รับการยอมรับ - งานเขียนที่ได้จัดแสดงในแกลลอรี่
มีคนกล่าวที่ว่างาน Graffiti ถูกพิจารณาให้เป็นศิลปะที่มีคนพูดถึงน้อยที่สุด คำถามต่อมาก็คือ เป็นเพราะความรุนแรงของมันใช่ไหม และเนื่องมาจากการทำผิดกฎหมายบนท้องถนน หรือข้างๆรถไฟใช่หรือไม่ และถ้าศิลปะที่ว่านี้อยู่บนผืนผ้าใบบนกำแพง หรือมีการโฆษณาที่ถูกต้องสมเหตุสมผลหนุนหลังอยู่ล่ะ อะไรคือความแตกต่างระหว่าง"ศิลปะ"กับ"ศิลปะที่แสดงถึงความรุนแรงดังกล่าว" ?

ถ้าจะพูดอีกอย่าง Graffiti ได้รับการตีตราว่าเป็นเรื่องของการทำลาย และเป็นสิ่งที่ถูกปฏิเสธจากสังคม แต่ถ้าโชคชะตาเล่นตลกให้มันไปอยู่ในโลกของงานศิลปะ เพื่อที่จะให้ได้รับการยอมรับมากขึ้นล่ะ มีคนกล่าวไว้ว่า "มันเป็นอุบายที่จะเรียก Graffiti ว่าเป็นศิลปะ ทั้งๆที่มันเกิดขึ้นนอกเหนือระบบของการกำเนิดงานศิลปะ ดังนั้นถ้าคุณเอางาน Graffiti ไปแสดงในแกลลอรี่ มันก็ไม่ต่างไปจากการเอาสัตว์ไปใส่ไว้ในกรงขัง"

ออกมาสู่บนดิน (Going Overground)
Graffiti กลับเข้ามาสู่กระแสของงานศิลปะ 2 ครั้ง นั่นคือในปลายปี 1972 และอีกครั้งในปี 1980 ในปี 1972 UGA ได้จัดแสดงงานที่ Razor แกลลอรี่ การแสดงคราวนั้นได้รับการบันทึกลงในแมกกาซีนนิวส์วีค และในปี 1974 ก็มีการตีพิมพ์ถึงประวัติของ Graffiti เป็นครั้งแรก

ในปี1975 แกลลอรี่ย่านโซโห(ลอนดอน) ก็มีการเปิดการแสดงนิทรรศการ Graffiti เช่นเดียวกัน มีการซื้อขายงานซึ่งราคายังถือว่าถูกมากสำหรับ Graffiti บนผืนผ้าใบ ทั้งนี้เป็นเพราะ นี่คือความงามทางศิลปะรูปแบบใหม่และเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งมันยังไม่สามารถที่จะจัดเข้ากลุ่มเดียวกับงานที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนชั้นสูง

เฟรด ได้รับเชิญให้ไปแสดงงานในแกลลอรี่ในกรุงโรม, อิตาลี และเขาก็กลายเป็นตัวแทนของ Graffiti มากพอ ๆ กับ อาฟริกา แบมบาต้า ที่เป็นตัวแทนของ Hip Hop ในปี 1980 เฟรดได้สร้างงานในรูปแบบของเขาเองที่เรียกว่า Andy Warhol's Pop Art (Andy Warhol ศิลปินและเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ส่วนตัวชื่อดัง) เขาได้สร้างงานที่มีขื่อว่า "Campbell Soup Cans" ลงบนโบกี้รถไฟ

การร่วมมือกันสร้างงานร่วมกับสัญลักษณ์ทางดนตรีที่ได้รับความนิยม จะสามารถทำให้ Graffiti โบยบินไปได้ไกลกว่าที่จะอยู่ในโลกศิลปะเพียงลำพัง มันยังมี"มุมสำหรับนักเขียน"ของ Graffiti อีกด้วย ซึ่งเป็นที่ ๆ มีการพูดถึงรูปแบบและมุมมองที่มีต่องาน Graffiti ที่เป็นงาน underground แต่ในที่สุด มุมของนักเขียนก็ได้แตกสลายไปเพราะแรงกดดันของตำรวจ และได้เปลี่ยนจากสถานที่นัดหมายของนักเขียนที่เรียกว่า"มุมสำหรับนักเขียน"นั้นไปเป็นที่แสดงงาน และที่พบปะกันของนักเขียนหัวรุนแรงแทน เขาเหล่านั้นมารวมตัวกันเพื่อที่จะทำให้ Graffiti เป็นงานที่ได้รับการยอมรับโดยถูกต้องตามกฎหมาย และในปี 1980 Graffiti ก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ Hip Hop ถือกำเนิดขึ้นมา และเราก็ยังคงพบการนำเอา Graffiti เข้าไปใช้ในภาพยนตร์ด้วย นั่นคือเรื่อง Wildstyle

Haring
Kieth Haring และ Jean-Michel Basquiat กลายเป็นเจ้าของชื่อที่มีชื่อเสียงของแกลลอรี่ และเป็นที่รู้จักในนิวยอร์ก ภาพวาดสีชอล์กของ Haring แสดงออกถึงการมีชีวิตของ Graffiti ในสถานีรถไฟได้อย่างชัดเจน ภาพเด็กคลาน โทรศัพท์ ที่ถูกคลุมด้วยกระดาษสีดำสำหรับพื้นที่โฆษณาไปจนถึงงานของเขา ถูกจดจำด้วย "งานที่ไม่เหมือน Graffiti ส่วนใหญ่" Haring ถูกมองโดยคนส่วนใหญ่ว่าเป็นเหมือน คนสร้างงาน Graffiti ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนในกลุ่มเดียวกับ Hip Hop ก็ตาม

การแตกตัว (Fragmentation)
ในกลางปี 1980 ขณะที่ นักเขียนทั้งหลายถูกประชิดตัวด้วยบรรดาเหล่าพ่อค้าคนกลาง ที่ทำให้พวกเขาเปลี่ยนที่สร้างงานจากบนกำแพงมาเป็นบนผืนผ้าใบ สำหรับการซื้อขายของนักสะสมรุ่นเก่า กับสิ่งที่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้เสียเงินจำนวนหนึ่งเพื่อกำจัด Graffiti ออกไป โลกของ Graffiti ได้แตกตัวออกไปเมื่องานบางส่วนถูกนำเข้าไปสู่โลกของศิลปะกระแสหลัก

ในปีเดียวกันการแสดงงาน Post - Graffiti ก็ได้ถูกจัดแสดงขึ้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของ Graffiti จากโบกี้และขบวนรถไฟไปสู่ผืนผ้าใบอย่างเป็นทางการ จะมองเห็นว่า มันเป็นการทำนายถึงเหตุการณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับการจบสิ้นของ Graffiti ในตอนที่มีการเขียนงานที่ชื่อ Graffiti Died ในปี 1982

ปัญหาของการเขียนงาน Graffiti ลงบนผืนผ้าใบดูเหมือนเป็นงานที่ตายตัว เป็นการหลีกหนีจากงานที่มีการเคลื่อนไหว มีรูปแบบขนาดใหญ่อยู่ข้าง ๆ ตัวถังรถไฟ ทั้งนี้เป็นเพราะ นักเขียนได้พัฒนารูปแบบงานให้เปลี่ยนไป โดยทำให้มันมีขนาดที่พอดีกับความลงตัว ในปลายปี 1980 และมันเป็นเรื่องที่ประจวบกันพอดีที่พบว่า มีการลดลงของ Graffiti ในรถไฟใต้ดินเพราะมีการพยายามที่จะกำจัด Graffiti ให้หมดไป นักเขียนจำนวนมากได้เพียงแต่ฝันที่จะทำงานด้านศิลปะ และบางส่วนก็ฝันที่จะขายมันได้เช่นกัน

มีนักเขียนหรือ writer บางคนกล่าวว่า "มันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับให้งานเขียนไปติดตั้งบนพื้นผนังสีขาวในแกลลอรี่ เพราะว่านั่นมันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าไปแล้ว สังคมให้การยอมรับมันในรูปแบบนี้ งาน Graffiti จึงถูกนำเข้าไปรวมอยู่ในพิพิธภัณฑ์หรือแกลลอรี่ และทำให้มันขาดจิตวิญญาณที่แท้จริงของตัวเองไป"

"Graffiti เป็นสิ่งที่มีความหมายและยิ่งใหญ่เกินกว่าจะถูกนำไปเป็นสินค้า" แต่ในแวดวงศิลปะก็มีข้อโต้แย้งเช่นกัน พิจารณาจากสังคมที่เราได้อาศัยอยู่ มันถูกจับตามองว่า Graffiti สามารถขายได้ในโดยบางวิธี นั่นคือจัดระบบการตลาดให้กับสินค้าประเภทนี้

บทที่ 6 Graffiti ในยุคปี 90 - จุดจบของการสร้างงานตามสัญชาตญาณของชีวิตเมือง
ในปี 90 ได้มีการสร้างกระแสความนิยมของ Graffiti ในรูปแบบใหม่ ศัพท์ต่าง ๆ ก็ยังคงใช้เรียกกันอยู่เหมือนเดิม แต่บางส่วนก็ถูกเรียกว่า The Writers Aerosol Artist คือศิลปินกระป๋องสเปรย์ Graffiti ในนิวยอร์กปี 90 ไม่มีให้เห็นมากมายนักเหมือนกับที่มันเคยเป็นในตอนที่มันมีการเดินทางของงาน โดยอาศัยตัวโบกี้รถไฟโดยสารที่แล่นไปตามเส้นทางต่างๆ มันโฉบเข้าไปตามหัวเมืองตามที่รถไฟไปถึง ในปี 90 นี้ได้มีการทำงานบนผ้าใบมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ใครๆต่างก็มีความเห็นว่ายุคที่งาน Graffiti ซึ่งโด่งดังที่สุดก็คือ ตอนที่มีการสร้างงานบนโบกี้รถไฟทั้งขบวน

นักเขียนจำนวนมากได้มีการถ่ายทำวิดีโอไว้ บ้างก็มีการซื้อขายงานประเภทนี้ บ้างก็ทำเป็นอนุสาวรีย์หรือไม่ก็เป็นจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งส่วนหนึ่งก็มีเรื่องของธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และก็ได้มีการทำเป็นภาพ logo สินค้าออกมา แม้แต่ในทุกวันนี้ก็ยังคงหลงเหลือนักเขียนอยู่ นักเขียนที่มีความคิดแปลกใหม่ได้ทำให้สังคมนี้ยังคงมีชีวิตชีวาอยู่ มันเหมือนนิยายที่ว่า นักเขียนส่วนใหญ่มาจากครอบครัวคนยากจน และก็ได้กำเนิดขึ้นอย่างลึกลับโดยสื่อๆหนึ่ง

สำหรับในวันนี้ Graffiti ได้สร้างงานที่อยู่เหนือสิ่งที่เคยได้ทำ นั่นคือ "ขบวนรถไฟ" ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของ Hip Hop มาเป็นการสร้างงานบนผ้าใบ บนขบวนรถด่วน บนกำแพง (ทั้งที่ได้รับการอนุญาตและผิดกฎหมาย) บนก้อนหิน บนเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ต่างๆ ยานพาหนะ ไปจนถึงสัตว์ อย่างเช่นแกะในสวนสัตว์ นักเขียนส่วนใหญ่ได้ทำแบบนี้กับทุกๆที่ซึ่งเขาได้ไป

The Subway in The 1990s
MTA ได้ประกาศถึงชัยชนะของพวกเขาในการต่อต้าน Graffiti ที่ประสบผลสำเร็จในที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงถึงบทบาทในการช่วยเหลือชุมชนเพื่อพัฒนาคุณภาพของสุขภาวะของชุมชน รถไฟใต้ดินไม่ใช่ตัวเลือกที่พวกเขาจะได้เห็นงาน Graffiti อีกต่อไปแล้ว เปรียบเทียบกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มันต่างกันโดยสิ้นเชิง

นักเขียนจะทำการบันทึกงานของพวกเขาเป็นภาพนิ่ง ถึงแม้ว่างานของเขาจะไม่ใช่งานที่เห็นเป็นชิ้นงานที่แท้จริงก็ตาม แต่ก็ยังคงอัดออกมาเป็นภาพให้เห็นได้ นักเขียนบางคนก็ยังคงสร้างงานบนหน้าต่างรถไฟ ในนิวยอร์กหน้าต่างทุกๆบานของรถไฟทุกๆขบวนได้ทิ้งร่องรอยของการทำงาน Graffiti สำหรับการกำจัดภาพเหล่านี้ออกไปและการทำความสะอาด ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่สูงมากในการลบสิ่งเหล่านี้ ด้วยเหตุดังนั้น จึงได้มีการเปลี่ยนหน้าต่างจากกระจกไปเป็นพลาสติก

การต่อต้านในทศวรรษที่ 1990 (1990s Resistance)
ในปีทศวรรษ 1990 การต่อต้านยังคงเป็นรูปแบบของความรุนแรง Graffiti ยังคงถูกมองว่าเป็นการสร้างสรรค์ที่ยอดแย่ในพื้นที่ ๆ ไม่ควรเข้าไปกร้ำกราย และมันก็มักจะพบอยู่ในกลุ่มเดียวกับยาเสพติดและแก๊งค์อันธพาลในสายตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีหลายวิธีด้วยกันที่จะต่อต้าน Graffiti ในปี 1991 หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นได้ทำการตีพิมพ์ชื่นชมผู้ที่ได้เป็นแกนนำในการกำจัด Graffiti ออกไปจากชุมชนได้

มีนักเขียน Graffiti บางคนได้ถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการศาลด้วยเช่นกัน การโดนปรับและส่งเข้าห้องขังหรือนำตัวนักเขียนไปยังสถานกักกันถือเป็นมาตรการเพื่อดัดสันดานก็มีให้เห็นอยู่ แต่ว่ามันก็ไม่ได้เป็นการแก้ไขที่ได้ผลเท่าไรนัก เพราะว่าในที่สุดแล้ว เด็กพวกนี้ก็ถูกส่งตัวกลับเข้าไปอยู่ในสังคมดังเดิม มันจะดูดีกว่าถ้าหากให้การศึกษากับพวกเขาในสังคมของเขาโดยอนุญาตให้มีการแสดงออกในวิธีที่ถูกต้อง เช่นโครงการกำแพงที่ถูกกฎหมาย

กำแพงที่ถูกกฎหมาย (Legal Walls)
สถานีรถไฟใต้ดินของนิวยอร์ก ยังคงเป็นแหล่งกำเนิดของงาน Graffiti แต่นักเขียนส่วนใหญ่ยังคงขอที่จะยืนอยู่ข้างเดียวกับกฎหมาย ในขณะที่พวกเขาต้องการสร้างสรรค์งาน Phun Phactory เป็นผนังหนึ่งที่ได้รับการอนุญาตให้มีการสร้างงานได้โดยถูกกฎหมาย มันมีสถาบันเกียรติยศมากมายที่ตั้งอยู่ในเมือง เป็นที่ๆนักเขียนสามารถสร้างงานของเขาได้

กราฟฟิติในฐานะที่เป็นชุมชน (Graffiti As A Commodity)
นักเขียนหลาย ๆ คนได้ปรากฏตัวออกมาผ่านสื่อในรูปแบบใหม่เนื่องจากพวกเขาถูกบีบคั้น ในปี 90 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เรียกว่ามีสื่อหลาย ๆ ช่องทางที่ทำให้พวกเขาสามารถแสดงออกได้ พวกเขาได้ส่งงาน Graffiti เข้าสู้กระแสบริโภคนิยม Graffiti ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานที่ยังคงเป็นศิลปะข้างถนน นอกเสียจากว่ามันไม่เป็นที่สนใจของคนส่วนใหญ่ มาถึงตอนนี้ พวกเขาได้รับการอนุญาตให้มีที่ทางในการแสดงออกมากขึ้น

มีการพูดถึงงานประเภทนี้ผ่านการเสวนา ซึ่ง Graffiti ในงานโฆษณาเป็นอีกช่องทางที่ได้รับการยอมรับ นักเขียน Graffiti ได้รับอิทธิพลการทำงานมากขึ้น ทั้งรูปแบบ สีสัน โดยให้มีความเหมาะสมกับองค์กรนั้นๆ กับศัพท์ที่บอกถึงความมั่นใจ และไม่น่ากลัว และความดิบ ในวันนี้เราสามารถมองเห็นได้จากตัวถังของรถบัส เครื่องบินโดยสาร และอื่นๆ

ถ้าศัทพ์เหล่านี้ถูกเขียนโดยไม่ได้รับการอนุญาต มันก็จะเป็นเรื่องราวของการทำลายทรัพย์สิน การละเมิดกฎหมาย เป็นความสกปรก รกรุงรัง และไร้ระเบียบ แต่ถ้าบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างฟิล่า ใช้คำพวกนี้ในงานโฆษณาของเขาในท่าทีของ Graffiti มันก็จะถูกเรียกว่า"ธุรกิจ"ไปในทันที

"ถ้าคุณไม่มีเงิน คุณก็ไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงออกถึงตัวคุณ หรือไม่ก็ไม่สามารถแสดงออกถึงคำศัพท์ต่าง ๆ ที่คุณคิดให้กับคนทั่วไปได้รับรู้"

นักเขียนบางคนได้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจโฆษณา เกาะเกี่ยวไปยังพื้นที่ ๆ ได้ถูกจัดสรรค์ไว้ให้ "ศิลปะดิบ ๆ ของพวกผู้ก่อการร้าย" เป็นคำนิยามใหม่ที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง "ความถูกต้องตามกฎหมายในโลกของโฆษณา" และ "เรื่องที่ผิดกฎหมายในโลกของ Graffiti"

อินเตอร์เน็ต (The Internet)
อินเตอร์เน็ตกลายเป็นพลังสำคัญสำหรับ Graffiti มันทำให้มีพื้นที่สำหรับกลุ่มนักเขียนใหม่ ๆ อีกมากมายในยุค 90 ที่จะใช้สำหรับติดต่อสื่อสารกัน แลกเปลี่ยนที่อยู่กันเพื่อที่จะทำการซื้อขายและทำการส่งภาพไปทาง e-mail นอกจากนี้ยังมี chat room ของเวปไซต์ชื่อดังอย่าง American On Line ที่มีพื้นที่สำหรับการ chat เรื่อง Graffiti เต็มไปหมด ซึ่งนั่นก็ทำให้นักเขียนจากประเทศต่าง ๆ ได้แลกเปลี่ยนมุมมองและทัศนคติต่อกันและกัน

ในตอนนี้เมาท์ที่อยู่ข้างแป้นคีย์บอร์ดก็ได้กลายเป็นอุปกรณ์ชิ้นใหม่ที่เข้ามาแทนที่สีสเปรย์กระป๋องไปแล้ว นักเขียนส่วนใหญ่ได้ทำการผสมผสานความรู้สึกของพวกเขาผ่านทางอินเตอร์เน็ต ชื่อของ Graffiti ในโลกของอินเตอร์เน็ตจะเป็นที่รู้จักกันในชื่อของ "Art Crimes" นี่คือจุดจบของ Graffiti อย่างแท้จริงหรือ ? สำหรับคำถามนี้ บ้างก็ยอมรับ, บ้างก็ปฏิเสธ

ปรากฎการณ์ที่ใช้แยกแยะการเปลี่ยนแปลงของชนกลุ่มน้อยที่เป็นจุดเริ่มต้น และในทางเดียวกัน Graffiti ก็ได้แตกเป็นกลุ่มๆในตอนที่มันได้เปลี่ยนที่สร้างงานจากสถานีรถไฟมาเป็นการแสดงงานใน"แกลลอรี" Graffiti ได้ย้ายจากแหล่งพวกคนผิวดำอยู่โดยการแพร่กระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ปัญหาสำคัญของการกระจายตัวนี้ก็คือ Graffiti ได้มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของมัน จากเดิมที่เป็นการแสดงออกของตัวตนของผู้ไร้ตัวตน การถูกกดขี่ ความไม่เสมอภาค การขาดเสียซึ่งเสรีภาพไปเป็นแฟชั่น

Graffiti เป็นศิลปะที่ไม่สามารถจะคาดเดาได้ การที่การขีดเขียนดังกล่าวในสายตาของผู้คนทั่วไปถือว่าเป็นความป่าเถื่อนของสังคมเมืองนั้น นักเขียนเห็นว่า มันคือช่องทางในการประกาศถึงตัวตน ในเวลาเดียวกันก็สะท้อนถึงความยากจน ความไม่ยุติธรรม ชนกลุ่มน้อยที่ถูกกดขี่ ภาวะที่ถูกกีดกันในสิทธิของตน แต่บัดนี้มันได้เปลี่ยนแปลงไปและมีการพัฒนาขึ้น ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับบริบทของสังคม วัฒนธรรม การเมือง และเทคโนโลยี

บทสรุป 5
สำหรับผู้คนทั้งหลาย Graffiti ถูกมองว่าไม่ใช่เนื้อหาที่หนักเกินไปที่จะทำการศึกษา แต่ส่วนใหญ่มักจะบอกว่ามันมีเนื้อหาที่ไม่เพียงพอต่อการนำมาวิเคราะห์ นั่นไม่ถูกต้องเสมอไป ถ้าการเปิดรับของคนได้เปลี่ยนไปและพวกเขาเข้าใจว่ามันคือนัยะสำคัญของการสะท้อนถ่ายปัญหาที่พอกพูนขึ้นในสังคมเมือง และมีอิทธิพลทางด้านบวกและด้านลบต่อวัฒนธรรมของสังคมในทุกวันนี้ มันก็จะทำให้ Graffiti หลุดพ้นจากคำกล่าวหาว่าเป็นความป่าเถื่อนภายในจิตใจของพวกผิวดำที่ได้ถูกตีตราง่ายๆไปได้

พัฒนาการต่อมาของ Graffiti มันถูกรวบรวมเข้าไปในรูปแบบของศิลปะร่วมสมัย จากรถไฟใต้ดินที่แล่นไปในทุกๆที่ จนกระทั่งไปลงเอยในแกลลอรีและธุรกิจโฆษณา มันกลายเป็นสิ่งที่มีทั้งคนรักและคนเกลียด ซึ่งก็เป็นความจริงเช่นเดียวกันกับเรื่องอื่นๆสำหรับการพัฒนาของ Graffiti

Graffiti มีวิธีต่าง ๆ มากมายที่จะเป็นการให้คำจำกัดความกับตัวเอง มันกำลังจะกลายเป็นสินค้าที่ผลิตออกมาเป็นจำนวนมากและใช้ในงานโฆษณา ในขณะเดียวกัน มันก็ยังคงเป็นตัวแทนของปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมอยู่เสมอ เมื่อคุณเดินไปรอบๆพื้นที่ซึ่งไม่ค่อยจะมีนักท่องเที่ยว พื้นที่ ๆ เป็นที่อาศัยสำหรับคนในชุมชน คุณก็จะค้นพบความดิบเถื่อนเหล่านั้น การวางเพลิงอาคารและรถ มีให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดาโดยทั่วไป Graffiti เป็นการแปลความจากบางสิ่งที่ไม่ได้รับการยอมรับในป่าคอนกรีต ผ่านทางงานจิตรกรรม อนุสาวรีย์ และข้อความที่ขีดเขียนขึ้นเป็นงานศิลปะ

เหมือนตอนที่ได้เริ่มต้นไว้ ผู้อ่านจะได้พบกับ Graffiti ในรูปแบบของศิลปะที่เป็นการแสดงออกถึงความป่าเถื่อนเกินจะรับได้ คนส่วนใหญ่จะเห็นว่า Graffiti เป็นเหมือนการแสดงออกของสังคมเมืองโดยผ่านวิธีการเก็บกดจากสังคม แต่ในความเป็นจริงกลับทำให้เราคิดว่า มันเป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มหนุ่มสาวในสังคมเมืองที่จะแผ่ขยายไปทั่วโลก มันเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดที่ได้เกิดขึ้นบนกำแพงในมหานครใหญ่อย่างนิวยอร์ก และก็มีการเจริญเติบโตตลอดเวลา 25 ปีที่ผ่านมา

Graffiti เป็นและยังคงเป็นเป็นสิ่งที่ได้รับอิทธิพลจากการผสมผสานระหว่าง "วัฒนธรรมการซื้อขายที่ได้รับความนิยม" กับ "คำศัพท์ทางด้านเศรษฐกิจและสังคมจากภายในของชีวิตเมือง" ในตอนนี้นักเขียนถูกมองว่าเป็นผลพวงที่เป็นอันตรายต่อสังคม และมันก็ถูกทำให้มั่นใจเช่นนั้นในสำนึกของผู้คนส่วนใหญ่โดยปริยาย และปราศจากการตั้งคำถาม

ถึงแม้ว่า Graffiti จะถูกมองว่าเป็นการแสดงออกที่สร้างความเกลียดชังให้กับผู้คน แต่มันก็คือสิ่งที่มารองรับความต้องการของเด็ก ๆ ที่โดนกักขังอยู่กับแรงบีบคั้นของสังคม มันเป็นการเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่ไม่ใช่สิ่งแวดล้อมที่สวยงาม สะอาดตา มันเป็นความโหดร้ายและรุนแรงซึ่งต้องการต่อต้านระบบการเมืองที่ย่ำแย่ ความอยุติธรรม และการกระจายความต้องการทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม

นักเขียนส่วนใหญ่ได้ตำหนิรัฐบาล ระบบการปกครอง ซึ่งทั้งหมดได้ปรากฏผ่านทางผลงานชิ้นเยี่ยมของพวกเขา ในวันนี้ Graffiti ถูกมองเห็นเป็นเหมือนภาพของเมืองที่มาจาก ที่ ๆ มีเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างคอมพิวเตอร์ที่ส่องประกายวูบวาบ เพจเจอร์และมือถือเป็นเครื่องมือที่แสดงออกถึงการต่อต้านภาพพจน์อันฟอนเฟะของเมืองใหญ่ เงินคือจุดหมายปลายทางของทุกสิ่ง ที่ ๆ คนในเมืองมีทั้งรักและทั้งเกลียด ที่ ๆ เรารู้สึกโดดเดี่ยวได้ถึงแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางกระแสของฝูงชน Graffiti เป็นเหมือนสิ่งที่เหลวไหล แต่ก็ให้ความรู้สึกและสะท้อนสภาพที่เป็นจริงได้

ในความคิดเห็นของผู้ที่เห็นด้วยคิดว่า Graffiti เป็นแรงผลักของชีวิตเมืองที่สวยงาม มันเป็นตัวแทนของการก่อเหตุจลาจลได้ดีเท่าที่มันจะเป็นได้ Graffiti เป็นเพียงอีกรูปแบบหนึ่งของการแสดงออกที่สร้างสรรค์โดยพลังเก็บกดและจินตนาการของมนุษย์ ซึ่งแรงจูงใจทั้งมวล มันมาจากพื้นฐานของสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในมหานครนิวยอร์ก

เมื่อปลายศตวรรษที่แล้ว เราได้พบเห็นงาน Graffiti ในเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น นิวยอร์ก ลอนดอน ซานฟรานซิสโก อัมสเตอร์ดัม ปารีส และในประเทศโลกที่สาม Graffiti ได้เดินทางไปในทุกๆที่ และในทุกๆกิจกรรม ตั้งแต่การประท้วงองค์กรทุนนิยมโลกของภาคประชาชน ไปจนกระทั่งถึงธุรกิจโฆษณาและในสถานบันเทิงของโลกทุนนิยม ปัจจุบัน Graffiti ยังคงมีลมหายใจของมันอยู่ และยังคงเดินไปตามเส้นทางร่วมกับผู้คนในสังคมเกือบทุกกลุ่ม ไกลเท่าที่เราจะมองเห็นได้

มีคนกล่าวว่า "Graffiti เป็นผลผลิตของความบาปจากเหล่าซาตาน(ความยากจน) แต่พระผู้เป็นเจ้า(ทุนนิยม)กำลังนำมันไปใช้ และเปลี่ยนมันให้เป็นบุญ"

 

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา I webboard

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

 

สำหรับสมาชิกที่ต้องการ download ข้อมูล อาจใช้วิธีการง่ายๆดังต่อไปนี้

1. ให้ทำ hyper text ข้อมูลทั้งหมด
2. copy ข้อมูลด้วยคำสั่ง Ctrl + C
3. เปิด word ขึ้นมา (microsoft-word หรือ word pad)
4. Paste โดยใช้คำสั่ง Ctrl + V
จะได้ข้อมูลมา ซึ่งย่อหน้าเหมือนกับต้นฉบับทุกประการ
(กรณีตัวหนังสือสีจาง ให้เปลี่ยนสีเป็นสีเข้มในโปรแกรม word)