

|
การเลือกตั้งเป็นกระบวนการหนึ่ง
ในระบอบประชาธิปไตย แต่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยังได้เปิดโอกาสให้ประชาชน ตรวจสอบ ถอดถอน และเสนอกฎหมายได้ นอกจากนี้ยังให้สิทธิประชาชน ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถจัดให้มีการชุมนุม เรียกร้องได้ อย่างไรก็ตาม แม้แต่การเลือกตั้งเอง ประชาชนมีทางเลือกมากแค่ไหน กับพรรคการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะฐานคิดของนักการเมือง เกือบทุกพรรคได้รับการครอบงำโดยความคิด เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม พัฒนา เรายังไม่มีพรรคการเมืองที่มาจากฐานคิดอื่นๆ หรือกลุ่มบุคคลที่หลายหลายพอ ถ้าเช่นนั้น เราควรทำอย่างไร ? ...พบกับคำตอบเหล่านี้ได้ใน ทีทรรศน์ท้องถิ่น ตอน เลือกตั้ง กับ การเมืองภาคประชาชน |
|
ประมวล เพ็งจันทร์ : อ.นัทมนครับ, ในฐานะเป็นสุภาพสตรีท่านเดียวที่นั่งอยู่กับเราในที่นี้, อาจารย์มองพรรคการเมืองไทยซึ่งเป็นอยู่ในตอนนี้ อาจารย์คิดว่ามันมีความต่างอะไรกันไหมครับ ? นโยบายของพรรคการเมืองที่มีอยู่ตอนนี้เกี่ยวกับปัญหาด้านสิทธิสตรี หรือปัญหาที่โยงใยไปสู่ความเป็นผู้หญิงในสังคมไทย นัทมน คงเจริญ : คือถ้าต่อประเด็นจาก อ.สมเกียรติ, อย่างเช่น ความแตกต่างของนโยบายที่แต่ละพรรคเสนอ มันไม่ได้ต่างกันเลย. บางครั้งนโยบายใหม่ๆที่พรรคการเมืองเสนอขึ้นมา อาจจะฟังดูหวือหวา แล้วก็ดูจูงใจคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะคนเล็กคนน้อยที่ไม่ค่อยมีใครฟังเสียงมาโดยตลอด, แต่ว่าในประเด็นนี้ ในส่วนของการพูด สามารถเอามาเชื่อมโยงได้ว่า นโยบายที่วางเอาไว้ คุณทำจริงได้หรือเปล่า ? มันสามารถแปลนโยบายออกมาในเชิงปฏิบัติได้จริงไหม ? อยากจะยกตัวอย่างว่า ในกลุ่มต่างๆ มันก็จะมีหลากหลาย อย่างเช่นกลุ่มเกษตรกร กลุ่มผู้ใช้แรงงาน และอยากจะยกตัวอย่างในกลุ่มของผู้หญิงว่า กลุ่มของผู้หญิงก็เป็นกลุ่มหนึ่งที่มีบทบาทในทางการเมือ งอย่างไม่เป็นทางการมานานแล้ว ในการเมืองภาคประชาชน. แต่ว่า พอเอาเข้าจริงๆในปัจจุบัน ผู้หญิงเริ่มผลักดันตัวแทนของตนเองให้เข้ามามีส่วนร่วม โดยการเข้ามามีบทบาทการเมืองในระบบมากขึ้น. จากเดิมมานี่ ผู้หญิงซึ่งเข้ามามีบทบาททางการเมืองมักจะเป็นตัวแทนจากชนชั้น หรือเครือญาติมากกว่าที่จะเป็นตัวแทนบทบาทหญิงชาย. ถ้าเราสังเกตุดูการผลักดันรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา เช่นการรณงค์เรื่องธงเขียวนะคะ จะพบว่าบทบาทของผู้หญิงได้เข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมืองในระบบมากขึ้น จนในปัจจุบันเริ่มมีการส่งตัวแทนของผู้หญิงเข้ามา เพราะฉะนั้นในส่วนนี้ ถ้าจะถามว่าเราจะเลือกพรรคไหน ? ที่จะเสนอนโยบายที่แตกต่างกัน เราคงจะต้องดูว่า จุดยืนของผู้ลงสมัครเป็นอย่างไร ซึ่งสะท้อนตัวพรรคการเมืองของเขาเอง. แล้วเข้ามาในประเด็นของผู้หญิงว่า ไม่เพียงแต่คุณเป็นผู้หญิงหรือเป็นตัวแทนจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่คงจะต้องดูที่ประเด็นข้อเท็จจริงที่คุณนำเสนอว่า มันสามารถผลักดันให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาได้มากน้อยแค่ไหน ? ประมวล เพ็งจันทร์ : แล้วถ้าอาจารย์จะไปเลือกตั้งทั่วไป อาจารย์คิดว่า อาจารย์จะเลือกพรรคนี้เพราะพรรคนี้มีนโยบายเกี่ยวกับสตรีเด่นชัด หรืออาจารย์เลือกโดยนโยบายซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องสตรี นัทมน คงเจริญ : คิดว่าคงจะดูที่นโยบายโดยรวมมากกว่า |

บทบาทของผู้หญิงกับการเมือง
นโยบายของพรรคการเมือง เกี่ยวกับเรื่องของผู้หญิง
ในทุกวันนี้ พรรคการเมืองทั่วโลก
มีนโยบายเกี่ยวกับเรื่อง
ผู้หญิงอย่างไรบ้าง ?
|
นิธิ เอียวศรีวงศ์ : ผมคิดว่าไม่ใช่เพียง อ.นัทมน เท่านั้นที่จะมองเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิง อันนี้น่าที่จะ... กลุ่มผู้หญิงก็ตาม กลุ่มแม่บ้านในหมู่บ้านก็ตามแต่ น่าจะรวมตัวกัน แล้วก็จัดการหรือจัดองค์กรขึ้นมา เพื่อที่จะใช้เป็นเครื่องมือต่อรองเชิงนโยบายเกี่ยวกับผู้หญิงได้ด้วย. กาหัวพวก สส.ทั้งหลายที่ต่อต้านตัว พรบ.นามสกุล, ถ้าคุณเห็นด้วยกับเขา คุณเลือกเขาไปเลย, แต่ถ้าคุณคิดว่านั่นเป็นการดูถูกผู้หญิง ก็อย่าไปเลือกมัน. ผมคิดว่านี่เป็นประเด็นสำคัญครับว่า ถ้าเรา... การเมืองภาคประชาชนจะมีพลังได้ เราจะต้องมีการจัดองค์กร เพื่อที่จะมีความสามารถที่จะมีพลังในการต่อรองในการเลือกตั้งได้ด้วย. ไม่ควรจะเป็นเพียงแต่ว่า ไปเลือกตั้งให้ถูกต้องตามกฎหมาย อันนั้นก็จำเป็น แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือว่า, คุณรวมกลุ่มกัน แล้วพยายามที่จะจัดองค์กรขึ้นมาให้สามารถที่จะต่อรองเชิงนโยบายกับคนที่มาสมัครเป็น สส. |
ประมวล เพ็งจันทร์ : ผมฟัง อ.นิธิ ทำให้นึกถึง อ.สมชายว่า เป็นไปได้ไหมครับที่ พรบ.ป่าชุมชนที่ร่างโดยประชาชน ยกขึ้นมาเสนอเสียเลยนะครับว่า มีพรรคการเมืองไหนที่จะรับร่างฉบับนี้ โดยไม่มีการเล่นแร่แปรธาตุ แล้วเราจะเลือก
สมชาย ปรีชาศิลปกุล : ผมเห็นด้วยนะครับ ไม่รู้ว่าเห็นด้วยกับใคร คือสิ่งที่เรากำลังพูดกันอยู่ก็คือว่า เรากำลังสะท้อนการเลือกตั้งที่ทำให้คนไปลงคะแนนกลายเป็นปัจเจกที่เป็นคนๆ. มันเป็นการเลือกตั้งที่ไม่สามารถสะท้อนความต้องการของคนออกไปได้.
การที่ทำให้แต่ละคนกลายเป็นคน แล้วไปหย่อนบัตรผมคิดว่า มันจะมีการโฆษณาตามโทรทัศน์ต่างๆที่บอกกับเราว่า "เสียงของท่านกำหนดอนาคตของประเทศชาติได้" ซึ่งส่วนตัวผมแล้ว ผมคิดว่าเสียงของผมไม่เคยกำหนดประเทศชาติเลย. คนที่ผมเลือกนี่ ถ้าจะเป็น สส. ก็จะมาอันดับท้ายๆ อันนี้ถ้าบังเอิญโชคดี หรือไม่งั้นก็ไม่ได้เลย. แล้วบ่อยครั้งเสียงของผมจะตกไป. เพราะฉะนั้นจะบอกว่าเสียงของผมกำหนดอนาคตของประเทศชาติไหม ? ผมว่ามันกำหนดไม่ได้หรอก เสียงของคนที่ถูกทำให้เป็นคนๆเดียวแล้วไปหย่อนบัตรเลือกตั้ง ผมจึงเห็นควรให้มีการรวมกลุ่ม ในแง่ของการเสนอนโยบาย.
แต่ตอนนี้นี่ สิ่งที่ผมค้นพบที่เป็นปัญหาตามมาก็คือ หลายครั้งในเกือบทศวรรษที่ผ่านมา มีความพยายามที่จะเสนอนโยบายจากภาคประชาชนขึ้นไป เช่น กลุ่มของผู้ใช้แรงงานเสนอว่า ถ้าพรรคการเมืองใดเห็นด้วยกับนโยบายการส่งเสริมแรงงาน เราจะเทคะแนนให้. ผมเคยเห็นเรื่องการรณรงค์ทางด้านนี้มา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นปัญหาตามมาก็คือว่า สมมุติว่าพรรคการเมืองเขารับ แล้วไปเบี้ยวทีหลัง. สิ่งที่เห็นก็คือ พรรคการเมืองนั้นอาจได้รับการเลือกตั้งเข้าไป
เพราะผมคิดว่าปัญหาในสังคมมันมีความสำคัญที่ซ้อนกันอยู่หลายเรื่อง เช่นกลุ่มผู้หญิง เห็นว่าพรรคนี้ไม่สนับสนุน พรบ. นามสกุล, แต่พอไปเลือกตั้ง เขาอาจจะไปเลือกตั้งด้วยเหตุผลอื่น ซึ่งผมเห็นว่าการพยายามรณรงค์ให้นโยบายจากภาคประชาชนขึ้นไป ที่เคยเกิดขึ้น มันยังไม่เห็นถึงการกำกับที่ตามมาภายหลัง ที่ว่าถ้าเผื่อพรรคการเมืองรับไปแล้วเบี้ยว จะทำอย่างไร ?
ผมคิดว่านโยบายที่ชัดเจน อย่างการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ บางพรรคการเมืองเสนอมาเป็นเอกสาร อันนี้เป็นเอกสารด้วยซ้ำนะครับ ชัดเจนว่า พรรคนี้มีการสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ แต่พอหลังจากการเลือกตั้งผ่านไป พรรคการเมืองนั้นก็ไปปรับใหม่ ถ้ามันจะสะท้อนอะไรได้ ในส่วนตัวคิดว่า พรรคการเมืองไทยในสังคมปัจจุบัน มาตรฐานมันต่ำขนาดไหน ? แต่ผมคิดว่า สิ่งที่ผมสะท้อนอีกอย่างหนึ่งก็คือ มันสะท้อนให้เห็นได้หรือเปล่าว่า ในสังคมของเรา ในแง่ของการเมืองภาคประชาชน เอาเข้าจริง,มันก็ยังไม่ถึงระดับเข้าไปควบคุมการเมืองภาคที่เป็นทางการได้
|
นิธิ เอียวศรีวงศ์ : คือผมว่าใช่นะครับ หมายความว่าการเมืองภาคประชาชนนี่ ในด้านการจัดองค์กรทางการเมืองเพื่อการต่อรองในทางการเมืองนี่อ่อนแอ แต่ภาคอื่นๆผมเห็นว่าไม่อ่อนแอ. แต่ที่นี้ ผมไม่อยากให้พวกเราสิ้นหวังกันจนเกินไป เพราะว่ามันมีอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นมาในสังคมไทย อย่างน้อย 2 อย่างคือ อย่างที่หนึ่งคือ, อบต. และองค์กรปกครองท้องถิ่นกำลังได้งบประมาณเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เขาเป็นผู้ตอบสนองการสร้างถนน การหาน้ำปะปา และอื่นๆที่ประชาชนต้องการ. และครั้งหนึ่งเคยได้โดยการไปสร้างสายสัมพันธ์พิเศษในเชิงอุปถัมภ์กับ สส. คราวนี้คุณหันมาที่ อบต.ของคุณแล้ว. และประชาชนก็มองเห็นแล้วว่า สส.จะต้องมาทำอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่แค่การสร้างถนน หรือต่อน้ำปะปาอย่างเก่า อันที่สองต่อมาก็คือ, รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนได้กำหนดให้เขตเลือกตั้งเล็กลง ซึ่งทำให้การจัดองค์กรและการสร้างเครือข่ายองค์กรในเขตเลือกตั้งที่เล็กลงนั้น มีหวังว่าจะเป็นไปได้. แต่ผมไม่ได้บอกว่าจะต้องเกิดขึ้นนะครับ แต่ว่ามันง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะในการที่คุณจะคุม สส.ของคุณ และผมคิดว่าโอกาสที่เราจะคุม สส.ของเรา คุมนักการเมืองท้องถิ่นของเรา ผู้สมัครรับเลือกตั้งของเรา มันเกิดขึ้นแล้วในตอนนี้. และน่าจะคิดกันให้หนักในเรื่องการจัดองค์กรที่จะต่อรองในทางการเมืองในระบบนี่ให้มากขึ้น |
ประมวล เพ็งจันทร์ : เท่าที่ฟัง อ.นิธิ และ อ.สมชายนี่ เป็นไปได้ไหมครับที่ต่อแต่นี้ เราไม่ให้นักการเมืองมาหาเสียง, แต่ อบต.หรือชุมชนอะไรก็แล้วแต่ กำหนดมาเลยนะครับว่าเขาต้องการอย่างนี้ ในกรณีนี้ มีนักการเมืองคนไหนที่จะไปผลักดันให้เรื่องนี้เป็นจริงในเชิงปฏิบัติในระบบรัฐสภา หรือระบบราชการก็แล้วแต่ ถ้าคนไหนสามารถทำได้ เราจะเลือกคนนั้น คือไม่ใช่ให้เขามากำหนดว่า เขาจะเอาอย่างไร ? แต่ชุมชนเป็นผู้กำหนดเองว่าเราจะเอาอย่างนี้
ไพสิฐ พาณิชย์กุล : คือถ้ามองจากฐานการเมืองภาคประชาชนไป การที่ประชาชนรุกขึ้นมาอย่างนี้ คิดว่าเป็นการจุดประกายของประชาชนขึ้นมา แม้ว่าจะยังไม่สามารถติดต่อพรรคการเมืองได้ก็ตาม แต่ถ้าคนมานั่งรวมกลุ่มพูดคุยปัญหาของตัวเองว่าคืออะไร ? แค่นี้ก็ถือว่า การเมืองภาคประชาชนได้เกิดขึ้นมาแล้ว
แต่ถ้าหากมองการเมืองภาคประชาชนไปเชื่อมต่อกับเรื่องของการเลือกตั้ง ตัวของพรรคการเมืองเองในปัจจุบัน พยายามที่จะใช้นโยบาย ทำตัวเหมือนกับขายสินค้าล่วงหน้าว่า ถ้าเผื่อได้รับเลือกตั้งเข้าไปแล้ว จะเข้าไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ อันนี้ก็เกิดปัญหาอย่างที่ อ.สมชายพูด ที่ว่าไม่มีขบวนการหรือเครือข่ายที่จะไปกำกับให้มันเกิดขึ้นมา
ผมคิดว่าในส่วนที่การเมืองภาคประชาชนต้องทำ นอกจากจะทำอย่างที่อาจารย์พูดแล้ว แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นคือว่า จะไม่มีพรรคการเมืองมา. เพราะพรรคการเมืองเขาไม่ได้คิดถึงสิ่งที่ชาวบ้านต้องการอะไร ? แต่เขาคิดว่า เขาไปที่ไหน เขาจะได้... เพื่อให้ตัวเองเข้าไปนั่งในตำแหน่งนั้น แล้วก็ไปหาทางออกที่จะไม่ทำตามนโยบาย.
ผมจึงอยากจะเสนอในที่นี้ว่า ความต้องการของประชาชน อย่างเช่น พรบ.ป่าชุมชน นอกจากพรรคการเมืองจะหยิบขึ้นไปหาเสียง แล้วไปดำเนินการต่างๆก็ดี ผมคิดว่าจะต้องรุกคืบไปอีกขั้นก็คือว่า จะต้องเอาเครือข่ายหรือขบวนการของตัวเอง เข้าไปสู่ขบวนการทางการเมืองอย่างเป็นทางการด้วย.
อันนี้สำคัญในแง่ที่ว่า การที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในขบวนการการเขียนกฎหมายระดับชาติ นอกจากตัวเองได้ประโยชน์แล้ว ตรงนี้คือประโยชน์ที่ตัวเองจะได้จากการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอย่างมีส่วนร่วม โดยไม่ต้องไปผ่านกลไก หรือคนปิดเปิดประตูทำนบพรรคการเมือง ซึ่งแทบจะไม่มีประโยชน์เลย... และยิ่งเจอพรรคการเมืองแบบโบราณๆ ก็ยิ่งทำให้โอกาสในการถูกคอรัปชั่นก็ดี ถูกบิดเบือนไปก็ดี ยิ่งทำให้เกิดปัญหาขึ้นไปอีก.
เพราะการเมืองภาคประชาชน คือการเมืองซึ่งประชาชนได้เข้าไปมีส่วนในการกำหนดอนาคต ชะตาชีวิตของตัวเองได้โดยตรงมากกว่า. และในอนาคตต่อไป สังคมมันซับซ้อนมากขึ้น นโยบายรวมๆบางทีมันทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาเหมือนกันว่า พื้นที่ตรงนี้ไม่จำเป็นต้องไปสนใจกับนโยบาย เพราะเรื่องตัวเองเผชิญอยู่มันเป็นเรื่องเฉพาะอีกด้านหนึ่ง เพราะฉะนั้นการแตกประเด็น... การพูดถึงนโยบายจึงต้องมาลงรายละเอียดเหมือนกันว่า เรื่องไหนประเด็นไหนซึ่งเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตชุมชนของตนเอง แล้วเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ไปเชื่อมโยงกับพื้นที่อื่น แล้วจัดเป็นกลุ่มนโยบายขึ้นมา. แต่พวกนักการเมืองที่ใช้นโยบายทางด้านการเงินเป็นอย่างนั้น นโยบายการพัฒนาเป็นอย่างนี้กว้างๆ ผมคิดว่านโยบายอย่างนี้เป็นนโยบายหลอก
ประมวล เพ็งจันทร์ : ผมคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเมื่อไม่นานมานี้ กรณีจะมีการแก้ไข พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. และ สว. โดยที่จะให้มีการปรับหรือเรียกเงินจากผู้ซึ่งเป็น สส.ในเขตเลือกตั้งแล้วจะไปเป็นรัฐมนตรี. ฟังเสียงของพรรคการเมืองทุกพรรคแล้ว ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย โดยยกเอาเหตุผลขึ้นมาสารพัด. แต่พอถึงวันที่จะลงมติแล้วมีเสียงบีบจากประชาชนว่า ทุกคนต้องการให้ สส. จ่ายเงิน ก็ปรากฏว่าได้มีการยอมผ่านกฎหมายฉบับนี้ไปได้ ทั้งที่ความจริงดูแล้วก็ฝืนใจพรรคการเมืองทุกพรรคเลย นั่นแสดงว่า แรงบีบคั้นจากความรู้สึกของประชาชน ถ้ามีกระแสที่เชี่ยวกรากพอ ก็สามารถบังคับได้. กรณีนี้ อาจารย์คิดว่ามันจะเกิดขึ้นมาได้ไหมครับ ในกรณีเกี่ยวกับ พรบ.ฉบับต่างๆ เช่น พรบ.ป่าชุมชนอะไรอย่างนี้ ?
สมชาย ปรีชาศิลปกุล : คิดว่าในสังคมไทยตอนนี้ สิ่งที่มันเป็นประเด็นซึ่งผลักให้เป็นญัตติสาธารณะนี่ ผมเห็นด้วย เช่น เราไม่ค่อยพอใจกับ สส. ซึ่งถ้าได้รับเลือกตั้งมาจากการแบ่งเขตเลือกตั้งแล้วลาออกไปเป็นรัฐมนตรี คนรู้สึกรับไม่ได้. แต่พอหลายๆเรื่อง มันเป็นเรื่องซึ่งผมคิดว่ามันไม่สามารถตัดสินได้ในฉับพลัน ซึ่งมันจะทำให้ประเด็นบางประเด็นที่ละเอียดลงมาหน่อย ผมคิดว่ามันจะไม่สามารถสร้างญัตติสาธารณะให้เกิดขึ้นมาได้ ซึ่งอันนี้เป็นปัญหา
ผมขอยกตัวอย่าง กรณีเรื่องปัญหาเขื่อนปากมูล หรือปัญหาเกี่ยวกับเรื่ององค์กรจัดสรรคลื่นความถี่. ทั้งหมดนี้ คิดว่ามันเป็นเรื่องที่จะไม่สามารถทำให้สังคมรับรู้หรือเห็นประโยชน์โดยตรงได้ เนื่องจากมันมีความละเอียดและซับซ้อน... ไม่เหมือนกับเผด็จการประชาธิปไตยที่เราสามารถเลือกได้. ผมคิดว่าสิ่งนี้จะเป็นปัญหา ถ้าเผื่อเราพยายามจะสร้างนโยบายพื้นฐานจากลุ่มต่างๆ ในปัญหาที่มันเป็นนโยบายย่อยๆที่ไม่ได้ผนวกคนทั้งประเทศเข้าด้วยกัน หรือสังคมมีความรู้สึกร่วมกัน. อันนี้คิดว่าเป็นปัญหาที่ทำให้คนบางกลุ่มอาจจะ... เมื่อไม่สามารถผลักให้เป็นญัตติสาธารณะได้ ผมคิดว่าจะถูกกระทำ...
|
นิธิ เอียวศรีวงศ์ : ผมเห็นด้วยกับ อ.สมชายว่า เวลานี้ญัตติสาธารณะมันสามารถเกิดขึ้นได้จากประชาชน. สมัยก่อนจะมีแต่ข้าราชการ นักการเมือง นักธุรกิจ ทหาร เป็นผู้สร้างญัตติสาธารณะ แต่พอตอนนี้ประชาชนสร้างได้. คราวนี้ ประชาชนกลุ่มไหนล่ะที่เป็นผู้สร้างญัตติสาธารณะขึ้นมา อันนี้คือปัญหาข้อที่หนึ่ง... ผมคิดว่า 90% เป็นคนชั้นกลาง, คนชั้นกลางสามารถสร้างญัตติสาธารณะได้ แต่ไม่ใช่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่ใช่คนจนๆ ไม่ใช่คนในชนบทที่เป็นผู้สร้างญัตติสาธารณะ อันนี้คือปัญหาข้อที่หนึ่ง. ข้อที่สองต่อมา, คือเอาละ ยอมให้คนชั้นกลางเป็นคนสร้าง คนชั้นกลางมีความรักความเป็นธรรมอะไรก็แล้วแต่เถอะ แต่ถามว่าชนชั้นกลางไทยมีความรู้ไหม ? ผมว่าไม่มี แล้วก็ไม่สนใจที่จะหาความรู้ด้วย เพราะฉะนั้นญัตติสาธารณะที่คุณสร้างมาจำนวนไม่น้อย มันควรจะเป็นญัตติก็ไม่เป็น เพราะว่าคุณสตึไง. พูดกันตรงไปตรงมาเลย... เช่น คุณมีความรู้เรื่องปากมูลแค่ไหน ? ไม่มีเลย ฉะนั้น ปากมูลที่ชาวบ้านเดินขบวนมาเป็นสิบๆปี จึงไม่เป็นญัตติสาธารณะ เพราะคนชั้นกลางไม่รู้เรื่องเลย นี่เป็นกรณีที่ผมว่าน่าวิตก. คือเรามีคนชั้นกลางซึ่งมีอำนาจมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเราก็พบว่าชนชั้นกลางของเรา ไม่ได้มีคุณภาพเพิ่มขึ้น |

ชนชั้นกลางสามารถสร้าง
ญัตติสาธารณะได้ ไม่ใช่ประชาชนส่วนใหญ่
ของประเทศที่สามารถทำได้
แต่ถามว่าชนชั้นกลางไทย
มีความรู้ไหม ?
ผมว่าไม่มี แล้วก็ไม่สนใจที่จะ
หาความรู้ด้วย
ชนชั้นกลางสตึ
สมชาย ปรีชาศิลปกุล : ผมขอเสริมต่อจากอาจารย์เพื่อให้มันเลวร้ายขึ้น คือชนชั้นกลางนอกจากไม่รู้เรื่องคนจนแล้ว ผมคิดว่าในเรื่องใกล้ตัวเขาๆก็ไม่รู้ เช่นเรื่องเศรษฐกิจ แนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งค้นพบว่า... และหลายๆแห่งก็ยอมรับว่า รัฐบาลปัจจุบันทำผิดพลาด แต่ผมคิดว่าชนชั้นกลางไทยในปัจจุบันยังแฮปปี้ ยังรับได้กับแนวทางการแก้ปัญหาแบบนี้.
หรือแม้กระทั่งในหลายๆเรื่องซึ่งผมคิดว่าชนชั้นกลางน่าจะผลักดันออกมาเป็นญัตติสาธารณะที่จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเอง เช่น ตัวอย่างของการปฏิรูปที่ดิน ไม่เคยถูกพูดถึง ไม่เคยถูกผลักออกมา ผมคิดว่า ชนชั้นกลางเรา ชนชั้นกลางในสังคมไทยเป็นจำนวนมาก ถูกกดขี่จากราคาที่ดินซึ่งมันถูกปรับโดยนายทุนระดับชาติ... ผมคิดว่าคนเป็นจำนวนมากที่ไปผ่อน town house ไปผ่อนที่ดินเนื้อที่ 20-30 ตารางวา ราคาที่ดินผมคิดว่าส่วนหนึ่งมันเป็นกำไรที่ไปเข้ากับใครต่อใครไม่รู้... ชนชั้นกลางไทย. นอกจากไม่รู้จักเรื่องของคนจนแล้ว เรื่องของตัวเองยังไม่ค่อยรู้ซะด้วย ว่ากำลังถูกกดขี่อยู่.
นัทมน คงเจริญ : อยากจะย้อนมาถึงเรื่องที่พูดเกี่ยวกับประเด็นการที่พรรคการเมืองรับกฎหมายเลือกตั้ง. อันนี้คิดว่ามันเป็นข้อได้เปรียบและเสียเปรียบทางการเมืองด้วยว่า พรรคการเมืองต่างได้ประเมินแล้ว, ฟังเสียงของชนชั้นกลางแล้ว, คิดว่าตัวเองอาจจะได้เปรียบพรรคอื่นก็ได้ในการที่จะเลื่อนตัวผู้สมัคร. เพราะฉะนั้นจึงนอกจากจะทำให้ถูกใจของชนชั้นกลางแล้ว ยังเป็นเรื่องที่ว่าตัวเองไม่เสียเท่าไหร่. ในขณะที่ คือคู่ต่อสู้หรือพรรคการเมืองอื่นๆ โดยเฉพาะพรรคเล็กๆอาจจะเลื่อนตัวผู้สมัครได้ลำบาก เพราะมีสายป่านไม่ยาวพอที่จะให้ตัวแทนจากเขตละคนนี่ มาเป็นรัฐมนตรี. เพราะฉะนั้น คิดว่าส่วนหนึ่งพรรคการเมืองก็เป็นเกมส์ของเขาที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้
แต่ที่นี้กลับมาสู่ประเด็นของเราในเรื่องนโยบายสาธารณะ ทำอย่างไรถึงจะไม่ให้เป็นไปตาม อย่างที่ปากมูล เหมือนกับว่ารัฐก็ฟังเสียงชนชั้นกลางนิดหน่อย พอประนีประนอม, แต่ก็ไม่ได้ยอมเสียทั้งหมด. ในขณะที่ก็เป็นการประเมินว่า ทำอย่างไรถึงจะถูกใจคนจำนวนมาก ซึ่งมองว่าฐานเสียงที่มีอำนาจจริงส่วนใหญ่นี่ อยู่ที่ชนชั้นกลาง. ในขณะที่ไม่มีนโยบายอะไรซึ่งยั่งยืน หรือเป็นระบบมากพอที่จะช่วยเหลือคนเกือบ 70% ของประเทศที่เป็นเกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน หรือคนระดับล่าง. แต่ว่าถ้าเราจะเห็นนโยบายสาธารณะ อย่างที่ อ.สมเกียรติว่าก็คือ มีพวกเทคโนแครทในเรื่องของนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจในเชิงทุนนิยมมากกว่า
|
ประมวล เพ็งจันทร์ : เมื่อสักครู่นี้ อ.สมเกียรติบอกว่ามีผู้สร้างวาทกรรม ประชาชนไม่ได้สร้างเอง อาจารย์คิดว่าใครเป็นผู้สร้างวาทกรรม หรือเป็นคนที่เสนอญัตติสาธารณะให้กับสังคมไทย อาจารย์มองเห็นไหมครับว่าใครเป็นผู้นำเสนอวาทกรรมที่ครอบงำคนไทยอยู่ในปัจจุบัน สมเกียรติ ตั้งนโม : ผมว่าถ้าจะพูดกันถึงที่สุดเลย คนที่เสนอวาทกรรมระดับชาติและระดับโลกเลยคือสหรัฐอเมริกา ประมวล เพ็งจันทร์ : เราไม่ได้เสนอเอง เป็นวาทกรรมที่สั่งเข้ามาหรือครับ... สมเกียรติ ตั้งนโม : ไม่ครับ เราไม่เคยมีโอกาสที่จะเสนอวาทกรรมของตนเองเลย นอกจากเรารับวาทกรรมจากแนวคิดเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม พัฒนา จากทุนนิยมอเมริกันมาเป็นสรณะของเราในปัจจุบันนี้ แต่สิ่งที่ผมอยากจะพูดต่อมา ผมอยากจะพูดถึงความสตึของชนชั้นกลางต่อจากที่ท่าน อ.นิธิพูดไปบ้างแล้ว. คิดว่าการที่ชนชั้นกลางเป็นคนสตึแบบนี้ เป็นเพราะว่าสื่อมวลชนในประเทศไทย ถูกครอบครองมาโดยระบบราชการมากี่สิบปี ปัจจุบันเปลี่ยนไปอยู่ในมือของนายทุนและนักการเมือง. ไม่มีสถานีโทรทัศน์หรือวิทยุที่เป็นของภาคประชาชนเลย สิ่งเหล่านี้ล่ะครับที่มันรับวาทกรรมมาจากต่างประเทศ มากับเศรษฐกิจแบบทุนนิยมสมัยใหม่ แล้วก็ครอบครองเวลาในสื่อของเราทั้งหมด หรือยัดเยียดความรู้ให้กับพวกเราทั้งหมดไปในทิศทางนั้นแต่เพียงทิศทางเดียว. ผมคิดว่าหยุดได้แล้วครับ วิธีการแบบนี้. อีกอย่างหนึ่งก็คือ เวลาที่พวกเราเลือกนักการเมืองเข้าไปแล้ว, ผมสงสัยมากเลยว่า ทำไมคนที่บริหารประเทศของเรานี่ จึงเต็มไปด้วยคนที่ไม่มีความสามารถ แต่ได้รับการแบ่งปัน หรือการไกล่เกลี่ยผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมกันทุกๆพรรคตามสัดส่วน ให้ไปกินตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงนั้น, รัฐมนตรีกระทรวงนี้. ผมคิดว่าเด็ก ป.4 ทุกคนมีความสามารถบริหารประเทศชาติได้เท่ารัฐมนตรีเมืองไทยได้หมด... ไม่เห็นมีใครที่มีความสามารถเลย. เพราะไอ้ระบบไกล่เกลี่ยผลประโยชน์แบบนี้แหละครับ ซึ่งมันมากับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เลิกเสียทีเถอะครับ... ถ้าผมคิดจะเป็นนักการเมือง ผมก็จะเป็นนักการเมืองของประชาชน ไม่ใช่เป็นนักการเมืองแบบพวกนั้น ผมว่าพอแล้ว น่าเบื่อหน่าย |
นโยบายของพรรคการเมืองไทย
เป็นการโคลนนิ่งมาจากสหรัฐอเมริกา
เรายังไม่มีวาทกรรมของตนเอง
เพียงแต่นำเข้าความคิดของคนอื่นเท่านั้น
การเมืองแบบนี้หยุดได้แล้ว

รัฐมนตรีในประเทศไทย
มีความสามารถ
บริหารประเทศได้เท่าเก็บเด็ก ป.4 เท่านั้น
ทั้งนี้เนื่องมาจากระบบการไกล่เกลี่ย
ผลประโยชน์ของนักการเมือง
เราจึงได้รัฐมนตรีตามสัดส่วน
แต่ไม่ใช่
ตามความสามารถ
ประมวล เพ็งจันทร์ : ตอนนี้ปัญหาพรรคการเมืองทุกพรรคที่มีชื่ออยู่ในใจเราตอนนี้ ที่คิดว่าจะเสนอตัวแทนเข้ามาในเขตเลือกตั้ง หรือในระบบบัญชีรายชื่อพรรคก็ดี ยังไม่มีพรรคใดสักพรรคหนึ่งเลยที่จะบอกว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาลหรือมีโอกาสในการบริหารราชการแผ่นดิน แล้วเขาจะใช้นโยบายที่ต่างไปจากนโยบายที่มีอยู่ในปัจจุบัน อันนี้ในหลักการนะครับ ส่วนเรื่องหนี้สินนั้น เป็นเรื่องของรายละเอียดปลีกย่อย. แล้วอาจารย์จะให้พวกผมหรือคนที่มีโอกาสเลือกตั้งกันเร็วๆนี้จะไปเลือกใครล่ะครับ
นิธิ เอียวศรีวงศ์ : คือตอนนี้เรามีกลุ่มประชาชนหลายองค์กรด้วยกัน ยอมสารภาพว่าส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง ซึ่งกำลังเสนอทางเลือกในการแก้วิกฤต ถูกผิดเอาไว้ก่อนครับ. เสนอแนวทางในการแก้วิกฤตค่อนข้างไปในทางเดียวกัน หลายอย่างด้วยกัน. เช่นเป็นต้นว่า เว้นวรรค WTO เสีย เริ่มที่จะค่อยๆถอนตัวออกมาจาก WTO แล้วค่อยหวนกลับไปใหม่ใน 3 ปี, 5 ปี, 10 ปี แล้วแต่ที่จะตกลงกัน. ผมคิดว่าทางเลือกเชิงนโยบายนี่มันเกิดมาพอสมควร แต่ว่าพลังมันไม่มี เพราะจริงๆมันจำกัดตัวเองอยู่ในหมู่ชนชั้นกลางเท่านั้น. ทำอย่างไรชนชั้นกลางจึงจะเชื่อมต่อกับคนส่วนใหญ่ของประเทศได้ เพื่อที่จะได้จัดให้มันเกิดองค์กรเพื่อที่จะไปต่อรองเชิงนโยบายได้ด้วย ว่า ฉันต้องการทางเลือกของการแก้วิกฤตอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่แบบนี้เป็นต้น.
ประมวล เพ็งจันทร์ : ขออนุญาตเอ่ยชื่อ ตอนนี้มีอาจารย์ท่านหนึ่ง อ.ณรงค์ เพชรประเสริฐ ที่ออกมาประกาศว่าจะมีการชุมนุมกัน เพื่อที่จะประกาศญัตติที่จะขอให้ประชาชนคนไทยทั้งหมด ช่วยกันใส่ใจ แล้วก็นำไปพิจารณาในการตัดสินใจเลือกตั้ง. พูดไปพูดมาก็มีเสียงกระซิบบอกว่า อย่างนี้ก็เข้าทางพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ที่ตั้งชื่อพรรคขึ้นมาพอมีความหมายว่าเป็นท้องถิ่น หรือเป็นอะไรของไทยนี่นะครับ ก็แล้วแต่ แต่ประเด็นก็คือ หมายความว่า ในขณะปัจจุบันนี้ที่จะมีการเลือกตั้งนี่ ผมคิดว่ามีคนซึ่งคิดอย่าง อ.สมเกียรติ หรือมีคนคิดตามที่เรากำลังพูดนี้เยอะมาก. แต่พอไปถึงจุดที่เราต้องตัดสินใจเลือก เราก็ไม่มีโอกาสที่จะเลือก.
อ.ไพสิฐ ในฐานะที่สนใจการเลือกตั้งด้วย สนใจกฎหมายด้วย คงไม่ใช่ไปแสดงสิทธิ์ว่าเราจะไม่เลือก เพราะในสุดท้ายก็ได้จำนวนมาว่า มีคนไปใช้สิทธิจำนวนหนึ่ง. จริงๆแล้วเราควรมีวิธีการอะไรมากไปกว่านี้ไหมครับ ?

หลายองค์กร
มีการเสนอให้เว้นวรรค
WTO ค่อยถอนตัวออกมา แล้ว
ค่อยหวนกลับเข้าไปใหม่
ทางเลือกเชิงนโยบาย
มันเกิดขึ้นมาพอสมควร แต่
ว่ามันยังไม่มีพลังพอ
ไพสิฐ พาณิชย์กุล : คือถ้ามองจากจุดยืนภาคประชาชนนะครับว่า ทางออกของวิกฤตสังคมปัจจุบัน อันนี้เป็นการเมืองของภาคประชาชน ไม่ใช่การเมืองของนักการเมือง. ถ้าเกิดมองจากจุดนี้ไป ผมคิดว่าดูตัวเลือกพรรคการเมืองซึ่งไม่แตกต่างกันนั้น เงื่อนไขสำคัญเวลาเราจะไปเลือกตั้ง "ให้ดูว่าเราสามารถที่จะคุมพรรคไหนได้มากที่สุด อ.นิธิ เคยตั้งขอสังเกตุว่า ดูพรรคการเมืองที่อ่อนแอที่สุด ซึ่งมีโอกาสได้รับเลือกตั้งเข้าไป เราจะคุมได้ง่าย". ผมคิดว่าเลือกตามแนวคิดนี้จะดีกว่า
ประมวล เพ็งจันทร์ : ผมสงสัยว่า คำว่า"อ่อนแอ" มันหมายความว่าอะไรครับ
ไพสิฐ พาณิชย์กุล : คือมีแผลมาก อะไรต่างเหล่านี้ จะเป็นพรรคซึ่งเราสามารถคุมได้ง่าย. แต่ในขณะเดียวกัน การเลือกตั้งเป็นเพียงแค่ ผมไม่อยากให้มองการเลือกตั้งว่าจะเป็นสิ่งที่ให้คำตอบทั้งหมด. แต่อยากให้มองการเลือกตั้ง เป็นในแง่ของขบวนการหรือเป็นโอกาสในทางการเมือง โอกาสที่เราจะมาเจอกัน มาพูดคุยกัน เป็นกิจกรรมทางการเมืองซึ่งจะสร้างเครือข่ายขึ้นมา. ผมคิดว่าประเด็นตรงนี้นะครับ จะสามารถยกระดับในแง่ที่ทำให้นโยบายของพรรคการเมืองที่คุยๆไว้ สามารถถูกติดตามได้
อยากจะยกตัวอย่างว่า เช่นเรื่องของ ปัญหาเรื่องชุมชนแออัด เขาพยายามที่จะสร้างเครือข่ายขึ้นมา แต่ว่าใจปัจจุบันก็ยังไม่สำเร็จ. แต่ผมคิดว่าตรงนี้ยังมีโอกาสที่จะทำให้ปัญหาซึ่งเป็นประเด็น แม้ว่าจะเป็นประเด็นเล็กๆที่ไม่ได้รับการยอมรับหรือสนใจของสังคม แต่อาจจะมีการรวมกับปัญหาอื่นๆ. ตัวอย่างเช่น เรื่องความต้องการที่จะแก้ปัญหาชุมชนแออัด, ถ้าไปพูดอย่างนี้โดยตรง อาจจะไปกระทบกับชนชั้นกลางหรือผลประโยชน์ของคนที่ไม่ยอมให้มีการปฏิรูปที่ดินขึ้นมา แต่ว่าในชุมชนแออัดไม่ได้มีปัญหาในเรื่องที่ดินแต่เพียงอย่างเดียว ยังมีปัญหาเรื่องยาเสพติด มีปัญหาเรื่องเด็ก มีปัญหาเรื่องการศึกษา. ถ้าหากว่าเราเลือกเอาปัญหาบางปัญหาที่คนเห็นร่วมกันได้ เช่น ปัญหาเรื่องเด็ก ปัญหาเรื่องการศึกษา เรื่องสาธารณสุขขึ้นมาพูดนำ แล้วพูดประเด็นนี้เข้าไป สร้างเป็นเครือข่ายขึ้นมา. ผมคิดว่าโอกาสที่จะผลักดันให้ปัญหาของชนระดับล่างได้รับการแก้ไข จะมีโอกาสมากขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ผมขอโยงกลับมาที่ อ.สมเกียรติได้พูดเมื่อสักครู่นี้ว่า การเชื่อมโยงเครือข่ายแบบนี้ มันจะมีอัตราเร่งที่เร็วขึ้น ถ้าหากว่าสื่อสารมวลชนที่มีหัวใจ เห็นด้วยกับปัญหาของสังคม ปัญหาของคนจน ได้ให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงกลุ่มต่างๆเหล่านี้เข้าหากัน. คือการทำให้เกิดความเข้าใจข้ามไปอีกชนชั้นหนึ่ง จากคนระดับล่างไปสู่คนระดับกลาง ก็จะทำให้ญัตติตรงนี้มีแรงกดดันมากขึ้น อันนี้น่าจะเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งของการเมือง ไม่ใช่มาจบที่พรรคการเมืองหรือจบที่การเมืองแบบรัฐสภาที่ยกมือกัน มันจะต้องเป็นการเมืองที่มีคุณภาพมากกว่านี้ ในแง่ที่ว่าขบวนการภาคประชาชนได้เข้ามาจัดการเรื่องของเราเองทั้งหลาย มากกว่าที่จะไปพึ่งพานักการเมือง
แต่อย่างไรก็ตาม บนโครงสร้างของรัฐธรรมนูญที่กำหนดเอาไว้อย่างนี้ เราต้องใช้โอกาสทำให้องค์กรอะไรต่างๆ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้สร้างขึ้นมา, ไม่ว่าสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจก็ดี, กลไกในการควบคุมตรวจสอบ หรืออะไรต่างๆเหล่านี้ ไปผูกโยงกับการไปใช้สิทธิเลือกตั้งด้วย
การเลือกตั้ง ควรที่จะเลือก
พรรคการเมืองที่เราคุมได้ นั่นคือพรรคการเมือง
ที่อ่อนแอที่สุด หรือมีแผล
มากที่สุด
ปัญหาชุมชนแออัด
ปัญหาเด็ก ปัญหาผู้หญิง
ยาเสพติด รวมถึงการศึกษา
เหล่านี้คือปัญหาที่เรา
ต้องเผชิญอยู่ในทุกวันนี้
สื่อสารมวลชนที่มีหัวใจ
จะช่วยแพร่ข่าว และทำให้
ชนชั้นล่างและชนชั้นกลาง
สามารถประสานกันได้
|
นิธิ เอียวศรีวงศ์ : ผมไม่แน่ใจว่าผมถูก ผมคิดว่าพรรคการเมืองเวลานี้ พรรคการเมืองที่ไม่มีแผลนี่น่ะ มันเหลือน้อยแล้ว. นอกจากนั้นแล้ว ไอ้ความกะล่อนมันก็มากเท่าๆกัน ความต่างก็อยู่ที่ ใครกะล่อนเก่งหรือกะล่อนไม่เก่ง ไม่รู้ว่าจะวัดอย่างไรแล้วตอนนี้ ไพสิฐ พาณิชย์กุล : คิดว่า เราในฐานะคนเลือกตั้ง คนที่อยู่ข้างนอก เราคิดไม่เหมือนเขา ถ้าเราจะคิดได้เหมือนเขาเราก็ต้องชั่วเท่าๆเขา ผมคิดว่าตรงนี้เป็นเรื่องที่ยากมากนะครับ. คืออย่างนี้ครับ อย่าไปเข้าอยู่ในวงการของเขาเลย แต่ว่ามาสร้างเวทีในการกดดันข้างนอกดีกว่า |
สมชาย ปรีชาศิลปกุล : ส่วนตัวคิดว่า เวลานี้เป็นเวลาที่สุกงอมมากที่สุด ที่การเมืองภาคประชาชนจะต่อรองกับพรรคการเมือง. อันนี้เพราะอะไร เพราะผมคิดว่าในการเลือกตั้งหลายๆครั้งที่ผ่านมา ครั้งนี้เป็นครั้งที่เรารู้สึกว่า นักการเมืองนอกจากเหมือนกันแล้ว ยังตกต่ำอย่างสุดๆ ทุกพรรคมีแผลเหมือนกันหมด เป็นแผลขนาดที่ว่า ครั้งนี้ใครหย่อนบัตรเลือกตั้ง เราจะรู้สึกว่า ไปหย่อนบัตรแล้วเราอาจจะเสียดาย อยากจะดึงกลับมา. เพราะถ้าจะถามว่ามันเป็นจังหวะหนึ่งหรือเปล่า ผมคิดว่า ขั้นตอนนี้การเมืองภาคประชาชนพยายามเสนอนโยบาย ผนวกกับการเปิดช่องของรัฐธรรมนูญ บวกกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่ถูกกำกับโดยชาวตะวันตก รวมกระทั่งมาถึงความตกต่ำของพรรคการเมือง อันนี้คิดว่ามันมาถึงช่องทางที่จะทำให้ การเคลื่อนไหวหรือการเสนอนโยบายจากภาคประชาชนในการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้ อาจจะเป็นจังหวะที่การเสนอนโยบายได้เป็นรูปธรรมได้มากที่สุด.
โดยอายุที่ไม่มากของผม ผมคิดว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาของความตกต่ำของพรรคการเมืองอย่างพร้อมเพรียงกันมากที่สุด ซึ่งนานๆมันจะเจอทีนะครับ.
|
สมเกียรติ ตั้งนโม : อยากจะเสนออย่างนี้นะครับ ท่าทีของผมเวลาพูดนี่อาจจะดูรุนแรงนะครับ แต่ความจริงผมเป็นคนที่สุภาพมากเลย คืออย่างนี้ครับ. ถ้าคุณเป็นนักการเมืองอยู่นี่ คุณจะหวั่นใจไหมครับว่า คนที่คุณซื้อเสียงไม่ได้นี่ ประมาณ 60-70% ไปกาบัตรเลือกตั้งว่าไม่เลือกพรรคการเมืองไหนเลย แล้วไอ้ที่เหลือนี่น่ะซึ่งเลือกคุณเข้าไป เป็นคนพวกที่คุณสามารถที่จะไปให้ผลประโยชน์เขาได้เท่านั้น ซึ่งมีเพียงแค่ 30% เลือกพรรคโน้นพรรคนี้กระจายกันไป. ในรัฐธรรมนูญเขาเปิดโอกาสให้คุณไปกาบัตรได้ว่า คุณไม่เลือกใคร. คนจำนวนมากถึง 60-70% ของประเทศไปกาแบบนี้ พรรคการเมืองจะหันกลับมาทบทวนนโยบายของตนเอง ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ในทุกวันนี้ คิดว่า นี่เป็นโอกาสหนึ่งที่พวกเราเชิญชวนกันไป"กาบัตรว่าไม่เลือกใครหรือพรรคการเมืองใด" นี่อาจจะเป็นมิติใหม่ ซึ่งจะเกิดความเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ชั่วข้ามคืน ที่จะทำให้คนคิดหนักเลยนะครับ นิธิ เอียวศรีวงศ์ : คิดว่าประเด็นที่ อ.สมเกียรติพูดนี่มีความสำคัญนะครับ คือการกาไม่เลือกนี่เป็นการเลือกแบบหนึ่ง อย่าสับสนว่าไม่เลือกคือว่าไม่เลือก. ไม่เลือกคือการเลือกแบบหนึ่ง. อาจจะไม่ต้องถึง 70%, ผมว่าเพียงแค่ 5% หรือ 10% แต่ทำให้พรรคการเมืองเห็นว่า 5% หรือ 10% นี่ถ้าเขาเลือก, มันจะเปลี่ยนผู้แพ้ผู้ชนะได้. แค่นั้นก็พอแล้วที่จะทำให้เขาหันกลับมาคิดว่า พรรคการเมืองกำลังตกต่ำอย่างถึงที่สุด ถ้าไม่มีการปรับตัวเขาเลยนี่ เขาจะอยู่ไม่รอด. |
ประมวล เพ็งจันทร์ : ผมคงมีประเด็นสุดท้ายนะครับ. เราคงไปเลือกตั้งกันแน่นอน ประเด็นของเราไม่ได้อยู่ที่ว่าให้นาย ก. หรือนาย ข. ชนะการเลือกตั้ง. แต่คิดว่าภาคประชาชน การเมืองภาคประชาชน และการเมืองครั้งนี้จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จะก่อให้เกิดพลังของภาคประชาชนขึ้นมา. การไปเลือกตั้งไม่ใช่อยู่ที่จะให้นาย ก. ชนะนาย ข.
สุดท้ายนี้ขอ อ.นิธินะครับ อาจารย์จะให้ขอเสนอ หรือข้อคิดเห็นอะไรที่ ทำอย่างไรเมื่อประชาชนต้องเดินเข้าไปในคูหาเลือกตั้ง กาทั้งบัญชีรายชื่อพรรค กาทั้งชื่อ สส. ตามเขตเลือกตั้ง ประชาชนควรมีหลักอะไรในใจไหมครับ
นิธิ เอียวศรีวงศ์ : ผมเห็นด้วยนะครับว่า อย่างที่ อ.สมชายพูดเมื่อสักครู่นี้ เป็นประเด็นที่สำคัญมาก คือถ้าคุณเดินไปสู่คูหาเลือกตั้ง ในฐานะปัจเจกบุคคล อยู่ๆก็ฟังวิทยุ, ดูทีวีที่เขามาหาเสียง แล้วคุณคิดเองคนเดียว และเดินเข้าไปในคูหาเลือกตั้ง กาบัตรเลือกตั้ง. คุณเป็นไอ้เบี้ยสับปะรังเคตัวหนึ่งที่ให้นักการเมืองจับคุณเล่น ตรงกันข้าม ถ้าคุณสามารถรวมกลุ่มกันได้ จัดองค์กรให้สามารถจะต่อรองเชิงนโยบายกับพรรคการเมืองและนักการเมืองได้ พรรคการเมืองและนักการเมืองจะกลายเป็นเบื้ยให้คุณเดินแทน.
เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่ทำอะไรเลย เพียงแค่ฟังวิทยุ ฟังรัฐมนตรีแล้วบอกให้เราไปเลือกตั้ง แล้วเราเดินเข้าสู่คูหาในฐานะที่เป็นตัวคนเดียวแบบนี้ คุณจะเป็นเพียงแค่เบี้ยที่ไม่มีความหมาย. และผมเห็นด้วยกับ อ.สมเกียรติว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณไปลงว่า"ไม่เลือก"ดีกว่า.
|
สายใจ ไชยพรหม : ท่านผู้ชมค่ะ การเมืองทั้งในภาคประชาชน และการเมืองในระบบรัฐสภา ต้องประสานสัมพันธ์กัน ภาคประชาชนจะเป็นไปได้และจะมีพลังขับเคลื่อนในสังคมไทยได้มากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับการประสานของการเมืองทั้งระบบ การเมืองไทยที่จะมีขึ้นในเร็วๆนี้ ท่านผู้ชมคงต้องไปใช้สิทธิ์ และใช้วิจารณญานของเราเองนะคะ ว่าจะเลือกใครเป็นตัวแทนในการบริหารประเทศ พลังของทุกๆคนนั้นมีค่า และมีความหมาย ขอขอบพระคุณวิทยากรทุกๆท่านที่ร่วมวงสนทนาในรายการ ขอขอบพระคุณ"มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน" ที่ร่วมผิตรายการ และขอขอบพระคุณ"หอนิทรรศการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่" ที่เอื้อเฟื้อสถานที่. พบกับรายการทีทรรศน์ท้องถิ่นได้ใหม่ ทุกๆวันอาทิตย์สัปดาห์แรกของเดือนนะคะ เวลา 12.05-13.00 น. สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ
|