ผู้เขียน James Lovelock นักเขียนและนักวิทยาศาสตร์: สำหรับเรื่อง Homage to Gaia : The Life of an Independent Scientist ได้รับการตีพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ Oxford University Press.

พร้อมด้วยโลก, เราต่างเป็นหนึ่งเดียวกันในกายา
บันทึกประสบการณ์ชีวิตของนักวิทยาศาสตร์อิสระคนหนึ่ง

หนังสือใหม่ๆของ James Lovelock อีก 2 เล่มก่อนหน้านี้ที่มีวางจำหน่ายตามร้านหนังสือ คือ The Ages of Gaia และ Gaia : A New Look at Life on Earth.
ต้นฉบับที่นำมาแปล : จากหนังสือ Resurgence
ฉบับเดือนกันยายนและตุลาคม 2000 / NO.202

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเป็นเรื่องของ
วิทยาศาสตร์
ส่วนกลางคืนเป็นเรื่องของ
ศิลปะ และจินตนาการ

"ทำไมเธอถึงต้องการจะไปที่โบสถ์ล่ะ ?" ลูกพี่ลูกน้องที่ชื่อ Lily ถาม.
"เพราะฉันต้องการไปฟังเสียงระฆัง" ผมตอบ.
การสนทนากันนี้เกิดขึ้นในเช้าวันอาทิตย์วันหนึ่งในเดือนเมษายน ปี 1926 เมื่อตอนที่ผมพำนักอยู่ที่บ้านในชนบทซึ่งเป็นของลูกพี่ลูกน้องกัน ณ Hagbourne ใน Berkshire.

"อืม, ก็ไปเสียซิ" Lily พูด. "และเธอจะยังอยู่ที่นั่นใช่ไหม ?"

ทางเดินพุ่งตรงตัดไปที่กลางลานต้นข้าวสาลีที่ยังอ่อน, มันดูสดใสในยามเช้าช่วงที่แสงอาทิตย์เริ่มสาดส่อง และอากาศก็สดชื่น เต็มไปด้วยเสียงนกร้อง. ผมเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งข้ามลานข้าวสาลีไป แล้วก็ได้ยินเสียงระฆัง. ไม่ไกลนัก - ผมได้ยินเสียงที่ไม่ค่อยน่าฟังนัก ดังมาจากในบ้าน มันคือเสียงดนตรีที่ค่อนข้างแย่; ที่ได้ยินมาจากเช้าวันอาทิตย์ วันที่มีแดดอุ่นๆานมาแล้ว. มันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์. มาถึงตอนนี้ ผมรู้แล้วว่า ทำไม John Betjeman จึงเลือกตั้งชื่อหนังสือของเขาว่า Summoned by Bells [การถูกเรียกด้วยเสียงระฆัง]: ผมแน่ใจว่าอย่างนั้น.

สมเกียรติ ตั้งนโม : แปล
และเรียบเรียง
ความยาวประมาณ 13
หน้ากระดาษ A4

รอยทางเดินลัดเลาะไปบนเส้นทางเล็กๆและใต้สะพานรางรถไฟ มันเป็นเส้นทางเดียวที่มุ่งไปยัง Oxford, และที่ที่ผมกำลังบ่ายหน้าไปก็คือโบสถ์ในชนบท ทั้งหมดผมจำมันได้ว่า ผมได้เดินเข้าไปข้างในโบสถ์แล้วนั่งลงตรงที่ม้ายาวซึ่งมีพนักพิง จากนั้นก็ฟังเสียงของระฆัง ในไม่ช้า ม้านั่งยาวก็เต็มและพิธีกรรมทางศาสนาก็เริ่มขึ้น. ผมจำไม่ได้ ในฐานะที่เป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆในเวลานั้นว่ายืนๆนั่งๆโดยตลอดในช่วงระหว่างพิธีกรรมทางศาสนาที่ยาวนานได้อย่างไร แต่ผมยังระลึกได้ถึงการต้อนรับที่อบอุ่นในช่วงเวลานั้น

ฉันคือใคร และฉันมาจากไหน ? เหมือนกับแสงแดดของวันนั้น รอยยิ้ม และความพึงพอใจของผู้คน และนี่คือภาพของความทรงจำเกี่ยวกับชุมชนที่ประกอบไปด้วยบรรดาคริสเตียนทั้งหลาย มันทิ้งให้ผมเร่าร้อนอยู่ในความอบอุ่น และยอมให้ผมได้หวนคืนกลับไปสู่วันเวลานั้นด้วยความคิดถึงสิ่งที่เด็กคนหนึ่งทำ และผมก็ไม่ลืมเวลาช่วงอาหารเย็นวันอาทิตย์ ณ บ้านของ Lily ในชนบท

สิ่งต่างๆเกิดขึ้นในช่วงก่อนที่ผมจะเป็นหนุ่ม ดูเหมือนจะเป็นการตระเตรียมเส้นทางของชีวิตของคนๆหนึ่งขึ้นมา. โดยไม่คำนึงถึงความเรียกร้องที่แท้จริงของผมเกี่ยวกับความสนใจในวิทยาศาสตร์ เหตุการณ์เล็กๆอันนี้มันได้ทำให้ผมรู้สึกรักในศาสนาแองกลิกัน ซึ่งยังคงเป็นอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งทศวรรษ 1970s เมื่อมันทันสมัยมากขึ้น และบรรดาผู้ถ่ายทอดคำสอนทางศาสนาเริ่มเปลี่ยนแปลงมันไป

สำหรับผม มันได้ยืนยันถึงคำทำนายของ Aldous Huxley ในเรื่อง Brave New World พวกเขาต้องการโบสถ์หลังหนึ่งที่นำโดยชุมชนของนักแต่งเพลง ไม่ใช่โดยพระราชาคณะ. พวกเขามีสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด และประสบความสำเร็จในการแทนที่คำสอนต่างๆอันมหัศจรรย์ในหนังสือบทสวด และพระคัมภีร์เก่า ด้วยบางสิ่งบางอย่างที่เหมาะกับความเข้าใจที่มีข้อจำกัดของพวกเขา

ไม่นานหลังจากนั้น ผมกลับมาที่ Brixton ผมได้ทำซ้ำในเช้าวันอาทิตย์โดยเดินทางไปที่โบสถ์ ช่วงวันนั้นมันดูแปลกไป ตั้งแต่รูปร่างทรวดทรงของโบสถ์ที่ดูเป็น Byzantine ของนิกายโรมันคาธอลิค ณ Tulse Hill ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยหลาจากบ้านที่เราอาศัยอยู่ ประสบการณ์ของที่นี่ มันช่างต่างออกไปเลยทีเดียว. ในไม่ช้าหลังจากที่ผมไปถึงโบสถ์แห่งนี้ ก็ได้เข้าไปข้างในและนั่งที่ม้ายาว อีกสักพักคนที่ดูแลโบสถ์ก็เข้ามาหา จับผมที่คอเสื้อแล้วลากไปที่ประตูพร้อมกับพูดว่า "ไปให้พ้น และแกอย่าได้กลับมาที่นี่อีก แกไม่ใช่คนของที่นี่"

นิกายโรมันคอธอลิคในช่วงเวลานั้น เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งค่อนข้างเป็นรองที่ถูกปิดล้อมไปเสียทุกด้าน และก็เป็นที่รู้กัน ผมสงสัยว่า ผู้ดูแลโบสถ์รู้ว่าผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโบสถ์แห่งนี้ได้อย่างไร และคงกลัวว่าผมอาจจะอยู่ที่นั่นเพื่อมาก่อกวนหรือเล่นซุกซน. แม่และตายายของผมต่างก็ต่อต้านนิกายโรมันคาธอลิคอย่างรุนแรง มันเป็นความรู้สึกร่วมของเผ่าพันธุ์อันหนึ่งท่ามกลางชนชั้นแรงงานของผู้ที่อาศัยอยู่ในลอนดอนในช่วงเวลานั้น

ผมจินตนาการย้อนกลับไปสู่การกบฎของ Guy Fawkes และทั้งหมดในช่วงเวลาดังกล่าว กลุ่มเพื่อนนักเรียนรุ่นราวคราวเดียวกับผมต่างรู้สึกสัมพันธ์กับนิกายโรมันคาธอลิคด้วยความโหดร้าย, เจ็บปวด, และทารุณ. ช่วงวันเวลา Guy Fawkes, การเผาหุ่น, สำหรับพวกเราแล้ว เป็นวันที่สำคัญที่สุดของปีเลยทีเดียวหลังจากวันคริสต์มาส. มันทำให้การแตกออกมาในครั้งโบราณของนิกาย Luther มารวมตัวกันเป็นกลุ่ม และสงครามกลางเมืองอันไม่มีวันจบสิ้นของคาธอลิคไอร์แลนด์ยืนยันถึงเรื่องเหล่านี้ได้

ในช่วงราวๆ 7 ขวบ เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆที่ผมรู้สึกตัวเกี่ยวกับเรื่องเพศ และเกิดรักชอบเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอย่างรุนแรงในตอนที่ผมเรียนอยู่ชั้นที่หนึ่งในโรงเรียนประถม เธอชื่อว่า Molly Percival, ผมคิดว่าเธอเป็นคาธอลิค และรู้สึกประหลาดใจที่เธอยังคงอยู่แถวๆนั้น. ประสบการณ์อันนี้เป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่มันยังคงฝังอยู่ในความคิดและจิตใต้สำนึกของผมต่อมา จนกระทั่งผมเติบโตขึ้นเป็นหนุ่ม ผมได้มีโอกาสพบกับผู้หญิงคาธอลิคอีกหลายคนซึ่งมีเสน่ห์ดึงดูดใจเป็นพิเศษ. ความเคร่งครัดในทางศาสนาแบบคลุมเครือประเภทนี้ ไม่เหมาะกับลัทธิความเชื่อ agnosticism (ลัทธิที่สงสัยในความจริงของศาสนา)ที่เคร่งครัดของครอบครัวผม

การฆ่ากันอย่างไร้ความปรานีของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อแม่ของผม อันนี้มันมีผลกระทบอย่างเดียวกันกับผู้หญิงอังกฤษทั่วๆไป เธอมองว่าคนรุ่นหนุ่มสาวทั้งหมดถูกบีบบังคับอย่างป่าเถื่อนให้เข้าสู่โรงฆ่าสัตว์ที่เต็มไปด้วยอันตรายของสนามเพลาะ และเธอไม่ต้องการให้ลูกชายของเธอเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่เขาได้รับการบ่มเพาะจนสุกงอม และพร้อมที่จะไปตายในสงครามยุโรปครั้งต่อไป

ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1, งานที่แม่ผมทำก็คือเป็นเลขาฯเสมียนของ Middlesex County Council ส่วนหนึ่งของหน้าที่การงานที่เธอทำก็คือ คอยฟังพวกที่คัดค้านหรือต่อต้านสงครามแสดงความคิดเห็นกันออกมา. ในไม่ช้า เธอก็บันทึกว่า มีเพียงพวก Quakers เท่านั้นที่ควรได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพ. ประสบการณ์อันนี้ได้น้อมนำเธอไปสู่การนำผมไปสมัครที่สมาคมมิตรสหายโรงเรียนวันอาทิตย์(Society of Friends Sunday school)} ซึ่งมันตรงข้ามกับที่ที่เราอยู่ใน Brixton.

บ้านที่มีการนัดพบกันเป็นบ้านที่มีลักษณะกึ่งๆวิคตอเรียนซึ่งมีเนื้อที่กว้างพอสมควร ตั้งอยู่ในสวนเกษตรและเป็นทางผ่านของครอบครัวผม บางคนซึ่งอยู่ ณ ที่นั้นเป็นคนที่กระตือรือร้นในฐานะพวกที่คัดค้านและต่อต้านสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างมีเหตุผล บ้านหลังนี้ยอมรับในความมีเหตุมีผลของแม่อย่างไม่รั้งรอ และยินดีต้อนรับการเข้ามาร่วมของผมด้วย

ในขณะที่เป็นเด็ก ผมสงสัยว่า ผมจะอดทนกับโรงเรียนวันอาทิตย์ของโบสถ์อื่นๆได้สักกี่อาทิตย์ แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับพวกเควกเกอร์แล้ว เป็นบางสิ่งที่แตกต่างไปเลยทีเดียวจากนิกายศาสนาอื่นๆ. ลักษณะที่เข้มงวด ขึงขัง ซึ่งพวกเขาเป็นเช่นนั้นในการพบปะกันแบบผู้ใหญ่ แต่กับเราแล้วที่เป็นพวกเด็กๆ พวกเขาดูเหมือนจะตอบแทนด้วยการให้ความบันเทิงที่น่าติดใจ ผมยังคงไม่ลืมนิทานที่ทำให้รู้สึกประหลาดๆ ซึ่งหาได้ยากยิ่งสำหรับความเคร่งครัดในศาสนา ส่วนใหญ่ John Street ได้เล่าให้เราฟัง และมันทำให้พวกเรารู้สึกใจจดใจจ่อ และเงียบกันไปหมด

ผมไม่ลืมเช่นกันว่า การสนทนากันอย่างเปิดอกที่พวกเรารู้สึกสนุกสนานบนสนามหญ้าในช่วงฤดูร้อน มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับจักรวาลที่เราได้คุยกันอย่างมากมาย เช่นเดียวกับเรื่องทางศาสนา การสนทนานั้นกระตุ้นให้ผมเดินมาบนเส้นทางของลัทธิ agnosticism ต่อมาจนตลอดชีวิต. ผมได้อยู่กับ the Brixton Meeting House จนกระทั่งพวกเราได้ละทิ้งจากลอนดอนเพื่อไปยัง Orpington ในปี ค.ศ.1933

ท่ามกลางอุปกรณ์และสิ่งประดิษฐ์จำนวนมาก บนถนนสายต่างๆจึงมีฝูงชนในวัยหนุ่มสาวที่ชอบความสนุกสนานจากภาพยนตร์ในช่วงบ่ายวันเสาร์. ผมไม่ได้หมายถึงเครื่องฉายภาพยนตร์สมัยเก่าที่ใช้แสงไฟทึมๆที่โบสถ์ส่วนใหญ่ได้นำมาใช้ฉายภาพยนตร์ให้กับผู้ที่ไปยังโรงเรียนอาทิตย์: ดังเช่นภาพยนตร์เกี่ยวกับเมืองเยรูซาเล็มของนักถ่ายทำมือสมัครเล่นที่พร่าๆมัว ส่วนใหญ่แล้วถ่ายทำกันโดยบรรดาพระทั้งหลายที่ไปพักผ่อนในช่วงวันหยุด ณ ที่นั่น

เรามีภาพยนตร์ 16 มม. ที่เป็นเรื่องทางโลก อย่างเช่นเรื่อง Felix and Cat และภาพยนตร์การ์ตูนอื่นๆ และเรารักพวกมันมาก เราสนุกและได้หัวเราะกันอย่างเต็มที่จนกระทั่งตัวการ์ตูนบางตัวได้รับบาดเจ็บ. สิ่งเหล่านี้คือวันเวลาของปรัชญาเสรีนิยมในห้วงวันเวลาเก่าๆเกี่ยวกับความบันเทิง และไม่มีใครเลยที่ผมพบในตอนนั้นได้ลุกขึ้นมาตั้งคำถาม และพูดถึงความคิดเกี่ยวกับมนุษยธรรมและเมตตาธรรม. ความดีของมนุษยชาติคือสิ่งซึ่ง จริงๆแล้วมีสาระ และอันนี้คือการเรียนรู้และการฝึกฝนทางศาสนาของผมในการพบปะกันที่ the Brixton Meeting House

พระผู้เป็นเจ้า หากว่าพระองค์ทรงมีอยู่ ก็ไม่ใช่บุคคลที่คอยคุกคามหรือข่มเหงใคร พระองค์ทรงเป็นบางสิ่งซึ่งทำหน้าที่ตรวจตราจักรวาลที่คลุมๆเครือๆนี้เท่านั้น. แน่นอน นั่นคือพระผู้เป็นเจ้าในฐานะบุคคลผู้ซึ่งทรงสนทนากับพระสหายของพระองค์ ด้วยสุรเสียงแผ่วๆภายใน ทรงเป็นผู้มีสติรับผิดชอบ ไม่ใช่ทรงใช้สุรเสียงที่แผดก้องดังสนั่นดังเสียงฟ้าผ่ามาจากเบื้องบน ซึ่งจริงๆแล้ว มันคือสิ่งสำคัญและมีความหมายต่อพวกเรา. อันนี้เป็นเรื่องง่าย ด้วยการเริ่มต้นที่จะขยับเข้าไปสู่ลัทธิ agnosticism ที่รู้สึกสบายๆ เช่นดังที่วิทยาศาสตร์เริ่มที่จะบรรจุเข้ามาแทนที่ความว่างเปล่าในจิตใจผม

ผมไม่ได้สัมผัสกับ the Brixton Meeting House อีก เมื่อพวกเราได้ย้ายไปยัง Orpington. ที่เราย้ายมานี้ ทำให้แม่ของผมเป็นอิสระจากงานเล็กๆน้อยๆที่น่าเบื่อเกี่ยวกับการพยายามจะรักษาร้านค้าศิลปะที่ค่อนข้างล้มเหลวเอาไว้ ซึ่งมาถึงตอนนี้ ทำให้เธอมีเวลาที่จะเข้าร่วมกับพวกเควกเกอร์ใน Orpington ได้มากขึ้น. หลังจากนั้นช่วงเวลาหนึ่ง เธอได้กลายมาเป็นสมาชิกของที่นั่น. สำหรับบางครั้ง ผมก็ไปที่นั่นด้วยกันกับเธอ แต่รู้สึกเคร่งขรึม แม้ว่าบรรยากาศอันมีคุณค่าของการพบปะกันที่ Kent ค่อนข้างจะคล้ายๆกับเครื่องดื่มอ่อนๆ หลังจากได้ไวน์ที่กระตุ้นเข้าไปแล้วที่บ้านของครอบครัว Street ใน Brixton

จนกระทั่งปี ค.ศ.1939 เมื่อผมได้ไปยัง Manchester ผมได้เข้าไปในโลกของพ่อของผม มันเป็นการเข้าร่วมกับธรรมชาติ. ผมใช้เวลาในช่วงวันอาทิตย์ด้วยการเดินและขี่จักรยานไปบนถนนสายเล็กๆและทางเดินฟุตบาทของชนบทอันสวยงามของเมือง Kent. บ้านที่ Darwin พำนักอยู่ ณ Farnborough ห่างออกไปจากบ้านผมใน Orpington เพียงแค่ไมล์เดียว และผมได้เดินผ่านมันบ่อยๆเวลาที่ไปเดินเที่ยวเตร่

ผมไม่เคยคิดถึงมันเลยจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1997 เมื่อได้มีโอกาสพูดคุยกันกับนักชีววิทยาที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง, William Hamilton, เขาได้บอกกับผมว่า ตอนที่เขาเป็นเด็ก เขาได้รับการการกระตุ้นให้คึกคักโดยการเดินจากบ้านใน Sevenoaks, Kent และเราได้ค้นพบว่า เราได้เดินย่ำไปในทางเดียวกัน. ผมสงสัยว่า ถ้าเผื่อ Darwin เดินอยู่แถวๆนั้น เราทั้งคู่น่าจะเดินย่ำลงไปในรอยเท้าของเขาในทางที่เราทั้งสองเคยเดินผ่านมาแล้ว

ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ และเป็นคนที่มีความสงสยในความจริงของศาสนา ผมมีความเป็นสัตว์มากจริงๆที่ต้องการจะดำรงอยู่ในโลกของสติปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกวิทยาศาสตร์สมัยใหม่แต่เพียงอย่างเดียว. ผู้คนจำนวนมากที่ผมเคารพนับถือในด้านสติปัญญาและความฉลาด ต่างก็เลื่อมใสในศาสนา ซึ่งผมไม่สามารถที่จะทำให้ความรู้สึกในการอยากรู้อยากเห็นเของผมให้มาศรัทธาอย่างพวกเขาได้. หลายปีทีเดียว ผมได้มีโอกาสอยู่กับการรับใช้ศาสนา อันนี้รวมไปถึงการพบปะต่างๆกับพวกเควกเกอร์ การปรนนิบัติรับใช้ในโบสถ์คริสเตียนทุกๆที่ รวมทั้งในโบสถ์ของศาสนายิว และในวัดของศาสนาเอเชียต่างๆ

เทศนาและคำสอนดีๆได้มากระตุ้นใจผม ดังที่คำพูดอันไพเราะในหนังสือบทสวด แต่มันก็ไม่เคยทำให้ผมเรียนรู้ที่จะศรัทธาเลย. ณ ช่วงเวลาเหล่านั้น ผมปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะรับ"ประสบกาณ์ทางศาสนา" แต่มักอยู่ในโลกของผมเสมอ แม้ว่าสิ่งที่งดงามและยิ่งใหญ่ที่สุดจะได้รับการอัญเชิญลงมายังโลก โดยในช่วงวัยกลางคนผมจึงยอมรับว่า สวรรค์และนรกมันอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ และมันอยู่รอบๆตัวผมนั่นเอง

ครั้งหนึ่ง ระหว่างที่เดินไปรับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ผมได้เดินผ่านคนที่กำลังเล่นการพนัน ผู้ซึ่งนั่งเล่นไพ่อยู่ตลอดทั้งคืนโดยไม่ได้หลับได้นอน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความทุกข์ ความเศร้าหมอง มันแสดงออกมาเป็นสีเทาๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าได้เห็นนรกโดยที่ไม่ต้องตกลงไปอยู่ ณ ที่นั้น. ในทางตรงข้าม ช่วงที่ผมมีโอกาสหยุดพัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ไปบนยอดเขาต่างๆ มันเป็นช่วงขณะที่เสมือนได้อยู่บนสวรรค์ และเป็นการพักผ่อนอันแสนวิเศษ ที่ผมได้มาเต็มๆในช่วงสิบปีหลังนี้

เราปรารถนาที่จะรัก และถูกรัก รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนบางกลุ่ม. ในไม่ช้า วิทยาศาสตร์อาจจะให้คำอธิบายที่สมบูรณ์เกี่ยวกับความต้องการเหล่านี้ได้ แต่ผมสงสัยว่า เราจะยังปรารถนาเช่นนี้ต่อไปอีกหรือไม่ หลังจากที่เราได้อยู่เกินไปจากธรรมชาติแล้ว…

เมื่อความรักแบบโรแมนติคทำให้ผมรู้สึกเคลิบเคลิ้ม ผมไม่ได้รับความรู้สึกสบายอกสบายใจใดๆเลยจากความรู้ที่ว่า กิเลสตัณหาของผม มันเป็นผลอันเนื่องมาจากการไหลเวียนในกระแสโลหิตเกี่ยวกับสารสเตรอยด์(ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่พัฒนาอวัยวะที่เป็นสัญลักษณ์ทางเพศ), และเทสโทสเทโรน(ฮอร์โมนเพศชาย). ความบริสุทธิ์ที่จวนเจียนเป็นความปิติสุขทางจิตวิญญานมาจากการค้นพบของวิทยาศาสตร์, หรือจากทฤษฎีที่ฟังดูดี. แต่อันที่จริง คุณภาพของข้อมูลมันต่างไปจากการปลุกเร้าอันเร่าร้อนจากจดหมายรักฉบับหนึ่ง หรือความผูกพันที่เรามีต่อกัน

ความพอใจเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์มันอยู่ในใจ แต่ดนตรีและบทกวีมันปลุกเร้าและกระตุ้นหัวใจเรา เราพยายามที่จะทำให้วิทยาศาสตร์เป็นที่นิยมชมชอบขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เราจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ทั้งนี้เพราะ ม่ใช่แค่เพียงเป็นเรื่องแปลกและไม่เป็นธรรมชาติเท่านั้น แต่วิทยาศาสตร์มันไร้อารมณ์และความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง. ความจริงของวิทยาศาสตร์และความน่าเคารพของมันขึ้นอยู่กับการยืนยันที่ซื่อสัตย์ ซึ่งอันที่จริงมันไม่เคยเป็นเช่นนั้นเลย. อันนี้อาจเป็นเหตุผลว่า ทำไมดนตรีที่ยิ่งใหญ่จึงไม่เคยยกย่องวิทยาศาสตร์ด้วยการบรรเลงเพลงสรรเสริญเลย

เมื่อเราเปลี่ยนมาที่นวนิยายวิทยาศาสตร์ อย่างเช่นชุดนวนิยายวิทยาศาสตร์ทางโทรทัศน์เรื่อง Star Trek มันเป็นวิทยาศาสตร์ในรูปแบบหนึ่งที่น่าพอใจ มันได้นำเสนอบางสิ่งซึ่งได้รับมาจากวิทยาศาสตร์ แต่แน่นอน มันดึงดูดใจคล้ายกับความศรัทธามากกว่า

ข้อคิดเห็นและคำวิจารณ์ของ G.K.Chesterton ที่ว่า "สิ่งเหล่านั้นที่มาหยุดความศรัทธาของพวกเขาในพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ไม่เชื่อในอะไรเลย อันที่จริงพวกเขาเชื่อในทุกๆสิ่ง" อันนี้ได้ถูกยกขึ้นมาอ้างกันมากและพูดถึงกันอยู่บ่อยๆ. มันฟังดูดี แต่ไม่ได้ผ่านการทดสอบที่จริงจังใดๆ. มันเป็นจริงสำหรับความเชื่อต่างๆของพวกบูชาในลัทธิ แต่เป็นสิ่งที่ไม่ได้รับความสนใจจากผู้ที่ไม่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า ผู้ซึ่งเข้มแข็งในศรัทธาของพวกเขาในการไม่มีอยู่ของพระองค์ เช่นเดียวกันกับคริสเตียนทั้งหลายที่มีศรัทธาของพวกเขาในพระผู้เป็นเจ้า

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า(atheists)[พวกนี้ต่างจาก agnosticist ซึ่งสงสัยในความจริงของศาสนา] ยังมั่นใจว่า ความศรัทธาของพวกเขามาจากต้นตอที่แท้จริงของความรู้ นั่นคือวิทยาศาสตร์. ผมไม่ใช่ผู้ที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้า และก็ไม่ได้มีศรัทธาในศาสนาด้วยคนหนึ่ง; ผมได้ให้ความไว้วางใจ - ซึ่งไม่ใช่ศรัทธา - ในวิทยาศาสตร์

บางทีวิทยาศาสตร์จะไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่านิยมสักเท่าไร และวิทยาศาสตร์ที่น่านิยมชมชื่นก็เป็นวิทยาศาสตร์กำมะลอ เพราะสาธารณชนต้องการความแน่นอน. พวกเขาคาดหวังความแน่นอนจากบรรดาผู้นำของเขา และพวกเขาคาดหวังสิ่งเดียวกันนี้จากโบสถ์ต่างๆที่เขาศรัทธาด้วย เมื่อมาพิจารณากันถึงผู้นำทางการเมืองทั้งหลาย ความสงสัยอะไรก็ตาม ที่พวกเรามีเกี่ยวกับ John Kennedy ในฐานะคนๆหนึ่ง มันไม่มีปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติพิเศษที่ดึงดูดใจของเขา และเราทั้งหมดรู้สึกถึงการตายของเขาอย่างรุนแรง.

ผมมองว่า Charles de Gaulle เป็นคนที่มีความเคืองแค้น ซึ่งปฏิเสธประเทศของผมให้มีโอกาสเข้าร่วมกับยุโรปในการก่อตัวของมันขึ้นมา และในฐานะหุ้นส่วนที่มีฐานะเท่าเทียมกัน เขาบีบบังคับให้เราต้องรอคอยจนกระทั่งเรารู้สึกอ่อนล้าที่จะอ้อนวอนต่อไป แต่ผมก็ยอมรับในความโดดเด่นของเขา ในฐานะผู้นำที่เข้มแข็งและผู้นำอันเป็นที่ต้องการมากของฝรั่งเศส. ณ เวลาที่เขาปฏิเสธพวกเรา, พวกเราน่าจะมีผู้นำซึ่งมีคุณภาพที่พอจะเปรียบเทียบกันได้กับเขา แต่เรากลับมี Anthony Eden และ Harold Wilson แทน

เมื่อผมพูดถึงวิทยาศาสตร์ ผมไม่ได้คิดถึงเทคโนโลยี ผมไปคิดถึงการสะสมและการเพิ่มพูนความรู้และความเข้าใจจำนวนมหาศาลเกี่ยวกับชีวิตและจักรวาล มันคือการครอบครองอันล้ำค่ามากที่สุดของเรา แต่ยกเว้นผู้มีศรัทธาหรือหมกมุ่นกับมัน ส่วนใหญ่จะไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรมากเกินไปกว่าห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือในภาษาต่างประเทศ

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่ใช่ศัพท์คำพ้อง แต่วิทยาศาสตร์ได้ให้แรงดลใจหรือกระตุ้นให้เกิดความสามารถในเชิงสร้างสรรค์ของเทคโนโลยี ซึ่งมันได้ให้แรงบันดาลใจเราเทียบเท่ากับการทำงานศิลปะ อย่างเช่น ความสมบูรณ์แบบเกี่ยวกับระยะทอดของสะพาน, ความงดงามของเครื่องบินอย่างเช่นเครื่องบิน Concorde, หรือภาพที่เรามองเห็นดาวเคราะห์ต่างๆจากอวกาศ. พวกเรามองเห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ ดังที่ได้รับมาจากการมองดูภาพเขียนบนผนังโบสถ์ขนาดใหญ่ หรืองานจิตรกรรมที่เขียนขึ้นโดย Vermeer

เช่นเดียวกับนวนิยายเกี่ยวกับการฆาตกรรมอันลึกลับ ข้อเท็จจริงจะค่อยถูกเปิดเผยออกมาโดยความอดทน ซื่อสัตย์ และการค้นคว้าเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับธรรมชาติ ซึ่งจะค่อยๆบอกเราเกี่ยวกับต้นตอกำเนิดต่างๆของมนุษย์. พวกเขาจะจัดหาคำอธิบายที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับวิวัฒนาการของเรา เกี่ยวกับโลก และจักรวาล

โดยเปรียบเทียบ กับแหล่งที่มาของความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงในตำรับตำราต่างๆของศาสนาทั้งหลาย และที่มาอื่นๆซึ่งได้ให้แรงบันดาลใจในบทกวี รวมทั้งจินตนาการอันน่าฉงนสนเท่ห์ของผู้คนในยุคดึกดำบรรพ์ ถูกต้อง วิทยาศาสตร์ได้ขยับตัวไปจากศาสนาต่างๆ ศิลปะ และปกรณัมโบราณของผู้คนยุคดึกดำบรรพ์. หน้าที่ของวิทยาศาสตร์ก็เพื่อจะมารับใช้ในฐานะที่เป็นต้นตอของความรู้เกี่ยวกับชีวิตและจักรวาล แต่ดูเหมือนว่า มันค่อนข้างจะเป็นศาสนาใหม่มากกว่าวิทยาศาสตร์ไปแล้ว ทั้งนี้เพราะมันกลายเป็นแนวนำทางด้านศีลธรรมอันหนึ่ง และความแน่นอนของมันนั่นเอง

พวกเราไม่เพียงต้องการความแน่นอนเท่านั้น เราดูเหมือนว่ายังต้องการความแน่นอนที่มีคุณสมบัติเหนือธรรมชาติด้วย(transcendental quality). วิทยาศาสตร์ไม่เคยสามารถที่จะให้สิ่งนี้กับเราได้ มันเยือกเย็นเกินไป และมีเหตุผลมากไป บ่อยครั้งดูเหมือนว่าจะสวนกันกับสามัญสำนึกที่มีร่วมกัน. พวกเรามิได้วิวัฒน์ขึ้นมาเพื่อกระทำการอย่างมีเหตุผล บ่อยครั้งที่ปฏิบัติการส่วนใหญ่ของเราเป็นไปอย่างได้ผล โดยการกระทำที่ไร้สำนึก และโดยสหัชญาน

แม้กระทั่งในทางวิทยาศาสตร์ เมื่อเราได้ค้นพบสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หลายครั้งมากที่เราค้นพบสิ่งนั้น มันคือเนื้อในของเปลือกนอก, เป็นแก่นแท้โดยสหัชญาน ดุจดั่งการรุกล้ำเข้าไปในยามค่ำคืน. ส่วนที่เป็นเรื่องของเหตุผลมันจะมาทีหลังในฐานะที่เป็นการอธิบาย

มันเป็นธรรมชาติของเราที่ต้องการบางสิ่งที่จะดำเนินรอยตาม และเพื่อกำหนดวางหรือสร้างความเป็นอยู่ของเรา เช่น บางสิ่งบางอย่างที่ให้แรงดลใจต่อเราในการสร้างโบสถ์หรือมหาวิหารขึ้นมา ซึ่งเราสามารถยกย่องสรรเสริญมันได้ด้วยดนตรีอันไพเราะหรือศิลปะอันล้ำเลิศ. วิทยาศาสตร์เท่าที่เป็นมา มันล้มเหลวอย่างน่าสังเวชที่จะสร้างแรงดลใจดังกล่าวขึ้นมา

Lewis Wolpert เข้าใจในเรื่องเหล่านี้ ในหนังสือของเขา The Unnatural Nature of Science ได้พูดถึงวิทยาศาสตร์ที่ไม่เป็นธรรมชาติดังกล่าว. ลักษณะที่ปลีกตัวหรือแยกออกไป, ความเป็นผู้เชี่ยวชาญ, และความไร้อารมณ์ของวิทยาศาสตร์ ได้นำมาซึ่งชัยชนะต่างๆของฟิสิกส์อนุภาค และโมเลกุล. ส่วนชีววิทยา neo-Darwinist ก็ไกลห่างจากแรงขับภายในที่เข้มแข็งซึ่งกระตุ้นปลุกเร้าพวกเราทั้งหลาย และอันนี้คือเหตุผลที่ว่าทำไมมันจึงดูไม่เป็นธรรมชาติ

Crick และ Watson จะต้องรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง ขณะที่โครงสร้างของเกลียวที่ซ้อนกันของ DNA ได้ผุดขึ้นมาภายในใจของพวกเขา. วิทยาศาสตร์ในตัวมันเอง ได้พัฒนามาจากเส้นทางอันยาวไกลของการค้นคว้าแบบมืออาชีพที่เป็นไปอย่างอุตสาหะ. ส่วนการค้นคว้าอันหนึ่งที่มนุษย์จริงๆต้องการหรือปรารถนา เขาอยากจะใช้การคาดเดา หรือใช้ทางลัดที่เข้าหาความจริง ทว่าพวกเขาต่างก็ถูกยับยั้งเอาไว้ทั้งหมดโดยวินัยของวิทยาศาสตร์ที่ครอบอยู่ข้างบน. ความรู้สึกและแรงกระตุ้นของเราอาจมีคำอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ แต่วิทยาศาสตร์มีอิทธิพลน้อยมากในห้องหับแห่งหัวใจของเรา ที่ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้ทำงานของมันอยู่

พวกเรายังคงเป็นสัตว์ที่ต้องวิวัฒน์กันต่อไป สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่กินเนื้อ อยู่กันเป็นชนเผ่า. อันที่จริง ความคิดได้ปลีกออกไปและจินตนาการเป็นเพียงเรื่องผิวนอก; สิ่งที่ขับเคลื่อนเราที่แท้จริงคือความรู้สึกเกี่ยวกับความหิวและความต้องการ, เป็นเรื่องของความรัก, ความเกลียด, ความกลัว และสาร(message)ที่มากระทบกับประสาทสัมผัสของเรา บ่อยครั้งสิ่งเหล่านี้ มันเป็นสิ่งซึ่งมาก่อนอื่นใด

อาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่ Bertrand Russell แสดงความคิดเห็นเอาไว้ว่า, "มนุษย์โดยเฉลี่ยจะเผชิญหน้ากับความตายหรือความเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าเรื่องความคิด" แต่ความรู้สึกต่างๆมันมาก่อนใคร เพราะพวกเราคือสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เราเคารพต่อลำดับชั้นสูงต่ำและดำเนินรอยตามผู้นำ. เรามีสัญชาตญาน บางทีคือยีนของเราที่ต้องการผู้นำเผ่า: บางคนกลัว, บ้างก็บูชาและเคารพ และกระทำตามบัญชาโดยปราศจากข้อสงสัยหรือคำถาม และถ้าจำเป็นก็ตายแทนได้

มีคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่สงสัยในตัวผู้นำเผ่า และเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า และได้ส่งเสียงสะท้อนอันดังกึ่งก้องขึ้นมา. ปกติแล้ว ศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งของเผ่า. พวกเราดูเหมือนว่าต้องการสร้างหลักเกณฑ์เกี่ยวกับความเชื่อทางการเมือง ศาสนา และกระทั่งความเชื่อฟังทางวิทยาศาสตร์ เราทำมันขึ้นมาจนเป็นตำนานอันหนึ่ง ในไม่ช้า ตำนานดังกล่าวก็กลายมาเป็นความจริงสำหรับเรา เกี่ยวกับผู้นำของเรา และเผ่าพันธุ์

สิ่งที่ทำให้ตำนานวิทยาศาสตร์มีความพิเศษก็คือ สมรรถนะหรือความสามารถของมันในเรื่องของความถูกต้อง; ส่วนตำนานอื่นทั้งหมดค่อยๆสูญเสียความน่าไว้วางใจไปจากความเป็นจริง จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงที่มาโค่นล้มพวกมันลงไป

ผมมองว่าเรามีข้อจำกัดค่อนข้างมากในความเข้าใจ เต็มไปด้วยความหยิ่งผยองทะนงตนจนเกินไปในปัญญาญานเกี่ยวกับการค้นพบ ซึ่งเราไม่สามารถจินตนาการได้ถึงความร้ายกาจของสิ่งที่เราไม่รู้ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจากการค้นพบเหล่านั้น ท่ามกลางบรรดานักวิทยาศาสตร์ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่คนที่มองเห็นเรื่องนี้ก็คือ J.B.S.Haldane, ผู้ที่เขียนว่า "ข้อสงสัยของผมก็คือว่า จักรวาลไม่ใช่เพียงสิ่งที่น่าประหลาดใจเกินไปกว่าที่เราจินตนาการเท่านั้น, แต่มันยังน่าประหลาดเกินกว่าที่เราสามารถจินตนาการได้".

ลองมาพิจารณาเรื่องหมากับแมว. สัตว์ทั้งสองชนิดนี้มีจิตสำนึก และมีวิธีการของมันในการรู้จักกับโลก. ในรายละเอียดบางประการ อย่างเช่น โลกของการดมกลิ่น พวกมันรู้รู้จักโลกเช่นนั้นได้ดีกว่าที่เรารู้ แต่เราก็รู้อะไรมากมายเเกี่ยวกับชีวิตและจักรวาลเกินกว่าที่มันจะรู้ได้. มาถึงตรงนี้ พยายามจินตนาการถึงสัตว์ประเภทหนึ่งซึ่งมีสติปัญญาและเฉลียวฉลาดเกินกว่าพวกเรา. สัตว์ประเภทนั้นจะมองความพยายามของเราในเรื่องจักรวาลวิทยาและเทววิทยาอย่างไร ? แม้ว่าเราอาจยกย่องสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า ดังที่เราฝ่าห่ากระสุนมาได้ แต่เราไม่เคยลังเลใจที่จะเรียกร้องว่า นักวิทยาศาสตร์ควรจะแสดงบทบาทของเขาในการประดิษฐ์ปืนและกระสุนให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก

พลังของวิทยาศาสตร์ที่ชนะสงครามได้ช่วยให้มันเข้ามาแทนที่ศาสนา แต่น่าประหลาดใจที่ว่า วิทยาศาสตร์เข้าใจว่าไม่มีเขตแดนของเผ่าพันธุ์หรือพรมแดนของประชาชาติ มันพูดด้วยภาษาเพียงภาษาเดียวกับคนทุกคนบนโลก และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับความไว้วางใจของเรา. กระนั้น, วิทยาศาสตร์ก็เย็นเยือกและได้คร่าเอาความรู้สึกไป และไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่เราจะบูชาหรือสักการะมันได้; โดยวิทยาศาสตร์ที่ล้อมรอบเราอยู่ เราได้สูญเสียคำปลอบโยน ความรู้สึกสบายใจที่ศรัทธาในศาสนา ซึ่งศาสนาได้นำมาให้เรา

อย่างไรก็ตาม นี่อาจเป็นทัศนะที่ผิด: เป็นไปได้ว่า วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ค่อยๆพัฒนาความสามารถอันหนึ่งที่จะให้ความสุขสบายเช่นเดียวกับการให้ข้อมูลกับเรา. ความอ่อนแอของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนี้ มันยังคงเป็นเรื่องการตกหลุมรักในคตินิยมแบบลดทอน(reductionism)[การวิเคราะห์สิ่งที่มีความสลับซับซ้อนลงมาให้เหลือเพียงองค์ประกอบง่ายๆ] แต่มันมักจะไม่เป็นเช่นนี้เสมอไป

James Hutton ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในคริสศตวรรษที่ 18 และได้รับการเรียกขานว่า บิดาแห่งธรณีวิทยา เป็นคนแรกที่มองเห็นว่า โลกของเรานั้น มันมีอายุเก่าแก่กว่าประวัติศาสตร์ของมนุษย์; และฉุกคิดถึงความเป็นไปได้ที่ว่า โลกเป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่และควรที่จะถูกศึกษาโดยสรีรวิทยา. วิทยาศาสตร์ของ James Hutton เป็นทั้งคตินิยมลดทอนและองค์รวมทั้งหมด ถึงแม้ว่าความคิดของ Descartes, ทัศนะจากบนลงล่าง และจากล่างขึ้นบนจะมีอยู่ร่วมกันในใจของบรรดานักวิทยาศาสตร์เป็นจำนวนมากในช่วงนั้นก็ตาม

ผมหวังว่า ในศตวรรษใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้(บทความนี้เขียนขึ้นก่อนเปลี่ยนศตวรรษ) จะพาเราย้อนกลับไปสู่ดุลยภาพของวิทยาศาสตร์. ใบหน้าอันเย็นชาและไร้อารมณ์ของวิทยาศาสตร์คือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคตินิยมแบบลดทอน มันเป็นการถอดเอาทุกสิ่งออกจากกันเพื่อค้นหาว่ามันทำงานกันอย่างไร ? อันนี้มันได้มาถึงจุดต่ำสุดแล้วในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางด้านชีววิทยาที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ (vivisection of biology) ซึ่งเด่นชัดมาก.

การวิจัยเกี่ยวกับสัตว์ที่มีชีวิต ผมรู้สึกว่ามันเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เราควรทำ เพียงเมื่อมันมีความจำเป็นสูงสุดเท่านั้น และหากว่าต้องทำ ก็จะกระทำด้วยความเคารพที่มีต่อชีวิต เช่นเดียวกับที่ชาวชนบทคนหนึ่งแสดงให้เห็นเมื่อเวลาที่เขาตัดต้นไม้ เขากระทำเช่นนั้นโดยปราศจากความเต็มใจที่จะทำลงไป

การนำสัตว์มาทดลอง ดังที่พวกเราทำกันอยู่เป็นจำนวนมากในทุกวันนี้คล้ายกับเป็นงานประจำ ไม่เพียงเป็นเรื่องที่ไร้ศีลธรรมเท่านั้น แต่มันยังเป็นความโง่และวิธีการที่ไร้ประสิทธิภาพเกี่ยวกับการทำงานด้วย ถ้าหากว่าผมต้องการรู้และเข้าใจว่าคอมพิวเตอร์ทำงานอย่างไร ก่อนที่จะลงมือทำงาน สิ่งที่โง่บรมที่สุดสำหรับผมที่จะทำก็คือ ถอดเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นออกมาเป็นชิ้นๆและทำการวิเคราะห์ทางเคมีถึงองค์ประกอบเกี่ยวกับส่วนต่างๆของมัน. จะเป็นการดีกว่ามาก หากจะใช้วิธีการสอบถามมันผ่านการพิมพ์คำถามด้วยแป้นพิมพ์ดีด และอ่านคำตอบบนหน้าจอแทน นั่นคือวิธีการเข้าถึงมันได้โดยรวม(holistic approach)

ความจริงอย่างเดียวกันนี้เกี่ยวกับเรื่องของสัตว์ ให้เราลองจินตนาการถึงหุ่นยนต์ที่มีสติปัญญาตัวหนึ่ง ซึ่งต้องการที่จะรู้ว่ามนุษย์ทำงานอย่างไร. คุณยินดีที่จะให้มันตั้งคำถามกับคุณและก็ทำการบันทึกคำตอบต่างๆของคุณ แต่ไม่ใช่ให้มันมาหั่นคุณเป็นชิ้นๆเพื่อทำการวิเคราะห์. แน่นอน, เรายังต้องการวิทยาศาสตร์คตินิยมลดทอน หรือวิทยาศาสตร์แบบแบ่งซอยแยกส่วน แต่เราจะต้องไม่ยอมให้มันมาครอบงำ

Mary Midgley, นักปรัชญา เมื่อเร็วๆนี้ได้เตือนเราให้ระลึกถึง Gaia (กายา) ซึ่งมีอิทธิพลเหนือกว่าวิทยาศาสตร์. เธอกล่าวว่า "เหตุผลที่ว่าทำไม ความคิดอันนี้จึงสอดแทรกเข้ามาในความสนใจของเราก็เพราะว่า มันได้มาแก้ไขจุดบอดที่ยิ่งใหญ่และหายนะภัยในโลกทัศน์ร่วมสมัยของเรานั่นเอง. มันเตือนเราว่า เราไม่ได้ถูกแบ่งแยก, มิได้เป็นอิสระโดยสิ้นเชิง.

ยุคสว่าง หรือ Enlightenment เป็นความพยายามในเชิงศีลธรรมที่ลึกซึ้งที่สุดของวัฒนธรรม ที่ได้สถาปนาอิสรภาพของเราขึ้นมาในฐานะปัจเจกชน. การกระทำที่นำไปสู่เป้าหมายอันนั้นได้สร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่มาก แต่ก็เหมือนกันกับการปฏิบัติเพื่อไปสู่เป้าหมายทางศีลธรรมทั้งหลายคือ มันเป็นด้านเดียว และมีต้นทุนสูงเมื่อบริบทกว้างๆได้ถูกหลงลืมและละเลยไป

หนึ่งในต้นทุนเหล่านี้ก็คือความแปลกแยกไปจากโลกกายภาพ. เธอกล่าวต่อไปว่า "เราได้กันทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์ออกไปอย่างระมัดระวังจากระบบคุณค่าของเรา และลดทอนระบบนั้นลงมาในเทอมของผลประโยชน์ส่วนตัวของปัจเจก

เราอาจจะรู้สึกงงวย - แน่นอนที่มีมนุษย์อื่นๆซึ่งเป็นแบบนี้ - เกี่ยวกับการตระหนักหรือสำนึกถึงสิทธิของสรรพสิ่งทั้งมวลที่อยู่รายรอบพวกเรา. โลกวัตถุ เป็นโลกที่เราเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่จะรวบเอามาไว้ทั้งหมดเพียงผู้เดียว. คำศัพท์ทางศีลธรรมของเราและคำศัพท์เกี่ยวกับกายภาพ ขลิบเล็มข้อตกลงทางสังคมอย่างระมัดระวัง โดยไม่ทอดทิ้งภาษาซึ่งตระหนักถึงวิกฤตของสภาพแวดล้อม

Mary Midgley ได้พูดถึงวิทยาศาสตร์ด้วยวิสัยทัศน์ของเธอ เกี่ยวกับความแปลกแยกของเราจากโลกทางวัตถุ. ปัจจุบัน เรารู้มากพอเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่และระบบโลก และเห็นว่า เราไม่สามารถที่จะอธิบายพวกมันได้โดยวิทยาศาสตร์ที่ยึดถือคตินิยมแบบลดทอน และวิทยาศาสตร์แบบแบ่งซอยแยกส่วนเพียงลำพัง. ความผิดพลาดอย่างลึกซึ้งของชีววิทยาสมัยใหม่ก็คือ ความเชื่อที่ยึดมั่นกันว่า ระบบชีวิตมันมีปฏิสัมพัทธ์เพียงกับระบบชีวิตอื่นๆ และเพียงปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมทางวัตถุของพวกมันเท่านั้น. อันนี้คือความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ เท่าๆกันกับความเชื่อที่ว่า ผู้คนของหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านของพวกเขา เพียงเพื่อปรับตัวต่อเงื่อนไขต่างๆทางวัตถุเกี่ยวกับบ้านที่พวกเขาพำนักพักพิงอยู่

ในชีวิตจริง ทั้งผู้คนและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายต่างแลกเปลี่ยนสภาพแวดล้อมต่อกัน เช่นเดียวกับการปรับตัวของตัวเอง. สิ่งที่เป็นสาระสำคัญคือ ผลที่ตามมา: ถ้าการแลกเปลี่ยนดังกล่าวมันดีขึ้น หากเป็นเช่นนั้น ผู้ที่ทำมันก็จะเจริญรุ่งเรือง; แต่ถ้าเผื่อว่ามันเป็นไปในลักษณะที่เลวลง เป็นไปได้ที่การแลกเปลี่ยนกันนี้จะสุ่มเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์

วิทยาศาสตร์แบบคตินิยมลดทอน(แบ่งซอยแยกส่วน)เจริญขึ้นมาจากตรรกะเกี่ยวกับการทำงานของนาฬิกาของ Descartes. มันสามารถอธิบายสิ่งมีชีวิตได้เพียงบางส่วนเท่านั้น. สิ่งมีชีวิตทั้งหลายยังใช้ตรรกะในลักษณะวงจรของระบบต่างๆ ที่ซึ่งเหตุและผลมาผสมกัน และนั่นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของการปรากฎตัวขึ้นมา

น่าแปลก, รัฐบุรุษคนหนึ่งได้น้อมนำให้ผมตระหนักถึงความคิดต่างๆในทำนองเดียวกันกับสิ่งที่ผมได้ยินมาจาก Mary Midgley. บุคคลที่แกล้วกล้าและสูงส่ง, Vaclav Havel ปลุกเร้าให้ผมมองว่า วิทยาศาสตร์สามารถที่จะวิวัฒน์จากการติดตันอยู่ในคุกแห่งการลดทอนแยกส่วนที่ตัวมันเองยอมรับออกมาได้. ความกล้าหาญของเขาต่อความทุกข์ยากลำบากทำให้คำพูดของเขามีพลังอำนาจ. ตอนที่ Havel ได้รับรางวัลเหรียญแห่งอิสรภาพของสหรัฐฯ เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ในวันรับมอบเหรียญว่า "พวกเราไม่ได้อยู่กันเพียงลำพัง และไม่ได้อยู่เพื่อพวกเราเพียงเท่านั้น".

เขาได้เตือนเราให้รำลึกถึงว่า วิทยาศาสตร์ได้เข้ามาแทนที่ศาสนาในฐานะที่เป็นแหล่งของความรู้ แต่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ไม่ได้ให้การน้อมนำทางศีลธรรมใดๆเลย. เขายังกล่าวต่อไปว่า วิทยาศาสตร์แบบองค์รวมเมื่อเร็วๆนี้ได้ให้บางสิ่งบางอย่างที่ได้มาเติมเต็มความว่างเปล่าทางศีลธรรมอันนี้. เขาอ้างถึงหลักการ anthropic principle (หมายถึง แนวคิดจักรวาลวิทยาที่ว่า ทฤษฎีต่างๆเกี่ยวกับจักรวาลได้ถูกจำกัดโดยความจำเป็นเพื่อยอมให้กับการดำรงอยู่ของมนุษย์เท่านั้น) ที่ได้อธิบายว่า ทำไมเราจึงมาอยู่ที่นี่, และ Gaia (กายา)คือบางสิ่งบางอย่างซึ่งพวกเราจะต้องรับผิดชอบ. ถ้าหากว่าเราให้ความเคารพและบูชาดาวเคราะห์ของเรา มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเช่นดียวกันกับสรรพสิ่งบนโลก. บางที คนเหล่านั้นผู้ซึ่งมีศรัทธาอาจจะเห็นว่า นี่คือเจตจำนงหรือพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าด้วย

ผมไม่คิดว่า ประธานาธิบดี Havel กำลังเสนอศาสนาใหม่ที่มีฐานอยู่ที่ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกอันเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง. ผมได้นำเอาข้อแนะนำนั้นมาปฏิบัติซึ่งต่างออกไปเลยทีเดียว และคิดว่าเขาได้ให้วิถีชีวิตในแนว agnostics Gaia (กายา) มีความเกี่ยวพันกับจริยธรรมที่มาจากกฎที่เข้มแข็ง 2 ข้อด้วยกัน.

กฎข้อที่หนึ่ง กล่าวว่า เสถียรภาพหรือความมั่นคง และความสามารถในการฟื้นคืนไปสู่ปกติในระบบนิเวศวิทยาและระบบโลก ต้องการการคงอยู่ของสภาพแวดล้อมที่มีการเตรียมพร้อมที่มั่นคงแน่นหนา หรือมีการควบคุมที่แน่นอน
กฎข้อที่สอง กล่าวว่า คนเหล่านั้นผู้ที่มีชีวิตอยู่อย่างดีกับสภาพแวดล้อม ชื่นชมต่อการคัดเลือกพืชผลของพวกเขา.

ลองจินตนาการถึงคำสอนต่างๆที่มีพื้นฐานอยู่บนกฎเกณฑ์เหล่านี้. พิจารณาถึงกฎข้อแรก ที่เชื้อเชิญหรือน้อมนำไปสู่การควบคุม. ผมสามารถมองเห็นคนที่พยักหน้าหงึกหงักแสดงการยอมรับจากกลุ่มคน. ประสบการณ์ของตัวพวกเขาเกี่ยวกับความต้องการมือที่มั่นคง ในวิวัฒนาการเกี่ยวกับครอบครัวของพวกเขาและในสังคมซึ่งเกิดขึ้นมาพร้อมกับวิวัฒนาการของโลก

กฎข้อที่สอง ความต้องการการดูแลเอาใจใส่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม. กฎข้อนี้ทำให้หวนรำลึกถึงคำๆหนึ่งในการละเมิดที่เลวร้ายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงดาวเคราะห์(terraforming)
- terraforming สำหรับศัพท์คำนี้ มันหมายถึงการแปรสภาพดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งด้วยเทคโนโลยีเพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์. สิ่งที่เลวร้ายหรือแย่มากเกี่ยวกับการแปรสภาพในลักษณะ terraforming คือ วัตถุประสงค์ของมันที่จะสร้างบ้านหลังที่สองสำหรับเราขึ้น เมื่อเราได้ทำลายล้างดาวเคราะห์ของตัวเองลงไปแล้วโดยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่นำไปใช้อย่างผิดๆเพื่อสนองความโลภ.

มันเป็นเรื่องบ้าบอที่จะคิดถึงการเปลี่ยนแปลงดาวอังคารที่เป็นทะเลทรายด้วยรถแทรกเตอร์หรือบูลโดเซอ และทำให้มันเป็นแปลงพืชเกษตรขนาดใหญ่ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกันบางอย่างกับโลกของเรา ในเมื่อเราควรที่จะปรับปรุงวิถีการดำรงชีวิตของเราบนโลกใบนี้มากกว่า.
กฎข้อที่สองยังเตือนเราเกี่ยวกับผลที่จะตามมาถึงมนุษย์ที่ไร้การควบคุม.

ในช่วงต้นของประวัติศาสตร์อารยธรรม เราต่างก็สำนึกกันแล้วว่าการบูชาตัวเองจนเลยเถิด จะเปลี่ยนแปลงความเคารพในตัวเองไปสู่ความหลงใหลในตัวเอง(narcissism). มันได้ใช้เวลานานเกือบจนกระทั่งปัจจุบันที่ทำให้เราตระหนักว่า ความรักในลักษณะกีดกันสำหรับเผ่าพันธุ์ของเราหรือชนชาติเรา ได้เปลี่ยนความรักชาติไปสู่ความรู้สึกชาตินิยมที่เกลียดกลัวชาวต่างประเทศ(xenophobia nationalism). เราเพิ่งจะมองเห็นเพียงแวบเดียวถึงความเป็นไปได้ที่ว่า การบูชามนุษยชาติ สามารถจะกลายเป็นปรัชญาอันเปล่าเปลี่ยว อ้างว้าง ซึ่งได้ไปกีดกันสิ่งมีชีวิตอื่นๆทั้งหมด อันเป็นหุ้นส่วนชีวิตของเราบนโลกใบนี้ไป. ผึ้งไม่มีวันที่จะสมบูรณ์ได้หากปราศจากรังผึ้ง; สิ่งมีชีวิตทั้งมวลต้องการโลกที่มีวัตถุปัจจัย. พร้อมกันกับโลก เราต่างเป็นหนึ่งเดียวใน Gaia (กายา)

ดาวเคราะห์ของเราเป็นหนึ่งในดาวเคราะห์ที่มีความงดงามอันประณีต: มันได้รับการสร้างขึ้นมาด้วยลมหายใจ เลือดเนื้อ และกระดูกของบรรพบุรุษเรา เราต้องการที่จะรำลึกถึงความรู้สึกเก่าๆเกี่ยวกับโลกในฐานะองค์ระบบชีวิตและสักการะมันอีกครั้ง. Gaia(กายา)คือผู้พิทักษ์ของชีวิตสำหรับการดำรงอยู่ทั้งมวล แต่เรากลับปฏิเสธความห่วงใยของเธอที่มีต่อหายนะของเรา. ถ้าหากว่าเราวางความไว้เนื้อเชื่อใจใน Gaia มันสามารถที่จะเป็นคำมั่นสัญญาอันเข้มแข็งและความปลื้มปิติคล้ายดังการแต่งงานที่เต็มไปด้วยความสุข ที่ซึ่งคู่สมรสได้วางความไว้เนื้อเชื่อใจของพวกเขาในกันและกัน. ก็คล้ายกันกับเรา, ข้อเท็จจริงที่ว่า เธอ(Gaia)เป็นสิ่งที่มีวันตาย ทำให้ความไว้วางใจเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากยิ่งขึ้น.

Gaia ไม่ควรที่จะกลายเป็นศาสนาขึ้นมาศาสนาหนึ่ง เพราะหากเป็นเช่นนั้น มันจะต้องมีโบสถ์และมีการแบ่งลำดับชั้นสูงต่ำเกิดขึ้น. ศาสนาต่างๆทั้งหมดเป็นเรื่องของมนุษย์มากเกินไป และทำผิดมากไป และอยู่ในอันตรายของการจ่อมจมลงภายใต้น้ำหนักของคำสอนที่ไร้ข้อพิสูจน์; ศาสนา Gaian (กาเยียน)ก็ไม่อยู่ในข่ายของข้อยกเว้น

Gaia เป็นส่วนหนึ่งของวิทยาศาสตร์ และด้วยเหตุนี้ มันมักจะมีลักษณะชั่วคราวหรือเฉพาะกาลเสมอ. และโลก คือการปรากฏตัวขึ้นมาเป็นรูปร่างของ Gaia, คือบางสิ่งที่เป็นจริงสำหรับเราเพื่อเคารพและสักการะ. Gaia คือบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราเป็น และไม่เหมือนกับเทพธิดาในจินตนาการ ที่สามารถจะให้รางวัลหรือลงโทษเราได้จริงๆ. สิ่งที่เธอให้คือโลกทัศน์ที่วิวัฒน์ขึ้นมาสำหรับ agnostics และอันนี้เรียกร้องต้องการความไว้วางใจในลักษณะปฏิสัมพันธ์กันใน Gaia, ไม่ใช่ความศรัทธาที่มืดบอด. ความไว้วางใจที่ยอมรับว่า Gaia มีช่วงชีวิตที่มีขีดจำกัดและมีลักษณะชั่วคราว ไม่ใช่นิรันดร์. Gaia ไม่ใช่อีกทางเลือกหนึ่งของศาสนา แต่มันคือองค์ประกอบที่มาเติมเต็มอันหนึ่ง

ศาสนาที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต่างมีข้อบัญญัติทางศาสนาสำหรับเรา สำหรับการดำรงอยู่กับคนอื่นในนิยายแฝงคติของศาสนา. นิยายแฝงคติของ Gaia, คล้ายกับโลกของดอกเดซี, มันมีขึ้นมาเพื่อโลก. โลกของเดซีเป็นภาพหรือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นการมีวันสิ้นสุดของ Gaia และสำหรับการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งที่เรากระทำกับสภาพแวดล้อมของเรา มันจะมีผลลัพธ์ตามมา

มาถึงตอนนี้ วันเกิดครบรอบ 80 ปีของผมได้ผ่านพ้นไปแล้ว ผมได้มีส่วนในความรู้สึกต่างๆที่จะต้องเจ็บปวดทรมาน ร่วมกับคนหนุ่มสาวบางคนผู้ซึ่งได้ยินว่า เขาหรือเธอมี HIV positive. ช่วงชีวิตที่เป็นไปได้ของเรามันอาจเหลือเพียงประมาณ 10 ปี - หรือเราอาจจะมีชีวิตเหลืออยู่เพียงแค่ 3 ปี - หรือ 20 ปีถ้าเป็นไปได้. สิ่งที่เราทั้งคู่ต่างก็รู้ก็คือว่าความเสื่อมนั้นกำลังเดินไปพร้อมกับเรา และมันน่าแปลก, แต่ก็รู้สึกสบายใจที่รู้จัก Gaia, ซึ่งเธอมีความรู้สึกที่จะมีส่วนร่วมปันในความรู้สึกของเราที่ว่า ช่วงเวลาดังกล่าวกำลังหดสั้นลง...

ก็เหมือนกับผู้หญิงจำนวนมาก Gaia ไม่ค่อยจะเต็มใจนักที่จะเปิดเผยถึงอายุของตัวเอง แต่เรารู้ว่ามันจะต้องปิดฉากลงเช่นกัน. เราคิดว่า อย่างมากที่สุด เธอจะมีเวลาอีกเพียงหนึ่งพันปีเท่านั้นซึ่งจะต้องจากโลกเราไป. การไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงได้เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความร้อนของดวงอาทิตย์ ดังที่มันเคลื่อนไปสู่ห้วงเวลาอันจำกัดที่ไม่มีความมั่นคงของความชราภาพที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายสำหรับสรรพชีวิตทั้งมวลบนโลก ถ้าเราเปลี่ยนแปลงสัดส่วนอันนั้น โดยการหารอายุของ Gaiaด้วย 50 ล้านปี คำตอบก็จะได้เลข 80 .

ถ้าเปรียบกับมนุษย์, Gaia ก็เหมือนกับตัวผม คือคนที่มีอายุล่วงเข้าวัย 80 แล้ว.

อาจรู้สึกประหลาดใจ เมื่อผมไม่เชื่อต่อไปอีกแล้วที่ว่า ผมไม่ได้มีส่วนร่วมปันกับความเศร้าโศกของ Philip Larkin เกี่ยวกับความตายที่ใกล้จะมาถึง ดังนั้นจึงแสดงออกมาในบทกวีอย่างเจ็บปวดของเขาที่ชื่อว่า Aubade (หมายถึงคนรักที่ต้องจากไปยามรุ่งสาง). หรือว่าผมไม่ได้มีส่วนร่วมกับทัศนะของ Ludovic Kennedy จากการที่เขามีอายุล่วงเข้าวัย 80 ที่ซึ่งเขาได้เห็นภาพของตัวเองเดินทอดน่องไปเรื่อยๆเพื่อรอเที่ยวบินที่จะนำไปในสถานที่ซึ่งไม่เป็นที่รู้จัก. เขาสารภาพว่าไม่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า และบางที นี่คือเหตุผลว่าทำไมเวลาที่ผ่านไปจึงทำให้เขายุ่งยากใจ

ผมใส่ใจต่อความนึกคิดเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายของคน ซึ่งเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายอาจเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ผมก็ไม่ใช่ผู้ไม่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า. พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ มาถึงตอนนี้มันเข้มแข็งมากพอสำหรับผม ที่จะลองและวางความไว้เนื้อเชื่อใจของตัวเองให้กับ Gaia. มันรู้สึกสบายใจที่จะคิดว่า ผมเป็นส่วนหนึ่งของเธอ และรู้ว่า ชะตากรรมของผมจะต้องผสมรวมกันกับองค์ประกอบทางเคมีของดาวเคราะห์ที่มีชีวิตของเรานี้...

กลับไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

แสดงความคิดเห็นที่กระดานข่าว

 

 

 

contents page
member page
webboard
H
Together with the Earth, we are one in Gaia : James Love Lock
การสมัครเป็นสมาชิก มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้ความรู้มาฟรีๆ