นางออล์ไบรท์ เมื่อเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศบอกเลยครับ ตอนที่นายโคฟี่ อันนันเลขาธิการสหประชาชาติ ไปเจรจากับอิรัก ถ้าผลการเจรจานั้น สหประชาชาติตกลงกับอิรักได้ แต่ถ้าสหรัฐฯไม่พอใจ จะไม่รับข้อตกลงอันนั้น นี่คือ Double satndard ครับ
สหรัฐฯประกาศห้ามทุกประเทศขายสินค้าให้อิรัก เด็กอย่างเดียวนะครับ ปีหนึ่งเด็กตายถึง 5 แสนคนในอิรัก เพราะอาหารไม่พอ ยาไม่พอ. นางออล์ไบรท์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศในตอนนั้นไม่ได้ปฏิเสธความข้อนี้ครับว่า สหรัฐฯเป็นต้นตอให้เด็กตายปีละ 5 แสนคน แต่เราไม่มีทางเลี่ยงเพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ชอบทำซึ่งเราต้องทำ. นี่ Double Standard
ฉะนั้นผมจึงบอกว่า สิ่งที่
เกิดขึ้นมาสหรัฐฯนั้น
เป็นความรุนแรง เป็นความขัดแย้ง แต่นายบุชไม่ได้หาทางแก้ไขความขัดแย้ง ไม่จำต้องใช้วิธีการของชาวพุทธครับ
วิธีของศาสนาคริสต์ที่นายบุชอ้างว่านับถือนั่นน่ะ แก้ไขด้วยวิธีนั้นนะครับ
ผมพูดตลอดเวลาเลยว่าสหรัฐฯจะคงความเป็นผู้นำในโลกนี้ได้สำหรับสหัสวรรษนี้ ทำอย่างไรครับ
ก็ทำตามที่พระเยซูสอนซิครับว่า ใครมาตบแก้มซ้ายเราก็เอียงแก้มขวาให้ นายบุชก็พูดว่า
ใครมาทำร้ายเรา ตึกที่ทันสมัยที่สุดของเรา ฆ่าคนไปกว่า 2-3 พันคน เราเศร้าเสียใจมากเลย
แต่เราเชื่อในพระเยซูเจ้าว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร พระเยซูพูดคล้ายๆพระพุทธเจ้านะครับในเรื่องนี้
ต้องให้อภัย แล้วมาจับเข่าคุยกัน หาทางแก้ไข
เพียงเท่านี้ครับ
นายบุชจะได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพ และคนอเมริกันทั้งหมดจะไม่สดุ้งหวาดกลัวอะไรเลย
อย่าลืมนะครับ คนในเอมริกาเวลานี้
สะดุ้งหวาดกลัวตลอดเวลา...
คนที่เขามาทำลาย World Trade Center ก็ดี ตึก Pentagon ก็ดี เขาไม่มีวิธีสู้อย่างอื่นครับ
เขาจะเอาระเบิดไปทิ้งอย่างที่สหรัฐฯทำ เขาทำไม่ได้ เขาจะมีแสนยานุภาพอย่างสหรัฐฯเขาทำไม่ได้
เขาจะมี ซี.ไอ.เอ.ไปทั่วโลก เขาทำไม่ได้. แต่เขาจะทำในสิ่งซึ่งสหรัฐฯไม่มีทางจะสู้เขาครับ
เพราะฉะนั้นคนในสหรัฐฯเวลานี้นี่ ตั้งแต่วันที่ 11 กันยามานะครับ ยังไม่ครบปีเลยครับ
ผมหงอกกันเป็นแถวเลย ...
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ
Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
สนใจสมัครเป็นสมาชิก
กรุณาคลิกที่ปุ่ม member page
ส่วนผู้ที่ต้องการดูหัวข้อบทความ
ทั้งหมด ที่มีบริการอยู่ขณะนี้
กรุณาคลิกที่ปุ่ม contents page
และผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
หรือประกาศข่าว
กรุณาคลิกที่ปุ่ม webboard
หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
(midnightuniv(at)yahoo.com)
โครงการศิลปะเพื่อสันติภาพ
: Art Against War
วันอังคารที่ 18 - วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2544
หลักการและความเป็นมา สันติภาพหาใช่เป็นสันติภาพที่แท้จริงไม่ หากเป็นเพียงการถ่วงดุลอำนาจของประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย อำนาจที่เคยสมดุลกลับกระทบกระเทือน โดยขบวนการก่อการร้ายที่เป็นสงครามไร้รูปแบบหรือไร้พรมแดน สงครามที่ปะทุขึ้นครั้งนี้กำลังเตือนเราว่า เราได้มาถึงทางตันของทุนนิยม และอาจเป็นการสิ้นสุดของโลกาภิวัตน์
ภาวะวิกฤตของความรู้สึกไม่มั่นคงจากการถูกคุกคาม เป็นแรงกระตุ้นเร้าให้มนุษย์ปกป้องตนเอง และในขณะเดียวกันก็ตอบโต้กันไปมาไม่รู้จบสิ้น และขยายวงกว้างชักชวนผู้ใกล้ชิดให้มาเป็นพวกพ้อง ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์และศาสนาด้วย ความเข้าใจผิด ผลที่ได้รับก็มักตกอยู่กับผู้ไม่ได้ก่อ
สันติภาพของโลกกำลังถูกคุกคาม เราที่เป็นคนไทยได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม กลุ่มศิลปินและนักวิชาการจึงได้รวมตัวกันเพื่อแสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์โลกเหล่านี้ และร่วมกันจัดกิจกรรม "ศิลปะเพื่อสันติภาพ" โดยคาดหวังว่าจะสามารถสื่อและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบของสงคราม ต่อประชาชนชาวไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมไปถึงการเข้าใจวิกฤตผ่านมุมมองของชาวพุทธ และภูมิปัญญาของชาวล้านนา ระลึกถึงสันติภาพที่แท้ อันกอรปไปด้วยความรัก ความเมตตา เสรีภาพ และภารดรภาพ รวมไปถึงการคำนึงถึงอนาคตของสันติภาพด้วย
วัตถุประสงค์
1. เพื่อร่วมกันแสดงจิตสำนึกทางสังคม และความรับผิดชอบของศิลปินต่อสถานการณ์โลก
อันเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างงานศิลปะ ที่มีพื้นฐานอยู่บนเสรีภาพ และภารดรภาพในสหัสวรรษใหม่
2. เพื่อสร้างเวทีการแสดงออกทางวิชาการและทางศิลปะต่อภาววิกฤตโลกที่ส่งผลกระทบต่อชาวไทยและชาวล้านนา
3. เพื่อสนับสนุนและเปิดโอกาสให้ประชาชนชาวเชียงใหม่ได้มีส่วนร่วมการกระทำ ที่เป็นไปเพื่อการนำสันติภาพและความสมัครสมานสามัคคีมาสู่ชุมชนโลกผ่านงานศิลปะ
องค์กรที่ร่วมจัดงาน มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน, อุโมงค์ศิลปธรรม, สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม,่ โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา, หอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
แนะนำกิจกรรม "เสวนาโครงการศิลปะเพื่อสันติภาพ"
สุชาดา จักรพิสุทธิ์ : สำหรับกิจกรรม"เสวนาโครงการศิลปะเพื่อสันติภาพ" ซึ่งรับผิดชอบโดยมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เราได้เริ่มต้นพูดคุยกันมาตั้งแต่วันเปิดงาน คือ
ครั้งที่ 1วันอังคารที่ 18 ธันวาคม 2544 เวลา 14.00 น. โดยขึ้นต้นด้วยหัวข้อ "สงครามทำร้ายใครและอะไร" โดย อ.สุรัตน์ โหราชัยกุล จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย จัดที่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน.
ครั้งที่ 2 คือวันที่ 20 ธันวาคม 2544 เวลา 14.00 น. เสวนาเรื่อง "ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสงคราม" โดย ดร.เกษียร เตชะพีระ จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน.
ครั้งที่ 3 วันที่ 21 ธันวาคม 2544 เวลา 14.00 น. เป็นการเสวนาภาษาอังกฤษในเรื่อง "สันติภาพในสายตาชาวโลก" โดย ตัวแทนจากศาสนาต่างๆ อาทิ อ. จอหน์ บัดด์ คุณหมอปาล รายฮูลา และ อ.หลุยว์ กาโบว์ จัดที่ สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ครั้งที่ 4 วันที่ 22 ธันวาคม 2544 เวลา 13.00 น. - 15.00 น. เสวนาเรื่อง "สันติภาพในมุมมองชาวพุทธ" โดย ดร.ประมวล เพ็งจันทร์ ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดที่ หอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ครั้งที่ 5 สำหรับวันนี้ (23 ธันวาคม 2544) ท่าน อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ก็กรุณามาให้เกียรติแสดงปาฐกถา เพื่อที่จะปิดรายการรณรงค์ทั้งหมดในโครงการศิลปะเพื่อสันติภาพ
สัปดาห์โครงการศิลปะเพื่อสันติภาพ หรือ Art Against War นี้ ร่วมกันจัดโดย มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน, หอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา, และอุโมงค์ศิลปธรรม
จุดประสงค์ในการจัดงานช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือว่า เนื่องจากสถานการณ์โลกอย่างที่เราทราบกันอยู่ ซึ่งเกี่ยวกับปฏิบัติการณ์ของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีต่ออัฟกานิสถาน ที่เราจะไม่ตัดสินว่าใครถูกหรือใครผิด แต่ว่าในฐานะชาวพุทธ เราคิดว่า เราไม่น่าเมินเฉยต่อความทุกข์ยากของเพื่อนร่วมโลก ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร จึงได้เกิดสัปดาห์รณรงค์ครั้งนี้ขึ้น วัตถุประสงค์ก็เพื่อจะได้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน และเพื่อให้ชาวพุทธหรือชาวไทยได้รับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมทั้งแผ่เมตตาให้กับเพื่อนร่วมโลกของเราที่ประสบกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาด้วย. ในวันนี้ ดิฉันคิดว่าถึงเวลาที่จะกราบเรียนเชิญ อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ซึ่งท่านเป็นนักคิดนักเขียนที่ไม่มีอะไรที่จะต้องแนะนำกันอีกแล้ว มาแสดงปาฐกถาเกี่ยวกับเรื่องของสันติภาพให้พวกเราฟัง ขอกราบเรียนเชิญอาจารย์ค่ะ
เริ่มปาฐกถาในหัวข้อ "การจัดการความขัดแย้งในวิถีทางของชาวพุทธ"
สุลักษณ์ ศิวรักษ์ : นมัสการพระคุณเจ้า และสาธุชนที่เคารพทุกท่าน สำหรับรายการโครงการศิลปะเพื่อสันติภาพนี้ได้กำหนดให้ผมพูดเรื่อง "การจัดการความขัดแย้งในวิถีทางของชาวพุทธ" ความขัดแย้งมันเป็นต้นตอที่มาของสงครามนะครับ สงครามมันเป็นปลายเหตุ และการที่จะแก้ไขเมื่อสงครามเกิดขึ้นแล้วเป็นไปได้ยากมาก เหมือนกับก้อนหินที่มันหมุนมาจนมาถึงหน้าผาแล้ว จวนจะหล่นลงมา กั้นเอาไว้ลำบากมาก แต่ถ้าหากเรารู้จักแก้ไขความขัดแย้งแต่ต้น โอกาสที่จะแก้ไขเรื่องของสงคราม เป็นไปได้มากกว่า
ความขัดแย้งนั้น มีวิธีแก้ไขได้หลายวิธี และบางอย่างของความขัดแย้ง เรามักจะหนี ไม่ยอมเผชิญ ไม้แก้. โดยเฉพาะวิถีทางแบบไทยๆ มักจะหนี ไม่แก้ความขัดแย้ง เพราะอะไรครับ ? เพราะสังคมไทยที่แล้วๆมามักจะเป็นสังคมที่อุดมสมบูรณ์ เป็นการแยกกันอยู่ระหว่างบ้านกับเมือง และในบ้านเอง ปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้นก็มักจะเลี่ยง ที่นี้ปัญหาใหญ่เวลานี้ก็คือว่า สังคมบ้านมันเกือบจะหมดไป กลายเป็นสังคมเมือง เมื่อเรามาอยู่ในสังคมเมืองแล้ว เราก็พยายามจะเลี่ยงความขัดแย้ง ไม่พูดถึง
ยกตัวอย่างง่ายๆนะครับว่าทำไมผมต้องมาพูดที่วัดอุโมงค์นี้ ก็เพราะมีความขัดแย้งในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อธิการบดีเขาไม่ยอมให้ผมพูด เพราะว่ามีจดหมายเวียนออกมาจากระทรวงมหาดไทย ซึ่งส่งถึงทบวงมหาวิทยาลัย. ทบวงมหาวิทยาลัยก็บอกว่า เขาไม่มีอำนาจห้ามนะครับ ถ้าสถาบันการศึกษาใดจะเชิญ ส.ศิวรักษ์ ไปพูด แต่เขาแนะนำไม่ให้เชิญ หรือถ้าเชิญไปก็ให้ระวัง
กระทรวงมหาดไทยส่งจดหมายไปถึงรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย ซึ่งได้ส่งต่อถึงทุกมหาวิทยาลัย เช่นเดียวกันครับ กระทรวงมหาดไทยก็ส่งจดหมายไปถึงเลขาธิการสถาบันราชภัฏ เลขาธิการสถาบันราชภัฏเขามีราชภัฏอยู่ในอำนาจของเขา 41 แห่ง แทบทุกจังหวัด แต่สถาบันราชภัฏ เขาฉีกทิ้งลงตระกร้า เป็นการขจัดความขัดแย้งวิธีหนึ่ง ก็ปรากฎว่าผมได้รับเชิญให้ไปพูดที่สถาบันราชภัฏแทบทุกแห่ง. เมื่อวันที่ 11 ก็ไปพูดที่อุบลราชธานี
แต่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 4 - 7 เดือนนี้ ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จัดงานร่วมกับสภาวิจัยแห่งชาติ มีจดหมายเชิญมาให้ผมเป็นผู้กล่าวปิด ปัญหาคล้ายๆทำนองนี้ คือวิธีการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง เสร็จแล้วผมก็รับเชิญ เขาก็ดีใจ, ก็ปรากฎว่าต้องเลิกล้มไป เพราะผู้ใหญ่ไม่ยอมให้พูด แต่เขาไม่บอกนะครับว่าอธิการบดี แต่เขาบอกว่าผู้หลักผู้ใหญ่มาขอร้องว่าอย่าให้ผมพูดเลย. เขาก็ดีนะครับ แก้ไขความขัดแย้ง โดยส่งตัวแทนจากมหาวิทยาลัย 4 คน ภาควิชารัฐศาสตร์ มช. ไปหาผมถึงบ้าน เอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบ แล้วก็เอาน้ำไปลดขอพร พาไปเลี้ยงอาหารอย่างดี แล้วก็ร้องห่มร้องไห้ว่า ไม่รู้จะทำอย่างไร. ผมก็แก้ไขความขัดแย้งให้เขาด้วยการ กินอาหารอย่างดีแล้วก็เสพสุราเล็กน้อย ไม่ถึงกับมึนเมานะพระคุณเจ้า อีกนัยหนึ่งเป็นวิธีเลี่ยงปัญหาความขัดแย้ง ไม่ใช่การแก้ปัญหา
เช่นเดียวกันนะครับวันนี้ เขาก็เชิญผมให้ไปพูดที่หอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ปรากฎว่า อธิการไม่ยอมให้พูดเช่นเดียวกัน. กล่าวคือถ้าเรากล้าเผชิญปัญหาความขัดแย้ง เราก็ต้องกล้าเผชิญกับอธิการบดีซิครับ ไอ้เสือนี่เป็นใครมาจากไหนหรือครับ... ไอ้หมอนี่เป็นข้าราชการคนหนึ่ง ซึ่งควรจะรับใช้ราษฎร แล้วมีอำนาจอะไรครับ. แล้วจดหมายที่ออกมาจากทบวงมหาวิทยาลัยก็ดี จดหมายที่ออกมาจากกระทรวงมหาดไทยก็ดี มีอำนาจขนาดไหนครับ
เวลานี้รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ให้อำนาจราษฎรในการท้าทายอำนาจราชการ แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ก็ยังเป็นดุจดังปศุสัตว์ในคอกที่ยังเชื่องๆอยู่ ยังเห็นอธิการบดีเหมือนกับหัวหน้าสัตว์ในเรื่อง Animal Farm ของ George Orwell ก็ไม่กล้า และอย่าลืมนะครับ ความขัดแย้งอันนี้มันเล้กน้อย ไม่มีปัญหาอะไรมาก และถ้าปล่อยไปก็จะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ. ปัญหาความขัดแย้งคือปัญหาที่จะต้องเผชิญและหาทางแก้ โดยมีสติปัญญาเป็นตัวนำ หรือถ้าใช้วิธีแบบพุทธ จะต้องแก้ไขโดยใช้อหิงสธรรมเป็นตัวนำ ถ้าเราไปโกรธเขา ไปเกลียดเขา เราจะแก้ปัญหาได้ไม่ชัดเจน. นี่พูดถึงปัญหาความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆที่เกี่ยวข้องถึงตัวผมและท่านทั้งหลายที่มาอยู่รวมกันที่วัดอุโมงค์
เรามาพูดกันถึงเรื่องระดับใหญ่ คือที่เกิดเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ซึ่งเป็นผลมาจนถึงเราจัดงานขึ้นในสัปดาห์นี้ อันนั้นในแง่หนึ่งเป็นความขัดแย้งกันในระดับนานาชาติกับโลก ระดับใหญ่ ซึ่งสหรัฐอเมริการู้สึกถูกท้าทาย ความขัดแย้งที่ท้าทายเจ้าโลก เพราะสหรัฐอเมริกาถือตัวเป็นเจ้าโลกในเวลานี้ เป็นตำรวจของโลก ยิ่งกว่าปุราชัยนะครับ เพราะว่าคุณบุช เขาต้องการจัดระเบียบสังคม และจัดด้วยความบัดซบทั้งคู่นะครับ
นายบุช บอกว่าคนที่มาทำลาย World Trade Center และกระทรวงกลาโหมนั้น เขาอิจฉาเรา เขาอิจฉาความเป็นประชาธิปไตยของเรา ความมีเสรีภาพของเรา เขาถึงทำลายเรา. ระวังนะครับ ถ้าคุณฟังโดยไม่ตั้งใจ คุณจะนึกว่าสิ่งที่นายบุชพูดนี้เป็นความจริง แต่ถ้าคุณพิจารณานะครับ ถ้าเผื่อว่าคนที่ทำนั้นอิจฉาเสรีภาพของสหรัฐอเมริกา ความเป็นประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกา เขาจะต้องส่งจรวดหรือเรือบินไปเล่นงานอนุสาวรีย์เทพีสันติภาพครับ อันนั้นล่ะครับสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย สัญลักษณ์ของเสรีภาพ
แต่ทำไมเขาไปเล่นงาน World Trade Center ก็เพราะ World Trade Center เป็นสัญลักษณ์ของระบบทุนนิยม ระบบการค้าที่อ้างว่าเสรี แต่ไม่เป็นธรรม. สหรัฐฯใช้คำนี้ตลอดเวลา แต่ไม่เป็นธรรม กล่าวคือสหรัฐฯคุมตลาดโลก, คุมสหประชาชาติ, คุมเนโต้, คุมไอ.เอ็ม.เอฟ., คุมเวิลด์แบงค์, คุมดับบลิว.ที.โอ.ทั้งหมด. และฝ่ายที่ไปกระทำนั้น ไม่มีทางสู้อย่างอื่นครับ
เช่นเดียวกับที่เขาไปทำลายกระทรวงกลาโหม ก็เพราะว่ากระทรวงกลาโหมนั้น ไม่เป็นเพียงออกไปซึ่งแสนยานุภาพสหรัฐฯ, แสนยานุภาพที่ออกไปทางเนโต้, ออกไปทางอย่างอื่น และที่สำคัญก็คือ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯเป็นเครื่องมือหากินร่วมกับบริษัทค้าอาวุธสหรัฐฯ. สหรัฐฯค้าขายอาวุธมากกว่าประเทศอื่นๆทั้งหมดนะครับ. แต่คนที่ไปทำนั้น แม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการกระทำของเขา ผมจะไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง แต่ผมก็ต้องขอชมว่า เขายอมเสียสละชีวิต เพื่อทำลายสัญลักษณ์ทั้งสองแห่งนี้ เพราะสองแห่งนี้เป็นตัวที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ก็ให้เกิดความทารุณทั่วทั้งโลกรวมทั้งที่สหรัฐฯเองด้วย
อย่าลืมนะครับในนิวยอร์คเอง คนผิวดำ เด็กผิวดำกว่า 60% มีวิถีชีวิตไม่ดีไปกว่าเด็กยากจนในบังคลาเทศ ตัวเลขอันนี้คนไทยไม่รู้เรื่องเลยนะครับ และในสหรัฐอเมริกาเอง คนที่ถูกจับส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำ หรือคนเชื้อสายเม็กซิกัน หรือคนยากจน คนผิวขาวที่เป็นเศรษฐีมีทรัพย์ไม่ถูกจับ ต้องเข้าใจความข้อนี้ครับ
นายนิกสันทำความเลวร้ายมาก ก็เพียงถูกถอดออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี นายคลินตันก็ทำความเลวร้ายมาก ยังไม่ถูกถอดออกจากจากตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยซ้ำไป คือถ้าเป็นคนมีอำนาจ เป็นคนใหญ่คนโตแล้วไม่มีโอกาสถูกถอด แต่คนเล็กคนน้อยถูกรังแกทั้งภายในประเทศเองและภายนอกประเทศทุกแห่ง
ฉะนั้นผมจึงบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมาสหรัฐฯนั้น เป็นความรุนแรง เป็นความขัดแย้ง แต่นายบุชไม่ได้หาทางแก้ไขความขัดแย้ง ไม่จำต้องใช้วิธีการของชาวพุทธครับ วิธีของศาสนาคริสต์ที่นายบุชอ้างว่านับถือนั่นน่ะ แก้ไขด้วยวิธีนั้นนะครับ ผมพูดตลอดเวลาเลยว่า สหรัฐฯจะคงความเป็นผู้นำในโลกนี้ได้สำหรับสหัสวรรษนี้ ทำอย่างไรครับ ก็ทำตามที่พระเยซูสอนซิครับว่า ใครมาตบแก้มซ้ายเราก็เอียงแก้มขวาให้ นายบุชก็พูดว่า ใครมาทำร้ายเรา ตึกที่ทันสมัยที่สุดของเรา ฆ่าคนไปกว่า 2-3 พันคน เราเศร้าเสียใจมากเลย แต่เราเชื่อในพระเยซูเจ้าว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร พระเยซูพูดคล้ายๆพระพุทธเจ้านะครับในเรื่องนี้ ต้องให้อภัย แล้วมาจับเข่าคุยกันหาทางแก้ไข
เพียงเท่านี้ครับ นายบุชจะได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพ และคนอเมริกันทั้งหมดจะไม่สะดุ้งหวาดกลัวอะไรเลย อย่าลืมนะครับ คนในเอมริกาเวลานี้สะดุ้งหวาดกลัวตลอดเวลา
คนที่เขามาทำลาย World Trade Center ก็ดี ตึก Pentagon ก็ดี เขาไม่มีวิธีสู้อย่างอื่นครับ เขาจะเอาระเบิดไปทิ้งอย่างที่สหรัฐฯทำ เขาทำไม่ได้ เขาจะมีแสนยานุภาพอย่างสหรัฐฯหรือ เขาทำไม่ได้ เขาจะมี ซี.ไอ.เอ.ไปทั่วโลก เขาทำไม่ได้. แต่เขาจะทำในสิ่งซึ่งสหรัฐฯไม่มีทางจะสู้เขาครับ
เพราะฉะนั้นคนในสหรัฐฯเวลานี้นี่ ตั้งแต่วันที่ 11 กันยามานะครับ ยังไม่ครบปีเลย ผมหงอกกันเป็นแถว บริษัทเกี่ยวกับการท่องเที่ยวต้องเจ๊งกันเป็นแถว สายการบินเจ๊งกันเป็นแถว โรงแรมเจ๊งกันเป็นแถวเลยครับ เห็นไหม เพราะอีกฝ่ายเขาจะใช้วิธีสงครามจิตวิทยาต่อสู้ เขาจะทำในสิ่งซึ่งสหรัฐฯทำไม่ได้
เห็นไหมครับ อันนี้มันตรงกับสิ่งที่พระเยซูสอน สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ที่ศาสดาต่างๆสอนว่า เรื่องเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร แล้วการแก้ปัญหาความขัดแย้งทั้งหมด ต้องแก้ปัญหาด้วยวิถีทางของอหิงสา ถ้าใช้วิธีนี้ทุกอย่างมันจะลดลงไปครับ แต่สิ่งที่นายบุชทำเราต้องเข้าใจ เพราะนายบุชได้รับการเลือกตั้งขึ้นมาด้วยการสนับสนุนโดยบริษัทน้ำมันอย่างเอสโซ่ อย่าลืมนะครับ บริษัทน้ำมันแทบทุกแห่งนี่เป็นตัวเลวร้าย แล้วบริษัทน้ำมันบริษัทหนึ่งที่เลวร้าย อุดหนุนฝ่ายอัฟกานิสถานที่ต่อต้านกับรัสเซีย ซึ่งทีหลังอ้างว่านายบินลาเด็นเป็นคนหนึ่ง คือบริษัทยูโนแคล
บริษัทยูโนแคล เมื่ออัฟกานิสถานฝ่ายที่ CIA หนุนได้ชัยชนะรัสเซีย บริษัทยูโนแคลเชิญผู้นำอัฟฟกานิสถานเหล่านั้นไปเลี้ยงที่แคลิฟอร์เนีย และบริษัทยูโนแคลบริษัทนี้ละครับที่อุดหนุนการต่อท่อแก๊สมาไทย ซึ่งผมไปถูกจับเมื่อสามปีก่อน และบริษัทนี้ก็ยังอุดหนุนท่อแก๊สมาเลเซีย สงขลาที่อำเภอจะนะเวลานี้ เห็นไหมครับว่าทั้งหมดมันโยงกันนะครับ
บริษัทยูโนแคล บริษัทเอสโซ่หนุนนายบุช และบริษัทค้าอาวุธทั้งหมดก็หนุนนายบุช เพราะฉะนั้นการที่นายบุชสั่งทิ้งระเบิดที่อัฟกานิสถาน นายบุชก็ไม่น่าจะโง่ไปกว่านั้นครับ ไปทิ้งระเบิดลงบนหิน บนอิฐ อะไรค่างๆ ก็เพื่อที่จะระบายอาวุธของเก่าให้มันหมดไป เพื่อจะได้สร้างอาวุธใหม่ เพื่อจะซื้อกันใหม่. มันจะได้ผลระยะสั้นในทางเศรษฐกิจ แต่ในระยะยาวมันจะพังครับ เพราะการใช้เงินให้หมดไปกับอาวุธนั้น มันไม่ได้ผลอะไรเลย อาวุธมีไว้สำหรับฆ่าคนเท่านั้นเอง
และประเด็นนี้เรามองไปที่นายบุช มองไปที่สหรัฐฯ มันไกลนะครับ มองมาที่บ้านเราซิครับ เราเคยคิดไหมครับ พระคุณเจ้าเคยคิดไหมครับ เวลาเราซื้อเรือรบหลวงจักรีนฤเบศน์ หมดไปกี่พันล้าน สั่งซื้อมาจากสเปน ...เอาเงินใครไปใช้ครับ เอาเงินมาจากภาษีของราษฎร ซึ่งส่วนใหญ่ยากจน เราเอาเรือรบไปรบกับใครครับ เอามาวิ่งทีหมดเป็นล้านนะครับ. เรือรบนี้มันต้องวิ่งอยู่เรื่อยๆนะ คราวที่แล้วเอาออกมาวิ่งช่วงที่นายชวนอายุ 60 ปี คนก็ด่าว่านายชวนทำใหญ่โต ปรากฏว่ามันไม่เอาออกมาวิ่งไม่ได้ เพราะมันจะขึ้นสนิม สัก 2-3 เดือนมันต้องวิ่งทีครับ เราเสียเงินทั้งนั้น
อีกนัยหนึ่ง ยิ่งใช้เงินหมดไปกับอาวุธมากเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มความขัดแย้งมากเท่านั้น เพราะในแง่ของพุทธ ทุกอย่างมันเป็นอิธัปปจยตานะครับ มันโยงถึงกัน เงินที่ไปซื้ออาวุธ เป็นเงินจากภาษีอากรราษฎร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนยากจน และเงินส่วนใหญ่เหล่านั้น ถ้าไม่ซื้ออาวุธ ก็ควรจะมาช่วยคนยากจน ช่วยในเรื่องการศึกษา คนแก่ คนชรา เด็ก
เห็นไหมครับ เพราะฉะนั้นการที่เอาเงินซึ่งควรจะเป็นประโยชน์ในทางสังคม ในทางการศึกษาไปใช้ซื้ออาวุธนั้น นอกจากผิดศีลข้อที่หนึ่งในการอุดหนุนปาณาติบาตแล้ว ยังผิดศีลข้อที่สอง เท่ากับเป็นการขโมยเงินซึ่งควรจะเป็นไปเพื่อความอยู่ดีกินดีของราษฎรไปอุดหนุนบริษัทค้าอาวุธ เท่ากับเป็นอทินนาทาน เพราะการซื้ออาวุธนั้น แม่ทัพนายกองได้เปอร์เซนต์กัน ร้อยเปอร์เซนต์บ้าง สองร้อยเปอร์เซนต์บ้าง ทั้งสหรัฐฯอเมริกาและเมืองไทย
ผมอยากจะเรียนนะครับ เพราะฉะนั้น เรื่องความขัดแย้งจะต้องมองปัญหาให้ชัด และปัญหาชัด อะไรเป็นข้อเท็จ อะไรเป็นข้อจริง มองให้ชัดแล้วจึงจะแก้ปัญหาได้. ถ้ามองไม่ชัด อย่างกรณีที่สหรัฐฯทำอยู่เวลานี้ จะเพิ่มความขัดแย้ง เพิ่มความรุนแรงทุกแห่งครับ
ผมเตือนด้วยความหวังดีนะครับว่า คุณทักษิณที่น่ารักของผม ชาวเชียงใหม่ที่มีผิวสวย คงไม่ถลำลึกตามประเทศอื่นไป ปรากฏว่าคุณทักษิณไปอเมริกาคราวนี้ ก็เริ่มไปเดินตามสหรัฐฯอเมริกา เพราะเมื่อไปเขาไม่ตั้งแถวเกียรติยศต้อนรับ เพราะว่าไม่เป็นพวกเขาเต็มที่ ตอนนี้ก็ไปสัญญงสัญญาอะไรกับเขา อันนี้เป็นอันตรายมากเลย เพราะคนบางคนต้องการเกียรติยศเพื่อตนเอง ต้องการให้ลูกไปจับมือกับประธานาธิบดี แล้วมันมีประโยชน์อะไรครับกับราษฎรส่วนใหญ่ ประเทศเราเป็นประเทศเล็ก และถ้าหากว่าเราอ้างตัวว่าเราเป็นประเทศพุทธ การแก้ไขทั้งหมดต้องแก้ไขด้วยนัยะวิธีของพุทธ แม้ว่าประเทศเราจะไม่มีคนที่ถือพุทธอยู่นะครับ เราควรจะให้เกียรติเขา การแก้ไขแบบพุทธก็ดี อิสลามก็ดี แบบคริสต์ก็ดี หลายอย่างเหมือนกัน
เมื่อเกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 11 กันยายนขึ้น เพียงสัปดาห์เดียว องค์กรกลางมุสลิมแห่งประเทศไทยได้เชิญผมไปพูด ที่ศูนย์กลางมุสลิมเลยครับ แถวๆหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง คนมาฟังกัน 700-800 คน เป็นครั้งแรกที่เขาเชิญบุคคลที่เป็นพุทธศาสนิกชนไปพูดกับเพื่อนมุสลิม และสิ่งหนึ่งที่ผมบอกพวกเขาว่าชาวพุทธน่าจะอุดหนุนพี่น้องมุสลิม อุดหนุนอย่างเต็มที่คือ มุสลิมเขาประกาศเลยว่า มุสลิมทั้งหมดควรจะเลิกซื้อของจากสหรัฐฯ อันนี้ผมว่าวิเศษสุดเลย
ถ้าชาวพุทธเข้าใจ ชาวพุทธกับชาวมุสลิมร่วมกันไม่ซื้อของจากสหรัฐฯ แน่นอน สหรัฐฯยังอยู่ได้ครับ แต่มันเป็นวิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งประการหนึ่งซึ่งเรามองไม่เห็น เพราะสหรัฐฯได้ใช้วิธีมอมเมาคนทั้งโลกให้นิยมยกย่องวิถีชีวิตแบบสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเคราต่างๆในบ้านเรือน การแต่งเนื้อแต่งตัว อาหาร เครื่องดื่ม ไม่ว่าจะโคคาโคลา เป๊ปซี่โคลา รวมทั้งอาหารแดกด่วนต่างๆ ซึ่งให้โทษมากกว่าให้คุณทั้งนั้น แต่เราถูกมันสยบ ถ้าเราลองเลิกไม่กินน้ำดื่มสหรัฐฯ ชาวบ้านจะทำน้ำตะไคร้ น้ำลำใย น้ำต่างๆขึ้นมา อุดหนุนวัฒนธรรมพื้นบ้าน อุดหนุนอาชีพพื้นบ้าน และอย่าลืมนะครับสำหรับการต่อต้าน เป็นขบวนการอย่างเต็มที่และมีอหิงสธรรมเป็นพื้นฐาน คือชัยชนะที่สำคัญครับ
เมื่อมหาตมะ คานธี รวมชาวอินเดียต่อต้านจักรวรรดิ์อังกฤษ ซึ่งเป็นจักรวรรดิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนนั้น เหมือนกับจักรวรรดิ์อเมริกาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเวลานี้ ท่านมหาตมะ คานธี ได้ชักชวนคนในขบวนการของท่านทั้งหมดให้เลิกซื้อของจากอังกฤษ เสื้อผ้าที่เคยมีมาจากอังกฤษท่านเอามาเผาหมดเลย
ภรรยาของท่านนะครับ เมื่อแต่งงานได้ผ้าส่าหรีเป็นไหมทำมาจากอังกฤษ ท่านรักและหวงแหนมาก แต่ท่านก็ยินดีเผา และท่านมหาตมะเชิญชวนให้มาปั่นฝ้ายกันเอง ทอผ้ากันใช้เอง ทั้งหมดเมื่อกลับมาใช้ของๆเราเอง ก็จะเกิดความภูมิใจขึ้นมา และเมื่อเกิดความภูมิใจขึ้นมาแล้ว คืออันนี้ล่ะครับ เป็นต้นตอที่มาแห่งสิ่งซึ่งเรียกว่า"ความภูมิใจในตัวเราเอง" และถ้าความภูมิใจมาจากศาสนธรรม เราจะภูมิใจอย่างมีศักดิ์ศรี อย่างไม่มีความเกลียดชัง
จากแต้มนี้ล่ะครับ ท่านมหาตมะ คานธี สามารถเอาชนะจักรวรรดิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเวลานั้นได้
แต่เป็นที่น่าเสียใจ โครงการศิลปะต่อต้านสงคราม ถ้าศิลปะทำเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์แล้วก็เลิกไป ก็จะเป็นเพียงของเล่นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้นเอง แต่ถ้าศิลปะสามารถสร้างให้คนเห็นว่า สิ่งซึ่งเป็นความงามสามารถที่จะโยงไปหาความจริง และความจริงกับความดีต้องไปด้วยกัน กล่าวคือ การต่อต้านสงครามหรือการต่อต้านความขัดแย้ง รุนแรงทุกประการ จะต้องเริ่มจากการพึ่งตัวเอง ภูมิใจในตัวเอง ภูมิใจในปู่ ย่า ตา ยาย ของเราเอง ภูมิใจในบรรพบุรุษของเราเอง และรังเกียจการครอบงำทุกชนิด และการครอบงำที่สำคัญที่สุดเวลานี้ก็คือการครอบงำสื่อมวลชน โดยเฉพาะโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ และล้างสมองให้เรารู้สึกด้อย เราต้องการสินค้าอย่างนั้น เราต้องการอย่างนี้ ความสะดวกสบายต่างๆ ซึ่งเป็นของหลอกลวง เรื่องโกหกตอแหลทั้งสิ้น ไม่มีศิลปะอยู่ในนั้นเลยครับ รวมทั้งละครน้ำเน่า น้ำเสียอะไรต่างๆที่ออกโทรทัศน์ทุกวันนี้
เห็นไหมครับ ถ้าเราเข้าใจ ศิลปะจะเป็นของแท้ ไม่ใช่ของปลอมที่ออกตามโทรทัศน์ ออกตามวิทยุ ออกตามสื่อสารมวลชนต่างๆ เพราะว่าพวกนี้มันออกมาเพื่อเงินอย่างเดียว เพื่อความมอมเมาเท่านั้นเอง. Talk Show, เกมเศรษฐี, การเล่นกันอะไรต่างๆ มอมเมาทั้งสิ้น แต่คนมองไม่เห็น
ลองกลับมาดูที่ตัวศีล 5 อีกครั้งซิครับ ศีลนี่ล่ะครับ ต้นตอแห่งการลดความรุนแรง
ข้อที่หนึ่งน่ะครับ เป็นความรุนแรงถึงชีวิตโดยตรงเลย รุนแรงทั้งต่อชีวิตคนอื่น รวมถึงชีวิตเราด้วยนะครับ. ถ้าเราชอบความรุนแรงมากเท่าไหร่ อันตรายต่อเรามากเท่านั้น เราจะคิดไม่ชัด หัวใจเราจะเต้นไม่ปกติ ร่างกายไม่ปกติ เราจะไม่มีความสัมพันธ์ เกิดความขัดแย้งในตัวของเราเอง
ทำไมเด็กถึงตีกันเมื่อเร็วๆนี้ แล้วคุณทักษิณบอกเลยว่าจะต้องใช้มาตรการรุนแรง นี่แสดงว่าคุณทักษิณไม่เข้าใจการแก้ปัญหาความขัดแย้งแบบพุทธเลย วิธีนี้ก็เหมือนกับนายบุชเลยครับ ใช้ความรุนแรง. สิ่งที่อเมริกาทำ เมืองไทยกำลังทำครับ สร้างคุกมากขึ้นเรื่อยๆ อันนี้ไม่ใช่แบบพุทธ. ความขัดแย้งของเด็กที่เกิดขึ้น เพราะเด็กแกไม่เคารพตัวแกเอง แกถูกสังคมดูถูก ชีวิตแกไม่มีความหมาย เพราะฉะนั้นแกก็ต้องหาความหมายด้วยการทะเลาะกัน ตีกัน ด่ากัน โจมตีกัน ยาบ้า ยาม้า ร้อยแปดพันประการ
ด้วยความเคารพนะครับพระคุณเจ้า พระของเราก็เช่นกัน ทำไมต้องแต่งเป็นนายพัน เพราะต้องการแสดงว่านายพันนั้นมันมีอำนาจ ห่มผ้าเหลืองมันไม่มีอำนาจ แล้วก็ไปดิสโก้เทค แล้วอย่าไปประนามเขานะครับ คนเหล่านี้ที่เขาทำเพราะสังคมไม่ได้ยกย่อง พูดต่อหน้าพระคุณเจ้า สังคมเคารพพระต่อหน้าเท่านั้นเอง ชอบเห็นพระในเวลาทำพิธีกรรมเท่านั้นเอง และไม่สนใจครับเวลาที่พระไปเต้นแร้งเต้นกาที่ข้างหลังฉาก ไม่สนใจ. พระจะไปดูวิดีโอ หนังโป๊เท่าไหร่คนไม่สนใจ
ความขัดแย้งเกิดขึ้นเพราะสิ่งที่ไม่เป็นปกติ สิ่งที่เป็นปกตินี่มนุษย์เราต้องสามารถอยู่ข้างหน้าหรืออยู่ข้างหลังเหมือนกัน ไม่มีหน้าไหว้หลังหลอก ไม่มีหน้าฉากหลังฉาก สังคมที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งคือสังคมที่มีหน้าฉากหลังฉาก และสังคมไทยเต็มไปด้วยการมีหน้าฉากหลังฉาก
ที่พระเจ้าอยู่หัวท่านตรัสเมื่อไม่กี่วันมานี้เรื่อง Double standard ภาษาอังกฤษคำนี้หมายความว่ามันมีมาตรฐานสองอย่าง ต่อหน้าคนอย่างหนึ่ง ลับหลังคนอย่างหนึ่ง ทำให้ตัวเราเองอย่างหนึ่ง ทำให้คนอื่นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งสังคมเต็มไปหมดนะครับ ในพระศาสนาด้วย ในมหาวิทยาลัยด้วย ในทุกแห่งด้วย
การแก้ไขความขัดแย้งจะต้องไม่มี Double standard จะต้องไม่มีหน้าฉากอย่างหลังฉากอย่าง.
คำว่า"อรหันต์" ในศาสนาพุทธ นัยะหนึ่งแปลว่า"ไม่มีความลับ". "อะ"แปลว่า"ไม่", "ระหัง"หรือ"ระหัสะ"แปลว่า"ความลับ". พระอรหันต์คือท่านไม่มีความลับแล้ว. เพราะฉะนั้น เราจะแก้ไขความรุนแรง ความขัดแย้ง เราจะต้องดำเนินชีวิตโดยลดความลับ เปิดเผยมากที่สุด และการเปิดเผยมากที่สุดก็คือ ลดความความรุนแรง ลดความโลภ ความโกรธ ความหลง ลดการโกหกโกไหว้ เพราะฉะนั้นศีลทั้ง 4 ข้อ มันเป็นเรื่องโดยตรงเลยนะครับ ถ้าเราเข้าใจศีลทั้ง 4 ข้อนี่ สังวรณ์และพึงระวังทั้ง 4 ข้อ จนกระทั่งทั้ง 4 ข้อเป็นปกติแล้ว ข้อที่หนึ่งมันจะละความรุนแรงทางกาย ในทางโทสะ, ข้อที่สองมันจะลดความรุนแรงในทางโลภะ, ข้อที่สามมันจะลดความรุนแรงในทางราคะ, ข้อที่สี่มันจะลดความรุนแรงในทางโมหะ ซึ่งเป็นพื้นฐานและรากเหง้าของความรุนแรงทั้งหมด ที่เป็นต้นตอที่มาของความทุกข์ทั้งปวง
อีกนัยะหนึ่งนะครับ การลดความขัดแย้งต้องลดความทุกข์ และความทุกข์ในสังคมที่เลวร้ายที่สุด คือความยากจนครับ. ท่านมหาตมะ คานธี บอกว่าไม่มีอะไรที่จะเลวร้ายไปกว่าความยากจน. เมืองไทยเองนะครับเวลานี้ คนกว่า 80% เป็นคนยากคนจน. ในสหรัฐอเมริกาเอง คนยากคนจนไม่ใช่น้อย. ประเทศรวยก็มีคนจนไม่ใช่น้อย ประเทศจนก็มีคนรวยไม่ใช่น้อย. ถ้าเราเข้าใจประเด็นนี้ การลดความขัดแย้งจะต้องสามารถลดช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยให้ได้
นี่เผอิญพระคุณเจ้ามาร่วม ผมก็ต้องกลับมาพูดที่พระคุณเจ้าอีกเช่นกัน ผมเพิ่งอ่านหนังสือจบไปนะ หนังสือที่พระฝรั่งที่ท่านอยู่ที่นครสวรรค์ ท่านเขียนเรื่องภาษาอังกฤษชื่อว่า "Little Angel" สำนักพิมพ์โพสต์พิมพ์, น่าสนใจนะครับ. พระฝรั่งสัมภาษณ์เณร 12 รูปที่บวชอยู่ และทั้ง 12 รูปที่บวชอยู่พูดตรงกันหมดเลย ที่ผมบวชก็เพราะยากจน ถ้าไม่ยากจนไม่บวช บางพูดบอกว่า มีทางเมื่อไหร่ สึกเมื่อนั้นเลย แต่ก็มีบางรูปบอกว่าพระศาสนาเป็นคุณ. ที่พูดนี่ด้วยความเคารพ
พวกเราที่บวชอยู่กันเวลานี้ ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่ยากจน แต่ระบบการศึกษาของคณะสงฆ์นั้นเป็นระบบการศึกษาซึ่งสอนให้พระลืมความจน ให้อยากเป็นชนชั้นกลาง ให้อยากเป็นคนรวย และระบบการศึกษาไม่ใช่ของพระเท่านั้นนะครับ ของโยมก็เช่นเดียวกัน ระบบการศึกษาของฆราวาสก็สอนให้คนลืมความจน รังเกียจคนจน อยากเป็นคนรวย ยกย่องคนรวย
ผมอยากจะถามมหาวิทยาลัยทั้งหมดนะครับที่ให้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์กัน เคยให้คนจนไหมครับ มีมหาวิทยาลัยเดียวครับที่ให้ดุษฎีบัณฑิตคนจน คือมหาวิทยาลัยที่จัดงานวันนี้ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน. ให้คนจน 2 คนครับ แล้วคนจนทั้งสองคนนี้สมควรได้รับปริญญาอย่างยิ่ง เพราะ 2 คนนี่เขาศึกษาครับ แก้ปัญหาความขัดแย้งในที่ที่เขาอยู่ ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ด้วยการแสวงหาสัจจะ หาข้อมูลทุกอย่างทุกประการครับ เพื่อเอาสัจจะ เอาวิทยะมาปกป้องให้สังคมเขาอยู่รอดจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งจะทำลายทั้งหมด
แต่นักวิชาการครับ ที่เป็นดอกเตอร์จากต่างประเทศ ให้ข้อมูลวิจัยตามที่คนที่เขาให้เงินว่าจ้าง เพราะฉะนั้นสมควรนะครับที่นักวิจัยคนหนึ่ง ไปพูดอธิบายผลวิจัย ชาวบ้านคนหนึ่งเขาทนไม่ได้ครับ เป็นผู้หญิง แกควักกางเกงในมาขว้างหัวเลยครับ แล้วขว้างไม่ถูก แกก็เลยเอาไปครอบเลยครับ โอ้!...ผมเอง วิเศษที่สุดเลย ไอ้พวกดอกเตอร์ควรจะมีกางเกงในครอบหัวกันเป็นส่วนใหญ่นะครับ ทั้งใน มช. และที่อื่นๆด้วย
เพราะว่าพวกนี้ไม่เข้าใจว่าความขัดแยงอยู่ตรงไหน ชีวิตของเขาทั้งหมดเป็นชีวิตที่หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง เขาต้องการเป็น ผศ. เป็น รศ. เป็น ศ. ต้องการเป็น ซี 5, ซี 6, ซี 7 ไม่เคยสนใจว่าชีวิตของเขามันสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างไรบ้าง การที่คนอื่นขึ้น คนอื่นเดือดร้อน คนหนึ่งรวยคนจนจะมากขึ้น อันนี้เป็นกฎอิธัปปจยตาง่ายๆของศาสนาพุทธ
เห็นไหมครับ ผมคิดว่าการจะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งประการแรก ในแง่พุทธ เราจะต้องรู้จักตัวเองก่อน เราทุกคนมีความขัดแย้งครับ และถ้าเราสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ให้ลดลงได้มากเท่าไหร่ รู้จักตัวเราเองมากเท่าไหร่ ให้เกิดความรักในตัวเราเองอย่างจริงจังเท่าไหร่ เมื่อเรารักตัวเราเองอย่างจริงจังแล้ว เราก็จะรู้ว่าชีวิตเรา เราไม่ต้องการอะไรยิ่งไปกว่านี้ เราไม่ต้องการยศฐาบรรดาศักดิ์ ที่สำคัญ เรารักวิถีชีวิตที่เรียบง่าย
ที่เรานับถือพระกันก็เพราะพระท่านมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ที่เรารำคาญพระทุกวันนี้ก็เพราะพระไม่มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย เพราะพระเริ่มมีรถเบ๊นซ์แข่งกัน เริ่มมีรถวอลโว่แข่งกัน ต้องการสมณศักดิ์แข่งกัน ในสังฆาธิการมีการติดสินบนกัน ที่เราเบื่อพระก็เพราะเบื่ออันนี้ แต่ถ้าเผื่อพระมีความเป็นพระที่เรียบง่าย เราต้องนับถือท่าน ไม่ว่าท่านจะฉลาด ท่านจะโง่ ไม่ใช่ประเด็น. ประเด็นคือความเรียบง่าย ชีวิตที่บรรสานสอดคล้องภายใน แก้ปัญหาขัดแย้งภายใน และมันจะแก้ปัญหาความขัดแย้งภายนอก และการแก้ปัญหาขัดแย้งภายใน ภายนอก เป็นปกติอันนี้เอง
สมัยโบราณทำไมเราถึงไปทอดกฐินครับ เราไปทอดกฐินก็เพราะพระท่านอยู่ด้วยกัน 3 เดือนไม่มีความขัดแย้งเลย ท่านไม่ทะเลาะกันเลยถือว่าเป็นเกียรติสำคัญซึ่งทำให้เราพากันไปทอดกฐิน แต่ตอนนี้การไปทอดกฐินมุ่งสตางค์กันเสียแล้ว เรากลับภาพพระทั้งหมดเลย.
ที่ไปทอดกฐินนี่ สำหรับกฐินหลวงถือเป็นเรื่องใหญ่ พระเจ้าแผ่นดินต้องเสด็จ แต่งพระองค์เต็มยศ สมัยโบราณทรงพระชฎามหากฐิน ฉลองพระบาทเชิงงอน ทรงพระคชาธารหรือราชยาน แต่เมื่อไปถึงวัดแล้ว จะต้องลงที่เกย ทอดพระชฎามหากฐิน ถอดฉลองพระบาท เสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทเปล่า เหมือนกันกับผู้คนทั้งหมด เพราะยกย่องว่าสงฆ์เป็นใหญ่ เพราะสงฆ์คือคนที่มาอยู่ด้วยกันทั้งหมดไม่มีความขัดแย้งตลอด 3 เดือน แม้พระเจ้าแผ่นดินก็ต้องก้มลงกราบ แต่ตอนนี้มันหมดความหมายแล้วครับ
เห็นไหมครับ สัญลักษณ์ทั้งหมดของเรามันจางไป ถ้าเราเข้าใจสัญลักษณ์ของเราจริงๆ สัญลักษณ์ทั้งหมดของเราเป็นสัญลักษณ์ในการลดความขัดแย้ง คือเรื่องของศีล และการลดความขัดแย้งนี้จะเกิดได้จริงๆเมื่อเกิดตัวจิตสิกขามาคุม กล่าวคือ จิตสิกขาจะบอกเลยครับว่า มนุษย์ทั้งหมด สัตว์ทั้งหมด เหมือนกันครับที่ลมหายใจ คนที่มีเงินมาก คนที่มีชาติตระกูลสูง ไม่แตกต่างไปจากคนซึ่งเป็นคนยากคนจน หายใจเหมือนกัน สัตว์ก็หายใจเหมือนกับเรา พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เรารักสัตว์ทั้งหมด
ปาณาติปาตาเว... สัตว์ที่มีปราณ มีลมปราณทั้งหมดมีค่าเท่ากันหมด ต้นไม้ก็มีลมปราณ เพราะฉะนั้น พระถึงพรากต้นไม้ก็ผิด. ถ้าเราไม่เข้าใจตรงนี้ เราก็จะถือว่ามีเงินดี มีทรัพย์ดี ไม่ใช่ครับ. นายบุชบอกว่า เขาอิจฉาเราเพราะเรารวย ไม่ใช่ เราไม่อิจฉาสหรัฐฯเพราะรวย เรารังเกียจเขาเพราะเขาใช้ Double standard ต่างหาก เรารังเกียจเขาเพราะเขาบอกว่าทุกคนจะต้องเดินตามสหประชาชาติ แต่ถ้าหากสหประชาชาติขัดกับเขา เขาไม่รับเลยครับ.
นางออล์ไบรท์ เมื่อเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศบอกเลยครับ ตอนที่นายโคฟี่ อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ ไปเจรจากับอิรัก ถ้าผลการเจรจานั้น สหประชาชาติตกลงกับอิรักได้ แต่ถ้าสหรัฐฯไม่พอใจ จะไม่รับข้อตกลงอันนั้น นี่คือ Double satndard ครับ
หรือที่นายบุชมาบอกว่า คนที่ไปทำลายตึก World Trade Center ทำให้คนตายไป 2-3 พันคน เป็นความเลวร้ายที่ยิ่งใหญ่ แต่สหรัฐฯประกาศห้ามทุกประเทศขายสินค้าให้อิรัก เด็กอย่างเดียวนะครับ ปีหนึ่งเด็กตายถึง 5 แสนคนในอิรัก เพราะอาหารไม่พอ ยาไม่พอ. นางออล์ไบรท์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศในตอนนั้นไม่ได้ปฏิเสธความข้อนี้ครับว่า สหรัฐฯเป็นต้นตอให้เด็กตายปีละ 5 แสนคน แต่เราไม่มีทางเลี่ยงเพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ชอบธรรมซึ่งเราต้องทำ. นี่ Double Standard
เรารังเกียจสหรัฐฯ เรารังเกียจในเรื่องนี้ ไม่ใช่เรารังเกียจรัฐบาล เหมือนกับที่เรารังเกียจอธิการบดีบางคน เพราะมัน Double Standard ครับ อธิการบดีควรจะเป็นผู้ซึ่งทรงไว้ในบรรดานักวิชาการ อยู่ฝ่ายสัจจะ ฝ่ายจริงจัง แต่ไปกลัวจดหมายเวียนที่ปลัดกระทรวงเขียนมา จดหมายเวียนพวกนี้ควรจะเขี่ยลงตระกร้า แต่กลับไปนับถือไอ้พวกนี้ แล้วครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ก็แหย แล้วจะไปแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ไง
การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ต้องรู้ซิครับว่าอะไรเป็นสัจจะ อะไรเป็นอสัตย์ ต้องรู้ซิครับว่าอะไรมีศักดิ์ศรี อะไรไม่มีศักดิ์ศรี อันนี้นะครับเนื้อหาสาระของศีล และศีลข้อนี้ เวลาเราสู้กับเขาเราสู้อย่างมีสติ เราสู้อย่างไม่เกลียด ไม่โกรธ แต่ไม่สยบยอม และกล้าท้าทาย
เขาถึงบอกว่า การแก้ปัญหาทางฝ่ายพุทธนั้น ข้อที่หนึ่งเลย คุณจะต้องรู้จักตั้งสติไว้ตลอดเวลา เมื่อตั้งสติแล้ว, ข้อที่สอง ต้องถามตัวเองว่า เราเองมีอคติมากขนาดไหน เราตัดสินนี้เพราะเราเกิดความโลภ ตัดสินนี้เพราะความโกรธ ตัดสินเพราะความกลัว หรือเพราะความหลง อคติทั้ง 4 ประการครับ ถ้าพิจารณาอย่างแจ่มชัด แล้วเรารู้ว่าอะไรเป็นความจริง อะไรเป็นความเท็จ
อย่าลืมนะครับ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 กันยายนเป็นต้นมา สิ่งที่เรารับจากสื่อมวลชนเป็นความเท็จมากกว่าความจริงทั้งสิ้น เรารับกระแสข่าวจากฝ่ายเดียวคือจากกระแสข่าวตะวันตก เราไม่รับจากอีกกระแสหนึ่งเลย ต้องหัดรับทั้งสองกระแส และสามารถตัดสินใจได้ว่าอะไรคือความจริง อะไรคือข้อเท็จจริง เมื่อตัดสินแล้วถ้าเราเป็นฝ่ายผิดเราต้องยอมรับผิด ถ้าเราไม่ยอมรับผิดไม่มีทางที่เราจะตกลงกันได้ และถ้าเผื่ออีกฝ่ายมีอำนาจ ไม่ยอมรับผิด ฝ่ายไร้อำนาจต้องหาข้อมูลมาต่อสู้จนฝ่ายมีอำนาจต้องยอมรับผิด
กลับมาที่เรื่องซึ่งเกิดขึ้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์นะครับ เวลานี้ฝ่ายรัฐยังไม่กล้าตัดสินว่า การสร้างโรงไฟฟ้าดีหรือไม่ดี อันนี้ไม่มีทางเลือกครับ ชาวบ้านจะต้องรวมตัวกับนักวิชาการที่อยู่ฝ่ายสัจจะ นักวิชาการที่อยู่ฝ่ายสัจจะเวลานี้เห็นชัดเลยครับมีอยู่ในนักวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ผมไม่แน่ใจว่ามีใน มช.หรือเปล่า ฝ่ายไหนก็ตามที่รักสัจจะแม้ว่าจะมีจำนวนน้อย ต้องรวมตัวกันเอาสัจจะมาตีแผ่ อีกฝ่ายต้องแพ้ ไม่มีทางเลือกครับ ต้องแพ้
หรือกรณีของเขื่อนปากมูล ที่ จ.อุบลราชธานี เขาต่อสู้มา 9 ปีนะครับ คุณทักษิณยอมให้เปิดเขื่อน ทีแรกยอมให้เปิด 4 เดือน ชาวบ้านเขาต้องการเปิดตลอดไป ชาวบ้านเขาทำยังไง เขาเดินครับ วิธีเดียวที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติ วิธีเดียวกับที่นักบวชทั้งหลายปฏิบัติ เดินจากอุบลราชธานี ตอนนี้เดินมาถึงโคราช. ทำไมถึงเดินครับ
เพราะการเดินเขาจะรู้จักคนทั้งหมดที่เขาเดินผ่านมา เขาสามารถสัมพันธ์กัน สามารถพูดจากันรู้เรื่อง เขาสามารถพูดภาษาอีสานได้ด้วยกันทั้งหมด มิฉะนั้นแล้ว ชาวอีสานก็จะรับข้อมูลจากชาวกรุงเทพแต่เพียงอย่างเดียวครับ แล้วข่าวคราวข้อมูลจากกรุงเทพ ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตก็หลอกป้อนสื่อมวลชน โจมตีว่าชาวบ้านเป็นคนที่เลวร้าย แต่เมื่อเขารับข้อมูลจากกันและกันเขาจะรู้จักสัจจะครับ และผมว่าภายในเวลาไม่เท่าไหร่ สัจจะในภาคอีสานจะรู้หมดเลยว่า ชาวบ้านเป็นฝ่ายถูก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตเป็นฝ่ายผิด เวลานี้รัฐบาลยอมแล้วนะครับ ขยายการเปิดเขื่อนจาก 4 เดือน ตอนนี้ขยายมาเป็นปีหนึ่งแล้ว
และในที่สุด รัฐบาลจะต้องยอมรับความจริงว่า เขื่อนจะต้องเปิดทั้งหมด เพราะการสร้างเขื่อนมันไปทำลายธรรมชาติ สร้างเขื่อนมันไปทำลายวิถีชีวิตของคน เห็นไหมครับ เพราะฉะนั้นการต่อสู้ไม่ใช่ของง่าย แต่ถ้ายึดสัจจะเป็นที่ตั้ง ลดอคติของเราเอง และหากัลยาณมิตรไปร่วม ผมว่าอันนี้เท่านั้นครับ โอกาสที่แก้ไขความขัดแย้งเป็นไปได้
ที่ผมพูดมาเป็นเพียงบางตัวอย่างนะครับ และบางท่านคงทราบว่า ผมเพิ่งจัดงาน 100 ปีอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ สำเร็จไป เมื่อวันที่ 10 มานี้เอง อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ท่านเป็นคนที่นำประชาธิปไตยมาให้ประเทศไทยปี 2475. เมื่อประเทศไทยถูกญี่ปุ่นยึดครอง เมื่อ 60 ปีมานี้เองครับ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม. 60 ปีมานี้ที่ญี่ปุ่นยึดครองประเทศไทย แต่เราปฏิเสธว่าญี่ปุ่นไม่ได้ยึดครองครับ เราเชิญญี่ปุ่นมา.
เหมือนกับอเมริกันมาตั้งฐานทัพในประเทศไทย เราบอกเราเชิญอเมริกันมา แล้วตอนที่ฐานทัพอเมริกันอยู่ในประเทศไทย ได้สร้างโสเภณีจำนวนมากในเมืองไทย ได้สร้างเฮโรอีนในเมืองไทย ร้อยแปดพันประการซึ่งเราไม่ยอมรับความจริงอันนี้ แล้วเราร่วมกับอเมริกันไปทำสงครามในเวียดนาม ทิ้งระเบิดในเวียดนาม แล้วระเบิดที่เหลือเราไปทิ้งในเมืองลาว ระเบิดที่อเมริกันไปทิ้งในเมืองลาวมากกว่าระเบิดที่อเมริกันไปทิ้งในญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียอีก แล้วไทยมีส่วนร่วมทั้งหมด อันนี้เป็นอกุศลกรรมที่ติดตัวมาถึงพวกเราด้วย และตราบใดที่เราไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ เราไม่มีทางแก้อกุศลกรรมให้เป็นกุศลกรรมได้
เห็นไหมครับ อาจารย์ปรีดี นำประชาธิปไตยมาให้ ต่อสู้ให้ประเทศเรามีเอกราชหลังสงคราม แต่ พ.ศ. 2490 เขาหาว่าท่านลอบปลงพระชนม์ในหลวงรัชกาลที่ 8 เขาถีบท่านออกไปจากประเทศ. 40 ปี ครับ จนกระทั่งท่านไปตายที่ปารีส ท่านเป็นผู้ที่นำรัฐสภามาให้ประเทศไทย เมื่อท่านตายในปารีสนะครับ รัฐสภาไทยไม่ยืนแม้แต่ 1 นาทีให้ท่านในขณะที่คนไทยถูกเกณฑ์ให้ร้องเพลงชาติเช้าเย็น แต่คนที่ทำบุญคุณ เพียงหนึ่งนาทีก็ยังไม่ยืนให้เลย
2 ปีที่เราจัดงานเพื่อเชิดชูท่าน เราไปจัดที่รัฐสภาเลยครับ เมื่อปีกลายวันที่ 11 พฤษภาคม อันเป็นวันเกิดท่าน รัฐสภา สมาชิกทั้งหมดยืนไว้อาลัยให้ท่าน อันนี้เป็นการแก้บาปครับ เหมือนพระในการปลงอาบัติ ถ้าเรายอมรับผิด เราจะไม่ทำผิดอีก เราจะกล้าหาญทำในสิ่งที่ถูกต้อง. แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจนะครับว่ารัฐบาลไทย เวลานี้ยังจะกล้าทำสิ่งที่ถูก เพราะการฉลองอาจารย์ปรีดี ครั้งนี้ ฝ่ายรัฐบบาลยังแหย ยังกลัว ยังปอด เพราะอะไรครับ เพราะเราถูกสอนให้กลัวความจริง ถูกสอนให้สยบยอมกับสิ่งไร้สาระ เหมือนกับอธิการบดีสยบยอมกับเศษกระดาษสองแผ่น ที่มาจากทบวงมหาวิทยาลัย ที่มาจากกระทรวงมหาดไทย แต่กลัว ส.ศิวรักษ์ที่จะมาพูดความจริง
มีอะไรครับ ผมมีอะไร มีปากๆหนึ่ง ปากกาแท่งหนึ่ง ทำไมถึงกลัวผม เพราะผมพูดสัจจะครับ ผมเขียนสิ่งที่เป็นจริง แล้วผมท้าได้เลยว่าสิ่งที่ผมพูดอันไหนไม่เป็นจริงบ้าง ถ้าอธิการบดีมีความกล้าหาญทางจริยธรรม กล้าหาญทางวิชาการ พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับผมไหมครับ ไม่อภิปรายที่มหาวิทยาลัยก็ได้ อภิปรายที่วัดอุโมงค์ก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ได้ไหมครับ?
เฉกเช่นที่ผมไปพูดที่เมืองกาญจนบุรี เมื่อเดือนมีนาคม วันที่ผมถูกจับครบ 3 ปี มีนายพลคนหนึ่งเคยเป็นแม่ทัพภาคฯ ขึ้นมาด่าว่าเลยว่าผมนี่เป็นคนที่พูดจาอะไร อย่าเชื่อ พูดแล้วคนมักจะคล้อยตาม. ผมบอกว่าไม่ใช่เลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนเลยว่า แม้พระองค์ตรัสสอนแล้วก็อย่าเชื่อ ให้ไปศึกษาปฏิบัติแล้วค่อยเชื่อ ผมไม่เคยบอกให้คนเชื่อผมครับ แล้วผมบอกว่า ท่านนายพลต้องการไหมครับ อภิปรายกับผมที่ไหนก็ได้...
ที่ผมพูดนี่ไม่ใช่ให้โกรธนะครับ เพราะการแก้ปัญหาความขัดแย้งต้องไม่โกรธ ไม่เกลียด แต่การแก้ปัญหาความขัดแย้งต้องไม่ลืม ต้องรู้ครับว่าเขาเคยทำความชั่วร้ายอะไรมา เราพร้อมที่จะให้อภัยเขา แล้วหวังว่าเขาจะเปลี่ยนแปลง แล้วเราเอง ถ้าเรารู้ว่าเราทำผิดพลาดอะไรมา เราต้องแก้ไขเพื่อการเปลี่ยนแปลง
ผมหวังว่าที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้คงจะมีประโยชน์บ้าง ในการคิดหาทางแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ปัญหาความขัดแย้งมีทุกแห่ง มีทั้งที่ใน มช. มีทั้งที่ในเมืองไทย มีทั้งที่สหรัฐฯ มีทั้งที่นานาชาติ ถ้ามองเห็นปัญหาแต่ละจุดแต่ละจุดแล้ว เราแก้จุดนี้และโยงไปจุดนั้นแล้ว มันจะเป็นอิธัปปจยตา และจะแก้ปัญหาทั้งหมดได้ครับ...
ผมหวังว่าจะมีประโยชน์บ้าง และถ้าเผื่อว่าต้องการจะโต้เถียง อภิปราย ยินดีครับ ขอบพระคุณมากครับ สวัสดี
สุชาดา จักรพิสุทธิ์ : กราบขอบคุณท่านอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นะคะ ที่กรุณาให้แง่คิดในการจัดการกับความขัดแย้งด้วยวิถีทางแบบพุทธ ซึ่งท่านก็ได้ให้นัยสำคัญไว้ว่า ก็คงจะเป็นเรื่องศีลของชาวพุทธนี้ค่ะที่จะเป็นรากฐานในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ตั้งแต่ระดับตัวบุคคล ระหว่างบุคคล ไปจนถึงปัญหาของสังคม และชาวโลก
อันดับต่อไปนี้ คิดว่าน่าจะเป็นโอกาสอันดีที่พวกเรา ซึ่งเป็นคนมาจากแวดวงต่างๆนานา มีทั้งนักบวช นักธุรกิจ คุณหมอ ศิลปิน และนักเขียน รวมถึงเพื่อนๆชาวต่างประเทศด้วยมารวมกันอยู่ ณ ที่นี้ เราคิดว่าน่าจะได้มีการมาร่วมตั้งจิตภาวนากัน เพื่อที่จะเรียกร้องสันติภาพ และแผ่เมตตาให้กับผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ดิฉันอยากจะเรียนเชิญคุณหมอปาล รายฮูลา ซึ่งท่านเป็นตัวแทนจากชาวฮินดูในเชียงใหม่ ท่านจะมานำภาวนาสันติภาพ จากจุดยืนของชาวฮินดูนะคะ และหลังจากนั้น พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาที่มาชุมนุมอยู่ ณ ที่นี้ จะสวดเมตตาสูตรพร้อมเพรียงกันเป็นการจบโครงการศิลปเพื่อสันติภาพในวันนี้...
คุณหมอ ปาล รายฮูลา : กราบนมัสการพระคุณเจ้า และขอต้อนรับท่านปาฐก แล้วก็แขกผู้มีเกียรติ วันนี้พวกเราก็คงซาบซึ้งแล้วก็เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์สุลักษณ์ ได้พูดให้พวกเราฟัง แต่ขณะเดียวกันก็แล้วแต่ความคิด ความเห็น ดังที่เราเรียกว่านานาจิตตัง
ผมรู้สึกภาคภูมิใจและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญขึ้นมาพื่อจะเริ่ม จะใช้คำว่าสวดหรือแผ่เมตตาก็ได้นะครับ. เมื่อสองวันก่อนก็ได้ไปพูดถึงเรื่องนี้ มีสิ่งหนึ่งซึ่งผมเน้น และโดยเฉพาะในบรรยากาศที่มีต้นไม้ มีอากาศสดใจเหมือนในวันนี้ ถ้าผมสามารถทำได้ ก็อยากจะให้ผนึกจิตอธิษฐานจากทุกศาสนา ทุกความเชื่อ ซึ่งเชื่อและยึดมั่นในสันติ ผมอยากจะให้ทุกคนทำจิตให้นิ่ง และแผ่เมตตาไปสู่ทุกสรรพสิ่งที่กำลังเป็นทุกข์ โดยวิถีทางของเราเอง
อย่างที่ผมได้พูดวันก่อน "ขอสันติจงมีต่อเรา ขอสันติจงมีแด่สรรพสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ และขอสันติจงมีแด่สันติ" ผมขอกล่าวแค่นี้ แล้วขอพระคุณเจ้าเริ่มสวดนำพวกเราด้วยนะครับ ในการที่พวกเราจะร่วมแผ่เมตตาจิตไปสู่สรรพสิ่งในโลกนี้...
พระสงฆ์สวด : หลังจากนั้น พระสงฆ์ที่มาชุมนุมกันประมาณ 20 รูป ได้สวด"เมตตากรณีสูตร"โดยพร้อมเพรียงประมาณ 20 นาที ดังกังวาลไปทั่วบริเวณวัดอุโมงค์ ...
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา I webboard
e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม