ลัทธิก่อการร้ายในยุคหลังสมัยใหม่ (Postmodern Terrorism) นักก่อการร้ายแห่งอนาคตจะมีลักษณะที่ไร้อุดมการณ์ เป็นไปได้มากที่จะอิงอาศัยหรือซ่อนตัวอยู่ในความไม่พอใจของคนกลุ่มน้อย, และยากที่จะจำแนกจากอาชญากรรมอื่นๆ, และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคทุนนิยมอุตสาหกรรม มันเป็นการคุกคามต่อสังคมที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
หลังการสิ้นสุดลงของศตวรรษที่ 19, ดูเหมือนว่าไม่มีใครที่จะปลอดภัยจากการถูกโจมตีจากผู้ก่อการร้าย. ในช่วงปี ค.ศ. 1894 นักอนาธิปไตยชาวอิตาเลี่ยนได้ลอบสังหารประธานาธิบดีฝรั่งเศส Sadi Carnot. ในปี ค.ศ.1897 พวกอนาธิปไตยได้จ้วงแทงจักรพรรดินี Elizabeth แห่งออสเตรียและได้ฆ่า Antonio Canovas, นายกรัฐมนตรีชาวสแปนิช. ในปี ค.ศ. 1900 Umberto I, กษัตริย์อิตาเลี่ยน, ตกอยู่ภายใต้การโจมตีของนักอนาธิปไตยอีกคนหนึ่ง; ในปี ค.ศ.1901 นักอนาธิปไตยชาวอเมริกันได้ฆ่า William McKinley, ประธานาธิบดีสหรัฐ.
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ
Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
สนใจสมัครเป็นสมาชิก
กรุณาคลิกที่ปุ่ม member page
ส่วนผู้ที่ต้องการดูหัวข้อบทความ
ทั้งหมด ที่มีบริการอยู่ขณะนี้
กรุณาคลิกที่ปุ่ม contents page
และผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
หรือประกาศข่าว
กรุณาคลิกที่ปุ่ม webboard
หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
(midnightuniv(at)yahoo.com)
ข้อมูลที่นักศึกษา สมาชิก
และผู้สนใจทุกท่านจะอ่านต่อไปนี้ เป็นมุมมองของฝ่ายสหรัฐอเมริกา ที่มองเรื่องของลัทธิการก่อการร้าย
จากมุมมองของตน และได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลก
ดังนั้น โปรดใช้วิจารณญาน
สมเกียรติ ตั้งนโม : แปลและเรียบเรียง
- - - - - - - - - - -
- - - - - - - - - - - - - - - - - -
Title: "Postmodern
Terrorism." Author: LAQUEUR, WALTER
Source: FOREIGN AFFAIRS (PERIODICAL), SEP/OCT 1996
ลัทธิก่อการร้ายในยุคหลังสมัยใหม่ (Postmodern Terrorism) [มุมมองแบบขวาๆ]
นักก่อการร้ายแห่งอนาคตจะมีลักษณะที่ไร้อุดมการณ์ เป็นไปได้มากที่จะอิงอาศัยหรือซ่อนตัวอยู่ในความไม่พอใจของคนกลุ่มเล็กๆ,
และยากที่จะจำแนกมันออกมาจากอาชญากรรมอื่นๆ, และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคทุนนิยมอุตสาหกรรม
การก่อการร้ายถือว่าเป็นการคุกคามต่อสังคมที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
หน่วยงานสมองของสหรัฐที่ไม่เปิดเผยชื่อแห่งหนึ่งได้อวดอ้างว่า
ด้วยเงินหนึ่งพันล้านเหรียญ
และจำนวนแฮคเคอร์เก่งๆ สักประมาณ 20 คน,
เขาสามารถที่จะปิดฟ้าอเมริกันลงได้เลยทีเดียว. สิ่งที่เขาคุยโตว่าสามารถทำได้นี้
ผู้ก่อการร้ายก็สามารถกระทำได้
เช่นเดียวกัน. มันมีความลับอยู่น้อยมากในสังคมที่ต้องพี่งพาสายโทรศัพท์
หรือสังคมไร้สาย และมาตรการป้องกันก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามีข้อจำกัดอยู่มาก ดังที่เราเคยรับรู้กันว่า
แฮคเคอร์วัยรุ่นสามารถที่จะเจาะทะลุเข้าไปในระบบความลับระดับสูงได้ในทุกๆวงการ.
NEW
RULES FOR AN OLD GAME (กฎเกณฑ์ใหม่ๆสำหรับเกมเก่าๆ)
หลังการสิ้นสุดลงของคริสตศตวรรษที่
19, ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครปลอดภัยเลยจากการถูกโจมตีจากผู้ก่อการร้าย. ในช่วงปี
ค.ศ.1894 นักอนาธิปไตยชาวอิตาเลี่ยนได้ลอบสังหารประธานาธิบดีฝรั่งเศส Sadi Carnot.
ส่วนในปี ค.ศ.1897 พวกอนาธิปไตยได้จ้วงแทงจักรพรรดินี Elizabeth แห่งออสเตรียและได้สังหาร
Antonio Canovas, นายกรัฐมนตรีชาวสแปนิช. ในปี ค.ศ. 1900 Umberto I, กษัตริย์อิตาเลี่ยน,
ตกอยู่ภายใต้การโจมตีของนักอนาธิปไตยอีกคนหนึ่ง และต่อมาในปี ค.ศ.1901 นักอนาธิปไตยชาวอเมริกันได้ทำการสังหาร
William McKinley, ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
[หมายเหตุ : อนาธิปไตยเป็นแนวคิดที่มาจาก Anarchism ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ว่า
รูปแบบทั้งหมดของรัฐบาลต่างก็มีลักษณะกดขี่และไม่เป็นที่พึงปรารถนา สมควรที่จะล้มล้างลงเสีย,
ดังนั้นจึงมีการต่อต้านและก่อการร้ายต่อรัฐ ดังที่พบเห็นได้ในนักอนาธิปไตยบางคน
ซึ่งพวกนี้จะปฏิเสธการบีบบังคับในทุกๆรูปแบบที่มาควบคุมและมาใช้อำนาจบีบคั้นกับตน]
ในปัจจุบัน ลัทธิการก่อการร้ายได้กลายมาเป็นหัวเรื่องที่สำคัญซึ่งมายึดครองความสนใจของบรรดานักการเมืองทั้งหลาย, หัวหน้าตำรวจ, นักเขียนคอลัมภ์ในนิตยสาร, และบรรดานักประพันธ์ต่างๆนับจาก Dostoevsky จนกระทั่งถึง Henry James. ดังเช่นในปี ค.ศ.1900 บรรดาผู้นำของประเทศมหาอำนาจอุตสาหกรรมหลักๆ ได้มีการจัดประชุมกัน ส่วนใหญ่ของคนเหล่านี้ยืนยันถึงลัทธิก่อการร้ายให้เป็นหัวเรื่องในวาระการประชุมที่อยู่ยอดบนสุดซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพวกเขา เช่นเดียวกันกับที่ประธานาธิบดี Clinton ได้ทำในกลุ่มประเทศจี. 7 ซึ่งได้มีประชุมกันหลังจากการวางระเบิดค่ายทหารอเมริกัน ในเดือนมิถุนายนที่ Dhahran ประเทศซาอุดีอาราเบีย
จากทัศนียภาพของเหตุการณ์รุนแรงที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อไม่นานมานี้เกี่ยวกับกิจกรรมของผู้ก่อการร้าย มันไม่ใช่การคุกคามกับผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ แต่เป็นการคุกคามต่อความปลดภัยของทุกๆคน. ตามรายงานประจำปีของกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ในหัวข้อดังกล่าว, มีผู้คนจำนวนไม่มากนักเมื่อปีที่แล้วที่ประสบเหตุการณ์เกี่ยวกับกับลัทธิก่อการร้ายนานาชาติ ซึ่งหากนับเป็นจำนวนคนแล้วน้อยกว่าปีก่อนหน้านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่ต้องสูญเสียดังกล่าว เกือบจะไม่มีความหมายเลยหรือถูกนำมานับ - เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าว พวกผู้นำเหล่านี้ไม่สนใจและมองข้าม. เพราะนิยามต่างๆเกี่ยวกับการก่อการร้ายในปัจจุบัน ได้หันไปให้ความสนใจในเรื่องของขนาดความใหญ่ของปัญหาที่แผ่ไปทั่วโลก มากกว่าเรื่องของจำนวนคนที่ต้องสูญเสียไปนั่นเอง
"ลัทธิก่อการร้าย"ได้รับการนิยามในฐานะที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ"ความรุนแรง" หรือความรุนแรงที่มาคุกคาม ซึ่งเจตนา ต้องการที่จะหว่านเพาะเมล็ดความตื่นกลัวและหวาดระแวงขึ้นมาในสังคม ทั้งนี้เพื่อทำให้เกิดความอ่อนแอหรือโค่นล้มคนที่ดำรงตำแหน่งหน้าที่สำคัญทั้งหลายลง และยังหวังผลในการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วย.
ลัทธิก่อการร้ายได้ทอดเงาลงบนแนวโน้มของสงครามกองโจร (แม้ว่าจะไม่เหมือนกับสงครามกองโจรจริงๆก็ตาม เพราะบรรดาผู้ก่อการร้ายไม่สามารถ หรือไม่ประสงค์ที่จะครอบครองดินแดนของฝ่ายตรงข้าม) และมีลักษณะที่เป็นตัวแทนอันหนึ่งสำหรับสงครามระหว่างรัฐ. ในประวัติศาสตร์ของลัทธิก่อการร้าย ปรากฏว่ามันมีลักษณะที่หลายหลายมาก; สังคมทุกวันนี้ไม่เพียงเผชิญหน้ากับลัทธิก่อการร้ายกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่สังคมกำลังเผชิญหน้ากับลัทธิก่อการร้ายหลายๆกลุ่มพร้อมๆกัน
นับจากปี ค.ศ.1900 เป็นต้นมา แรงกระตุ้นของบรรดาผู้ก่อการร้าย, ยุทธศาสตร์-ยุทธวิธี ได้มีการเปลี่ยนแปลงไป อันนี้ได้รวมไปถึงอาวุธที่นำมาใช้ทำลายล้างต่างๆด้วย ซึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในบางระดับ. บรรดานักอนาธิปไตยทั้งหลายและพวกกลุ่มก่อการร้ายฝ่ายซ้ายในช่วงหลังต่อมา, ได้ตกต่ำลง ไม่ว่าจะเป็นกองทัพแดงต่างๆที่ปฏิบัติการในประเทศเยอรมันนี, อิตาลี, และญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษที่ 1970, กลุ่มต่างๆเหล่านี้ค่อยๆเสื่อมสลายลงไป
แต่อย่างไรก็ตาม ข้อแตกต่างที่เกิดขึ้นก็คือ ขบวนการที่เริ่มก่อตัวดังกล่าวได้ผันผ่านไปสู่พวกขวาสุดขั้ว. กระนั้นก็ตาม ลัทธิก่อการร้ายข้ามชาติหรือลัทธิก่อการร้ายในชาติของตนทุกวันนี้ ไม่ใช่ทั้งพวกขวาและซ้าย แต่มีแรงจูงใจเกี่ยวกับการแยกตัวของชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ. ผู้ก่อการร้ายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องชนกลุ่มน้อย ปัจจุบันเริ่มมีพลังอำนาจมากขึ้น และมีแรงกระตุ้นในเรื่องของอุดมการณ์มากกว่า นับตั้งแต่ที่พวกชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ได้สะสมและดึงเอาการสนับสนุนของสังคมได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น
ในส่วนของการต่อสู้ ลัทธิก่อการร้ายในทุกวันนี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องของการต่อสู้หรือการทำสงครามใดๆในไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร จริงๆแล้วเมื่อไม่นานมานี้ ส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงยุทธวิธีเสียมากว่า พี่น้องมุสลิมที่มีสาขาอยู่อย่างมากมาย, ปาเลสติเนี่ยนฮามาส, กองทัพสาธารณไอริช(IRA), บรรดาพวกหัวรุนแรงเคอดิชในตุรกีและอีรัค, the Tamil Tiger (ทมิฬไทเกอร์)ของศรีลังกา(เชื้อสายดราวิเดียน), ขบวนการ"บาสคเสรี" หรือ the Basque Homeland and Liberty (ETA)ในประเทศสเปน, และกลุ่มอื่นๆอีกมากมาย ได้ผุดขึ้นมาในศตวรรษนี้โดยได้รับการสนับสนุนทางด้านการเมือง เช่นเดียวกับการสนับสนุนการก่อการร้ายในแบบเดิมๆ
ในส่วนของปีกทางการเมืองของกลุ่มเหล่านี้ ได้ตระเตรียมบริการต่างๆทางสังคมและการศึกษาให้ มีการดำเนินการทางธุรกิจต่างๆ, และเข้าแข่งขันเกี่ยวกับการเลือกตั้ง, ในขณะที่ปีกของฝ่ายทหารหรือการก่อการร้าย ก็มีภารกิจผูกมัดอยู่กับการการซุ่มโจมตีและดักทำร้าย รวมทั้งการลอบสังหาร.
รูปแบบของการแบ่งแยกดังกล่าวเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบ: นั่นคือ ผู้นำทางการเมืองสามารถที่จะแยกตัวเองออกมาจากสายตาของสาธารณชนได้ ในขณะที่บรรดาผู้ก่อการมีพันธกิจอยู่กับการกระทำที่รุนแรงโดยเฉพาะ หรือการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตามที่เกิดข้อผิดพลาดขึ้น. แต่อย่างไรก็ตาม การขาดการควบคุมเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงสามารถจะเป็นไปได้เลยทีเดียว เพราะปีกของกองกำลัง มันมีแนวโน้มที่จะแยกตัวและกลายตัวเป็นกลุ่มอิสระ กล่าวคือ ชายและหญิงที่มีปืนและระเบิด บ่อยครั้ง ได้สูญเสียมุมมองเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ที่กว้างใหญ่ของขบวนการของพวกตนไป และอาจจบลงด้วยการกระทำที่เป็นอันตรายมากกว่าการสร้างคุณความดีให้แก่อุดมการณ์ที่พวกตนยึดถือ
ปฏิบัติการของผู้ก่อการร้ายก็มีการเปลี่ยนแปลงไปด้วยบางส่วน. การจี้เครื่องบินค่อนข้างที่จะมีน้อยลง เพราะการจี้เครื่องบินไม่สามารถที่จะลอยค้างอยู่บนกลางอากาศได้ตลอด และมีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นในทุกวันนี้ ที่เต็มใจยอมรับให้ผู้ก่อการร้ายเหล่านี้นำเครื่องบินที่จี้บังคับมาลงจอดได้ ทั้งนี้เพราะมันจะทำให้เกิดรอยมลทินหรือตราบาปเกี่ยวกับการสนับสนุนลัทธิก่อการร้ายอย่างเปิดเผย.
ในส่วนของบรรดาผู้ก่อการร้ายด้วยเหมือนกัน มองถึงลู่ทางที่จะหวนกลับไปสู่การใช้วิธีการจี้เครื่องบินแบบที่เคยทำมานั้นน้อยลง. นอกจากนี้ แนวโน้มในปัจจุบันประหนึ่งว่า กำลังมีการที่จะหนีจากการโจมตีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงลงไปต่างๆด้วย อย่างเช่น การโจมตียังเป้าหมายกับตัวบรรดาเจ้าหน้าที่ทางการของฝ่ายตรงข้าม ทุกวันนี้ มันกลายมาเป็นเป้าหมายที่มุ่งสู่การฆ่าหรือการประหัตประหารแบบไม่เลือกหน้ามากยิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น, เส้นแบ่งระหว่างลัทธิการก่อการร้ายในเมือง กับยุทธวิธีอื่นๆ กลายเป็นสิ่งซึ่งไม่แตกต่างกันชัดเจน. ปัจจุบันเส้นแบ่งระหว่าง"ลัทธิก่อการร้ายที่มีแรงกระตุ้นทางการเมือง" กับ "ปฏิบัติการขององค์การอาชญกรรมระดับชาติและนานาชาติ" เป็นไปอย่างคลุมเครือ จนบ่อยครั้ง เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับบรรดาคนนอกทั้งหลาย ที่จะมองออกว่าเป็นการกระทำของกลุ่มใด ทั้งในสหภาพโซเวียด ลาตินอเมริกา และส่วนอื่นๆของโลก.
แต่อย่างไรก็ตาม มันมีความแตกต่างกันโดยพื้นฐานอันหนึ่งระหว่าง"อาชญากรรมนานาชาติ" กับ "ลัทธิการก่อการร้าย" อย่างเช่น พวกมาเฟียต่างๆ ไม่ได้ให้ความสนใจในการโค่นล้มรัฐบาล และต้องการทำให้สังคมอ่อนแอลงแต่อย่างใด ตามข้อเท็จจริง พวกมาเฟียสนใจและฝังแน่นอยู่กับความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของพวกตนเพียงเท่านั้น
การเข้าใจบางสิ่งอย่างไม่ถูกต้อง, ไม่เพียงเรื่องของความหมายที่แตกต่างกันของคำหรือสัญลักษณ์เท่านั้น ที่รายรอบรูปแบบอันหลากหลายของความรุนแรงทางการเมือง ผู้ก่อการร้าย(terrorist) ความจริงแล้ว มันไม่ใช่คำๆเดียวกันกับกองโจร(guerrilla), หากจะกล่าวกันลงไปให้ถูกต้องจริงๆ. มันไม่มีกองโจรใดๆที่ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยในสไตล์แบบ "พวกนิยมลัทธิเหมา" ของพวกผู้ก่อการร้าย ที่กลายเป็นพื้นฐานของการเผชิญหน้าทางสังคม และทหารธรรมดาซึ่งต่อสู้กับรัฐบาลกลาง - เว้นแต่บางที ในที่ที่อยู่ห่างไกลอย่างเช่นอัฟกานิสถาน, ฟิลิปปินส์, และศรีลังกา.
ศัพท์คำว่า"กองโจร"(guerrilla)มีชีวิตมายาวนานพอสมควร เพราะบรรดาผู้ก่อการร้ายชอบที่จะปิดป้ายฉลากตัวเองเอาไว้เพื่อต้องการให้มันมีความหมายไปในทางบวกมากขึ้น. มันยืนหยัดมาอย่างนั้นด้วยก็เพราะว่า รัฐบาลและสื่อในประเทศต่างๆไม่ปรารถนาที่จะสร้างความขุ่นเคืองแก่พวกผู้ก่อการร้าย โดยการเรียกคนเหล่านี้ว่าผู้ก่อการร้าย.
สิ่งพิมพ์ของฝรั่งเศสและอังกฤษไม่เคยฝันเฟื่องที่จะอ้างถึงบรรดาผู้ก่อการร้ายในประเทศของพวกตน โดยการใช้ชื่ออื่น เว้นแต่เรียกบรรดาผู้ก่อการร้ายว่า นักทำสงครามทางการเมือง, นักกิจกรรมหรือนักเคลื่อนไหว, นักต่อสู้เพื่อปลดปล่อยชาติ, หรือแม้แต่"คนที่มีปืน"(but call terrorists in other nations militants, activists, national liberation fighters, or even "gun persons." ).
ความเชื่อได้บรรลุถึงพื้นฐานที่ว่า "ภารกิจต่างๆของผู้ก่อการร้ายโดยการสมัครใจ มีแนวโน้มที่จะผูกพันไปถึงการยอมพลีชีพหรือยอมฆ่าตัวตาย ซึ่งอันนี้เป็นการสถาปนาหรือยอมรับความตายชนิดใหม่ขึ้นมาอย่างถึงราก นี่นับว่าเป็นอันตรายมากเพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่ฝ่ายตรงข้ามกับคนกลุ่มนี้ จะปกป้องหรือขัดขวางอะไรได้. แต่นั่นคือมายาคติอันหนึ่ง, เหมือนๆกับเรื่องราวอื่นๆอีกมากมายซึ่งลัทธิก่อการร้ายมักจะได้รับการห่อหุ้มไปด้วยความลึกลับ.
นักระเบิดพลีชีพส่วนใหญ่แล้วเต็มใจ และอันที่จริงกระหายที่จะระเบิดตัวเอง ซึ่งที่ปรากฎในทุกยุคทุกสมัยและในทุกๆขนบประเพณีวัฒนธรรม, มันเป็นความมุ่งมั่นกับอุดมการณ์ทางการเมือง เรียงลำดับจากพวกนิยมซ้ายแห่ง the Baader-Meinhof Gang ในช่วงทศวรรษที่ 1970s ที่ประเทศเยอรมันนี ไปจนถึงพวกลัทธิสุดขั้วซึ่งเป็นพวกขวาจัด.
เมื่อกองทัพญี่ปุ่นต้องการนักบินกามิกาเซ่ในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง, อาสาสมัครนับจำนวนเป็นพันๆคนได้วิ่งพรวดพราดพร้อมที่จะเสนอตัวของพวกเขาเพื่อปฏิบัติการอันนี้. นักระเบิดพลีชีพซึ่งเป็นคนหนุ่มชาวอาหรับบนรถประจำทางสายเยรูซาเร็ม ต้องการที่จะได้รับรางวัลเป็นสิ่งตอบแทนด้วยหญิงพรหมจรรย์บริสุทธิ์บนสวรรค์ การเสียสละต่างๆเหล่านี้ ล้วนมีการเชื่อมโยงกันอันหนึ่งกับสายโซ่ความเชื่ออันเก่าแก่เส้นหนึ่ง
ผู้ก่อการร้ายที่ได้รับการสปอนเซอร์หรืออุปถัมภ์โดยรัฐไม่ได้หายสาบสูญไปไหน. แต่อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ก่อการร้ายที่กล่าวถึงในย่อหน้านี้ ไม่อาจนับรวมสหภาพโซเวียดและชาติพันธมิตรยุโรปตะวันออกได้อีกต่อไป, แต่ประเทศในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือบางประเทศยังคงมีการให้การสนับสนุนอยู่.
อย่างไรก็ตาม Tehran และ Tripoli, มีความกระตือรือร้นน้อยลงที่จะกล่าวว่า พวกเขามีสิทธิธรรมของพระผู้เป็นเจ้าที่จะผูกมัดกับปฏิบัติการก่อการร้ายต่างๆนอกพรมแดนของพวกเขา; ทั้งนี้เพราะการโจมตีของเครื่องบินสหรัฐที่มีต่อประเทศลิเบีย และการบอยคอทโดยการรวมหัวกันต่อต้านต่างๆอย่างหลากหลายต่อลิเบียและอิหร่าน ได้มีผลขึ้นมาอันหนึ่งสำหรับเรื่องราวเหล่านี้ ดังนั้นในปัจจุบัน จึงไม่ใคร่จะมีรัฐบาลใดกล้าคุยโตโอ้อวดเกี่ยวกับสงครามตัวแทนที่ปลุกปั่นและให้ท้ายอีกต่อไป ด้วยการหนุนหลังกลุ่มผู้ก่อการร้ายต่างๆอย่างเปิดเผย
ในอีกด้านหนึ่ง ประเทศซูดาน โดยไม่มีเสียงแตรที่ดังกังวาลในลักษณะโอ้อวดใดๆ ได้กลายเป็นที่พักพิงสำหรับบรรดาผู้ก่อการร้ายทั้งหลายใช้เป็นสวนสวรรค์ที่ปลอดภัย ซึ่งครั้งหนึ่ง the Barbary Coast (ฝั่งทะเลแถบเมดิเตอร์เรเนียนบริเวณแอฟริกาเหนือ)เคยเป็นที่สำหรับบรรดาโจรสลัดมัวริชทั้งหลายใช้เป็นที่ซ่องสุมมาก่อน.
การแยกตัว และการควบคุมในทางการเมืองที่มีอยู่เหนือความหายนะทางเศรษฐกิจ, รัฐบาลทหารใน Khartoum(คาร์ทูม), ซึ่งได้รับการหนุนหลังโดยบรรดาผู้นำชาวมุสลิม, เชื่อว่า ไม่มีใครต้องการที่จะไปพัวพันกับซูดาน และด้วยเหตุนี้ ซูดานจึงสามารถหลุดรอดไปได้จากความผิด ในเรื่องการหยิบยื่นการสนับสนุนต่อบรรดาผู้ก่อการร้ายจากสายตาของประเทศต่างๆ. ความเชื่อมั่นอันนั้นได้รับการพิสูจน์ แต่ไม่มีอะไรรุนแรงมากนัก ตราบใดที่ลัทธิก่อการร้ายยังเป็นเพียงการก่อกวนเล็กๆน้อยๆเท่านั้น. แต่ถ้าเผื่อว่ามันกลายไปเป็นอะไรที่มากกว่านั้น, กฎเกณฑ์ต่างๆของเกมจะเปลี่ยนแปลงไป และทั้งบรรดาผู้ก่อการร้ายและผู้ปกป้องทั้งหลาย จะตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่รุนแรงมากขึ้น
OPPORTUNITIES IN TERRORISM (จังหวะและโอกาสในการก่อการร้าย)
ในประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่า การก่อการร้าย บ่อยครั้ง ไม่ค่อยส่งผลกระทบทางการเมืองมากนัก, และถ้าเผื่อว่ามันจะมีผลกระทบขึ้นมาเช่นนั้น บ่อยอีกเช่นกัน มันมักจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับความต้องการเสมอ. ลัทธิก่อการร้ายในทศวรรษที่ 1980s และ 1990s ก็ไม่มีข้อยกเว้น.
การลอบฆ่านาย Rajiv Gandhi ในปี 1991 ขณะที่เขากำลังทำการรณรงค์หาเสียง เพื่อจะหวนกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง มันมิได้ก่อให้เกิดการล่มสลายหรือพังพาบลงไปทันทีของพรรคคองเกรสอินเดีย. การเพิ่มความรุนแรงในการก่อการร้ายของขบวนการ Hamas และ Hezbollah ในอิสราเอล ก็มิได้มีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ในการเลือกตั้งต่างๆในอิสราเอลในเดือนพฤษภาคมแต่อย่างใด, แต่ทำให้มันบรรลุเป้าหมายทันทีเกี่ยวกับการถอยกลับไปสู่ขบวนการสันติภาพ ซึ่งประธานาธิบดีปาเลสไทน์ Yasir Arafat เกิดความสุ่มเสี่ยงต่ออนาคตของเขา, ซึ่งอันนี้เป็นการยึดมั่นในหลักการอย่างไม่ประนีประนอมของรัฐบาล Likud อย่างแท้จริงในผลประโยชน์ต่างๆของกลุ่มเหล่านี้ ใช่ไหม ?
ในอีกด้านหนึ่ง, Yigal Amir, นักศึกษาชาวยิวฝ่ายขวาออร์ธอด็อกซ์ ผู้ซึ่งทำการลอบสังหารนายกรัฐมนตรี Yitzhak Rabin เมื่อปลายฤดูใบไม้ร่วง เพราะเขาไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงสันติภาพกับกลุ่มปาเลสไทน์ต่างๆ, อันนี้ได้ช่วยเลือกผู้มีอำนาจรองในการเจรจาสันติภาพของ Rabin, คือนาย Shimon Peres, ให้ขึ้นมามีอำนาจเต็ม ซึ่งอันนี้ผู้ก่อการร้ายชาวมุสลิมมิได้ทำให้ความปลอดภัยของชาวอิสราเอลเป็นปัญหาขึ้นมาอีกครั้งแต่อย่างใด
บรรดาผู้ก่อการร้ายยังได้ทำให้เกิดการแตกแยกและความไม่มีเสถียรภาพในส่วนอื่นๆของโลกด้วย, อย่างเช่น ในศรีลังกา, ที่ที่การล่มสลายทางเศรษฐกิจได้คลอไปกับสงครามระหว่างรัฐบาลกับพวกทมิฬไทเกอร์(Tamil Tigers). แต่ในอิสราเอลและในสเปน ขบวนการสุดขั้วของพวก Basque ได้ทำการโจมตีต่อรัฐบาลมาเป็นระยะๆในหลายทศวรรษที่ผ่านมา, แต่อย่างไรก็ตาม ลัทธิก่อการร้ายมันไม่ได้มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจแต่อย่างใด. แม้แต่ในแอลจีเรีย ที่ที่ลัทธิก่อการร้ายได้สร้างความสูญเสียอย่างสูงสุดในความเป็นอยู่ของผู้คน, แต่พวกหัวรุนแรงชาวมุสลิมบางกลุ่มได้ทำให้เกิดความคืบหน้าไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นับจากปี 1992-93 เมื่อผู้คนมากมายได้ทำนายถึงการสิ้นสุดของระบอบการปกครองของทหารอันไม่เป็นที่นิยม
มีข้อถกเถียงเกิดขึ้นมาบางข้อที่ว่า ลัทธิก่อการร้ายน่าจะมีประสิทธิผล เพราะผู้นำก่อการร้ายบางคนได้กลายเป็นประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีในประเทศของพวกเขา. สำหรับในกรณีเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ก่อการร้าย(ขณะขึ้นดำรงตำแหน่ง)ได้มีการถือสัตย์ปฏิญานในการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งว่าจะเลิกใช้ความรุนแรง และจะปรับตัวสู่กระบวนการทางการเมืองที่ถูกต้อง.
ในท้ายที่สุด จากความรู้ที่สั่งสมกันมาถือว่า การก่อการร้ายสามารถที่จะจุดประกายสงครามขึ้นมาได้ หรืออย่างน้อยที่สุด มันเป็นปฏิบัติการที่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อสันติภาพ. นั่นเป็นจริงทีเดียว แต่ก็เป็นเพียงในที่ที่มันมีเงื่อนไขที่จะก่อให้เกิดการลุกโชนขึ้นเป็นไฟได้เท่านั้น ดังเช่นในซาราเจโว(Sarajevo) ในปี ค.ศ.1914, หรือในตะวันออกกลางหรือที่อื่นๆในทุกวันนี้. ไม่มีใครสามารถที่จะเอ่ยอ้างด้วยความมั่นใจลงไปว่า เพลิงขนาดใหญ่จะไม่เกิดขึ้นในไม่ช้า หรือหลังจากนั้น
อย่างไรก็ตาม, ความคาดหวังของลัทธิก่อการร้าย บ่อยครั้ง มักจะได้รับการประเมินค่าไว้สูงจนเกินไป ไม่ว่าจะโดยบรรดาสื่อ, หรือสาธารณชน, และโดยนักการเมืองบางคน ที่ว่า การก่อการร้ายนั้นมันกำลังมีการปรับปรุงเพื่อเพิ่มศักยภาพการทำลายล้างของตนเองมากขึ้น. อันนี้ไปเกี่ยวข้องกับการเกิดขึ้นของกลุ่มต่างๆและปัจเจกชนที่ปฏิบัติการหรือลงมือก่อการร้าย และสัมพันธ์กับอาวุธที่พวกเขานำมาใช้.
ในไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ได้มีพยานหลักฐานถึงการก่อเกิดขบวนการที่ก้าวร้าวต่างๆเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนโหลๆ ซึ่งได้หมั้นหมายหรือแต่งงานกับความหลากหลายของลัทธิชาตินิยม, ลัทธิถือเคร่งทางศาสนาแบบโบราณ(religious fundamentalism), ฟาสซิสม์, และลัทธิ apocalyptic millenarianism((ความเชื่อที่ว่าจะมีการทำลายล้างตามคำพยากรณ์ในรอบพันปี ซึ่งจะมาถึงในไม่ช้า), นับจาบรรดานักชาตินิยมชาวฮินดูในอินเดีย จนกระทั่งถึงพวกนีโอ-ฟาสซิสท์ในยุโรป และนับจากโลกที่พัฒนาแล้วจนกระทั่งถึง the Branch Davidian cult of Waco, Texas.
บรรดาพวกฟาสซิสท์ในช่วงต้นๆเชื่อในการรุกรานด้านการทหาร และผูกพันอยู่กับการสร้างกองทัพขนาดใหญ่ขึ้นมา, แต่ยุทธวิธีดังกล่าวกลายเป็นสิ่งซึ่งค่อนข้างมีราคาแพงเกินไป แม้แต่สำหรับประเทศที่มีพลังอำนาจพิเศษซึ่งมีอิทธิพลต่อโลกอย่างมาก(superpowers).
ปัจจุบันนี้ แคตาล็อคอาวุธนานาชนิด สามารถสั่งซื้อได้ทางไปรษณีย์ ซึ่งล่อใจนักทำสงครามด้วยอาวุธที่สามารถจะนำมาใช้ได้ทันที, อันมีราคาถูกกว่ามาก, แคตาล็อคอาวุธสงครามเหล่านี้มีทั้งที่ไม่ธรรมดา (unconventional weapons หมายถึง อาวุธเคมี อาวุธชีวภาพ และอาวุธที่ทำลายล้างสูงซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับในกฎบัตรสงคราม) - หรือที่เรียกกันว่า"ระเบิดนิวเคลียร์ของคนจน"(the poor man's nuclear bomb), ดังที่ประธานาธิบดี Ali Akbar Hashemi Rafsanjani แห่งอิหร่านเรียกมันว่าอย่างนั้น - เท่าๆกันกับอาวุธธรรมดาที่ใช้ในสงคราม
นอกจาก อาวุธนิวเคลียร์ต่างๆ, ยังมีอาวุธประเภทที่ทำลายล้างได้ทีละมากๆอื่นๆอีก อย่างเช่นอาวุธชีวภาพและอาวุธเคมีที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งสามารถทำลายลายล้างระบบประสาท ผิวหนัง หรือกระทั่งเม็ดเลือด. รัฐบาลต่างๆ ส่วนมากมีข้อผูกมัดอยู่กับการผลิตอาวุธเคมีมาเกือบศตวรรษแล้ว และยังมีข้อตกลงในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์และอาวุธชีวภาพด้วยมาหลายทศวรรษก่อนหน้านี้ ในช่วงระหว่างวันเวลาดังกล่าว ความแพร่หลายยังเป็นไปอย่างต่อเนื่องและเข้าถึงหรือหามาได้อย่างง่ายดาย.
อาวุธประเภทนำวิถี ที่ใช้ยิงในพิสัยทำการไกล - ซึ่งในที่นี้หมายถึง อาวุธประเภทติดหัวจรวดที่ใช้ยิงไปไกลๆประเภทขีปนาวุธ, ballistic missiles, ขีปนาวุธ cruise missile, และ aerosol (หมายถึงระเบิดประเภทละอองเคมีชีวะที่ใช้ในการทำสงคราม) ได้กลายเป็นอาวุธซึ่งมีประสิทธิภาพเป็นที่ยิ่ง. ขณะที่ในอดีต ขีปนาวุธต่างๆได้รับการนำมาใช้ในแนวรบเพียงในสงครามต่างๆระหว่างรัฐเท่านั้น, แต่เมื่อเร็วๆนี้ อาวุธดังกล่าวข้างต้น ได้แสดงบทบาทสำคัญในสงครามกลางเมืองทั้งในประเทศอัฟกานิสถานและเยเมน มันได้ถูกนำมาใช้โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายต่างๆ ซึ่งถือว่าก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง
จนกระทั่งทศวรรษที่ 1970s นักสังเกตการณ์จำนวนมากเชื่อว่า การขโมยวัตถุดิบและอุปกรณ์ต่างๆที่นำไปใช้ในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ถือเป็นการคุกคามอย่างมากและเป็นสัญญานเตือนภัยที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการเพิ่มศักยภาพทางด้านอาวุธร้ายแรงของผู้ก่อการร้าย แต่จำนวนมากในปัจจุบันคิดว่า อันตรายอาจแอบอิงอยู่ในที่อื่นๆอีก.
รายงานฉบับหนึ่งของกระทรวงกลาโหมซึ่งตีพิมพ์ในเดือนเมษายน 1996 กล่าวว่า "กลุ่มผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่ไม่มีทรัพยากรทางด้านเงินทุนและเทคนิคที่สูงพอที่จะได้มาซึ่งอาวุธนิวเคลียร์ต่างๆ แต่กลุ่มเหล่านี้ได้ทำการรวบรวมวัสดุอุปกรณ์ต่างๆที่นำมาใช้สร้างสิ่งประดิษฐ์ประเภทการแพร่กระจายของกัมมันตภาพรังสี(radiological dispersion devices) และอาวุธชีวภาพ และอาวุธเคมีต่างๆได้.
กลุ่มก่อการร้ายบางกลุ่มได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ซึ่งครอบครองหรือสามารถได้มาซึ่งอาวุธต่างๆ 3 ประเภทหลังที่กล่าวมานี้. กลุ่มผู้ก่อการร้ายต่างๆ โดยตัวของพวกนี้เองได้มีการค้นคว้าการนำเอาสารพิษต่างๆมาใช้นับตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 19. The Aum Shinrikyo (ลัทธิ โอม ชินริเกียว)ได้นำเอาแก๊สพิษออกมาโจมตีในเดือนมีนาคม 1995 ณ สถานีรถไฟใต้ดินในกรุงโตเกียว; การกระทำในครั้งนั้นได้มีการนำเอาแก๊สประสาทซารินออกมาใช้ ซึ่งได้ฆ่าคนไปถึง 10 คนและทำให้ผู้คนในบริเวณนั้นได้รับบาดเจ็บถึง 5000 คน.
ส่วนการกระทำในที่อื่นๆ, ซึ่งเป็นความพยายามของมือสมัครเล่นกว่า อย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกาและในประเทศอื่นๆ ได้มีการทดลองสารต่างๆประเภทเคมีและชีวะสำหรับใช้ในการก่อการร้าย ที่เกี่ยวพันกับอาวุธเชื้อโรคซึ่งทำให้เกิดพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย อย่าง botulism ซึ่งเป็นเรซินโปรตีนที่มีพิษอันจะมีผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง(CNS), ซาริน, แบคทีเรีย bubonic plague bacteria (ที่ทำให้เกิดโรคระบาดโดยมีอาการบวมที่บริเวณไข่ดันและใต้รักแร้ซึ่งทำให้ถึงตายได้), แบคทีเรียไทฟอยด์(typhoid bacteria), ไฮโดรเจนไซอะไนด์(hydrogen cyanide), รวมถึง vx (ซึ่งเป็นแก๊สประสาทอีกประเภทหนึ่ง) และเป็นไปได้จนกระทั่งถึงการนำเอาไวรัส"อีโบลา"มาใช้(the Ebola virus)ในการก่อการร้าย
TO USE OR NOT TO USE? (จะใช้(อาวุธชนิดใด) หรือจะไม่ใช้(อาวุธชนิดใด))
แม้ว่าบรรดาผู้ก่อการร้ายจะมีการใช้อาวุธต่างๆทางเคมี แต่การจะใช้อาวุธนิวเคลียร์เป็นเรื่องซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นมาได้เลย ทั้งนี้เพราะเนื่องมาจากเหตุผลทางด้านเทคนิคนั่นเอง จากความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อาวุธร้ายแรงนี้มันเต็มไปด้วยปัญหาต่างๆทางด้านกรรมวิธีซึ่งเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต, การสร้าง, การเก็บรักษา และการขนส่งมาตั้งแต่ต้น แต่ละขั้นตอนดังกล่าวถือว่าเป็นเทคนิคที่ไม่ธรรมดา
การสร้างอาวุธนิวเคลียร์ต่างๆไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และการนำพามันไปสู่เป้าหมายที่ต้องการทำลายก็ไม่สะดวกเช่นเดียวกัน. วัสดุหรืออุปกรณ์นิวเคลียร์ มันค่อนข้างจะมีอยู่อย่างจำกัด และได้รับการควบคุมและตรวจสอบโดยหน่วยงานของสหประชาชาติที่เรียกว่า the U.N.- affiliated International Atomic Energy Agency (อันเป็นองค์กรสมาชิกหน่วยงานด้านพลังงานอะตอมมิคนานาชาติ). มีเพียงรัฐบาลต่างๆเท่านั้นที่สามารถจัดหามันมาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
แต่อย่างไรก็ตาม ในยุคสมัยของการสืบสวนและหาข่าวที่แพร่หลายเช่นดังทุกวันนี้ มันไม่เป็นการยากเลยที่จะตามรอยบรรดาผู้ก่อการร้ายที่สนับสนุนเรื่องอาวุธนิวเคลียร์. การควบคุมตรวจสอบอาจมองข้ามอาวุธนิวเคลียร์ที่เก่าแก่โบราณอันหนึ่งไป นั่นคือ พวกไม่มีการแบ่งตัว แต่เป็นสารนิวเคลียร์กัมมันตภาพรังสี(nonfissile but radioactive nuclear material). ตัวแทนชาวอิหร่านในตุรกี, คาซัคสถาน, และที่อื่นๆต่างก็เป็นที่รู้กันว่า ได้มีการพยายามที่จะซื้อสารที่เป็นต้นกำเนิดอันนั้นต่อสหภาพโซเวียตเก่า
สารเคมีต่างๆ ง่ายมากที่จะนำมาผลิต หรือได้มา แต่ยากที่จะเก็บรักษาเอาไว้ได้อย่างปลอดภัยในเงื่อนไขที่มีเสถียรภาพ และการแพร่กระจายของพวกมันก็ง่ายเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆทางด้านบรรยากาศ. เบื้องหลังของผู้ก่อการร้ายซึ่งทำการโจมตีที่สถานีรถไฟใต้ดินในกรุงโตเกียวเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ได้เลือกเป้าหมายที่เหมาะสม ซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งฝูงชนจำนวนมากได้ไปรวมตัวกันอยู่ในเวลาเดียวกัน แต่แก๊สซารินของพวกผู้ก่อการร้าย เป็นแก๊สที่ได้รับการทำให้เจือจางแล้วอย่างเห็นได้ชัด.
"สารชีวภาพต่างๆ"สามารถที่จะแพร่กระจายไปได้ไกลและเป็นอันตรายอย่างที่สุด ทั้งนี้เพราะมันสามารถที่จะฆ่าคนได้เป็นหมื่นๆคน ในขณะที่"สารเคมี"อาจฆ่าคนได้เพียงเป็นพันๆคนเท่านั้น. สารพิษเหล่านี้ค่อนข้างที่จะหามาได้ง่าย แต่การเก็บรักษาและการทำให้แพร่กระจายเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจัดการยาก และไม่ใคร่มีความแน่นอนอะไรเลยยิ่งกว่าแก๊สทำลายระบบประสาทต่างๆ.
ความเสี่ยงเกี่ยวกับการเจือปนสำหรับผู้คนที่จัดการหรือควบคุมพวกมันเป็นไปค่อนข้างสูง, และแบคทีเรียและสปอร์ที่ทำให้ตายได้จำนวนมากไม่สามารถอยู่รอดได้ดีนักภายนอกห้องทดลอง. ขบวนการ โอม ชินริเกียว (นอกจากจะโจมตีฝูงชนที่สถานีรถไฟใต้ดิน ด้วยแก๊สซารินแล้ว) ได้ปล่อยเชื้อแบคทีเรียแอนแทรคตามที่รายงาน - อันเป็นสารพิษที่รู้จักกันมากที่สุด - ซึ่งพวกเขาได้กระทำถึง 2 ครั้งจากอาคารหลังหนึ่งในกรุงโตเกียว โดยไม่ได้ทำอันตรายต่อผู้คนแต่ประการใด
เมื่อพิจารณาถึงความยุ่งยากต่างๆทางด้านเทคนิค, บรรดาผู้ก่อการร้ายทั้งหลาย เป็นไปได้ที่จะใช้สิ่งประดิษฐ์จำพวกนิวเคลียร์น้อยกว่าอาวุธต่างๆทางเคมี และเป็นไปได้น้อยที่จะพยายามใช้อาวุธทางชีวภาพต่างๆ. แต่อย่างไรก็ตาม ความยุ่งยากเป็นสิ่งที่สามารถเอาชนะได้ และทางเลือกเกี่ยวกับอาวุธต่างๆที่ไม่ธรรมดาทั้งหลาย จะมาถึงปลายทางที่ลดระดับลงมาบรรจบกับความเชี่ยวชาญต่างๆของผู้ก่อการร้าย และการเข้าถึงสารที่ทำให้ถึงตายได้ของคนพวกนี้
ข้อถกเถียงต่างๆทางการเมืองสำหรับการหลีกเลี่ยงเรื่องของอาวุธที่ไม่ธรรมดาเหล่านี้เป็นเรื่องที่มีน้ำหนักเท่าๆกัน. ความเสี่ยงของการตรวจพบและผลที่ตามมาในการแก้เผ็ดและการลงโทษที่รุนแรงเป็นเรื่องที่ใหญ่โตมาก และขณะที่เรื่องนี้อาจจะไม่สามารถขัดขวางหรือยับยั้งพวกผู้ก่อการร้ายได้ แต่มันก็อาจจะเบี่ยงไปยังพวกผู้ให้การสนับสนุนและส่งเสบียงต่อบรรดาผู้ก่อการร้ายกลุ่มต่างๆ.
"บรรดาผู้ก่อการร้าย"ซึ่งกระหายที่จะใช้อาวุธต่างๆเกี่ยวกับการทำลายล้างมวลชนอาจรู้สึกแปลกแยก อย่างน้อยที่สุด กับ"ผู้ให้การสนับสนุน"บางคน, มิใช่เป็นเพราะพวกเขาทั้งสองมีความเห็นแตกแยกกันในเชิงนโยบาย หรือมีความเกลียดชังศัตรูมากน้อยต่างกัน หรือเนื่องมาจากสาเหตุแห่งความกระวนกระวายใจทางศีลธรรม, แต่เป็นเพราะพวกเขาคิดว่า การใช้ความรุนแรงนั้นมันสวนทางกับประสิทธิผลที่จะได้รับ. การโจมตีด้วยอาวุธที่ไม่ธรรมดาอาจทำให้ภูมิภาคทั้งหมดกลายเป็นสถานที่ที่สิ่งมีชีวิตไม่อาจจะดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นเวลานาน. การใช้อาวุธเคมีต่างๆอาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับโรคระบาดอันไม่อาจควบคุมได้ในอนาคต
และขณะที่ลัทธิก่อการร้าย ดูเหมือนกำลังมีแนวโน้มในเรื่องการฆ่าและการทำลายล้างโดยไม่เลือกเพิ่มขึ้นทุกที ผู้ก่อการร้ายอาจสร้างเงื่อนไขข้อจำกัดเรื่องอาวุธที่รุนแรงมากเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นไปได้มากทีเดียวที่มันจะก่อให้เกิดอันตรายทั้งต่อศัตรูและผู้คนจำนวนมากที่เป็นทั้งเพื่อนและญาติพี่น้องของพวกเขา - อย่างเช่น, พวก Kurds ในตุรกี, และพวก Tamils (ทมิฬ)ในศรีลังกา, หรือ Arabs (อาหรับ)ในอิสราเอล. ยิ่งไปกว่านั้น ลัทธิก่อการร้ายตามจารีต ยังพึ่งพาอาศัยท่าทีเกี่ยวกับความเป็นวีรบุรุษ โดยการแสดงความเต็มใจที่จะเสียสละชีวิตของตัวเองเพื่อพิสูจน์ถึงอุดมการณ์ของตนด้วย
อย่างชัดเจน การกระทำอย่างเช่น การปล่อยเชื้อโรคบางอย่างให้แพร่กระจาย เช่น การใช้ยาพิษประเภทแบคทีเรียหรือเชื้อโรคแอนแทรค ไม่ใช้พฤติกรรมในลัทธิวีรบุรุษอย่างแน่นอน. นับแต่ที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่สนใจการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เท่าๆกับการใช้ความรุนแรง. การโฆษณาประชาสัมพันธ์สำหรับการวางยาพิษต่อสาธารณชน หรือการใช้ระเบิดนิวเคลียร์มันไม่เอื้ออำนวยในการเผยแพร่ชื่อเสียงของตนได้เท่ากับการโจมตีในแบบปกติที่มีการโฟกัสเหยื่อที่มีลักษณะเจาะจงลงไป ดังนั้น กลุ่มผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่จึงไม่เลือกใช้วิธีนั้น จะมีก็แต่เพียงพวกผู้ก่อการร้ายที่ไม่กังวลหรือห่วงใยต่อภาพพจน์เกี่ยวกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์เท่านั้น ที่จะพิจารณาถึงการใช้ประโยชน์เกี่ยวกับอาวุธที่ไม่ปกติต่างๆเหล่านี้(เช่น การใช้อาวุธชีวภาพ และอาวุธเคมี)
พูดกว้างๆก็คือ บรรดาผู้ก่อการร้ายมิได้ผูกมัดกับการฆ่าที่จะต้องทำได้ทีละมากๆ หรือมากเกินจำเป็น โดยอาศัยอาวุธที่ไม่ธรรมดาซึ่งมีอานุภาพร้ายแรง. ความจริงแล้ว โดยอาศัยอาวุธต่างๆของพวกเขาตามปกติ - อย่างเช่น ปืนกล และระเบิดธรรมดา - อาวุธเหล่านี้ก็เป็นการเพียงพอแล้วที่จะดำเนินการต่อสู้และบรรลุวัตถุประสงค์หรืออุดมการณ์ต่างๆของพวกเขา
แต่อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจที่จะใช้ความรุนแรงของผู้ก่อการร้าย มักจะไม่ได้วางอยู่บนเหตุผลอันใดอันหนึ่ง ถ้าหากว่ามันจะต้องทำเช่นนั้น และยิ่งไม่ต้องพูดเลยในเรื่องของการก่อการร้าย เมื่อกิจกรรมต่างๆของพวกเขาไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จในเป้าประสงค์ต่างๆที่วางไว้. ถ้าเผื่อว่า หลังจากเวลาผ่านไปแล้วหลายปีของการต่อสู้กันด้วยอาวุธนานาชนิด และการสูญเสียไพร่พลผู้ก่อการร้ายในการทำสงครามไปเป็นจำนวนมาก ดูเหมือนว่า มันไม่ยังให้เกิดความก้าวหน้าขึ้นมาแต่อย่างใด การตัดสินใจใช้ความรุนแรงมากขึ้น อาจมีความเป็นไปได้
ความสิ้นหวังอาจนำไปสู่การยุติการต่อสู้ด้วยอาวุธ หรือการฆ่าตัวตายอย่างที่เคยปฏิบัติ. ด้วยเหตุแห่งความสิ้นหวัง มันอาจจะนำไปสู่ความพยายามที่รุนแรงประเภทเข้าตาจนในท้ายที่สุด เพื่อทำลายล้างศัตรูที่จงเกลียดจงชังโดยอาวุธต่างๆที่ไม่เคยลองใช้มาก่อน. ดังเช่นหนึ่งในวีรบุรุษของ Racine ที่พูดถึงตัวของเขาเองว่า, ความหวังเพียงประการเดียวของพวกเขา นอนเนื่องอยู่ในความสิ้นหวัง และแล้วความรุนแรงที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
APOCALYPSE SOON (การทำลายล้างตามคำพยากรณ์ ในไม่ช้า)
โดยจารีตแล้ว กลุ่มผู้ก่อการร้ายค่อนข้างจะไปพัวพันอยู่กับเรื่องกึ่งๆทางศาสนา, โดยมีรากฐานเกี่ยวพันกับความคลั่งไคล้ในลัทธิความเชื่อ หรือนิกายต่างๆ. สำหรับเรื่องของความเชื่อที่ยึดถือเอาไว้อย่างเหนียวแน่น จะตระเตรียมหลักการและให้เหตุผลสำหรับการดำรงชีวิตอยู่ของผู้คน. รากฐานหรือแก่นแท้ที่ยึดมั่นกันอันนี้ ค่อนข้างเข้มแข็ง ดังตัวอย่างในท่ามกลางผู้ก่อการร้ายชาวรัสเซี่ยนก่อนการปฏิวัติ และบรรดาฟาสซิสท์โรมาเนี่ยนของ the Iron Guard ในช่วงทศวรรษที่ 1930s, ดังเช่นที่มันมีความแข็งแกร่งและเชื่อมั่นในท่ามกลางพวกทมิฬไทเกอร์(Tamil Tigers)ทั้งหลายในศรีลังกาทุกวันนี้เช่นกัน.
ในส่วนของชาวมุสลิมที่คลั่งไคล้ในศาสนาบางกลุ่ม คำนึงว่า การฆ่าศัตรูต่างๆของพระผู้เป็นเจ้า ถือว่าเป็นพระบัญญัติทางศาสนาข้อหนึ่ง, และเชื่อว่าบรรดา secularist (หมายถึงพวกที่เชื่อว่าศาสนาควรแยกออกไปจากการบ้านการเมืองและการศึกษา) กับรัฐอิสราเอลควรจะถูกทำลายล้างลง เพราะเป็นพระประสงค์ของพระอัลเลาะห์. และในส่วนของคำสอนของลัทธิ โอม ชินริเกียว ถือว่า การฆาตกรรมสามารถช่วยให้เหยื่อและผู้กระทำฆาตกรรมไปสู่ความหลุดพ้นได้. การคลั่งไคล้ในลัทธินิกายได้กระเพื่อมสั่นไหว แกว่งไกวไปมาในช่วงระหว่างทศวรรษที่ผ่านมา และโดยทั่วไป กลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ ค่อนข้างจะมีความคลั่งไคล้ในเรื่องเหล่านี้มาก
ขณะนี้(หมายถึงในช่วงปี 1996 ที่บทความชิ้นนี้ได้รับการเขียนขึ้น) มนุษยชาติได้เข้าไปใกล้การสิ้นสุดสหัสวรรษที่สองเข้าไปทุกทีตามความเชื่อของชนชาวคริสเตียน, ขบวนการ apocalyptic movements (ขบวนการที่เชื่อเรื่องการทำลายล้างและความหายนะที่จะเกิดขึ้นตามคำพยากรณ์)ทั้งหลาย ต่างก็ผุดขึ้นมา. ความเชื่อที่ว่า จุดจบของโลกได้เข้าใกล้กาลอวสานมากขึ้นทุกที เป็นไปได้ที่เป็นความเชื่อที่เก่าแก่มากเท่าๆกันกับประวัติศาสตร์ แต่สำหรับเหตุผลต่างๆ มันไม่ได้ชัดเจนเสียทีเดียว นิกายและขบวนการต่างๆได้เทศนาสั่งสอนถึงการสิ้นสุดหรืออวสานโลกได้มีอิทธิพลต่อการสิ้นสุดของศตวรรษนี้ และทั้งหมด มันใกล้มากๆแล้วที่จะถึงวาระพันปีตามคำทำนาย.
ส่วนใหญ่ของผู้เทศนาเกี่ยวกับความหายนะดังกล่าว ไม่ได้สนับสนุนการใช้ความรุนแรง และบางพวกก็แถลงหรือประกาศถึงเรื่องของเรอเนสซองค์ ซึ่งในที่นี้หมายถึง การกำเนิดขึ้นมาของมนุษย์พันธุ์ใหม่ทั้งชายและหญิง. ส่วนกลุ่มอื่นๆ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในไม่ช้า อำนาจรัฐาธิปปัตย์ของพวกที่เรียกว่า Antichrist จะได้รับการสถาปนาขึ้น ซึ่งในไม่ช้าโลกที่เต็มไปด้วยการทุจริตและความชั่วร้ายนี้จะถูกทำลายลง จากนั้นสวรรค์และโลกใหม่ที่ได้รับการมองเห็นมาก่อนหน้าจะได้รับการสถาปนาขึ้น ดัง ในพระคัมภีร์วิวรณ์(Revelation)ของ St. John. Nostradamus(นอสตราดามุส) และศาสดาพยากรณ์จำนวนมากคนอื่นๆต่างก็สำนึกหรือตระหนักในเรื่องนี้.
ผู้ที่เชื่อในเรื่องวาระพันปีที่หัวรุนแรงหรือพวกสุดขั้ว ปรารถนาที่จะให้ประวัติศาสตร์ดำเนินไปด้วยการผลักดัน ช่วยสร้างความหายนะอันเป็นวาระสิ้นสุดของโลกขึ้นมาอย่างสมบูรณ์โดยสงครามสากล, ภาวะข้าวยากหมากแพง, ทุพภิกขภัย, เกิดโรคติดต่ออย่างร้ายแรง, และการทำลายล้างอื่นๆ.
คนเหล่านั้นที่เห็นด้วยกับความเชื่อต่างๆดังกล่าวมีนับจำนวนเป็นแสนๆและบางทีอาจมีเป็นล้านๆคน. พวกเขาต่างมีวัฒนธรรมย่อยของตนเอง (Subculture) ซึ่งได้ผลิตหนังสือ ตำรา และ CDs ต่างๆขึ้นมานับเป็นพันๆ และได้สร้างวัดและชุมชนต่างๆของพวกเขาขึ้น และส่วนใหญ่แล้วความเป็นอยู่ในฐานะคนร่วมยุคสมัยของพวกเราไม่ใคร่เป็นที่รู้จักเท่าใดนัก. พวกเขามีทรัพย์สินและเงินทองเป็นจำนวนมากโดยการจัดหามาเองของพวกเขา.
ถึงแม้ว่า กลุ่ม apocalyptic groups ที่สุดขั้วเหล่านี้มีศักยภาพในฐานะผู้ก่อการร้าย แต่โดยทั่วไปแล้วหน่วยสืบราชการลับหรือหน่วยข่าวกรอง มักจะมองข้ามกิจกรรมต่างๆของคนกลุ่มนี้ไป จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ตื่นตะลึงขึ้นมาเกี่ยวกับการโจมตีสถานีรถไฟใต้ดินที่โตเกียว และการลอบสังหารนาย Rabin ดังกล่าว อันเป็น 2 เหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญซึ่งเกิดขึ้นในไม่กี่ปีมานี้
กลุ่มที่เรียกว่า Apocalyptic elements ซึ่งมีรากฐานความเชื่อดังกล่าวได้อุบัติขึ้นมาอย่างฉับพลันในแวดวงปัญญาชนร่วมสมัยและในวงการการเมืองที่สุดขั้วด้วย. ยกตัวอย่างเช่น นักสิ่งแวดล้อมนิยมที่สุดขั้ว, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มที่ได้รับการเรียกขานว่า restoration ecologists (เป็นกลุ่มนักนิเวศวิทยาฟื้นฟู) เชื่อมั่นว่า ความหายนะของสภาพแวดล้อมต่างๆจะทำลายล้างอารยธรรมดั่งที่เราทราบๆกัน - เกี่ยวกับทัศนะอันนี้ของพวกเขา ไม่ได้สูญสลายไปไหน - และเห็นว่าผู้คนส่วนใหญ่จำนวนมากจะต้องจ่ายคืนสิ่งเหล่านี้ (กับการทำลายสภาพแวดล้อม)
จากความเชื่อและค่านิยมต่างๆเหล่านั้น มันไม่ใช่ก้าวใหญ่ก้าวหนึ่งที่จะไปผูกพันอยู่กับการกระทำที่เรียกว่า"การก่อการร้าย" เพื่อเป็นการกระตุ้นกระบวนการให้เร็วขึ้น. ถ้าหากว่าการถอนรากถอนโคนเกี่ยวกับโรคฝีดาษ ได้ไปก่อกวนต่อระบบนิเวศวิทยา ทำไมจึงไม่ฟื้นฟูหรือปฏิสังขรณ์ดุลยภาพ โดยการนำเอาเชื้อไวรัสคืนกลับมาเสียล่ะ ? ภาษิตหรือคติพจน์เกี่ยวกับ "Chaos International," หนึ่งในนิตยสารจำนวนมากในขอบข่ายความรู้ประเภทนี้ คือคำอ้างประโยคหนึ่งที่ดึงมาจาก Hassan I.
Sabbah, ปรมาจารย์ของ Assassins, (สมาชิกผู้คลั่งไคล้ศาสนา ชาวมุสลิมที่มีอิทธิพลในช่วงสงครามครูเสด - Assassin : a member of the fanatical Nizari branch of Ismaili Muslims dominant at the time of the Crusades.) นิกายศาสนาหนึ่งในยุคกลาง สมาชิกของนิกายนี้ได้สังหารทหารในสงครามศาสนา(Crusaders) และคนอื่นๆในนามศาสนา(religious ecstasy); นั่นคือ ทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการยินยอม, ปรมาจารย์ของพวกเขากล่าว. โลกก่อนยุคใหม่ และลัทธิหลังสมัยใหม่มาบรรจบกัน ณ จุดนี้
FUTURE SHOCK (ความตื่นตระหนกในอนาคต)
การกวาดตาดูฉากของเหตุการณ์ร่วมสมัย เราอาจจะประสบกับความหลากหลายที่ทำให้เกิดความยุ่งยากใจเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายและกลุ่มก่อการร้ายที่มีศักยภาพและนิกายต่างๆ. ผู้ปฏิบัติการเกี่ยวกับการก่อการร้ายดังที่พวกเราทราบๆกัน ต่อประเด็นนี้เป็นพวกชาตินิยมและพวกอนาธิปไตย รวมไปถึงพวกสุดขั้วของทั้งฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย. แต่ในยุคโมเดิร์นได้นำมาซึ่งแรงบันดาลใจใหม่ๆสำหรับผู้ใช้ความรุนแรงตามแบบเก่าๆ
ในอดีตที่ผ่านมา ลัทธิก่อการร้ายเกือบทั้งหมดมักจะเป็นกลุ่มที่อยู่ในภูมิภาคที่ทำการต่อสู้ ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากอำนาจทางการเมือง อย่างเช่น ชาวไอริช และขบวนการปฏิวัติทางสังคมของชาวรัสเชี่ยนในช่วงปี 1900. แต่ในอนาคต พวกผู้ก่อการร้ายจะมีลักษณะเป็นปัจเจกหรือเป็นผู้คนซึ่งมีความคิดเห็นเหมือนๆกันที่ทำงานกันเป็นกลุ่มที่เล็กมากๆ, ในแบบแผนของการเกลียดชังเทคโนโลยี Unabomber, ผู้ซึ่งทำงานเพียงคนเดียวลำพัง โดยการส่งหีบห่อที่บรรจุวัตถุระเบิดออกไป ซึ่งกระทำกันมาราวสองทศวรรษแล้ว หรือพวกที่ทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการระเบิดในปี 1995 ซึ่งได้ทำลายตึกที่ทำการรัฐบาลในเมือง Oklahoma City.
ปัจเจกชนอาจครอบครองหรือเป็นเจ้าของอำนาจทางเทคโนโลยีโดยการขโมย, ซื้อหามา, หรือสร้างมันขึ้นมาเป็นอาวุธร้ายแรง โดยที่เขาหรือเธอต้องการสิ่งเหล่านั้นมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการก่อการร้าย; เขาหรือเธออาจต้องการหรืออาจไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใครหรือคนอื่นๆในการขนส่งอาวุธต่างๆเหล่านี้ไปยังเป้าหมายที่กำหนดไว้แล้ว. อุดมคติต่างๆที่บรรดาปัจเจกชนและพวกคนกลุ่มเล็กๆรับเอามา เป็นไปได้ที่ว่า มันค่อนข้างจะต่างไปจากบรรทัดฐานที่ยอมรับกันโดยคนกลุ่มใหญ่. และบรรดาผู้ก่อการร้ายที่ทำงานลำพัง หรือในลักษณะกลุ่มที่เล็กมากๆ จะยุ่งยากหรือลำบากเพิ่มเป็นทับทวีในการที่จะตรวจพบ เว้นแต่ว่าพวกเขาได้กระทำในสิ่งที่ผิดพลาดอย่างสำคัญ หรือถูกค้นพบด้วยความบังเอิญ.
ด้วยเหตุนี้ ในด้านหนึ่งเกี่ยวกับขนาดสัดส่วน, ผู้ก่อการร้ายที่ปฏิบัติการคนเดียวได้เริ่มปรากฎตัวขึ้นมาในปัจจุบัน, และในอีกด้านหนึ่ง ลัทธิก่อการร้ายที่ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนโดยรัฐ ทั้งสองด้านที่กล่าวนี้ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างเงียบๆในวันเวลาของพวกเรา นับแต่ที่สงครามการรุกรานกลายเป็นสิ่งที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายราคาแพงลิบลิ่วและมีภาวะความเสี่ยงสูง. ขณะที่ศตวรรษนี้ใกล้จะปิดตัวลง ลัทธิก่อการร้ายกำลังกลายเป็นตัวแทนสำหรับสงครามอันยิ่งใหญ่ต่างๆของศตวรรษที่ 1800s และช่วงต้นของศตวรรษที่ 1900s.
การแพร่กระจายของอาวุธต่างๆในการทำลายล้างมวลชน มิได้หมายความว่า เป็นไปได้ที่บรรดากลุ่มผู้ก่ออารร้ายจะใช้มันในอนาคตดังที่เราอาจจะเห็นมันต่อไปในภายหน้า แต่ผู้ก่อการร้ายบางกลุ่มเกือบจะแน่ใจได้เลยว่าจะใช้มัน ทั้งๆที่เรามีเหตุผลทั้งหมดที่จะตอบโต้ความรุนแรงนี้เช่นกัน.
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต่างๆ ซึ่งมีความโหดเหี้ยม มีความทะเยอทะยานและมักใหญ่ใฝ่สูง และมีอุดมการณ์แบบสุดขั้ว จะไม่เต็มใจนักที่จะส่งอาวุธที่ไม่ปกติธรรมดานี้ไปยังบรรดากลุ่มผู้ก่อการร้ายที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างเต็มที่ นั่นคือ รัฐบาลเหล่านั้น อาจถูกยั่วยวนให้ใช้อาวุธพวกนั้นด้วยตัวของพวกเขาเองในการโจมตีขึ้น และเป็นไปได้มากอีกเช่นกันที่ว่า พวกเขาจะใช้มันในฐานะเป็นการข่มขู่ หรือ blackmail มากกว่าที่จะใช้มันในกิจการสงครามกันจริงๆ. อย่างไรก็ตาม ผู้ก่อการร้ายที่มาในรูปของปัจเจกชนและกลุ่มก่อการร้ายเล็กๆ จะไม่มีข้อผูกมัดหรือถูกบีบรัดโดยข้อจำกัดต่างๆที่จะยับยั้ง เท่าๆกับรัฐบาลที่บุ่มบ่ามมากที่สุด
สังคมในทุกวันนี้ได้ก้าวมาสู่ความเสี่ยงของการเป็นสังคมที่ถูกโจมตีได้ง่าย และเปราะบางต่อการก่อการร้ายในรูปใหม่ๆ ซึ่งอำนาจการทำลายล้างของทั้งผู้ก่อการร้ายที่มาตัวคนเดียว และลัทธิก่อการร้ายในฐานะที่เป็นยุทธวิธีอันหนึ่ง มันยิ่งใหญ่มากอย่างไร้ขีดจำกัด. ในช่วงแรก ผู้ก่อการร้ายทั้งหลายอาจทำการลอบปลงพระชนม์บรรดากษัตริย์ต่างๆหรือเจ้าหน้าที่ระดับสูง แต่คนอื่นๆที่หื่นกระหายและร้อนรนซึ่งรับทอดสืบช่วงแต่เพียงเปลือกนอกของพวกเขามา ได้สอดแทรกเข้ามาอย่างรวดเร็ว.
สังคมต่างๆที่ถูกทำให้ก้าวหน้าในทุกวันนี้ ค่อนข้างพึ่งพาอาศัยการเก็บข้อมูลด้วยไฟฟ้า และซ่อมแซมและกอบกู้ข้อมูลด้วยระบบดังกล่าว การวิเคราะห์ และการส่งข้อมูลในระบบอีเล็คทรอนิค. กระทรวงกลาโหม, กรมตำรวจ, ธนาคาร, พาณิชยกรรม, การขนส่ง, งานทางวิทยาศาสตร์, และส่วนใหญ่ของหน่วยงานราชการ และรัฐบาล รวมไปถึงกิจกรรมส่วนตัวของผู้คนในสังคมต่างก็พึ่งพิงระบบ on-line หรืออาศัยสายโทรศัพท์พวกนี้.
อาณาเขตพื้นที่ต่างๆของการดำเนินชีวิตของประชาชาติที่เห็นๆกันอยู่ข้างต้นเหล่านี้ ต่างง่ายที่จะตกอยู่ในอันตรายของความซุกซนหรือการก่อวินาศกรรมโดยบรรดาแฮคเคอร์คอมพิวเตอร์ และการก่อวินาศกรรมในลักษณะที่ร่วมมือกัน สามารถที่จะปฏิบัติการกับประเทศใดประเทศหนึ่งได้ โดยทำให้การทำงานของระบบอีเล็คทรอนิคดั่งกล่าวไร้ความสามารถหรือเป็นอัมพาตไป. ขณะปัจจุบัน หรือแต่นี้ต่อไป มันเป็นความเจริญเติบโตที่คาดเดาได้ไม่ยากเกี่ยวกับสงครามไซเบอร์และการก่อการร้ายทางด้านข้อมูล(infoterrorism and cyberwarfare)ที่ได้มาถึงตัวของเราแล้ว.
หน่วยงานสมองของสหรัฐที่ไม่เปิดเผยชื่อแห่งหนึ่งได้อวดอ้างว่า ด้วยเงินหนึ่งพันล้านเหรียญและจำนวนแฮคเคอร์เก่งๆสักประมาณ 20 คน, เขาสามารถที่จะปิดฟ้าอเมริกันลงได้เลยทีเดียว. สิ่งที่เขาคุยโตว่าสามารถทำได้นี้ ผู้ก่อการร้ายก็สามารถกระทำได้เช่นเดียวกัน. มันมีความลับอยู่น้อยมากในสังคมที่ต้องพี่งพาสายโทรศัพท์ หรือสังคมไร้สาย และมาตรการป้องกันก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามีข้อจำกัดอยู่มาก ดังที่เราเคยรับรู้กันว่า แฮคเคอร์วัยรุ่นสามารถที่จะเจาะทะลุเข้าไปในระบบความลับระดับสูงได้ในทุกๆวงการ.
ความเป็นไปได้ต่างๆสำหรับการสร้างความปั่นป่วนหรือความอลหม่านเป็นสิ่งที่เกือบจะไม่มีขีดจำกัดแม้กระทั่งปัจจุบัน, และการถูกโจมตีได้ง่ายเกือบจะเรียกได้ว่าเพิ่มขึ้นทุกวันแบบคงที่เลยทีเดียว. เป้าหมายต่างๆของบรรดาผู้ก่อการร้ายจะเปลี่ยนไป : ทำไมจะต้องลอบสังหารนักการเมือง หรือการฆ่าผู้คนโดยไม่เลือก เมื่อการโจมตีที่ได้เปลี่ยนไปสู่การโจมตีเครื่องมือสื่อสารทางอิเล็คทรอนิค มันให้ผลที่ถาวรและน่าตื่นเต้นกว่า ? การเปลี่ยนไปที่ Culpeper, Virginia, สำนักงานใหญ่ของเครือข่ายอิเล็คทรอนิคของหน่วยงานสำรองข้อมูลของรัฐบาลกลาง, ซึ่งดูแลจัดการเกี่ยวกับกองทุนกลางทั้งหมดเอาไว้ และรายงานการประชุมต่างๆ, จะเป็นสถานที่ที่ชัดเจนแห่งหนึ่งที่จะโจมตี.
ถ้าหากว่าลัทธิก่อการร้ายใหม่ควบคุมกำลังความสามารถของมันเพื่อมุ่งไปสู่สงครามข้อมูลข่าวสาร, พลังอำนาจในการทำลายล้างของมันจะยิ่งใหญ่เป็นทับทวีคูณกว่าอาวุธที่กวัดแกว่งกันใดๆในอดีต - มันจะมีพลานุภาพเหนือยิ่งกว่าการใช้อาวุธชีวภาพและอาวุธเคมีเสียอีก.
แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ ความเปราะบางและการถูกโจมตีได้อย่างง่ายดายของรัฐและสังคมต่างก็ยังถูกให้ความสนใจกันน้อยอยู่เกี่ยวกับบรรดาผู้ก่อการร้ายพวกนี้ ซึ่งความจริงแล้วก็คือ บรรดาลูกจ้างที่ไม่พอใจต่อบริษัทต่างๆขนาดใหญ่, และแน่นอน จารชน, นักสอดแนม, และผู้เป็นปรปักษ์กับรัฐบาลทั้งหลาย มันเป็นเรื่องที่ร้ายแรงยิ่งกว่าอาชญากรรมเดิมๆและอาชญากรรมในรูปองค์กร.
หัวขโมยต่างๆทางด้านอิเล็คทรอนิค ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการโกงเครดิตการ์ด หรือการจารกรรมทางด้านอุตสาหกรรม, อันที่จริงคนเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของระบบดังกล่าว ที่ใช้มันยิ่งกว่าจะทำลายมัน; การทำลายมันจะส่งผลกระทบถึงต้นทุนของพวกเขาในเรื่องของความเป็นอยู่.
กลุ่มผู้ก่อการร้ายที่มีแรงกระตุ้นทางการเมืองต่างๆ, และรวมถึงพวกแบ่งแยกทั้งหมด ต่างมุ่งตรงไปยังรัฐต่างๆที่สถาปนาขึ้นและได้รับการยอมรับของพวกเขาเอง ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ถูกเล็งเอาไว้. พรรคกรรมกรของชาวเคอร์ดิช, พวกไออาร์เอ, พวกบาสค์ อีทีเอ, และทมิฬไทเกอร์(The Kurdish Workers Party, the IRA, the Basque ETA, and the Tamil Tigers)ต้องการที่จะทำให้ศัตรูของพวกเขาอ่อนกำลังลง และบังคับให้พวกนั้นยินยอมอ่อนข้ออย่างมีนัยสำคัญ, แต่พวกเขาไม่สามารถที่จะคาดหวังจะทำลายฝ่ายตรงข้ามเหล่านี้ได้จริงๆจังๆ.
แต่อย่างไรก็ตาม มันเป็นไปได้ด้วยที่ว่า กลุ่มผู้ก่อการร้ายต่างๆบนปากเหวของความพ่ายแพ้ หรือการกระทำบนความเชื่อเกี่ยวกับ apocalyptic visions ที่เชื่อเรื่องการทำลายล้างและความหายนะที่จะเกิดขึ้นตามคำพยากรณ์ อาจไม่ลังเลใจที่จะใช้วิธีการทำลายล้างในทุกรูปแบบในการปฏิบัติการของพวกเขา
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ได้น้อมนำไปสู่ลัทธิก่อการร้ายที่เหนือขึ้นไปกว่าที่เราเคยรู้จักกับมัน. นิยามความหมายใหม่ๆและศัพท์ใหม่ๆอาจต้องได้รับการพัฒนาขึ้นมาสำหรับความเป็นจริงที่เพิ่งเกิดขึ้นและไม่เคยมีมาก่อน หน่วยข่าวกรองและหน่วยสืบราชการลับทั้งหลาย และผู้วางแผนด้านนโยบายต่างๆจักต้องเรียนรู้และหยั่งถึงความแตกต่างที่มีนัยสำคัญท่ามกลางแรงกระตุ้นนานาของพวกผู้ก่อการร้าย, รวมไปถึงวิธีการ และเป้าหมายต่างๆของคนเหล่านี้ด้วย.
คัมภีร์ไบเบิลได้กล่าวเอาไว้ใน"พระคัมภีร์เก่า"(the Old Testament) ซึ่งได้พูดถึงวีรบุรุษ Samson ที่ได้ทำลายวัดลงจนพินาศ, และได้ฝังอำพรางตัวเองอยู่กับไปตามพวกฟิลลิสทีนที่ไร้ความเจริญและวัฒนธรรมในซากปรักหักพังและความเสื่อทรุด "ความตายที่เขาได้ลงมือเข่นข้าอย่างโหดเหี้ยม ในตอนที่เขาตาย มันมากยิ่งกว่าที่เขาเข่นฆ่าในชีวิตของเขาเสียอีก". (ความข้อนี้มีความหมายแฝงนัยที่น่าขบคิดทีเดียว)
วีรบุรุษแซมซันต่างๆของสังคมหนึ่ง มีอยู่เพียงไม่กี่คนในทุกยุคทุกสมัย. แต่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ และธรรมชาติที่เปลี่ยนไปของโลกที่พวกเขาลงมือปฏิบัติการ, วีรบุรุษแซมซันเพียงหยิบมือหนึ่งและสาวกตามความเชื่อในการทำลายล้าง ก็นับว่าเพียงพอแล้วที่จะนำมาซึ่งความหายนะ. โอกาสต่างๆของความพยายามในการก่อการร้าย 100 ครั้งโดยการใช้ความรุนแรงแบบสุดๆ(superviolence), 99 ครั้งประสบกับความล้มเหลว. แต่ความสำเร็จเพียงแค่ครั้งเดียว สามารถทำร้ายเหยื่อได้เป็นจำนวนมากต่อมาก, มันสร้างความเสียหายต่อวัตถุสิ่งของต่างๆได้อย่างมากมายมหาศาล และก่อให้เกิดความตระหนกตกตื่นที่ยิ่งใหญ่จริงๆมากกว่าโลกเคยมีประสบการณ์ที่ผ่านมาใดๆ...
ข้อมูลจาก http://www.fas.org/irp/news/1996/pomo-terror.htm
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา
e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com