แถลงการณ์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
เรื่อง เขาพระวิหารกับความรุนแรงในสังคมไทยและความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา
midnightuniv(at)gmail.com
กรณีเขาพระวิหารได้นำมาซึ่งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั้งภายในสังคมไทยและความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ดูเหมือนว่าความขัดแย้งนี้อาจแปรไปสู่ความรุนแรงได้อย่างไม่ยาก แน่นอนว่าข้อถกเถียงเรื่องเขาพระวิหารมีอีกหลายประเด็นที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข แต่การแก้ไขก็ยากที่จะเสร็จสิ้นได้เพียงชั่วข้ามคืน เนื่องด้วยความสลับซับซ้อนและเป็นปัญหาที่สะสมสืบเนื่องมายาวนาน คำถามที่สังคมไทยควรช่วยกันขบคิดก็คือ เราทั้งหมดจะเผชิญหน้ากับปัญหานี้อย่างไร
ในเบื้องต้น จำเป็นต้องตระหนักว่าสาเหตุของการปะทุขึ้นของปัญหาความขัดแย้งในกรณีปราสาทเขาพระวิหารในคราวนี้เป็นผลมาจากปัญหาการเมืองภายในของสังคมไทยที่มีการใช้ประเด็นชาตินิยมมาปลุกเร้าเพื่อให้เกิดความเกลียดชังต่อรัฐบาลและคนไทยด้วยกัน ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ประเด็นนี้ก็ได้ขยายออกไปเป็นปัญหาความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น ผู้ที่ได้ประโยชน์ที่แท้จริงจึงอาจไม่ใช่สังคมส่วนรวม หากเป็นบุคคลบางกลุ่มที่ฉวยใช้ความคิดชาตินิยมมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อแสวงหาประโยชน์ให้กับตนเอง สังคมจึงต้องระมัดระวังอย่างมากต่อความขัดแย้งที่ได้ก่อตัวขึ้น
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนขอเรียกร้องให้สังคมไทยให้ใช้สติปัญญาและความรู้ในการพิจารณาปัญหาดังกล่าวเพื่อลดความขัดแย้งภายในสังคมไทย และเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาด้วยสันติวิธีซึ่งจะช่วยนำทั้งสองประเทศกลับมาสู่ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แทนการใช้ความรุนแรงภายใต้การปลุกเร้ากระแสชาตินิยมอย่างบ้าคลั่งจากบุคคลบางกลุ่ม ซึ่งมีแต่จะทำให้ความขัดแย้งขยายตัวออกไปกว้างขวางและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนมีข้อเสนอเพื่อเป็นทางออกในกรณีเฉพาะหน้า ดังต่อไปนี้
ประการแรก รัฐบาลไทยควรเปิดการเจรจากับรัฐบาลกัมพูชาถึงปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ด้วยกระบวนการ ขั้นตอน ที่ดำเนินไปอย่างโปร่งใสและเปิดให้สังคมไทยและกัมพูชาสามารถตรวจสอบและเข้าถึงการทำข้อตกลงระหว่างกัน เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจว่าการกระทำทั้งหมดของรัฐบาลทั้งสองประเทศปราศจากเบื้องหลังหรือการแสวงหาประโยชน์ใดๆ ตามที่มีการกล่าวอ้างกันอยู่ในปัจจุบัน
ประการที่สอง ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีหลายประเด็นในกรณีพื้นที่เขาพระวิหารซึ่งอาจมีความยุ่งยากต่อการเจรจาระหว่างสองประเทศ อันเป็นผลมาจากแรงกดดันจากการเมืองภายในของแต่ละประเทศ ทำให้มีข้อจำกัดอย่างมากหากปล่อยให้การแก้ไขมาจากการริเริ่มของประเทศไทยหรือกัมพูชา และเป็นไปได้ยากหากจะหวังให้การแก้ไขปัญหาเกิดขึ้นจากความสมัครใจของทั้งสองประเทศ จึงจำเป็นจะต้องให้มีองค์กรจากภายนอกหรือมีกระบวนการที่เปิดให้ฝ่ายอื่นๆ ได้เข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหา บทบาทของอาเซียนหรือการตั้งอนุญาโตตุลาการน่าจะเป็นทางเลือกในการแก้ไขความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
ประการที่สาม นอกจากการดำเนินการในระดับของรัฐบาลดังที่กล่าวมาแล้ว ภาคประชาสังคมก็สามารถมีบทบาทอย่างสำคัญต่อการผลักดันและสนับสนุนให้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้รับการแก้ไขด้วยความรู้และความยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคประชาสังคมจากทั้งสองประเทศหรือในส่วนอื่นก็ควรร่วมมือกันเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจต่อปัญหาที่กว้างขวางขึ้น อันจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมมีสายตาที่กว้างไกลมากขึ้น เช่น การจัดการพื้นที่ร่วมกันบนฐานของการคำนึงถึงเงื่อนไขทางสังคมและวัฒนธรรม มากกว่าผลประโยชน์แคบๆ ของรัฐที่ตั้งอยู่บนความหวาดระแวงทั้งจากประชาชนของแต่ละประเทศและความหวาดระแวงกันระหว่างประเทศทั้งสองเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
21 กรกฎาคม 2551
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55