บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 198 เดือน กรกฎาคม 45 หัวข้อศิลปะนอกกระแส ค้นคว้าโดย นักศึกษากระบวนวิชาปรัชญาศิลป์ และศิลปวิจารณ์ ควบคุมโดย สมเกียรติ ตั้งนโม (ความยาวประมาณ 7 หน้ากระดาษ A4)
บทความของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการนำไปใช้ประโยชน์ทางวิชาการ
กรุณาอ้างอิงแหล่งที่มาตามสมควร
มีอยู่หลายเหตุผลที่ทำไมคนถึงยังสร้างงาน
Graffiti อยู่ บางส่วนคือการย้อนกลับไปในยุค
ที่มี การ กดขี่พวกเขา และนำไปสู่การก่อเหตุจลาจล เพื่อต่อต้านสังคมที่มีแต่ความฉ้อฉลและอยุติธรรม
สำหรับเหตุผลอื่น ๆคือ การแสดงออกถึงการสร้างสรรค์ที่บริสุทธิ์ในรูปแบบของศิลปะ
มีคนเคยบอกว่า ให้ทุ่มเทการสร้างสรรค์งานลงบนกำแพง และมันจะสามารถย้อนกลับไปมองเห็นความหวาดกลัว
ความหวัง ความฝันและความอ่อนแอ
มีคนบอกว่า
พวกเขาคิดว่าพวกเขาเป็นศิลปินที่มีสิทธิในการพูดอย่างเสรี
เพื่อที่จะแสดงความเป็นตัวของตัวเองหรือความเป็นศิลปะออกมา Graffiti จะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับพวกเขาและเพื่อน
ๆของเขา
ภาพประกอบชิ้นที่ 2 ผลงานของ Jean-Michel Basquait ชื่อภาพ Man from Naple, 1982 ผลงานที่ได้รับอิทธิพลมาจากงาน Graffiti เทคนิค Acrylic, oil stick collage on canvas
ผลงานภาพประกอบทั้ง 2 ชิ้นมาจากหนังสือ American Art in the 20th Century ภาพที่ 236 และภาพที่ 233หน้า จากห้องสมุดคณะวิจิตรศิลป์ มช.
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ
Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
สนใจสมัครเป็นสมาชิก
กรุณาคลิก member page
ส่วนผู้ที่ต้องการดูหัวข้อบทความ
ทั้งหมด ที่มีบริการอยู่ขณะนี้
กรุณาคลิกที่ contents page
และผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
หรือประกาศข่าว
กรุณาคลิกที่ปุ่ม webboard
ข้างล่างของบทความชิ้นนี้
หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
midnightuniv(at)yahoo.com
เนื่องจากตัวหนังสือที่ใช้เซ็นมีลักษณะที่เป็นตัวอักษรที่ผอมและยาว
ในปี1971 "นักเขียน"นับร้อยก็ได้เกิดขึ้นในนิวยอร์กราวกับพายุ(ศิลปินที่สร้างสรรค์งาน graffiti ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า writer ซึ่งในที่นี้แปลว่า"นักเขียน") นามแฝงและผลงาน graffiti ได้รับความสนใจขึ้นมาในยุคต้นของปีทศวรรษ 1970 ซึ่งหลายๆคนที่ทำงานประเภทนี้ ต่างก็ถูกตำรวจจับ เนื่องจากได้ก่อให้เกิดความไร้ระเบียบ สกปรก รกรุงรัง และเป็นที่อุจาดทางสายตา
นอกจากคนส่วนมากและเจ้าหน้าที่ทางการจะมองว่างาน graffiti เป็นเหตุแห่งความไร้ระเบียบและความสกปรกข้างต้นแล้ว มันยังถูกตั้งประเด็นที่น่าสนใจอีกด้วยว่าเป็นการทำลายทรัพย์สินสาธารณะ โดยพวก"นักเขียน"วัยหนุ่มสาวทั้งหลาย แต่เราจะเห็นว่ามันเป็นมากกว่าการทำลายพื้นผิวธรรมดา เพราะว่ามันมีหลายหลายวิธีที่นักเขียนจะเลือกมาใช้เพื่อการทำลายได้ ทั้งรูปแบบของการทำเครื่องหมายประจำตัว, Slogan, การใส่ร้ายป้ายสี, กฎระเบียบของสังคม ส่วนใหญ่มักจะพบได้ตามผนังห้องน้ำและพื้นผิวของสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ถูกเรียกว่า "ขยะ"
ในส่วนของคำว่า"ขยะ" มันเป็นชื่อที่ใช้เรียก"นักเขียน"ที่แย่มาก ๆ อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันก็มีการเซ็นนามแฝงในลักษณะที่เป็นแนวแฟนซีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อหรือว่าชื่อเล่น(ในการใช้นามแฝงนั้นมักจะเป็นชื่อ / ชื่อเล่นแล้วตามด้วยหมายเลขถนน) นามแฝงถูกออกแบบให้มีรูปแบบที่หลากหลาย ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีการออกแบบแล้วก็ตาม หลายคนยังมองสิ่งเหล่านี้ว่ามันยังขาดเสียซึ่งคุณค่าในทางศิลปะอยู่ดี
แม้หลายต่อหลายคนจะพยายามทำงาน graffiti ให้มันดีขึ้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ความต้องการในเชิงศิลปะ เพราะโดยพื้นฐานแล้ว งาน Graffiti จะชี้ให้เห็นถึงการแสดงออกของนักเขียนมากกว่า นามแฝงเป็นสิ่งหนึ่งที่เหมือนกับการบ่งบอกถึงความเป็นสมาชิกของกลุ่มคนทำงานแนวนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การที่มีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มก็ไม่ได้หมายถึงว่าจะมีการสร้างสรรค์งานที่มีทักษะที่ดี มันเป็นเพียงแค่สิ่งที่ใช้บ่งบอกถึงการทำงานเป็นทีมเท่านั้นเอง
ถึงแม้ว่า"นักเขียน"ทั้งหลายไม่อยากที่จะเปรียบเทียบงานของตนกับพวกที่ทำงานเป็นกลุ่ม แต่ทั้ง 2 กลุ่มก็มีหลาย ๆสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ได้แก่ ทั้ง 2 กลุ่มต่างก็ค้นหาการได้รับการยอมรับจากคนกลุ่มเดียวกัน, ต่างก็ใช้นามแฝง ,เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย , มองเห็นตัวเองที่ทำตัวดีเด่นในด้านมืด และยังมีอายุน้อย รวมทั้งต่างก็ยากจน
แม้ว่าผลงาน graffiti จะได้มีการพัฒนาตัวเองให้มีคุณค่าเชิงศิลปะมากขึ้น และมีการสร้างสรรค์งานอยู่แทบทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะในหลุยส์วิลล์, เคนตักกี้, แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังคงพูดว่า "นิวยอร์กเป็นที่สร้างสรรค์ graffiti และยังคงเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมและการสร้างสรรค์งาน graffiti" และหลังจากที่ graffiti ได้เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ผู้คนส่วนหนึ่งเริ่มยอมรับมันมากขึ้น แม้จะมีคนอีกจำนวนมากไม่เห็นด้วยก็ตาม สำหรับงาน Graffiti มันถูกทำให้เด่นชัดโดยชาวหนุ่มสาวชาวเปอร์โตริกัน อาฟริกัน และอเมริกัน ซึ่งมาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน
ในวันนี้ graffiti ได้เป็นที่สนใจของคนทั่วไปทั้งชายและหญิง ทุกเผ่าพันธุ์ ศาสนา และเชื้อชาติ ที่มาจากทุก ๆพื้นฐานของเศรษฐกิจและสังคมของทุกชนชั้น และเราก็จะพบว่า"นักเขียน"เหล่านี้มีอายุตั้งแต่ 8 ขวบ ถึง 30 กว่า ๆ graffiti สามารถเข้าไปกระเทาะในทุกๆสิ่ง ทุกๆที่ ในหลายๆรูปแบบ นับจากรูปแบบที่เป็นรูปของนามแฝงที่มีการออกแบบอย่างง่ายๆไปจนถึงมีการออกแบบที่หลากหลายมากขึ้น
2. พัฒนาการ (Development)
นับจากทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นงานเครื่องปั้นดินเผาไปจนถึงการปล้นธนาคาร ล้วนแต่มีการพัฒนากิจกรรมในตัวมันเองมาโดยตลอด
สำหรับผลงาน graffiti ก็เช่นเดียวกัน ได้มีพัฒนาการในรูปแบบของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นไปในด้านของทักษะและความคิดสร้างสรรค์
ซึ่งตลอดเวลาได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ มันเหมือนกับงานเครื่องปั้นดินเผาตรงที่พยายามพัฒนารูปทรงใหม่ๆเกิดขึ้น
วิธีการและเทคนิกต่าง ๆ และก็เช่นเดียวกับการปล้นธนาคาร มันจะต้องหาวิธีการและวางแผนในรูปแบบต่าง
ๆ เพื่อที่จะทำลายระบบรักษาความปลอดภัย และเพื่อขีดเขียนในที่ต้องห้าม
ในตอนที่ graffiti ได้รับความนิยมในช่วงแรก ๆ เครื่องมือของอาชีพนี้ส่วนใหญ่จะเป็นปากกามาร์กเกอร์หัวโต และสีสเปรย์ พวกมันถูกนำมาใช้ ไม่ใช่เพราะมันมีความสำคัญสำหรับตัวงาน แต่ว่าสำหรับนามแฝงที่ต้องการให้ดูโดดเด่น การแข่งขันได้เริ่มต้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆในนิวยอร์ก(ช่วงต้นปีทศวรรษ 1970) มันกลายเป็นว่า ต้องทำชื่อให้มีขนาดใหญ่กว่าและหนากว่า หลังจากช่วงนั้นได้ผ่านไป หลายๆคนก็ค้นพบว่า มันสามารถทำตัวหนังสือให้ตัวใหญ่ได้ รูปแบบเริ่มจากแค่ปลายเท้าไปจนถึงขนาดเท่าบานประตู (ในตอนแรกการสร้างสรรค์งาน จะเริ่มจากการทำชื่อของตัวเองก่อน แล้วค่อยๆพัฒนาไปเป็นงานในรูปแบบอื่น)
A Top to Bottom (จากบนลงล่าง) เป็นรูปแบบหนึ่งที่ใช้เขียนลงบนรถไฟใต้ดิน ที่คลอบคลุมงานจากบนลงล่างด้วยงานเพียงชิ้นเดียว มันเป็นการยากที่จะบอกว่าใครเป็นคนริเริ่มการทำงานแบบนี้เป็นคนแรก และใครเป็นคนทำงานแบบนี้ได้ดีที่สุด ทั้งนี้เป็นเพราะว่า graffiti มีความไม่แน่นอนและไม่ใช่สิ่งที่ตายตัวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มีคนบางคนบอกว่า มันไม่มีประวัติศาสตร์ของ graffiti มันขึ้นอยู่กับที่ๆเราอาศัยอยู่, ปีที่เราเกิด, ถนนที่เราขับรถผ่าน, ซึ่งมันจะเป็นประวัติของ graffiti ส่วนตัวของเราได้ดีที่สุด
มีหลาย ๆ รูปแบบและวิธีการที่จะบอกได้ถึงชนิดของ graffiti หลายคนต่างพยายามตั้งชื่อของมันในรูปแบบของตัวเองบ้างก็พยายามรวบรวมความเป็นต้นฉบับของมัน แต่ก็ไม่สามารถให้คำจำกัดความได้ อย่างไรก็ตาม ในที่นี้จะพยายามจัดหมวดหมู่งานประเภทนี้โดยแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบหลักๆ ที่มองเห็นอย่างชัดเจน ซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยนักเขียน ดังนี้
1. Tag เป็นรูปแบบของการเขียนชื่อ
2. Throw up เป็นรูปแบบที่สร้างสรรค์ขึ้นอย่างรวดเร็วที่มีขนาดใหญ่กว่า Tag ส่วนใหญ่มันจะถูกทำมาจากตัวหนังสืออ้วน ๆที่เรียกกันว่า Bubble Letter ซึ่งใช้สีไม่เกิน 2 สี Subway Art จะเรียกวิธีการนี้ว่ามันเป็นการเพนท์ชื่อที่ใช้ความรวดเร็ว ซึ่งเป็นงานพื้นผิวเดียวที่ใช้สเปรย์พ่นเป็นตัวหนังสือออกมา และมีเส้นขอบของตัวหนังสือแค่นั้น
3. Burner เป็นรูปแบบที่มีความซับซ้อนมากขึ้นและมีการใช้ทักษะมากขึ้นในเชิงศิลปะ เป็นรูปแบบที่นักเขียนจะให้ความสนใจมาก ถึงแม้ว่าแบบที่ 1 และแบบที่ 2 จะสามารถทำให้เป็นรูปแบบสมบูรณ์และน่าสนใจได้ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับนักเขียนว่าต้องการจะนำเสนอในรูปแบบใด
ออกจะเป็นการยากทีเดียวในการที่จะค้นหากำแพงที่มีความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งจะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการสร้างงาน นักเขียนบางคนพยายามมองหากำแพงว่างเปล่าที่ถูกกฎหมาย เพื่อที่จะใช้สร้างสรรค์ผลงานของพวกเขา แต่หนึ่งในทักษะของอาชีพนี้ก็คือ ต้องสามารถหาจุดยืนและทำสิ่งที่คุณต้องการทำ และต้องไม่หนีไปหากำแพงที่ถูกกฎหมายในตลอดเวลาที่คุณต้องการ กำแพงที่ถูกกฎหมายยังเป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างดีถึงความทะเยอทะยานของนักเขียน ศิลปินบางคนเลือกที่จะทำงานจิตรกรรมฝาผนังที่ถูกต้อง ถึงแม้ว่านักเขียนหัวรุนแรงบางคนจะดูถูกคนประเภทนี้ก็ตาม
ในช่วงทศวรรษที่ 1970 ถึงกลางทศวรรษ 1980 รถไฟใต้ดินยังคงเป็นที่นิยมในการถูกนำมาใช้เป็นผืนผ้าใบหรือพื้นรองรับงานเขียน ในปลายปีทศวรรษ 1980 ในนิวยอร์ก graffiti ถูกบังคับให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปอย่างเป็นทางการ เพราะว่า graffiti ที่ทำลงบนรถไฟใต้ดินนั้นได้สิ้นสุดลงเมื่อ 12 พฤษภาคม 1989 ถึงแม้ว่าจะยังคงเห็นงาน graffiti อยู่ที่นั่นบ้างก็ตาม แต่บางส่วนของงาน Graffiti ที่ทำกับขบวนรถไฟ ได้ถูกขัดถูทำความสะอาดไป
ในมหานครนิวยอร์กและเมืองอื่น ๆ ต่างพยายามที่จะสร้างระบบรักษาความปลอดภัย การทำรั้วกั้น การใช้สายไฟเปลือยมากั้นบริเวณลานจอดรถไฟ มีการออกกฎหมายและมีสร้างบทลงโทษที่เข้มงวดรุนแรงมากขึ้น ด้วยมาตรการดูแลและรักษาความปลอดภัยอย่างเอาจริงเอาจัง วิธีป้องกันดังกล่าวได้นำไปสู่ความเป็นความตายของงาน graffiti ในที่สุด ในกรณีนี้ทำให้งานศิลปะของรถไฟใต้ดินได้สูญสลายไป
นับเป็นเรื่องที่น่าเศร้า สืบเนื่องจากระบบเครือข่ายของรถไฟใต้ดินที่ได้ถูกนำมาใช้ มันส่งผลโดยตรงต่อนักเขียนซึ่งต้องขึ้นอยู่กับรถไฟ เพื่อที่จะต้องใช้สำหรับการแสดงงานของพวกเขาสู่สายตาประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาของนักเขียนคนอื่น ๆ ในขณะที่ตัวรถแล่นไปยังเมืองต่างๆ
ในตอนที่ศิลปะในรถไฟใต้ดินได้หยุดลงไปนั้น นักเขียนบางคนรู้สึกแย่จนถึงกับเลิกที่จะทำงาน graffiti ไปเลยก็มี แต่ส่วนใหญ่พวกเขาเลือกที่จะสร้างสรรค์งานในที่อื่นต่อไป อย่างเช่นตามท้องถนน บนรถไฟ ซึ่งจะสามารถสร้างจินตนาการของเขาให้ผลงานได้โลดแล่นไปในพื้นที่ต่าง ๆ แต่ไม่ว่าจะวาดอะไรหรือว่าจะวาดที่ไหนก็ตาม พวกเขาจะต้องปฎิบัติตามกฎที่ได้วางไว้ ซึ่งได้กล่าวไว้ในส่วนหนึ่งของ Unwritten graffiti constitution และกล่าวรวมถึงมารยาทในการสร้างงาน graffiti ที่ว่า "ไม่ควรที่จะเขียนชื่อตัวเองทับบนชื่อของคนอื่น เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่สุภาพ" สำหรับหนังสือที่ชื่อ The faith of graffiti ถูกเขียนขึ้นมาในต้นปี 1970 เป็นหนังสือเล่มแรกที่เขียนถึง graffiti อย่างเต็มรูปแบบ
อย่างไรก็ตามคุณต้องบอกได้ถึงความแตกต่างระหว่างงาน graffiti ของห้องน้ำผู้ชายและ graffiti ในรถไฟใต้ดิน หรือ graffiti ที่เขียนโดยมีวัตถุประสงค์และโดยผู้มีทักษะ และเช่นเดียวกัน บ่อยครั้งที่นักเขียนได้ฝ่าฝืนกฎข้อสำคัญที่ไม่ควรเซ็นชื่อตัวเองทับชื่อคนอื่น ซึ่งได้ทำให้เกิดปัญหาอยู่บ่อยครั้ง เพราะว่ามันเป็นเหมือนบางสิ่งที่ได้บ่งบอกถึงเครดิตคนทำงาน มันคืองานโฆษณาเพื่อตัวเอง ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่จะทำให้ตัวเองเป็นที่รู้จัก คุณจะต้องมีกลยุทธ์ทางการตลาด คุณต้องค้นหาว่าอะไรที่เป็นหนทางที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะทำให้ชื่อของคุณเป็นที่รู้จักและโด่งดังไปทั่ว และสำหรับใครบางคนที่ขโมยกลยุทธ์หรือวาดภาพทับลงไปบนงานโฆษณาของคุณ นั่นถือว่าเป็นการดูถูกเหยียดหยามและอาชญากรรมอันรุนแรง
ในการทำงาน หัวพ่นสีสเปรย์ถือเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ใช้กัน แต่หลังจากนั้น Superkool ก็ได้ค้นพบอุปกรณ์บางสิ่งที่จะมาแทนหัวพ่นสีสเปรย์ที่แคบๆ โดยการนำเอาหัวพ่นโฟมสเปรย์ที่มีการกระจายตัวได้กว้างกว่ามาเป็นอุปกรณ์สำคัญในการทำงาน
นักเขียนส่วนใหญ่พยายามที่จะใช้หัวพ่นสีสเปรย์ในการทำงาน แต่ในขณะเดียวกันก็มองหาแหล่งอุปกรณ์ใหม่ ๆ ในการทำงานด้วยเช่นกัน มีการสั่งซื้อกระป๋องสเปรย์ที่มีหัวพ่นในรูปแบบต่าง ๆ (The most commonly carried caps are "New York" and "German" fat cap (broad dispersion) and there are New York and German outline (this dispersion) caps as well. In addition,"rusto fats" are available which are the only fat caps that will fit on a can of Rustoleum spray paint)
รูปแบบหนึ่งที่มีการต่อต้านคือการแสดงให้เห็นว่าบริษัทที่ผลิตสีสเปรย์นั้น ได้มีการผลิตหัวพ่นสีสเปรย์ที่มีขนาดไม่พอดีกับขนาดกระป๋อง มันทำให้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากสำหรับนักเขียนที่จะทำงานในพื้นที่ขนาดใหญ่ให้มีความรวดเร็วและประณีต ดังนั้นจึงทำให้นักเขียนต้องค้นหาวิธีอื่นในการทำงาน ซึ่งอันนี้เป็นที่มาของรูปแบบที่ได้มีการเปลี่ยนไปเพื่อที่จะได้มีความเหมาะสมกับอุปกรณ์ ดังนั้น graffiti จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆพร้อมๆกับบรรดานักเขียนหน้าใหม่ๆ แต่นักเขียนรุ่นเก่าบางคน ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะรับกับการเปลี่ยนแปลงแบบนั้นได้
3. ศิลปะสามารถสร้างขึ้นจากปลายพู่กันเช่นเดียวกับกระป๋องสีสเปรย์
(Art can come from paint brushes as well as paint can)
5
ถึงแม้ว่า graffiti จะถูกมองว่าเป็นเรื่องของสิ่งที่ไม่เป็นแบบแผนและเกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง
Lee ซึ่งเป็น"นักเขียน"ที่มีฝืมือคนหนึ่ง เขาได้สร้างงานบนรถไฟทั้งขบวน(10 ตู้โดยสาร)
ซึ่งน้อยนักที่จะมีคนสร้างงานแบบนี้ โดยปกติแล้วการทำงานใหญ่ขนาดนั้นจะใช้สีถึง
100 กระป๋อง และ Lee รวมทั้งทีมงานมีความสามารถที่จะสร้างสรรค์งานในรูปแบบ graffiti
ดังกล่าวได้อย่างยอดเยี่ยม
ผู้คนส่วนมากมักจะไม่คุ้นเคยกับงานศิลปะที่ไร้แบบแผน การเข้าไปเสพงานโดยปราศจากการจัดการที่เป็นแบบแผน อย่างเช่น ในพิพิธภัณฑ์หรือว่าห้องแสดงภาพ อย่าง Graffiti ถือว่าเป็นเรื่องซึ่งห่างไกลตัวผู้คนมาก บางครั้งมันก็อยู่เหนือความคาดหมาย และบางครั้งมันก็น่ากลัว
สำหรับนักเขียนหรือคนที่ทำงานแบบ graffiti พวกเขามีความคิดที่ว่า หากที่ใดมีกำแพงที่ว่างเปล่า อาคารที่มีรูปทรงที่เรียบง่าย มันเป็นที่ๆดีที่ควรจะมีภาพจิตรกรรมที่สวยงามประดับอยู่บนนั้น ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่า ควรจะมี Graffiti อยู่ที่นั่น
นักเขียน หรือ writer คนหนึ่งกล่าวทำนองว่า เป็นเรื่องที่น่าเศร้าจากการที่ผู้คนส่วนใหญ่คาดเดาว่า การทำลายสาธารณสมบัตินั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับ Graffiti ความจริงมันเป็นงานเขียนชิ้นเอก ซึ่งบางชิ้นมีความสูงถึง 10 ฟุต และกว้างถึง 50 ฟุต ใช้เวลาอย่างต่ำ 8 ชั่วโมง และใช้สีมากกว่า 30 กระป๋อง บ่อยครั้ง พวกเราทำงานบนสิ่งที่ถือว่าไม่ใช่ทรัพย์สินของตัวเองในชุมชน ทั้งๆที่มันเป็นของพวกเรา
"พวกเราต่างก็อดทนกับทุกสิ่งโดยไม่มีคำถามใด ๆ ถ้าหากคุณไม่มีเงิน คุณก็แทบจะไม่มีโอกาสที่จะได้ควบคุมสิ่งใดๆในชุมชนเลย แม้แต่คนในชุมชนเองที่มีความรู้สึกว่าพวกเขาเป็นเจ้าของชุมชนนั้นๆ ก็ไม่สามารถแสดงออกถึงความต้องการของตัวเองได้ มันก็เหมือนกับการซื้อบ้านโดยที่มีการเซ็นสัญญาอย่างถูกต้อง ถึงแม้ว่าเราจะเป็นเจ้าของบ้านโดยสมบูรณ์ แต่ถ้าหากมีการทาสีผนังใหม่ภายในบ้านของตนเอง เรากลับต้องโดนจับ และโดนลงโทษอย่างรุนแรง"
"ถ้าคุณไม่มีเงิน คุณก็จะกลายเป็นคนตกสำรวจ คุณจะไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองในการใช้คำหรือข้อความที่คุณคิดเอาไว้เพื่อให้คนอื่นได้เห็น มันเป็นเรื่องที่ผิดหรือถ้าหากว่าคุณจะทำให้คนอยู่ไกลออกไปได้เห็นถึงการแสดงออก ได้เห็นถึงความเป็นตัวของคุณ การพยายามทำลายงานเหล่านี้มันยังเป็นการดึงคนออกมาจากศิลปะอีกด้วย ถึงแม้ว่าในตอนนี้ใคร ๆ ก็สามารถทำในสิ่งที่ตื่นตาตื่นใจด้วยสีสเปรย์ แต่อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่ว่าใครก็ตามที่สร้างงาน Graffiti แล้วจะถือว่าเป็นงานที่ดี ซึ่งต่างจากเพลงแรพที่เป็นตัวแทนที่ดีของเพลงประเภท hip hop"
นักเขียนงานประเภท Graffiti บางคนสามารถไปได้ดีกับแวดวงสังคมของงานศิลปะกระแสหลัก ซึ่งบ่อยครั้งที่ทำให้พวกเขาหลุดออกไปจากงาน Graffiti เรื่องราวทำนองนี้เกิดขึ้นในช่วงปลายปีทศวรรษ 1970 ตอนที่นักเขียนทั้งหลายได้เริ่มแสดงผลงานของพวกเขาบนผืนผ้าใบในงานนิทรรศการผลงานต่าง ๆ มันทำให้ใครหลาย ๆ คนลืมไปเลยว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างสรรค์งานลงบนรถไฟใต้ดิน ในวันที่งาน Graffiti บนผืนผ้าใบทำเงินให้กับนักเขียน
ผลงาน Graffiti แรกทีเดียว เกิดจากคนทำงานที่เป็นคนผิวดำหรือชนกลุ่มน้อย พวกเขาไม่ใช่ดอกไม้ที่สวยงาม ซึ่งมันก็เป็นความจริงในยุคต้นๆ นักเขียนทั้งหลายหรือบรรดา writer ก็คือชนกลุ่มน้อย พวกเขาสร้างงานที่อยู่นอกแวดวงสิ่งที่เรียกว่าศิลปะ แต่ต่อมามันได้ก้าวเข้าสู่โลกของศิลปะกระแสหลัก(การแสดงงานในแกลลอรี) ซึ่งก็ไม่ได้สร้างความประหลาดใจมากมายเท่าไหร่นัก
ด้วยพัฒนาการและระยะเวลาที่ดำเนินไป ประมาณว่ากว่าครึ่งหนึ่งของนักเขียน(writer)ในอเมริกามาจากคนผิวขาวที่เป็นชนชั้นกลางและมีฐานะดี เด็กหนุ่มเหล่านี้เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าการปฏิเสธถึงคุณค่า และแนวความคิดของพวกเขา ซึ่งมันเกิดจากแรงกดดันและและสิ่งแวดล้อมของพวกเขา นอกจากนี้มันยังบ่งบอกถึงการศึกษาในวัยเด็กและสิ่งแวดล้อมที่เขาได้รับมา
หลาย ๆ คนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันกับห้องภาพแสดงงานศิลปะ(Art Gallery) Graffiti และ Legal Graffiti มันเป็นอุบายที่จะใช้เรียก Graffiti ว่าเป็นงานศิลปะ เพราะว่า Graffiti เกิดขึ้นโดยอยู่นอกเหนือจากระบบของการสร้างงานศิลปะ ถ้าเมื่อไหร่คุณเอางาน Graffiti ไปไว้ในแกลลอรี มันก็คือการที่คุณหยิบเอาสิ่งที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์มารวมกลุ่มด้วย มันเหมือนกับการเอาสัตว์มาขังไว้ในกรง
Ladypink นักเขียนที่มีชื่อจากนิวยอร์กบอกว่า การนำเอางาน Graffiti ไปไว้ใน art gallery คุณไม่สามารถเรียกมันว่า Graffiti ได้อีกต่อไปแล้ว มันกลายเป็นงานศิลปะและก็ได้รับการยอมรับแบบนั้นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีคนบอกว่า มันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับ Graffiti ให้ไปติดตั้งบนพื้นผนังสีขาว มันกลายเป็นสินค้าไปแล้ว ในความเป็นจริงแล้ว Graffiti ที่แท้จริงคืองานที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยผิดกฎหมาย
หลายปีผ่านมาความพยายามที่จะเข้าสู่โลกของศิลปะก็ได้หดหายไป เนื่องจากความผิดหวังอย่างรุนแรงและบางครั้งที่ต้องสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองในการทำงาน Graffiti ไป แต่ทว่าบางคนก็ผันตัวเองเข้าสู่โลกของศิลปะอย่างแท้จริงและก็มีชื่อเสียงโด่งดังในที่สุดอย่าง Keith Haring งานของเขาเป็นงานที่มีชื่อเสียงมากและเป็นงานที่ไม่เหมือนงาน Graffiti ส่วนใหญ่ ทั่วโลกชื่นชมเขา เขาสร้างงานของเขาบนรถไฟใต้ดินและบนกระดาษที่ติดอยู่ที่ผนังของสถานี เริ่มจากงานเขียนสีชอล์กซึ่งเป็นผลงานชิ้นสำคัญ เขาก็เหมือนนักเขียนคนอื่น ๆ ที่ยอมเปลี่ยนตัวเองจากงานบนรถไฟใต้ดินขึ้นมาสร้างสรรค์งานแบบศิลปินทั่ว ๆ ไป ซึ่งเขามีความกลัวอยู่สิ่งเดียวคือ อิทธิพลของงานในโลกศิลปะที่จะส่งผลต่องานของเขา
4. กราฟฟิติและชุมชน (Graffiti
and the community)
มีอยู่หลายเหตุผลที่ทำไมคนถึงยังสร้างงาน
Graffiti อยู่ บางส่วนคือการย้อนกลับไปในยุคที่มีการกดขี่พวกเขาและนำไปสู่การก่อเหตุจลาจล
เพื่อต่อต้านสังคมที่มีแต่ความฉ้อฉลและอยุติธรรม สำหรับเหตุผลอื่น ๆคือการแสดงออกถึงการสร้างสรรค์ที่บริสุทธิ์ในรูปแบบของศิลปะ
มีคนเคยบอกว่า ให้ทุ่มเทการสร้างสรรค์งานลงบนกำแพงและมันจะสามารถย้อนกลับไปมองเห็นความหวาดกลัว ความหวัง ความฝัน และความอ่อนแอ แน่นอนว่ามันจะให้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและถ่องแท้ของจิตใจภายในตัวคุณ แต่สำหรับคนอื่น ๆ มันแทบจะเป็นเกมส์
"Get up" เป็นชื่อของเกมส์ที่ว่า วัตถุประสงค์ของมันก็คือ เพื่อที่จะดูว่าคุณลงสีมันได้มากแค่ไหนและคุณได้อะไรจากมัน มีคนบอกว่ามันเป็นเหมือนกีฬาที่เป็นของคนเล่นเอง กฎและกติกานั้นธรรมดามาก ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีกลวิธีในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ กับมันได้มากกว่ากัน มันมีเป็นร้อย ๆ เหตุผลส่วนตัว ในการตัดสินใจที่จะทำ Graffiti แต่ส่วนใหญ่จะแสดงถึงการแก้แค้น สำหรับการทำงานขึ้นมาเพื่อศิลปะหรือเพื่อกีฬานั้นเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นเหตุผลทั่ว ๆ ไป
นักเขียน(writer)มองเห็นว่า พวกเขากำลังทำอะไรอยู่ มันเป็นการทำให้เมืองน่ามองมากยิ่งขึ้น และทำให้สถานที่ต่าง ๆ น่าสนใจและเป็นแหล่งบริการสาธารณะ ขณะที่มองดูบางพื้นที่ต่างๆ ของเมืองหลวงในบ้านเรา มันมีแต่กำแพงที่ว่างเปล่าไม่น่าดึงดูดใจ หรือบ้างก็เป็นกำแพงที่ปกคลุมไปด้วยงานที่น่ารังเกียจและก้าวร้าวของกลุ่มคนที่ทำงาน Graffiti มีคนบอกว่า ผนังที่ว่างเปล่า เป็นสิ่งที่น่าเกลียดและสร้างความเก็บกดให้กับนักเขียน กำแพงที่ว่างเปล่าในเมืองเป็นตัวแทนของสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ มากมายยิ่งไปกว่ามีการวาดภาพลงบนนั้นเสียอีก
ถ้าหากรัฐบาลมีปัญหากับงาน Graffiti ที่ได้ทำขึ้นมา ก็ควรจะหางานจิตรกรรมที่ติดแน่นคงทนมาประดับแทน ในเซลติกมีเหตุผลอย่างเป็นทางการในการวาดภาพลงในชุมชนศิลปะด้วยการระบายสีขาว พวกเขาทำให้สาธารณชนมีความสุข ผู้ว่าการรัฐทั้งหลายต่างมองว่าการทำงานแบบนี้เป็นการทำให้เมืองสะอาดขึ้น
แน่นอนว่า แทนที่จะสูญเสียเงินไปกันการทำความสะอาดและป้องกันการเกิดงาน Graffiti มันจะดีกว่ามาก ถ้าหากเงินเหล่านั้นถูกนำไปใช้ในช่องทางสำหรับเยาวชน เพื่อให้การศึกษาด้านศิลปะและเรียนรู้มากขึ้นในการทำงานบนกำแพงที่ได้รับการอนุญาต และเช่นเดียวกัน มันควรจะให้การศึกษากับเยาวชนในการสร้างสรรค์ผลงานที่ช่วยให้ชุมชนเจริญก้าวหน้า มันมีอะไรมากมายที่แตกต่างกันไปที่ทำให้คนได้รับจากประสบการณ์ทางด้านศิลปะ แต่ท้ายที่สุดของกระบวนการทั้งหมดก็คือ บทเรียนสำหรับตัวของตัวเอง ก็คือ การทำชุมชนให้สวยงาม
ถึงแม้ว่า Tag และ Throw up จะไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก แต่มันก็ยังคงเป็นที่รองรับเจตนาหรือความตั้งใจ ส่วนใหญ่แล้ว สาธารชนทั่วไปไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะยอมรับในคุณค่าของมัน อันนี้ก็คือการดูถูกดีๆนี่เอง จะมีคนที่ดูถูกงาน Graffiti อยู่เสมอไม่ว่ามันจะมาในรูปแบบใด เพราะมีคนบอกว่า Graffiti คือการทำลายทรัพย์สินส่วนรวม
ส่วนสำหรับบรรดานักเขียนทั้งหลายบอกว่า พวกเขาคิดว่าพวกเขาเป็นศิลปินที่มีสิทธิในการพูดอย่างเสรี เพื่อที่จะแสดงความเป็นตัวของตัวเองหรือความเป็นศิลปะออกมา Graffiti จะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับพวกเขาและเพื่อน ๆของเขา แต่ในความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ ผู้คนส่วนมากซึ่งว่านอนสอนง่ายและถูกสะกดด้วยคุณธรรมจอมปลอม มักไม่อยากที่จะเห็นความแตกแยกซึ่งเกิดขึ้นทุกๆวัน
e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
สำหรับสมาชิกที่ต้องการ download ข้อมูล อาจใช้วิธีการง่ายๆดังต่อไปนี้
1. ให้ทำ hyper text ข้อมูลทั้งหมด
2. copy ข้อมูลด้วยคำสั่ง Ctrl + C
3. เปิด word ขึ้นมา (microsoft-word หรือ word pad)
4. Paste โดยใช้คำสั่ง Ctrl + V
จะได้ข้อมูลมา ซึ่งย่อหน้าเหมือนกับต้นฉบับทุกประการ
(กรณีตัวหนังสือสีจาง ให้เปลี่ยนสีเป็นสีเข้มในโปรแกรม word)
1.
บทนำและประวัติศาสตร์ (History / Introduction)
สำหรับคำว่า Graffiti เป็นศัพท์ที่หมายถึง"ภาพวาดที่เกิดจากการขีดเขียนหรือการขูดขีดไปบนผนัง"
เป็นศัพท์ที่มาจากภาษากรีก คือคำว่า "graphein" ที่แปลว่า"การเขียน" และคำว่า
"graffiti" โดยตัวของมันเองเป็นคำพหูพจน์ของคำว่า "graffito"ในภาษาอิตาเลียน
ศิลปะในรูปแบบของ graffiti เกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 บางคนบอกว่ามันเป็นตัวแทนของความพึงพอใจของมนุษย์ที่ต้องการที่จะสื่อสารออกมา
และเป็นประวัติศาสตร์ของการสื่อสารในรูปแบบหนึ่ง
ความเป็นมาของงานประเภท Graffiti เดิมทีเกิดขึ้นในช่วงปลายของทศวรรษ 1960 เมื่อ Julio204 เริ่มที่จะเซ็นลายเซ็นของเขาไปทั่วมหานครนิวยอร์ก หลังจากนั้นไม่นาน เด็กหนุ่มชาวกรีกที่มาจากเกาะแมนฮัตตันที่ชื่อ Demitrius ที่ใช้ชื่อแฝงว่า Taki183 ก็มีลายเซ็นของเขาอยู่ทั่วเมืองเช่นกัน Taki183 สนใจที่จะสร้างสรรค์งานในสถานีรถไฟใต้ดินในนิวยอร์ก และเขาทั้ง 2 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาผลงานจนมีชื่อเรียกว่า "New York Style" ซึ่งมีชื่อเสียงมากในเวลาต่อมา
มีคนบอกว่า นามแฝงนั้นได้เริ่มขึ้นที่เมืองฟิลาเดลเฟียพร้อม ๆ กับตำนานของ Cornbread และ Top Cat หลังจากที่ได้มีการพัฒนาและเกิดขึ้นอย่างจริงจังในนิวยอร์กแล้ว Top Cat Style ก็เกิดขึ้นในนิวยอร์กและถูกเรียกว่า Broadway Style