เกริ่นนำ
แนวคิดแบบ"โครงสร้างนิยม"กำลังเป็นที่ดึงดูดใจ
บรรดานักวิจารณ์บางคน
เพราะเหตุว่า
มันได้ไปช่วยเพิ่มความเป็นวัตถุวิสัยขึ้นมานั่นเอง,
ในที่นี้หมายถึงความเป็นวัตถุวิสัยทางวิทยาศาสตร์,
ในขอบเขตการศึกษาทางด้านวรรณคดี
(ซึ่งบ่อยครั้ง มันได้รับการวิจารณ์ว่าเป็น
เรื่องอัตวิสัยอันบริสุทธิ์และความประทับใจ).
ความเป็นวัตถุวิสัยทางวิทยาศาสตร์นี้
ได้บรรลุถึงโดย
การลดบทบาทของ"คำ"ลงมาเป็นรอง
เรื่องของโครงสร้าง,
ดังนั้น แทนที่จะให้ความสำคัญของคำ
มันกลับถูกละทิ้งไปสู่การสนับสนุนการศึกษา
โครงสร้างของระบบในเชิงนามธรรม.
(ความยาวประมาณ 10 หน้ากระดาษ A4)
นักวิจารณ์วรรณกรรมหลายคนรู้สึกประทับใจกับแนวคิดแบบ"โครงสร้างนิยม
ทั้งนี้เพราะ แนวทางดังกล่าวได้ไปช่วยเพิ่มให้การวิจารณ์มีความเป็นวัตถุวิสัยมากขึ้น.
อย่างที่ทราบกันดีว่า ในการวิจารณ์ต่างๆทางด้านศิลปะ รวมทั้งวรรณคดี
หลายต่อหลายครั้งถูกถือว่า เป็นเรื่องอัตวิสัยเอามากๆ.
เมื่อเป็นเช่นนี้ การทำให้กาวิจารณ์มีความเป็นวัตถุวิสัยทางวิทยาศาสตร์
จึงเป็นที่ถูกอกถูกใจของนักวิจารณ์บางคน และมันสามารถบรรลุถึงลักษณะดังกล่าวโดยการลดบทบาทของ"คำ"ลงมาเป็นรองเรื่องของโครงสร้าง,
คำศัพท์ต่างๆได้ถูกทอนความสำคัญลงและไปเน้นเรื่องของโครงสร้างระบบมากขึ้น.
ด้วยเหตุนี้ นัก"โครงสร้างนิยม"จึงอ่านข้อความหรืองานเขียนต่างๆในลักษณะที่เมินเฉย หรือไม่ใยดี และปฏิบัติกับพวกมันราวกับว่า มันเป็นเหมือนกับแบบแผนที่ถูกผลิตขึ้นมาโดยตะไบเหล็ก และเคลื่อนที่โดยพลังของแรงแม่เหล็ก - อันเป็นผลเนื่องมาจากพลังอำนาจที่ไม่ใช่ตัวบุคคล, ไม่ใช่ผลของความพยายามของมนุษย์ใดๆ
ในแนวคิดของ"โครงสร้างนิยม", ความเป็นปัจเจกบุคคลได้สูญสลายหายไป กลับไปให้การสนับสนุนที่จะมองไปที่แบบแผนต่างๆ, ระบบ, และโครงสร้างต่างๆ. นัก"โครงสร้างนิยม"บางคน(และสกุลการวิจารณ์ที่เกี่ยวข้อง, ซึ่งเรียกว่า the Russain Formalists (รูปแบบนิยมของรัสเซี่ยน) เสนอว่า ลักษณะการบรรยายเรื่องราว(narrative)ทั้งหมดนั้น สามารถที่จะได้รับการสร้างแผนภูมิขึ้นมาได้ ในฐานะที่เป็นความผันแปรของแบบแผนสากลพื้นฐานบางอย่างในการบรรยายเรื่องราว.
โดยหนทางดังกล่าวของการจ้องมองไปที่"การบรรยายเรื่องราว", นักเขียนได้ถูกแยกออกไป, เมื่อข้อความหรืองานเขียนเป็นบทบาทหน้าที่ของระบบอันหนึ่ง.
แบบจำลองมนุษยนิยมโรแมนติคถือว่า นักเขียนหรือนักประพันธ์นั้น เป็นผู้ให้กำเนิดงานเขียน, เป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานขึ้นมา, และด้วยเหตุนี้ นักประพันธ์จึงเป็นจุดเริ่มต้น หรือรากเหง้าของงานเขียน. "โครงสร้างนิยม"ถกว่า งานเขียนชิ้นใดก็ตาม, หรือระบบการแสดงออกใดๆก็ตาม, ไม่มีต้นตอกำเนิด, และนักเขียนทั้งหลาย เป็นเพียงผู้ที่อาศัยโครงสร้างต่างๆที่มีอยู่ก่อนแล้วเท่านั้น. ด้วยการพึ่งพาอาศัยโครงสร้าง ทำให้คนเหล่านี้สามารถที่จะสร้างประโยค(หรือเรื่องราว)อันมีลักษระเฉพาะต่างๆขึ้นมาได้ - รวมไปถึงถ้อยคำที่เป็นภาษาเขียน.
เหตุดังนี้ ไอเดียที่ว่า"ภาษาพูดเรา"(language speaks us) จึงเป็นไปได้มากกว่า เราพูดภาษา (we speak language). เราไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิดภาษา; เราได้อิงอาศัยโครงสร้างอันหนึ่งที่ทำให้เราสามารถพูดออกมาได้; สิ่งที่เรารับรู้(ผิดพลาด)[(mis)perceive]ว่าเป็นต้นตอกำเนิดของเรา อันที่จริง มันเป็นการนำมารวมตัวกันใหม่อีกครั้ง ของปัจจัยหรือองค์ประกอบพื้นฐานต่างๆของระบบที่มีอยู่ก่อนแล้ว. โดยเหตุข้างต้น งานเขียนหรือข้อความทุกชิ้น, หรือทุกๆประโยคที่เราพูดและเขียน, มันได้ถูกสร้างขึ้นมาจาก"งานที่ถูกเขียนแล้ว"(already written).
การวิเคราะห์ในเชิงระบบโดยตัวของมันเองนั้น, บรรดานัก"โครงสร้างนิยม"จะยกเรื่องของประวัติศาสตร์ออกไปพร้อมๆกันด้วย ในการวิเคราะห์ของพวกเขา. ดังที่ Levi-Strauss ทำ, เขายืนยันอย่างแข็งขันว่า โครงสร้งต่างๆนั้นเป็นสากล ด้วยเหตุดังนั้นมันจึงปราศจากกาลเวลา.
นัก"โครงสร้างนิยม"ทั้งหลายไม่สามารถที่จะอธิบายหรือให้เหตุผลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง หรือพัฒนาการได้; เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ให้ความสนใจ, ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องของรูปแบบต่างๆทางวรรณกรรม อาจมีการเปลี่ยนแปลงมาตลอดช่วงกาลสมัย. พวกเขายังไม่สนใจในการผลิตงานเขียน หรือการต้อนรับ-บริโภคงานเขียนด้วย, พวกเขาจะสนใจแต่เพียงในเรื่องของโครงสร้างต่างๆที่ปรับแต่งรูปร่างมันขึ้นมาเท่านั้น.
ในการลบตัวของนักเขียนออกไป, รวมทั้งงานเขียนแต่ละชิ้น, นักอ่าน, และ ประวัติศาสตร์, "โครงสร้างนิยม"จึงเป็นตัวแทนการท้าทายที่สำคัญอันหนึ่ง ต่อสิ่งที่เราเรียกว่า "ขนบจารีตแบบมนุษย์นิยมเสรี"(liberal humanist)ในการวิจารณ์วรรณกรรม.
แบบจำลองทางด้านมนุษย์นิยมตั้งสมมุติฐานว่า
1) มันมีโลกของความเป็นจริงใบหนึ่งที่อยู่ข้างนอก ซึ่งเราสามารถทำความเข้าใจได้ด้วยความคิดที่มีเหตุผลของเรา
2) ภาษามีความสามารถที่จะบรรยายโลกแห่งความเป็นจริงนั้นได้อย่างถูกต้อง(ไม่มากก็น้อย)
3) ภาษานั้นเป็นผลิตผลอันหนึ่งของความคิดจิตใจของนักเขียนแต่ละคน
หรือเจตจำนงเสรี, หมายความว่า เรากำหนดในสิ่งที่เราพูด, และอะไรที่เราหมายถึง
เมื่อเวลาที่เราพูดมันออกมา, ด้วยเหตุดังนั้น ภาษาจึงแสดงออกถึงแก่นสารเกี่ยวกับภาวะปัจเจกของเรา
(และนั่น มันคือสิ่งหนึ่งที่จริงแท้ในฐานะที่เป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับตัวตนของปัจเจกโดยเฉพาะ)
4) ตัวตน(self) - ยังถูกรู้ในฐานะที่เป็น"ประธาน"(subject-ตัวหลัก)ด้วย, เมื่อ
เราแสดงไอเดียออกมาเกี่ยวกับตัวตนหนึ่งในทางภาษา, โดยการพูดว่า ฉัน, ซึ่งก็คือประธานของประโยค
- หรือปัจเจก (หรือ"ความคิด" หรือ "เจตจำนงเสรี") ซึ่งเป็นศูนย์กลางของความหมายทั้งหมดและความจริง;
คำต่างๆหมายถึง สิ่งที่ฉันพูด โดยให้พวกมันหมายความว่าอะไร, และความจริง(truth)คือสิ่งที่ฉันรับรู้ในฐานะที่เป็นความจริง(truth).
ฉันสร้างสรรค์ประโยคของตัวฉันเองออกมาจากประสบการณ์ส่วนตัวของฉันเอง และต้องการการแสดงออกที่เป็นส่วนตัว.
แบบจำลองของนัก"โครงสร้างนิยม"ถกปัญหานี้ว่า
1) โครงสร้างของภาษาในตัวมันเอง เป็นตัวที่สร้าง"ความจริง"(reality)ขึ้นมา
- ซึ่งเราสามารถคิดได้โดยผ่านภาษาเท่านั้น, และโดยเหตุที่การรับรู้ต่างๆของเราเกี่ยวกับความจริง(reality)ได้รับการวางกรอบหรือกำหนดโดยโครงสร้างของภาษา
2) ภาษานั้นพูดเรา(ออกมา)(langiage speaks us); ดังนั้น ต้นตอที่มาของความหมายจึงไม่ใช่ประสบการณ์ของปัจเจกหรือบุคคล,
แต่มันเป็นไปในลักษณะตรงข้ามและเป็นปฏิบัติการต่างๆชุดหนึ่ง, นั่นคือ เครื่องหมายและไวยากรณ์ต่างๆเป็นสิ่งที่ควบคุมภาษา.
ความหมายไม่ได้มาจากปัจเจกชน, แต่มาจากระบบที่ควบคุมสิ่งที่ปัจเจกแต่ละคนสามารถกระทำได้ภายใต้กรอบอันนี้
3) มากกว่าจะไปมองว่าปัจเจกบุคคลเป็นศูนย์กลางของความหมาย,
"โครงสร้างนิยม"ได้วาง"โครงสร้าง"ลงที่ศูนย์กลาง - มันคือ"โครงสร้าง"ที่ได้ให้กำเนิดหรือสร้างความหมายขึ้นมา,
ไม่ใช้ตัวตนที่เป็นปัจเจก. โดยเฉพาะ "ภาษา"เป็นศูนย์กลางของตัวตนและความหมาย;
ฉันสามารถที่จะพูดว่า"ฉัน" เพราะ ฉันได้อิงอาศัยระบบหนึ่งของภาษา ที่ซึ่งตำแหน่งของประธาน(subject)ได้ถูกทำเครื่องหมายหรือกำหนดโดยการเป็นบุรุษสรรพนามตัวที่หนึ่ง,
ด้วยเหตุนี้ อัตลักษณ์ของฉันจึงเป็นผลผลิตของระบบภาษาศาสตร์ที่ฉันครอบครองอยู่.
อันนี้เป็นส่วนที่(ทฤษฎี)"การรื้อโครงสร้าง"(deconstruction)ได้เริ่มเข้ามาด้วย. บุคคลซึ่งเป็นผู้นำแนวคิดทฤษฎี"การรื้อโครงสร้าง"ก็คือ, Jacques Derrida, ซึ่งได้มองไปที่ปรัชญา(โดยเฉพาะ เมตาฟิสิกส์-อภิปรัชญาตะวันตก)เพื่อตรวจดูว่า ระบบใดที่วางแกนที่แท้จริง. ในที่นี้หมายถึงศูนย์กลางอันหนึ่ง ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างพุ่งเข้ามาหา, และที่ซึ่งทุกๆสิ่งอ้างอิงมันหรือหวนกลับไปหามัน. ศูนย์กลางดังกล่าว บางครั้งก็คือ"พระผู้เป็นเจ้า"(god), บางครั้งก็คือ"ตัวตนของมนุษย์"(human self), ความคิดจิตใจ, บางครั้งก็คือ"จิตไร้สำนึก"(unconscious), ขึ้นอยู่กับว่าระบบปรัชญาใด(หรือชุดของความเชื่อใด) ที่คนๆหนึ่งกำลังพูดถึง.
มีกุญแจสำคัญอยู่
2 ดอกสำหรับความคิดเกี่ยวกับ"การรื้อโครงสร้าง".
กุญแจดอกแรกคือ เรายังคงจ้องมองไปที่ระบบหรือโครงสร้างต่างๆอยู่ มากกว่าที่จะดูที่ปฏิบัติการอันเป็นรูปธรรมของปัจเจกชน.
สำหรับระบบต่างๆทั้งหมด หรือ โครงสร้าง มันมีศูนย์กลางอันหนึ่ง, มีจุดกำเนิดของการเริ่มต้น,
สิ่งซึ่งได้สร้างสรรค์ระบบขึ้นมาแรกสุด.
กุญแจดอกที่สองก็คือ ทุกระบบหรือโครงสร้างได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นมาเป็นคู่ๆในลักษณะของความตรงข้ามกัน,
เกี่ยวกับเทอม 2 เทอม ที่วางลงบนลักษณะบางอย่างของความสัมพันธ์ในลักษณะขัดแย้งกันและกัน.
Derrida กล่าวว่า ระบบต่างๆนั้น มักจะได้รับการสร้างขึ้นจากการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างหน่วยพื้นฐานเสมอ - นั่นคือ ความตรงข้ามกันที่เป็นคู่ๆ - และสิ่งนี้มันอยู่ในระบบต่างๆซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคู่อันนั้น ที่มักจะมีความสำคัญมากกว่าอันอื่นเสมอ. โดยหลักการ เทอมๆหนึ่งจะถูกตราว่าเป็นบวก ส่วนอีกเทอมหนึ่งได้ถูกตราว่าเป็นลบ. ด้วยเหตุนี้ ในคู่ดังกล่าว "ดี"/"ชั่ว", "ดี" คือ สิ่งที่ปรัชญาตะวันตกให้คุณค่า, และ "ชั่ว" เป็นเรื่องรองของความดี. Derrida ถกว่า คู่ต่างๆทั้งหมดทำงานในหนทางนี้ - "สว่าง"/"มืด", "ผู้ชาย"/"ผู้หญิง", "ขวา"/"ซ้าย"; ในวัฒนธรรมตะวันตก, "เทอมแรก"มักจะมีคุณค่าเหนือกว่า"เทอมที่สอง"เสมอ.
ในงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา, Of Grammatology, Derrida ได้มองไปที่ความตรงข้ามกันของ "การพูด"/"การเขียน" โดยเฉพาะ, กล่าวคือ "การพูด"มักได้รับการมองว่ามีความสำคัญยิ่งกว่า"การเขียน". อันนี้อาจจะไม่ชัดเจนในตัวเอง เหมือนกับตัวอย่างเรื่องของ"ความดี"กับ"ความชั่ว", แต่มันเป็นจริงในเทอมต่างๆของทฤษฎีทางด้านภาษาสตร์, ที่ซึ่ง"การพูด"ได้รับการวางตำแหน่งในฐานะที่เป็นสิ่งแรกหรือรูปแบบขั้นปฐมของภาษา, และการเขียนเป็นเพียงการคัดลอกหรือสำเนาการพูดออกมาเท่านั้น. Derrida กล่าวว่า "การพูด"(speech)ได้รับเอกสิทธิ์นี้เพราะ การพูดได้ถูกทำให้เชื่อมโยงกับการมีอยู่(presence) - สำหรับอันนั้น ถูกพูดภาษา, บางคนซึ่งอยู่ที่นั่นกำลังพูด.
ไม่เลย, เขาไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้โดยรวมไปถึงเครื่องบันทึกเทปและสิ่งต่างๆอะไรทำนองนั้น. โปรดจำไว้ว่า, จำนวนมากของสิ่งที่ผู้คนกำลังพูดถึง มีรากต่างๆอยู่ในขนบประเพณีทางปรัชญา และภาษาศาสตร์ ซึ่งมีมาก่อนเทคโนโลยีสมัยใหม่ - ดังนั้น Derrida จึงขานรับต่อลักษณะตรงข้ามอันหนึ่ง ("การพูด"/"การเขียน") ที่ Plato เริ่มขึ้นมา, นานมาก ก่อนที่จะมีเทปบันทึกเสียง. คล้ายดั่งกับ Levi-Strauss พูดถึงเครื่องคอมพิวเตอร์โบราณประสิทธิภาพต่ำ เกี่ยวกับว่าจะทำอย่างรไร, เพื่อที่จะ วางแผนภูมิมิติต่างๆทั้งหมดของปกรณัมเรื่องหนึ่ง, เขาจะต้องมี"การ์ดเจาะรูและเครื่อง IBM เครื่องหนึ่ง", เมื่อทั้งหมดที่เขาต้องการนั้น ตอนนี้ก็คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ขนาดกระทัดรัดตามบ้านเครื่องหนึ่งเท่านั้น.
อย่างไรก็ตาม ไอเดียคือว่า, คำที่ถูกพูดออกมา เป็นการรับรองถึงการมีอยู่ของคนบางคนที่กำลังพูด - ดังนั้น มันจึงไปเสริมพลังสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด เกี่ยวกับไอเดียมนุษยนิยม, กล่าวคือ มีตัวตนที่แท้จริงคนหนึ่งซึ่งเป็นต้นกำเนิดสิ่งที่กำลังถูกพูดออกมา. Derrida เรียกไอเดียเกี่ยวกับตัวตนอันนี้ ซึ่งอยู่ที่นั่นเพื่อพูด - ส่วนที่เกี่ยวกับเมตาฟิสิกส์ของการมีอยู่(metaphysics of PRESENCE); ไอเดียเกี่ยวกับการดำรงอยู่(the idea of being), หรือ การมีอยู่(presence), เป็นแกนกลางของระบบปรัชญาตะวันตกทั้งหมด, นับตั้งแต่ Plato จนกระทั่งถึง Descarts (และขึ้นมาจนถึงตัวของ Derrida เอง). - การมีอยู่(presence)เป็นส่วนหนึ่งของคู่ตรงข้าม "การมีอยู่"/"การไม่มีอยู่"(presence/absence), ซึ่ง"การมีอยู่"มักจะเป็นที่นิยมชมชอบเหนือกว่า"การไม่มีอยู่". "คำพูด" หรือ speech ได้ไปสัมพันธ์เชื่อมโยงกับ"การมีอยู่"(presence), และทั้ง"คำพูด"และ"การมีอยู่"เป็นที่ชื่นชอบเหนือกว่า"การเขียน"และ"การไม่มีอยู่"; อภิสิทธิ์ของ"คำพูด"และ"การมีอยู่" คือสิ่งที่ Derrida เรียกว่า LOGOCENTRISM (ศูนย์กลางอยู่ที่คำพูด)(แปลตามรูปศัพท์ คำนี้หมายถึง คำพูด และภาษา ได้รับการพิจารณาว่าเป็นพื้นฐานการแสดงออกเกี่ยวกับความจริงภายนอก - Logocentrism = regarding words and language as a fundamental expression of an external reality).
ในที่นี้ เราอาจย้อนกลับไปนึกถึงวลีหนึ่งในพระคัมภีร์ไบเบิล "ขอให้มีแสงสว่าง" เป็นตัวอย่าง. พระวัจนะดังกล่าว เป็นการยืนยันว่า มีพระผู้เป็นเจ้า (สิ่งซึ่งได้เอื้อนเอ่ยวลีข้างต้นนี้ออกมา), และพระผู้เป็นเจ้านั้นเป็น"การมีอยู่"(presence) (เพราะฉะนั้น คำพูด=การมีอยู่)[speech=presence]; การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าคือต้นตอของสรรพสิ่ง (เพราะ พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างสรรค์โลกขึ้นมาโดยพระวัจนะ), และสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างสรรค์เป็นคู่ตรงข้าม(เริ่มต้นด้วย "สว่าง"/"มืด"). เราอาจยังคิดไปถึงคู่ตรงข้ามอื่นๆด้วย รวมทั้ง "การมีอยู่"/"ความว่างเปล่า"(being/nothingness), "เหตุผล"/"ความบ้า"(reason/madness), "คำพูด"/"ความเงียบ"(word/silence), "วัฒนธรรม"/"ธรรมชาติ"(culture/nature), "จิตใจ"/"ร่างกาย"(mind/body). แต่ละเทอมมีความหมายได้ก็ด้วยการอ้างอิงกับสิ่งอื่น(ความสว่างคือสิ่งที่ไม่มืด, และในทางกลับกัน), เทียบกับทัศนะของ Saussure, "ตัวบ่งชี้ต่างๆ"(signifier)จะมีความหมายขึ้นมาได้ - หรือคุณค่าเชิงลบ - ในความสัมพันธ์กับ"ตัวบ่งชี้อื่นๆ". ลักษณะที่เป็นคู่ๆเหล่านี้คือ"โครงสร้าง", หรือ พื้นฐานไอเดียเกี่ยวกับสิ่งตรงข้าม, ซึ่ง Derrida ได้ถูกนำเข้าไปผูกกับ ในปรัชญาตะวันตก).
เนื่องจากการสนับสนุนหรือการยืนอยู่ข้าง "การมีอยู่"มากกว่า"การไม่มีอยู่", การชมชอบต่อ"การพูด"มากกว่า""การเขียน" [และ ดังที่เราได้เห็นว่า Freud นั้น ชมชอบ "เพศชาย"(masculine)เหนือกว่า"เพศหญิง"(feminine) เพราะ องคชาติ(penis)ถูกนิยามว่าเป็น"การมีอยู่", ในขณะที่"อวัยวะเพศหญิง"(female genitals)ได้รับการนิยามว่าเป็น"การไม่มีอยู่"].
มันเป็นเพราะการยกย่องเชิดชูให้"การมีอยู่"เหนือกว่า"การไม่มีอยู่" ซึ่งทุกระบบได้วางตำแหน่งมันเอาไว้เป็นศูนย์กลาง(ในที่นี้ ข้าพเจ้ากำลังอ้างถึงระบบปรัชญาต่างๆ, แต่ไอเดียอันนี้มันสนับสนุนการบ่งชี้ถึงระบบต่างๆด้วย), มันเป็นศูนย์กลางที่ระบบทั้งหมดเข้าหา, และรับรองความหมายของมัน - ศูนย์กลางนี้รับรอง"การดำรงอยู่"เช่นเดียวกับ"การมีอยู่".
ลองมาคิดถึงว่า ตัวของคุณเองทั้งหมดเป็นระบบชนิดหนึ่ง - ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำ, คิด และรู้สึก ฯลฯ เป็นส่วนหนึ่งของระบบอันนั้น. ณ แกนกลางหรือศูนย์กลางดังกล่าวเกี่ยวกับชีวิตทางกายและชีวิตทางใจของคุณ เป็นความนึกคิดเกี่ยวกับ"ตัวตน"(self), เกี่ยวกับ"ฉัน", เกี่ยวกับอัตลักษณ์ซึ่งเสถียรหรือคงที่ และถูกทำให้เป็นหนึ่งและเชื่อมโยงเกาะเกี่ยวกัน.
ในส่วนของคุณ คุณรู้ว่า "ใคร"ที่คุณหมายถึง เมื่อคุณกล่าวว่า"ฉัน". ดังนั้น แกนที่เกี่ยวกับ"ตัวตน"อันนี้, หรือ"ฉัน", ก็คือ"ศูนย์กลาง"ของระบบ(CENTER of the system), "โครงสร้าง"(langue)[เป็นศัพท์ทางภาษาศาสตร์]ของ"การดำรงอยู่ของคุณ", และส่วนอื่นๆทั้งหมดของคุณ(การกระทำแต่ละปัจเจก)เป็นส่วนหนึ่งของ"การพูด"(parole)[ศัพท์ทางภาษาศาสตร์]. "ฉัน"เป็นต้นตอของทุกสิ่งที่คุณพูดและทำ, และมันรับรองไอเดียเกี่ยวกับ"การมีอยู่ของคุณ", "การดำรงอยู่ของคุณ".
ความคิดแบบตะวันตกมีกลุ่มก้อนทั้งหมดอันหนึ่งของเทอมต่างๆ ที่มารับใช้ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางทั้งหลายของระบบต่างๆ - การดำรงอยู่, เนื้อแท้, แก่นแท้, ความจริง, แบบ, ความสำนึก, มนุษย์ พระเจ้า ฯลฯ (being, essence, substance, truth, form, consciousness, man, god, etc.). สิ่งที่ Derrida บอกแก่เราก็คือ เทอมหรือศัพท์ต่างๆเหล่านี้ในแต่ละอันนั้นได้ระบุถึงศูนย์กลางของระบบหนึ่งที่มารับใช้วัตุประสงค์ 2 ประการ:
วัตถุประสงค์ประการแรก,
มันคือสิ่งที่สร้างสรรค์ระบบขึ้นมา, ที่ได้ให้กำเนิดมัน และรับรองว่า ส่วนต่างๆทั้งหมดของระบบมีความสัมพันธ์ต่อกัน.
และ
วัตถุประสงค์ในประการที่สอง, มันเป็นอะไรบางอย่างที่ไปพ้นจากระบบ,
ไม่ได้ถูกควบคุมโดยกฎเกณฑ์ต่างๆของระบบ. อันนี้คือสิ่งที่เขาพูดถึงในฐานะที่เป็น"การนินทาว่าร้าย"(scandal)
ถูกค้นพบโดย Levi-Strauss ในความคิดต่างๆของ Levi-Strauss เกี่ยวกับระบบเครือญาติต่างๆ.
สิ่งที่ Derrida ทำก็คือ การมองไปที่"คู่ตรงข้าม"อันหนึ่ง มีบทบาทหน้าที่อย่างไรในระบบหนึ่งๆ (คู่ตรงข้ามนี้ เป็นหน่วยพื้นฐานของโครงสร้างหรือระบบ ที่เรากำลังจ้องมอง, และเกี่ยวกับระบบปรัชญาที่เขาอ้างถึง). เขาชี้ว่า คู่ตรงข้ามกันนั้นมีลักษณะที่เขียนออกมาได้คล้ายๆกับพืชคณิตดังนี้ (a=~b, a equals not-b) (คือ a = ~b, a ไม่ได้เท่ากัน b), และเทอมสองเทอมนี้ ไม่อาจดำรงอยู่ได้โดยไม่อ้างอิงกันและกัน - แสงสว่าง(เท่ากับ"การมีอยู่")ถูกนิยามถึง"การไม่มีอยู่"ของ"ความมืด", "ความดี"คือ"การไม่มีอยู่"ของ"ความชั่ว" เป็นต้น (light (as presence) is defined as the absence of darkness, goodness the absence of evil, etc.) เขาไม่ได้แสวงหาวิธีที่จะสวนกลับ"ลำดับชั้นสูงต่ำต่างๆ"ที่มีนัยะในคู่ตรงข้าม - เพื่อทำให้"ความชั่ว"อยู่เหนือ"ความดี", "ความไร้สำนึก"เหนือกว่า"ความสำนึก", "เพศหญิง"เหนือกว่า"เพศชาย". ตรงกันข้าม, ทฤษฎีรื้อโครงสร้าง"(deconstruction)ต้องการที่จะลบขอบเขตหรือพรมแดนต่างๆระหว่างความตรงกันข้ามต่างๆ, ในที่นี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า คุณค่าต่างๆและระเบียบถูกทำให้มันัยยะโดยที่ความตรงกันข้ามนั้นไม่ได้ตายตัวด้วย.
ในที่นี้ วิธีการพื้นฐานของ"การรื้อโครงสร้าง"(deconstruction): ก็คือ ค้นหาคู่ตรงข้ามกันคู่หนึ่ง. เพื่อแสดงให้เห็นว่าเทอมหรือคำศัพท์แต่ละตัวเป็นส่วนหนึ่งของมัน, มากกว่าที่จะเป็นขั้วตรงข้ามของมัน. "โครงสร้าง"หรือ"ความตรงข้าม"รักษามันเอาไว้ไม่ให้ล้มคว่ำหรือพังทลายลง, ดังที่เราเห็นกับคำตรงข้ามอย่าง ธรรมชาติกับวัฒนธรรมในความเรียงของ Derrida. ในท้ายที่สุด, คุณไม่สามารถบอกได้ว่าอันไหนเป็นอันไหน, และไอเดียเกี่ยวกับคู่ตรงข้ามได้สูญเสียความหมายไป, หรือถูกแปลไปสู่"การเล่น". [คุณรื้อโครงสร้างระบบเก่าโดยการแสดงให้เห็นถึงหน่วยพื้นฐานของมันของลักษณะที่เป็นโครงสร้างว่าเป็นอย่างไร(คู่ๆหนึ่ง และกฎเกณฑ์ต่างๆสำหรับการรวมตัวของพวกมัน)ที่ขัดแย้งกับตรรกะของตัวมันเอง].
เรียบเรียงจากงานเขียนของ
Mary Klages / Colorado
September 17, 1997 ----------------------------
Post
Structuralism หลังโครงสร้างนิยม
ในกลางศตวรรษที่ 20 มีทฤษฎีต่างๆทางโครงสร้างจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของมนุษย์.
ในการศึกษาทางด้านภาษา, ภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้างของ Ferdinand de Saussure
(1857-1913) เสนอว่า ความหมายได้ถูกค้นพบอยู่ในโครงสร้างของภาษาทั้งหมด มากกว่าจะมาจากการวิเคราะห์เกี่ยวกับคำแต่ละคำ.
สำหรับชาวมาร์กซิสท์ทั้งหลาย, ความจริงเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของมนุษย์ สามารถทำความเข้าใจได้โดยการวิเคราะห์เกี่ยวกับโครงสร้างต่างๆทางเศรษฐกิจ.
นักจิตวิเคราะห์ทั้งหลายพยายามอธิบายโครงสร้างของจิตในเทอมต่างๆของจิตไร้สำนึก.
ในช่วงทศวรรษที่ 1960, ขบวนการของนัก"โครงสร้างนิยม", ซึ่งมีรากฐานอยู่ในฝรั่งเศส พยายามที่จะสังเคราะห์ไอเดียหรือความคิดต่างๆของ Marx, Freud และ Saussure เข้าด้วยกัน. พวกเขาไม่เห็นด้วยกับการที่นักอัตถิภาวนิยม(existentialists)อ้างว่า คนแต่ละคน เป็นผู้ที่สร้างตัวเขาเองขึ้นมา(each man is what he makes himself). สำหรับนักโครงสร้างนิยม คนแต่ละคนได้ถูกปรับแต่งรูปร่างขึ้นมาโดยโครงสร้างทางสังคมวิทยา, จิตวิทยา, และภาษาศาสตร์ ที่อยู่เหนือขึ้นไปซึ่ง เขา/เธอ ไม่อาจควบคุมได้, แต่สามารถที่จะได้รับการเปิดเผยออกมาได้โดยการใช้วิธีการต่างๆของพวกเขาในการสืบสวนได้.
แรกเริ่มเดิมที่ เขาได้รับการปิดป้ายให้เป็นนัก"โครงสร้างนิยม"คนหนึ่ง, นักปรัชญาและนักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Michel Foucault ได้ถูกมองในฐานะที่เป็นตัวแทนคนสำคัญที่สุดของขบวนการ"หลังโครงสร้างนิยม"(poststructuralist). เขาเห็นด้วยว่า ภาษาและสังคม ได้รับการปรับแต่งโดยกฎเกณฑ์ที่มควบคุมระบบต่างๆ. แต่เขาไม่เห็นด้วยกบนัก"โครงสร้างนิยม"ทั้งหลายใน 2 ประเด็นด้วยกันคือ.
ประเด็นแรกแรก, เขาไม่คิดว่า มันมีโครงสร้างที่อยู่ข้างใต้ที่แน่นอนชัดเจน ซึ่งสามารถอธิบายถึงเงื่อนไขของมนุษย์ได้, และ ประเด็นที่สอง, เขาคิดว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะขยับหรือก้าวออกไปจาก"วาทกรรม"(discourse) และสำรวจสถานการณ์นั้นอย่างเป็นวัตถุวิสัยอันบริสุทธิ์.
ในส่วนของ Jacques Derrida (1930- )นั้น ได้พัฒนาทฤษฎี"การรื้อโครงสร้าง"(deconstruction)ขึ้นมา ในฐานะที่เป็นเทคนิคหนึ่ง สำหรับเปิดเผยการตีความอันหลากหลายเกี่ยวกับข้อความหรือตำรับตำราต่างๆ. โดยได้รับอิทธิพลมาจาก Heidegger และ Nietzsche, Derrida เสนอว่า ข้อความทั้งหมดมีความกำกวมคลุมเครือ และด้วยเหตุนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะตีความได้อย่างสมบูรณ์หรือเด็ดขาด.
Post-modernism
หลังสมัยใหม่
แนวคิด"หลังโครงสร้างนิยม"(poststructuralism) และแนวคิด"การรื้อโครงสร้าง"(deconstruction)
สามารถได้รับการมองว่าเป็นหลักการต่างๆของเงื่อนไข"หลังสมัยใหม่"(post-modern).
ความเป็นสมัยใหม่ หรือ modernity ซึ่งเริ่มต้นเรื่องของสติปัญญามาจาก"ยุคสว่าง"(Enlightenment),
พยายามอธิบายโลกในเชิงของเหตุผล, โลกในเชิงประจักษ์(empirical term)และโลกของวัตถุวิสัย.
มันสันนิษฐานว่า มีความจริงอันหนึ่งที่ได้รับการเปิดเผยออกมา, และหนทางที่จะได้มาซึ่งคำตอบต่างๆต่อคำถาม
ได้รับการวางหรือกำหนดขึ้นมาโดยเงื่อนไขของมนุษย์.
"ลัทธิหลังสมัยใหม่"(postmodernism)ไม่ได้แสดงความเชื่อมั่นในเรื่องที่ว่า, "อดีตคือความแน่นอนที่อยู่ข้างใต้ ซึ่งเหตุผลได้ให้ความมั่นใจ". เหตุผลในตัวของมันเอง มาถึงตอนนนี้ ได้รับการมองในฐานะที่เป็นรูปแบบหนึ่งทางประวัติศาสตร์โดยเฉพาะ, มีลักษณะที่คับแคบในวิธีการของตัวมันเอง เท่ากันกับคำอธิบายต่างๆที่มีมาแต่โบราณเกี่ยวกับจักรวาลในเทอมต่างๆของพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย.
เรื่องราวของ postmodern ไม่มีวิธีการทางเหตุผลที่จะประเมินความชื่นชอบอันหนึ่งในความสัมพันธ์เพื่อการตัดสินเกี่ยวกับความจริง, ความมีศีลธรรม, ประสบการณ์ทางสุนทรีย์ หรือ ความเป็นวัตถุวิสัย. ขณะที่ลำดับขั้นสูงต่ำทางความคิดได้รับการฉีกทึ้งทำลาย, ความคิดใหม่ที่ขัดเจนได้รับการก่อตัวขึ้นมาบนพรมแดนของความเข้าใจ: ลักษณะผสมผสานของความคิดจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบหรือธรรมชาติไป, ผสมพันธุ์กันระหว่างพันธุ์ต่างๆและลักษณะที่เจริญงอกงามนี้ แน่นอน มันเป็นอนาคตของการตัดสิน.
Michel Foucault: Genealogy of Knowledge. มิเชล ฟูโก : ลำดับวงศ์ตระกูลวิทยาของความรู้
ฟูโกพยายามที่จะวิเคราะห์ the 'discursive practices' หรือ "ปฏิบัติการทางวาทกรรม" (คำว่า discursive ในทางปรัชญาหมายถึง "กระบวนการถกเถียงหรือการใช้เหตุผล ซึ่งตรงข้ามกับ "สหัชญาน"[intuitive]") ที่อ้างสิทธิ์การเป็นเจ้าของการเปิดเผยความรู้. มากกว่าที่จะวิเคราะห์ถึง discursive practices ในเทอมต่างๆเกี่ยวกับความจริงของมัน, เขาได้วิเคราะห์สิ่งเหล่านี้ในเทอมต่างๆเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมัน หรือ ต้นตอกำเนิด. เขาอ้างว่า เขากำลังพยายามที่กระทำสิ่งที่เรียกว่า"โบราณคดีของความรู้"('archaeology' of knowledge), เพื่อแสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ของ"ความจริง"(truth)ที่อ้าง.
ในงานช่วงหลังๆ,เขาได้หยิบยืมวิธีการที่เรียกว่า 'genealogical' approach หรือ วิธีลำดับวงศ์ตระกูล ของ Nietzsche และวิธีการ analyses of ideology หรือ การวิเคราะห์เกี่ยวกับอุดมกาณ์ ของ Marx มาใช้. ฟูโกค้นคว้าเรื่องนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า "พัฒนาการเกี่ยวกับความรู้ ได้ถูกโอบรัดด้วยกลไกต่างๆของอำนาจอย่างไร(หมายถึงอำนาจในทางการเมือง)". ไม่เหมือนกับมาร์กซ์, ฟูโกไม่ได้มีความเชื่ออยู่ข้างใต้ ในความจริงที่อยู่ข้างใต้ในระดับลึก หรือโครงสร้าง: ทั้งนี้เพราะ มันไม่มีทัศนะเชิงวัตถุวิสัย ซึ่งใครคนหนึ่งสามารถวิเคราะห์วาทกรรมหรือสังคมได้.
ฟูโกได้โฟกัสลงไปบนหนทางที่ "ความรู้" และ"การเพิ่มขึ้นมาเกี่ยวกับอำนาจของรัฐ"ที่มีอยู่เหนือ"ปัจเจกชน" ซึ่งได้พัฒนาขึ้นมาในยุคโมเดิร์นมานี้เอง. ในงาน History of Sexuality (ประวัตศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องเพศ) เขาได้อภิปรายถึงการถือกำเนิดขึ้นมาของวิทยาศาสตร์การแพทย์และจิตเวชศาสตร์ ที่ได้สร้างวาทกรรมอันหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศขึ้นมาในแนวลึก, โดยพูดถึงเรื่องของสัญชาตญาน และความลึกลับ.
วาทกรรมดังกล่าว กลายเป็นที่ยอมรับ ในฐานะที่เป็นคำอธิบายที่มีอิทธิพล, และ สมมุติฐานของมันเริ่มที่จะซึมแผ่เข้าไปในวาทกรรมของชีวิตประจำวัน. ในหนทางนี้ ประสบการณ์ของมนุษย์เกี่ยวกับเรื่องเพศของพวกเขาจึงได้ถูกปรับแต่งรูปร่าง และควบคุมโดยวาทกรรมดังกล่าว ซึ่ง(ก่อนหน้านี้)อ้างว่าเพื่ออธิบายมัน. การค้นหาความรู้ มันจึงไม่ใช่การเปิดเผยถึงเรื่องราวที่มีอยู่ก่อนธรรมดาๆ; แต่ที่จริงแล้ว ในเชิงปฏิบัติ มันปรับแต่งรูปร่างๆและสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ขึ้นมา.
ฟูโกไม่ได้ให้หรือเสนอทฤษฎีที่เป็นการรวบรวมขึ้นมาใดๆเกี่ยวกับธรรมชาติมนุษย์. เขาเพียงวิพากษ์เกี่ยวกับอภิทฤษฎี(meta-theory - อยู่เหนือทฤษฎี): ซึ่งเชื่อกันว่า ได้อ้างถึงการให้คำอธิบายที่เป็นวัตถุวิสัยเกี่ยวกับความจริง. สำหรับฟูโก มันไม่มีคำตอบสุดท้าย หรือที่เรียกว่า ultimate answer ที่รอคอยการค้นพบหรือเปิดเผยยออกมาแต่อย่างใด. ปฏิบัติการทางวาทกรรมเกี่ยวกับความรู้(The 'discursive practices' of knowledge)นั้น ไม่ได้เป็นอิสระจากวัตถุหรือเรื่องราวต่างๆที่ถูกศึกษา, และจะต้องถูกทำความเข้าใจในบริบททางสังคมและการเมืองของมัน.
Jacques Derrida: Deconstruction (การรื้อโครงสร้าง)
สำหรับ Derrida ภาษาหรือ"ข้อความต่าง"(texts)ไม่ใช่ตัวสะท้อนธรรมชาติอันหนึ่งของโลก.
ข้อความหรือตำรับตำราได้สร้างการตีความของเราเกี่ยวกับโลกขึ้นมา. ดำเนินรอยตาม
Heidegger, Derrida คิดว่าภาษาได้เป็นตัวปรับแต่งรูปร่างของเรา: ข้อความต่างๆได้สร้างความชัดเจนอันหนึ่งว่าเราเข้าใจมันว่าเป็นจริง.
Derrida มองว่า ประวัติศาสตร์ความคิดตะวันตกมีพื้นฐานอยู่บนความตรงข้ามกัน(oposition): เช่น ความดีตรงข้ามกับความชั่ว, จิตตรงข้ามกับวัตถุ, ผู้ชายตรงข้ามกับผู้หญิง, การพูดตรงข้ามกับการเขียน. ความตรงข้ามกันเหล่านี้ได้ถูกนิยามในลักษณะสูงต่ำ: ความตรงข้ามกันตัวที่สอง (เช่น ความดีตรงข้ามกับความชั่ว, ความชั่วเป็นตัวที่สอง) ถูกมองว่าเป็นความชั่วความผิด ด้อยกว่าตัวที่หนึ่ง, เทอมหรือคำศัพท์ต่างๆเหล่านี้มันมีนำหนักความตรงข้ามที่ไม่เท่าเทียมกัน.
Derrida คิดว่า ข้อความต่างๆทั้งหมดได้บรรจุเอามรดกตกทอดของข้อมสมมุติฐานเหล่านี้เอาไว้, และจากผลของอันนี้, ข้อความหรือตำราเหล่านี้สามารถที่จะได้รับการตีความด้วยสำนึกรู้เกี่ยวกับลำดับชั้นสูงต่ำที่มีนัยะอยู่ในภาษา. Derrida ไม่ได้คิดว่าเราสามารถจะไปถึงจุดจบหรือความสมบูรณ์ของการตีความได้, กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ"ความจริง"(เราไม่อาจไปถึงความจริงสมบูรณ์ได้).
สำหรับ Derrida ข้อความทั้งหมดแสดงหรือเสนอ"ความแตกต่าง": นั่นคือ ยอมให้มีการตีความอย่างหลากหลายได้นั่นเอง. ความหมายเป็นเรื่องของการแผ่ซ่านไปทั่ว, ไม่ได้ถูกทำให้มั่นคงอยู่กับที่. ลักษณะของข้อความมักจะให้อะไรเกินเลยไปอันหนึ่งของความเป็นไปได้ต่างๆเสมอ, กระนั้นก็ตาม ในความพยายามที่จะค้นหาความเป็นวัตถุวิสัย เราไม่สามารถยืนอยู่ภายนอกลักษณะข้อความได้.
ผลที่ตามมาอันหนึ่งของ"การรื้อโครงสร้าง"(deconstruction)ก็คือ ความแน่นอนในการวิเคราะห์ข้อความจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้. มันอาจจะมีการช่วงชิงการตีความ แต่ไม่มีหนทางที่ไม่ถูกตีความ ไม่มีใครคนหนึ่งสามารถกำหนดความมีเหตุผลสมบูรณ์ของการช่วงชิงการตีความเหล่านี้ได้. มากกว่าที่จะวางพื้นฐานความเข้าใจเชิงปรัชญาของเราบนความจริงต่างๆที่ไม่อาจปฏิเสธได้, นัก"รื้อโครงสร้าง"ทั้งหลายได้เปลี่ยนฐานหินที่อยู่ยงคงที่ของลัทธิเหตุผลนิยม ไปสู่เนินทรายของความแปรเปลี่ยนของความหลายหลายในการตีความ.
The
Kantian Background - Review ทบทวน - เบื้องหลังของแนวคิดแบบ ค้านท์เที่ยน
1. อะไรที่มาทำหน้าที่นิยามหรือกำหนด"แบบของประสบการณ์ของมนุษย์"(form of human
experience) ?
ก. พื้นที่และเวลา (space and time) (แบบที่มีอยู่ก่อนอันหนึ่งของสหัชญาน -
a priori forms of intuition)
ข. การจัดหมวดหมู่ต่างๆ (categories) (แนวความคิดต่างๆเกี่ยวกับความเข้าใจ)
2. สำหรับ"ค้านท์",
แนวความคิดหรือมโนคติเหล่านี้ถูกทำให้ตายตัว และเป็นสากล, ยกตัวอย่างเช่น ไม่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์
3. ปัญหาต่างๆ: การจัดหมวดหมู่ของค้านท์ ดูเหมือนจะไร้เหตุผล(เป็นไปตามอำเภอใจ)
และความเป็นสากลของพวกมันเป็นเพียงข้อสมมุติฐาน, ไม่ได้รับการพิสูจน์
4. ในโลก"หลังแนวคิดแบบดาร์วินเดี่ยน(post-Darwinian world) ดูเหมือนเป็นไปได้มากว่า
แนวความคิดเหล่านั้นและการจัดหมวดหมู่เกี่ยวกับประสบการณ์ของมนุษย์ เป็นเรื่องเชิงประวัติศาสตร์,
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องราวเปลี่ยน - ความไม่แน่นอน(contingent)
5. ในการขานรับต่อความเปลี่ยนแปลงไปอันนี้ที่มีการเน้นถึง, ปรากฎการณ์วิทยาแบบ
Husserlian จึงเรียกร้องให้เรามองและดูถึงสถานภาพของการจัดหมวดหมู่ต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นอิสระจากสมมุติฐานก่อนหน้าต่างๆในทางทฤษฎี.
6. บรรดานักสังคมศาสตร์, ผู้ซึ่งใช้วิธีการอันนี้ในเชิงประจักษ์ โดยผ่านการสังเกตุการณ์และการทำนาย,
เสนอว่า มันอาจมีการแปรผันที่มีนัยสำคัญต่างๆในกรอบเค้าโครงแนวคิดในเชิงวัฒนธรรม
และเชิงประวัติศาสตร์. หากว่าพยานหลักฐานไม่มีลักษณะเป็นข้อสรุปอย่างแท้จริง.
ดังนั้น จากจุดยืนทางวิทยาศาสตร์, ประเด็นปัญหาดังกล่าวก็ยังคงเปิดอยู่.
กลับไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา
e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com