เรื่องของอาหารดัดแปลงพันธุกรรม ที่ปนอยู่ในอาหารที่เราบริโภคกันทุกวัน โดยไม่มีโอกาสล่วงรู้ และไม่อาจป้องกันตนเองได้
แปลจากเรื่อง"WHAT'S FOR DINNER?" By Jim Hightower
คุณเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ butterfly effect.ไหม? มันเป็นทั้งแนวคิดทางวิทยาศาสตร์และความจริงทางนิเวศวิทยา, สาระสำคัญของมันก็คือ ผีเสื้อนับล้านตัวขยับปีกที่ใจกลางเม็กซิโก สามารถก่อให้เกิดผลกระทบตามมาในกรุงนิวยอร์ค, โรม, หรือฮ่องกงได้. แนวคิดดังกล่าวบอกกับเราว่า โลกในทางฟิสิกส์นั้น มันมีดุลยภาพอย่างสลับซับซ้อนยิ่งกว่าที่เราล่วงรู้เสียอีก. ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ต่างๆที่ไม่เกี่ยวเนื่องกัน สามารถส่งผลกระทบให้กับพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลออกไปมากๆได้ ทั้งในด้านเวลาและสถานที่. ถึงตรงนี้, ขอให้ข้าพเจ้าได้นำเรื่องนี้ลงมาจากท่าทีทางวิชาการ และวางมันลงาในความเข้าใจของตัวเองสักหน่อย : กล่าวคือ เรา ในฐานะมนุษย์ที่มีอัจฉริยภาพ ไม่เคยทราบเลยถึง สมมุติว่าคือ %$XWM อันเป็นสิ่งที่เรากำลังทำอยู่.
ทุกวันนี้ และ ณ ชั่วโมงนี้ โรงงานอุตสาหกรรมและบริษัทต่างๆได้พ่นหรือคลายสารเคมีที่สกปรกเป็นตันๆที่เรียกว่า organochlorines ออกมา แล้วเข้าสู่บรรยากาศและน้ำของเรา และต่อมามันได้มีผลให้จระเข้ตัวผู้ที่เกิดขึ้นในฟลอริด้าไม่มีอวัยวะเพศ (อันนี้เราทุกคนต่างรู้ดีว่า จระเข้าตัวผู้ต้องมีอวัยวะเพศ ใช่ไหม ?). เมืองดีทรอยท์ได้มีการใช้สาร CFCs กับแอร์คอนดิชั่นที่มีมากจนเกินไป อันนี้ได้ก่อให้เกิดผลกระทบอะไร ? ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ มันได้ทำให้เกิดช่องหรือรูโหว่ขนาดใหญ่ในชั้นบรรยากาศโอโซนของโลก. ประเด็นในที่นี้ เป็นการดำเนินการหรือปฏิบัติการทางด้านอุตสาหกรรม ที่เสมือนหรือดุจเดียวกันกับ การพยายามที่จะปอกเปลือกของผลองุ่นด้วยขวานนั่นเอง การนำเอาขวานมาปลอกเปลือก, ผลที่ได้กลับกลายเป็นความยุ่งยาก และอันตรายอย่างยิ่งต่อเนื้อของผลองุ่นอันอ่อนนุ่ม.
เมื่อสองทศวรรษที่ผ่านมา, การดำเนินงานทางด้านอุตสาหกรรมอันไร้เหตุผลนี้ ได้ถูกประยุกต์เข้ามาสู่ระดับพันธุศาสตร์เกี่ยวกับการแพร่กระจายทางด้านอาหารการกินของเรา และมาถึงตอนนี้ ผลกระทบผีเสื้อ(butterfly effect) กำลังเริ่มต้นที่จะมีผลกระทบต่อผีเสื้อทั้งหลายแล้ว อันนี้ไม่ได้พูดถึงแค่คุณกับผมเท่านั้น.. คนที่กำลังกวัดแกว่งขวานอันนี้ ก็คือยักษ์ใหญ่ทางด้าน biotechnology ที่ได้ถูกกำหนดเพื่อเอาชนะต่อมารดาธรรมชาติโดยการยักย้ายเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง DNA ในระดับเซลล์ของพืชพันธุ์ต่างๆ. คนพวกนี้จะนำเอายีนจากปลาและใส่มันลงไปในมะเขือเทศ, หรือนำเอายีนจากหนูและใส่มันลงไปในเซลล์ต่างๆของข้าวโพด, หรือนำเอายีนจากพืชจำพวกถั่วใส่ลงไปในมันผรั่งต่างๆ. ยีนที่มีการย้ายหรือนำมารวมกันต่างๆนี้ไม่มีขีดจำกัด, นั่นก็ยีนหนึ่ง / ยีนจากทุกหนทุกแห่ง, ยีน / Old McDonald มีแล็บหรือห้องทดลอง / E-I-E-I-O.
ผลลัพธ์ที่ออกมาต่างๆได้ถูกรู้จักกันในฐานะอาหารประเภท GA ซึ่งเป็นคำที่ย่อมาจากคำว่า Genetically-altered food, GMO หรือ genetically modified organisms, GM หรือ genetically-manipulated, GE หรือ genetically engineered หรือ, หากใช้ภาษาซึ่งค่อนข้างไม่สุภาพเท่าไรนัก เราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า อาหารของแฟรงค์เก็น(Frankenfood).
แนวหน้าสุดของอาหารที่ท้าทายหรือเสี่ยงภัยนี้(Brave new Food World)ก็คือ บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก 4 บริษัท ผู้ซึ่งอ้างอิงตัวเองอย่างหน้าซื่อๆในฐานะที่เป็นบริษัทวิทยาศาสตร์แห่งชีวิต(life science corporations): บริษัทเหล่านี้ได้แก่ Monsanto, Novartis, Dupont, และ Hoescht. เจตนาหรือความตั้งใจของบริษัทเหล่านี้ ได้กล่าวอ้างอย่างโอหังว่ามันจะเป็นการกระจายแหล่งอาหารและผลผลิตของโลกกันใหม่, และการกระทำทั้งหมดเหล่านี้ กระทำขึ้นภายใต้ผลประโยชน์ของมนุษยชาติ, แน่นอน, รวมไปถึงอาหารต่างๆที่มีวัคซีนต่างๆในอาหารด้วย, อาหารซึ่งสามารถอยู่ได้เป็นสัปดาห์ๆโดยไม่เน่าเสีย, และอาหารที่สามารถต้านทานศัตรูพืชได้ในระดับยีนที่ใส่เข้าไปในพืชพันธุ์เหล่านั้น. แต่หากว่าเราเป็นโรคภูมิแพ้ที่รุนแรงต่อพวกถั่วในมันฝรั่งที่ได้รับการประกอบกันขึ้นมา, หรือถ้าหากว่าเราไม่ต้องการให้ลูกๆของเราบริโภคอาหารต่างๆที่มีวัคซีนและเซ้กซ์ฮอร์โมนซึ่งเราไม่รู้จัก (ใช่, เซ็กซ์ฮอร์โมนต่างๆ, ด้วยเช่นกัน, ได้ถูกรวมเข้าไปโดยบุคคลที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์แห่งชีวิตที่ดีมากๆ) และจำพวกยาต้านแมลงที่ถูกใส่เข้าไปในอาหารต่างๆ เราจะทำอย่างไรล่ะ ?
ไม่มีปัญหา, บางคนคิดว่าอย่างนั้น, ฉันก็ไม่ซื้อไอ้พวก GA, GM, GMO, GE, หรืออะไรก็ตามที่เป็นพวก GD อื่นๆที่ใช้กับอาหารแฟรงเก็นสไตน์ ที่หลุดออกมาจากห้องทดลองทางด้านอาหารพวกนี้. คุณอาจจะปรารถนา, หรือคุณอาจต้องการให้เด็กๆของคุณดื่มโคคาโคล่า, หรือกินมันฝรั่งจำพวก french fry ของ McDonald, หรือมี kraft salad dressing บนโต๊ะอาหารของคุณไหม? คุณได้เทช็อคโคแล็ทร้อนๆของ Nestle ถ้วยหนึ่งสำหรับตัวเอง, หรือเนย Land o Lake ในตู้เย็น, คุณได้ใช้ NutraSweet, หรือคุณได้ป้อน Similac ให้กับทารกของคุณใช่ไหม? ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ขอต้อนรับคุณเข้าสู่โลกของอาหารเสี่ยงภัยเลยครับ. ทั้งหมดนี้ของผลิตภัณฑ์ทางด้านอาหารได้มีการยักย้ายส่วนประกอบของยีนหมดแล้ว. ทั้งหมดของผลิตภัณฑ์ทางด้านอาหารมากกว่า 3 หมื่นชนิด, บนชั้นวางของในร้านโกรเซอรีหรือร้านขายของชำในอเมริกาทุกวันนี้ ตั้งแต่นมจนไปถึงน้ำโซดา, หรือจาก Big Macs ไปถึงเต้าหู้ ได้มีการยักย้ายองค์ระบบเกี่ยวกับยีนทั้งสิ้น.
เมล็ดพันธุ์ซึ่งมีการแก้ไขจากห้องทดลองต่างๆของยักษ์ใหญ่ biotech ต่างๆ ปัจจุบันได้ถูกนำมาใช้ในการเพาะปลูกถึง 25 เปอร์เซนต์ของธัญพืชประเภทข้าวโพดในอเมริกา, และพวกถั่วเหลืองก็ใช้เมล็ดพันธ์ที่มีการแก้ไขในระดับยีนทำการเพาะปลูกถึง 30 เปอร์เซนต์ด้วยกัน, และพืชจำพวกฝ้ายมีถึง 40 เปอร์เซนต์เลยทีเดียว, และ 50 เปอร์เซนต์พวก canola. ใช่เลย แน่นอน พืชพันธุ์เหล่านี้ล้วนปลอดภัย ถูกต้องไหม? รัฐบาลได้ทำการทดสอบพืชแต่ละชนิดเหล่านี้แล้วเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าไม่มีอะไรเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นมาได้จากการบริโภคสิ่งเหล่านี้ ที่มีการคัดสรรและเปลี่ยนแปลงแก้ไข DNA, ไม่ใช่หรือ? และจวบจนกระทั่งบัดนี้ the FDA และ FPA ก็ยังยืนยันว่าอาหารวิศวพันธุกรรมเหล่านี้ต่างก็มีความปลอดภัย.
อันที่จริง, สิ่งเหล่านี้ได้รับการเรียกขานว่า public watchdogs (หรือ สุนัขเฝ้ายามให้กับสาธารณชน) ซึ่งได้ทำความมั่นใจอย่างฉลาดในทางที่ตรงกันข้าม, และยืนยันว่าสิ่งที่ดึงดูดใจเกี่ยวกับวิศวกรรมทางชีวภาพต่างๆ ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าไม่ปลอดภัย.
ขณะที่นักกิจกรรมและนักเขียนเชื้อสายอเมริกันพื้นเมืองโดยกำเนิด Vine DeLoria เคยพูดเอาไว้ครั้งหนึ่งว่า, แน่นอน คุณสามารถให้ความไว้วางใจรัฐบาลได้. คำตอบต่อข้อซักถามของอินเดียนคนหนึ่ง. บรรทัดล่างลงมา: มันยังไม่ได้มีการทดสอบที่ยาวนานเพียงพอต่อผลิตผลต่างๆเหล่านี้. รัฐบาล, โดยคำสั่งของบรรดาโรงงาน biotech ต่างๆ, ได้ผลักดันภาระในการพิสูจน์ให้กับผู้บริโภคชาวอเมริกันอย่างง่ายๆ, ซึ่งกล่าวได้ว่า คุณและครอบครัวของคุณ โดยแท้จริงแล้ว คือหนูตะเภาที่ได้ถูกนำมาทดลองในโครงการทดลองทางด้านยีนอันยิ่งใหญ่นี้.
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ปลอดภัยไหม ? ต่อคำถามนี้ เราสามารถที่จะค้นหาคำตอบได้ 3 วิธีคือ:
และที่สำคัญที่สุด, ให้ถามตัวคุณเอง, ให้คุณลองถามตัวคุณเองว่า ทำไมอุตสาหกรรมต่างๆและรัฐบาล, ในกลุ่มการเมืองที่มีความโลภและหยิ่งผยอง, จึงปล่อยให้เทคโนโลยีนี้หลุดออกไปอย่างรวดเร็วและอย่างเงียบเชียบมาก. กระแสคลื่นที่รวดเร็วของธัญพืชเหล่านี้ ได้ทะลักออกมาเพียงไม่กี่ปีมานี้ โดยปราศจากการอภิปรายหรือถกเถียงกันอย่างเป็นสาธารณะ. กระนั้นก็ตาม, ไม่ว่าคุณจะต้องการมันหรือไม่, ผลิตภัณฑ์ด้านอาหารไม่น้อยเลย ที่คุณกำลังซื้อหากันอยู่ทุกวันนี้ มันเป็นอาหารซึ่งได้รับการรับรอง(ว่าไม่เป็นพิษเป็นภัย), ซึ่งอันที่จริง มีโอกาสที่เป็นไปได้มากทีเดียวก็คือว่า ครอบครัวของคุณกำลังบริโภคอาหารที่มีการดัดแปลงแก้ไขยีนเป็นจำนวนมากมายมหาศาลอยู่ทุกๆวัน, โดยไม่รู้เลยว่าคุณกำลังทำเช่นนั้นอยู่. ด้วยเช่นกัน, ถ้าวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์อาหารเหล่านี้มันปลอดภัยจริงแล้วละก็, ให้ถามตัวเราเองว่า ทำไมมันจึงไม่มีการปิดฉลากให้คุณทราบว่า คุณกำลังซื้ออะไรไปบริโภคกันอยู่. อุตสาหกรรมทางด้านอาหารจะต้องปิดฉลากให้ทราบว่า ผลิตภัณฑ์ชนิดนั้นๆมีเกลือแร่, ไขมัน, และโคเลสเทอรอน อยู่จำนวนปริมาณเท่าไร ?, ทั้งนี้เพื่อใผู้บริโภคตัดสินใจได้ด้วยตนเองถึงผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่ต้องการซื้อ, เรื่องทำนองเดียวกันนี้ เราไม่ได้รับการบอกกล่าวเอาไว้เลย ไม่ว่าที่ลังบรรจุข้าวโพด กล่องบรรจุอาหาร รวมไปถึงหีบห่อต่างๆว่า สิ่งเหล่านี้ได้มีการจัดการแก้ไข DNA กันใหม่หรือไม่ อย่างไร ?, หรือเขียนเอาไว้ที่ข้างกล่องนมว่า มันประกอบด้วยเซ็กซ์ฮอร์โมนเทียมในนั้นหรือไม่.
แต่เป็นที่น่ายินดีเกี่ยวกับข่าวที่ว่า ปัจจุบันได้มีการกบฎต่อบริษัทลวงโลกที่คุกคามเราเหล่านี้อยู่ ซึ่งกำลังก่อตัวขึ้นมาทั่วโลก. ตัวอย่างเช่น ในประเทศญี่ปุ่น, สองในสามของรัฐบาลท้องถิ่นได้เรียกร้องให้มีการบังคับให้ทำการปิดป้ายฉลากทั่วประเทศเกี่ยวกับอาหารดัดแปลงพันธุกรรมทั้งหลาย. ส่วนในประเทศอินเดีย, ศาลสูงได้ให้การสนับสนุนป้ายฉลากที่บอกถึงการทดสอบเกี่ยวกับธัญพืชพวกนั้น, และรู้สึกเดือดดาลกับพวกชาวนาทั้งหลาย ที่มีการทดสอบพืชพันธุ์ อันยังเป็นที่น่าสงสัยและร้ายแรงเหล่านี้ให้กับบริษัท Monsanto. ในประเทศอังกฤษ, สมาคมทางการแพทย์ของอังกฤษได้มีการเรียกร้องให้ปิดป้ายฉลาก ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ ในการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านอาหารเหล่านี้, และนอกไปจากนี้ ยังได้รับเกียรติจากเจ้าฟ้าชาย Charles, ซึ่งได้ปฏิญานพระองค์ว่าจะไม่เอ่ยหรือตรัสถึงเรื่องของอาหาร biotech หลุดออกมาจากริมฝีปากของพระองค์เลย.
ปฏิกริยาสาธารณชนในยุโรปค่อนข้างไปในทางปฏิเสธหรือแง่ลบอย่างดุเดือด ต่อชื่อของบริษัท Monsanto ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นคำเรียกไปแล้ว, และบริษัทผู้ค้าในตลาดต่างๆทางด้านอาหารหลักนั้น อย่างเช่น Unilever, Nestle, และ Cadbury-Schwepps ได้ประกาศออกมาเมื่อไม่นานมานี้ โดยบอกว่า ผลิตภัณฑ์ต่างๆของบริษัทต่างๆของพวกตน ปลอดจากเรื่องเทคโนโลยีชีวภาพ(biotech-free). นอกจากนั้น เครือข่ายซูปเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ที่สุด ในหกประเทศของทวีปยุโรปได้ทำข้อผูกมัดและให้คำมั่นสัญญากับสาธารณชนว่า พวกเขาจะไม่ขายผลิตภัณฑ์ที่ได้มีการดัดแปลงแก้ไขพันธุกรรมต่างๆ.
มาถึงตอนนี้, อาหารแฟรงเก็นได้กลายมาเป็นประเด็นหลักทางการเมืองไปแล้ว สมาชิกท่านหนึ่งของรัฐสภาอังกฤษเคยประณามบริษัท Monsanto ในสภาสามัญในฐานะที่เป็นศัตรูของสาธารณชนหมายเลข 1. กระนั้นก็ตาม, บรรดานักการเมืองทั้งหลายและสาธารณชนโดยทั่วไป ต่างก็มีท่าทีเงียบๆเกี่ยวกับเรื่องนี้, ไม่ใช่ว่าพวกเขาเห็นด้วยหรือยอมรับมัน, แต่เป็นเพราะว่าบริษัทต่างๆ, รัฐบาล, และสื่อต่างๆได้เก็บงำเอาเรื่องราวเหล่านี้ ฝังเอาไว้โดยไม่เปิดเผยออกมานั่นเอง. ดังนั้น มันจึงยังคงถูกฝังอยู่. ขอขอบคุณต่อกลุ่มกิจกรรมต่างๆและรายงานข่าวอิสระทั้งหลาย ที่ได้มีการเผยถึงเรื่องนี้ออกมา(รวมไปถึงจดหมายข่าวและรายการวิทยุของข้าพเจ้า), เรื่องราวเหล่านี้ได้เผยแพร่ออกไป อันนี้กำลังเกิดขึ้นกับเรา และเช่นดังในทุกๆส่วนของโลกใบนี้, มันจะกลายเป็นประเด็นที่โด่งดังอย่างกับระเบิดเลยทีเดียว.
เราไม่สามารถที่จะเข้าไปยุ่มย่ามหรือพัวพันอยู่กับผู้คนทั้งหลายได้ หรือทำการตรวจตราผู้คนว่าได้ป้อนอะไรเข้าไปในปากของพวกเด็กๆหรือทารกน้อย โดยคิดกันไปว่าจะไม่มีผลกระทบใดๆตามมา. ก่อนที่มันจะเลยผ่านไป, พวกเราในที่นี้จะต้องตามไล่ล่าผู้กระทำความผิด เกี่ยวกับพฤติกรรมอันวิปริตผิดปกติเหล่านี้ เช่นเดียวกับสุนัขไล่ล่าเนื้อเลยทีเดียว.