อุตสาหกรรมวัฒนธรรม โดย เธียวดอร์ อะดอร์โน (1903 - 1969)
H
N
back
home
next
page
ขณะนี้ท่าน
อยู่ที่หน้าท
ี่
02
THE CULTURE INDUSTRY: ENLIGHTENMENT AS MASS DECEPTION (from Dialectic of Enlightenment)
ภาพประกอบจากนิตยสาร TIME ฉบับ Artists & Entertainers of the Century 100 / ฉบับ June 8,1998 / ชื่อภาพ The Writer : James Joyce

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ


Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ

สนใจสมัครเป็นสมาชิก
กรุณาคลิกที่ปุ่ม member page
ส่วนผู้ที่ต้องการดูหัวข้อบทความ
ทั้งหมด ที่มีบริการอยู่ขณะนี้
กรุณาคลิกที่ปุ่ม contents page
และผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
หรือประกาศข่าว
กรุณาคลิกที่ปุ่ม webboard

หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
(midnightuniv(at)yahoo.com)

บทความนี้ยาวประมาณ 14 หน้า / หากประสบปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลดขนาดของ font ลง
CP
MP
WB
contents
member
webboard

ศัพท์คำว่า อุตสาหกรรมวัฒนธรรม(culture industry) ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในหนังสือชื่อ Dialectic of Enlightenment, ซึ่ง Horkheimer และ Adorno ได้พิมพ์ขึ้นในอัมสเตอร์ดัม ในปี 1947. ในฉบับร่างของพวกเขา เขาได้พูดคุยถึงเรื่องเกี่ยวกับ"วัฒนธรรมมวลชน"(mass culture) และพวกเขาแทนคำ"วัฒนธรรมมวลชน"นี้ด้วยคำว่า "อุตสาหกรรมวัฒนธรรม ทั้งนี้เพื่อที่จะแยกมันออกมาจากบรรดาผู้ที่เห็นด้วย หรือสนับสนุนเรื่องของ"วัฒนธรรมมวลชน"นั่นเอง:

ดังนั้น ความหมายของสองคำนี้ จึงแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
ใน"อุตสาหกรรมวัฒนธรรม"ผู้บริโภคไม่ใช่ราชา ดังที่พวกนั้นจะทำให้เราเชื่อ มวลชนไม่ใช่ตัวประธานอีกต่อไป แต่เป็นตัวกรรมของมัน

เอกสารหมายเลข 120 เรื่อง "วัฒนธรรมในยุคอุตสาหกรรม" เขียนโดย เธียวดอร์ อะดอร์โน
แปลและเรียบเรียงโดย : สมเกียรติ ตั้งนโม
September 2001
Midnight University
Free Remote Education
2
page

ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ และนิตยสาร ได้สร้างระบบอันหนึ่งขึ้นมา ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบเดียวกันทั้งหมดในทุกๆส่วน. แม้กระทั่งกิจกรรมต่างๆทางสุนทรีย์เกี่ยวกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง(หมายถึงทั้งโลกเสรีและโลกของเผด็จการ) ต่างก็มีลักษณะที่เหมือนกันในการเชื่อฟังต่อแบบแผนอันนี้ด้วยศรัทธาอันแรงกล้าของพวกเขา ต่อจังหวะจะโคนของ"อุตสาหกรรมวัฒนธรรม" ที่ระบบทุนนิยมได้พัฒนาขึ้นมาอย่างมากและมีความแข็งแกร่งประดุจเหล็ก

สิ่งก่อสร้างต่างๆที่มีการจัดการในลักษณะอุตสาหกรรม และศูนย์กลางแสดงนิทรรศการทั้งหลายในประเทศต่างๆ แม้ในประเทศเผด็จการทั้งหลาย ต่างก็คล้ายคลึงกันมากกับประเทศประชาธิปไตยในทุกๆที่. ตึกสูงตระหง่านแปลบปลาบขนาดใหญ่ที่พุ่งขึ้นในเมืองใหญ่ๆทุกหนทุกแห่ง เป็นเครื่องหมายภายนอกของการวางแผนอันชาญฉลาดที่ผูกพันกับนานาชาติ, สู่สิ่งซึ่งเป็นเรื่องของระบบการบริหารที่กำลังเป็นไปอย่างรีบเร่ง

อนุสาวรีย์ของพวกเขาคือบ้านที่คลึ้มไปหมด และหลักฐานทางธุรกิจที่คราคร่ำไปด้วยฝุ่น เมืองใหญ่ที่ไร้วิญญาน แม้กระทั่งบ้านเก่าๆตอนนี้ ที่อยู่นอกศูนย์กลางเมืองคอนกรีตก็ดูเหมือนไม่ต่างอะไรไปจากสลัม ภาพของบังกาโลใหม่ๆในแถบชานเมืองกับโครงสร้างอันบอบบางไม่มั่นคงของงานนิทรรศนการเวิร์ลด์แฟร์ ก็มีลักษณะที่ไม่แตกต่างกันกับภาพคร่าวๆอันนี้

ในการยกย่องของพวกเขาเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางเทคนิค, วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี, ดูเหมือนจะขัดแย้งกับข้อเรียกร้องภายในของพวกเขา มันเป็นจิตวิญญานที่ถูกทิ้งขว้างหลังจากผ่านช่วงเวลาเพียงสั้นๆ คล้ายกับอาหารกระป๋องอันว่างเปล่า. กระนั้นก็ตาม โครงการบ้านจัดสรรในเมืองที่ออกแบบขึ้นเพื่อความมั่นคงถาวรของปัจเจก ในฐานะหน่วยที่เป็นอิสระ ในที่พักอาศัยที่ถูกสุขลักษณะเล็กๆหลังหนึ่ง ทำให้เขาต้องตกอยู่ภายใต้ภาวะจำยอมค่อนข้างมากต่อปรปักษ์ของเขา - นั่นคืออำนาจเบ็ดเสร็จของทุนนิยม

ทั้งนี้เพราะบรรดาผู้อาศัย ในฐานะที่เป็นทั้งผู้ผลิต และผู้บริโภค, ได้ถูกดึงไปสู่ศูนย์กลางในการแสวงหางานและความพึงพอใจ. หน่วยของการดำรงชีวิตทั้งหมดได้ตกผลึกสู่ความสลับซับซ้อนที่ถูกรวบรวมและจัดการขึ้นมาอย่างดี. เอกภาพอันน่าประทับใจของจุลจักรวาล และมนุษยที่มีอยู่ในโลกอันกว้างใหญ่ กับแบบแผนอันหนึ่งเกี่ยวกับวัฒนธรรมของเขา นั่นคือเอกลักษณ์อันผิดพลาดของลักษณะทั่วๆไปที่เกิดขึ้น

ภายใต้การผูกขาดเกี่ยวกับวัฒนธรรมมวลชน(mass culture)ที่มีลักษณะเป็นแบบเดียวกัน และเส้นทางต่างๆของกรอบโครงร่างเทียมของมันเริ่มที่จะแสดงให้เห็นได้ชัดเจนโดยตลอด ผู้คนที่อยู่ยอดบนสุดไม่ได้สนใจในการปิดบังหรือซ่อนเร้นการผูกขาดของตัวเองอีกต่อไปแล้ว: ดังที่ความรุนแรงของมันได้เปิดตัวออกมามากขึ้น, ดังนั้นพลังอำนาจของมันจึงเติบใหญ่มากขึ้น และเป็นไปอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

ภาพยนตร์และวิทยุไม่ต้องหลอกลวงหรือแสร้งทำอีกต่อไปว่าเป็นศิลปะ. ความจริงก็คือ พวกมันเป็นเพียงธุรกิจที่ถูกสร้างขึ้นมาในอุดมการณ์อันหนึ่ง เพื่อให้เหตุผลของความเป็นขยะและความเหลวไหลที่พวกเขาผลิตขึ้นมาอย่างรอบคอบ. พวกเขาเรียกตัวของพวกเขาเองว่าอุตสาหกรรม; และเมื่อรายได้ของผู้กำกับได้รับการตีพิมพ์ออกมาเผยแพร่ ข้อสงสัยใดๆเกี่ยวกับประโยชน์ทางสังคมของผลผลิตที่เสร็จสมบูรณ์ก็จะถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น

บรรดาผู้ซึ่งได้รับผลประโยชน์ ได้อธิบายอุตสาหกรรมวัฒนธรรมในเทอมต่างๆของเทคโนโลยี มีการอ้างว่า เป็นเพราะมีผู้คนได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องร่วมด้วยเป็นจำนวนล้านๆ กระบวนการผลิตซ้ำดังกล่าวจึงเป็นสิ่งจำเป็น และเรียกร้องต้องการในลักษณะที่คล้ายๆกัน ในพื้นที่ส่วนต่างๆอย่างกว้างขวาง ซึ่งต้องการจะได้รับความพึงพอใจกับสินค้าที่เหมือนๆกัน

ความขัดแย้งเชิงเทคนิคระหว่าง"ศูนย์กลางการผลิตซึ่งมีอยู่เพียงสองสามแห่ง" กับ "จุดของการบริโภคที่มีอยู่อย่างกว้างขวางและกระจัดกระจายไปทั่ว" ได้รับการนำมากล่าวถึง เพื่อเรียกร้องการรวมตัวและการวางแผนโดยการจัดการที่ดีเยี่ยม. ยิ่งไปกว่านั้น, มันยังได้รับการอ้างว่า "มาตรฐานต่างๆ"คือพื้นฐานในลำดับแรกสำหรับความต้องการของผู้บริโภค, และด้วยเหตุผลอันนี้ จึงได้รับการยอมรับกันทั่วไป โดยมีการต่อต้านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ วงการเกี่ยวกับการจัดการเพื่อสนอง(หรือยัดเยียด)ความต้องการดังกล่าวได้พัฒนาขึ้น ทำให้เอกภาพของระบบได้เจริญงอกงามและแข็งแรงมากขึ้นกว่าที่เคย. ไม่มีคำกล่าวใดที่ได้รับการสร้างขึ้นมาเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่า พื้นฐานพลังอำนาจทางเทคโนโลยีที่ได้มาของสังคม คือพลังอำนาจของบุคคลเหล่านั้น ซึ่งการยึดครองทางเศรษฐกิจเหนือสังคมของพวกเขาเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุด

หลักแห่งเหตุผลทางเทคโนโลยี คือพื้นฐานหลักการของการครอบงำหรือมีอิทธิพลในตัวของมันเอง มันเป็นธรรมชาติของสังคมที่แปลกแยกจากตัวเอง. รถยนต์, ลูกระเบิด, และภาพยนตร์ต่างๆ ล้วนเป็นเหตุผลทั้งหมดของเทคโนโลยี จนกระทั่งปัจจัยเหล่านี้มันได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในหนทางที่ผิดพลาดซึ่งได้ขยายตัวกว้างขวางออกไป

มันทำให้เทคโนโลยีเกี่ยวกับอุตสาหกรรมวัฒนธรรม ไม่มีอะไรมากไปกว่าการประสบผลสำเร็จของการทำให้เป็นมาตรฐาน และการผลิตมวลรวม, มันบูชายัญหรือทำให้เราต้องสังเวย อะไรก็ตามที่ไปเกี่ยวพันกับความแตกต่างระหว่าง"ตรรกะของผลงาน" และ "สิ่งที่เกี่ยวกับระบบของสังคม". อันนี้คือผลลัพธ์อันหนึ่ง ไม่ใช่กฎอันหนึ่งของความเคลื่อนไหวในเทคโนโลยีดังกล่าว ซึ่งไปเกี่ยวพันกับหน้าที่ของมันในระบบเศรษฐกิจของทุกวันนี้

ความต้องการที่จะต่อต้านการควบคุมจากศูนย์กลาง ได้ถูกยับยั้งโดยการควบคุมจิตสำนึกของปัจเจกชน. ก้าวย่างจากโทรศัพท์ไปสู่วิทยุได้จำแนกความแตกต่างทางด้านบทบาทอย่างชัดเจน. อันแรกยังคงยินยอมให้คนที่เห็นด้วยได้แสดงบทบาทเกี่ยวกับตัวเขา, และมีเสรีภาพที่จะสื่อสาร. ส่วนอันหลังเป็นเรื่องเกี่ยวกับประชาธิปไตยที่สูญสิ้นไป: นั่นคือ มันได้แปรเปลี่ยนผู้มีส่วนร่วมทั้งหมดไปสู่การเป็นผู้ฟัง และบังคับพวกเขาในลักษณะเผด็จการด้วยรายการหรือโปรแกรมกระจายเสียง ซึ่งทั้งหมดและทุกส่วนก็เป็นอย่างเดียวกันนี้

ไม่มีเครื่องจักรของการตอบโต้ใดๆได้รับการประดิษฐขึ้น, และผู้กระจายเสียงในฐานะปัจเจกชนหรือเป็นส่วนตัว เช่น การมีสถานีวิทยุของตนเองที่จะกระจายข่าว ถูกปฏิเสธเสรีภาพอันนี้ทั้งหมด. ผู้คนต่างถูกจำกัดให้อยู่ในฝ่ายตั้งรับ ไม่ได้รับการยอมรับลงสู่สนามเทียมของ"มือสมัครเล่น", และต้องยอมอยู่ใต้อำนาจบัญชาขององค์กรจากเบื้องบนด้วย

ร่องรอยใดก็ตามของการการกระจายเสียงอย่างเป็นทางการจากสาธารณชน(หรือปัจเจกชนที่เป็นอิสระ) จะถูกควบคุมและดูดเสียง หรือสร้างสัญญานรบกวนโดยนักสอดแนมที่มีความเชี่ยวชาญ. ในส่วนของการแข่งขัน การต่อสู้กันระหว่างสตูดิโอต่างๆและโปรแกรมรายการที่เป็นทางการทุกๆประเภท จะได้รับการเลือกสรรโดยบรรดามืออาชีพ. นักปฏิบัติการที่มีความสามารถ มีความเชี่ยวชาญ เป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมนี้มายาวนาน ก่อนที่มันจะเปิดเผยเรื่องดังกล่าวออกมา. แต่อย่างไรก็ตาม ท่าทีหรือทัศนคติของมวลชน ซึ่งชื่นชอบอย่างเปิดเผยและจริงจังกับระบบเกี่ยวกับอุตสาหกรรมวัฒนธรรมส่วนใหญ่ อันเป็นภาพที่เราพบเห็นกันส่วนหนึ่งซึ่งถูกหลอมรวมหรือถูกครอบงำโดยระบบ ก็ไม่ใช่คำแก้ตัวสำหรับมันในการที่เข้ามาผูกขาดกิจการอันนี้

ถ้าหากว่าศิลปะสาขาใดสาขาหนึ่งจะดำเนินรอยตามหลักการเดียวกันนี้ ด้วยการสื่อสารและด้วยเนื้อหาที่แตกต่างออกไป, ถ้าเป็นเช่นนั้น จะเกิดอะไรขึ้น ? การวางแผนการทำละครของรายการละครวิทยุ ไม่มีอะไรมากเกินไปกว่าสาระประโยชน์ที่แสดงให้เห็นว่า จะควบคุมปัญหาทางเทคนิคให้เนื้อหามาลงเอยกับสเกลเสียงของดนตรีอย่างไร เช่น เพลงแจ๊ส หรือ การเลียนแบบอย่างถูกๆ

หรือถ้ามูฟเม้นท์หนึ่งจากบทเพลงซิมโฟนีของบีโธเฟน ได้ถูกปรับหรือดัดแปลงอย่างหยาบๆเพื่อเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ในลักษณะเดียวกัน ดุจเดียวกับนวนิยายของตอลสตอยได้รับการบิดเบือนไปในการเขียนขึ้นเป็นบทภาพยนตร์ หากว่าเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ มันก็จะถูกทำขึ้นเพื่อความพึงพอใจซึ่งอ้างว่าเป็นความปรารถนาของสาธารณชน. การกระทำด้วยการดัดแปลงหรือบิดเบือนดังกล่าวข้างต้นนี้ มันไม่มีอะไรมากเกินไปกว่าเสียงที่ดังและความสับสน ซึ่งไม่มีสาระ และเป็นไปอย่างว่างเปล่า

พวกเราได้เข้าไปใกล้กับข้อเท็จจริงบางอย่าง ถ้าหากว่าเราจะอธิบายปรากฎการณ์ต่างๆเหล่านี้ว่า มันเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในทางเทคนิค อุปกรณ์ เครื่องมือ และบุคคลากร ซึ่งเคลื่อนคล้อยลงมาจนถึงฟันเฟืองซี่สุดท้าย, ตัวมันเองได้สร้างหรือเป็นส่วนหนึ่งของจักรกลทางเศรษฐกิจของการคัดสรร. อีกประการหนึ่ง ได้มีความเห็นพ้องต้องกัน (-หรืออย่างน้อยที่สุดความตกลงใจร่วมกัน-) เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่การบริหารทั้งหมดที่ว่า มันไม่ใช่เป็นการผลิตเพื่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง, (เพราะ ตัวมันเองต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของการโฆษณา ของทุนที่สนับสนุน และอื่นๆ ฯลฯ) เหนือสิ่งอื่นใด การบริหารจัดการเหล่านี้ คือความมั่นคงตัวของพวกมันเอง

ในยุคสมัยของเรา แนวโน้มทางสังคมที่เป็นไปในเชิงวัตถุวิสัย อันที่จริง มันคือการจุติใหม่ของวัตถุประสงค์ในเชิงอัตวิสัยอันซ่อนเร้นของบรรดาผู้อำนวยการบริษัทต่างๆ. ในบรรดาผู้นำที่อยู่แถวหน้าสุดในท่ามกลางคนเหล่านี้ คืออุตสาหกรรมประเภทเหล็ก, ปิโตรเลียม, ไฟฟ้า, และเคมีภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งมีอำนาจมากที่สุด. บรรดาผู้นำอุตสาหกรรมเหล่านี้ เป็นที่พึ่งพาของธุรกิจสื่อสาารมวลชนทั่วๆไป อย่างเช่น การพึ่งพาอาศัยของบริษัทกระจายเสียงที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่ออุตสาหกรรมไฟฟ้า, หรืออุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ต้องพึ่งพาธนาคารต่างๆ เป็นตัวอย่างคุณลักษณะพิเศษของปริมณฑลอันนี้

แต่ละสาขาของมันมีการผสมผสานคลุกเคล้ากันในเชิงเศรษฐกิจ ทั้งหมดมีการติดต่อกันอย่างใกล้ชิด แม้ว่าในภาพที่ออกมาจะมีการแบ่งเขตกันระหว่างบริษัทต่างๆก็ตาม. เอกภาพที่โหดเหี้ยมไร้ความเมตตาในอุตสาหกรรมวัฒนธรรมเหล่านี้ มันยังเป็นพยานหลักฐานของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในทางการเมืองด้วย

พื้นฐานที่แตกต่างกันดังภาพที่ปรากฏ อย่างเช่น บริษัทภาพยนตร์ A และ B, หรือเรื่องราวในนิตยสารในราคาที่แตกต่างกัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเนื้อหาเรื่องราวที่แยกเป็นหมวดหมู่เท่าใดนัก หรือขึ้นอยู่กับองค์กร และป้ายฉลากผู้บริโภค. คำถามคือมันขึ้นอยู่กับอะไร ? คำตอบในที่นี้ก็คือ ขึ้นอยู่กับคุณภาพ(ที่สร้างขึ้น) ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ได้รับการตระเตรียมขึ้นมาทั้งหมด

ความแตกต่างในเรื่องคุณภาพได้ถูกเน้นและยืดขยายออกไป. สาธารณชนจะได้รับการยัดเยียดรายการบันเทิงหรือสินค้ามาให้ ด้วยการแบ่งลำดับชั้นสูง-ต่ำของผลิตภัณฑ์ ในลักษณะที่ผลิตขึ้นมาเป็นจำนวนมากซึ่งมีคุณภาพอันหลากหลาย, และทุกคนจะต้องประพฤติตัว (ราวกับว่าเป็นไปเองอย่างนั้น) ซึ่งสอดคล้องกับระดับที่เป็นความตั้งใจและมีลักษณะเป็นดัชนี โดยเลือกประเภทของผลิตภัณฑ์มวลรวมซึ่งผลิตขึ้นมาสำหรับแบบฉบับของตนเอง

บรรดาผู้บริโภคจะปรากฎเป็นสถิติในแผนผังการวิจัยของบริษัทต่างๆ, และได้ถูกแบ่งแยกโดยกลุ่มรายได้เป็นประเภทสีเขียว สีแดง และสีน้ำเงิน ตามลำดับ และเทคนนิคดังกล่าว จะถูกนำมาใช้เพื่อวางแผนการโฆษณาสำหรับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มลักษณะของการทำให้เป็นแบบแผนขึ้นมาเช่นนี้ ขั้นตอนที่สร้างขึ้นมาดังกล่าว สามารถได้รับการมองเห็นได้ เมื่อผลผลิตที่แตกต่างกันในเชิงจักรกล ซึ่งในท้ายที่สุด มันได้พิสูจน์ว่าทั้งหมดมันเหมือนกันนั่นเอง.

ความแตกต่างกันนั้นระหว่างบริษัทรถยนต์ Chrysler และ General Motors โดยพื้นฐานแล้วเป็นมายาภาพ ซึ่งอาจสร้างความประทับใจแก่บรรดาพวกเด็กๆทุกคนด้วยความสนใจที่แหลมคมในความหลากหลายและความต่าง. สิ่งที่บรรดาเชี่ยวชาญทั้งหลายพูดคุยกันเกี่ยวกับจุดดีหรือเลวของรถยนต์ในแต่ละยี่ห้อ จริงๆแล้ว มันเป็นเพียงลักษณะภายนอกของการแข่งขันที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง และเป็นแค่ทางเลือกเท่านั้น. ลักษณะอย่างเดียวกันนี้ สามารถนำไปใช้ได้กับบริษัทภาพยนตร์ Warner Brothers และ Metro Goldwyn Mayer นั่นเอง

สำหรับรถยนต์ต่างๆ มันมีความแตกต่างกันเกี่ยวกับเรื่องของกระบอกสูบ, สมรรถนะของพละกำลัง, รายละเอียดต่างๆของอุปกรณ์ที่มีลิขสิทธิ์; และสำหรับภาพยนตร์ ก็มีเรื่องของดาราภาพยนตร์จำนวนมาก, การใช้เทคนิคพิเศษเกินความจำเป็น, แรงงาน, และอุปกรณ์หรือเครื่องมือต่างๆ, และการนำเสนอซึ่งเกี่ยวกับหลักการในเชิงจิตวิทยาที่ทันสมัยที่สุด.

บรรทัดฐานของบริษัทภาพยนตร์ Universal เกี่ยวกับคุณภาพที่ดีเป็นเรื่องในเชิงปริมาณอย่างค่อนข้างจะเด่นชัด, ทั้งนี้เพราะมันไปเกี่ยวกับการลงทุนอย่างห้าวหาญนั่นเอง. งบประมาณที่แปรผันในวัฒนธรรมยุคอุตสาหกรรม มิได้แบกรับความสัมพันธ์(ซึ่งถ้าจะมี ก็มีแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น) ต่อคุณค่าต่างๆของข้อเท็จจริง, หรือต่อความหมายเกี่ยวกับตัวของผลผลิตเองแต่อย่างใด. แม้กระทั่งเทคนิคของสื่อต่างๆ ซึ่งมีกำเนิดที่ต่างกัน ก็ถูกบีบบังคับให้เข้าไปสู่การมีลักษณะหลอมละลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างไม่มีการผ่อนปรน อย่างเช่น

"โทรทัศน์"มีจุดมุ่งหมายที่จะสังเคราะห์หรือรวมเอา"วิทยุ"และ"ภาพยนตร์"เข้ามาไว้ด้วยกัน, และการหลอมรวมนี้ได้ถูกยกหรืออุ้มชูไว้ด้วยผลประโยชน์ จากการที่คนส่วนใหญ่ให้การต้อนรับกับไอเดียอันนี้. แต่ผลที่ตามมาของ มันค่อนข้างใหญ่โตมากและมีแนวโน้มที่จะทำให้คุณภาพเชิงสุนทรีย์เสื่อมทรามลงอย่างรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจากภาพที่ปรากฎ ทำให้คาดการณ์ได้ว่า สำหรับวันพรุ่งนี้ ผลผลิตวัฒนธรรมอุตสาหกรรมดังกล่าว สามารถที่จะเปิดเผยตัวมันเองออกมาอย่างผู้มีชัยชนะ และบรรลุถึงความฝันแบบ Wagnerian เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า "Gesamtkunstwerk" หรือ "การหลอมละลายศิลปกรรมทั้งหมดเป็นงานชิ้นเดียว"

ความเป็นพันธมิตรกันระหว่าง "คำพูด", "ภาพที่ปรากฏ", และ"ดนตรี", เป็นความสมบูรณ์ทั้งหมดมากยิ่งกว่าความลงตัวใดๆที่มีมาในอดีต. ทั้งนี้เพราะปัจจัยเกี่ยวกับความรู้สึกสัมผัส, คำพูด, เสียงดนตรี, และภาพที่เห็น, ทั้งหมดมันได้สะท้อนถ่ายออกมาอย่างน่าพอใจบนผิวหน้าของความจริงทางสังคม ซึ่งอยู่ในหลักการของการทำให้ปรากฏเป็นรูปร่างขึ้นมาในกระบวนการทางเทคนิคอย่างเดียวกัน

ความเป็นเอกภาพ ซึ่งได้กลายมาเป็นเนื้อหาที่มีลักษณะเด่นของมัน. กระบวนการอันนี้ได้ผสมองค์ประกอบทั้งหมดของการผลิต จากนวนิยาย(ทำให้เป็นรูปร่างปรากฏแก่ตาโดยภาพยนตร์) จนกระทั่งถึงเสียงประกอบภาพยนตร์ในท้ายที่สุด. มันคือชัยชนะของทุนที่ลงไป, ชื่อเรื่องของมันในฐานะผู้เป็นนายที่แท้จริง ได้ถูกสลักเสลาลึกลงในหัวใจของผู้คน มันคือเนื้อหาที่มีความหมายของภาพยนตร์ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นพล๊อตเรื่องอะไรก็ตามที่ทีมงานผู้ผลิตได้ทำการเลือก

มนุษย์ในช่วงเวลาพักผ่อนต้องยอมรับสิ่งที่ผู้ทำการผลิตวัฒนธรรมทำให้กับเขา. อันนี้ดูเหมือนจะขัดกับแนวความคิดของค้านท์เลยทีเดียว นั่นคือ ลัทธิความเชื่อของค้านท์ยังคงคาดหวังเรื่องของปัจเจกชน, ผู้ซึ่งได้รับการคิดว่าเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ต่างๆอันหลากหลายในทางความรู้สึก.

แต่อุตสาหกรรมวัฒนธรรมได้ปล้นชิงปัจเจกภาพหรือประสบการณ์ความรู้สึกอันหลากหลายนี้ไป เพราะการบริการที่สำคัญที่สุดของผู้ผลิตวัฒนธรรมซึ่งเตรียมไว้ให้กับผู้บริโภคก็คือ กระทำไปตามผังรายการสำเร็จรูปที่วางไว้ให้กับพวกเขาแล้วเท่านั้น

ค้านท์กล่าวว่า มันเป็นจักรกลที่ลึกลับในวิญญานของมนุษย์ ซึ่งเตรียมขึ้นมาในหนทางนั้น ซึ่งเหมาะสมกับผู้คนแต่ละคน. แต่ทุกวันนี้ความลึกลับของวิญญานดังกล่าวได้ถูกถอดระหัสออกมาแล้ว. สิ่งที่ปรากฎออกมาทั้งหมดในการนำเสนอ จะมีการวางแผนโดยคนที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งทำหน้าที่ตระเตรียมหรือจัดหาข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์เอาไว้ให้กับทุกๆคน และปฏิบัติการอันนี้ พวกเราส่วนใหญ่ไม่อาจหนีรอดมันไปได้. สิ่งเหล่านี้ถูกกระทำโดยผ่านกระบวนการตัวแทนทางด้านพาณิชย์ เพื่อว่า พวกเขาจะได้ให้ความประทับใจเทียมๆแก่เราในลักษณะที่เหมือนๆกัน. ไม่มีอะไรเหลือทิ้งไว้สำหรับผู้บริโภคเพื่อเป็นการแยกแยะ ซึ่งบรรดาผู้ผลิตวัฒนธรรมตั้งใจจะกระทำมันเพื่อผู้บริโภค. ศิลปะสำหรับมวลชนประเภทนี้ได้ทำลายความฝัน แต่มันยังคงเข้ากับหลักการหรือทฤษฎีเกี่ยวกับอุดมคติของความฝันนั้น

ทุกสิ่งได้รับมาจากความสำนึก: นั่นคือสำหรับ Malebranche และ Berkeley, มันเป็นความสำนึกของพระผู้เป็นเจ้า แต่ในศิลปะมวลชนดังที่กล่าว มันมาจากความสำนึกของทีมงานผู้ผลิต. ไม่ใช่เพียงแค่ เพลงฮิต, ดารา, และละครวิทยุ... ไม่ใช่สิ่งเหล่านี้หรอกที่ได้หวนกลับมาอีกครั้ง และแบบแผนก็แข็งทื่อไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง, แต่มันเป็นเรื่องของ"เนื้อหา" โดยเฉพาะความบันเทิงในตัวมันเอง ที่รับมาจากมัน. ดังนั้นสิ่งที่ปรากฏออกมา มันจึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยนอกจากรายละเอียดที่เป็นองค์ประกอบ

รายละเอียดต่างๆมีการสลับปรับเปลี่ยนไป. ช่วงเวลาสั้นๆที่ตามมาซึ่งดูมีประสิทธิผลในเพลงฮิตเพลงหนึ่ง, ความตกต่ำลงเพียงชั่วประเดี๋ยวของพระเอกจากความงามสง่า (ซึ่งผู้คนให้การยอมรับในฐานะความสนุกสนานที่ดี), ปฏิบัติการที่เป็นไปอย่างหยาบๆ ซึ่งคนรักได้รับการดาราฝ่ายชาย, การท้าทายแบบห้าวๆของอย่างหลังเกี่ยวกับหญิงผู้มั่งคั่งที่แย่งชิงมา, คือ, มันจะเหมือนรายละเอียดอื่นๆทั้งหมด, สำนวนซ้ำซากๆน่าเบื่อที่นักประพันธ์ชอบใช้(cliches)ที่มีลักษณะสำเร็จรูปได้รับการสอดเข้ามาในทุกๆที่; พวกเขาไม่เคยทำสิ่งใดเลยมากไปกว่าเพื่อบรรลุเป้าหมาย โดยกระจายมันลงในแปลนที่วางเอาไว้แล้วทั้งหมด

ทั้งหมดของมันเป็นเรื่องของ raison d'etre หรือ"เหตุผลของการดำรงอยู่" ซึ่งจะต้องยืนยันโดยการมีอยู่ของส่วนต่างๆที่เป็นองค์ประกอบของมัน. ทันทีที่ภาพยนตร์เริ่มต้นขึ้น มันก็ชัดเจนเลยทีเดียวว่ามันจะจบลงอย่างไร และใครจะเป็นผู้ที่ได้รับรางวัล, ใครจะถูกลงโทษ หรือใครจะถูกลืมเลือน. ในดนตรีประเภทไลท์มิวสิค, เมื่อหูที่ได้รับการฝึกมาได้ยินเสียงโน๊ตตัวแรกของเพลงฮิต ก็สามารถคาดเดาถึงสิ่งที่จะตามมา และความรู้สึกที่ไพเราะมากเกินไปเหล่านั้น เมื่อมันบรรเลงขึ้น.

ถัวเฉลี่ยของความยาวในงานเขียนประเภทเรื่องสั้น ก็ต้องถูกยึดถือเอาไว้อย่างตายตัวหรือแข็งทื่อ. แม้กระทั่งแก๊กต่างๆ, ผลที่ปรากฎ, และเรื่องตลกก็ถูกคิดคำนวณเอาไว้อย่างดีเช่นเดียวกัน ดังที่พวกมันได้ถูกวางแผนเอาไว้แล้วในลักษณะสำเร็จรูป. สิ่งเหล่านี้คือความรับผิดชอบของผู้เชี่ยวชาญพิเศษ และลำดับการแคบๆของมันที่ทำให้มันง่ายสำหรับการที่จะถูกแบ่งสรรหน้าที่กันไปในสำนักงาน

พัฒนาการของวัฒนธรรมยุคอุตสาหกรรม ยินยอมให้กับความโดดเด่นกว่าในเรื่องของเอฟเฟค, การสัมผัสจับต้องได้ชัดเจน, และรายละเอียดทางเทคนิคที่มีอยู่เหนืองานในตัวของมันเอง - ซึ่งแสดงออกถึงไอเดียอันหนึ่ง, แต่แล้วมันกลับไปทำลายความชัดเจนของไอเดีย. เมื่อรายละเอียดมีชัยชนะต่อเรื่องของแนวคิด, รายละเอียดจึงกลายเป็นการกบฎไป

ในด้านดนตรี เอฟเฟคเสียงประสานได้ไปลบหรือขจัดการรับรู้เกี่ยวกับรูปทรงทั้งหมดของของดนตรีไป; ส่วนในงานจิตรกรรม สีแต่ละสีได้ถูกนำมาเน้นในฐานะเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับองค์ประกอบของภาพ ก็ทำให้โครงสร้างภาพแทบจะมองไม่เห็น; และในจิตวิทยาที่มีอยู่ในงานวรรณกรรมกลายเป็นสิ่งซึ่งมีความสำคัญมากกว่าโครงเรื่อง. ความเป็นทั้งหมดของวัฒนธรรมในยุคอุสาหกรรม(cuture industry)ได้มาสิ้นสุดลงที่ตรงนี้

หากว่าศิลปะไปผูกพันอยู่กับเอฟเฟคต่างๆโดยเฉพาะเช่นนี้ มันจะไปบดขยี้สิ่งที่ไม่คล้อยตามกับพวกมันลงเสียสิ้น และทำให้มันมาสนับสนุนสูตรสำเร็จ ซึ่งได้เข้าแทนที่ผลงาน. ชะตากรรมอย่างเดียวกันได้ดำเนินไปกับส่วนต่างๆที่คล้ายๆกันนี้ทั้งหมด. ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ถูกทำขึ้นมาในแนวทางดังกล่าว มันจะมีฐานะเป็นเพียงภาพประกอบภาพหนึ่ง หรือเป็นการพิสูจน์อันหนึ่งเท่านั้น ในขณะที่มันไม่ได้มีอะไรมากเกินไปกว่าบทสรุปของเหตุการณ์ที่เป็นเรื่องอีเดียดหรือโง่เง่าโดยตลอด

สิ่งที่เรียกว่าไอเดียหลักแบบนี้ ก็เหมือนกับแฟ้มข้อมูลแฟ้มหนึ่ง ซึ่งรับรองถึงลำดับการอันหนึ่งที่มีลักษณะเป็นอนุกรม แต่มันจะน่าเบื่อหน่ายมาก เพราะความซ้ำซากเป็นแบบเดียวกันของมัน. ทั้งหมดและทุกๆส่วนต่างก็คล้ายๆกัน มันไม่มีลักษณะที่ค้านข้อสรุป(antithesis)ที่ปรากฏออกมาเลย.

ความประสานกลมกลืนที่เตรียมการไว้ล่วงหน้าเช่นนี้ เป็นการลอกเลียนกันอันหนึ่งเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องพยายามอย่างมุ่งมั่น ภายหลังผลงานศิลปะของชนชั้นกลางอันยิ่งใหญ่ประสบความสำเร็จ. [ซึ่งดูจะไม่ต่างอะไรกันเลยกับประเทศเผด็จการ] ในเยอรมันนี ความเงียบสงบคล้ายดังกับสุสานของเผด็จการ ได้แขวนลอยภาพยนตร์ต่างๆที่สนุกสนานที่สุดของยุคประชาธิปไตยเอาไว้ ทั้งนี้เป็นเพราะมันไม่สอดคล้องกับนโยบาย (ไม่มีการปล่อยให้สิ่งที่เป็นการค้านข้อสรุป(anti-thesis)เกิดขึ้นมาได้)

โลกทั้งใบได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยผ่านฟิลเตอร์หรือแว่นกรองของวัฒนธรรมยุคอุสาหกรรม. ประสบการณ์เก่าๆของคนที่ไปดูภาพยนตร์, ภาพยนตร์ซึ่งครั้งหนึ่ง มันเคยเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ยืดขยายโลกภายนอกให้ยาวออกไป ปรากฏว่าหน้าที่เหล่านี้มันค่อยๆหดสั้นลง ผู้ดูภาพยนตร์ต้องสูญเสียมันไป (เพราะภาพยนตร์มุ่งที่จะจำลองโลกของการรับรู้ในชีวิตประจำวันขึ้นมา) ด้วยเหตุนี้มาถึงปัจจุบัน ภาพยนตร์คือประสบการณ์หรือเส้นทางที่ผู้ผลิตนำไปโดยไม่ให้เรามีอิสระ.

เทคนิคต่างๆของเขาที่เข้มข้นขึ้นและไร้ข้อตำหนิได้สำเนาวัตถุที่พบเห็นต่างๆ มันง่ายมากสำหรับทุกวันนี้ที่มายาภาพดังกล่าวจะชี้นำ ซึ่งโลกภายนอกได้กลายเป็นความต่อเนื่องที่มุ่งตรงและเข้าหาความเป็นจริง อันเป็นสิ่งที่นำเสนออยู่บนจอภาพยนตร์. วัตถุประสงค์อันนี้ได้ถูกส่งเสริมให้ก้าวหน้า โดยการผลิตซ้ำด้วยเครื่องจักร นับตั้งแต่ที่ภาพยนตร์ซึ่งเป็นเพียงแสงที่แลบแปลบปลาบบนจอเฉยๆก่อนหน้านั้น มาถึงตอนนี้ได้ถูกแทนที่โดยภาพยนตร์เสียงที่มีลักษณะสมจริงยิ่งขึ้น

ชีวิตจริงกำลังกลายเป็นสิ่งซึ่งไม่อาจแยกแยะได้จากภาพยนตร์. ภาพยนตร์เสียงไปไกลมากจากมายาการของละคร, ไม่เหลือที่ว่างใดๆสำหรับจินตนาการสำหรับเราอีกแล้ว หรือมีช่องว่างให้กับการสะท้อนกลับหรือการใช้ความครุ่นคิดของผู้ดู. พวกเราในฐานะผู้ดู จะไม่สามารถที่จะตอบโต้กับโครงสร้างของภาพยนตร์ได้อีกแล้ว แม้แต่การเถลไถลออกจากรายละเอียดที่แน่นอนของมัน โดยปราศจากการสูญเสียสายใยที่โยงอยู่กับเรื่องราว; ดังนั้น ภาพยนตร์จึงบีบบังคับผู้ดู[หรือเหยื่อ]ให้ขนานไปกับความเป็นจริงของมันโดยตรง โดยไม่มีอิสรภาพใดๆเหลืออยู่

ความตื่นตะลึงของของผู้บริโภคที่มีต่อสื่อภาพยนตร์ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจินตนาการและการเป็นไปเองไม่อาจที่จะถูกทำให้ย้อนกลับไปสู่กลไกทางจิตวิทยาใดๆได้อีกแล้ว ผู้ดูจะต้องให้เหตุผลการสูญเสียเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นไป โดยอ้างถึงธรรมชาติวัตถุวิสัยของตัวภาพยนตร์เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับลักษณะเฉพาะส่วนใหญ่ของมันที่นำเสนอออกมา นั่นคือภาพยนตร์เสียงที่สมจริง.

ภาพยนตร์สมัยใหม่ได้รับการออกแบบขึ้นมาให้มีความฉับไว. พลังอำนาจของการสังเกตของผู้ดู, และประสบการณ์ที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องเรียกร้องกับตัวเองอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เพื่อที่จะเข้าใจความหมายที่มันสื่อออกมาทั้งหมด. ด้วยเหตุนี้ ความคิดที่ประคองไว้หรือเหลือเอาไว้สำหรับสิ่งอื่น มันจึงเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าจะไม่ให้พลาดจากความรีบเร่งของข้อเท็จจริงต่างๆที่ประดังกันเข้ามาอย่างพรวดพราด. ความพยายามดังกล่าวของผู้ดู ต้องการให้ผู้ดูตอบโต้ไปในลักษณะกึ่งอัตโนมัติ, และจะไม่มีพื้นที่ใดถูกทิ้งเอาไว้สำหรับจินตนาการ

คนเหล่านั้นที่ถูกดูดเข้าไปในความซึมซาบกับโลกของภาพยนตร์ - โดยภาพต่างๆที่ปรากฏออกมา, ไม่ว่าจะเป็นอากัปกริยาต่างๆ, และคำพูดของตัวละคร - พวกเขาจะไม่สามารถจัดหาอะไรมาแทนที่มันได้ เพราะมันได้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นโลกจริงๆและพวกเขาไม่อาจรีรออยู่กับจุดใดจุดหนึ่งโดยเฉพาะในช่วงระหว่างที่ภาพยนตร์ดำเนินไป. ภาพยนตร์และผลผลิตอื่นๆทั้งหมดของอุตสาหกรรมบันเทิง ซึ่งคนเหล่านั้นเห็นกันได้สอนให้พวกเขาว่าจะคาดหวังถึงอะไร และพวกเขาจะโต้ตอบกับมันอย่างอัตโนมัติ

อำนาจและประสิทธิภาพของสังคมยุคอุตสาหกรรมได้ถูกสอดใส่และฝังเข้าไปในจิตใจของผู้คน. ผู้ผลิตกิจกรรมบันเทิงรู้ว่า ผลิตผลของพวกเขาจะได้รับการบริโภคด้วยความว่องไว แม้แต่ตอนที่ผู้บริโภคมีจิตใจที่ว้าวุ่น. สำหรับผู้ผลิตวัฒนธรรมแล้วแต่ละคนคือหุ่นจำลองอันหนึ่งของเครื่องจักรเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ที่มักจะผดุงมวลชนเอาไว้, ไม่ว่าในช่วงเวลาทำงานหรือช่วงเวลาพักผ่อน - (งานและการพักผ่อนเป็นพี่น้องกัน)

จากภาพยนตร์เสียงทุกเรื่อง และรายการกระจายเสียงทางวิทยุทุกรายการ เรื่องราวหรืออิทธิพลต่างๆของสังคมจะได้รับการสรุปให้เป็นแบบที่ตายตัวและจะถูกกระทำในลักษณะที่เหมือนๆกันหมด. วัฒนธรรมยุคอุสาหกรรม จะมีแบบต่างๆของมนุษย์เป็นแม่พิมพ์ในฐานะที่เป็นหุ่นจำลองอันหนึ่ง ซึ่งจะถูกทำซ้ำอย่างไม่ผิดพลาดในทุกๆผลผลิต. ตัวแทนหรือหุ่นจำลองทั้งหมดเหล่านี้, นับจากบุคคลชั้นสูง ไล่ลงมาถึงคนชั้นต่ำ, หรือหญิงผู้สูงศักดิ์ไล่เลียงลงมาถึงหญิงโสเภณี, ได้มีการเอาใจใส่อย่างดี ซึ่งการจำลองแบบง่ายๆเกี่ยวกับภาวะทางจิตวิทยาจะไม่ถูกทำให้แตกต่างกันเลย หรือยืดขยายออกไปในหนทางใดๆให้เกิดความซับซ้อน

บรรดานักประวัติศาสตร์ศิลป์และผู้คอยเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ผู้ซึ่งคร่ำบ่นเกี่ยวกับการสิ้นสูญในพลังศิลปะพื้นฐานของตะวันตกต่างก็ผิดพลาด. ทั้งนี้เพราะแบบฉบับที่ตายตัวทั่วไปของอุตสาหกรรมวัฒนธรรมเมื่อตอนเริ่มต้น, ที่เป็นไปตามแนวทางการผลิตซ้ำของเครื่องจักร, เมื่อเวลาผ่านไป มันล้ำหน้าเกินไปกว่าความแข็งทื่อและกระแสทั่วๆไปของสไตล์. ไม่มี Palestrina (คีตกวีอิตาเลี่ยน 1525-1594) คนใดที่จะบริสุทธิ์เกินไปกว่านี้ ในการขจัดทุกสิ่งที่ไม่ได้มีการเตรียมการเอาไว้ออกไป และตัดเอาสิ่งที่ขาดความประสานกันทั้งหลายทิ้งไป ได้มากยิ่งกว่าผู้เรียบเรียงเพลงแจ๊ส ซึ่งเขาจะทำลายทุกสิ่งที่มายับยั้งพัฒนาการต่างๆ ซึ่งไม่สอดคล้องกับภาษาเฉพาะของมันออกไป

เมื่อจะทำให้ Mozart น่าสนใจหรือมีชีวิตชีวามากขึ้น เขาจะเปลี่ยนคติกวีผู้นี้ไป ซึ่งไม่เพียงความจริงจังของ Mozart ที่มากเกินความจำเป็นหรือยากไปเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนวิธีการที่ Mozart ประสานท่วงทำนองดนตรีไปในทิศทางที่แตกต่างด้วย บางทีเป็นไปในทางที่ง่ายกว่าที่เคยชินกันอยู่ในปัจจุบันเสียอีก.

ไม่มี"ผู้สร้างสรรค์ในสมัยกลางคนใด" สามารถตรวจสอบหรือพินิจพิเคราะห์ถึงเนื้อหาเรื่องราวต่างๆ สำหรับภาพเขียนสีบนกระจกหน้าต่างโบสถ์และประติมากรรมประกอบสถาปัตยกรรมด้วยความสงสัยละเอียดละออ มากเกินไปกว่าลำดับชั้นในแนวดิ่งของสตูดิโอต่างๆของ"วัฒนธรรมยุคอุสาหกรรม" ซึ่งตรวจตราผลงานชิ้นหนึ่งที่ทำขึ้นโดย Balzac หรือ Hugo ก่อนยืนยันความพอใจเกี่ยวกับมันในท้ายที่สุด

ไม่มีนักเทววิทยาในสมัยกลางคนใด ที่จะมากำหนดระดับของการทนทุกข์ทรมานที่ประสบโดยนักบุญต่างๆอันเนื่องมาจากการรับใช้ศาสนาและความศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า ที่มีความพิถีพิถันมากเกินไปกว่าบรรดาผู้ผลิตเกี่ยวกับมหากาพย์กำมะลอ ซึ่งมีการคาดคำนวณความเจ็บปวดที่พระเอกจะต้องประสบ, หรือจุดที่แน่นอน ซึ่งขอบล่างของกระโปรงของนางเอกจะถูกเปิดขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างได้เคลื่อนคล้อยลงมาจนกระทั่งถึงรายละเอียดสุดท้าย ซึ่งได้ทำให้เป็นรูปเป็นร่างในท้ายที่สุด.

เหมือนกับคู่ของมัน, นั่นคือ"ศิลปะแนวล้ำหน้า"(avant-garde art), อุตสาหกรรมบันเทิงกำหนดภาษาของตัวมันเองขึ้น, เรื่อยลงมาถึงโครงสร้างลำดับคำและศัพท์แสง, โดยการค้นคว้าเกี่ยวกับคำต่างๆที่ให้ผลสูงสุดอย่างพิถีพิถัน นับจากคำสรรเสริญเยินยอจนถึงคำด่าหรือสาปแช่ง. ทั้งนี้เนื่องมาจากความกดดันที่มีอยู่อย่างสม่ำเสมอที่จะต้องสร้างเอฟเฟคใหม่ๆต่างๆขึ้นมานั่นเอง (ซึ่งจะต้องสอดคล้องกันกับแบบแผนเดิมๆ) มารับใช้ในฐานะที่เป็นกฎเกณฑ์อีกข้อหนึ่งเพื่อเพิ่มพลังอำนาจของมันอยู่ตลอดเวลา. และด้วยเหตุนี้ รายละเอียดทุกอย่างจะได้รับการประทับตราอย่างมั่นคงด้วยความลงตัว ที่จะไม่มีอะไรสามารถปรากฏขึ้นมา ซึ่งไม่ได้ถูกทำเครื่องหมายเอาไว้นับตั้งแต่เกิด, หรือไม่พานพบกับการรับรองมาแต่แต่แรกเห็น

นักดนตรีแจ๊ส ผู้ที่กำลังบรรเลงผลงานงานดนตรีที่จริงจังชิ้นหนึ่ง, เช่น ผลงานทางด้านดนตรีชิ้นหนึ่งในแนวเต้นรำแบบช้าๆที่เรียบง่ายที่สุดของบีโธเฟน, เขาจะเน้นเสียงดนตรีตรงที่จังหวะที่ไม่ต้องการเน้นเสียง(syncopates)ต่างๆโดยอัตโนมัติ และจะยิ้มออกมาอย่างอวดภูมิ เมื่อเขาถูกขอร้องให้ดำเนินรอยตามการแบ่งจังหวะตามปกติ. อันนี้เป็น"ธรรมชาติ"ซึ่งได้รับการทำให้ซับซ้อนโดยการนำเสนอบ่อยๆและการเรียกร้องที่ดูเหมือนจะมากเกินไปของสื่ออันนี้โดยเฉพาะ มันเป็นการสร้างสไตล์ใหม่ขึ้นมา และเป็น ระบบหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า non-culture, ซึ่งใครคนหนึ่งอาจจะยินยอมให้กับ"เอกภาพของสไตล์"อันนั้น ถ้าเผื่อว่ามันมีเหตุผลอันเป็นที่เข้าใจจริงๆที่จะพูดถึง"ความป่าเถื่อนที่มีสไตล์".

การยัดเยียดเกี่ยวกับสไตล์อันนี้ สามารถพ้นไปจากการถูกลงโทษหรือการห้ามปรามได้. ทุกวันนี้ เพลงฮิตเพลงหนึ่งได้รับการให้อภัยได้โดยง่าย กับการที่ไม่ต้องปฏิบัติตามจังหวะเคาะ 32 สำหรับการบรรจุท่วงทำนองหรือรายละเอียดเสียงประสานอันลี้ลับส่วนตัว ซึ่งไม่ต้องสอดคล้องกับภาษาทางดนตรี.

เมื่อไรก็ตามที่ Orson Welles (1915-1985 - ผู้กำกับภาพยนตร์และละครชาวอเมริกัน เขายังเป็นทั้งนักเขียนบท ผู้ผลิต และนักแสดงด้วย)ละเมิดต่อกฎเดิมๆ เขาจะได้รับการยกโทษให้อันเนื่องมาจากการเบี่ยงเบนไปจากบรรทัดฐานดังกล่าวของเขา ความเฉไฉอันนี้ได้รับการพิจารณาว่า เป็นการพลิกผันไปจากปกติ ซึ่งได้มาทำให้ทั้งหมดเข้มแข็งขึ้นเพื่อมารับรองหรือยืนยันความมีเหตุผลใช้ได้ของระบบดังกล่าว

เอกภาพของสไตล์ไม่ใช่เพียงเป็นเรื่องของคริสเตียนในยุคกลางเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของสมัยเรอเนสซองค์ด้วย ที่ได้แสดงออกมาในโครงสร้างซึ่งแตกต่างกันในแต่ละกรณีเกี่ยวกับอำนาจทางสังคม, และไม่ใช่ประสบการณ์อันคลุมเครือของการกดขี่ ซึ่งคนทั่วไปได้ถูกบังคับและปิดล้อม. บรรดาศิลปินที่ยิ่งใหญ่ไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นเลย คนเหล่านั้นผู้ซึ่งก่อรูปของสไตล์ขึ้นมาทั้งหมดอย่างไม่มีตำหนิและสมบูรณ์ พวกเขาได้ใช้สไตล์ในฐานะที่เป็นวิธีการของการเสริมความแข็งแกร่งของผู้มีอำนาจ ซึ่งมันตรงข้ามกับการแสดงออกที่สับสนอลหม่านของความเจ็บปวดของผู้คน อันเป็นความจริงในอีกด้านหนึ่งในเชิงนิเสธ

ในวัฒนธรรมยุคอุตสาหกรรม การเลียนแบบอันนี้ในท้ายที่สุดกลายเป็นความสมบูรณ์แบบ มันได้ยุติที่จะเป็นสิ่งต่างๆทั้งหมด เว้นแต่สไตล์เท่านั้น. ความหยาบกร้านของสุนทรียภาพทุกวันนี้(aesthetic barbarity)ได้คุกคามต่อการสร้างสรรค์ของจิตวิญญานสมบูรณ์พร้อม นับตั้งแต่ที่มันได้ถูกรวมตัวกันเข้าเป็นวัฒนธรรม. หากจะพูดถึงวัฒนธรรมคราใด ก็มักจะตรงกันข้ามกับวัฒนธรรมเสมอ. วัฒนธรรม ได้ถูกนำเข้าไปสู่โลกของการบริหารจัดการ และแน่นอน มันได้ถูกทำให้เป็นอุตสาหกรรม, ผลที่ตามมา, มันได้หลอมรวมเข้ากับชีวิต ซึ่งสอดคล้องอย่างสนิทแนบกับความเป็นอยู่.

วัฒนธรรมเช่นว่านี้ได้เข้ามาครอบครองผัสสะหรือประสาทสัมผัสของมนุษย์ นับจากเวลาที่พวกเขาเลิกงานในช่วงเย็นจากโรงงานอุตสาหกรรม จนกระทั่งไปถึงช่วงที่นาฬิกาบอกเวลาให้เข้างานอีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้น ด้วยสาระที่น่าประทับใจ ที่ตัวของพวกเขาเองต้องประคองหรือรักษาไว้ตลอดทั้งวัน การซึมซับอันนี้ได้ให้ความพอใจมาทดแทนอย่างหลอกๆหรือจอมปลอมเกี่ยวกับแนวคิดทางวัฒนธรรม

และด้วยเหตุนี้ อุตสาหกรรมวัฒนธรรม, หรือวัฒนธรรมสมัยใหม่จึงมีลักษณะผูกขาดคล้ายกับการผูกขาดในทางเศรษฐกิจ พร้อมกับแบบฉบับต่างๆที่สอดคล้องกับการบริหารจัดการ. และหากจะมีบางส่วนของปริมณฑลของมันที่จะนำเสนอในสิ่งที่แตกต่าง อันเป็นแนวทางของใครคนหนึ่งขึ้นมาในวงการบันเทิง เขาก็จะต้องกระทำในสิ่งเหล่านั้นด้วยความยืดหยุ่นอย่างเหมาะสม.

ใครก็ตามที่ต่อต้าน สามารถจะทำได้ก็เพียงแค่อยู่รอดโดยการไปด้วยกันกับมันเท่านั้น. เมื่อตราหรือยี่ห้อเฉพาะของเขาเกี่ยวกับการเบี่ยงเบนจากบรรทัดฐานได้ถูกบันทึกโดยอุตสาหกรรม, เขาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของมันเช่นเดียวกับนักปฏิรูปที่ดินที่กระทำกับลัทธิทุนนิยม. ความขัดแย้งจริงๆของผู้ซึ่งมีไอเดียใหม่ๆในวงการธุรกิจคือเครื่องหมายการค้าเท่านั้น. ในส่วนของสุ้มเสียงของสาธารณชนที่ประณามหรือขัดแย้งกับสังคมสมัยใหม่ ไม่ค่อยจะดังพอจะได้ยิน และถ้าหากพวกเขาทำเช่นนั้น ในไม่ช้าก็จะถูกไกล่เกลี่ยหรือประนีประนอม.

แน่นอน มันมีห้องที่อยู่บนสุดสำหรับทุกๆคน ที่จะแสดงให้เห็นความเหนือกว่าของเขาโดยการมีความคิดริเริ่มที่ได้รับการวางแผนมาอย่างดี. ในวัฒนธรรมยุคอุตสาหกรรม มีแนวโน้มที่จะหยิบยื่นโอกาสอย่างเต็มที่ให้กับคนเก่งของมันให้ได้เหลือรอดอยู่ได้. เพื่อที่จะทำสิ่งดังกล่าว สำหรับความมีประสิทธิภาพทุกวันนี้ มันยังคงเป็นบทบาทหน้าที่ของตลาด, ซึ่งอันที่จริงแล้วได้ถูกควบคุมอย่างชำนิชำนาญ. แต่อย่างไรก็ตาม หากว่ายังมีใครบางคนที่ดันทุรังโดยไม่ประนีประนอม มันเป็นอิสรภาพสำหรับคนโง่ที่จะอดตายเช่นกัน หากว่าเขาคิดจะเลือกหนทางนั้น

ระบบของอุตสาหกรรมวัฒนธรรม ค่อนข้างจะมาจากประเทศเสรีอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ, และอัตลักษณ์เกี่ยวกับสื่อต่างๆทั้งหมดของมัน ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์, วิทยุ, โทรทัศน์, เพลงแจ๊ส, และนิตยสาร ต่างก็เฟื่องฟู ณ ที่นั่น. ความก้าวหน้าของมัน แน่นอน มีรากกำเนิดอยู่ในกฎหมายทั่วไปเกี่ยวกับทุน

การพึ่งพาทางเศรษฐกิจของยุโรปที่ต้องอิงอาศัยสหรัฐอเมริกาภายหลังสงครามโลก และภาวะเงินเฟ้อเป็นปัจจัยหนึ่งที่เข้ามามีส่วนด้วย ความเชื่อที่ว่า ความป่าเถื่อนของวัฒนธรรมยุคอุตสาหกรรม เป็นผลลัพธ์อันหนึ่งอันเนื่องมาจาก"การล้าทางวัฒนธรรม"(cutural lag)[หมายถึงความเจริญทางวัฒนธรรมที่ไม่เท่ากัน อันหนึ่งเร็ว อีกอันหนึ่งช้า]เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่า ความสำนึกของอเมริกันมิได้ตามทันความเจริญเติบโตทางเทคโนโลยี, ซึ่งอันนี้ผิดทีเดียว.

อันที่จริงคือ ยุโรปยุคก่อนเผด็จการฟาสซิสท์(pre-Fascist)นั้น ตามไม่ทันแนวโน้มการผูกขาดวัฒนธรรมต่างๆหาก แต่ทว่า ด้วยความล้าหลังมากอันนี้ ทำให้ความคิดสติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ในบางระดับของความเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อใครสามารถดำรงอยู่ได้ - แม้ว่าจะเป็นไปอย่างหดหู่ก็ตาม.

ในประเทศเยอรมันนี ความล้มเหลวของประชาธิปไตยที่มีต่อชีวิต ได้น้อมนำไปสู่สถานการณ์ที่ดูเหมือนจะขัดแย้ง(paradoxical situation) กล่าวคือ หลายสิ่งหลายอย่างมีลักษณะที่อยู่พ้นไปจากกลไกตลาด ซึ่งได้มาบุกรุกย่ำยีประเทศตะวันตกต่างๆ. ระบบการศึกษาของเยอรมัน, มหาวิทยาลัยต่างๆ, โรงละคร มาตรฐานทางศิลปะ, วงออร์เคสตร้าที่ยิ่งใหญ่, และพิพิธภัณฑ์พอใจกับการได้รับการปกป้อง. อำนาจทางการเมือง, รัฐและองค์กรปกครองท้องถิ่นต่างๆ, ซึ่งรับทอดสืบช่วงสถาบันต่างๆเหล่านั้นมาจากสัมบูรณนิยม(absolutism), ได้ทำให้มันมีมาตรการอันหนึ่งที่สามารถธำรงความมีอิสรภาพจากจากแรงบีบคั้นต่างๆของพลังอำนาจที่ครอบงำตลาดได้

อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปแล้ว ศิลปะในตลาด ตัวของมันเอง ซึ่งเคยเป็นเรื่องของคุณภาพอันไม่เกี่ยวกับประโยชน์ใช้สอย กลับถูกพบว่ามันได้เปลี่ยนไปสู่อำนาจการซื้อ แม้ว่าจะมีสำนักพิมพ์บางแห่ง ทั้งทางด้านวรรณกรรมและดนตรีที่มีหน้ามีตา จะสามารถช่วยเหลือบรรดานักประพันธ์ทั้งหลาย ผู้ที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับวิถีทางของการทำกำไร และยังเคารพในวิชาชีพ สามารุอยู่รอดได้ก็ตาม. แต่นั่นก็นับว่าเป็นส่วนที่น้อยมาก. สิ่งที่มาพันธนาการศิลปินอย่างสมบูรณ์ก็คือ แรงกดดันที่มักจะผลักให้พวกเขาดำเนินชีวิตไปสอดคล้องกับเรื่องของธุรกิจ ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางสุนทรียภาพคนหนึ่ง.

ก่อนหน้านั้น, คล้ายๆกับ Kant และ Hume, พวกเขา(หมายถึงผู้ผลิตวัฒนธรรม)ลงนามในจดหมายของพวกเขาว่า "ผู้อ่อนน้อมถ่อนตนและคนรับใช้ที่เชื่อฟัง"(Your most humble and obedient servant), และอยู่ข้างใต้รากฐานต่างๆของราชบัลลังก์และแท่นบูชา. ในทุกวันนี้ พวกเขาจ่าหน้าซองถึงผู้นำรัฐบาลด้วยชื่อแรกของพวกเขา, นอกจากนั้น พวกเขายังทำหน้าที่รับผิดชอบกิจกรรมทางศิลปะทุกอย่างที่ได้รับภาระมาจากผู้เป็นนายของพวกเขา. การวิเคราะห์ของ Tocqueville (รัฐบุรุษและนักประพันธ์ของฝรั่งเศส 1805-1859) ได้ให้ไว้เมื่อกว่าหนึ่งศตวรรษมาแล้ว มาถึงขณะนี้ได้พิสูจน์ถึงความถูกต้องและเป็นจริงทั้งหมด

ภายใต้การผูกขาดวัฒนธรรมที่เป็นส่วนตัวนี้ มันมีข้อเท็จจริงอีกอันหนึ่งที่ว่า "การปกครองแบบเผด็จการได้ปล่อยให้ร่างกายเป็นอิสระ แต่ได้มากำหนดทิศทางการโจมตีของมันลงไปที่จิตวิญญานแทน. ผู้ปกครองเผด็จการจะไม่พูดต่อไปแล้วว่า : พวกแกจะต้องคิดอย่างเดียวกับที่ฉันทำ และทำในสิ่งเดียวกับที่ฉันยอมตาย". แต่เขาจะกล่าวว่า : พวกแกต่างมีอิสระที่ไม่ต้องคิดอย่างที่ฉันทำ; ชีวิตของแก, ทรัพย์สมบัติของพวกแก, ทุกสิ่งทุกอย่างจะยังคงเป็นของแก, แต่นับจากวันนี้เป็นต้นไป สำหรับแกจะเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งในท่ามกลางหมู่พวกฉัน.

บรรดาผู้บริโภคสื่อวัฒนธรรมทั้งหลายส่วนใหญ่ในทุกวันนี้คือพวกคนงาน, ชาวนา และชนชั้นกลางระดับล่าง. ผลผลิตของนายทุนค่อนข้างที่จำกัดหรือตีวงในคนกลุ่มเหล่านี้, ร่างกายและวิญญาน, ซึ่งคนกลุ่มต่างๆเหล่านี้ต้องตกเป็นเหยื่อที่ไม่อาจช่วยได้ต่อสิ่งซึ่งถูกนำมาให้แก่พวกเขา. ดังธรรมชาติที่ว่ากฎเกณฑ์(ruled)ดังกล่าวมักจะนำเอาความมีศีลธรรมมายัดเยียดให้กับพวกเขาซึ่งเป็นไปอย่างเอาจริงเอาจังมากกว่ากระทำกับบรรดาตัวของผู้ปกครองเอง

ผู้คนทั้งหลายต่างๆก็ถูกวัฒนธรรมแบบนี้ลวงหลอก ทุกวันนี้ พวกเขาได้ถูกทำให้เกิดความรู้สึกประทับใจกับมายาคติของความสำเร็จ ยิ่งไปกว่าความสำเร็จจริงๆ. พวกเขายืนยันบนอุดมการณ์ที่แท้ซึ่งทำให้พวกเขาเป็นทาสอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ความรักอันผิดที่ผิดทางของผู้คนธรรมดาทั่วๆไปสำหรับความผิดพลาดซึ่งกระทำกับพวกเขา มันมีอำนาจบังคับที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าความหลักแหลมของผู้มีอำนาจทั้งหลาย. มันแข็งแกร่งมากยิ่งกว่าความเข้มงวดใดในสำนักงานของ Hays (นักกฎหมายและนักการเมืองชาวอเมริกัน 1879-1954), เทียบเท่าช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ที่มันลุกโชนขึ้นเป็นไฟด้วยอำนาจกดขี่ที่ยิ่งใหญ่ กับผู้ซึ่งเป็นศัตรูของมัน สิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่น่าน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าบัลลังก์ศาลใดๆ

มันเรียกร้องหรือถามหา Mickey Rooney ในความชอบมากกว่านักแสดงเรื่องโศกอย่าง Garbo (Greta Lovisa Gustafsson นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน 1905-1990 เกิดในสวีเดน), สำหรับ Donald Duck ก็เข้ามาแทนที่ Betty Boop. อุตสาหกรรมนี้ได้ยอมจำนนต่อคะแนนเสียง อันเป็นแรงบันดาลใจของมัน

อะไรที่นับว่าเป็นการสูญเสียต่อความมั่งคั่ง ซึ่งไม่สามารถที่จะใช้หาประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ คำตอบก็คือ ข้อตกลงหรือสัญญาที่มีกับดารานักแสดงคนหนึ่งที่กำลังตกต่ำ อันนี้ถือว่าเป็นค่าเสียหายและความสิ้นเปลืองที่ถูกต้องตามกฎหมายสำหรับระบบนี้ทั้งหมด. อุตสาหกรรมวัฒนธรรมในด้านหนึ่ง จะมีปรับตัวของมันเองตลอดเวลาให้มีความลงรอยกันกับบรรดาผู้ซื้อ และยอมเป็นผู้ที่ไร้ยางอายของตนเองในฐานะผู้ผลิต ผู้ซึ่งจะทำหน้าที่สนองความต้องการไปทั่ว. ผลลัพธ์ก็คือการผลิตซ้ำที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ความไม่เปลี่ยนแปลง การผลิตซ้ำ เพื่อบรรลุถึงความสำเร็จอย่างเดิม สิ่งเหล่านี้ทำให้เรื่องราวใหม่ๆหรือสิ่งใหม่ๆมีช่องทางอยู่น้อยมากที่จะเล็ดลอดเข้ามาได้ เพราะเรื่องราวหรือสิ่งใหม่ๆเป็นสิ่งที่ยังไม่ได้มีการพิสูจน์ เมื่อมั่นยังไม่ได้มีการพิสูจน์หรือทดลอง แน่นอน มันย่อมตกอยู่ในฐานะที่เป็นความเสี่ยงหนึ่ง. การกระทำเช่นนี้เปรียบเสมือนเครื่องจักรที่ผลิตสินค้าที่หมุนรอบบนจุดเดียวกัน

บรรดาผู้สร้างภาพยนตร์ จะสงสัยและคลางแคลงใจต่อต้นฉบับต่างๆ ซึ่งไม่ได้รับการประกันความมั่นใจให้กับพวกเขาเพิ่มขึ้นโดยการเป็นหนังสือที่ขายดี. แม้กระนั้นก็ตาม ด้วยเหตุผลเดียวกัน พวกเขาก็ไม่เคยเลยที่จะหยุดพูดคุยกันถึงเรื่องไอเดียต่างๆ, ความแปลกใหม่, และความน่าประหลาดใจ, ของสิ่งซึ่งทึกทักกันเอาเอง แต่ไม่เคยมีอยู่จริง.

จังหวะความเคลื่อนไหวและพลวัตต่างๆได้มารับใช้แนวโน้มอันนี้ ไม่มีสิ่งใดที่ยังคงความเก่าอยู่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้มันเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา. สำหรับชัยชนะที่เป็นสากลเกี่ยวกับจังหวะของผลผลิตทางด้านเครื่องจักร และการทำซ้ำเท่านั้น ที่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และจะไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสมสามารถหลุดรอดออกมาได้. การเพิ่มเติมอะไรเข้าไปสู่การประดิษฐ์คิดค้นทางวัฒนธรรมที่พิสูจน์ว่าดีแล้ว มันคืออะไรที่มีความแน่นอนและความมั่นคง ที่ไม่ต้องไปสุ่มเสี่ยงกับการคาดเดาที่ออกจะเป็นต้นทุนซึ่งมากเกินไป

รูปแบบต่างๆที่เป็นแบบแผนที่แข็งตัวแล้ว - อย่างเช่น ภาพสเก็ต, เรื่องสั้น, ภาพยนตร์, หรือเพลงฮิต - คือค่าเฉลี่ยมาตรฐานของรสนิยมแบบเสรีในช่วงปลาย, ซึ่งถูกบงการโดยการคุกคามที่มาจากเบื้องบน. ผู้คน ณ ยอดบนสุดของตัวแทนต่างๆทางวัฒนธรรม ผู้ซึ่งทำงานประสานกลมกลืนกับผู้จัดการคนหนึ่ง พวกเขาสามารถทำงานกับอีกคนหนึ่งได้ ไม่ว่าผู้จัดการคนนั้นจะมาจากวงการธุรกิจผ้าขี้ริ้ว(rag trade คำนี้เป็นสำนวน หมายถึงทำธุรกิจเสื้อผ้า)หรือมาจากมหาวิทยาลัย คนเหล่านี้ได้มีการรวมตัวกันและทำให้มันมีเหตุผล เพื่อจิตวิญญานของธุรกิจอันมีเป้าหมายที่แน่นอนมายาวนาน.

ในสายงานของวัฒนธรรมแบบนี้ ยังมีคนบางคนซึ่งมีอำนาจหน้าที่สอดแทรกอยู่อันหนึ่ง ซึ่งจะคอยทำหน้าที่ร่อนและกลั่นกรองเนื้อหาสาระต่างๆ และกำหนดร่างสิ่งเหล่านั้นเป็นแค็ททะล็อกที่เป็นทางการฉบับหนึ่งของสินค้าต่างๆทางวัฒนธรรม เพื่อตระเตรียมให้การจัดจำหน่ายเป็นไปอย่างราบรื่นของสายพานการผลิตมวลรวมอันนี้ที่ใช้การได้. ไอเดียต่างๆได้ถูกเขียนลงในท้องฟ้าวัฒนธรรม ที่ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ถูกนับรวมไปแล้วในฐานะที่เป็นต้นทุน และอันที่จริงคือตัวเลขต่างๆ ที่ไม่อาจเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงมันได้

วัฒนธรรมยุคอุสาหกรรม สามารถที่จะภาคภูมิใจในตัวของมันเอง ต่อการที่มันได้ปฏิบัติการอย่างมีพลัง โดยการปรับเปลี่ยนความงุ่มง่ามก่อนหน้านั้นของศิลปะไปสู่โลกของการบริโภค, บนการสร้างหลักการอันนี้ขึ้นมา, บนการปลดปล่อยความขบขันอันไร้เดียงสาให้ปรากฎออกมา และปรับปรุงแก้ไขตัวอย่างของสินค้า 000000000 มันก่อให้เกิดความสมบูรณ์กว่าเกิดขึ้น, ไร้ความปรานีมากขึ้น และได้บีบบังคับคนนอกทุกคนเข้าไปสู่ภาวะของการสิ้นเนื้อประดาตัว หรือเข้าไปสู่การรวมตัวกันอย่างใดอย่างหนึ่ง และได้กลายเป็นสิ่งที่ได้รับการขัดเกลาและยกระดับขึ้น - จนกระทั่งมันได้ไปสิ้นสุดที่เป็นการสังเคราะห์กันอันหนึ่งของ Beethoven กับ Casino de Paris

เมื่อวันเวลาได้ผ่านไป อุตสาหกรรมวัฒนธรรมกระทำในสิ่งที่ต่างไปจากขยะเมื่อวันวาน โดยความสมบูรณ์แบบของตัวมันเอง โดยการถีบตัวของมันเองขึ้นมาจากพวกมือสมัครเล่น โดยไม่ยินยอมให้กับความผิดพลาดเซ่อซ่าใดๆหลุดออกมาได้ อุตสาหกรรมวัฒนธรรมมาถึงวันนี้กลายเป็นสิ่งซึ่งมีมาตรฐานของสไตล์อันน่ายกย่อง.

แต่อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมวัฒนธรรมก็ยังคงเป็นธุรกิจบันเทิง. อิทธิพลของมันที่มีเหนือบรรดาผู้บริโภคได้รับการสถาปนาขึ้นมาโดยความบันเทิง ซึ่งในที่สุด จะไม่ถูกทำลายลงได้โดยประกาศิตหรือคำพิพากษาใดๆ เว้นแต่มันจะถูกทำลายลงได้โดยความเป็นปรปักษ์ที่มีอยู่แต่เดิมในหลักการของความบันเทิง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าตัวของมันเอง นั่นคือการสนับสนุน หรือการไม่สนับสนุนของตลาด. เพราะทั้งหมดของอุตสาหกรรมวัฒนธรรม ได้รับการฝังตรึงอย่างลึกซึ้งลงในสาธารณชน โดยกระบวนการทั้งหมดของสังคม, พวกมันจะอยู่รอดได้หรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับตลาดในพื้นที่นี้

อย่างที่ทราบกัน การรวมตัวกันขึ้นมาของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ มันเป็นเพียงระยะสั้นๆก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1, การขยายตัวของมันที่เกิดขึ้นมาได้ก็เพราะการยอมรับและความต้องการของสาธารณชน และการยอมรับนี้มีผลต่อมาถึงตัวเลขในทางธุรกิจ มันเป็นเรื่องของการทำเงินและผลกำไร ซึ่งอันที่จริงสิ่งเหล่านี้เกือบจะไม่ได้รับการคิดว่าจำเป็นเลย ในช่วงวันเวลาแห่งการบุกเบิกเกี่ยวกับกิจการภาพยนตร์

ความคิดเห็นในลักษณะเดียวกันได้รับการยึดถือมาจนกระทั่งทุกวันนี้โดยบรรดาผู้นำทั้งหลายของอุตสาหกรรมภาพยนตร์, ผู้ซึ่งเข้าใจเกณฑ์มาตรฐานของพวกเขา และวัดความสำเร็จกันที่การทำเงินเป็นส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้ "ธุรกิจ"จึงเป็นอุดมการณ์ของนักผลิตวัฒนธรรม

ลัทธิทุนนิยมที่เน้นในเรื่องของการแข่งขัน การทำงานแข่งกับเวลา การผลิตที่มีประสิทธิภาพ ได้ผลักให้ผู้คนตกอยู่ในภาวะของความตึงเครียดในยุคสมัยของเรา มันเป็นช่วงเวลาของการทำงานที่ทอดยาวในแต่ละวัน ด้วยเหตุนี้ หลังจากเลิกงาน เพื่อเป็นการผ่อนคลายจากความตึงเครียด ความอภิรมย์ต่างๆจึงเป็นสิ่งที่คนเราแสวงหาเพื่อปลีกตัวจากภาวะอันนั้น และหนีรอดไปจากกระบวนการกลไกของการทำงาน เพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งที่จะสามารถจัดการกับมันได้อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น แต่ในเวลาเดียวกันนั้น การพักผ่อนหย่อนใจและความสุขของคนๆหนึ่ง, ได้มากำหนดการสร้างสินค้าต่างๆเพื่อความอภิรมย์ด้วย

บ่อยทีเดียว พล็อทเรื่องจะถูกตัดออกไปอย่างจงใจ แทนด้วย ก้าวต่อไปอันเป็นสิ่งที่ผู้เขียนสคริพท์พิจารณาแล้วว่ามันจะให้ผลที่น่าประทับใจมากที่สุดในสถานการณ์นั้นโดยเฉพาะ. ลักษณะที่ซ้ำซากสำหรับสิ่งนั้นทั้งหมด จะมีการทำขึ้นมาอย่างประณีตเพื่อสร้างความประหลาดใจเข้ามาขัดจังหวะแนวเรื่องที่ดำเนินไป.

ในทุกวันนี้ ภาพยนตร์ประเภทนักสืบและการผจญภัยต่างๆไม่ได้ให้โอกาสแก่ผู้ดูอีกแล้วที่จะใช้ประสบการณ์และการแก้ปัญหา. การ์ตูนซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ของเรื่องความคิดเพ้อฝันที่ตรงข้ามกับเรื่องของเหตุผล แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกเขามีพล็อทเรื่องที่ดูเหมือนจะไปด้วยกันอันหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องของการไล่ล่ากันอย่างบ้าคลั่ง, และด้วยเหตุนี้ มันจึงไปคล้ายคลึงกับเรื่องตลกที่เอาไหน ด้วยการใช้ไม้ไล่ตีกันหรือเอาถาดฟาดหัวกันแบบเก่าๆ.

ความบันเทิงเกี่ยวกับความรุนแรง ที่ผู้ดูทั้งหลายต้องทนรับ ซึ่งปรากฏออกมาโดยผ่านตัวละครหรือนักแสดงในภาพยนตร์ได้เปลี่ยนไปสู่ความรุนแรงที่มีต่อผู้ดู, เปลี่ยนการพักผ่อนหย่อนใจไปเป็นการที่ต้องออกแรง. ไม่มีอะไรที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายสร้างขึ้นมาในฐานะที่เป็นตัวกระตุ้นปลุกเร้าจะหลุดรอดไปจากสายตาอันอ่อนล้าได้; จะไม่มีความโง่เขลาใดๆที่ได้รับการยินยอมให้แสดงออกมาในการเผชิญหน้ากับเล่ห์เหลี่ยมต่างๆทั้งหมด; คนดูจะต้องติดตามทุกสิ่งทุกอย่าง และแม้แต่การแสดงออกที่เป็นการตอบโต้อย่างฉลาดที่ได้รับการนำเสนอและชี้แนะในภาพยนตร์นั้น

อุตสาหกรรมวัฒนธรรมได้ทำหน้าที่เบี่ยงเบนจิตใจของผู้คนไป ซึ่งมันได้โอ้อวดเกี่ยวกับสิ่งนั้นออกมาด้วยเสียงอันดัง คำถามจึงเกิดขึ้นมาว่า หากมันเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าวันใดวันหนึ่งสถานีวิทยุส่วนใหญ่และโรงภาพยนตร์จำนวนมากได้ถูกปิดลง, บรรดาผู้บริโภคทั้งหลาย จะสูญเสียอะไรในชีวิตไปหรือไม่ ? คำตอบก็คือ เป็นไปได้มากที่จะไม่ได้สูญเสียอะไรไปมากมายนัก. การเดินข้ามถนนเข้าไปยังโรงภาพยนตร์ในทุกวันนี้ มันไม่ใช่การเข้าไปสู่โลกของความฝันอีกต่อไปแล้ว ทั้งนี้เพราะสถานการณ์เหล่านี้มันไม่ได้ทำให้ต้องมีพันธะผูกพัน หรือจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากมันนั่นเอง ดังนั้นจึงไม่มีแรงกระตุ้นที่ยิ่งใหญ่ใดๆให้ทำอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว

การปิดตัวหรือยุติลงเช่นนั้น จะไม่ก่อให้เกิดปฏิกริยาตามมาที่รุนแรง เช่น ความพินาศย่อยยับของเครื่องจักร. ความไม่สมหวังจะไม่ถูกทำให้รู้สึกมากมายนักโดยผู้ที่คลั่งไคล้ เท่ากับโดยผู้ที่บกพร่องทางสติปัญญาหรือพวกคนโง่, ผู้ซึ่งจะเป็นผู้ที่ได้รับความทุกข์สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้วที่ต้องยุติ หรือถูกทำลายลง ไม่ว่ากรณีใดๆ โดยไม่จำเพาะต้องไปเกี่ยวพันกับสิ่งเหล่านี้เท่านั้น

 

คลิกไปกลับไปหน้าแรกของบทความ( ตอนที่ 1)

กลับไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

 

 

อุตสาหกรรมวัฒนธรรม : ยุคสว่างในฐานะที่เป็นยุคแห่งการหลอกลวงมวลชน
THE CULTURE INDUSTRY :
ENLIGHTENMENT AS MASS DECEPTION


เข้าสู่เนื้อหาเรื่อง "อุตสาหกรรมวัฒนธรรม
" (The Culture Industry)
THEODOR ADORNO AND MAX HORKHEIMER
(from Dialectic of Enlightenment, New York: Continuum, 1993. Originally published as Dialektik der Aufklarung, 1944)

ภาพของสังคมสมัยใหม่โดยทั่วไป ทฤษฎีทางสังคมวิทยาได้เผยให้เห็นว่า ศาสนาที่ตั้งมั่นได้สูญเสียพื้นที่ของตนเองไปแล้วเมื่อก้าวมาสู่ยุคใหม่ มันเป็นการสลายตัวไปของส่วนที่เหลือสุดท้ายของลัทธิก่อนทุนนิยม พร้อมกันนั้นมันได้ให้ภาพถึงความแตกต่างกันทางเทคโนโลยีและสังคม. พัฒนาการของยุคสว่าง, เหตุผล, วิทยาศาสตร์, ภาพของการมีผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ, สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะน้อมนำไปสู่ความสับสนทางวัฒนธรรม และเกิดขึ้นอยู่ทุกๆวัน. โดยเฉพาะในด้านวัฒนธรรม ตอนนี้ดังที่เราได้พบเห็นกัน มันได้ประทับร่องรอยในลักษณะเดียวกันนี้ลงบนทุกๆพื้นที่