ผลงานภาพประกอบดัดแปลง ใช้ประกอบบทความบริการฟรีของ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

R
relate topic
240548
release date

บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ 579 หัวเรื่อง
เกี่ยวกับความลึกลับของฟรอยด์
สมเกียรติ ตั้งนโม : เรียบเรียง
คณะวิจิตรศิลป์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

The Midnight 's article

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ

Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ

หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com

เผยแพร่ เพื่อสาธารณประโยชน์
หากนักศึกษาหรือสมาชิก ประสบ
ปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลดขนาดของ font ลง จะ
สามารถแก้ปัญหาได้

midnightuniv(at)yahoo.com
midnight2545(at)yahoo.com
midarticle(at)yahoo.com
นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจทุกท่าน หากประสงค์จะตรวจดูบทความอื่นๆที่เผยแพร่บนเว็ปไซค์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ท่านสามารถคลิกไปดูได้จากตรงนี้ ไปหน้าสารบัญ
เว็ปไซท์นี้มีการคลิกโดยเฉลี่ยต่อวัน 14119-26256 ครั้ง สำรวจเมื่อเดือนสิงหาคม 47
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนขอขอบคุณ www.thaiis.com ที่กรุณาให้ใช้พื้นที่ฟรีในการเผยแพร่งานวิชาการ เพื่อประโยชน์ต่อสังคม

คลิกไปหน้า homepage มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

ชีวประวัติและการปฏิวัติของฟรอยด์
อีกด้านหนึ่งเกี่ยวกับความลึกลับของฟรอยด์
สมเกียรติ ตั้งนโม : เรียบเรียง
คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

หมายเหตุ: บทความนี้เรียบเรียงมาจากบทที่ 2 เรื่อง Freud's Revolusion
จากหนังสือเรื่อง The Myth of Irrationality : the science of the mind from Plato to Star Trek
เขียนโดย John McCrone
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 13 หน้ากระดาษ A4)





CHAPTER TWO
FREUD'S 'REVOLUSION'
การปฏิวัติของฟรอยด์

ในอีกด้านหนึ่งเกี่ยวกับฟรอยด์
จิตวิทยาถือว่าเป็นศาสตร์ที่ยังเยาว์วัยอยู่มาก อันที่จริงเพิ่งจะมีอายุเพียงร้อยกว่าปีเท่านั้น ในขณะที่ขบวนการโรแมนติคได้กวัดแกว่งอย่างเต็มที่นับเป็นศตวรรษก่อนที่จิตวิทยาจะเริ่มต้นขึ้น ปรัชญาคริสตศาสนาและเพลโตนิคมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้ว ผู้บุกเบิกทั้งหลายทางด้านจิตวิทยาเป็นจำนวนมาก การแบ่งแยกจิตออกเป็นสามส่วนมีมาตั้งแต่ครั้งโบราณ ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรมากไปกว่าสามัญสำนึก จริงแล้วๆ พวกเขาอยู่กับแบบจำลองอันนี้ ซึ่งพวกเขาได้นำเอามันมาใช้ในฐานะที่เป็นจุดเริ่มต้นเกี่ยวกับการสร้างทฤษฎีของพวกเขา และทำความผิดพลาดขึ้นด้วยการพยายามที่จะเปลี่ยนมันไปสู่ความเป็นวิทยาศาสตร์

คนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายที่เถียงแทน หรือเป็นทนายแก้ต่างให้กับเรื่องราวปรัมปราเกี่ยวกับความไร้เหตุผลก็คือ Sigmund Freud. เรื่องเล่าเกี่ยวกับ Freud เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและยังคงอยู่มาโดยตลอด เนื่องมาจากอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ที่เขาได้มีให้กับความคิดในคริสตศตวรรษที่ 20 นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม การทำให้ขาดความเชื่อถือเกี่ยวกับผลงานของ Freud ก็ได้บังเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ทฤษฎีต่างๆของเขายังคงดึงดูดใจต่อปัญญาชนชาวตะวันตก และคำศัพท์ต่างๆที่เขาได้คิดค้นขึ้นมา ก็ยังคงเป็นมาตรฐานซึ่งพวกเราใช้พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องจิตใจกันอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้

Freud เกิดในปี ค.ศ.1856 เขาเป็นลูกชายคนแรกที่ฉลาดหลักแหลมของชาวยิวซึ่งเป็นพ่อค้าขายเสื้อผ้า ช่วงที่เขาเรียนหนังสืออยู่ก็เป็นดาวเด่นของโรงเรียน, Freud ได้แล่นเรือไปเรียนหนังสือต่อที่มหาวิทยาลัยเวียนนา ซึ่งเป็นสถาบันทางการแพทย์ชั้นนำของโลกในช่วงเวลานั้น จนกระทั่งเขาอายุได้ 30 ปี Freud ได้ดำเนินอาชีพไปตามจารีตในด้านประสาทวิทยา

เขาได้ทำการศึกษาระบบประสาทต่างๆของพวกสัตว์ และโรคทางสมองของมนุษย์ ภายใต้การควบคุมของศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียง อย่างเช่น Ernst Brucke และ Theodor Meynert. ดูเหมือนว่า Freud จะเริ่มสร้างชื่อเสียงพอประมาณสำหรับตัวเขาเองขึ้นมาในงานวิจัย และในที่สุดชื่อเสียงของเขาก็ค่อยๆน้อยลงไป แต่มีตำแหน่งอันมีเกียรติ ในฐานะที่เป็นศาสตราจารย์คนหนึ่งขึ้นมาแทน

อย่างไรก็ตามในทางส่วนตัว Freud มีความปรารถนาเล็กๆน้อยๆสำหรับอาชีพอย่างปกติชนทั้งหลาย แต่เขามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสร้างชื่อเสียงของเขาด้วยความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ที่สำคัญยิ่งและน่าตื่นเต้น เขาเคยเขียนไปถึงคู่หมั่นของเขาในปี ค.ศ.1884 ว่า เขากำลังเตรียมพร้อมที่จะให้โชคมาถึงตัว ซึ่งนั่นจะทำให้เขาทั้งคู่มีสถานะของชีวิตที่ดีขึ้น

โชคครั้งแรกที่โถมเข้าหา Freud ซึ่งได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความน่าอึดอัดใจอย่างมากก็คือ ในปี ค.ศ.1880 ตัวอย่างต่างๆเกี่ยวกับการค้นพบใหม่ในเรื่องของยากระตุ้นประเภทโคเคน ที่เพิ่งจะได้รับการสกัดขึ้นมาโดยบรรดานักเคมีชาวเยอรมันจากใบไม้จำพวกโคคา ได้ทำให้เกิดมีการเกาะกลุ่มรวมตัวกันอย่างรวดเร็วเพื่อการค้นคว้าขึ้นโดยทันทีที่อเมริกาใต้

Freud ได้เคยได้ยินเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับว่าชนอินเดียนเผ่า Andean ได้เคี้ยวใบไม้ต่างๆเพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถทำงานได้ยาวนานในทุ่งนามากขึ้น และคิดว่าใบไม้ดังกล่าวอาจจะมีศักยภาพในทางสมุนไพร ดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจทดสอบบางอย่างด้วยตัวของเขาเอง การทดลองของ Freud กับโคเคนได้สร้างความประทับใจอย่างมากต่อตัวเขา และเขาได้กลายเป็นผู้ให้การสนับสนุนหรือโต้แทนเรื่องดังกล่าวอย่างรุนแรงเกี่ยวกับตัวยาอันนี้

ในรายงานชิ้นหนึ่งที่ดูจะเกินไปสักหน่อยในเรื่อง "Uber Coca", ซึ่งตีพิมพ์ขึ้นในปี ค.ศ. 1884, Freud ได้อ้างและยืนยันว่า โคเคนเป็นยาตัวหนึ่งที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับพลังอำนาจวิเศษต่างๆ(near-magical powers) ในไม่ช้า Freud ก็ได้ให้การสนับสนุนยาดังกล่าวในฐานะที่เป็นการรักษาความป่วยไข้ต่างๆ นับตั้งแต่อาการเมาคลื่นจนไปถึงโรคเบาหวานต่างๆ

สำหรับตัวเขา เริ่มต้นรับประทานโคเคนเป็นปกติด้วยตัวของเขาเอง "...เพื่อต่อสู้กับอาการเศร้าซึม(depression)และต่อต้านกับอาการอาหารไม่ย่อย" เขายังได้แนะนำและสั่งยาตัวนี้ให้กับภรรยาในอนาคตและเพื่อนๆของเขาด้วย

การให้การสนับสนุนของ Freud เกี่ยวกับโคเคนทำให้เขากลายเป็นที่สนใจ จนกระทั่งเขาได้กลายเป็นเป็นคนที่ได้รับการถามหา แต่อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์อันนี้จบลงด้วยความเลวร้ายเมื่อทำให้เกิดการติดยาขึ้น และมีผลข้างเคียงในทางที่เป็นพิษปรากฏขึ้นมา. Freud ได้ถูกบีบบังคับให้ถอนตัวออกมาจากความเชื่อมโยงกับเรื่องโคเคนของเขา ในลักษณะที่ค่อนข้างจะเร่งรีบ

ความพยายามในครั้งที่สองของ Freud ที่เป็นความโชคดีได้มาถึงเมื่อตอนที่เขาได้รับการเสนอเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ในการทำวิจัยเป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งทำให้เขามีอิสระที่จะไปและศึกษาอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ อันนี้ได้ทำให้เขาโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางสาธารณชน, Freud ได้ละทิ้งการศึกษาเรื่องสมองที่นำมาดอง และภาพสไลด์ตัวอย่างของห้องทดลองทางประสาทวิทยาของเขาในกรุงเวียนนา และได้ออกเดินทางไปยังกรุงปารีสเพื่อศึกษาโรคฮีสทีเรีย(hysteria - โรคจิตประสาทประเภทหนึ่ง เช่น ความกังวลใจ) ภายใต้การควบคุมของ Jean-Martin Charcot

Charcot เป็นศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับโรคทางสมองที่ the Salpetriere ซึ่งเป็นโรงพยาบาลทางด้านจิตประสาท(asylum)ของปารีส เขามีคนไข้ซึ่งอยู่ในการดูแลซึ่งป่วยเป็นโรคจิตประสาทประเภทฮีสทีเรียจำนวนหนึ่ง บรรดาคนไข้ต่างๆมีทั้งที่มีอาการชักหรือสั่นไปทั่วด้วยความตกใจ, มีอาการเกร็งกล้ามเนื้อจนร่างกายบิดงอ, อาการง่วงไม่รู้สึกตัว, และอ่อนเปลี้ยเป็นอัมพาต

ด้วยประโยชน์ของการเข้าถึงปัญหาที่ซ่อนเร้นอยู่ทางด้านการแพทย์ แพทย์สมัยใหม่มาถึงตอนนี้ เชื่อถือว่าคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคฮีสทีเรียของ Charcot เป็นผู้ที่ได้ประสบกับภาวะที่ผิดเพี้ยนของระบบประสาท - การรบกวนทางด้านจิตใจอย่างรุนแรง ที่เป็นความตื่นเต้นทางด้านอารมณ์โดยฉับพลันในรูปแบบที่รุนแรง สามารถก่อให้เกิดผลในลักษณะที่สูญเสียความสำนึกได้ แต่ในรูปแบบที่เบากว่านั้นสามารถที่จะนำพาไปสู่อาการโรคต่างๆ อย่างเช่น โรคที่แสดงออกมาโดยคนไข้ต่างๆของ Charcot

แต่อย่างไรก็ตาม Charcot เชื่อว่าปฏิกริยาทางอารมณ์ที่รุนแรงอย่างปัจจุบันทันด่วนต่างๆเป็นสิ่งที่พิเศษ ซึ่งได้มีมูลเหตุมาจากทุกสิ่งทุกอย่าง ยิ่งกว่าความบ้าที่มารบกวนบางอย่างซึ่งเกิดขึ้นในจิตระดับลึก - ยกตัวอย่างเช่น เป็นไปได้ว่าเป็นผลอันเนื่องมาจากความผิดหวังหรือขัดข้องทางเพศ(sexual frustration) หรืออาการเลือดคั่งของการมีประจำเดือน"

Freud รู้สึกงุนงงและประหลาดใจ โดยการแสดงออกเกี่ยวกับอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อของคนไข้ ที่ป่วยเป็นโรคฮีสทีเรียของหมอ Charcot. สำหรับ Freud ปฏิกริยาทางอารมณ์ที่รุนแรงอย่างปัจจุบันทันด่วนทั้งหลายเหล่านี้ คืออาการที่ปรากฏขึ้นเพียงแวบเดียวครั้งแรกของเขาเกี่ยวกับพลังอำนาจที่ซ่อนเร้นของจิตไร้สำนึก

เขาได้หวนกลับไปสู่กรุงเวียนนาในปี ค.ศ.1886 อย่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และได้เสนอรายงานที่เร้าอารมณ์เกี่ยวกับผลงานของหมอ Charcot ให้กับสมาคมแพทย์ของเมืองฟัง แต่คำพูดของเขากลับได้รับการต้อนรับอย่างน่าสงสาร บรรดานายแพทย์ของกรุงเวียนนาต่างก็คุ้นเคยกันอยู่แล้วกับคนไข้ต่างๆของหมอ Charcot และเข้าใจว่าอาการป่วยด้วยโรคฮีสทีเรียของพวกคนไข้เหล่านั้น เป็นไปได้ที่ว่าจะเป็นเรื่องของอวัยวะค่อนข้างมากกว่ามูลเหตุทางด้านจิตวิทยา

Freud กลับมาจากการประชุมด้วยความรู้สึกที่ว่า เขาได้รับการดูถูกเหยียดหยามโดยคนที่มีอำนาจสูงและเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ทั้งนี้เพราะความคิดต่างๆของเขานั้น มันเป็นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มากนั่นเอง ภายหลังต่อมา เขาจะต้องมองว่าการเสนอรายงานและการพูดคุยกันครั้งนี้ คือเครื่องหมายของการเริ่มต้นเกี่ยวกับความอาฆาตพยาบาทจนตลอดชีวิตกับสมาชิกที่มีจิตใจอันคับแคบของสถาบันทางการแพทย์ของกรุงเวียนนา

โดยไม่คำนึงถึงความล้มเหลวในหนที่สองอันนี้ Freud ไม่ได้รู้สึกท้อถอยกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เกือบจะโดยทันทีนั้น เขาก็ได้กระโดดพรวดเข้าไปอย่างกระตือรือร้นเป็นหนที่สาม. Josef Breuer นายแพทย์คนหนึ่งที่น่านับถือและเป็นเพื่อนของ Freud ได้พยายามที่จะทำการรักษาคนไข้ที่มีพฤติกรรมผิดปกติคนหนึ่ง ด้วยวิธีการสะกดจิต(hypnosis) Breuer เชื่อว่าผู้หญิงที่มีอายุ 21 ปีที่ชื่อ Bertha Pappenheim (ซึ่งรู้จักกันในนามทางด้านวิธีการทางจิตวิเคราะห์ว่า Anna O.) กำลังประสบกับการล้มป่วยด้วยโรคฮีสทีเรีย ซึ่งเกิดขึ้นมาโดยการได้พยาบาลพ่อของเธอที่กำลังจะตาย

ขณะที่ Pappenheim ได้มีโอกาสดูแลพ่อของเธอ ภายหลังที่พ่อของเธอได้ล้มป่วยลงเป็นเวลาหลายเดือน เธอได้พาตัวเองไปที่เตียงด้วยอาการโรคที่แปลกๆหลายอย่าง ซึ่งอาการดังกล่าวมีทั้งอาการอัมพาต, อาการประสาทหลอน, อาการทางด้านอารมณ์ที่ตื่นเต้น และพูดไม่ได้

Breuer มีความมั่นใจว่า Pappenheim กำลังแกล้งทำเป็นป่วยเพื่อที่จะปิดบังซ่อนเร้นความรู้สึกเจ็บปวดชอกช้ำ แต่อีกคำรบหนึ่งในเรื่องเกี่ยวกับการเข้าถึงปัญหาที่ซ่อนเร้น บรรดานักเขียนเรื่องราวทางการแพทย์สมัยใหม่ อย่างเช่น Henri Ellenberger ได้บอกกล่าวเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องนี้ในหนทางที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

พ่อของ Bertha Pappenheim กำลังจะตายลงด้วยโรควัณโรค(tuberculosis) และปรากฎว่าเธอก็ป่วยด้วยโรคดังที่กล่าวมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย. แต่แทนที่จะติดต่อวัณโรคปอด เธอได้พัฒนารูปแบบของการติดโรคที่ไม่ค่อยจะพบเห็นมากนักยิ่งขึ้น - ซึ่งหนึ่งในอาการดังกล่าวก็คือผลกระทบที่มีต่อสมอง. อันนี้น่าจะเป็นมูลเหตุอาการโรคทั้งหมด, Breuer อธิบาย และเป็นเหตุผลต่างๆทางด้านกายภาพ ไม่ใช่เป็นเรื่องของจิตแต่อย่างใด

ดังที่ได้มีการเปิดเผยในบันทึกรายงานของเขาเกี่ยวกับกรณีนี้ อันที่จริงแล้ว Breuer ได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่ว่า คนไข้ของเขานั้นอาจจะทุกข์ทรมานจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ แต่เขาล้มเลิกที่จะวินิจฉัยหรือการตรวจอันนี้ไป โดยกล่าวว่า อาการโรคต่างๆของเธอนั้นค่อนข้างที่จะประหลาดมาก(สิ่งที่น่าประหลาดใจมากที่สุดของอันนี้คือว่า Peppenheim ได้สูญเสียความสามารถในการพูดภาษาเยอรมันไป เมื่อเธอล้มตัวลงนอนในเย็นวันหนึ่ง และสามารถพูดได้แต่ภาษาอังกฤษเท่านั้น)

การผลักดันอย่างรุนแรงในความเชื่อดังกล่าวที่ว่า เขากำลังเกี่ยวข้องกับคนไข้ที่มีอาการฮีสทีเรีย, Breuer ได้ทำการสะกดจิต Peppenheim และพยายามที่จะทำให้เธอพูดถึงความทรงจำต่างๆที่ถูกเก็บเอาไว้ออกมา ซึ่งเขาคิดว่าจะต้องเป็นปัญหาความยุ่งยากต่างๆของเธอ

Freud รู้สึกหลงใหลต่อวิธีการรักษาของ Breuer และได้ติดตามกรณีดังกล่าวอย่างกระชั้นชิด เขาได้รับเอาความคิดดังกล่าวเกี่ยวกับการรักษาด้วยการพูดคุย(talking cure)มาใช้สำหรับตัวเอง และในท้ายที่สุดได้ชักชวน Breuer อย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนักให้พิมพ์หนังสือร่วมกันขึ้นมาเล่มหนึ่ง เกี่ยวกับการค้นพบอันยิ่งใหญ่นี้

ในหนังสือเรื่อง Studies in Hysteria ของ Freud และ Breuer, กรณีของ Bertha Pappenheim ได้รับการยกย่องในฐานะที่เป็นการรักษาโดยวิธีการทางด้านจิตวิเคราะห์ขึ้นมาเป็นครั้งแรก และได้รับการอ้างว่า คนไข้ได้รับการบำบัดเกี่ยวกับความทรงจำต่างๆในวัยเด็กที่เจ็บปวดบางอย่าง สิ่งคั่งค้างทั้งหลายได้ถูกดึงกลับมาสู่แสงสว่างในระดับจิตสำนึก

ในความเป็นจริง ข้อเท็จจริงค่อนข้างที่จะแตกต่างไปเลยทีเดียว ดังที่ Ellenberger และคนอื่นๆได้ค้นพบ โดยการตรวจสอบบันทึกรายงานทางการแพทย์เดิมๆ กล่าวคือสภาพเงื่อนไขของ Pappenheim อันที่จริงแล้ว เลวลงในช่วงระหว่างการรักษาของ Breuer. การบำบัดของเขาได้รับการยุติลงเมื่อ Pappenheim กลายสภาพเป็นคนที่ป่วยหนักมากยิ่งขึ้น ซึ่งต่อมาเธอได้ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลผู้ป่วยเรื้อรังที่สวิสส์(Swiss sanatorium) และหลังจากนั้นต้องใช้เวลาถึง 4 เดือนกว่า สำหรับอาการป่วยของเธอที่จะบรรเทาลงได้ และอาการที่เลวลงเกี่ยวกับโรคต่างๆของเธอนั้นก็หดหายไป

หลายปีหลังจากการรักษาด้วยการคาดคะเนเอาเองของ Breuer, Pappenheim ยังคงทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดจากการปวดประสาท ซึ่งทำให้ได้รับความทรมานอย่างรุนแรงต่อมา. Freud ได้ทราบถึงรายละเอียดอย่างบริบูรณ์เกี่ยวกับกรณีของ Pappenheim กระนั้นก็ยังคงเลือกที่จะแสดงออกถึงเรื่องนี้ในฐานะที่เป็นตัวอย่างการรักษาแบบหนึ่ง และใช้มันเป็นกระดานดีดตัว(springboard) เพื่อที่จะเหวี่ยงตัวเขาเองไปสู่งานอาชีพในการบำบัดด้วยวิธีการทางจิตวิเคราะห์ของเขา

รวดเร็วเท่าที่เขาสามารถที่จะทำได้ Freud ได้แยกตัวเองจากงานประจำของเขาที่คลีนิคคนไข้นอกที่เป็นเด็ก และเริ่มต้นทำงานส่วนตัวซึ่งเขาสามารถที่จะทำการบำบัดรักษาคนไข้ที่เป็นโรคฮีสทีเรีย และได้นำเอาวิธีการทางด้านโรคประสาทมาใช้ นั่นคือการรักษาด้วยการพูดคุย

บางที ความรู้สึกผิดเกี่ยวกับวิธีการบำบัดรักษาในกรณีของ Pappenheim จะปรากฏผลขึ้นมา Breuer ได้สูญเสียความสนใจในการรักษาที่เขาได้ประดิษฐ์ขึ้นมานี้ไป และในท้ายที่สุดเขาก็แตกหักกับ Freud. ต่อมาภายหลัง Breuer ได้วิจารณ์และแสดงความคิดเห็นอย่างเคร่งขรึมว่า Freud เป็นคนที่มีนิสัยชอบในเรื่องสูตรสำเร็จต่างๆและชอบผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว อันนี้เป็นความปรารถนาในเชิงจิตวิทยาอันหนึ่ง ซึ่งในความคิดเห็นของผม ได้นำไปสู่การวางหลักเกณฑ์มากจนเกินไป

Freud ยอมรับในคำพูดดังกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน เขาได้ละทิ้งวิธีการสะกดจิตไปในฐานะที่เป็นวิธีการอันหนึ่งเกี่ยวกับคนไข้ที่มีอาการเสื่อมถอย, โดยกล่าวว่า เขาได้ค้นพบว่ามันไว้วางใจไม่ได้ และได้พัฒนาเทคนิคของเขาเองขึ้นมาแทน เกี่ยวกับการวิเคราะห์ที่วางอยู่บนรากฐานของความสัมพันธ์กันอย่างอิสระและการตีความเกี่ยวกับความฝันต่างๆ

ในทศวรรษถัดมา Freud ได้นั่งในตำแหน่งหัวโต๊ะของวิธีการทางจิตวิเคราะห์ และค่อยๆพัฒนาแบบจำลองอันหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องของจิตใจขึ้นมา ซึ่งจากการเปิดเผยต่างๆ เขาได้บอกกับเราว่า เขาได้รับมาจากคนไข้ต่างๆนั่นเอง

ในการพิจารณาแบบจำลองเกี่ยวกับเรื่องจิตของ Freud เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องตระหนักว่า Freud ไม่ใช่เป็นผู้ปฏิวัติในเรื่องทั้งหมด ดังที่ชีวประวัติของเขาเป็นจำนวนมากบอกเอาไว้อย่างนั้น อันที่จริงแล้ว ทัศนะเกี่ยวกับเรื่องจิตใจที่อยู่ข้างใต้ทฤษฎีต่างๆของเขานั้น มีรากมาจากขบวนการโรแมนติคโดยตลอด ซึ่งได้เริ่มต้นมากว่าร้อยปีแล้ว

ในช่วงเวลานั้น เพื่อนร่วมงานที่กรุงเวียนนาของเขาได้มีความเข้าใจไปมากแล้วในเรื่องของโครงสร้างเกี่ยวกับระบบประสาทของสมอง และเรื่องราวเกี่ยวกับองค์ประกอบธรรมชาติของโรคจิตต่างๆ ส่วนตัวของ Freud เองนั้น ความคิดของเขาได้หวนกลับมาสู่เรื่องทางแพทย์ในอดีตที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์

น้อยมากสำหรับ Freud ที่จะยอมรับว่าเป็นหนี้บุญคุณในเรื่องที่ว่า ผลงานของเขานั้นเป็นหนี้ต่อขนบประเพณีแบบโรแมนติค - แม้ว่าเขาจะยอมรับว่า มันเป็นเพราะความเรียงของ Goethe ในเรื่อง "An Ode to Nature" ซึ่งได้ให้แรงดลใจแก่เขาให้หันมาสนใจในเรื่องทางการแพทย์ขึ้นมาเป็นครั้งแรก แต่อย่างไรก็ตาม คนอื่นๆอย่างเช่น Lancelot Whyte และ Ernest Gellner ได้แสดงให้เห็นว่า มันมากมายขนาดไหนที่ Freud ได้รับอิทธิพลมาจากปรัชญาของ Nietzche และ Schopenhauer

แนวความคิดเกี่ยวกับเจตจำนงที่ไร้เหตุผลและเร่าร้อนเดือดพล่านของนักปรัชญาทั้งสอง มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากกับทัศนะของ Freud เกี่ยวกับจิตไร้สำนึกที่ฝังแน่นในเรื่องเพศ(sex-obsessed unconscious). ลักษณะเฉพาะบางอย่างในเรื่องพลังและความเคลื่อนไหวของของเหลวในทัศนะของ Freud เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ - ซึ่งเป็นที่ที่แรงกระตุ้นของจิตไร้สำนึกอันดำมืดได้ทะลักออกมาในจิตใจ และถ้าหากว่ามันถูกเก็บกดไม่ให้ได้มีโอกาสแสดงออก ก็จะเป็นมูลเหตุทางจิตให้ต้องไหลทะลักออกมาตามรูรั่วในที่ต่างๆ - ซึ่งความคิดทำนองนี้ได้มาโดยตรงจากขนบประเพณีของโรแมนติค

ความคิดเกี่ยวกับเรื่องจิตใจในฐานะที่เป็นพลังงานของของเหลว สามารถนับย้อนกลับไปได้ถึงขบวนการเคลื่อนไหวแบบ Naturphilosophie, ศาสตร์ในยุคโรแมนติคที่สร้างขึ้นมาโดย Friedrich Schelling ซึ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นในช่วงครึ่งแรกของคริสตศตวรรษที่ 1800s, และก่อนหน้านั้น ซึ่งสามารถจะนับย้อนกลับไปหาต้นตอได้ถึง Aristotle

อย่างที่ทราบ Aristotle ได้พัฒนาวิชาสรีรศาสตร์ทางด้านจิตใจขึ้นมา บนพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องของเหลวทั้ง 4 - ได้แก่ เลือด, น้ำเมือก, น้ำดีสีเหลือง, และน้ำดีสีดำ. ดุลยภาพที่แตกต่างของของเหลวเหล่านี้จะก่อให้เกิดสภาวะทางอารมณ์ที่ต่างกันออกไป. Aristotle ยังมองเรื่องของวิญญานด้วยว่า เป็นพลังชีวิตซึ่งอยู่ในรูปของสารละลาย ซึ่งได้ทำให้เกิดมีการรับรู้ของพวกสัตว์ชั้นต่ำทั้งหลาย, และในรูปแบบที่ยกระดับขึ้นมาหรือสูงขึ้น ทำให้มีสำนึกในเรื่องตัวตน และการรับรู้เชิงเหตุผลของมนุษย์ทั้งหลาย

ทฤษฎีต่างๆของ Aristotle เกี่ยวกับของเหลวทั้งหลายซึ่งเป็นพลังของชีวิต กลายเป็นส่วนหนึ่งของความคิดตะวันตกโดยผ่านงานเขียนหลายชิ้นทางด้านการแพทย์ของ Gelen, นายแพทย์ชาวกรีกในศตวรรษที่สอง. ในขณะที่แบบจำลองเกี่ยวกับเรื่องของจิตใจของ Plato ได้พันรอบและโอบกอดอยู่กับความเชื่อของคริสเตียน ซึ่งได้กลายมาเป็นทฤษฎีทางด้านจิตที่มีอิทธิพลของตะวันตก

ความคิดต่างๆของ Aristotle ได้กลายเป็นสาระสำคัญลำดับรองที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวปรัมปราอันคลุมเครือ ซึ่งได้แสดงตัวของมันเองออกมาส่วนใหญ่ ในความคิดของบรรดานายแพทย์ทั้งหลายในสมัยกลางและสมัยเรอเนสซองค์ ความคิดของ Aristotle เกี่ยวกับพลังชีวิตที่ซัดสาดไปๆมาๆ(ขึ้นๆลงๆ) และของเหลว 4 ประเภทของร่างกาย ได้ให้คำอธิบายทางด้านกายภาพอันหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องของจิตใจ ซึ่งได้มาเติมเต็มให้เกิดความสมบูรณ์แก่ความคิดในเชิงเมตาฟิสิกส์(อภิปรัชญา)ของ Plato ในเรื่องเกี่ยวกับมนุษยชาติที่ว่า มนุษย์คือสิ่งที่อยู่ในภาวะดุลยภาพ หรืออยู่ครึ่งกลางระหว่างความเป็นสัตว์และความเป็นพระเจ้า

จากอิทธิพลของ Aristotle บรรดานักกายวิภาคทางการแพทย์ในสมัยเรอเนสซองค์มีความเชื่อว่า เครือข่ายการทำงานของประสาทต่างๆที่ผูกโยงกับร่างกาย ตามข้อเท็จจริงนั้น ก็คือท่อลำเลียงที่ส่งพลังของจิตวิญญานสัตว์ให้ไหลเวียนลงไป. ในส่วนของโพรงของสมอง - ระบบหนึ่งของห้องต่างๆที่บรรจุของเหลวซึ่งอยู่กึ่งกลางของซีกสมองส่วนที่เรียกว่า cerebral - ได้รับการมองว่าเป็นที่ตั้งของจิตสำนึก

การเปรียบเทียบความคล้ายคลึงกันกับท่อน้ำอันนั้น ได้ทำให้เกิดความนิยมแพร่หลายขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ด้วยการเกิดขึ้นมาของขบวนการเคลื่อนไหวของ Naturphilosophie ซึ่งพยายามที่จะสร้างศาสตร์ใหม่ขึ้นมาบนรากฐานความเชื่อที่ว่า มีโลกแห่งวิญญานที่ร่วมกันอันหนึ่ง(weltseele) ที่เชื่อมต่อกับรูปแบบต่างๆทั้งหมดของชีวิตในรูปแบบที่บริสุทธิ์จริงๆของมัน วิญญานโลกอันนี้ได้ไหลทะลักเข้าไปสู่ร่างกายของมนุษย์ และได้ก่อให้เกิดความสำนึกทางด้านเหตุผลขึ้น

Naturphilosophie ได้จับเอาจินตนาการของสาธารณชน ด้วยการสอดแทรกเรื่องราวในทางศาสนาเข้าไป… แต่ในฐานะที่เป็นวิทยาศาสตร์ ขบวนการอันนี้ในไม่ช้าก็กลายมาเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือไป. แน่นอน นับเวลามาก่อนหน้าที่ Freud จะเริ่มต้นการศึกษาต่างๆทางการแพทย์ของเขาในปีทศวรรษที่ 1870s, มันเป็นที่รู้กันมากพอเกี่ยวกับเรื่องของระบบประสาทที่จะทำการอุปมาอุปมัยในเรื่องของจิตกับน้ำที่ขับเคลื่อน ซึ่งออกจะล้าสมัยไปแล้ว

อันที่จริง Freud กำลังทำการศึกษาภายใต้อิทธิพลของบรรดานักสรีรวิทยาโดยเฉพาะ ผู้ซึ่งได้ขจัดเรื่องราวทางการแพทย์ในแบบโรแมนติคทิ้งไปแล้ว แต่กระนั้น ภาพลักษณ์ของผู้ปรุงในเรื่องความกดดันทางจิตคนหนึ่ง ได้กลายมาเป็นรากฐานทฤษฎีต่างๆของ Freud

ภาพของชายคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ ในช่วงปีทศวรรษ 1890s เพื่อสร้างแบบจำลองทางด้านจิตวิเคราะห์เกี่ยวกับจิตใจ ไม่ใช่ภาพที่ยกยอหรือดูเกินความเป็นจริงไปนัก Freud ได้แสดงตัวของเขาเองในฐานะนักศึกษาที่มีความสามารถคนหนึ่ง และได้ประสบโชคที่ได้ทำงานในกรุงเวียนนาในช่วงเวลาที่เมืองๆนี้กำลังเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์สมัยใหม่พอดี แต่ Freud ก็ได้แสดงให้เห็นถึงภาพของคนที่ถูกหลอกง่าย, การไม่สนใจต่อความทะเยอทะยาน, และความไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องรายงานเกี่ยวกับการรักษาต่างๆ ที่มีการวางเครื่องหมายคำถามเอาไว้สำหรับการผจญภัยเพียงลำพังของเขา

มันเป็นหลักฐานที่ดีชิ้นหนึ่ง ซึ่งปัญหาต่อมาสำหรับ Freud ก็คือ เขาได้กลายเป็นคนที่ติดยาเสพติดประเภทโคเคน ซึ่งเขาได้เคยทดลองใช้มาในช่วงแรกๆ บุคลิกภาพของ Freud ในช่วงระหว่างเวลาดังกล่าว ได้แสดงให้เห็นถึงอาการโรคของการใช้โคเคนมากจนเกินไป

อาการโรคได้สอดแทรกเข้าไปในการปะทุที่ยิ่งใหญ่ต่างๆ เกี่ยวกับกิจกรรมที่ซึ่งได้ติดตามมาด้วยภาวะที่ตกต่ำดำมืดหลายครั้งด้วยกัน เขามีอาการกังวลอย่างรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องเพศซึ่งโคเคนได้เป็นตัวกระตุ้น และจากการวินิจฉัยข้อคิดเห็นต่างๆในจดหมายหลายฉบับของเขา เขามีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศด้วย ซึ่งเป็นผลข้างเคียงอันหนึ่งเกี่ยวกับการใช้ยาเสพติดอย่างรุนแรงนั่นเอง

นอกเหนือจากนี้แล้ว ปรากฎว่า Freud ยังทุกข์ทรมานจากอาการพารานอยด้วย(ภาวะจิตบกพร่องที่มีอาการหวาดระแวงหลงผิด คิดว่าคนอื่นจะมาทำร้ายตน) ซึ่งนั่นเป็นอาการร่วมอีกอันหนึ่งของการใช้โคเคนมากจนเกินไป - Freud ยังเป็นคนที่มีชื่อเสียงในหนทางที่ชอบตัดเยื่อใยสัมพันธ์อย่างฉับพลันทันทีกับเพื่อนสนิทเป็นจำนวนมาก และความเชื่อมั่นของเขาที่ว่าโลกใบนี้ช่างต่อต้านหรือสวนทางกับเขา และทฤษฎีต่างๆของเขาเสียเหลือเกิน

ในท้ายที่สุด Freud ได้รับความทุกข์ทรมานจากลักษณะอันหลากหลายของความไม่สบายทางกาย ซึ่งเกี่ยวพันกันกับโคเคน อย่างเช่น ความผิดปกติของหัวใจ, อาการหน้ามืดเป็นลมอย่างปัจจุบันทันด่วน, และอาการเยื่อจมูกอักเสบ เป็นต้น

ไม่ต้องโต้เถียงกันเลยว่า Freud ได้ใช้โคเคนในขณะที่กำลังสร้างทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของเขาอยู่ - แม้แต่ในชีวประวัติส่วนตัวที่เป็นทางการของเขา Ernest Jone ก็ได้พูดถึงข้อเท็จจริงอันนี้ ปัญหาคือว่า การติดยาเสพติดดังกล่าวมันมีอิทธิพลมากเพียงใด ที่มีผลต่ออัตลักษณ์ของ Freud และต่อไอเดียหรือความคิดต่างๆที่เขาได้พัฒนาขึ้น

บางคนเสนอว่า การที่ติดโคเคนเป็นเหตุผลซึ่งอธิบายว่า ทำไมไอเดียหรือความคิดต่างๆเกี่ยวกับเรื่องของพลังทางเพศ จึงมีอิทธิพลเด่นออกมาในทฤษฎีต่างๆของเขา และยังรวมไปถึงความมั่นใจในเรื่องขององค์ Messiah(ผู้ที่จะมาโปรดโลก)ด้วย ซึ่งเขามีแนวโน้มที่จะอ้างเหตุผลสนับสนุนกรณีนี้ของเขา

แบบจำลองเรื่องจิตใจของ Freud ค่อนข้างที่จะสลับซับซ้อน และได้มีการปรับปรุงแก้ไขอยู่หลายครั้ง แต่โดยพื้นฐานแล้ว เหตุผลข้อสรุปของเขาก็คือ จิตใจของคนเรานั้น สามารถที่จะแบ่งได้ออกเป็น 3 ส่วนด้วยกันคือ, (1) id, (2) ego, และ (3) super-ego

id คือจิตไร้สำนึกดั้งเดิม, ต้นตอของพลังงานที่ขับดันบุคลิกภาพทั้งหมด ในเทอมของเรื่องราวปรัมปราของความไร้เหตุผล, id คือ หลุมบ่อหรือปรักตมแห่งความไร้ศีลธรรม และความปรารถนาอันปราศจากเหตุผล(a pit of amoral and illogical desire)

ในขณะที่ id พลุ่งพล่านไปๆมาๆในความลึกที่ไม่อาจมองเห็นได้ของมัน, ego คือความรับรู้ในเรื่องตัวตน(self-aware)และส่วนที่เกี่ยวกับเหตุผลของจิตใจ. ego ได้รับการบรรจุให้มีกลไกการปกป้อง ที่จะนำเอาพลังแห่งความมืดมนของ id มาทำการตรวจสอบ

แต่อย่างไรก็ตาม พลังที่เดือดพล่านของ id ในบางโอกาสมันจะสามารถทำลายหรือฝ่าฝืนกลไกป้องกันเหล่านี้ และสามารถที่จะฝ่าอุปสรรคทะลุทะลวงไปสู่การรับรู้ได้ แสดงตัวของมันเองออกมาด้วยพฤติกรรมที่ไร้เหตุผลและดูออกจะประสาทๆ

ส่วนประกอบอันที่ 3 ของจิตใจก็คือ super-ego ในส่วนนี้ Freud ได้มอบหน้าที่ให้เป็นเรื่องของความสำนึกทางศีลธรรมของคนๆหนึ่ง Freud เชื่อว่า super-ego ได้รับการสร้างขึ้นมาจากขนบธรรมเนียมและมาตรฐานต่างๆของพ่อแม่ และสุภาพชนที่เป็นแบบอย่างทั้งหลาย หลักเกณฑ์ทางศีลธรรมอันนี้ได้จมลงสู่จิตไร้สำนึก

ในบางแง่มุม การแบ่งแยกอันนี้เกี่ยวกับเรื่องของจิตในลักษณะสัญชาตญานเดิมๆ(id), การรับรู้เกี่ยวกับตัวตน(ego) และสติรู้รับผิดชอบ-คุณธรรม(super-ego) อาจจะเป็นการเริ่มต้นที่มีเหตุมีผลสำหรับทัศนะใหม่เกี่ยวกับเรื่องของจิตใจ ไม่เหมือนกับเรื่องราวตามขนบประเพณีของปกรณัมโบราณเกี่ยวกับความไร้เหตุผล, Freud มิได้กำลังอ้างถึงแง่มุมใดๆของจิตใจว่าเป็นเรื่องของสิ่งที่เหนือธรรมชาติหรือพระผู้เป็นเจ้า

ในส่วนของ super-ego, Freud ได้สงวนที่เอาไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นสำหรับเรื่องอิทธิพลที่หล่อหลอมขึ้น ซึ่งสังคมมีต่อจิตใจของมนุษย์. Freud ได้ขยายแบบจำลองที่ธรรมดาอันนี้ให้ยาวและมีความบริบูรณ์มากขึ้น ด้วยศาสตร์ที่เกี่ยวกับอารมณ์ร้ายอันยุ่งเหยิง(demonology)ของแรงกระตุ้นทางเพศ(sexual urges) ซึ่งออกจะสลับซับซ้อนและถูกกดเอาไว้ และทำให้ระบบทั้งหมดเป็นพลังงานของของเหลวที่ผิดพลาดอันหนึ่ง

สำหรับ Freud เรื่องเพศ - หรือสิ่งที่เขาเรียกขานมันว่า libido - เป็นต้นตอกำเนิดของพลังงานทางจิตทั้งหมด; การครอบงำแรงขับอันหนึ่งซึ่งอยู่ข้างหลังการกระทำทุกๆอย่าง. ยิ่งไปกว่านั้น Freud อ้างว่า พลังอันเต็มเปี่ยมของความปรารถนาทางเพศที่ได้ประสบมาด้วยตนเอง ไม่เพียงแต่มีอยู่ในวัยที่โตเต็มที่แล้วเท่านั้น แต่นับจากชั่วขณะที่คนๆหนึ่งเกิดขึ้นมาเลยทีเดียว

ความเชื่ออันนี้ที่ว่า พลังทางเพศพยายามแสดงถึงแรงกดดันอย่างต่อเนื่องกับความสำนึก จากช่วงขณะของการเกิด ซึ่งอันนี้ได้นำทาง Freud ไปสู่ทัศนะที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับการพัฒนาการในช่วงวัยเด็ก. Freud อ้างถึงเด็กๆทุกคนว่าจะต้องผ่านขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศชุดหนึ่ง(erotic stages) เริ่มต้นด้วย, การเพ่งความสนใจเกี่ยวกับเรื่องเพศ

ขั้นแรกก็คือ ปากและท่าทีเกี่ยวกับการดูดนม ถัดจากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องของทวารหนัก และการควบคุมเกี่ยวกับการขับถ่าย ก่อนที่จะตั้งมั่นในเขตแดนของความถูกต้อง เป็นผู้ใหญ่ที่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ ปัญหาต่างๆทางจิตถูกคิดว่ามีมูลเหตุมาจากความก้าวหน้าในขั้นตอนต่างๆของความเป็นเด็ก ซึ่งได้ยึดติดอยู่กับขั้นใดขั้นหนึ่งของการพัฒนามาตั้งแต่วัยเยาว์เหล่านี้

อีกประการหนึ่ง Freud อ้างว่า ในช่วงอายุ 4-5 ขวบ เด็กๆทุกคนจะต้องประสบกับสิ่งที่เขาเรียกมันว่าวิกฤติการออดิพัส(oedipal crisis) กล่าวคือ เด็กผู้ชายทั้งหลายได้รับการกล่าวว่า รู้สึกถึงแรงกระตุ้นที่เป็นสากลอันหนึ่ง ที่จะมีความสัมพันธ์ทางเพศกับแม่ของพวกเขา และเด็กผู้หญิงก็ต้องการที่จะเป็นเจ้าของพ่อของพวกเธอเช่นเดียวกัน

การกังวลถึงคู่แข่งที่เป็นพ่อและแม่ของพวกเด็กๆ ว่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกผิดจากการร่วมประเวณีกับพ่อแม่ของตนเหล่านี้ เด็กๆทั้งหลายจึงนึกหรือเข้าใจเอาเองและกลัวว่าจะถูกตอน(ตัดอวัยวะเพศ) หรือในกรณีของเด็กผู้หญิงได้รับการทึกทักว่า การตอนนั้นได้เกิดขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงนำไปสู่ความสลับซับซ้อนที่พิเศษของพวกเธอเกี่ยวกับการอิจฉาองคชาติของชาย ซึ่งพวกเธอต้องการที่จะเอาส่วนที่ขาดหายไปอันนี้ของพวกเธอกลับคืนมา

ความเป็นผู้ใหญ่จะยังไม่เกิดขึ้น จนกว่าพวกเด็กๆจะจัดการแก้ปัญหาหรือละลายวิกฤติการอันนี้ได้แล้วเท่านั้น โดยการสร้างผนังกำแพงก่ออิฐเกี่ยวกับความอดกลั้นหรือการข่มจิตรอบๆความกลัวและความปรารถนาของพวกเขา ซึ่งพวกเขาและเธอสามารถที่จะพัฒนาต่อไปเป็น super-ego ที่เหมาะสมอันหนึ่ง และกลายไปเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นปกติ

Freud รู้สึกว่าการค้นพบของเขาเกี่ยวกับเรื่องออดิพัสคอมเพล็กส์(Oedipus complex), และสิ่งที่คู่กันในฝ่ายหญิงก็คือ, อิเล็คตร้าคอมเพล็กซ์(Electra complex)(ปกรณัมโบราณของกรีก - Elactra คือบุตรีของ Clytemnestra และ Agamemnon ผู้ซึ่งร่วมกับน้องชายของเธอที่ชื่อว่า Orestes ทำการแก้แค้นการฆาตกรรม Agamemnon โดยการฆ่าแม่ของพวกเขาและคนรักของแม่, Aegisthus)เป็นการประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด - "การค้นพบนี้เหมาะกับที่จะนำมาคู่เคียงกับการค้นพบเรื่องไฟฟ้า และการคิดประดิษฐ์ล้อขึ้นมาเลยทีเดียว" อย่างที่นักวิจารณ์คนหนึ่งพูดเอาไว้

แต่อย่างไรก็ตาม หลักฐานต่างๆที่ Freud ได้รวบรวมขึ้นมาเพื่อสนับสนุนความคิดทั้งหลายของเขา เกี่ยวกับความสลับซับซ้อนในเรื่องเพศของเด็กๆ ก็อ่อนแออย่างที่สุดเหมือนกัน. ส่วนใหญ่มันต้องพึ่งพาอาศัยความสามารถของ Freud ในการคาดเดาอย่างถูกต้องเกี่ยวกับความหมายอันลึกลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความฝันต่างๆ การเชื่อมโยงของถ้อยคำทั้งหลาย และการพลั้งปากออกไปของคนไข้ทั้งหลายของเขา

ตัวของ Freud เองนั้น ดูเหมือนจะไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความสามารถของเขาในการเปิดเผยความคิดเพ้อฝันทางเพศดังกล่าว มันนอนเนื่องอยู่ข้างใต้ผิวหน้าของความคิดดั้งเดิม เขาสามารถที่จะมองเห็นเรื่องราวขององคชาติได้ในวัตถุที่ยื่นออกมาทุกๆชนิด และเรื่องราวของโยนีในรูปร่างสัณฐานอันเป็นที่รองรับทุกๆอย่าง

ดังที่เขาเขียน ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าในความฝันทั้งหลาย "...อาวุธทุกชนิดหรือเครื่องมือต่างๆทั้งหมด ถูกใช้ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ต่างๆสำหรับอวัยวะเพศของผู้ชาย: ยกตัวอย่างเช่น, คันไถ, ฆ้อน, ปืนยาว, ปืนลูกโม่, กริช, ดาบ ฯลฯ. ในทำนองเดียวกัน ทิวทัศน์ในความฝันต่างๆจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทิวทัศน์ที่มีสะพานบรรจุอยู่ในภาพหรือหุบเขาที่มีต้นไม้ อาจได้รับการรับรองอย่างชัดเจนว่า เป็นการอธิบายถึงเรื่องของการสืบพันธุ์ต่างๆ

Freud ได้รับการตระเตรียม หรือถูกฝึกที่จะสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงต่างๆที่ตรงไปตรงมาที่สุด ในการตีความในเรื่องความคิดทั้งหลายของคนไข้ต่างๆของเขา. เรื่องเล่าของผู้หญิงคนหนึ่งที่เกี่ยวกับความกลัวที่จะก้าวไปใกล้ๆริมหน้าต่าง อันเนื่องจากว่าเธอเกรงว่าจะตกลงไป ได้รับการวิเคราะห์โดย Freud ว่าเป็นการกดข่มหรือความอดกลั้นเกี่ยวกับความปรารถนาของจิตไร้สำนึก ที่จะเอียงตัวออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดอยู่ และกวักมือเรียกชายหนุ่มให้เข้ามาคล้ายกับโสเภณีนางหนึ่งนั่นเอง

มันไม่มีจุดใดในตัวหญิงที่ระทมทุกข์คนนี้จะปกป้องหรือสวนกลับการตีความของ Freud ได้ ทั้งนี้เพราะ Freud จะมองเรื่องนี้เป็นเพียงข้อพิสูจน์เพิ่มเติมเกี่ยวกับความต้องการของเธอ เพื่อที่จะสะกดกลั้นหรือข่มแรงกระตุ้นที่น่าละอายอันหนึ่งเอาไว้เท่านั้นเอง

คนไข้อีกสองคนที่ได้แสดงถึงคุณสมบัติที่เกี่ยวเนื่องกับหลักฐานที่ Freud ได้รวบรวมเข้ามาเพื่อสนับสนุนทฤษฎีต่างๆของเขา และความสบายอกสบายใจซึ่งดูเหมือนจะทำให้เขาพึงพอใจในความถูกต้องเกี่ยวกับการวิเคราะห์อันนี้ หนึ่งในกรณีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของ Freud ก็คือเรื่องของ Wolf Man(มนุษย์หมาป่า)

คนไข้คนหนึ่งผู้ซึ่งมีความฝันเกี่ยวกับหมาป่าสีขาว 6 หรือ 7 ตัวที่ได้นั่งพักอยู่ ณ ต้นวอลนัทที่อยู่นอกหน้าต่างของห้องนอนของเขา. หลังจากที่ได้มีการวิเคราะห์ผ่านไปหลายปี, Freud ได้ตัดสินใจว่าความฝันของคนไข้คนนี้คือ การแปรเปลี่ยนความทรงจำในวัยเด็กเกี่ยวกับการรู้เห็นพ่อแม่ของเขาร่วมเพศกัน 3 ครั้งในบ่ายวันหนึ่ง ในขณะที่เขามีอายุได้เพียงขวบครึ่งเท่านั้น

การแยกแยะสัญลักษณ์เกี่ยวกับความฝันอันนี้ Freud กล่าวว่า ความขาวของหมาป่าเป็นตัวแทนที่ชัดเจนของเสื้อและกางเกงชั้นในของพ่อแม่ หางที่เป็นพุ่มพิเศษของมันคือการอ้างอิงอย่างอ้อมๆถึงเรื่องราวอันเก่าแก่ของเด็กๆเกี่ยวกับหมาป่าที่ไม่มีหาง - ซึ่ง, มันเป็นการอ้างอิงที่ปลอมแปลงถึงความกลัวของคนไข้คนนี้ เกี่ยวกับการตอน(castration)โดยพ่อ"หมาป่า"ของเขา

ข้อเท็จจริงที่ว่ามันมีหมาป่าอยู่ 6 หรือ 7 ตัวนั้น ซึ่งน่าจะมีเพียงแค่สองตัว ก็คือความพยายามอีกอันหนึ่ง โดยกลไกการปกป้อง ego ของเขาที่จะปลอมแปลงความรู้อันนี้ ซึ่งความฝันดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่พ่อแม่ของเขาได้มีการร่วมประเวณีกัน โดยการผันแปรบิดเบี้ยวทางด้านตรรกะหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุด Freud ก็ได้มาถึงความคิดที่ว่า ความลับซึ่งเป็นความเศร้าโศกที่ทุกข์ระทมมากของมนุษย์หมาป่า(Wolf Man) ในชีวิตที่เป็นผู้ใหญ่ของเขาก็คือ ความปรารถนาที่ถูกสะกดกลั้นอันหนึ่ง ที่จะได้รับการร่วมเพศทางทวารหนักโดยพ่อของเขา

มันเป็นแบบฉบับเกี่ยวกับวิธีการต่างๆของ Freud ที่บางครั้งเขาจะอ่านสัญลักษณ์ต่างๆอย่างตรงไปตรงมา - ความขาวของหมาป่าได้บ่งชี้ถึงเสื้อและกางเกงชั้นในสีขาว - แต่ในคราวอื่นๆเขาก็จะอ่านมันอย่างอ้อมๆ - เรื่องของหางที่เป็นพุ่มของหมาป่าเป็นการปิดบังซ่อนเร้นความคิดเกี่ยวกับหมาป่าที่ไม่มีหาง และจำนวนของหมาป่าก็เป็นการแอบแฝงข้อเท็จจริงที่ว่ามีเพียงคนอยู่สองคนเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

ถ้าหากว่า Freud ได้เลือก, เขาอาจจะตัดสินว่าความขาวนั้นเป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ของบางสิ่งที่มีสีดำ - บางทีอาจจะเป็นผ้าห่อศพก็ได้ - และหางหมาป่าจำนวนครึ่งโหลดังกล่าว มันเป็นตัวแทนของการร่วมเพศกันสองครั้งดุจดั่งคนที่เปลือยกายมากมาย. ปัญหาที่เป็นนิรันดร์อันไม่สิ้นสุดด้วยวิธีการเกี่ยวกับการตีความของ Freud นั้นก็คือ พยานหลักฐานดังกล่าวสามารถที่จะได้รับการบิดผันไปให้เหมาะกับทฤษฎีต่างๆ และไม่มีการตีความหนึ่งใดที่ปรากฏว่ามีการพิสูจน์ต่อไปอีกยิ่งกว่าอื่นใด

ข้อโต้แย้งของคนที่ได้ให้การสนับสนุนเกี่ยวกับเรื่องจิตวิเคราะห์ก็คือว่า ข้อพิสูจน์การตีความที่เฉพาะเจาะจงได้สร้างการบำบัดรักษาขึ้นมาอันหนึ่ง เหมือนกับการผ่าตัดฝีออก การนำเอาความปรารถนาที่ถูกเก็บกดเอาไว้ขึ้นมาสู่แสงสว่างของความสำนึก ควรที่จะเป็นเหตุให้มีการระบายถ่ายเทจากอาการทางโรคประสาท ที่กำลังก่อให้เกิดปัญหายุ่งยากกับคนไข้ แต่อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับ Bertha Pappenheim - กรณีของมนุษย์หมาป่าไม่ใช่การบำบัดรักษาที่ประสบความสำเร็จ ดังที่งานเขียนทางด้านจิตวิเคราะห์ทำให้มันเป็นอย่างนั้น

ในช่วงทศวรรษที่ 1970s นักวิชาการหลายคนได้ทำการตรวจสอบเกี่ยวกับข้ออ้างต่างๆของ Freud ที่ว่า ได้ค้นพบอัตลักษณ์ที่แท้จริงของมนุษย์หมาป่าและได้เข้าไปใกล้เขา. กว่าอายุ 80 ปี, มนุษย์หมาป่ายังต้องแสวงหาความช่วยเหลือทางด้านจิตวิเคราะห์อยู่ต่อไป - กล่าวคือ การบำบัดรักษาดังกล่าวดูเหมือนว่าจะไม่ทำให้เขาดีขึ้นเอาเสียเลย อย่างน้อยที่สุด ก็ทำให้เขารู้สึกสนุกเพลิดเพลินเมื่อเขานอนอยู่บนเตียงเพื่อได้รับการบำบัดทางจิต

 

 

สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I สารบัญเนื้อหา 3
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

 

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด กว่า 570 เรื่อง หนากว่า 7200 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 120 บาท(รวมค่าส่ง)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

 

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com




 

H

ในเรื่อง "Uber Coca", ซึ่งตีพิมพ์ขึ้นในปี ค.ศ. 1884, Freud ได้อ้างและยืนยันว่า โคเคนเป็นยาตัวหนึ่งที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับพลังอำนาจวิเศษต่างๆ(near-magical powers) ในไม่ช้า Freud ก็ได้ให้การสนับสนุนยาดังกล่าวในฐานะที่เป็นการรักษาความป่วยไข้ต่างๆ นับตั้งแต่อาการเมาคลื่นจนไปถึงโรคเบาหวานต่างๆ สำหรับตัวเขา เริ่มต้นรับประทานโคเคนเป็นปกติเพื่อต่อสู้กับอาการเศร้าซึม

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด กว่า 570 เรื่อง หนากว่า 7200 หน้า ในรูปของ CD-ROM ในราคา 120 บาท(รวมค่าส่ง) สนใจสั่งซื้อได้ที่
midnightuniv(at)yahoo.com
หรือ ส่งธนาณัติถึง
สมเกียรติ ตั้งนโม : ไปรษณีย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 50202

กรุณาส่งธนาณัติแลกเงินไปยัง
สมเกียรติ ตั้งนโม : คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถนนสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50202
อย่าลืมเขียนชื่อ ที่อยู่ ของผู้รับตัวบรรจงด้วยครับ เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการจัดส่งทางไปรษณีย์

หลักฐานที่ดีชิ้นหนึ่งสำหรับ Freud ก็คือ เขาได้กลายเป็นคนที่ติดยาเสพติดประเภทโคเคน ซึ่งเขาได้เคยทดลองใช้มาในช่วงแรกๆ บุคลิกภาพของ Freud ในช่วงระหว่างเวลาดังกล่าว ได้แสดงให้เห็นถึงอาการโรคของการใช้โคเคนมากจนเกินไป ...เขามีอาการกังวลอย่างรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องเพศซึ่งโคเคนได้เป็นตัวกระตุ้น และจากการวินิจฉัยข้อคิดเห็นต่างๆในจดหมายหลายฉบับของเขา เขามีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศด้วย ซึ่งเป็นผลข้างเคียงอันหนึ่งเกี่ยวกับการใช้ยาเสพติดอย่างรุนแรงนั่นเอง นอกเหนือจากนี้แล้ว ปรากฎว่า Freud ยังทุกข์ทรมานจากอาการพารานอยด้วย(อาการหวาดระแวง คิดว่าคนอื่นจะมาทำร้ายตน) ซึ่งนั่นเป็นอาการร่วมอีกอันหนึ่งของการใช้โคเคน

ผลงานวิชาการชิ้นนี้ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็ปไซต์ วันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ : ไม่สงวนสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์ทางวิชาการ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนขอขอบคุณ
เจ้าของพื้นที่ www.thaiis.com ที่กรุณาให้ใช้พื้นที่ฟรีในการเผยแพร่งานวิชาการ
เว็ปไซต์ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ออกแบบขึ้นมาเพื่อใช้กับ Display properties : screen area 600 X 800 pixels ซึ่งจะให้ภาพที่คมชัดและสมบูรณ์ที่สุด