ผลงานภาพประกอบดัดแปลง ใช้ประกอบบทความบริการฟรีของ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

R
relate topic
130448
release date

บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ 559 หัวเรื่อง
กฎความก้าวหน้าของมนุษยชาติ
โดย : สุธน หิญชีระนันทน์ : แปล
บทความบริการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

The Midnight 's article

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ

Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ

หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com

เผยแพร่ เพื่อสาธารณประโยชน์
หากนักศึกษาหรือสมาชิก ประสบ
ปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลดขนาดของ font ลง จะ
สามารถแก้ปัญหาได้

midnightuniv(at)yahoo.com
midnight2545(at)yahoo.com
midarticle(at)yahoo.com
นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจทุกท่าน หากประสงค์จะตรวจดูบทความอื่นๆที่เผยแพร่บนเว็ปไซค์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ท่านสามารถคลิกไปดูได้จากตรงนี้ ไปหน้าสารบัญ
เว็ปไซท์นี้มีการคลิกโดยเฉลี่ยต่อวัน 14119-26256 ครั้ง สำรวจเมื่อเดือนสิงหาคม 47
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนขอขอบคุณ www.thaiis.com ที่กรุณาให้ใช้พื้นที่ฟรีในการเผยแพร่งานวิชาการ เพื่อประโยชน์ต่อสังคม

คลิกไปหน้า homepage มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

อารยธรรมของมนุษยชาติ
กฎว่าด้วยความก้าวหน้าของมนุษยชาติ
พลเรือโทสุธน หิญชีระนันทน์ : แปล
จากงานของ Henry George เรื่อง
Progress and Poverty

Henry George 1839-1897
เป็นชาวอเมริกัน : นักเศรษฐศาสตร์, นักปฏิรูป, และนักเขียน
หมายเหตุ:
บทความทางวิชาการชิ้นนี้เคยได้รับการตีพิมพ์แล้ว
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้รับอนุญาตมาจากผู้แปล
ข้อความทั้งหมดในบทความนี้ นำมาจาก
ภาค 10 กฎว่าด้วยความก้าวหน้าของมนุษยชาติ
บทที่ 1 ทฤษฎีปัจจุบันว่าด้วยความก้าวหน้าของมนุษยชาติ น. 475-489
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 14 หน้ากระดาษ A4)



กฎว่าด้วยความก้าวหน้าของมนุษยชาติคืออะไร?

นี่เป็นคำถามซึ่งถ้าปราศจากเรื่องที่ได้กล่าวไว้ก่อนแล้ว ข้าพเจ้าก็จะเกิดความลังเลในการที่จะตรวจสอบในพื้นที่เล็กน้อยเท่าที่จะเหลืออุทิศให้ได้นี้ ทั้งนี้เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับปัญหาที่สูงที่สุดบางประการเท่าที่จิตของมนุษย์จะขบคิดได้ จะโดยตรงหรือโดยปริยายก็ตาม แต่มันเป็นคำถามซึ่งปรากฏขึ้นตามธรรมชาติ ข้อยุติที่เราได้มาถึงนี้ จะสอดคล้องหรือไม่กับกฎอันยิ่งใหญ่ ซึ่งพัฒนาการของมนุษย์ดำเนินไปภายใต้กฎนั้น?

กฎนั้นคืออะไร? เราจะต้องหาคำตอบต่อคำถามนี้ เพราะว่าถึงแม้ปรัชญาปัจจุบันจะรับรองอย่างแจ่มแจ้งว่ามีกฎเช่นนี้อยู่ แต่ก็มิได้อธิบายกฎดังกล่าวให้เป็นที่น่าพอใจมากไปกว่าการอธิบายของวิชาเศรษฐศาสตร์ในปัจจุบัน ในปัญหาที่ว่าทำไมจึงยังคงมีความขาดแคลนอยู่ในท่ามกลางเศรษฐทรัพย์ที่เพิ่มพูนยิ่งขึ้น

ขอให้เรายึดพื้นฐานอันมั่นคงแห่งข้อเท็จจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราไม่จำเป็นที่จะต้องสอบสวนว่ามนุษย์ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมาจากสัตว์ใช่หรือไม่ ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เท่าที่เรารู้จักเขา กับปัญหาที่เกี่ยวกับกำเนิดของเขาจะอาจมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเพียงใดก็ตาม ปัญหาประการหลังจะกระจ่างแจ้งได้ก็ต้องอาศัยแสงสว่างจากปัญหาประการแรกเสมอ เราไม่สามารถจะทำการอนุมานจากสิ่งที่ไม่รู้ไปหาสิ่งที่รู้แล้วได้ จากข้อเท็จจริงที่เราทราบแล้ว

เท่านั้นที่เราจะสามารถอนุมานได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นก่อนสิ่งที่เราทราบนั้น
มนุษย์เราจะมีกำเนิดขึ้นมาอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดเท่าที่เรารู้เกี่ยวกับเขาก็มีเพียงว่าเขาเป็นมนุษย์ - ดังเช่นที่จะพบได้ในขณะนี้ ไม่มีบันทึกหรือร่องรอยของเขาในสภาพที่ต่ำไปกว่าสภาพที่ยังจะพบได้ในพวกคนป่า จะด้วยสะพานอะไรก็ตามที่เขาใช้ข้ามผ่านช่องว่างอันกว้างขวาง ซึ่งขณะนี้แยกมนุษย์ออกจากสัตว์ ยังคงไม่ปรากฏร่องรอยอยู่ดี ระหว่างคนป่าชั้นต่ำสุดเท่าที่เรารู้จักกับสัตว์ชั้นสูงที่สุด ปรากฏว่ามีความแตกต่างอย่างที่จะปรองดองกันมิได้เลย - เป็นความแตกต่างซึ่งมิใช่เพียงในขนาดหรือระดับ (Degree) เท่านั้น แต่ยังเป็นในด้านชนิด (Kind) อีกด้วย

มีลักษณะนิสัย กิริยาและอารมณ์ของมนุษย์หลายประการที่สัตว์ชั้นต่ำก็แสดงออก แต่ไม่ว่ามนุษย์จะมีระดับมนุษยธรรมต่ำเพียงไร ก็ไม่เคยปรากฏว่าเขาจะขาดสิ่งหนึ่งซึ่งไม่มีร่องรอยอยู่ในสัตว์แม้เพียงเล็กน้อย มันเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ตระหนักกันได้ชัดเจน แต่แทบจะไม่สามารถนิยามกันได้ มันทำให้มนุษย์มีความสามารถในการปรับปรุง - ซึ่งทำให้เขาเป็นสัตว์ที่ก้าวหน้า

ตัวบีเวอร์สร้างทำนบ นกสร้างรังและผึ้งสร้างรวง แต่ในขณะที่ทำนบของตัวบีเวอร์ รังของนก และรวงของผึ้งสร้างขึ้นตามแบบเดียวกันเสมอนั้น บ้านของมนุษย์ก็เปลี่ยนจากกระท่อมหยาบ ๆ ทำด้วยใบไม้และกิ่งไม้มาเป็นอาคารอันโอ่อ่าเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งบำรุงความสุขทันสมัย สุนัขสามารถจะเชื่อมต่อเหตุกับผลเข้าด้วยกันได้บ้าง และอาจจะรับการฝึกสอนกลเม็ดบางประการได้ แต่ความสามารถของมันดังกล่าว ก็มิได้เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อยตลอดมานับแต่ได้เป็นมิตรกับมนุษย์ซึ่งปรับปรุงดีขึ้นเรื่อย ๆ และสุนัขของอารยชนก็มิได้มีความสามารถหรือสติปัญญามากกว่าสุนัขของคนป่าที่ที่เดินทางไปเรื่อย ๆ แม้แต่น้อย

เราไม่รู้จักสัตว์ที่ใช้เสื้อผ้า ที่ประกอบอาหาร ที่ประดิษฐ์เครื่องมือหรืออาวุธสำหรับตนเอง ที่บำรุงเลี้ยงสัตว์ อื่น ๆ ซึ่งตนต้องการจะกิน หรือที่มีภาษาพูด แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่าได้พบหรือได้ยินเกี่ยวกับมนุษย์ที่มิได้กระทำเช่นนั้น นอกจากในนิยาย นั่นคือ มนุษย์ไม่ว่าที่ใดที่เรารู้จัก ย่อมแสดงให้เห็นความสามารถนี้ - ในการเติมต่อสิ่งที่ธรรมชาติได้กระทำเพื่อเขา ด้วยสิ่งที่เขากระทำเพื่อตนเอง และที่จริงแล้วทายสมบัติทางกาย (physical endowment) ของมนุษย์ก็ด้อยอย่างยิ่ง จนไม่มีส่วนใดในโลกที่ เขาจะยังดำรงชีวิตอยู่ได้ ถ้าปราศจากความสามารถเช่นนี้ อาจจะมียกเว้นบ้างก็เกาะเล็ก ๆ บางเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก

ทุกแห่ง และตลอดเวลา มนุษย์ได้แสดงให้เห็นความสามารถนี้ - ทุกแห่งและตลอดเวลาที่เราได้ทราบ มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์บางประการจากความสามารถนี้ แต่ระดับที่เขาใช้ความสามารถนี้แตกต่างกันไปอย่างมาก ระหว่างเรือคานูหยาบ ๆ กับเรือเครื่องไอน้ำ ระหว่างบูเมอแรงกับปืนที่ยิงซ้ำได้ ระหว่างรูปไม้ที่สลักอย่างหยาบ ๆ กับรูปหินอ่อนที่ดลใจตามศิลปะแบบกรีก ระหว่างความรู้ของคนป่ากับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ระหว่างชาวอินเดียนแดงกับชนผิวขาวผู้อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐาน ระหว่างหญิงเผ่าฮอตเตนตอตกับสาวสวยแห่งสังคมที่ขัดเกลาแล้ว เหล่านี้ ย่อมมีความแตกต่างกันอย่างมหาศาล
ระดับที่แตกต่างกันในการใช้ความสามารถนี้

เราย่อมไม่อาจจะอ้างได้ว่าเป็นเพราะความแตกต่างกันในสมรรถภาพตั้งแต่ดั้งเดิม - ประชาชาติที่เจริญสูงสุดในยุคปัจจุบันเคยเป็นคนป่ามาในระยะประวัติศาสตร์นี่เอง และเราจะพบความแตกต่างกันอย่างกว้างขวางที่สุดในบรรดาพลเมืองของเผ่าพันธุ์เดียวกัน ทั้งเราก็ไม่อาจจะอ้างได้ว่าเป็นเพราะความแตกต่างกันในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติแต่ประการเดียว - แหล่งแห่งการศึกษาและศิลปะวิทยาการหลายแห่งในขณะนี้ ได้เคยถูกคนชาติป่าเถื่อนยึดครองอยู่ และภายในระยะไม่กี่ปี เมืองใหญ่ ๆ ก็เกิดขึ้นบนผืนดินถิ่นไล่ล่าของเผ่าคนป่า ย่อมเห็นได้ชัดว่าความแตกต่างกันเหล่านี้ทั้งสิ้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางสังคม

บางทีอาจจะเป็นตั้งแต่พ้นขั้นต่ำสุด ที่มนุษย์เราจะเจริญดีขึ้นได้ก็เฉพาะต่อเมื่อเขาอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น เพราะฉะนั้น เราจึงสรุปรวมความเจริญดีขึ้นในความสามารถ และสภาพของมนุษย์เช่นนี้ทั้งสิ้นเข้าไว้ในคำว่าอารยธรรม (civilization) มนุษย์ปรับปรุงดีขึ้นเมื่อเขามีอารยธรรมสูงขึ้น หรือรู้จักร่วมมือกันในสังคม
กฎแห่งความเจริญนี้คืออะไร? เราจะอธิบายขั้นของอารยธรรมที่แตกต่างกันของประชาคมต่าง ๆ ได้ด้วยหลักสามัญอะไร? ความก้าวหน้าของอารยธรรมมีสาเหตุเนื่องมาจากอะไรโดยแท้จริง เราจึงจะกล่าวถึงการปรุงปรับของสังคมที่แตกต่างกันได้ว่าสิ่งนี้สนับสนุนอารยธรรม สิ่งนั้นไม่สนับสนุน หรือจะได้อธิบายได้ว่าทำไมสถาบันหรือสภาพอันหนึ่ง ซึ่งครั้งหนึ่งอาจจะทำให้อารยธรรมก้าวหน้านั้น อีกครั้งหนึ่งกลับถ่วงรั้งความก้าวหน้า?

ความเชื่อที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ก็คือว่า ความก้าวหน้าของอารยธรรมคือพัฒนาการหรือวิวัฒนาการ ซึ่งในระหว่างนี้ความสามารถของมนุษย์จะเพิ่มขึ้น และคุณสมบัติของเขาจะสูงขึ้น ด้วยผลแห่งสาเหตุทำนองเดียวกันกับที่ได้ใช้เป็นเครื่องอธิบายกำเนิดของชนิดพรรณต่าง ๆ (species) ของสัตว์และพืช - นั่นคือการอยู่รอดของผู้ที่เหมาะสมที่สุด และการถ่ายทอดคุณสมบัติที่ได้มาทางพันธุกรรม

ในข้อที่ว่าอารยธรรมคือวิวัฒนาการอันหนึ่ง - ซึ่งถ้าใช้ภาษาของ Herbert Spencer ก็คือความก้าวหน้าจากความเป็นแบบเดียวกันที่ไม่เจาะจง ไม่สอดคล้องกัน มาเป็นความต่างแบบกันที่เจาะจงสอดคล้องกัน (from an indefinite, incoherent homogeneity to a definite, coherent heterogeneity) - ย่อมไม่มีข้อน่าสงสัย แต่การกล่าวเช่นนี้มิได้อธิบายหรือบ่งชี้สาเหตุซึ่งสนับสนุนหรือถ่วงรั้งวิวัฒนาการนั้น

คำกล่าวกวาดรวมของ Spencer ซึ่งมุ่งจะอธิบายปรากฏการณ์ทั้งปวงไว้ภายใต้คำว่าสสารและพลังงาน จะรวมถึงสาเหตุเหล่านี้ทั้งสิ้นด้วยเพียงไหนนั้น ข้าพเจ้าไม่สามารถจะกล่าวได้ แต่เท่าที่อธิบายมาตามหลักเกณฑ์นั้น ปรัชญาแห่งพัฒนาการยังมิได้ตอบปัญหานี้อย่างเจาะจง และได้ทำให้เกิดความคิดเห็น หรือที่ถูกคือความกลมกลืนกันในความคิดเห็น ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงขึ้น

คำอธิบายถึงความก้าวหน้าอย่างสามัญนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าคล้ายคลึงกันมากกับทรรศนะตามธรรมดาของผู้หาเงิน ในเรื่องสาเหตุแห่งการวิภาคเศรษฐทรัพย์โดยไม่เท่าเทียมกัน ถ้าเขามีทฤษฎี โดยปกติทฤษฎีนั้นจะเป็นว่ามีเงินตราอยู่มากมาย ที่จะหาได้สำหรับผู้ที่มีความตั้งใจและมีความสามารถ และความโง่เขลา ความเกียจคร้าน หรือความสุรุ่ยสุร่ายเป็นตัวทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน

และดังนั้นคำอธิบายสามัญในเรื่องความแตกต่างกันของอารยธรรมจึงเป็นความแตกต่างกันในเรื่องความสามารถไป ชนชาติอารยะ คือเชื้อชาติที่ประเสริฐกว่าและความก้าวหน้าแห่งอารยธรรม จึงเป็นเพราะความประเสริฐกว่านี้ - เช่นเดียวกับที่คนอังกฤษมีความเห็นโดยทั่วไปว่า ชัยชนะของตนเป็นเพราะคนอังกฤษมีคุณสมบัติตามธรรม-ชาติประเสริฐกว่าชาวฝรั่งเศสผู้กินกบ

และชาวอเมริกันโดยทั่วไปก็คิดว่าการปกครองโดยประชาชน การค้นคิดประดิษฐ์อย่างแข็งขัน และความสุขสบายโดยเฉลี่ยซึ่งสูงกว่าชนชาติอื่น เป็นเพราะ "ความเก่งของชาติแยงกี้"

ที่เหนือกว่าหลักคำสอนทางเศรษฐศาสตร์ ที่เราได้เผชิญและพิสูจน์หักล้างมาแล้วตั้งแต่เริ่มต้นการสอบสวนนี้สอดคล้องกับความคิดเห็นโดยสามัญของมนุษย์ที่แลเห็นนายทุนเป็นผู้จ่ายค่าแรง และการแข่งขันทำให้ค่าแรงลดลง ฉันใด ทฤษฎีของแมลธัสสอดคล้องกับอุปาทานที่มีอยู่ทั้งของคนรวยและคนจน ฉันใด

คำอธิบายถึงความก้าวหน้าในฐานะการปรับปรุงเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ทีละเล็กละน้อย ก็สอดคล้องกับความคิดเห็นสามัญซึ่งถือว่าความแตกต่างในด้านอารยธรรม เป็นเพราะความแตกต่างกันในเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ฉันนั้น มันทำให้เกิดความกลมกลืนและสูตรอันดูเหมือนจะถูกหลักเกณฑ์สำหรับความคิดเห็น ซึ่งปรากฏแพร่หลายอยู่แล้ว

การแผ่ขยายอย่างน่าประหลาดของมันนับแต่สมัยที่ดาร์วินทำความตื่นเต้นให้แก่โลกเป็นครั้งแรกด้วยหนังสือ "Origin of Species" ของเขานั้นมิได้เป็นการพิชิตเท่ากับที่เป็นการผสมกลมกลืน (assimilation) เลย
ทรรศนะซึ่งครอบงำโลกแห่งความคิดอยู่ในขณะนี้เป็นดังนี้คือ:

การดิ้นรนต่อสู้เพื่อความคงอย ู่ได้กระตุ้นให้มนุษย์ใช้ความพยายามใหม่ ๆ และค้นคิดประดิษฐ์มากขึ้นตามส่วนกับที่การดิ้นรนนั้นรุนแรงขึ้น ความเจริญดีขึ้นและความสามารถในการที่จะทำให้เกิดความเจริญขึ้นนี้ ถูกกำหนดด้วยการถ่ายทอดทางพันธุกรรม และได้รับการขยายออกด้วยแนวโน้มของบุคคลผู้ที่ปรุงปรับตัวเองได้ดีที่สุด หรือที่ก้าวหน้าที่สุดในอันที่จะอยู่รอดและแผ่ขยายออกไปในบรรดาบุคคลต่าง ๆ และด้วยแนวโน้มของเผ่าชน ชาติ หรือเชื้อชาติที่ปรุงปรับตัวเองได้ดีที่สุดหรือที่ก้าวหน้าที่สุด ในอันที่จะอยู่รอดในการต่อสู้ระหว่างกลุ่มสังคมต่าง ๆ ทฤษฎีนี้ได้เป็นเครื่องอธิบายความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์ และความแตกต่างในความก้าวหน้าระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง ด้วยความมั่นใจแต่มิได้เป็นการทั่วไปอยู่ในขณะนี้ เหมือนเมื่อไม่นานมานี้ที่มีการอธิบายความแตกต่างดังกล่าว โดยอาศัยทฤษฎีแห่งการสร้างสรรค์เป็นพิเศษและการแทรกแซงของพระผู้เป็นเจ้า

ผลทางปฏิบัติของทฤษฎีนี้คือลัทธิชะตานิยม (fatalism) ที่มีความหวังชนิดหนึ่ง ซึ่งปรากฏแพร่หลายในวรรณกรรมปัจจุบัน*
(*ในรูปกึ่งวิทยาศาสตร์หรือรูปซึ่งทำให้เป็นที่นิยมทั่วไป บางทีเราอาจจะแลเห็นข้อนี้ได้ในคำบรรยายที่ดีที่สุด เพราะว่ากล่าวตรงไปตรงมาที่สุด ในเรื่อง "The Martyrdom of Man" โดย Winwood Reade นักเขียนที่เขียนได้แจ่มแจ้งอย่างประหลาดและทรงพลัง

ที่จริงแล้วหนังสือนี้คือประวัติศาสตร์แห่งความก้าวหน้า หรือที่ถูกก็คือเอกสารวิชาการเกี่ยวกับสาเหตุและวิธีการแห่งความก้าวหน้า และจะให้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าแก่การพินิจพิจารณาภาพอันแจ่มชัดของมัน ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ตามเกี่ยวกับความสามารถของผู้ประพันธ์ในการกล่าวสรุปเป็นกฎทั่วไปทางปรัชญา เราอาจจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อเรื่องกับชื่อเรื่องได้จากข้อยุติที่ว่า:

"ข้าพเจ้าให้ชื่อเรื่องที่แปลกประหลาดแต่เป็นความจริงแก่ประวัติศาสตร์สากล - ความเสียสละของมนุษย์ มนุษยชาติได้ยอมรับทุกข์ทรมานมาทุกรุ่นทุกสมัยเพื่อว่าลูก ๆ ของตนจะได้รับผลประโยชน์จากความทรมานนั้น ความรุ่งเรืองในสมัยของเราเกิดขึ้นมาจากความปวดร้าวของอดีต ดังนั้นจะเป็นการไม่ยุติธรรมหรือที่เราจะพึงรับทุกข์ด้วยเพื่อผลประโยชน์ของผู้ที่จะเกิดมาภายหลัง?")

ตามทรรศนะนี้ ความก้าวหน้าคือผลแห่งพลังทั้งหลายซึ่งกระทำอย่างช้า ๆ มั่นคงและไร้ความเมตตา เพื่อยกมนุษย์ให้สูงส่งขึ้น สงคราม ระบบทาส การกดขี่ ความเชื่องมงาย ฉาตกภัย(ความอดอยากขาดแคลน) และโรคระบาด ความขาดแคลนและความทุกข์ยาก ซึ่งปรากฏอยู่ในอารยธรรมสมัยใหม่ คือสาเหตุที่ขับดันมนุษย์ต่อไปโดยการกำจัดประเภทที่ด้อยกว่าและขยายประเภทที่สูงกว่า และการถ่ายทอดทางพันธุกรรมคือพลังที่เป็นตัวกำหนดความก้าวหน้า และความก้าวหน้าในอดีตคือฐานสำหรับความก้าวหน้าใหม่ ๆ ดังนี้ บุคคลจึงเป็นผลแห่งการเปลี่ยนแปลงซึ่งกระทำต่อบรรดาบุคคลในอดีตมาเป็นลำดับยาวนานไม่สิ้นสุด และการจัดสังคมก็ได้แบบมาจากบุคคลต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็นสังคมนั้น

ดังนั้น แม้ทฤษฎีนี้ ตามคำของ Herbert Spencer (The Study of Sociology" - Conclusion.) - เป็น "แบบที่นิยมการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน (radical) เกินกว่าที่ลัทธินิยมการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนใด ๆ ในปัจจุบันจะนึกถึง"โดยเหตุที่มันมุ่งจะให้มีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะของมนุษย์เอง ในขณะเดียวกัน ทฤษฎีนี้ก็เป็น "อนุรักษ์นิยมเกินกว่าที่ลัทธิอนุรักษ์นิยมใด ๆ ในปัจจุบันจะนึกถึง" ด้วย เพราะทฤษฎีนี้ถือว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ได้ นอกจากการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ ในลักษณะของมนุษย์

ปราชญ์อาจจะสั่งสอนว่าข้อนี้มิได้ลดหน้าที่ ที่จะพยายามปฏิรูปการกระทำอันมิชอบ เช่นเดียวกับนักธรรมผู้สั่งสอนลัทธิที่ว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ก่อนแล้ว ที่ยืนยันว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะดิ้นรนเพื่อความรอดพ้น แต่ตามที่เข้าใจกันโดยทั่วไป ผลก็คือลัทธิชะตานิยม - "ถึงแม้จะทำเท่าที่เราอาจทำได้ เครื่องบดของพระผู้เป็นเจ้าก็จะบดต่อไปโดยไม่คำนึงถึงการช่วยเหลือหรือการหน่วงเหนี่ยวของเรา"

ข้าพเจ้ากล่าวพาดพิงถึงข้อนี้เพียงเพื่อที่จะแสดงให้เห็นสิ่งที่ข้าพเจ้าถือว่าเป็นความคิดเห็น ที่กำลังแผ่ขยายและแทรกซึมเข้าไปในความคิดโดยทั่วไปอย่างรวดเร็ว ในการค้นคว้าหาสัจธรรม เราไม่ควรจะยอมให้ข้อพิจารณาเกี่ยวกับผลลัพธ์ของมันมาทำให้ความคิดของเราบิดเบือนไป แต่ข้าพเจ้าถือว่าทรรศนะปัจจุบันเกี่ยวกับอารยธรรมเป็นดังนี้:

อารยธรรมคือผลแห่งพลังทั้งหลาย ซึ่งกระทำตามวิธีที่บ่งไว้ ซึ่งค่อย ๆ เปลี่ยนลักษณะของมนุษย์และปรับปรุงและยกระดับความสามารถของมนุษย์ขึ้นอย่างช้า ๆ ความแตกต่างระหว่างอารยชนกับคนป่าคือ ความแตกต่างในการศึกษาอบรมของเผ่าพันธุ์เป็นเวลานาน ซึ่งได้เข้าไปเกาะอยู่อย่างถาวรในจิตใจ และการปรับปรุงดีขึ้นนี้มีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปมากขึ้นเรื่อย ๆ ไปสู่อารยธรรมที่สูงขึ้น ๆ เราได้มาถึงจุดที่ความก้าวหน้าดูเหมือนจะเป็นธรรมดาสำหรับเราแล้ว และเรามองไปข้างหน้าอย่างเชื่อมั่นในผลสัมฤทธิ์อันยิ่งใหญ่กว่าของมนุษยชาติที่จะเกิดมาภายหลัง

-บางคนถึงกับเชื่อว่าในที่สุดความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร ์จะทำให้มนุษย์ไม่รู้จักตายและทำให้เขาสามารถเดินทางท่องเที่ยวไปยังมิใช่แค่ดาวพระเคราะห์เท่านั้น แต่รวมถึงดาวฤกษ์ด้วย และจะทำให้เขาสามารถสร้างดวงอาทิตย์และจักรวาลให้แก่ตนเองได้ (Winwood Reade, "The Martyrdom of Man.")

แต่โดยมิต้องพุ่งขึ้นไปถึงดวงดาว ในทันทีที่ทฤษฎีความก้าวหน้าซึ่งดูเหมือนจะเป็นธรรมดาเหลือเกินสำหรับเรา ในท่ามกลางอารยธรรมที่กำลังก้าวหน้านี้มองออกไปรอบ ๆ โลกเท่านั้น มันก็จะได้เผชิญกับข้อเท็จจริงอันใหญ่ยิ่ง - นั่นคืออารยธรรมทั้งหลายที่หยุดชะงักแข็งทื่อ มนุษยชาติส่วนใหญ่ในปัจจุบันมิได้มีความคิดเกี่ยวกับความก้าวหน้า มนุษยชาติส่วนใหญ่ในปัจจุบันถือ (เช่นที่บรรพบุรุษของเราเองได้ถือมาจนกระทั่งชั่วระยะ 2 - 3 อายุคนนี้) ว่า ครั้งอดีตเป็นสมัยแห่งความสมบูรณ์แบบของมนุษย์

อาจจะมีผู้อธิบายความแตกต่างระหว่างคนป่ากับอารยชนได้ด้วยทฤษฎีที่ว่า คนป่ายังพัฒนามาอย่างบกพร่องเต็มที ซึ่งทำให้ไม่ค่อยปรากฏความก้าวหน้าของเขา แต่โดยอาศัยทฤษฎีที่ว่าความก้าวหน้าของมนุษย์ เป็นผลจากสาเหตุโดยทั่วไปอันต่อเนื่องนั้น เราจะอธิบายถึงอารยธรรมที่ก้าวหน้าไปไกลแต่แล้วก็หยุดชะงักได้อย่างไร?

เราไม่สามารถจะกล่าวถึงชนเผ่าฮินดูและชาวจีนได้ เช่นเดียวกับที่อาจจะกล่าวได้ถึงคนป่าว่า ความเหนือกว่าของเราเป็นผลจากการศึกษาอบรมที่นานกว่า หรือเราเป็นประดุจผู้ใหญ่แล้วสำหรับธรรมชาติ ในขณะที่พวกเขายังเป็นเด็กอยู่ ชาวฮินดูและชาวจีนเคยเป็นอารยะเมื่อเรายังเป็นคนป่าอยู่ พวกเขามีเมืองใหญ่ ๆ มีการปกครองที่จัดระบบอย่างดีและเข้มแข็ง มีวรรณกรรม ปรัชญา มารยาทที่ขัดเกลา มีการแบ่งงาน (division of labor) มากพอควร มีการพาณิชย์ขนาดใหญ่ และศิลปะอันประณีตบรรจง ในขณะที่บรรพบุรุษของเรายังเป็นคนป่าเถื่อนพเนจร อาศัยในกระท่อมและกระโจมหนังสัตว์ มิได้เจริญไปกว่าอินเดียนแดงเลยแม้แต่น้อย

ในขณะที่เราก้าวหน้าจากสภาพป่าเถื่อนนี้มาสู่อารยธรรมสมัยศตวรรษที่ 19 ชาวฮินดูและจีนกลับหยุดนิ่งอยู่กับที่ ถ้าความก้าวหน้าเป็นผลแห่งบรรดากฎอันแน่นอน หลีกเลี่ยงมิได้ และเป็นนิรันดร์ ซึ่งขับดันมนุษย์ให้ก้าวหน้าไป แล้วเราจะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไร?

ผู้อธิบายปรัชญาแห่งพัฒนาการที่มีผู้นิยมกันมากที่สุดผู้หนึ่ง คือ Walter Bagehot ("Physics and Politics") ได้ยอมรับพลังแห่งการคัดค้านนี้ และพยายามที่จะอธิบายด้วยวิธีนี้: สิ่งแรกที่จำเป็นในการทำให้มนุษย์เป็นอารยะก็คือทำให้เขาเชื่อง ชักนำให้เขาอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์โดยอยู่ภายใต้กฎ แล้วบรรดากฎหมายและขนบประเพณีทั้งหลายก็จะเพิ่มมากขึ้น รุนแรงขึ้นและขยายออกไปด้วยวิธีการเลือกตามธรรมชาติ

เผ่าชนหรือชาติที่รวมกันด้วยวิธีนี้จึงได้เปรียบกว่าเผ่าชนหรือชาติที่มิได้รวมกัน กลุ่มประเพณีและกฎหมายนี้ในที่สุดก็เข้มข้นและแข็งตัวเกินกว่าที่จะทำให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไปได้ ความก้าวหน้านี้จะดำเนินต่อไปได้ก็ต่อเมื่อ ได้เกิดสถานการณ์ที่ชักนำให้มีการอภิปราย และยินยอมให้มีเสรีภาพและความคล่องตัว อันจำเป็นสำหรับการปรับปรุงเจริญขึ้น
คำอธิบายซึ่ง Bagehot ให้ไว้ด้วยความสงสัยบางประการ ตามที่เขากล่าวเองนี้

ข้าพเจ้าคิดว่าทำให้ทฤษฎีทั่วไปหมดความน่าเชื่อถือลงไป แต่ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะกล่าวถึงข้อนั้น เพราะเราย่อมเห็นได้ชัดว่ามันมิได้อธิบายข้อเท็จจริง
แนวโน้มที่ทำให้เกิดการแข็งตัวซึ่ง Bagehot กล่าวถึง จะแสดงตัวเองออกตั้งแต่ระยะต้น ของพัฒนาการ และตัวอย่างของเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้แทบทั้งสิ้นได้มาจากชีวิตคนป่าหรือกึ่งคนป่า แต่อารยธรรมที่หยุดชะงักเหล่านี้ได้ก้าวไปไกลก่อนที่จะหยุดลง จะต้องมีระยะหนึ่งที่อารยธรรมเหล่านี้เจริญไปไกลมากเมื่อเปรียบเทียบกับสภาพที่ป่าเถื่อน แต่ก็ยังคงมีความอ่อนตัว เสรี และก้าวหน้า อารยธรรมที่ชะงักเหล่านี้หยุดลง ณ จุดซึ่งแทบไม่มีอะไรด้อยกว่า และมีหลายด้านที่เหนือกว่าอารยธรรมของยุโรปสมัยราวศตวรรษที่ 16 หรืออย่างเลวที่สุดก็ศตวรรษที่ 15

ตั้งแต่ต้นจนถึงจุดนั้นย่อมจะต้องมีการอภิปราย การต้อนรับสิ่งใหม่ ๆ และกิจกรรมทางสมองทุกชนิด พวกเขามีสถาปนิกผู้ทำให้ศิลปะวิทยาการก่อสร้างเจริญขึ้นจนถึงระดับที่สูงมากด้วย นวัตกรรมหรือการปรับปรุงเป็นลำดับมา มีนักต่อเรือผู้ได้ต่อเรือที่ดีเช่นเรือรบของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ในที่สุดโดยนวัตกรรมมากมายโดยวิธีเดียวกัน มีนักค้นคิดประดิษฐ์ผู้ได้หยุดลงใกล้เคียงกับสิ่งปรับปรุงที่สำคัญที่สุดของเรา และเรายังสามารถจะเรียนรู้จากพวกเขาบางคนด้วยซ้ำไป

มีวิศวกรผู้ก่อสร้างข่ายชลประทานใหญ่และคลองเพื่อการเดินเรือ มีสำนักปรัชญาที่แข่งขันชิงดีกันและมีความคิดที่ขัดแย้งกันในทางศาสนา ศาสนาที่ยิ่งใหญ่ศาสนาหนึ่งซึ่งคล้ายคลึงกับศาสนาคริสต์ในหลายประการ ได้เกิดขึ้นในอินเดีย เข้าแทนที่ศาสนาเก่า ผ่านไปสู่จีน แผ่ออกกว้างขวางทั่วประเทศนั้น แต่แล้วก็ถูกศาสนาอื่นเข้าแทนที่ ณ แหล่งเดิม ๆ ของตนเช่นเดียวกับที่ศาสนาคริสต์ถูกแทนที่ ณ แหล่งแรก ๆ ของตน

นับเป็นเวลานานหลังจากที่มนุษย์ได้รู้จักที่จะดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน ที่มีชีวิต และชีวิตที่แข็งขัน มีนวัตกรรมซึ่งทำให้เกิดการปรับปรุงก้าวหน้า และยิ่งกว่านั้น ทั้งอินเดียและจีนต่างได้ซึมซับชีวิตใหม่จากชาติผู้พิชิต ผู้มีขนบประเพณีและแบบอย่างความคิดแตกต่างออกไปด้วย

อารยธรรมที่หยุดชะงักอย่างมากที่สุด ในบรรดาอารยธรรมที่เรารู้จักกันก็คือ อารยธรรมของอียิปต์ ซึ่งแม้แต่ศิลปะก็กลับมาเป็นรูปธรรมดาและแข็งตัวในที่สุด แต่เรารู้ว่าเบื้องหลังระยะนี้จะต้องมีสมัยที่มีชีวิตชีวาและความกระปรี้กระเปร่า - มีอารยธรรมที่พัฒนาใหม่และขยายออกไปเช่นเดียวกับที่อารยธรรมของเราเป็นอยู่ในขณะนี้ - มิฉะนั้นแล้วศิลปะและศาสตร์จะไม่ขึ้นได้สูงถึงเพียงนั้นเลย

และการขุดค้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ฉายแสงให้เห็นอียิปต์ที่โบราณกว่าจากเบื้องใต้สิ่งที่เรารู้กันมาแต่เดิมเกี่ยวกับอียิปต์ - จากรูปปั้นและรูปแกะสลักซึ่งแทนที่จะเป็นแบบแข็งกระด้างและเป็นพิธีการ กลับเปล่งปลั่งไปด้วยชีวิตชีวาและความหมาย ซึ่งแสดงให้เห็นศิลปะอันทรงพลัง เป็นธรรมชาติ และเสรี อันเป็นเครื่องบ่งชี้แน่นอนถึงชีวิตที่แข็งขันและขยายออกไป สำหรับอารยธรรมทั้งสิ้นซึ่งบัดนี้ไม่ก้าวหน้าแล้วก็จะต้องเคยเป็นเช่นเดียวกัน

แต่ไม่แต่เพียงอารยธรรมที่หยุดชะงักเหล่านี้เท่านั้นที่ทฤษฎีปัจจุบันว่าด้วยพัฒนาการอธิบายมิได้ มิใช่เป็นเพียงว่ามนุษย์ได้เดินไปตามวิถีทางแห่งความก้าวหน้าถึงแค่นั้นแล้วก็หยุดลงเท่านั้น แต่มนุษย์ได้เดินไปไกลตามวิถีทางแห่งความก้าวหน้าแล้วก็ถอยหลังกลับด้วยซ้ำ

สิ่งที่เผชิญกับทฤษฎีนี้ดังกล่าวมิได้มีเพียงกรณีเดียวโดด ๆ เท่านั้น - มันเป็นกฎสากลเลยทีเดียว อารยธรรมทุกอารยธรรมที่โลกได้เคยเห็นมาย่อมมีระยะที่เจริญเติบโตอย่างเข้มแข็ง ระยะชะงักงัน ระยะเสื่อมโทรมและตกต่ำลง ในบรรดาอารยธรรมทั้งสิ้นที่เกิดขึ้นและเจริญรุ่งเรือง บัดนี้ยังคงเหลือแต่อารยธรรมที่ชะงักงันไป และอารยธรรมของเราเองซึ่งยังไม่มีอายุมากเท่าพีระมิดในขณะที่อับราฮัมมองดู - เบื้องหลังพีระมิดนั้นคือระยะ 20 ศตวรรษแห่งประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึก

เป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัยที่ว่าอารยธรรมของเรามีฐานกว้างขวางกว่า เป็นแบบที่ก้าวหน้ามากกว่า เคลื่อนตัวรวดเร็วกว่า และพุ่งขึ้นสูงกว่าอารยธรรมทั้งสิ้นที่มีมาแล้ว แต่ในแง่เหล่านี้ก็ดูมันจะไม่ก้าวหน้าไปกว่าอารยธรรมกรีก-โรมัน มากกว่าที่อารยธรรมกรีก-โรมันจะก้าวหน้าเกินกว่าอารยธรรมของเอเชีย และถ้าหากว่ามันก้าวหน้ามากกว่า นั่นก็มิได้พิสูจน์อะไรเกี่ยวกับความถาวรและความก้าวหน้าในอนาคตของมัน เว้นเสียแต่จะแสดงให้เห็นได้ว่า มันเหนือกว่าในสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเหตุแห่งความล้มเหลวสิ้นเชิงของอารยธรรมรุ่นก่อน ๆ ทฤษฎีปัจจุบันมิได้แสดงข้อนี้

อันที่จริงแล้ว ถ้านับจากการอธิบายข้อเท็จจริงแห่งประวัติศาสตร์สากล ไม่มีทฤษฎีใดที่จะไปได้ไกลกว่าทฤษฎีนี้ ที่ว่า อารยธรรมเป็นผลแห่งวิธีการเลือกของธรรมชาติ ซึ่งกระทำเพื่อปรับปรุงและยกความสามารถของมนุษย์ การที่อารยธรรมได้เกิดขึ้นในเวลาต่าง ๆ กัน สถานที่ต่าง ๆ กันออกไป และก้าวหน้าไปด้วยอัตราเร็วที่แตกต่างกันนั้น มิใช่ว่าจะไม่สอดคล้องกับทฤษฎีนี้ เพราะนั่นอาจจะเป็นผลจากการถ่วงดุลไม่เท่าเทียมกันระหว่างพลังที่ผลักดันและที่ต่อต้านก็ได้

แต่การที่ความก้าวหน้าได้เริ่มต้นขึ้นทุกแห่ง (เพราะแม้แต่ในบรรดาเผ่าชนที่ต่ำที่สุด เราก็ยังถือว่ามีความก้าวหน้าบางประการ) โดยไม่มีแห่งใดเลยที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่กลับหยุดหรือถอยหลังเสียทุกแห่งนั้น ย่อมเป็นการไม่สอดคล้องอย่างสิ้นเชิงทีเดียว

ทั้งนี้เพราะถ้าความก้าวหน้ากระทำเพื่อนำการปรับปรุงเข้ามาติดไว้ในธรรมชาติของมนุษย์ และก่อให้เกิดความก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไปแล้ว ถึงแม้จะมีการสะดุดหยุดลงบ้างเป็นครั้งคราว กฎทั่วไปก็จะเป็นว่าความก้าวหน้าจะต้องต่อเนื่อง - ความก้าวหน้าจะต้องนำไปสู่ความก้าวหน้า และอารยธรรมจะพัฒนาไปสู่อารยธรรมที่สูงส่งยิ่งขึ้น
มิใช่เพียงกฎทั่วไปเท่านั้น หาก กฎสากล ด้วย ที่เป็นตรงกันข้ามกับข้อนี้

โลกคือหลุมฝังศพของจักรวรรดิที่ตายไปแล้วไม่น้อยไปกว่าที่เป็นหลุมฝังศพของคนตาย แทนที่ความก้าวหน้าจะทำให้มนุษย์มีความเหมาะสมสำหรับความก้าวหน้ามากขึ้น อารยธรรมทุกอารยธรรมที่เข้มแข็งและก้าวหน้าในสมัยของตนเองพอ ๆ กับอารยธรรมของเราในสมัยนี้กลับหยุดลงด้วยตนเอง

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ศิลปะได้เสื่อมโทรมลง วิทยาการจมดิ่ง ความสามารถลดถอย ประชากรเบาบางลง จนกระทั่งประชาชนที่ได้สร้างวิหารใหญ่ ๆ และเมืองอันทรงอำนาจ เปลี่ยนทางแม่น้ำและเจาะภูเขา บำรุงพื้นโลกเหมือนเป็นสวน และนำเอาความละเอียดประณีตอย่างที่สุดเข้ามาสู่กิจการย่อยที่สุดของชีวิตนั้น กลับเหลือแต่คนป่าเถื่อนที่น่าสมเพชจำนวนเล็กน้อย ผู้สูญเสียแม้กระทั่งความทรงจำในสิ่งที่บรรพบุรุษของตนได้กระทำไว้ และนับถือว่าชิ้นส่วนที่ยังคงเหลืออยู่ของสิ่งที่ใหญ่โตสูงส่งนั้นเป็นผลงานของอัจฉริยบุคคล หรือของชนชาติที่ทรงอำนาจก่อนน้ำท่วมใหญ่ ข้อนี้นับเป็นความจริงอย่างยิ่ง จนกระทั่งเมื่อเราคิดถึงอดีต จะดูเหมือนว่า มันเป็นกฎที่ไม่รู้จักผ่อนปรนซึ่งเราไม่อาจจะหวังได้รับการยกเว้นได้มากไปกว่าที่ชายหนุ่มผู้ "รู้สึกถึงชีวิตของเขาไปทั่วทุกแขนขา" จะพึงหวังได้รับการยกเว้นจากการแตกดับอันเป็นชะตาร่วมกันของทุกคน

Scipio คร่ำครวญกับซากปรักหักพังแห่งนครคาร์เธจว่า "แม้เช่นนี้ โอ้กรุงโรม วันหนึ่งก็จะต้องเป็นชะตาของเจ้า!" และภาพของ Macaulay ที่มีชาวนิวซีแลนด์พินิจพิจารณาส่วนโค้งที่หักพังของสะพานลอนดอน ก็ดึงดูดจินตนาการแม้แต่ของผู้ที่ได้เห็นเมือง ต่าง ๆ เกิดขึ้นในป่าและช่วยวางรากฐานของจักรวรรดิแห่งใหม่ เช่นเดียวกัน เมื่อเราสร้างอาคารสาธารณะ เราก็ทำโพรงเอาไว้ที่ศิลาฤกษ์และผนึกสิ่งอนุสรณ์ในสมัยของเราไว้ภายในอย่างบรรจง เฝ้าคอยเวลาที่ผลงานของเราจะพินาศลงและตัวเราเองถูกลืม

ทั้งการขึ้นสูงสลับกับการต่ำลงของอารยธรรมนี้ การถอยหลังซึ่งเกิดขึ้นภายหลังความก้าวหน้าอยู่เสมอนี้ จะเป็นหรือไม่เป็นการเคลื่อนไหวตามจังหวะตามเส้นที่เฉียงขึ้นก็ตาม (และข้าพเจ้าคิด ถึงแม้จะไม่ตั้งคำถาม ว่าการที่จะพิสูจน์ว่าเป็นนั้น จะยากยิ่งกว่าที่คิดกันโดยทั่วไปมาก) มันก็ไม่แตกต่างกันประการใด ทั้งนี้เพราะทฤษฎีปัจจุบัน ได้ถูกพิสูจน์หักล้างแล้วในทั้งสองกรณี อารยธรรมได้ตายไปโดยมิได้มีเครื่องแสดงแต่อย่างใด และความก้าวหน้าที่ได้มาโดยยากก็สูญหายไปจากเชื้อชาตินั้นตลอดกาล

แต่ถึงแม้หากจะยอมรับเสียว่า ความก้าวหน้าแต่ละคลื่น ทำให้เกิดคลื่นที่สูงกว่าขึ้นได ้และอารยธรรมแต่ละอารยธรรมส่งผ่านคบเพลิงไปสู่อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่กว่าก็ตาม ทฤษฎีที่ว่าอารยธรรมก้าวหน้าไปโดยการเปลี่ยนแปลงอันเกิดขึ้นในธรรมชาติของมนุษย์ ก็มิได้อธิบายข้อเท็จจริงเหล่านี้

เพราะว่าในทุกกรณี เชื้อชาติที่เริ่มอารยธรรมใหม่นั้นจะมิใช่เชื้อชาติที่ได้รับการศึกษาอบรม และได้รับการปรุงแต่งทางพันธุกรรมจากอารยธรรมเดิม หากเป็นเชื้อชาติใหม่ที่มาจากระดับต่ำ คนป่าเถื่อนแห่งยุคหนึ่งกลับมาเป็นอารยชนแห่งยุคต่อไป แต่แล้วก็ถูกแทนที่อีกต่อหนึ่งด้วยคนป่าเถื่อนพวกใหม่ ทั้งนี้เพราะเป็นจริงตลอดมาเสมอในข้อที่ว่า มนุษย์ภายใต้อิทธิพลแห่งอารยธรรมนั้น ถึงแม้ในขั้นแรกจะเจริญก้าวหน้าขึ้น แต่ภายหลังก็จะต้องเสื่อมทรามลง

อารยชนสมัยนี้มีลักษณะเหนือกว่าอนารยชนมาก แต่ในระยะที่มีความเข้มแข็งสูงสุดนั้น อารยชนก็มีลักษณะเหนือกว่าทุกอารยธรรมที่ตายไปแล้ว แต่มีสิ่งต่าง ๆ เช่นความชั่วร้าย คอร์รัปชั่น และการทำความอ่อนแอให้แก่อารยธรรม ซึ่งได้แสดงตัวเองออกตลอดมาเสมอเมื่อขึ้นสูงเลยจุดหนึ่งไปแล้ว อารยธรรมทุกอารยธรรมที่ถูกคนป่าเถื่อนพิชิตนั้น แท้ที่จริงแล้วได้สลายตัวลงเพราะความเสื่อมภายในตัวเอง
ในทันทีที่ได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงอันเป็นสากลนี้ มันก็จะลบล้างทฤษฎีที่ว่าความก้าวหน้าดำเนินไปโดยการถ่ายทอดทางพันธุกรรม

เมื่อพิจารณาดูตลอดประวัติศาสตร์ของโลกจะเห็นได้ว่า เส้นแนวแห่งความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมิได้ซ้อนทับกับเส้นแนวพันธกรรมใด ๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นช่วงระยะเวลาใดก็ตาม

ดูเหมือนว่าความเสื่อมถอย จะเกิดขึ้นติดตามความเจริญก้าวหน้าไปเสมอบนทุกเส้นแนวแห่งพันธุกรรม
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะกล่าวหรือว่ามีชีวิตแห่งชาติหรือแห่งเชื้อชาติ ดังที่มีชีวิตของแต่ละบุคคล - จะกล่าวหรือว่าสังคมส่วนรวมทุกสังคมเสมือนว่าจะมีพลังงานอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งเมื่อใช้หมดเปลืองไปก็จะทำให้เกิดความเสื่อมขึ้น?

นี่เป็นความคิดที่ดั้งเดิมและแพร่หลายซึ่งยังคงมีผู้ยึดถือกันอยู่มาก และจะได้เห็นปรากฏออกมาอย่างไม่สมเหตุผลอยู่เป็นนิจ ในงานเขียนของบรรดาผู้อธิบายปรัชญาแห่งพัฒนาการ โดยแท้จริงแล้ว ข้าพเจ้ามองไม่เห็นเหตุผลเลยว่า ทำไมเราจะกล่าวถึงสังคมในฐานะสสารและอาการเคลื่อนไหวมิได้ ทั้งนี้เพื่อให้มันเข้าอยู่ภายในกฎทั่วไปของวิวัฒนาการให้เห็นได้ชัด

เพราะเมื่อคิดว่าแต่ละบุคคลในสังคมเป็นประดุจแต่ละปรมาณู ความเจริญเติบโตของสังคมก็คือ "การรวมตัวกันของสสารและการที่อาการเคลื่อนไหวลดลงไปพร้อมกัน ซึ่งในระหว่างนี้ สสารจะผ่านจากฐานะความเป็นเนื้อเดียวกันอันไม่เจาะจงไม่สอดคล้องกัน มาเป็นความต่างแบบกันอันเจาะจงและสอดคล้องกัน และระหว่างนี้อาการเคลื่อนไหวที่ยังคงมีอยู่ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงคู่ขนานกันไป" (Herbert Spencer's definition of Evolution, "First Principles," p. 396)

เช่นนี้เราก็อาจจะแสดงให้เห็นความคล้ายคลึงกัน ระหว่างชีวิตของสังคมกับชีวิตของสุริยจักรวาล ตามสมมติฐานในเรื่องกลุ่มหมอกเพลิง (nebular hypothesis)ได้ ความร้อนและแสงสว่างของดวงอาทิตย์เกิดขึ้น เนื่องจากการรวมตัวกันของปรมาณูซึ่งทำให้เกิดการเคลื่อนไหว ซึ่งในที่สุดก็หยุดลงเมื่อปรมาณูเข้าสู่ดุลยภาพและเกิดสภาพอยู่นิ่งต่อมา

ซึ่งจะเคลื่อนไหวใหม่อีกก็ต่อเมื่อมีแรงจากภายนอกมากระทบ อันจะทำให้ย้อนกรรมวิธีของวิวัฒนาการ ทำให้เกิดอาการเคลื่อนไหวมากขึ้นและสลายสสารออกไปเป็นแก๊ส ซึ่งจะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่งด้วยการรวมตัวกันของแก๊ส

เช่นเดียวกัน เราก็อาจกล่าวได้ว่าการรวมกันของแต่ละบุคคลในประชาคม จะทำให้เกิดพลังอันก่อให้เกิดแสงสว่างและความอบอุ่นแห่งอารยธรรม แต่เมื่อกรรมวิธีนี้หยุดลงและแต่ละบุคคลอันเป็นองค์ประกอบเข้าสู่ดุลยภาพอยู่ ณ ที่ประจำของตน ความชะงักงันก็เกิดตามมา และการกระจัดกระจายเนื่องจากการบุกรุกของคนป่าเถื่อน นับเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเริ่มต้นกรรมวิธีและความเจริญเติบโตของอารยธรรมใหม่อีกครั้งหนึ่ง

แต่การเปรียบเทียบความคล้ายคลึงกันนับเป็นวิธีการคิดที่มีอันตรายที่สุด มันอาจจะเชื่อมต่อความคล้ายคลึงกัน แต่ก็ยังซ่อนพรางหรือปิดบังความจริงเสีย และความคล้ายคลึงกันที่กล่าวแล้วทั้งสิ้นก็เป็นแต่เพียงผิวเผิน เมื่อสมาชิกของประชาคมเกิดขึ้นใหม่เรื่อย ๆ ในสภาพเด็กที่มีพลังใหม่ ประชาคมย่อมไม่แก่ลงด้วยความเสื่อมพลังความสามารถดังเช่นมนุษย์

เมื่อพลังของส่วนรวมจะต้องเท่ากับผลรวมของพลังของแต่ละบุคคลอันเป็นองค์ประกอบ ประชาคมย่อมจะไม่สูญเสียพลังอันสำคัญยิ่งไป นอกจากพลังอันสำคัญยิ่งขององค์ประกอบของมันจะลดลง

แต่ ทั้งในการเปรียบเทียบความคล้ายคลึงกันอย่างสามัญระหว่างพลังชีวิตของชาติกับของแต่ละบุคคล และในการเปรียบเทียบตามที่ข้าพเจ้าเสนอ ย่อมมีการตระหนักถึงความจริงอันเด่นชัดข้อหนึ่งแฝงอยู่ - นั่นคือความจริงที่ว่า อุปสรรคที่ทำให้ความก้าวหน้าหยุดลงในที่สุดนั้น เกิดขึ้นเนื่องจากความก้าวหน้านั้นเอง และสิ่งที่ได้ทำลายอารยธรรมทั้งสิ้นที่แล้วมาก็คือ เงื่อนไขที่เกิดขึ้นเนื่องจากความเจริญเติบโตของอารยธรรมนั้นเอง

นี่เป็นสัจธรรมซึ่งปรัชญาในปัจจุบันได้ละเลยเสีย แต่มันเป็นสัจธรรมที่มีความหมายสำคัญที่สุด ทฤษฎีว่าด้วยความก้าวหน้าของมนุษยชาติจะมีเหตุผลฟังขึ้นก็ต้องอธิบายสัจธรรมข้อนี้ด้วย.


 

สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I สารบัญเนื้อหา 3
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

 

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด กว่า 530 เรื่อง หนากว่า 6500 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 120 บาท(รวมค่าส่ง)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

 

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com




 

H
เว็ปไซต์ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ออกแบบขึ้นมาเพื่อใช้กับ Display properties : screen area 600 X 800 pixels ซึ่งจะให้ภาพที่คมชัดและสมบูรณ์ที่สุด

ข้าพเจ้าให้ชื่อเรื่องที่แปลกประหลาดแต่เป็นความจริงแก่ประวัติศาสตร์สากล - ความเสียสละของมนุษย์ มนุษยชาติได้ยอมรับทุกข์ทรมานมาทุกรุ่นทุกสมัยเพื่อว่าลูก ๆ ของตนจะได้รับผลประโยชน์จากความทรมานนั้น ความรุ่งเรืองในสมัยของเราเกิดขึ้นมาจากความปวดร้าวของอดีต ดังนั้นจะเป็นการไม่ยุติธรรมหรือที่เราจะพึงรับทุกข์ด้วยเพื่อผลประโยชน์ของผู้ที่จะเกิดมาภายหลัง?

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด กว่า 550 เรื่อง หนากว่า 7000 หน้า ในรูปของ CD-ROM ในราคา 120 บาท(รวมค่าส่ง) สนใจสั่งซื้อได้ที่
midnightuniv(at)yahoo.com
หรือ ส่งธนาณัติถึง
สมเกียรติ ตั้งนโม : ไปรษณีย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 50202

กรุณาส่งธนาณัติแลกเงินไปยัง
สมเกียรติ ตั้งนโม : คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถนนสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50202
อย่าลืมเขียนชื่อ ที่อยู่ ของผู้รับตัวบรรจงด้วยครับ เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการจัดส่งทางไปรษณีย์

แต่อารยธรรมที่หยุดชะงักเหล่านี้ได้ก้าวไปไกลก่อนที่จะหยุดลง จะต้องมีระยะหนึ่งที่อารยธรรมเหล่านี้เจริญไปไกลมากเมื่อเปรียบเทียบกับสภาพที่ป่าเถื่อน แต่ก็ยังคงมีความอ่อนตัว เสรี และก้าวหน้า อารยธรรมที่ชะงักเหล่านี้หยุดลง ณ จุดซึ่งแทบไม่มีอะไรด้อยกว่า และมีหลายด้านที่เหนือกว่าอารยธรรมของยุโรปสมัยราวศตวรรษที่ 16 หรืออย่างเลวที่สุดก็ศตวรรษที่ 15 ตั้งแต่ต้นจนถึงจุดนั้นย่อมจะต้องมีการอภิปราย การต้อนรับสิ่งใหม่ ๆ และกิจกรรมทางสมองทุกชนิด พวกเขามีสถาปนิกผู้ทำให้ศิลปะวิทยาการก่อสร้างเจริญขึ้นจนถึงระดับที่สูงมากด้วย นวัตกรรมหรือการปรับปรุงเป็นลำดับมา มีนักต่อเรือผู้ได้ต่อเรือที่ดีเช่นเรือรบของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ่และเรายังสามารถจะเรียนรู้จากพวกเขาบางคนด้วยซ้ำ

ผลงานวิชาการชิ้นนี้ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็ปไซต์ วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๘ : ไม่สงวนสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์ทางวิชาการ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนขอขอบคุณ
เจ้าของพื้นที่ www.thaiis.com ที่กรุณาให้ใช้พื้นที่ฟรีในการเผยแพร่งานวิชาการ