H

เว็ปไซค์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ทางเลือกเพื่อการศึกษาสำหรับสังคมไทย :

บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ 360 หัวเรื่อง
เกี่ยวกับการครอบงำทางวัฒนธรรม
สมเกียรติ ตั้งนโม:
คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

(บทความนี้ยาวประมาณ 13 หน้า)
หากนักศึกษาหรือสมาชิก ประสบปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลดขนาดของ font ลง จะแก้ปัญหาได้

บทความของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน สามารถคัดลอกไปใช้ประโยชน์ทางวิชาการได้ หากนำไปใช้ประโยชน์ กรุณาแจ้งให้ทราบที่

midnightuniv(at)yahoo.com
midnight2545(at)yahoo.com

130347
release date
R
นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจทุกท่าน หากประสงค์จะตรวจดูบทความอื่นๆของเว็ปไซค์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ท่านสามารถคลิกไปดูได้จากตรงนี้ ไปหน้าสารบัญ
Wisdom is the ability to use your experience and knowledge to make sensible decision and judgements

บทความวิเคราะห์เกี่ยวกับภาพยนตร์อเมริกัน
ภาพยนตร์: จักรวรรดิ์วัฒนธรรมอเมริกัน
สมเกียรติ ตั้งนโม : แปลและเรียบเรียง
สาขาจิตรกรรม คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

บทความนี้ ยาวประมาณ 13 หน้ากระดาษ A4
เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็ปมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน วันที่ 8 มีนาคม 2547

บทความชิ้นนี้มาจากหนังสือเรื่อง Media and Society ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 เขียนโดย Michael O' Shaughessy และ Jane Stadler
สำนักพิมพ์ Oxford University Press ปีที่พิมพ์ 2002
(ในส่วนของ Part 3, Chapter 9 เรื่อง Genres, Codes, and conventions หน้า 119-126)

จักรวรรดิ์นิยมวัฒนธรรมอเมริกัน (American Cultural Imperialism)
เราต้องการที่จะพูดถึงบางสิ่งบางอย่างในที่นี้เกี่ยวกับความสำคัญของฮอล์ลีวูดและสหรัฐอเมริกาในบริบทของสังคมโลก ภาพยนตร์ถือว่าเป็นสื่อชนิดใหม่อันหนึ่งในช่วงเริ่มต้นของคริสตศตวรรษที่ยี่สิบ

ในสหรัฐอเมริกา การผลิตภาพยนตร์ได้รับการสร้างขึ้นมาในฮอล์ลีวูดโดยผ่านระบบสตูดิโอ
ในระบบนี้ มีวิธีการอยู่ 3 ขั้นตอนหลักเกี่ยวกับการผลิตภาพยนตร์ ได้แก่

1. การผลิตภาพยนตร์
2. การจัดจำหน่าย และ
3. การนำภาพยนตร์ออกฉาย

ทั้งหมดนี้ได้รับการควบคุมโดยคนกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งของสตูดิโอต่างๆ อย่างเช่น Warner Brothers และ MGM
(Cook 1985, pp. 7-8, 10-25)

ภาพยนตร์ทั้งหลายที่สร้างขึ้นมาภายใต้ระบบนี้ได้รับการจัดทำขึ้นในสหรัฐอเมริกา และได้รับการโฟกัสลงในเนื้อหาอเมริกัน ด้วยเหตุนี้ พวกมันจึงกลายเป็นรูปแบบหนึ่งของการยกย่อง, การสะท้อนถ่าย, และสำรวจถึงสังคมอเมริกัน - นั่นคือ อุดมคติของคนอเมริกัน, ปัญหาต่างๆ, และความขัดแย้งของสังคมอเมริกัน

แนวภาพยนตร์ที่สำคัญที่สุดสองแนว คือ ภาพยนตร์แนวตะวันตกและแนวกลุ่มแก๊งต่างๆ(the Western and the Gangster film) ได้รับการอธิบายในฐานะที่เป็นแนวภาพยนตร์ที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์และสังคมอเมริกัน มันเป็นแนวภาพยนตร์ที่ยินยอมให้สหรัฐอเมริกาสามารถที่จะพูดถึงตัวของตัวเองได้ (McArthur, p.18)

สำหรับหลายๆเหตุผล ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ระบบสตูดิโอของฮอล์ลีวูดได้กลายมาเป็นรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีอิทธิพลต่อการสร้างภาพยนตร์ไปทั่วโลก คุณอาจให้เหตุผลว่า นับจากนั้นเป็นต้นมา วัฒนธรรมอเมริกันได้กลายเป็นวัฒนธรรมของโลกไป อันนี้ได้ก่อให้เกิดประเด็นปัญหาทั้งหมดเกี่ยวกับจักรวรรดิ์นิยมวัฒนธรรม

โดยเหตุนี้ จักรวรรดิ์นิยมวัฒนธรรมจึงอธิบายถึงกระบวนการซึ่ง วัฒนธรรมอันหนึ่งได้ยืนยันถึงอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจเหนือกว่าอีกวัฒนธรรมหนึ่ง (หรือเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่นๆ) โดยไม่จำเป็นต้องบีบบังคับด้วยกำลังอาวุธ แต่กระทำโดยผ่านการรุกรานทางวัฒนธรรมที่มีผลต่อคุณค่าหรือค่านิยม และอุดมคติของวัฒนธรรมอื่นๆ - ในกรณีที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้คือ ภาพยนตร์ทั้งหลาย

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้มิได้ถูกกระทำในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์ทางการเมืองอเมริกันอันละเอียดรอบคอบแต่อย่างใด มันเป็นผลผลิตอันหนึ่งของการกำหนดหรือความตั้งใจทางด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมมากกว่า และเกี่ยวกับการควบคุมของเนื้อหาต่างๆทางวัฒนธรรม, การสื่อสาร, และการกระจายข่าวสารข้อมูลโดยผ่านสื่อสารมวลชน

สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตากว่าสิ่งอื่นของภาพยนตร์อเมริกัน มีพื้นฐานอยู่บนเรื่องเศรษฐกิจ ภาพยนตร์อเมริกันและอุตสาหกรรมบันเทิงทางโทรทัศน์ ได้แสดงบทบาทที่สำคัญอันหนึ่งในด้านเศรษฐกิจอเมริกัน และความโดดเด่นของภาพยนตร์อเมริกันที่ขจรขจายไปทั่วโลก ได้นำมาซึ่งผลกำไรที่เป็นกอบเป็นกำต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งผลกำไรเหล่านี้มาจากประเทศต่างๆมากมาย [บางส่วน(ไม่ทั้งหมด)มันได้ไปทำลายอุตสาหกรรมต่างๆทางด้านสื่อของท้องถิ่น] ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถพูดได้ว่า สหรัฐอเมริกาดำรงอยู่ได้ด้วยต้นทุนของประเทศอื่นในทางเศรษฐกิจ

มีการต่อสู้กันอย่างมากเกี่ยวกับภาพยนตร์และโทรทัศน์อเมริกันว่า ควรจะถูกกลั่นกรองในประเทศต่างๆมากแค่ไหน

ในประเทศที่ต้องการกลั่นกรองเหล่านี้ สื่ออเมริกันถูกรับรู้ว่าเป็นอันตรายทางวัฒนธรรม นอกจากนี้มันยังเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจและศีลธรรมต่างๆด้วย ซึ่งอันนี้เกี่ยวพันโยงใยไปถึง ความโดดเด่นสะดุดตามากกว่าคนอื่นของภาพยนตร์และโทรทัศน์อเมริกัน

มากยิ่งไปกว่านั้น การไหลบ่าเข้ามาของผลผลิตอเมริกันยังถูกมองในฐานะที่เป็นข้อจำกัดอันหนึ่ง ในการแสดงออกของมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศของตน; กล่าวคือ ข้อจำกัดที่มีต่องานสร้างสรรค์ของท้องถิ่น และต่อโอกาสในเชิงสร้างสรรค์เกี่ยวกับอุตสาหกรรมต่างๆทางด้านสื่อของท้องถิ่น; และอิทธิพลที่เป็นอันตรายต่อค่านิยมทั้งหลายของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในความสัมพันธ์กับเยาวชนทั้งหลาย

ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสหรัฐอเมริกากับวัฒนธรรมอื่นๆ คือแกนกลางหลักในคริสตศตวรรษที่ยี่สิบ สหรัฐอเมริกามีพลังอำนาจครอบงำโลกในศตวรรษนี้ การแทรกแซงของมันในสงครามโลกทั้งสองครั้งนำไปสู่การยืนหยัดของพวกเขา; เศรษฐกิจของอเมริกันมีพลังอำนาจมากที่สุดในโลก; ค่านิยมต่างๆของมันได้แผ่ซ่านและแพร่กระจายไปยังทั่วโลกมากที่สุด

เราเสนอว่า มันเป็นธรรมดาที่จะพบความสัมพันธ์ในแบบ "รักและชัง" กับสหรัฐอเมริกาในส่วนของผู้คนจากนานาประเทศ อันนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของผมที่เติบโตขึ้นในสหราชอาณาจักรในช่วงทศวรรษที่ 1950s และ 1960s. ในช่วงระหว่างเวลานี้ สังคมอังกฤษจำนวนมากได้ถูกรบกวนโดยการไหลบ่าเข้ามาของวัฒนธรรมเยาวชนอเมริกัน; ยกตัวอย่างเช่น บาร์นม-ขนมขบเคี้ยวและไอศครีม, ดนตรีร็อคแอนด์โรลล์, ตู้เพลง, และอื่นๆ (Hogart 1958)

ผู้คนจำนวนมากยังถูกนำเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ได้รับการมอง ในฐานะที่เป็นภาพราคาถูก และรู้สึกตื่นเต้นเกี่ยวกับเซ็กซ์และความรุนแรงในภาพยนตร์ และนวนิยายที่ขายกันตามท้องถนนและคุณภาพต่ำจากสหรัฐอเมริกา ขณะที่บรรดาเจ้าหน้าที่และผู้มีอำนาจชาวอังกฤษ มองการไหลบ่าเข้ามาของผลผลิตทางวัฒนธรรมอเมริกัน ในฐานะที่เป็นการคุกคามต่อศีลธรรมและวัฒนธรรมของเยาวชนทั้งหลาย คนหนุ่มสาวเหล่านี้ ตัวของพวกเขาเองบ่อยครั้งพบว่า วัฒนธรรมอเมริกันมันเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นและให้ความเป็นอิสระ

ภาพยนตร์, นวนิยาย, และดนตรีอเมริกัน เหล่านี้ล้วนขัดแย้งหรือตรงข้ามกับความจืดชืดไร้ชีวิตชีวา, ความอดกลั้น, และข้อจำกัดของการดำเนินชีวิตแบบของคนอังกฤษ ด้วยเหตุดังนั้น พวกมันจึงถูกบริโภคอย่างหื่นกระหายโดยผู้คนชาวอังกฤษเป็นจำนวนมาก

ในอังกฤษและยุโรป วัฒนธรรมป๊อปิวล่าร์อเมริกันเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปลดปล่อยความเป็นอิสระในช่วงทศวรรษที่ 1960s. ในทำนองเดียวกัน การต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นจากอิทธิพลวัฒนธรรมอเมริกันปรากฏชัดเจนขึ้นในออสเตรเลีย ทั้งในช่วงเวลานั้นและกระทั่งปัจจุบันนี้ การต่อสู้ดิ้นรนดังกล่าว บ่อยทีเดียวกระทำต่อเยาวชนคนหนุ่มสาวมาโดยตลอด ผู้ซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกลากจูงไปกับความน่าตื่นเต้นของวัฒนธรรมอเมริกัน

อันนี้เป็นที่ชัดเจนจากโฆษณาจำนวนหนึ่งที่บรรดาบริษัทอเมริกันทั้งหลาย (ยกตัวอย่างเช่น McDonald, Coca-Cola, และ Pepsi)ได้กระทำ ซึ่งพวกเขาเฉียบคมและจดจ่อกับเป้าหมายที่เป็นตลาดของคนหนุ่มสาว

ให้ลองพิจารณาถึง Happy Meal ของ Mc Donald และวิธีการอันเป็นความคิดในเชิงอุดมคติอันหนึ่งของพวกเด็กๆ ในฐานะที่เป็นช่วงแห่งความสุขอันไร้เดียงสา ซึ่งเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเกมส์ต่างๆ สิ่งเหล่านี้มันได้ถูกทำขึ้นมาเป็นหีบห่อ และขายให้แก่ผู้บริโภคทั้งหลายในฐานะที่เป็นสินค้าชิ้นหนึ่ง เมื่อมันจับกลุ่มเป้าหมายได้แล้วครั้งหนึ่ง บรรดาผู้บริโภคเหล่านี้ก็จะอุทิศชีวิตให้กับการบริโภคไปจนตลอดชีวิต

มายาคติในด้านบวกเอามากๆของสหรัฐอเมริกาก็คือว่า "มันเป็นดินแดนหนึ่งของการให้โอกาส, อิสรภาพ, ความเจริญรุ่งเรือง, และความเสมอภาค" มันได้รับการมองในฐานะที่เป็นเบ้าหลอมอันหนึ่งทางสังคม ซึ่งทุกผู้ทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้ และยังถูกรับรู้ในฐานะที่เป็นการหลุดพ้นอันยิ่งใหญ่ไปจากความโบร่ำโบราณ และสังคมในแบบจารีตและมีข้อจำกัดมากต่างๆ

เป็นเวลาหลายต่อหลายปี สหรัฐอเมริกาเชื้อเชิญและรับเอาการไหลบ่าเข้ามาของผู้อพยพ ผู้ซึ่งได้มาสร้างสรรค์ชีวิตความเป็นอยู่ใหม่สำหรับพวกเขาเอง ความดึงดูดใจของข้าพเจ้าที่มีต่อวัฒนธรรมอเมริกันได้พัฒนาขึ้นโดยผ่านเพลงป๊อป, ภาพยนตร์, โทรทัศน์, และวรรณกรรม สิ่งเหล่านี้คือรูปแบบต่างๆของสุนทรียภาพซึ่งข้าพเจ้าเพลิดเพลินเจริญใจมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับภาพยนตร์

แต่ในเวลาเดียวกันข้าพเจ้าก็รู้สึกต่อต้านอิทธิพลของวัฒนธรรมอเมริกัน เพราะข้าพเจ้าเชื่อว่ามันได้ให้การยกย่องสรรเสริญคุณค่าต่างๆทางด้านวัตถุนิยม ซึ่งได้ไปทำลายทุกสิ่งทุกอย่างลง และเพราะผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจที่มันเป็นพันธมิตรด้วย ซึ่งดูเหมือนว่ากำลังเข้าไปควบคุมและตักตวงผลประโยชน์จากส่วนที่เหลือของโลกทั้งหมด

ความสัมพันธ์แบบรักและชังนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาร่วมกันทั้งในในออสเตรเลีย, สหราชอาณาจักร, และส่วนที่เหลือของทวีปยุโรป โดยไม่จำต้องพูดถึงญี่ปุ่น, เอเชีย, และส่วนอื่นๆของโลก! วัฒนธรรมอเมริกันได้ให้คำมั่นสัญญาในเรื่องของพลังอำนาจ, ความเซ็กซี่, ความมีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศ, และอิสรภาพ; แฟชั่นอเมริกันและสไตล์อเมริกันต่างๆ ได้ถูกยึดครองโดยบรรดาคนหนุ่มสาวในทุกๆภาคพื้นทวีป; และลัทธิทุนนิยมและการแข่งขันได้กลายเป็นอุดมคติแบบใหม่ต่างๆของสหภาพโซเวียต และของบรรดาประเทศคอมมิวนิสต์

แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีความเกรงกลัวบางอย่างต่อการครอบงำทางวัฒนธรรมอันนี้ พวกเขารู้สึกหวาดหวั่นถึงวิถีทางดังกล่าว ซึ่งมันได้กัดกร่อนคุณค่าต่างๆทางด้านขนบประเพณี และตระหนักเกี่ยวกับความรุนแรงของการแข่งขันของมัน ยกตัวอย่างเช่น มันจะมีผลกระทบอย่างไร ต่อการไหลบ่าของวัฒนธรรมอเมริกันเข้ามาสู่วัฒนธรรมออสเตรเลียน, อังกฤษ, และประเทศอื่นๆ, ไม่ว่าจะเป็นด้านกีฬา, ดนตรี, และค่านิยมต่างๆของคนหนุ่มสาวในออสเตรเลีย, สหราชอาณาจักร, และประเทศที่เหลือ?

หนทางหนึ่งในการพิจารณาเกี่ยวกับประเด็นปัญหานี้เสนอว่า ภาพยนตร์และโทรทัศน์ควรจะมีจุดมุ่งหมายที่จะเล่าถึงเรื่องราวต่างๆของวัฒนธรรมตนเอง ยกตัวอย่างเช่น ออสเตรเลียและสหราชอาณาจักร ควรจะนำเสนอเรื่องราวทั้งหลายเกี่ยวกับชาวออสเตรเลียน หรือผู้คนชาวอังกฤษ ซึ่งอยู่ในประเทศของพวกเขาเอง

การแลกเปลี่ยนกันดังต่อไปนี้ใน Media Report ของ ABC Radio National ระหว่าง นักวิจารณ์ทางวัฒนธรรม John Hartley และ Mick O'Regan ที่ได้พูดถึงประเด็นปัญหาดังกล่าว ในความสัมพันธ์กับการครอบงำเกี่ยวกับ "ละครตลกสถานการณ์ของวัฒนธรรมอเมริกัน"(American situation comedies) ซึ่งมีต่อทีวีออสเตรเลียนดังนี้

O'Regan: ถ้าหากว่าโทรทัศน์ตั้งใจที่จะเล่าถึงเรื่องราวของเราเอง ทำไมเนื้อหาจำนวนมากของมันที่เกี่ยวกับผู้คน อย่างน้อยที่สุดเมื่อดูอย่างผิวๆ จึงดูเหมือนว่ามีส่วนร่วมกับบรรดาคนดูของพวกมันน้อยมากเล่า? โทรทัศน์ได้กีดกั้นการแสดงออกที่แตกต่าง และนำเสนอผลผลิตอันหนึ่งที่มีลักษณะโลกาภิวัตน์, เป็นผลผลิตภาพทางไกลที่มีรูปแบบหนึ่งเดียวกัน, มันเป็นผลผลิตของ McDonald ทางด้านอิเล็คทรอนิคชนิดหนึ่งใช่ไหม?

Hartley: ประเทศต่างๆ… นับจากมาเลเซียและสิงคโปร์, ถึงฝรั่งเศสและกระทั่งออสเตรเลีย… ต่างก็มีความเกี่ยวข้องกัน… เกี่ยวกับเนื้อหาท้องถิ่นและเกี่ยวกับการรักษาเอาไว้ซึ่งวัฒนธรรมของประชาชาติต่างๆที่มีความหลากหลาย …แต่… ใครสักคนต้องการที่จะเข้าใจว่า โดยทั่วไปแล้ว มันคือเราในฐานะที่เป็นมนุษย์ ซึ่งได้ดูรายการตลกทางโทรทัศน์ และเราไม่ได้จ้องมองมันในฐานะชาวออสเตรเลียน แต่ว่าเราจ้องมองมันในฐานะครอบครัวต่างๆ และสิ่งที่เรากำลังถูกสอนโดยรายการตลกทางโทรทัศน์

รายการตลกทางโทรทัศน์ของอเมริกันถือว่ายอดเยี่ยมที่สุดในเรื่องนี้ มันคือการวางตนที่เหมาะสมกับครอบครัว เช่นว่า จะประพฤติปฏิบัติตัวของเราเองอย่างไร คุณก็รู้ ในความสัมพันธ์กับญาติทางสายเลือดที่เป็นวัยรุ่นของเรา หรือในความสัมพันธ์กับพ่อแม่ หรือกับสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นและเป็นไป

มาถึงตอนนี้ มันใกล้ที่เราจะร้องตะโกนหรือก่นด่าถึงความเป็นสากลดั่งที่มันเป็น ด้วยเหตุนี้ ผมคิดว่าเมื่อคุณกำลังดูรายการอย่างเช่น Clarissa Explains it All, ซึ่งเป็นหนังตู้ที่ก่อนจะดูต้องหยอดเหรียญ(nickelodeon) ซึ่งคุณคุ้นเคยกับมันมาตั้งแต่อายุ 11-12 คุณไม่ได้ดูมันในฐานะที่เป็นคนออสเตรเลียน คนฝรั่งเศส หรือคนมาเลเซีย… ตามข้อเท็จจริง มันคือแผ่นใสหรือภาพสไลด์ของรูปแบบต่างๆของโทรทัศน์ที่พื้นฐานเอามากๆ ซึ่งข้ามผ่านพรมแดนของความเป็นชาติ และในความคิดของผม แน่นอนแม้ว่าอันนี้มันจะไม่ถึงกับมีการถกเถียงกันอย่างดุเดือด มันจะไม่คุกคามวัฒนธรรมประชาชาติต่างๆเท่าใดนัก แต่มันก็ได้ถูกดูดซับเข้าไปสู่วัฒนธรรมของประชาชาติต่างๆแล้ว

O'Regan: ด้วยเหตุดังนั้น อะไรล่ะเพื่อนที่มันดึงดูดใจชาวโลกเกี่ยวกับโปรแกรมอย่างเช่น รายการตลกทางโทรทัศน์อเมริกัน ? คนหนุ่มสาวที่แอฟริกาใต้ซึ่งอยู่ใน Soweto หรือชาวออสเตรเลียนเชื้อสายอะบอริจินในชุมชนที่ห่างไกล อย่าง Yuendumu มีความสัมพันธ์กับเรื่องตลกวิตถารต่างๆของ 30-something New Yorkers พวกนั้นอย่างไร ?

Hartley: นั่นเป็นคำถามที่น่าสนใจมาก ซึ่งผมไม่มีคำตอบง่ายๆชัดๆแม้ว่าผมจะรู้มันก็ตาม ในข้อเท็จจริงเมื่อเร็วๆนี้ ผมได้ให้ความเอาใจใส่ต่อคนที่ทำปริญญาเอกบางคน ซึ่งศึกษาเรื่องเกี่ยวกับรายการตลกทางโทรทัศน์ในแอฟริกาใต้ และจากข้อเท็จจริงคือว่า (อันนี้เป็นไปได้มากที่จะสวนกับข้ออ้างหรือเหตุผลที่ผมได้พูดไปแล้ว) พวกเขาชื่นชอบเรื่องตลกที่ทำในแอฟริกาใต้มากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันเกี่ยวพันกับเงื่อนไขต่างๆของประเทศของเขา เป็นไปได้เพราะว่ามันมีลักษณะเฉพาะมากกว่า ดังนั้นแน่นอน มันมีความสนใจอันหนึ่งในฐานะที่เป็นสภาพเงื่อนไขของตัวมันเอง

และในส่วนของ Yuendumu หรือบางทีอย่างที่ Kimberleys ผมรู้ว่ามันมีผู้คนที่นั่นซึ่งค่อนข้างเอาใจใส่และเป็นห่วงเกี่ยวกับว่า บรรดาเด็กๆและเยาวชนเชื้อสายอะบอริจินกำลังใส่หมวกแก๊ปของพวกเขากันด้วยวิธีไหน คุณก็รู้ พวกที่ใส่หมวกที่ให้ปีกกันแดดหันมาข้างหน้าตามปกติ เพราะพวกเขาถือว่าพวกเขาเป็นออสเตรเลียน หรือถ้าพวกเขาสวมมันกลับหลัง(เอาปีกกันแดดไปไว้ด้านหลัง) ก็เป็นเพราะพวกเขากำลังทำตัวเหมือนกับผู้คนในนิวยอร์ค มันเป็นคำถามที่ดี และสิ่งเหล่านี้ต้องนำเอามาคิดในรายละเอียด

แต่ผมยังคงต้องการที่จะหวนกลับไปยังประเด็นที่ผมสร้างขึ้น ซึ่งนั่นก็คือ อะไรที่มันกำลังเกิดขึ้นมาและเป็นไป นอกเหนือไปจากความพึงพอใจกับการได้ดูผู้คนซึ่งดึงดูดใจมาก กับฟันที่สวยๆตั้งครึ่งค่อนชั่วโมง ซึ่งนั่นเป็นชนิดหนึ่งของการเล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของเพศตรงข้าม มาถึงตรงนี้ เรากำลังพูดถึงผู้คนในแอฟริกาใต้ และผู้คนในใจกลางทวีปออสเตรเลีย ซึ่งไม่มีเรื่องของเพศตรงข้ามอยู่ใช่ไหม? แน่นอน ไม่ใช่แน่ๆ

ด้วยเหตุดังนั้น ถ้าเผื่อว่าพวกเขาสนใจในเรื่องราวหรือประเด็นดังกล่าว พวกเขาก็จะพบว่า รายการแสดงอันนั้นมันเป็นที่ดึงดูดใจ หรือถ้าหากว่าพวกเขาไม่สนใจ มันก็ไม่ (ABC Radio National, The Media Report, 21 ธันวาคม 2000)

เราไม่ต้องการที่จะชี้แนะอะไรเพิ่มเติม เกี่ยวกับคำตอบง่ายๆข้างต้นต่อประเด็นปัญหานี้ - มันออกจะซับซ้อนมากเกินไป - แต่เราต้องการที่จะดึงความสนใจไปสู่เรื่องนี้ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของทิวทัศน์สื่อ

คุณควรที่จะคิดถึงมัน ดังที่คุณได้ผสมผสานความคิดและความรู้สึกเท่าที่เป็นไปได้เกี่ยวกับวัฒนธรรมอเมริกัน และที่ทางของมันซึ่งอยู่ในสังคมของคุณเอง และอันที่จริงก็คือในจิตใจของคุณ (ที่ทางของมันภายในอัตลักษณ์และความเป็นอัตวิสัยของคุณ) แล้วลองเปรียบเทียบกับอุดมคติต่างๆหรือความฝันของสังคมอเมริกัน, ออสเตรเลียน, และอังกฤษ

สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย ทั้งสองเป็นประเทศที่ยังคงหนุ่มแน่น เมื่อมองจากมุมมองของผู้อาศัยอยู่ในอาณานิคมเหล่านี้ ส่วนอังกฤษนั้น ได้สร้างความฝันต่างๆเกี่ยวกับชีวิตในอนาคตของตนเองแล้วว่าควรเป็นอย่างไร เหล่านี้คือความฝันเกี่ยวกับความเสมอภาคทางสังคมและการมีโอกาส

แต่ขณะที่ความฝันของคนอเมริกันเป็นหนึ่งในความฝันที่ประสบความสำเร็จ - การคิดถึงเป้าหมายต่างๆของ"การทำให้มันไปจนกระทั่งถึงจุดสุดยอด"(making it to the top) และคำพูดที่ว่า"ใครๆก็สามารถที่จะเป็นประธานิธิบดีได้"(anyone can become President) - เมื่อเปรียบเทียบกับความฝันของคนออสเตรเลียนแล้ว มันค่อนข้างมีความทะเยอทะยานน้อยกว่า

ความฝันของคนออสเตรเลียนค่อนข้างที่จะถ่อมตนมากกว่ามาก: นั่นคือ การได้เป็นเจ้าของที่ดินสักพื้นขนาดหนึ่งในสี่เอเคอร์ มีครอบครัวและมีงานดีๆทำ กล่าวอีกอย่างหนึ่งมันเป็นเรื่องของความอยู่รอด มีความสุขตามอัตภาพ และการทำมันให้สำเร็จ มากกว่าความสำเร็จอันน่าตื่นเต้น

หากย้อนกลับไปกล่าวถึงภาพยนตร์เรื่อง Thelma and Louise (โปรดดูเรื่อง"วิเคราะห์แนวภาพยนตร์ในโลกตะวันตก) พวกเราสามารถที่จะมองเห็นอันนั้นได้ เพราะว่าแนวภาพยนตร์ดังกล่าวที่มันทำงาน (ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการผสมผสานกันระหว่างภาพยนตร์แนวตะวันตก, แนวฉากบนท้องถนน, และแนวคู่หู) ซึ่งโดยสาระแล้ว มันคือแนวภาพยนตร์ของอเมริกันชน - พวกมันได้รับการสืบทอดมาจากวัฒนธรรม, สังคม, และประวัติศาสตร์อเมริกัน - พวกมันเป็นข้อคิดเห็นที่มีประโยชน์อันหนึ่งต่อสังคมนั้น ในแง่มุมนี้ การปะทะกันซึ่งเป็นตอนจบของภาพยนตร์เรื่องนี้ อาจเป็นการขานรับที่เหมาะสมอันหนึ่งได้เป็นอย่างดี และเป็นการแสดงข้อคิดเห็นและคำวิจารณ์ต่อสภาพการณ์ของสังคมอเมริกัน

แต่นั่นคือคุณค่าต่างๆของภาพยนตร์แนวตะวันตก, ภาพยนตร์ที่เสนอฉากบนท้องถนน(the road movie), และภาพยนตร์แนวคู่หูที่เป็นสากลใช่ไหม? พวกมันมีประโยชน์ต่อผู้ดูชาวออสเตรเลียน, เอเชียน, แอฟริกัน หรืออังกฤษใช่หรือไม่? ขณะที่เราไขว่คว้าแนวภาพยนตร์อเมริกัน เรากำลังถูกลากจูงหรือชักนำไปสู่สังคมและค่านิยมอเมริกันมากขึ้นใช่หรือไม่? หรือเราสามารถที่จะจ้องดูภาพยนตร์พวกนั้นโดยไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญของค่านิยมเหล่านี้เลยใช่ไหม? อีกครั้ง ที่คำถามเหล่านี้มันมีเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ และที่มันถูกนำเสนอในที่นี้ก็เพื่อที่จะให้คุณคิดถึงมันต่อไป

ลองบันทึกถึงความรู้สึกและความคิดของคุณเกี่ยวกับวัฒนธรรมอเมริกัน ลองสังเกตว่า บ่อยมากแค่ไหนที่คุณได้เห็นหลักฐานต่างๆเกี่ยวกับมันในวัฒนธรรมที่รายรอบตัวคุณ และลองจดรายการเกี่ยวกับผลผลิตทางวัฒนธรรมต่างๆจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นที่นิยมชมชอบโดยสื่อต่างๆ. รายการที่คุณจดไว้อาจรวมถึงภาพยนตร์, รายการโทรทัศน์, นิตยสารต่างๆ, แฟชั่น, คนที่มีชื่อเสียง, และฟู๊ดเชนส์(food chains)ที่คุณชอบ หรือที่คุณเกลียดก็ได้ หรือที่คุณแทบจะไม่สังเกตเห็นมัน เพราะว่าพวกมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของสายใยในชีวิตประจำวันของคุณไปแล้ว

ลองพิจารณาว่า คุณรู้สึกเกี่ยวกับอิทธิพลอันนี้อย่างไร และถามตัวคุณเองว่าทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น ลองสังเกตว่า เหตุการณ์ต่างๆในวันที่ 11 กันยายนมีอิทธิพลต่อความคิดของคุณอย่างไร และคุณรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับจักรวรรดิ์นิยมวัฒนธรรมอเมริกัน? ลองจดบันทึกคำสัมภาษณ์ต่างๆที่มีกับคนหนุ่มสาวและคนแก่ ลองถามพวกเขาเกี่ยวกับท่าทีหรือทัศนคติต่างๆที่มีต่อสหรัฐอเมริกา และต่อวัฒนธรรมอเมริกัน แล้วตรวจสอบดูว่าคนที่ให้สัมภาษณ์เหล่านั้นให้คำตอบในทำนองเดียวกันหรือไม่?

ระหัสและขนบประเพณีต่างๆ ในภาพยนตร์(Codes and Conventions)
แนวภาพยนตร์ต่างๆ ทำงานบนพื้นฐานของระหัสหรือหลักเกณฑ์และขนบจารีตต่างๆ ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างง่ายดายโดยบรรดาคนดูทั้งหลาย ขนบจารีตของภาพยนตร์นั้น มันผลิตความหมายขึ้นมาอย่างไร? ความหมายต่างๆของระหัสและขนบจารีตของภาพยนตร์ สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาได้หรือไม่ และจะสามารถถูกทำซ้ำขึ้นมาใหม่เพื่อว่ามันจะได้ไม่หยุดนิ่งตายตัวต่อความหมายหนึ่งเดียวเช่นนั้นไปตลอดได้ไหม?

เมื่อพิจารณาถึงคำถามต่างๆเหล่านี้ มันน่าสนใจที่จะหมายเหตุลงไปว่า James Dean และ Judy Garland ปัจจุบันนี้ได้ถูกยอมรับอย่างกว้างขวาง ในฐานะที่เป็นภาพของคนที่เป็นเกย์ แม้ว่าเขาทั้งสองจะไม่ถูกเข้าใจในฐานะเช่นนั้นโดยบรรดาคนดูกระแสหลักในช่วงเวลา ซึ่งภาพยนตร์ของพวกเขาได้รับการนำออกฉาย

ในกรณีนี้ บริบททางวัฒนธรรมได้ถูกทำให้เปลี่ยนไปอย่างถึงราก และอันนี้เป็นผลเนื่องมาจากการอ่านมันใหม่อีกครั้งเกี่ยวกับข้อมูลคลาสสิค ตามการค้นพบเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของพวกดาราต่างๆ และการรับรู้ของสาธารณชนเกี่ยวกับรูปแบบต่างๆในความสัมพันธ์ทางเพศ ซึ่งได้รับการยอมรับและรับรู้กัน หรือกระทั่งไม่แยแส

ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับศิลปะ และผลผลิตทางสุนทรียภาพ คือประวัติศาสตร์อันหนึ่งของผู้คนที่ค้นพบสไตล์ใหม่ๆ และความหมายใหม่ของการนำเสนอ, การเป็นตัวแทน, และการแสดงออก มันยังมีการทำซ้ำขึ้นมาด้วยตัวอย่างต่างๆของผู้คน ซึ่งค้นพบอีกครั้ง และทำซ้ำเกี่ยวกับสไตล์เก่า สู่บางสิ่งบางอย่างที่ใหม่ขึ้นมา อย่างเช่น new-neo-classicism, neo-realism, และอื่นๆ

สไตล์ใหม่แต่ละอย่างได้รับการมองในฐานะที่เป็นการทะลุทะลวงหรือฟันฝ่าอุปสรรคทางสุนทรีย์นับแต่เริ่มต้น ในฐานะที่ไม่เป็นไปตามขนบประเพณีและเป็นสิ่งที่ท้าทาย. นวัตกรรมใหม่ต่างๆเหล่านั้นได้เข้ามาแทนที่สไตล์ที่เป็นไปตามขนบจารีตลและอนุรักษ์นิยม ซึ่งบ่อยครั้งได้ถูกปฏิเสธโดยผู้คนบางคน เพราะมันค่อนข้างจะรุนแรงหรือสุดขั้วเกินไปนั่นเอง

แต่อย่างไรก็ตาม สไตล์ใหม่อันนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งที่คุ้นเคยในห้วงเวลาหนึ่งและกลายเป็นขนบจารีตไป ดังนั้นในท้ายที่สุดแล้ว มันก็จะไม่มีผลกระทบอย่างเดียวกันและมีการเปลี่ยนแปลงความหมายของมันแต่อย่างใด เพราะมันได้กลายเป็นเรื่องของขนบจารีตและความคิดซ้ำซากเหมือนกันเมื่อเวลาผ่านไป และในเวลาต่อมา สไตล์ใหม่ต่างๆและขนบจารีตทั้งหลายที่ปรากฏตัวขึ้น จะทำให้เกิดการทะลุทะลวงต่อไปอีก

ในความสัมพันธ์กับภาษาภาพยนตร์ ขนบจารีตหนึ่งที่หมายถึงสิ่งหนึ่งเมื่อมันถูกนำมาใช้ครั้งแรก อาจเปลี่ยนแปลงเลื่อนไหลไปสู่ความหมายอื่นได้ในภายหลัง. ตัวอย่างที่ดีอันหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ วิวัฒนาการของสไตล์การสร้างภาพยนตร์ ซึ่งถูกรู้จักกันในนาม"montage" (การนำภาพต่างๆมาวางเคียงติดต่อกัน หรือตัดต่อเข้าด้วยกัน)

ในช่วงทศวรรษที่ 1920s ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวรัสเซียอย่าง Sergei Eisenstein และ Dziga Vertov ได้พัฒนารูปแบบที่เป็นสไตล์อันหนึ่งของการตัดต่อ(ลำดับภาพ)ที่รู้จักกันในฐานะ Soviet Montage. คำว่า montage นี้หมายถึง ปฏิบัติการอันหนึ่งเกี่ยวกับการตัดต่อเอาภาพซึ่งเป็นชิ้นส่วนสั้นๆของภาพยนตร์ มาปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน ในฐานะที่เป็นพื้นฐานสำหรับการเล่าเรื่องต่างๆดังที่ใช้กันเป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ 1920s มันได้รับการออกแบบเพื่อเสริมองค์ประกอบหรือเติมเต็มอุดมการณ์การปฏิวัติเกี่ยวกับการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ และมันถูกทำให้เป็นทฤษฎีขึ้นมา ในฐานะสไตล์ภาพยนตร์สไตล์หนึ่ง ที่แตกต่างอย่างถึงรากจากเทคนิคที่ทำกันตามขนบประเพณี ของระบบการสร้างภาพยนตร์ฮอล์ลีวูดในโลกทุนนิยม

ทุกวันนี้เทคนิคต่างๆในทางสุนทรีย์ของ Soviet montage ยังคงเจริญก้าวหน้าไปอย่างต่อเนื่อง แต่มันไม่ได้เป็นปริมณฑลที่มีลักษณะเฉพาะพิเศษอีกต่อไปแล้วของการสร้างภาพยนตร์แบบถอนรากถอนโคน

ในทางตรงข้าม วิธีการ montage ได้ถูกควบคุมหรือดำเนิการต่อโดยบรรดาผู้สร้างภาพยนตร์กระแสหลักไปแล้ว และทุกวันนี้ สถานที่ที่ดีที่สุดในการดูวิธีการ montage ในเชิงปฏิบัติก็คือ โฆษณาต่างๆ หรือใน MTV (ซึ่งจริงๆแล้ว เป็นการโฆษณาที่ยืดขยายออกไปอันหนึ่งของอุตสาหกรรมทางด้านดนตรี) - รูปแบบที่มีอำนาจเข้มแข็งที่สุดของการสร้างภาพยนตร์ในโลกทุนนิยม!

สิ่งที่เราเห็นได้จากอันนี้คือ ภาษาภาพยนตร์ที่มีลักษณะเฉพาะ หรือขนบจารีตทางด้านภาพยนตร์อันหนึ่ง มันไม่ได้รับประกันถึงการใช้ประโยชน์หรือความหมายที่มีลักษณะเฉพาะทางด้านการเมืองและสังคมหนึ่งใดเป็นการเฉพาะ รูปแบบต่างๆและขนบธรรมเนียมทั้งหลายสามารถถูกนำไปในในบริบทที่แตกต่างกันได้ เพื่อให้ความหมายที่แตกต่าง อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากในภาพยนตร์และวิดีโอ เพราะว่าเทคนิคใหม่ๆจำนวนมาก บ่อยทีเดียว ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆที่ให้ความรู้สึกรุนแรงและเป็นนวัตกรรมใหม่

อย่างเช่น Soviet montage แรกเริ่มเดิมที พวกมันอาจถูกนำมาใช้เพื่อท้าทายต่อระบบที่ครอบงำหรือมีอำนาจเหนือกว่า แต่มันสามารถที่จะถูกหยิบยืมไปใช้โดยระบบที่ครอบงำอยู่ก็ได้ ซึ่งต่อมาได้ใช้เทคนิคเดียวกันนี้ในวิธีการที่ไม่ได้ท้าทายอะไรเลย

โฆษณาต่างๆทางโทรทัศน์ที่ใหม่ล่าสุด บ่อยครั้ง ได้ยืมเอาเทคนิคต่างๆ, สไตล์, และขนบจารีตทั้งหลายจากบรรดาผู้สร้างภาพยนตร์แนวทดลอง และแนวถอนรากถอนโคนไปใช้ ยกตัวอย่างเช่น ภาพยนตร์เหนือจริงต่างๆของ Jan Swankmajer ที่ท้าทายต่อขนบจารีตหลายหลากของสังคมของเขา แต่เทคนิคต่างๆของเขา และตัวของเขาเองได้ถูกใช้โดยบรรดานักโฆษณาทั้งหลายในการขายสินค้าต่างๆ

นักสร้างภาพยนตร์ Godfrey Reggio นับเป็นกรณีที่น่าสนใจเกี่ยวกับใครบางคนซึ่งตระหนักดีถึงขนบธรรมเนียมต่างๆ และรู้ว่าจะใช้มันอย่างไร. เขาคือพลังหลักที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ต่างๆ อย่างเช่น Koyaanisqatsi และ Powaqqatsi (คล้ายคลึงกับ Baraka) ในงานช่วงแรกของเขา ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะยกระดับความรับรู้ของสาธารณชนขึ้นมา เกี่ยวกับการข่มขืนกระทำชำเรากับเยาวชน อันนี้เขาได้ใช้ป้ายโฆษณาต่างๆ

ในงานชิ้นนั้น เขาได้ใช้เทคนิคต่างๆที่ทำกันมาตามประเพณีในหนทางที่ไม่เป็นไปตามขนบจารีต (Reggio 1990) กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาหยิบเอาเครื่องไม้เครื่องมือของการโฆษณาในโลกทุนนิยม มาส่งเสริมสนับสนุนความคิดสังคมนิยมและความรุนแรง

ในช่วงทศวรรษที่ 1990s โฆษณาประชาสัมพันธ์บางอันสำหรับเสื้อผ้าของบริษัท Benetton ก็มีลักษณะทำนองเดียวกันกับผลงานของ Reggio ในการที่พวกเขาได้ใช้สิ่งที่ต่างไปจากปกติ นั่นคือ ภาพที่ทำให้รู้สึกช็อค อย่างเช่น ภาพถ่ายรูปครึ่งตัวของฆาตกรที่เป็นนักโทษ และภาพถ่ายของอาชญากรข่มขืนต่อเนื่องที่ต้องโทษประหาร

รูปแบบอันนี้ของการโฆษณามีจุดมุ่งหมายที่จะยกเอาความรับรู้เกี่ยวกับประเด็นปัญหานั้นขึ้นมา อย่างเช่น โทษประหาร ซึ่งในเวลาเดียวกันก็ทำให้การจดจำของผู้บริโภคสูงขึ้นด้วย และมีความรับรู้เกี่ยวกับยี่ห้อ Benetton มากขึ้น ความตึงเครียดระหว่างวัตถุประสงค์ทั้งสองเหล่านี้ (ด้านหนึ่งเป็นเรื่องของมนุษยธรรม ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นเรื่องของแรงขับเกี่ยวผลกำไร) ได้น้อมนำไปสู่การตำหนิประณามที่ว่า Benetton มีความผิดเกี่ยวกับการทำให้ประเด็นปัญหาสังคมกลายไปเป็นสินค้า

Reggio (1990) กล่าวว่า ในภาพยนตร์เรื่อง Koyaanisqatsi และ Powaqqatsi เขาพยายามที่จะน้อมนำผู้คนให้มองดูสิ่งต่างๆจากอีกมุมมองหนึ่ง สิ่งซึ่งเราพบเห็นกันอยู่ในชีวิตประจำวัน - การค้นหาสิ่งต่างๆซึ่งผู้คนเห็นกันมานับครั้งไม่ถ้วน เพื่อมองดูพวกมันใหม่อีกครั้ง จากอีกมุมองหนึ่งของสายตา เขาหวังว่า ภาพต่างๆเหล่านั้นจะทำให้ผู้ดูทั้งหลายรู้สึกช็อคและก่อกวนความรู้สึก ทำให้ผู้คนทั้งหลายเกิดการตั้งคำถามถึงสังคมสมัยใหม่ ที่ที่มันกำลังเป็นไป

เขาต้องการที่จะกระทำสิ่งนี้ให้มันน่าตื่นเต้นเท่าที่จะเป็นไปได้ บางส่วนเพื่อที่จะกระตุ้นความสนใจของผู้ดู แต่ยังต้องการที่จะดึงความสนใจไปสู่หนทางที่สังคมของเรากำลังถูกทำให้หลงทางมากขึ้น โดยสิ่งที่น่าตื่นเต้นและภาพลักษณ์ต่างๆ

เขาใช้เทคนิคต่างๆในการถ่ายทำที่เรียกว่า time-lapse (เป็นการถ่ายภาพช้า แล้วมาฉายด้วยความเร็วปกติ ซึ่งภาพที่ปรากฏจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว) เพื่อวิพากษ์วิจารณ์สังคมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของทุกวันนี้ โดยการเพิ่มความเร็วขึ้น มนุษย์ซึ่งถูกบันทึกภาพ ปรากฏตัวคล้ายกับแมลงหรือหุ่นยนต์ ทำหน้าที่ของตนไปโดยไม่ได้คิด และเป็นไปอย่างอัตโนมัติ

เทคนิคอันนี้ยังแสดงให้เห็นภาพเมืองคล้ายกับสิ่งสร้างที่มีชีวิต ซึ่งเคลื่อนไหวได้ เส้นเลือดแดงที่เต้นเป็นจังหวะของมัน กับเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวของรถยนตร์ที่เต็มไปด้วยความเร็ว พร้อมทั้งไฟที่ส่องสว่างมาจากรถ ถูกเล่นซ้ำในความเร็วที่เร็วขึ้นกว่าปกติ ภาพยนตร์เรื่อง Koyaanisqatsi ได้ทำให้เห็นถึงลัทธิศาสนาหนึ่งที่ตามมา

ในเชิงประติทัศน์หรือขัดกับความรู้สึกของคนทั่วไป มาถึงตอนนี้ มันกลายเป็นบางส่วนของขนบประเพณีไปแล้ว ในการใช้ภาพที่ไม่เป็นตามขนบประเพณี เพื่อพยายามที่จะสร้างความสนใจให้กับผู้ชม ยกตัวอย่างเช่น นิตยสาร Juice ได้มาแกว่งไกวความรู้สึกของเรา เมื่อมันได้แสดงภาพถ่ายต่างๆของซากศพที่สมมุติว่าถูกฆาตกรรมในการโฆษณาเสื้อผ้าต่างๆ (ดูภาพประกอบที่ 1 และภาพประกอบที่ 2) สไตล์และภาพลักษณ์เหล่านี้สัมพันธ์กับมันคือ มันเป็นความพยายามที่จะหักกฎหรือข้อห้ามต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับ

(ดูภาพประกอบที่ 1 และ ภาพประกอบที่ 2)
fashion spreads in Juice. These are examples of heroin chic. Source: Juice, June 1996, pp.62-63, 66

เมื่อครั้งที่ภาพยนตร์เรื่อง Koyaanisqatsi ได้ออกฉายเป็นครั้งแรก นับเป็นภาพยนตร์ที่ต่างไปจากปกติในการดู แต่อย่างไรก็ตาม นับจากนั้นเป็นต้นมา เทคนิคดังกล่าวที่ Reggio ใช้วิพากษ์วิจารณ์สังคม ได้ถูกนำมาใช้โดยบรรดานักทำสื่อโฆษณาทั้งหลายเพื่อยกย่องสรรเสริญสังคมสมัยใหม่ต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น ภาพที่ถูกเร่งความเร็วต่างๆของสังคมเมือง ได้ถูกดึงมาใช้เป็นภาพยนตร์โฆษณาเพื่อส่งเสริมสนับสนุนรายการต่างๆทางโทรทัศน์เชิงพาณิชย์ อย่างเช่น Angel และในการขายน้ำมัน แก๊ส และไฟฟ้าในสหราชอาณาจักร

ดั่งที่ได้วิเคราะห์ เราต้องตระหนักว่ารูปแบบสไตล์ของภาพใดๆก็ตาม ไม่ว่าจะใช้ตามขนบประเพณีหรือใช้ตามหลักเกณฑ์ต่างๆ มันไม่ได้รับประกันถึงความหมายอย่างหนึ่งอย่างใดโดยเฉพาะ: ความหมายเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับเนื้อหาและบริบท (ทั้งที่เกี่ยวกับภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์) เพราะว่าขนบจารีตของภาพยนตร์เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และถูกทำซ้ำใหม่อยู่ตลอดเวลา รูปแบบที่สุดขั้วหรือรุนแรงมิได้มีหลักประกันว่า จะต้องใช้ในความหมายที่ถอนรากถอนโคนเสมอไป

ในส่วนของการให้เครดิตกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างภาพยนตร์ ที่ไล่เลียงตามลำดับในตอนต้นเรื่อง สำหรับในภาพยนตร์เรื่อง Melrose Place ได้ใช้เทคนิคต่างๆที่คล้ายคลึงกับบรรดานักสร้างภาพยนตร์เหล่านั้น ที่เป็นพวกหัวก้าวหน้าและพวกหัวรุนแรงใช้กันในช่วงทศวรรษที่ 1960s และ 1970s. ในตอนเปิดตัวของภาพยนตร์ ได้ให้กรอบภาพจริงของชิ้นส่วนภาพยนตร์เรื่องนี้ และในช่วงเครดิตตอนท้าย ได้แสดงให้เห็นตอนจบของชิ้นส่วนภาพยนตร์ที่ถ่ายทำด้วยฟิล์ม Super 8 ดังที่มันปรากฏขึ้นมาโดยผ่านฟิล์มถ่ายภาพยนตร์

เทคนิคต่างๆเหล่านี้ แรกเริ่มเดิมทีได้ถูกนำมาใช้โดยบรรดานักสร้างภาพยนตร์หัวก้าวหน้าในช่วงทศวรรษที่ 1970s ซึ่งต้องการที่จะดึงความสนใจของผู้ชมทั้งหลายไปสู่ข้อเท็จจริงที่ว่า ภาพยนตร์นั้นคือสิ่งสร้างอันหนึ่ง(that film is a construction). พวกเขาได้รื้อสร้าง(deconstruct)ภาพยนตร์โดยการแสดงให้เห็นถึงกระบวนการสร้าง และในการกระทำเช่นนั้น ก็ได้วิพากษ์เกี่ยวกับข้ออ้างของภาพยนตร์ถึงความเป็นสัจนิยมของมัน สิ่งเหล่านี้ ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นเทคนิคต่างๆของพวกหัวรุนแรงและพวกทางเลือกได้นำมาใช้ ซึ่งในปัจจุบันมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกกระแสหลัก และมันไม่ได้นำพาความหมายต่างๆในเชิงวิพากษ์ที่มีมาแต่เดิมอีกต่อไป

ตอนจบของภาพยนตร์เรื่อง Basic Instinct ได้แสดงให้เห็นว่า บรรดาผู้สร้างภาพยนตร์กระแสหลักได้เล่นกับขนบจารีตต่างๆของภาพยนตร์อย่างไร ในการสร้างความสนใจแก่ผู้ดู ตอนจบของภาพยนตร์เรื่องนี้ค่อนข้างประสบผลสำเร็จ ทั้งนี้เนื่องมาจากการรับรู้ของผู้ดูเกี่ยวกับขนบจารีตของภาพยนตร์ฮอล์ลีวูดว่ามันจะจบลงอย่างไร เมื่อใกล้ๆภาพยนตร์จะจบ ตัวละครหลักสองตัว ซึ่งแสดงโดย Michael Douglas และ Sharon Stone, ทั้งคู่ในตอนท้ายเรื่องได้ไปยังเตียงนอนด้วยกัน; ใต้เตียงนั้นมีเหล็กที่ใช้สำหรับเจาะน้ำแข็งอันหนึ่ง ซึ่งในช่วงแรกๆของภาพยนตร์เรื่องนี้ มันได้ถูกนำมาใช้เพื่อฆาตกรรม

Stone ได้เอื้อมไปถึงเหล็กเจาะน้ำแข็งอันนี้และภาพยนตร์ได้จบลง เราไม่ได้เห็น Sharon Stone ใช้เหล็กเจาะน้ำแข็ง แต่ภาพยนตร์ได้ทิ้งเราไว้กับคำถามหรือข้อสงสัยที่ยังไม่ได้แก้ไข - หรือเธอเป็นนักฆ่านั้นจริงๆ? - มันทำให้ตื่นเต้นและรบกวนจิตใจเรา - อะไรที่เธอจะทำต่อไป?

ผลที่มีต่อความรู้สึกอย่างเต็มที่เกี่ยวกับตอนจบได้ถูกสร้างขึ้น และขึ้นอยู่กับการรับรู้ของเราเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมตอนท้ายของภาพยนตร์ฮอล์ลีวูดเรื่องอื่นๆ โดยจารีตแล้ว ตอนจบของภาพยนตร์ฮอล์ลีวูดจะปิดฉากลงด้วยปัญหาทุกสิ่งที่ได้รับการแก้ไข ซึ่งปกติแล้วจะจบลงอย่างมีความสุข

สำหรับภาพยนตร์แนวสยองขวัญในช่วงทศวรรษที่ 1970s นั้นเริ่มใช้วิธีการจบลงด้วยปริศนาปลายเปิด เพื่อที่จะเสนอว่าในท้ายที่สุด ความชั่วร้ายยังคงดำรงอยู่ คำถามหรือข้อสงสัยอันนั้นยังคงไม่มีคำตอบ

ตอนจบต่างๆเหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่น ตอนท้ายของภาพยนตร์เรื่อง Carrie, ได้ถูกเน้นอีกครั้งถึงสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกช็อคมาตั้งแต่แรก และมันได้ถูกทำซ้ำอีก (ดังตัวอย่างเช่น ภาพยนตร์เรื่อง Nightmare on Elm Street ที่เสนอออกมาเป็นภาพยนตร์ชุด) และมันได้กลายเป็นสิ่งบรรดาผู้ชมทั้งหลายคุ้นเคยมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ คุณค่าของความรู้สึกอกสั้นขวัญแขวนเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวจึงลดน้อยถอยลง

แต่อย่างไรก็ตาม ในแนวภาพยนตร์ที่ต่างออกไปอย่างเช่น ภาพยนตร์ประโลมโลกที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวที่สร้างความสะเทือนใจ เราทั้งหลายยังคงหวังว่าจะให้มันปิดฉากลงแบบขนบประเพณี. พลังอำนาจของตอนจบในภาพยนตร์เรื่อง Fatal Attraction บางส่วนนอนเนื่องอยู่บนข้อเท็จจริงที่ว่า มันได้รวมเอาเนื้อหาแบบประโลมโลก - เรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่มีชู้ - กับขนบประเพณีแบบภาพยนตร์สยองขวัญต่างๆเข้ามาไว้ด้วยกัน ซึ่ง Glenn Close ซึ่งถูกทำร้ายโดยผู้ชายคนหนึ่ง เธอกำลังใกล้จะตาย แต่เธอปฏิเสธมัน อันนี้ได้ถูกนำเสนอคล้ายๆกับภาพยนตร์แนวสยองขวัญ

อันนี้ทำให้ผู้ดูรู้สึกช็อค เพราะจนกระทั่งถึงจุดนั้นในเรื่อง ขนบจารีตต่างๆของภาพยนตร์แนวประโลมโลกได้มีอิทธิพลขึ้นมา อันนี้ถือเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมเรื่องหนึ่งของการผสมผสานขนบจารีตของแนวภาพยนตร์ต่างๆเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้ชม

กลเม็ดเกี่ยวกับตอนจบของภาพยนตร์ที่ดีจะทำให้เรารู้สึกประหลาดใจ เพราะมันสร้างความสับสนหรือความรู้สึกบิดเบี้ยวให้กับเราในท้ายที่สุด บรรดาผู้ดูภาพยนตร์เรื่อง Basic Instinct ต่างตระหนักหรือรับรู้เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่สามารถแทรกเข้ามาในตอนจบของภาพยนตร์สยองขวัญในภาพยนตร์แนวอื่น; จำนวนมากของพวกเขารู้ว่า Micheal Douglas ปรากฏตัวใน Final Attraction, เรื่องราวอันหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับผู้หญิงที่อันตราย และเป็นโรคจิต. ดังนั้นในเรื่อง Basic Instinct จึงมีฉากที่คล้ายคลึงกันกับการกระทำที่รุนแรงในตอนท้าย

ความมีประสิทธิผลในตอนจบของภาพยนตร์เรื่อง Basic instinct วางอยู่บนการปฏิเสธของมันที่จะให้เราในสิ่งที่ ปัจจุบัน กลายเป็นการจบลงด้วยความรุนแรงในแบบจารีต มันปิดฉากลงด้วยลักษณะที่ค่อนข้างสงบทีเดียว - Sharon Stone ไม่ได้ใช้เหล็กเจาะน้ำแข็ง - แต่ทิ้งให้เรา(ในฐานะผู้ดู) ไว้กับคำถามหรือของสงสัยที่ไม่มีคำตอบ

ลองดูลักษณะที่สอดคล้องกันของระหัสและขนบจารีตต่างๆในความสัมพันธ์กับภาพยนตร์และโทรทัศน์ พยายามดำเนินตามการทดลองดังต่อไปนี้

เปิดโทรทัศน์ขึ้นมาโดยวิธีการสุ่ม: แล้วลองเลื่อนจากช่องหนึ่งไปยังอีกช่องหนึ่ง ดูมันในแต่ละช่องประมาณช่องละ 5 วินาที และลองบันทึกลงไปว่า คุณคิดว่ามันเป็นรายการอะไร แบบไหน หรือแนวใดในสิ่งที่คุณกำลังดูอยู่ และทำไม. ถ้าหากว่าคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับรายการนั้นๆก็ลองเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆหรือเปลี่ยนกลับไปกลับมา จนกระทั่งคุณสามารถตัดสินใจได้ ลองคิดดูว่า คุณจำแนกรายการแต่ละรายการว่าเป็นแนวนั้นหรือแบบนั้นได้อย่างไร ทำซ้ำการทดสอบตามวิธีการนี้สักหนึ่งสัปดาห์ คุณจะพบว่า คุณเป็นนักอ่านระหัสที่มีทักษะคนหนึ่ง

สรุป
มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราที่จะรู้จักและจำแนกถึงการใช้ประโยชน์ของแนวภาพยนตร์, ระหัส, และขนบประเพณีต่างๆ; เพื่อตระหนักถึงประวัติและพัฒนาการของพวกมัน; และเพื่อเข้าใจว่า แนวภาพยนตร์, ระหัส, และขนบจารีตต่างๆ, สามารถเปลี่ยนแปลงความหมายของพวกมันได้ในบริบทที่แตกต่าง (และบรรดานักสร้างภาพยนตร์ทั้งหลาย บ่อยครั้ง มักจะผสมผสานแนวภาพยนตร์ต่างๆเข้าด้วยกัน และรู้ว่าบรรดาผู้ชมทั้งหลายต่างรับรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้)

ความรู้ดังที่กล่าวมาข้างต้นนี้ จะทำให้เราเข้าใจอย่างถ่องแท้มากขึ้นต่อการใช้ประโยชน์เกี่ยวกับภาษาของภาพเคลื่อนไหว

 

 

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I ประวัติ ม.เที่ยงคืน

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

 

สำหรับสมาชิกที่ต้องการ download ข้อมูล อาจใช้วิธีการง่ายๆดังต่อไปนี้

1. ให้ทำ hyper text ข้อมูลทั้งหมด
2. copy ข้อมูลด้วยคำสั่ง Ctrl + C
3. เปิด word ขึ้นมา (microsoft-word หรือ word pad)
4. Paste โดยใช้คำสั่ง Ctrl + V
จะได้ข้อมูลมา ซึ่งย่อหน้าเหมือนกับต้นฉบับทุกประการ
(กรณีตัวหนังสือสีจาง ให้เปลี่ยนสีเป็นสีเข้มในโปรแกรม Microsoft-word)

 

H

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ


Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ

สนใจสมัครเป็นสมาชิก
กรุณาคลิก member page
ส่วนผู้ที่ต้องการดูหัวข้อบทความ
ทั้งหมด ที่มีบริการอยู่ขณะนี้
กรุณาคลิกที่ contents page
หรือหน้าสารบัญ ซึ่งมีอยู่ 2 หน้า
และผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
หรือประกาศข่าว
กรุณาคลิกที่ปุ่ม webboard

หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
midnightuniv(at)yahoo.com

เดือนมีนาคม พศ.๒๕๔๗
การครอบงำทางวัฒนธรรมโดยผ่านภาพยนตร์อเมริกัน ความไม่รู้สึกตัวของอิทธิพลสื่อที่มีผลต่อวิถีชีวิตในยุคโลกาภิวัตน์

แนวภาพยนตร์ที่สำคัญที่สุดสองแนว คือ ภาพยนตร์แนวตะวันตกและแนวกลุ่มแก๊งต่างๆ(the Western and the Gangster film) ได้รับการอธิบายในฐานะที่เป็นแนวภาพยนตร์ที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์และสังคมอเมริกัน มันเป็นแนวภาพยนตร์ที่ยินยอมให้สหรัฐอเมริกาสามารถที่จะพูดถึงตัวของตัวเองได้ (McArthur, p.18) (ภาพประกอบดัดแปลง ใช้ประกอบบทความฟรี)

มากยิ่งไปกว่านั้น การไหลบ่าเข้ามาของผลผลิตอเมริกันยังถูกมองในฐานะที่เป็นข้อจำกัดอันหนึ่ง ในการแสดงออกของมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศของตน; กล่าวคือ ข้อจำกัดที่มีต่องานสร้างสรรค์ของท้องถิ่น และต่อโอกาสในเชิงสร้างสรรค์เกี่ยวกับอุตสาห กรรมต่างๆทางด้านสื่อของท้องถิ่น; และอิทธิพลที่เป็นอันตรายต่อค่านิยมทั้งหลายของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในความสัมพันธ์กับเยาวชนทั้งหลาย ความสัมพันธ์ของสหรัฐอเมริกากับวัฒนธรรมอื่นๆ คือปัญหาสำคัญที่เป็นแกนหลักในคริสตศตวรรษที่ยี่สิบ

จักรวรรดิ์นิยมวัฒนธรรมอธิบายถึงกระบวนการซึ่ง วัฒนธรรมอันหนึ่งได้ยืนยันถึงอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจเหนือกว่าอีกวัฒนธรรมหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องบีบบังคับด้วยกำลังอาวุธ แต่กระทำโดยผ่านการรุกรานทางวัฒนธรรมที่มีผลต่อคุณค่าหรือค่านิยม และอุดมคติของวัฒนธรรมอื่นๆ