แปลและเรียบเรียงจาก The Return of Grand Theory in Human Science. edited by Quentin Skinner, Professor of Political Science , University of Cambridge
first published 1985
Chapter 5 : Thomas Kuhn by Barry Barnes, p.83-100
บทคัดย่อของผู้แปลและเรียบเรียง
เราเคยได้ยินคนพูดไหม ในทำนองว่า "ความคิดของคุณฟังดูไม่เป็นวิทยาศาสตร์" แล้วเรารู้สึกกันอย่างไร ในโลกที่ยอมรับกันทั่วไปว่า การคิดอย่างเป็นวิทยาาสตร์เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด และมีเหตุผลมากที่สุด
เรื่องราวซึ่งเราจะอ่านต่อไปนี้ Thomas Kuhn กำลังจะบอกกับเราว่า... ความจริงแล้ว บรรดานักวิทยาศาสตร์นั้นกลับทำอะไรที่ไม่เป็นไปในหนทางที่ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด มีเหตุผลมากที่สุด แต่ที่สำคัญมันกลับทำให้เราเชื่อมั่นที่สุด ทั้งนี้เพราะสิ่งที่พวกเขาทำนั้น โดยมากเป็นความเชื่อและการยึดมั่น โดยไม่มีการตั้งคำถามกับหลักการที่ทำให้ได้มาซึ่งความรู้ของพวกเขานั่นเอง
แต่ญานวิทยาของสังคมตะวันตกสมัยใหม่ ได้ความรู้ของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติมาเป็นกระบวนทัศน์ทางความรู้ "กระบวนทัศน์"คำนี้มาจากคำว่า "paradigm"ซึ่งในที่นี้หมายถึง โลกทัศน์อันหนึ่งที่อยู่ภายใต้กรอบทฤษฎีต่างๆหรือระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์. และกรอบดังกล่าวมาจากลัทธิเหตุผลนิยม ซึ่งลัทธิเหตุผลนิยมนี้ได้มาเป็นฐานให้กับวิทยาศาสตร์และการเมืองสมัยใหม่
เมื่อเราต่างยึดถือเหตุผลกันมากๆ ทำให้เราขาดหรือมากยิ่งไปกว่านั้น เราละเลยที่จะตั้งคำถามอย่างมีเหตุผลกับลัทธิเหตุผลนิยม จนมันกลายเป็นมายาคติอันหนึ่งของสังคมเราขึ้นมา คล้ายกับปกรณัมโบราณที่คนในยุคดึกดำบรรพ์ต่างก็เชื่อกันว่า เรื่องเล่าตำนานอันนั้นเป็นจริง ถูกต้อง โดยไม่มีการตรวจสอบ
บรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายและพวกเราต่างยึดมั่นถือมั่นในตัวกระบวนทัศน์วิทยาศาสตร์ว่าเป็นสิ่งที่มีเหตุผล ถูกต้อง เป็นที่น่าเชื่อถือ และต้องยอมรับ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้เกิดมายาคติขึ้นมา และมันทำให้วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์(dogma) ซึ่งได้ไปคล้ายคลึงกันกับศาสนาต่างๆ
อันนี้ต้องถือว่าเป็นจุดอ่อนของลัทธิเหตุผลนิยม และจุดอ่อนอันนี้มันเริ่มต้นขึ้นมาจากทฤษฎีความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง. จุดอ่อนของลัทธิเหตุผลนั้น อันที่จริงมันมีที่มาซึ่งยากจะตำหนิเช่นกัน กล่าวคือ มันเป็นความสำเร็จในการวิจัยโดยอาศัยกระบวนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ก่อนหน้า ที่ทำสำเร็จ มันสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นในเรื่องของเหตุผล พวกเขาได้ให้สถานภาพกับมันในฐานะแบบจำลองที่มีอำนาจ ด้วยเหตุนี้ นักวิทยาศาสตร์หลังๆต่อมาจึงพากันดำเนินการวิจัยของพวกเขาไปตามนั้น ด้วยความไว้วางใจอย่างมากจนมากเกินไป กระทั่งหลงลืมและละเลยกับการตั้งคำถาม
งานวิจัยที่มีพื้นฐานอยู่บนความสำเร็จทางด้านวิทยาศาสตร์มาแล้วครั้งหนึ่งหรือมากกว่านั้นในอดีต ความสำเร็จต่างๆที่ชุมชนทางวิทยาศาสตร์บางแห่งโดยเฉพาะยอมรับช่วงเวลาหนึ่ง ในฐานะที่เป็นตัวเสริมรากฐานสำหรับปฏิบัติการครั้งต่อไป งานวิจัยเหล่านี้ Kuhn เรียกมันว่า normal science หรือ normal research
จุดอ่อนของ normal science คือ มันตั้งต้นมาจากความสำเร็จของการปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งมีลักษณะที่จำเพาะอันใดอันหนึ่ง และมันได้ประสบความสำเร็จ จากนั้นก็ยึดถือว่า หลักหรือวิธีการนั้น มันนำไปใช้ได้กับการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้ จากลักษณะของการเหมารวมดังกล่าว มันจึงก่อให้เกิดความผิดพลาดขึ้นตามมาเป็นระยะๆ จนกระทั่ง เมื่อผ่านกาลเวลาอันยาวนานอยู่ช่วงหนึ่ง ปรากฎว่า ความผิดพลาดต่างๆได้สะสมเพิ่มพูนตัวของมันเองขึ้นมาเป็นกองใหญ่ และแล้ว ความตายของมันจึงปรากฎตัวขึ้นมา
ดังนั้น Kuhn จึงเตือนว่า นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายไม่ควรเห็นด้วยเกี่ยวกับการตีความ หรือยึดถือความถูกต้องของความรู้ที่มีอยู่ก่อนแล้ว อันนี้เทียบกับการพิพากษาต่างๆ ที่ไม่ควรเห็นด้วยกับบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับการตีความที่ถูกต้องของกฎหมายที่มีอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน. แต่โดยทั่วไป บรรดานักวิทยาศาสตร์ไม่เห็นด้วยกับมายาคติเกี่ยวกับความถูกต้องอันนี้น้อยกว่าผู้พิพากษาทั้งหลายเสียอีก
เมื่อการสิ้นสุดของกระบวนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ได้มาถึง การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์จะเกิดขึ้นมาแทนที่. การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์นั้น จริงๆแล้ว ไม่ได้เป็นไปในลักษณะของตรรกะล้วนๆ แต่มันมีเรื่องของอคติ และแรงกดดันต่างๆ เป็นเรื่องของความบังเอิญปนเข้าไปด้วยในบางครั้ง รวมไปถึงขนบประเพณีบางอย่างของสังคมของเราก็เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย(ที่กล่าวเช่นนี้เพราะ สังคมมีการกลั่นกรองข้อมูลบางอย่างอยู่ตลอดเวลา มันตัดเอาบางอย่างออกไป และเพิ่มเติมบางอย่างเข้ามา ดังนั้นความรู้จึงเป็นเรื่องของชุมชนด้วย เพราะชุมชนต้องใช้มันร่วมกัน)
แต่อย่างไรก็ตาม ในที่สุด มันก็จะก่อให้เกิด normal science อันใหม่ขึ้นมา แล้วชุมชนวิทยาศาสตร์ก็จะยึดถือมันเป็นแบบจำลองที่มีพลังอำนาจ และดำเนินรอยตามบนหนทางนั้นอีกครั้งๆ และอีกครั้งไปเรื่อยๆ
ทั้งหมดนี้ เป็นการตั้งข้อสังเกตุของ Kuhn เกี่ยวกับความรู้ของเรา ที่วางอยู่บนความเชื่อมั่นในความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ของเราอย่างถึงแก่น
สมเกียรติ ตั้งนโม / มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Thomas Kuhn
Thomas Kuhn เป็นหนึ่งในนักประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์เพียงไม่กี่คน ซึ่งงานของเขานั้นเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีต่อคนภายนอกทั้งหลาย. หนังสือของเขา "The Structure of Scientific Revolutions(โครงสร้างของการปฏิวัติวิทยาศาสตร์) ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ขึ้นมาใน ค.ศ.1962 กลายเป็นหนังสือคลาสสิคเล่มหนึ่ง และได้รับการอ้างอิงถึงเป็นประจำสำหรับการสนทนนาและถกเถียงกันทั่วไปในวัฒนธรรมตะวันตก.
โดยไม่ต้องกล่าวว่า หนังสือเล่มนี้มันเป็นอะไรที่มากยิ่งกว่าการเล่าเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เพราะมันได้อาศัยการค้นคว้าวิจัยทางประวัติศาตร์มาปลุกเร้าให้เกิดความตื่นเต้นเกี่ยวกับเรื่องราวเดิมๆของธรรมชาติทั่วไปของความรู้ทางวิทยาศาสตร์. อันนี้ได้ทำให้หนังสือที่กำลังพูดถึงมีนัยสำคัญทางปรัชญาอย่างลึกซึ้ง อย่างน้อยที่สุดก็ในโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษ ที่ซึ่งวิทยาศาสตร์มักจะครอบครองตำแหน่งพิเศษอันหนึ่งเอาไว้เสมอในความคิดทางปรัชญา
พวกเราไม่เคยให้การยอมรับอย่างจริงใจเลย ต่อวิธีการเข้าถึงด้วยการเก็งความจริงของบรรดานักปรัชญาภาคพื้นทวีป หรือทฤษฎีอภิปรัชญาอันยิ่งใหญ่ต่างๆของท่านเหล่านั้น. ในปรัชญาของ แองโกล-แซกซัน เรามักจะย่างเหยียบรอยเท้าของเราลงบนพื้นดินที่มั่นคง และปฏิเสธที่จะให้การยอมรับเรื่องใดๆ แม้แต่ข้ออ้างที่ยอมรับกันอย่างแน่นเหนียวแล้วส่วนใหญ่
รูปแบบต่างๆของแบบจำลองของเราเกี่ยวกับการอภิปราย
เป็นเรื่องของภาษาธรรมดาพื้นๆที่เข้าใจมันได้ทันที และเป็นภาษาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ
ที่มีความถูกต้องแม่นยำและมีมาตรฐานที่เป็นระบบระเบียบของความมีเหตุมีผล. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในญานวิทยา วิทยาศาสตร์ธรรมชาติได้มารับใช้ในฐานะที่เป็น"กระบวนทัศน์"ทางความรู้
ซึ่งหมายความว่า คำอธิบายที่สำคัญทั้งหมดเกี่ยวกับการพัฒนาของวิทยาศาสตร์ ได้เข้ามายึดกุมญานวิทยา
ในเวลาเดียวกันก็มีความคล้องจองกับประวัติศาสตร์. โดยเหตุนี้ หนังสือของ Kuhn
จึงมีความน่าสนใจทางปรัชญาค่อนข้างมาก และได้สร้างความสำคัญของตัวเขาขึ้นมา.
[หมายเหตุ]
"กระบวนทัศน์"คำนี้มาจากคำว่า "paradigm"ในที่นี้หมายถึง โลกทัศน์อันหนึ่งที่อยู่ภายใต้กรอบทฤษฎีต่างๆหรือระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์
Kuhn ได้ทำให้เกิดการรวมตัวกันอย่างมีเอกภาพของ"ความเป็นผู้มีความรู้"กับ"การทำลายความเชื่อถือศรัทธา"เข้าด้วยกัน. ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมีใครยอมรับมาแต่ต้น ต่อปฏิบัติการทางปรัชญาที่ไม่มีลักษณะยึดติดแบบเดิมๆอย่างถึงรากของวิทยาศาสตร์ แต่มันก็ควรได้รับความเคารพ เนื่องมาจากความสามารถซึ่งเป็นที่ยอมรับเกี่ยวกับผลงานทางด้านประวัติศาสตร์ ที่มันได้รับการวางพื้นฐานอยู่บนนั้น.
Kuhn ได้เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วในฐานะทนายแก้ต่างที่ฉลาดหลักแหลมคหนึ่ง, เขาเป็นนักวิจารณ์ที่น่ากลัวและเอาชนะได้ยากมาก เกี่ยวกับปัญญาญานทางปรัชญาที่ได้รับการยอมรับกันแล้ว. และถ้าหากว่าเราต้องการเข้าใจความสำคัญอย่างเต็มที่เกี่ยวกับงานของ Kuhn อันดับแรก เราจะต้องมองเข้าไปใน"ปัญญาญาน"ที่ได้รับการยอมรับแล้วอันนี้.
มันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องปรัชญาที่เป็นนามธรรมเท่านั้นที่ Kuhn เรียกร้องให้ตั้งคำถามหรือข้อสงสัย. มากไปกว่านั้น เขายังเรียกร้องให้ตั้งข้อกังขากับสิ่งที่ไปเชื่อมโยงกันกับแบบแผนและวิวัฒนาการของความคิดด้วย ซึ่งได้ร่วมกันสร้างกุญแจสำคัญขึ้นมาดอกหนึ่ง อันเป็นส่วนประกอบของโลกทัศน์สมัยใหม่ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันของพวกเรา
แบบแผนของความคิดดังกล่าวเป็นสิ่งที่มีความสลับซับซ้อนมาก มันคือแก่นแท้ต่างๆที่รวมเข้าด้วยกันของ "ลัทธิเหตุผลนิยม"(rationalism), "ลัทธิปัจเจกชนนิยม และ"ความศรัทธาในเสรีนิยม" ในความก้าวหน้าที่วิวัฒนาการมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งข้าพเจ้าขอเรียกมันอย่างง่ายว่า "มายาคติของลัทธิเหตุผลนิยม"(myth of rationalis).
หลักการของเหตุผลนิยม
หลักการของ"เหตุผลนิยม" เน้นในพลังอำนาจเกี่ยวกับสมรรถภาพของเหตุผล ซึ่งปัจเจกชนทุกคนครอบครองอยู่. คำอธิบายแบบเหตุผลนิยมของวิทยาศาสตร์ มองความเจริญงอกงามของมันในฐานะเป็นผลิตผลเกี่ยวกับการกระทำของปัจเจกที่เกี่ยวพันกันกับเหตุผล. โดยการอนุมานหรือการสรุปเชิงตรรกะบนพื้นฐานเกี่ยวกับประสบการณ์ และบรรดานักวิทยาศาสตร์แต่ละคนต่างให้การสนับสนุนต่อความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ ต่อพัฒนาการซึ่งสั่งสมขึ้นมาในความรู้วิทยาศาสตร์ รวมไปถึงความสอดคล้องที่ลงรอยกันเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความจริง(reality)ที่มันได้อธิบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป. ถ้าหากว่า ปัจเจกชนแต่ละคนยุติหรือละเลิกการใช้เหตุผล ความก้าวหน้าก็จะถูกคุกคาม. การเลิกใช้เหตุผลในที่นี้ "อันตรายก็คือสังคม".
พวกเราต่างทราบกันดีว่า ความกดดันทางสังคม, ตัณหาทางการเมือง, ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ, อาจเป็นที่มาของอคติในการตัดสินของปัจเจกชน และด้วยอคติต่างๆเหล่านี้ อาจแปรรูปความคิดไปสู่อุดมการณ์ทางการเมืองหรือคำสอนศาสนาที่ไม่ต้องมีการพิสูจน์. อันที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้จะต้องถูกขจัด หรือทำให้มันไม่ยังผลใดๆ ถ้าเผื่อว่าเรายังต้องการที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติ และปรารถนาที่จะทำให้ความรู้ของเราก้าวหน้าต่อไป, หรือสนับสนุนต่อการกระทำทางด้านวิทยาศาสตร์.
เรื่องราวความมีเหตุมีผลที่มีลักษณะมูลฐานมากๆอันนี้ ได้ถูกยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงในด้านปรัชญาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสังคมส่วนใหญ่ด้วย. หมายเหตุในที่นี้ ความมีเหตุมีผลมันได้คลุกเคล้าเข้ากับคุณค่าทางการเมืองที่เป็นแกนกลางของสังคมเสรีประชาธิปไตยสมัยใหม่ของพวกเรา เท่าๆกับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ. หากจะเปรียบเทียบแล้ว ความมีเหตุมีผลมันได้วางผู้คนให้อยู่ต่อหน้าธรรมชาติ เท่าเทียมกันกับที่ความมีเหตุมีผลได้ยืนอยู่ต่อหน้ากฎหมายของเรา อย่างเสมอกัน.
เหตุผล, ได้ถูกครอบครองเป็นเจ้าของโดยทุกๆคน ทั้งหมดนั้นเป็นที่ต้องการเพื่อสืบทอดความรู้จากประสบการณ์ คนทุกคนสามารถทำมันได้เหมือนๆกัน. นั่นเป็นลักษณะปัจเจกที่เข้มแข็งประการหนึ่ง ซึ่งเน้นในเรื่องราวของเหตุผล
ความก้าวหน้าได้ไหลเลื่อนจากการตัดสินใจต่างๆของปัจเจกชนโดยไม่ถูกจำกัด เท่าๆกันกับที่ถูกอ้างโดยทฤษฎีที่มีอยู่ทั่วไปของบรรดานักเศรษฐศาสตร์การคลังทั้งหลายของเรา แต่อย่างไรก็ตาม การแทรกแซงทางสังคมได้ก่อให้เกิดความเบี่ยงเบนอันไม่พึงปรารถนาต่างๆเข้าสู่ระบบ
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ก็ยืนหยัดอยู่ในแง่มุมอันนี้ ในฐานะที่เป็นข้อคล้ายคลึงกันอันหนึ่งของก้าวย่างทางสังคม. อันนี้คือสาเหตุที่ว่า ทำไมข้าพเจ้าจึงพูดถึงมายาคติของลัทธิเหตุผลมาตั้งแต่ต้น; ไม่ใช่เพื่อแสดงนัยะง่ายๆว่า ลัทธิเหตุผลนิยมเป็นสิ่งที่ผิดพลาด, แต่เพื่อบอกเป็นนัยว่า โดยทั่วไปแล้ว มันได้รับการเชื่อว่า มายาคติอันหนึ่งถูกเชื่อถือ เนื่องมาจากความสอดคล้องลงรอยกันอย่างน่าพอใจกับแบบแผนอื่นๆเกี่ยวกับความคิดและการกระทำนั่นเอง
โดยไม่ต้องกล่าวว่า บรรดานักปรัชญาทั้งหลายต่างไม่ได้รู้สึกพึงใจที่จะยึดถือหรือพัฒนาข้อคิดเห็นทางด้านลัทธิเหตุผลดังกล่าว พวกเขาได้วิเคราะห์มันมาโดยตลอด แสวงหาและขุดเอาความอ่อนแอและความไม่สมบูรณ์เพียงพอของมันขึ้นมา. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการคัดค้านต่อลัทธิเหตุผลที่มีพลังมากที่สุดบางอย่าง ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากตัวของบรรดานักปรัชญาลัทธิเหตุผลนั่นเอง
สิ่งสำคัญที่สุดเกี่ยวกับข้อถกเถียงเหล่านี้,
จุดอ่อนที่ข้อเท้าของ Achilles ที่ยอมรับกันของลัทธิเหตุผลนิยม, มันสืบทอดมาจากลักษณะเฉพาะทางด้านทฤษฎีเกี่ยวกับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์.
*[หมายเหตุ]: Achilles
เป็นวีรบุรุษในปกรณัมกรีกโบราณในเรื่อง Illiad ของ Homer; Achilles เป็นนักรบกรีกที่สำคัญที่สุดซึ่งได้โจมตีเมือง
Troy; เมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก แม่ของเขาพยายามที่จะทำให้เขาเป็นอมตะ โดยการนำตัวเขาลงไปจุมลงในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์
แต่ข้อเท้าที่เธอใช้ยึดร่างของเขาไว้ ไม่ได้ถูกจุ่มลงไปด้วย ดังนั้น ส่วนนี้ของร่างกายจึงเป็นจุดอ่อนที่สามารถได้รับบาดเจ็บและมีอันตรายได้
- เรียกว่า"Achilles' heel"
จุดอ่อนของลัทธิเหตุผลนิยม
บรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายยังคงอธิบายและขยายความปรากฎการณ์ต่างๆในเทอมของทฤษฎีที่เป็นการเฉพาะอันหนึ่ง ซึ่งพวกเขาได้ประดิษฐ์มันขึ้นมา. พูดกันอย่างเป็นทางการ, ทฤษฎีต่างๆจำนวนนับไม่ถ้วนนั้น ต่างก็ได้รับการสร้างขึ้นมาให้มีความมั่นคงสอดคล้องกับเรือนร่างที่มีลักษณะเฉพาะอันหนึ่งของข้อมูล เท่าๆกันกับเส้นโค้งต่างๆอันนับไม่ถ้วนซึ่งสามารถได้รับการเขียนขึ้นมาพาดผ่านจุดต่างๆจำนวนหนึ่ง.
ในทางตรรก, ความนึกคิดเกี่ยวกับความถูกต้องโดดๆ หรือทฤษฎีที่นำมาสนับสนุนได้เป็นอย่างดี อย่างน้อย มันมีลักษณะอันชวนสงสัย. แต่ในประวัติศาสตร์ ทฤษฎีเหล่านั้นเป็นสิ่งซึ่งบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายนำมาใช้เป็นประจำและใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอันที่จริงโดยสาระแล้วก็คือ พวกเขาได้นำมาใช้ในการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์นั่นเอง.
ปัญหาของการตกอยู่ภายใต้การกำหนดหรือการตัดสินทางตรรกะของทฤษฎีต่างๆทางด้านวิทยาศาสตร์ ไม่ได้ถูกปฏิเสธโดยบรรดานักปรัชญาเหตุผลนิยมทั้งหลาย แต่ที่สำคัญคือ บรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายได้ทรยศต่อตัวพวกเขาเองในวิธีการที่พวกเขากระทำกับมัน. พวกเขานึกเอาว่า ลัทธิเหตุผลนิยมจะต้องเป็นสิ่งถูกต้อง(เพียงอย่างเดียว) และนั่นคือปัญหาที่พวกเขาเผชิญหน้าอยู่
การตั้งคำถามของ Kuhn และการตรวจสอบในเชิงประวัติศาสตร์
ทัศนคติของ Kuhn ต่อความยุ่งยากอย่างเดียวกันนี้อาจไม่แตกต่างไปมากนัก. ก็เหมือนๆกันกับนักเหตุผลนิยมคนอื่นๆ เขาไม่สามารถเห็นหรือเข้าใจได้ว่า นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายคิดอย่างมีเหตุผลจากข้อมูลไปสู่ทฤษฎีที่ถูกต้องได้อย่างไร ? และอันนี้ได้น้อมนำเขาไปสู่การตั้งคำถามต่อทฤษฎีว่า มันอาจ"ไม่ได้รับการยอมรับ"บนพื้นฐานอื่นๆบางอย่างได้หรือไม่ ? และเพื่อที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ เขาได้หันไปสำรวจการปฏิบัติการจริงของบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว มันได้เริ่มต้นขึ้นและถูกบันทึกเอาไว้ในเนื้อหาทางประวัติศาสตร์
Kuhn ได้สืบค้นสิ่งที่งานวิจัย, โดยแบบแผนแล้ว(ในห้วงเวลาที่ผ่านมาส่วนใหญ่) มีลักษณะเหมือนๆกัน ในขอบเขตความรู้ที่ถูกยอมรับกันอย่างดี และมีความเป็นวิทยาศาสตร์ที่สมบูรณ์
เขาสรุปว่า, ส่วนใหญ่ของงานวิจัย ได้อุทิศให้กับการวางแผนอย่างละเอียดและการแผ่ขยายออกไปของความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ที่ยอมรับกันอย่างเป็นรูปธรรม. ความสำเร็จอันนั้นก็คือ การแก้ปัญหาอย่างค่อยเป็นค่อยไปเกี่ยวกับปัญหาวิทยาศาสตร์ที่มีลักษณะเฉพาะ. มันได้ทำให้ทั้งทฤษฎีและเทคนิคปรากฎเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา และแสดงให้เห็นโดยตัวอย่างว่า พวกมันควรได้รับการนำมาใช้อย่างไร
ยกตัวอย่างเช่น กรณีผลงานของ Mendel เกี่ยวกับพืชตระกูลถั่ว, หรือในเรื่องเกี่ยวกับสเปคตรัมของไฮโดรเจนอันเป็นผลงานของ Bohr. ความสำเร็จซึ่งเป็นที่ยอมรับอันหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องราวประเภทนี้อาจแก้ปัญหาหรืออธิบายได้แต่ปัญหาวิทยาศาสตร์ที่มีลักษณะเฉพาะเรื่องราวหนึ่งโดดๆเท่านั้น
เสน่ห์ดึงดูดใจอันนั้นของความสำเร็จ อันที่จริงคือ มันสามารถมารับใช้ในฐานะที่เป็นพื้นฐานสำหรับงานวิจัยครั้งต่อไป. บรรดานักวิทยาศาสตร์ได้ให้มันมีสถานภาพเป็นแบบจำลองที่มีอำนาจอันหนึ่ง(an authoritative model) - หรือเป็น"กระบวนทัศน์วิทยาศาสตร์อันหนึ่ง"(a scientific paradigm), ดังที่ Kuhn พูดเอาไว้ - และพวกเขาได้พัฒนางานวิจัยของพวกเขาไปรายรอบๆมัน และในความคล้ายคลึงกับมัน
Kuhn เรียกงานวิจัยประเภทนี้ว่า"normal
science"
[หมายเหตุ] "normal science" หมายถึง งานวิจัยที่มีพื้นฐานอยู่บนความสำเร็จทางด้านวิทยาศาสตร์มาแล้วครั้งหนึ่งหรือมากกว่านั้นในอดีต,
ความสำเร็จต่างๆที่ชุมชนทางวิทยาศาสตร์บางแห่งโดยเฉพาะยอมรับช่วงเวลาหนึ่งในฐานะที่เป็นตัวเสริมรากฐานสำหรับปฏิบัติการครั้งต่อไปของมัน.
(Thomas Kuhn)
Normal Science - โลกทัศน์ภายใต้กรอบวิธีการวิทยาศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว
สัมฤทธิผลของกระบวนทัศน์... ส่วนใหญ่นับตั้งแต่เริ่มต้นทีเดียว คำมั่นสัญญาเกี่ยวกับความสำเร็จ สามารถค้นพบได้ในตัวอย่างที่ได้รับการคัดเลือก. Normal science ประกอบด้วยความเป็นจริงของคำมั่นสัญญาอันนี้, การทำให้ปรากฏเป็นจริงขึ้นมาอันหนึ่งที่สัมฤทธิผลโดยการแผ่ขยายความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงเหล่านั้น ซึ่งกระบวนทัศน์ได้แสดงออกมาในฐานะที่เป็นการเปิดเผยซึ่งมีลักษณะเฉพาะ, โดยการเพิ่มขอบเขตของความเข้าคู่กันระหว่างข้อเท็จจริงเหล่านั้น กับ การทำนายต่างๆของกระบวนทัศน์, และโดยการเชื่อมต่อของกระบวนทัศน์เองต่อๆกันไป
Kuhn เน้นว่า ในกระบวนทัศน์ normal science มันไม่เคยได้รับการยอมรับนอกเหนือไปจากข้อพิจารณาต่างๆในทางตรรก. ตรรกะคือพยานหลักฐานซึ่งมาสนับสนุนมัน และพยานหลักฐานนั้นก็ได้รับการทักท้วงหรือตั้งคำถาม เกิดข้อถกเถียง และโต้แย้งกัน. กระบวนทัศน์ normal science ได้ถูกนำมาใช้ในการวิจัยโดยการตกลงกัน มากกว่าที่จะเป็นเพราะความมีเหตุมีผลต่างๆของมัน. และการวิจัยหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งมันถูกนำมาใช้สันนิษฐาน ก็ไม่เคยพยายามทำการพิสูจน์มันเลย
ใน normal science กระบวนทัศน์ไม่ได้ถูกวินิจฉัยหรือทดสอบ: นั่นคือ ตัวมันเอง มันเป็นพื้นฐานสำหรับการตัดสิน. ความสำเร็จของกระบวนทัศน์ได้เพิ่มเติมความรู้ของเราเกี่ยวกับธรรมชาติ. ส่วนความล้มเหลวของกระบวนทัศน์ มันเพียงบ่งชี้ถึงความไม่สมบูรณ์ของนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น, หรือความไม่เพียงพอของเครื่องมือ, หรือความไม่รู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของต้นตอหรือข้อมูลที่ไม่คาดหมายบางประการ ซึ่งมารบกวนเงื่อนไขต่างๆของการสังเกตุการณ์หรือการทดลอง. ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า ได้มีความวางใจในเรื่องของกระบวนทัศน์มากเพียงใด และมันได้ถูกนำมาใช้ในฐานะที่เป็นพื้นฐานเชิงขนบประเพณีสำหรับการประเมินงานวิจัย กล่าวคือ normal science วางใจลงบนความเห็นที่สอดคล้องกันอันนี้มาก
อันที่จริง, ดังที่ Kuhn เน้นอย่างเจ็บปวด, ลักษณะของความเห็นสอดคล้องหรือฉันทามติเกี่ยวกับ normal science ยังคงถลำลึกยิ่งไปกว่านี้. แม้ว่ากระบวนทัศน์จะมารับใช้ในฐานะที่เป็นพื้นฐานสำหรับการประเมินงานวิจัย, แต่มันไม่ได้มีการกำหนดและตัดสินว่าจะใช้วิธีการใด(ที่เหมาะสม)ก่อน เกี่ยวกับการใช้มันเพื่อภารกิจอันนี้. ต้องจำไว้ว่า, กระบวนทัศน์เป็นความสัมฤทธิผลทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะอันหนึ่ง, ไม่ใช่คำสอนที่ไม่มีรูรั่วสำหรับการสร้างหรือการประเมินความสัมฤทธิผลต่อๆไป
กระบวนทัศน์ไม่ใช่ algorithm (หรือระบบกฎเกณฑ์ในการแก้ปัญหาของจำนวนที่แน่นอนทางคณิตศาสตร์ ): มันไม่ได้เตรียมหรือจัดหากฎเกณฑ์ต่างๆให้กับบรรดานักวิทยาศาสตร์ เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆโดยเฉพาะ แต่มันคือ"กฎเกณฑ์"ซึ่งนักวิทยาศาสตรทั้งหลาย สามารถดำเนินรอยตามเหมือนดั่งจักรกลอัตโนมัติของเหตุผล. ทั้งหมดที่มันเตรียมหรือหามาให้คือ"ตัวของมันเอง" นั่นคือ ตัวอย่างอันหนึ่งของการปฏิบัติการที่ดี, ซึ่งจะต้องนำมาใช้โดยตรงในฐานะที่เป็นแบบจำลองที่เป็นรูปธรรมอันหนึ่งของงานที่อาศัยความรู้และความสามารถ. และบรรดานักวิทยาศาสตร์จะต้องตัดสินใจด้วยตัวของพวกเขาเองว่า แบบจำลองอันนั้นจะได้รับการนำมาใช้ กับชิ้นงานทางวิทยาศาสตร์เฉพาะอันนั้นที่ยืนอยู่ในข้อคล้ายคลึงเหมาะสมกันกับมัน
ด้วยเหตุดังนั้น นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายจึงปฏิบัติกับ normal science ไม่เพียงต้องเห็นด้วยกับสิ่งซึ่งควรมารับใช้ในฐานะที่เป็นพื้นฐานของผลงานของพวกเขา แต่พวกเขายังต้องเห็นพ้องกันว่า มันควรมารับใช้วัตถุประสงค์อันนั้น โดยเฉพาะในทุกๆกรณีด้วย
พวกเขาถูกบีบบังคับหรือถูกผูกมัดกับการใช้กระบวนทัศน์อันหนึ่ง มากเท่ากับผู้พิพากษาคนหนึ่งที่ต้องตัดสินคดีไปตามหลักการหรือกฎหมายซึ่งเป็นที่ยอมรับ, หลักการหรือกฎหมายอันนั้นมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้วสำหรับการกระทำ(ความผิด ?) และผู้พิพากษาจะต้องตัดสินคดีต่างๆในอนาคตด้วยหลักการหรือกฎหมายนี้เช่นกัน ซึ่งปัจจัยหรือตัวกำหนดอันหนึ่งของการกระทำต่างๆในอนาคต มันอาจไม่เข้ากับหลักการหรือกฎหมายเหล่านั้นเลยก็ได้
ในทัศนะของนักเหตุผลนิยม งานวิทยาศาสตร์ที่มีลักษณะเป็นงานประจำ เป็นแก่นสารอันหนึ่งของความเชื่อฟังแบบยอมตามต่อกฎเกณฑ์ทั้งหลาย ซึ่งในคำอธิบายของ Kuhn มันเกี่ยวพันกับการวางแผนอย่างละเอียดของขนบธรรมเนียมและจารีตที่มีอยู่
ดังนั้น สำหรับ Kuhn, นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายไม่ควรเห็นด้วยเกี่ยวกับการตีความ ความถูกต้องของความรู้ที่มีอยู่ก่อนแล้ว อันนี้เทียบกับการพิพากษาต่างๆที่ไม่ควรเห็นด้วยกับบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับการตีความที่ถูกต้องของกฎหมายต่างๆที่มีอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน
โดยทั่วไป บรรดานักวิทยาศาสตร์ไม่เห็นด้วยน้อยกว่าผู้พิพากษาทั้งหลายเสียอีก นั่นมันไม่ใช่บางสิ่งซึ่ง Kuhn พยายามที่จะอธิบาย: เขาเพียงบันทึกลงไปในฐานะที่เป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น
ปฏิบัติการของ normal science ขึ้นอยู่กับความสามารถ, ได้มาจากแบบอย่างต่างๆ, ที่ได้รวมกลุ่มวัตถุปัจจัยทั้งหลายและสถานการณ์มาสู่ชุดของความคล้ายคลึงกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่มีลักษณะดึกดำบรรพ์ในความรู้สึกที่ว่า การรวมกลุ่มนั้นถูกกระทำขึ้นโดยปราศจากคำตอบต่อคำถามดังกล่าว คือ "ความคล้ายคลึงกับแง่มุมหรือประเด็นอะไร ?" 000000000 [หมายเหตุ] สำหรับการสนทนามากกว่านี้เกี่ยวกับความยุ่งยากดังกล่าว แต่เป็นประเด็นสำคัญ ให้ดูงานของ Kuhn (1970) ในเรื่อง The Structure of Scientific Revolution ในบทที่ 5. และเรื่อง T.S.Kuhn and Social Science ของ Barnes, B. 1982
กลับไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา
e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com