มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ
The Birth of the Clinic
คำชี้แจง : สำหรับนักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจทุกท่าน หากเปิดหน้านี้มาอ่านแล้ว หน้าซ้อนกัน โปรดใช้ โปรแกรม Internet Explorer อ่าน / บทความนี้ อ่านแล้ว อาจจะรู้สึกว่าไม่ปะติดปะต่อ หรือจับต้นชนปลายไม่ถูก ก็เพราะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต่อมาจาก"ฟูโกสำหรับผู้เริ่มต้น" ดังนั้น เพื่อให้ได้อรรถรสอย่างครบถ้วน กรุณากลับไปที่หน้า"บทความ"แล้วคลิกไปอ่านเรื่องดังกล่าว ในหัวข้อเรื่องที่ 43
กำเนิดคลินิค : (The Birth of the Clinic)
หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพื้นที่, เกี่ยวกับภาษา, และเกี่ยวกับความตาย; มันเป็นเรื่องซึ่งเกี่ยวกับวิธีการมองและการเพ่งพินิจ.

อะไรคือสิ่งที่ Foucault หมายถึง สำหรับคำว่า"คลินิค" ?

ตามความจริง คุณเคยได้ดูมันมาแล้วในทีวี. ลองนึกถึง Dr. Kildare, Dr.Welby, St.Elsewhere, หรือ Doogie Howser รวมทั้งเรื่อง ER. ห้องฉุกเฉิน (เลือกหยิบขึ้นมาสักเรื่องงจากรายการภาพยนตร์ทางทีวีเหล่านี้ดู). ในรายการแสดงของบุคคลเหล่านี้ทั้งหมด คุณจะได้เห็นถึงหมอที่มีประสบการณ์ กำลังทำการตรวจตราในห้องคนไข้ต่างๆ พร้อมด้วยแพทย์ฝึกหัดที่กระตือรือร้น และดูตื่นๆ ซึ่งยังไม่มีประสบการณ์เท่าไหร่.

ถ้าหากว่าคุณเคยอยู่ในโรงพยาบาล อาจจะคงเคยเห็นภาพเช่นนี้มาบ้าง. เป็นไปได้ว่า คุณยอมรับว่า มันเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งของการป่วยและภาพในโรงพยาบาลส่วนที่เกี่ยวกับการดูแลช่วยเหลือคนไข้. แต่สังเกตุดูว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับคนไข้ในการดูแลรักษากันเหล่านี้.

กลุ่มคนที่อยู่รายรอบเตียงคนไข้ ซึ่งกำลังจ้องมองดูคนไข้ที่นอนป่วยอยู่ บางทีก็ไปเขย่าคนไข้ให้รู้สึกตัวขึ้นมา. คนป่วยจะถูกทึกทักเอาว่ากำลีงมีคนมาดูแล และตนต้องเงียบ เว้นแต่ว่าเขาหรือเธอ(หมายถึงคนไข้)จะถูกถามคำถาม และในเวลานั้นคนไข้จะถูกใช้เป็นส่วนสำคัญสำหรับพิธีกรรมที่น่าอัปยศอดสูของอาจารย์แพทย์และพวกนักศึกษาแพทย์.

คนไข้กลายเป็นสิ่งๆหนึ่ง, นั่นคือโรค, ขณะที่หมอๆทั้งหลายไม่ได้สนใจอะไรอย่างอื่นเลยเกี่ยวตัวของคนไข้ (เว้นแต่, แน่นอน ในละครทีวี ที่แพทย์ซึ่งเป็นพระเอกคนนั้น มักจะเห็นและเข้าใจคนไข้ในฐานะที่เป็นคนจริงๆที่นอนอยู่ ณ ที่นั้น).

สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เช่น การสอนในโรงพยาบาล และความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องทางการแพทย์ข้างเตียงคนไข้ เป็นวิธีการที่ดีที่สุดของการปฏิบัติต่อคนไข้และของการฝึกแพทย์ขึ้นมา. ในเวลาเดียวกันนั้น มันคือสิ่งซึ่ง Foucault อ้างถึงด้วยคำว่า "LA CLINIQUE"

อันนี้เป็นรากฐาน หรือแก่นแท้ที่ยิ่งใหญ่อันหนึ่งในการสร้างสรรค์ของมัน, กล่าวอีกครั้ง มันคือ: "การปฏิวัติฝรั่งเศส" ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนให้ทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเดิม.

มันมีความฝันในทางการแพทย์อยู่ 2 เรื่องเกี่ยวกับการปฏิวัติ:

(1)... ลักษณะของความฝันอันแรก คือต้องการทำให้เป็นสังคมยอมรับ, อันนี้เกือบจะเป็นกฎเกณฑ์หรือระเบียบปฏิบัติในทางศาสนาเลยทีเดียว กล่าวคือ บรรดาหมอๆ จะทำหน้าที่ดูแลทางด้านร่างกายของคนเรา ในขณะที่บรรดาพระทั้งหลายก่อนหน้านี้ จะทำหน้าที่ดูแลทางด้านจิตวิญญาน (ปัจจุบัน จิตแพทย์อาจช่วงชิงบทบาทอันนี้ไปแล้วส่วนหนึ่ง)

(2)... ความฝันในเรื่องที่สอง ต้องการวางกฎเกณฑ์ทางสังคมที่สมบูรณ์อันหนึ่งขึ้นมา ด้วยการทำให้สังคมปราศจากโรคทั้งปวง

โรคต่างๆของคนจน คือผลผลิตต่างๆของสภาพเงื่อนไขทางสังคมอันน่าสยดสยองและน่าสงสาร ซึ่งพวกเขาดำรงอยู่ ส่วนโรคต่างๆของคนรวยเป็นผลอันเนื่องมาจากการสำมะเลเทเมา และการใช้จ่ายอย่างสุร่ยสุร่าย ที่ตรงข้ามกันเลยทีเดียว.

แต่คุณจะวางนโยบายต่างๆให้เหมาะสมหรือเข้าที่เข้าทางได้อย่างไร ?

ในการปฏิวัติ, ความเคลื่อนไหวอย่างแรกนั้นก็คือ การกำจัดวิธีการทางการแพทย์เก่าๆทิ้งไปให้หมด. บรรดามหาวิทยาลัยต่างๆได้รับการมองว่าเป็นป้อมปราการของพวกชนชั้นหัวกระทิ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงได้ยุติวิธีการโบราณๆเก่าๆทางการแพทย์ต่างๆลงไปได้. โรงพยาบาลทั้งหลายถูกมองว่าเป็นความสิ้นเปลืองเงินทอง - ผู้คนสามารถที่จะได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าได้ที่บ้าน, ภายในครอบครัวตัวเอง. ดังนั้นโรงพยาบาลจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป.

เงินทุนอุดหนุนโรงพยาบาลถูกยึดคืนกลับไป และบางครั้งถูกสงวนรักษาเอาไว้, บางครั้งก็ก็ถูกนำไปใช้เป็นทุนสำหรับกิจกรรมสาธารณกุศล และบางครั้งก็เปลี่ยนไปเป็นเงินสดพร้อมใช้.

แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยังคงมีคนป่วยจำนวนมากอยู่ต่อไป(โดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง). และต่อมา มีเหล่าทหารหาญที่ได้รับบาดเจ็บจากสงคราม ! ด้วยเหตุนี้ แน่นอน บรรดาหมอๆจึงถูกต้องการเป็นจำนวนมาก. ที่ทำการต่างๆทางด้านการแพทย์เป็นที่ต้องการมากขึ้น, และส่วนใหญ่แล้ว ทุกๆคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ได้รับการฝึกฝนทางด้านการแพทย์ แม้เพียงเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ก็จะได้รับการยอมรับและไว้วางใจให้ดูแลรักษาอาการป่วยไข้. บุคคลเหล่านี้จะคืนกลับไปสู่ชีวิตพลเรือนในฐานะแพทย์คนหนึ่ง และ, โดยไม่มีการดูแลควบคุมเท่าที่ควร, อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายอย่างร้ายแรงขึ้นมาได้.

กรณีที่เกิดขึ้นจริงกรณีหนึ่ง, อันเป็นมูลเหตุให้เกิดการตายขึ้นมาเป็นจำนวนมาก. ด้วยการฝึกฝนมาไม่มากพอ กับการวินิจฉัยและการใช้ยาไม่ถูกต้อง เป็นสาเหตุแห่งโศกนาฎกรรมอันนี้ คือ แพทยได้วินิจฉัยอาการป่วยของคนไข้ว่า"มันคงเป็นปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ? เราจะต้องถ่ายท้องเพื่อปรับระบบของคุณ, โดยใช้...อึม, ฉันเดาว่า arsenic (สารหนู) คงจะทำอย่างนั้นได้." ต่อมา เมื่อมันยังไม่ได้ผล "ไม่ได้ผลรึที่ผ่านมา, ฉันคาดเดาว่า ฉันไม่ได้ให้ยามากพอ. เอานี่ กลืนมันเข้าไปอีก". (โดยหวังว่าปริมาณยาที่ให้ไปจะไปรักษาอาการป่วยได้)

บางสิ่งต้องถูกทำ. มหาวิทยาลัย - อันเป็นสถานที่ฝึกแพทย์เริ่มทำการสอนนักศึกษาต่างๆเป็นความลับ. ภายหลังการปฏิวัติ, ระบบทั้งหมดได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่จากความสะเปะสะปะ. โรงพยาบาลต่างๆต้องได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่เช่นกัน และปกติแล้ว โรงพยาบาลทั้งหลายจะเชื่อมโยงกันมหาวิทยาลัยที่สร้างขึ้นมาใหม่ต่างๆ.

อะไรคือสิ่งสำคัญเกี่ยวกับการคลินิค ?

  • "การสอน"ได้ถูกเชื่อมโยงเข้ากันกับ"การปฏิบัติ"
  • การคลินิค(สอนโดยอยู่ข้างเตียงคนไข้) กลายเป็นรากฐานสำคัญสำหรับแพทย์ที่มีใบอนุญาต ซึ่งมันค่อยๆกลายเป็นข้อจำกัดมากขึ้นๆทีละเล็กทีละน้อย
  • ศาสตราจารย์ทางด้านการแพทย์กลายเป็นบุคคลซึ่งมีอำนาจมาก. เขาจะทำการตรวจตราคนไข้ และต่อจากนั้นก็จะทำการทดสอบนักศึกษาแพทย์. ในเวลาเดียวกันนั้น อาจารย์แพทย์เหล่านี้มักจะกำลังก้าวเข้าไปสู่ความเสี่ยง กล่าวคือ ถ้าหากว่าเขากระทำการใดๆที่เกิดความผิดพลาดขึ้น มันก็จะปรากฎต่อหน้าต่อตานักศึกษาแพทย์ที่รายล้อมอยู่ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน.
  • บรรดาคนไข้ต่างยอมรับการสอนข้างเตียงที่รายรอบตัวพวกเขา ในฐานะที่เป็นการบริการที่จำเป็นอย่างหนึ่งต่อรัฐ. ใช่, พวกเขาอาจตายก็ได้, แต่มันเป็นสิ่งประเสริฐไม่ใช่หรือ เมื่อพวกเขาจะได้ช่วยเพิ่มความรู้เกี่ยวกับมนุษย์ขึ้นมา.
  • ตามสถานที่ของการเรียนรู้ทางการแพทย์, วิธีการคลินิคหรือการสอนข้างเตียงคนป่วยนั้น จะจัดให้มีสถานที่ที่เกี่ยวกับโรคต่างๆเป็นกลุ่มๆ. ตัวอย่างอันหลากหลายทั้งหมดเกี่ยวกับโรคใดโรคหนึ่ง อาจได้รับการจัดเอาไว้ให้ไปอยู่ในตึกผู้ป่วยที่เป็นโรคนั้นๆโดยเฉพาะ(เช่น ตึกโรคมะเร็ง).
  • โรคคือสิ่งที่สำคัญ(ไม่ใช่คน), คนป่วยแต่ละคนเป็นเพียงส่วนประกอบ(หรือความบังเอิญ). โรคที่ยิ่งไม่ธรรมดามากเท่าไหร่ คนไข้ก็จะได้รับความสนใจมากขึ้นเท่านั้น(เพียงแค่สนใจเพราะมันใหม่หรือไม่ธรรมดา). ด้วยเหตุนี้ โรคต่างๆจึงได้รับการวางหรือแบ่งเป็นพื้นที่แต่ละตึก และอาจารย์หมอก็จะเดินจากตึกหนึ่งไปยังอีกตึกหนึ่ง เบนสายตาอันทรงอำนาจทั้งปวงของเขาไปยังคนแต่ละคน.
  • การมองในลักษณะกระทำเช่นนี้คือสิ่งที่ Foucault เรียกว่า "the Gaze" การเพ่งพินิจ. ซึ่งมันได้ถูกยกระดับขึ้นไปสู่ความสำคัญอันยิ่งใหญ่ในทางการแพทย์

การรับรู้ของหมอเป็นกุญแจสำคัญ, และหมอที่ไม่ระมัดระวัง และไม่คอยดูเอาใจใส่เป็นเรื่องของผิดและความล้มเหลวที่ร้ายแรงที่สุด. การตรวจตราดูทั้งหมด อย่างละเอียดและด้วยความระมัดระวังถือว่าเป็นแพทย์ที่สมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้ได้ถูกนิยามขึ้นมาในช่วงต้นๆ โดยได้เน้นให้เป็นการกระทำต่างๆของแพทย์.

"เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ดังที่กล่าวมาข้างต้น, เป็นความพยายามในส่วนของความคิดเกี่ยวกับเรื่องคลินิค(การเรียนการสอนข้างเตียงผู้ป่วย) เพื่อสร้างนิยามเกี่ยวกับวิธีการและบรรทัดฐานทางวิทยาศาสตร์ของมันขึ้นมา ซึ่งมีลักษณะที่ฉาบฉวย มันเป็นมายาคติอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับการเพ่งพินิจอย่างบริสุทธิ์ว่า จะเป็นภาษาที่บริสุทธิ์: นั่นคือ ให้สายตาพูด(speaking eye). มันเป็นการกวาดตาอย่างละเอียดไปที่อาณาบริเวณของโรงพยาบาลทั้งหมด, นำเข้ามาและรวบรวมมันเข้าด้วยกันสำหรับเหตุการณ์เดี่ยวๆโดดๆแต่ละอย่างเหล่านั้น ซึ่งเกิดขึ้นมาภายในโรงพยาบาล; และขณะที่ใช้สายตาดู ขณะที่กวาดตามองอย่างถี่ถ้วนให้ชัดขึ้นๆ มันก็จะถูกเปลี่ยนไปสู่คำพูดที่เอ่ยออกมาและการเรียนการสอน..."

ความปรารถนาอันหนึ่งที่จะพัฒนาเรื่องของ nosology (สาขาหนึ่งทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจำแนกแยะแยะโรคต่างๆ)ให้สมบูรณ์ นั่นดูคล้ายๆกับวิธีการ taxonomy (การจัดแบ่งสิ่งที่มีชีวิตออกเป็นกลุ่มๆ)ของ Linnaeus (นักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน 1707-1778)เกี่ยวกับการจัดหมวดหมู่และแยกประเภทของพืชและสัตว์.

การวางโครงหรือแปลนทั้งหมดเกี่ยวกับตึกคนไข้ต่างๆในโรงพยาบาล จะควบคู่กันกับโรคต่างๆที่มีการจำแนกเป็นหมวดหมู่. แต่อันนี้มันไม่พอที่จะรู้จักโรค - มันยังมีสิ่งอื่นๆอีกเป็นจำนวนมากที่ยังถูกซ่อนเร้นอยู่จากสายตา. แต่ต่อมา ก็ได้เกิดการโฟกัสอย่างใหม่ขึ้นมาอันหนึ่ง: นั่นคือ… (ดังคำพูดของ Marie-Francois-Xavier Bichat, ซึ่งได้พูดกับนักศึกษาแพทย์)

"นับเป็นเวลา 20 ปีมาแล้ว, จากเช้าตรู่ถึงย่ำค่ำ พวกคุณได้ไปจดบันทึกที่ข้างเตียงของคนไข้… และทั้งหมดนั้น มันสร้างความสับสนให้กับคุณในเรื่องเกี่ยวกับการบอกอาการโรคต่างๆ มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย, มันไม่ทำให้คุณปะติดปะต่อปรากฎการณ์ใดๆได้อย่างต่อเนื่อง. แต่การเปิดศพเพียงไม่กี่ศพ: คุณจะทำให้ความมืดดำเหล่านั้นทั้งหมดเลือนหายไปในทันที ซึ่งเพียงการสังเกตุอย่างเดียวนั้นไม่อาจที่จะทำให้ความดำมืดเลือนหายไปได้" (Marie-Francois-Xavier Bichat, 1803.)

การเปิดศพเพื่อการชำแหละทางการศึกษา การชำแหละศพเพื่อการศึกษา อันที่จริง ไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียวแต่อย่างใด แต่การตัดสินใจอันนั้นถือว่าเป็นความสำคัญหรือแก่นแกนที่แตกต่างออกไปเลยทีเดียว. การผ่าศพนั้น ทำให้สายตาสามารถมองเข้าไปในร่างกายของคนได้ทันที และโรคต่างๆทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ด้วยการพินิจพิจารณาขึ้นมา

เนื่องจากว่า นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับร่างกายของคนที่ตายไปแล้ว, ไอเดียหรือความคิดเกี่ยวกับเรื่องความตายก็ได้เปลี่ยนแปลงไป. ความตายและโรคภัยไข้เจ็บเปลี่ยนจากความคิดในเชิงลบอันบริสุทธิ์กลายไปเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งยวดในกระบวนการของชีวิต.

"ความตายเป็นความไม่มีชีวิต น้อยกว่าการเป็นจุดสุดยอดของชีวิต" (ลูกโป่งคำพูด)

และโดยผ่านความตาย, วิทยาศาสตร์, นับจากเริ่มต้นคริสตศตวรรษที่ 19, จึงเริ่มตรึกตรองเกี่ยวกับปัจเจกบุคคล - ไอเดียสำคัญอันหนึ่งของ Foucault

วิทยาศาสตร์ได้โฟกัสลงไปบนหลักการต่างๆทั่วๆไป โดยไม่สนใจสถานการณ์หรือสภาวะของปัจเจกบุคคล. นิวตันไม่ได้หยุดความคิดของเขาไว้ที่ผลแอปเปิลผลนั้นซึ่งตกลงมาบนหัวของเขา; เขาได้พัฒนาหลักการอันหนึ่งขึ้นมาที่อธิบายถึงผลแอปเปิลทั้งหมด, วัตถุทั้งปวงที่ตกลงมา. แต่วิทยาศาสตร์นั้นเป็นเรื่องที่ยากมากในการเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์. สำหรับเหตุผลบางอย่าง เราสามารถที่จะอยู่กับความเป็นนามธรรมมากๆเกี่ยวกับผลแอปเปิลได้ แต่เมื่อนมนุษย์ถูกนำเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เรามีแนวโน้มที่จะเอาใจใส่อย่างมากต่อปัจเจกแต่ละคนจริงๆ.

พอผันผ่านช่วงสิ้นสุดของคริสตศตวรรษที่ 18 และเริ่มต้นคริสตศตวรรษที่ 19 บรรดานักวิทยาศาสตร์มากมายหลายคนเริ่มต้นที่จะโฟกัสหรือให้ความสนใจลงไปที่มนุษย์ ในนามของ"มนุษย์ศาสตร์"(วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับมนุษย์-human science): นั่นคือ เศรษฐศาสตร์, มานุษยวิทยา, ภาษาศาสตร์, จิตวิทยา, และอื่นๆ…

การแพทย์นั้น ค่อนข้างจะเป็นวิทยาศาสตร์ที่จริงจังและเข้มข้น(hard science) มากกว่าศาสตร์อื่นๆ, และมันมักจะโฟกัสหรือเอาใจใส่ลงไปในมนุษย์ทั้งหลาย. การเปิดศพเพื่อชำแหละทางการศึกษา, Foucault ยืนยัน, ทำให้การแพทย์มีโอกาสควบคุมหรือปราบร่างกายทั้งหมดลงมาสู่การเพ่งพินิจทางวิทยาศาสตร์.

"ด้วยเหตุนี้ ภววิสัยทางวิทยาศาสตร์จึงเผชิญกับปัจเจกชนที่เปลือยเปล่า"(คำพูดในลูกโป่ง)

แพทย์เป็นคนที่สามารถจ้องดูร่างกายภายนอกของผู้คนได้ และยังสามารถมองเข้าไปภายในได้ด้วย, และอำนาจของเขา มาจากวิธีการของเขาเกี่ยวกับการมอง มากกว่าที่จะมาจากทฤษฎีต่างๆที่เป็นนามธรรมของเขา.

(ต่อเรื่อง The Order of Thing)

E-mail : midnightuniv(at)yahoo.com











คนไข้ถูกทึกทักเอาเองว่าเงียบ
เหมือนกับวัตถุที่ไม่มีชีวิต หรือ
เป็นเพียงโรคเท่านั้น ซึ่งหมอสนใจ(แต่อาการโรค)

ไม่ใช่ในฐานะคนที่มีชีวิต

 

หมอมีความศักดิ์สิทธ
ิ์เช่นเดียวกับพระในสมัยก่อน
หมอคือผู้ดูแลด้านร่างกาย
ส่วนพระดูแลด้านจิตวิญญาน

 

คนจนป่วยเพราะความขัดสน
และความขาดแคลน
ส่วนคนรวยป่วยเพราะความมี
มากจนเกินไปและความฟุ่มเฟือย

 

 

การแพทย์สมัยใหม่ เป็นหนึ่งในการปฏิวัติฝรั่งเศส
เป้าหมาย 2 ประการของ
การปฏิวัติคือ

1. ทำให้สังคมยอมรับ
2. ทำให้สังคมปราศจากโรค

และแล้วมันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ

 

 

 

 

 

อะไรคือสิ่งสำคัญของ
การคลินิค
หันไปทางซ้ายมือ
เพื่อพบกับคำตอบนี้ได้