ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องเพศ
ผลงานขนาดยาวของ Michel Foucault ที่วิเคราะห์ถึงเรื่อง ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ โดยผ่านเรื่องราวทางเพศ |
ในสมัยวิคตอเรีย
ชีวิตความเป็นอยู่ เป็นไปอย่างมีระเบียบวินัยและพิถีพิถันมาก เรื่องเพศถูกแสร้างว่าไม่มีอยู่
และหากภรรยา จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ทางเพศกับสามี
เพื่อสืบทายาท เธอก็ถูกบอกให้คิดถึงเรื่อง การทำสะอาดครัว ในช่วงระหว่าง มีกามกิจนั้น
ด้วยเหตุนี้ ท้องถนนจึงเต็มไปด้วยโสเภณี
ความคิดดังกล่าวมีผลต่อมาในระบบโรงเรียน
โรงทหาร โรงพยาบาล และสถานกักกัน แม้แต่วงการแพทย์ก็ได้รับผลกระทบ ทำให้ความรู้ทางเพศศึกษา
ล้าหลังและทิ้งห่างจากความรู้เกี่ยวกับ
การสืบพันธุ์ของพืชและสัตว์
( ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของอำนาจ) ที่สำคัญก็คือ อำนาจนี้มาจากไหน ?
ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องเพศ (The History of Sexuality) สำหรับผลงานชิ้นนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสมมุติฐานในเรื่องอำนาจที่มีต่อการสะกดกลั้นและการควบคุมอารมณ์ทางเพศ ซึ่งได้ตกค้างมาจนกระทั่งถึงพวกเราในทุกวันนี้ Foucault ได้จำแนกให้เห็นถึงทัศนะทางความรู้ในขนบธรรมเนียมอันหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศ: "พวกเราทั้งหมดต่างรู้ดีถึงผู้คนในสมัยวิคตอเรียนและเรื่องเพศที่ถูกทำให้เป็นเรื่องต้องห้ามในสมัยนั้น"(ลูกโป่งคำพูด) สาธารณชนต่างๆรู้กันทั่วไปว่า ผู้คนในยุควิคตอเรียนี้ ค่อนข้างที่จะเจ้าระเบียบและพิถีพิถันมาก และมีการแสร้งปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องเพศเสมือนกับว่ามันไม่ได้มีอยู่ ประหนึ่งว่าผู้คนในสมัยนั้นไม่ได้มีร่างกายแต่อย่างใด. กล่าวคือ สิ่งเหล่านี้เป็นท่าทีส่วนหนึ่งของการรณรงค์หรือการเผยแพร่ต่อบรรดาผู้หญิงให้เข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น. พวกเขาได้พร่ำสอนผู้หญิงให้อยู่ในโอวาส มีความประพฤติที่เรียบร้อยเหมาะสม และยังบอกอีกด้วยว่า เรื่องเพศหรือเรื่องเซ็กส์นั้นไม่ใช่เรื่องสนุก, และด้วยเหตุดังนั้น พวกเธอควรที่จะคิดถึงเรื่องอื่น เช่น ให้นึกถึงการทำความสะอาดครัวเรือน ในขณะที่บรรดาสามีของพวกเธอ มีความต้องการที่จะพยายามให้กำเนิดทายาท เป็นต้น. แต่ในเวลาเดียวกันนั้น เมื่อเราออกไปยังท้องถนน เราจะพบว่า มีบรรดาโสเภณีกันอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง เพราะผู้คนในยุควิคตอเรียนต่างก็บ้าเซ็กส์กันอย่างเต็มที่ ซึ่งอันนี้มันเป็นไปอย่างลับๆ. พวกเขาทั้งหมดคิดถึงกันแต่ในเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้เป็นเพราะว่า พวกเขาได้ถูกสะกดข่มในเรื่องทางเพศกันมากนั่นเอง ดังนั้น เรื่องเพศหรือเรื่องเซ็กส์มันจึงตีกลับขึ้นมาในหมู่พวกเขา ถึงขั้นเจ็บป่วยกันเลยทีเดียว และมากขึ้นๆเรื่อยๆ |
ผู้คนในสมัยวิคตอเรีย
เป็นคนเจ้าระเบียบและพิถีพิถัน
พวกเขาปฏิบัติกับเรื่องเพศ
เหมือนกับว่ามันไม่มีอยู่
สังคมวิคตอเรียทำร้ายตัวเอง
และมันเผยตัวออกมาอย่างเงียบๆ
พยายามเล่าทุกอย่างที่กระทำ
โดยไม่พูด
มันเป็นการประณามอำนาจที่
มาบังคับควบคุม
พระราชินีวิคตอเรียคือ
ด้านหนึ่งของภาพ ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นคือ
ฆาตกรหั่นศพ (ทั้งสองด้านนี้คือ
บุคคลคนเดียวกัน)
ด้วยเหตุนี้ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สิ่งที่เราต้องการก็คือ เราต้องการที่จะพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องเพศได้อย่างเปิดเผย - นั่นคือหนทางเดียวที่จะรักษาความป่วยไข้นี้ได้. ปาป้าฟรอยด์ถือว่าเป็นบุคคลแรก ที่อธิบายเรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมด และนับแต่ช่วงนั้นเป็นต้นมา เราได้พยายามอย่างหนักเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อที่จะซื่อสัตย์ เปิดเผย และมีสุขภาพจิตที่แข็งแรงเกี่ยวกับเรื่องเพศ เพื่อโยนหรือขจัดข้อจำกัดอันชั่วช้าต่างๆ เกี่ยวกับความเป็นคนที่มีจิตใจสกปรกทิ้งไป ซึ่งมันควบคุมและครอบงำผู้คนทั้งหลายอยู่. ทุกๆครั้งที่เราคุยกันถึงเรื่องเซ็กส์ เราก็กำลังโยนหรือสลัดโซ่ตรวนของเราทิ้งไปอย่างหาญกล้า และการปฏิวัติเรื่องเพศถือว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญอันนำไปสู่การปฏิวัติอื่นๆทั้งมวล.
แต่อย่างไรก็ตาม อีกครั้งที่ Foucault อ้างว่า มันมีบางสิ่งที่ผิดพลาดกับภาพๆนี้ ซึ่งพวกเราทั้งหมดได้ยอมรับกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว.
"กล่าวอย่างสั้นๆและกระชับก็คือ, จุดประสงค์ของผม ต้องการที่จะสำรวจเกี่ยวกับเรื่องราวดังกล่าว เกี่ยวกับสังคมหนึ่งซึ่งกำลังทำโทษตัวของมันเองอย่างรุนแรง สำหรับการเสแสร้ง หรือการหลอกลวงของสังคมที่มีมายาวนานกว่าศตวรรษ, สังคมได้พูดจาเกี่ยวกับตัวมันเองออกมามากแต่เป็นไปอย่างเงียบๆ มันพยายามอย่างเต็มที่ และสุดความสามารถที่จะเล่าถึงรายละเอียดในสิ่งต่างๆที่มันได้กระทำแต่ไม่พูด, ซึ่งเป็นการประณามถึงอำนาจต่างๆที่มาบังคับควบคุมอยู่ และให้คำมั่นสัญญาว่าจะปลดปล่อยตัวเอง จากกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ได้ทำให้มันมีบทบาทหน้าที่เหล่านี้ขึ้นมา"
เขาไม่ได้สงสัยว่า ในการพูดคุยกันเป็นประจำทุกๆวันนั้น การพูดคุยกันถึงเรื่องเพศหรือเรื่องเซ็กส์เป็นสิ่งที่ถูกห้ามหรือมีข้อจำกัด. สิ่งที่เขายืนยันเป็นอย่างแรกก็คือว่า วาทกรรมต่างๆเกี่ยวกับเรื่องเซ้กส์นั้นมันแพร่หลายออกไป. และเกือบจะโดยทันทีทันใด เรื่องเพศหรือเรื่องเซ็กส์กลายเป็นสิ่งที่ศึกษากันในทางวิทยาศาสตร์ และมีกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่มาควบคุมอย่างระมัดระวัง โดยสถาบันต่างๆ - เช่น ในโรงเรียน, ในโรงทหาร, ในสถานกักกัน, โรงพยาบาล, และโรงพยาบาลโรคจิต, และในสถาบันอื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก. วาทกรรมเหล่านี้ทั้งหมดคือส่วนหนึ่งของขบวนการหลักที่สำคัญของตะวันตก ในการผลิตความจริงเกี่ยวกับเรื่องเพศขึ้นมา, สำหรับการให้นิยามในเรื่องเซ็กส์และความหมายต่างๆทางวัฒนธรรมของมัน ซึ่งเขาเรียกมันว่า scientia sexualis. วาทกรรมทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องทางเพศของมนุษย์นั้น ต้องถือว่าล้าหลังและทิ้งห่างไกลกันมาก กับสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับเรื่องการสืบพันธุ์ของพืชและสัตว์. มันมีวิธีการที่แตกต่างกันสองวิธีเกี่ยวกับความเข้าใจเรื่องเพศ ซึ่งมีอยู่ในเวลาเดียวกัน: นั่นคือ ชีววิทยาเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ ซึ่งได้พัฒนาขึ้นมาขนานกันไปกับวิทยาศาสตร์ด้านอื่นๆ, และความรู้ทางการแพทย์เกี่ยวกับเรื่องเพศ ซึ่งได้แยกทางออกไปจากวิทยาศาสตร์อื่นๆทั้งหมด, ไม่รู้ว่าไป ณ ที่ใด. ตัวอย่างซึ่งเป็นรูปธรรมเกี่ยวกับความแปลกประหลาดของวิทยาศาสตร์ทางเพศ(Scientia sexualis)ก็คือผลงานของ Charcot ที่ Salpetriere, สำหรับ Salpetriere นี้คือศูนย์กลางของการปฏิบัติการเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยฮีสทีเรีย ในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 19 ที่ซึ่ง Freud ได้รับการฝึกฝนมาจาก ณ ที่นั้น. บรรดาคนไข้ที่เป็นผู้หญิง จะถูกนำมาแสดงให้กับผู้เข้ามาเยี่ยมได้ชมกัน. ดังที่ Charcot ได้อธิบายแต่ละกรณีๆว่า คนไข้จะมีอาการคลั่งแปลกๆซึ่งเป็นไปเองโดยไม่มีการกระตุ้น บ่อยครั้ง พวกเธอจะมีอาการที่สัมพันธ์กับเรื่องทางเพศ ซึ่ง Charcot อธิบายว่าเป็นอาการบ่งชี้เกี่ยวกับความหมกมุ่นในเรื่องของตัณหาราคะอันเนื่องมาจากอาการฮีสทีเรีย. อาการคลั่งหรือออกอาการรุนแรงในทางร้ายของคนไข้อาจถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้นได้ โดยการสัมผัสบริเวณรังไข่ของเธอ ด้วยไม้เปตองของแพทย์. สำหรับคนไข้คนใดที่มีท่าทีซึ่งมีลักษณะเป็นการยั่วยุต่อการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในเรื่องทางเพศ บรรดาคนไข้เหล่านี้จะถูกกันออกไปจากสายตาของผู้คน ทั้งนี้เพราะว่าท่าทีของพวกเธอมีลักษณะเฉพาะหรือพิเศษจนเกินไปนั่นเอง. Freud รู้สึกชื่นชมกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดมาก และไม่ได้ทิ้งมันไปเอาไว้เบื้องหลัง. เราคงจะจดจำถึงเพื่อนของเขาคนหนึ่งได้ นั่นก็คือ Doctor Fliess, ผู้ซึ่งเชื่อว่าปัญหาทางเพศต่างๆมากมายในตัวผู้หญิงนั้น มันเนื่องมาจากการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง และสามารถได้รับการบำบัดรักษาได้โดยการผ่าตัดที่จมูก. (ใช่, เขาจริงจังมากเกี่ยวกับเรื่องนี้) Freud เองถึงกับเคยยอมให้เพื่อนของเขาทำการผ่าตัดคนไข้ของเขาเองคนหนึ่ง ผู้ซึ่งโอดครวญหลังจากนั้นว่า มันมีผลในทางที่เลวร้ายหลายประการตามมาเกี่ยวกับการผ่าตัดในครั้งนั้น. Freud ได้บอกกับเธอว่า อาการโรคของเธอเป็นเรื่องเกี่ยวกับฮีสทีเรียทั้งหมด และยังคงยืนยันถึงเรื่องนี้ แม้แต่หลังจากที่เธอเริ่มมีอาการตกเลือดอย่างรุนแรงแล้วก็ตาม. ในท้ายที่สุด เธอก็ได้รับการเปิดผ้าพันแผลที่ยาวมากนั้นออกมาอีกครั้ง ตรงบริเวณจมูกที่มีการผ่าตัด ซึ่งเมื่อผ้าพันแผลได้รับการเปิดออก ก็ได้เห็นถึงสิ่งที่ Doctor Fliess ทิ้งรอยแผลเอาไว้ มันคือความผิดพลาดอันเนื่องมาจากในช่วงระหว่างการผ่าตัดครั้งแรกนั่นเอง ซึ่งความพลั้งเผลออันนี้อาจฆ่าเธอได้เลยทีเดียว. |
Salpetriere
คือ ศูนย์กลางการบำบัดผู้ป่วย
ฮีสทีเรีย ซึ่งฟรอยด์ได้รับ
การฝึกฝนมาจากที่นั่น
ปัญหาทางเพศมากมาย
ในตัวผู้หญิงนั้น เนื่องมาจาก
การสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง
มากไ ป ซึ่งสามารถบำบัดได้
ด้วยการผ่าตัดที่จมูก
ตัวอย่างที่ยกมาในสองกรณีข้างต้นนี้ (สถานบำบัดอาการฮีสทีเรียที่ Salpetriere และเรื่องของ Doctor Fliess) เป็นเพียงอุทาหรณ์สองเรื่องเท่านั้นเกี่ยวกับเรื่องทางการแพทย์. ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องเพศ ซึ่งสำหรับเราเมื่อมองดูตัวอย่างเหล่านี้แล้ว มันไม่เพียงเป็นความเข้าใจผิดและความผิดพลาดเท่านั้น แต่มันยังเป็นความบ้าที่พิลึกพิลั่นและออกจะวิปริตเอาเลยทีเดียว. วิทยาศาสตร์ทางเพศของเราเองเมื่อมองย้อนกลับเข้าไปใน 50 ปีที่ผ่านมานี้เป็นอย่างไรกันบ้างล่ะ ?
จิตแพทย์มีอำนาจเหนือคนไข้
โดยการนั่งและฟังคนไข้
รูปแบบใหม่ของอำนาจ
มันค่อนข้างละเอียดอ่อนมาก
มันไม่ใช้กำลังบังคับ
ดังนั้นมันจึงถูกมองข้าม และ
ยากที่จะต่อต้าน
ถึงเวลาแล้วที่จะยอมรับนิยามความหมายอันหนึ่งเกี่ยวกับความนึกคิดเรื่อง"อำนาจ", ซึ่งมันเป็นแก่นแกน หรือหัวใจสำคัญเกี่ยวกับผลงานของข้าพเจ้าเป็นจำนวนมาก. อำนาจมีความหลากหลายเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงบังคับ ที่ดำรงอยู่ภายในอาณาเขตหรือปริมณฑลที่พวกผู้ที่มีอำนาจปฏิบัติการ และที่ซึ่งได้สร้างองค์กรของพวกเขาเองขึ้นมา. แน่นอนอันนี้มันค่อนข้างชัดเจนทีเดียว ไม่, มันไม่จริง. (อาจมีคนที่ปฏิเสธเช่นนั้น) และถัดมา ลองมาดูความจริงซึ่งพูดกันติดปากซ้ำๆซากๆที่ว่า "สงครามคือการเมืองซึ่งตามมาด้วยวิธีการบางอย่าง", และทีนี้ลองกลับประโยคนี้ดูว่า "การเมืองคือสงครามซึ่งตามมาด้วยวิธีการบางอย่าง". นั่นมันเป็นความจริงเช่นเดียวกัน. อำนาจที่มีเหนือร่างกายคนเรามันนอนเนื่องอย่างเงียบๆโดยไม่พูดไม่จาอยู่เบื้องหลังความสัมพันธ์ต่างๆทางสังคมมากมาย. เราจะต้องขโมยมันมา, เพราะเรารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดพลาด หรือเป็นเพราะเราไม่ต้องการที่จะถูกทุบตีในคุกใช่ไหม ? หรืออาจจะเป็นทั้งสองอย่าง อย่างละนิด. มันเป็นจริงด้วยเช่นกันที่ว่า สงครามและการเมือง ทั้งคู่คือกโลบายหรือยุทธวิธีของอำนาจ, ทั้งสองอย่างนี้มันมีแรงจูงใจ ที่จะถูกนำมาใช้ได้ตลอดเวลา |
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา พวกเรามีขนบประเพณีอันหนึ่งในการยอมรับความคิดเรื่องอำนาจภายในสังคมของเรา
ใช่, ในความคิดแบบขนบประเพณี,
อำนาจคือเสาหินต้นหนึ่ง มีลักษณะแบ่งออกเป็นชั้นๆ และมองเห็นได้อย่างชัดเจน.
อำนาจได้รับการก่อตัวขึ้นมาภายในกฎหมาย และได้ถูกบันทึกลงเป็นลายลักษณ์อักษร
และทั้งหมดนั้นเป็นไปในเชิงนิเสธ กอปรขึ้นด้วยข้อห้ามที่จะต้องละเว้นต่างๆ
และเรื่องต้องห้าม, ("คุณจะต้องไม่ทำ...."). นั่นอาจอธิบายอำนาจได้ดีพอสำหรับขนบธรรมเนียมในระบอบกษัตริย์
แต่ในสองศตวรรษที่ผ่านมานี้
ได้มีวิธีการใหม่ๆเกี่ยวกับเรื่องของอำนาจซึ่งได้พัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปมาก.
"วิธีการใหม่เกี่ยวกับเรื่องของอำนาจไม่ได้รับการรับรองหรือรับประกันโดยสิทธิอันชอบธรรม
แต่กลับเป็นเรื่องของเทคนิค มันไม่ได้รับการรับรองโดยกฎหมาย แต่โดยการทำให้เป็นปกติ,
และไม่ได้รับการรับรองด้วยการลงโทษ แต่โดยการควบคุม, วิธีการต่างๆซึ่งได้ถูกนำมาใช้นั้น
ได้นำมาใช้ในทุกๆระดับและทุกรูปแบบ
ซึ่งไปพ้นจากรัฐและเครื่องมือหรือหน่วยงานต่างๆของรัฐ".
เช่นดังที่เราเริ่มจะมองเห็นในเรื่อง"วินัยและการลงโทษ"(Discipline and Punish), ความถูกและความผิด, ความดีและความบาป, ซึ่งได้แปลไปสู่ความเป็นปกติและทางด้านพยาธิวิทยา, ซึ่งค่อนข้างจะตรงไปตรงมามากทีเดียว.
รูปแบบใหม่ของอำนาจอันนี้ มันค่อนข้างจะละเอียดอ่อนเอามากๆยิ่งกว่าความคิดความเข้าใจกันตามขนบประเพณีของเรา. ด้วยเหตุนี้ มันจึงง่ายมากที่จะถูกมองข้าม, และยากที่จะต่อต้านด้วยเช่นกัน.
การเสพสังวาสที่ผิดธรรมชาติ(การสังวาสระหว่างคนที่เพศเดียวกัน การเสพทางทวารหนักหรือทางปาก หรือการสังวาสกับสัตว์)ในสมัยเรอเนสซองค์ เป็นการกระทำที่ถูกห้ามปรามประเภทหนึ่ง ในคริสตศตวรรษที่ 19 การรักร่วมเพศ หรือ homosexual กลายเป็นเรื่องของบุคคล, กลายเป็นอดีต, กรณีประวัติศาสตร์, และช่วงวัยเด็ก, นอกจากนั้นมันยังเป็นแบบฉบับอันหนึ่งของชีวิต, หรือรูปแบบหนึ่งของชีวิต, และเป็นโครงสร้างชีวิตอย่างหนึ่ง, กับร่างกายไม่รอบคอบสุขุมพอ และเป็นไปได้ว่ามันมาจากเรื่องสรีรวิทยาอันลึกลับของเรา การเสพสังวาสที่ผิดธรรมชาติเป็นการเบี่ยงเบนชั่วคราวไปจากปกติอันหนึ่ง; การรักร่วมเพศ มาถึงตอนนี้ มันกลายเป็นเป็นชนิดหรือพันธุ์ๆหนึ่ง. จากไอเดียอันนี้ เราพบว่าหนังสือเล่มนี้มันเรียกร้องความประทับใจอย่างมาก - ซึ่งคำว่า homosexual และ homosexuality ได้รับการคิดค้นหรือสร้างขึ้นมาในคริสตศตวรรษที่ 19. (ราวปี 1892)
ภาวะวกวนหรือความผันแปรมาโดยตลอดของอำนาจและความพึงพอใจ(Perpetual Spirals of Power and Pleasure) จากการสำรวจตรวจสอบอย่างทะลุปรุโปร่งเกี่ยวกับคนไข้ทั้งหลาย และความกดดันต่อคนไข้เหล่านี้ ซึ่งได้สารภาพถึงรายละเอียดต่างๆทั้งหมด, ทำให้เราได้ทราบถึงวิธีการที่ระเบียบวินัยเหล่านี้ได้ถูกนำมาปฏิบัติหรือดำเนินการกับมนุษย์. ผู้ตรวจสอบและผู้เข้ารับการตรวจต่างค้นหาหนทางที่จะติดต่อกันและกัน. มันเป็นความพึงพอใจในการสอดรู้สอดเห็น สืบเอาความลับออกมา, ความพึงพอใจในความลับต่างๆที่เก็บรักษาเอาไว้. และฐานที่มั่นต่างๆของอำนาจ ในกรณีเหล่านี้มีความตึงเครียดทางเพศอยู่อย่างมากมาย, มันกระตุ้นให้เกิดความพอใจ, และฝังลึกอยู่ภายใน: นั่นคือ ระหว่างจิตแพทย์และคนไข้โรคจิต, อาจารย์และนักศึกษา, พ่อแม่และลูก, พระและผู้ที่มาสารภาพบาป. อำนาจอันจำกัด มีอยู่เฉพาะส่วนเฉพาะที่ (Localized Power) อำนาจไม่ได้มีลักษณะที่แบ่งเป็นลำดับชั้นสูงต่ำ, ซึ่งเลื่อนไหลจากบนลงล่าง, แต่มันแผ่ซ่านไปทั่วทุกหนทุกแห่งอยู่ในวงจำกัด. ประธานาธิบดีไม่สามารถที่จะมาบัญชาหรือบงการในเรื่องคุณค่าหรือความหมายต่างๆของครอบครัวได้ (แม้ว่าบางคนจะพยายามทำเช่นนั้นก็ตาม), แบบแผนต่างๆของอำนาจได้สถาปนาขึ้นมาภายในครอบครัว ซึ่งได้ปฏิสัมพันธ์กับแบบแผนต่างๆของอำนาจในสถาบันต่างๆ และโดยตลอดเรือนร่างของสังคม. แต่ไอเดียเกี่ยวกับเรื่องของอำนาจอันนี้ ได้รับการคัดค้านจากนักวิชาการเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยนักประวัติศาสตร์บางคน. พวกเขายืนยันว่า เราจะต้องค้นหา"ตัวแทน"อันนั้นว่า ใครคือคนที่ปฏิบัติหรือดำเนินการเกี่ยวกับอำนาจอันนี้ ใครคือคนที่สร้างระบบอำนาจดังกล่าวขึ้นมา ? ทำไมพวกเขาจึงกระทำเช่นนั้น ? แบบแผนหรือโครงหลักใหญ่ๆทั้งหมดเป็นไปอย่างดีเยี่ยม แต่ประวัติศาสตร์มักจะลดรูปหรือสรุปความลงมาเหลือเพียงปัจเจกชนเป็นผู้กระทำสิ่งต่างๆ. Foucault ได้อธิบายถึงทฤษฎีการสมรู้ร่วมคิด(conspiracy theory)กันเป็นจำนวนมากบางอย่างขึ้นมา แต่ก็ไม่เคยบอกกับเราว่าใครคือคนที่สมรู้ร่วมคิด หรือคนพวกนั้นคือใครกัน และสิ่งที่คนพวกนี้ได้ประกาศมันออกมา. ข้าพเจ้าเชื่อว่า นี่เป็นการอธิบายที่คลาดเคลื่อนหรือไม่ตรงเป้าในระดับรากเอามากๆเลยทีเดียว แต่ Foucault ทำให้มันง่ายในความคลาดเคลื่อนอันนั้น. "ไม่มีอำนาจใดๆที่ถูกใช้โดยปราศจากวัตถุประสงค์และเป้าหมายต่างๆ"(Foucault) แน่นอนที่ว่า นั่นมันฟังดูแล้วคล้ายกับว่าใครสักคนกำลังวางแผนหรือวางเค้าโครงอะไรบางอย่างขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เพื่อบรรลุถึงการควบคุมเกี่ยวกับเรื่องเพศของผู้คนได้. "แต่อันนี้มิได้หมายความว่า มันเป็นผลอันเนื่องมาจากทางเลือกหรือการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องของปัจเจกชนคนหนึ่ง: นั่นคือ ขอให้เราอย่าไปค้นหาที่ทำการใหญ่ซึ่งควบคุมอยู่เหนือความมีเหตุมีผลของมัน; ไม่ใช่นักแสดงซึ่งมาควบคุม และไม่ใช่กลุ่มคนที่ควบคุมเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆของรัฐ, และไม่ใช่บุคคลที่ทำหน้าที่ตัดสินใจเรื่องเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด ซึ่งคอยชี้นำเครือข่ายของอำนาจทั้งหมดที่มีบทบาทหน้าที่ในสังคมในสังคมหนึ่ง(และทำให้มันมีบทบาทหน้าที่ขึ้นมา)". (Foucault) Foucault ไม่ได้อธิบายเอาไว้ ณ ที่ใดเลยเกี่ยวกับทางออกของเขาในเรื่องที่มีลักษณะประติทรรศน์(paradox)อันนี้; เขาเพียงยืนยันมันเท่านั้น. เขาไม่ได้สนใจในเรื่องของปัจเจกหรือเจตจำนงของปัจเจกแต่อย่างใด. เขากล่าวว่า สังคมของเราเป็นสังคมที่โฟกัสลงไปที่ปัจเจกบุคคล ในเวลาเดียวกันนั้น มันก็เป็นสังคมที่ทำให้เป็นปกติ(normalizing society), และบางทีปัจเจกชน, สิทธิของปัจเจกชน ก็คือคำแก้ตัวที่หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบเรื่องของอำนาจ. ถ้าหากว่าไม่มีใครรับผิดชอบเกี่ยวกับอำนาจ, ก็จะไม่มีใครถูกประณาม, แล้วมันมีหนทางใดที่จะต่อต้านกับอำนาจไหม ? ใช่มีแน่, แต่การต่อต้านไม่ได้อยู่นอกระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจ. มันคือส่วนหนึ่งที่มีอยู่แต่กำเนิดของความสัมพันธ์ดังกล่าว. สำหรับในโลกสมัยใหม่ ได้ทำให้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจเป็นเรื่องปกติ อันนี้โอนเอียงมากที่จะแยกและทำให้การต่อต้านมีลักษณะเฉพาะตัวไปเป็นกรณีที่พิเศษชุดหนึ่ง ซึ่งไม่ยินยอมให้เป็นลักษณะทั่วๆไป. เพื่อให้เข้าใจความคิดนี้, ให้เราคิดถึงคนป่วยต่างๆที่ถูกกักอยู่ในห้องขังในสถาบันบำบัดทางจิตหรือโรงพยาบาลบ้ากัน. ความเป็นอยู่ของผู้คนเหล่านี้ได้ถูกควบคุมเอาไว้อย่างเข้มงวดมาก. พวกเขาสามารถที่จะต่อต้านกับอำนาจนี้ได้ไหม ? แน่นอนว่า พวกเขาทำได้, และพวกเขาก็ทำอยู่ตลอดเวลาด้วย. แต่ใครก็ตามที่พบเห็นเรื่องการต่อต้านนี้ ต่างยอมรับว่า การกระทำดังกล่าว มันเป็นการก่อกบฎหรือการจลาจลต่อระบบอำนาจอันหนึ่งที่ได้นิยามหรือกำหนดคนพวกนี้ลงไปว่าไม่ปกติ และได้ควบคุมดูแลความเป็นอยู่ของผู้คนเหล่านี้, ซึ่งหากจะปล่อยผู้คนเหล่านี้ออกไปได้นั้น ก็ต่อเมื่อคนพวกนี้จะต้องปฏิบัติการตามหลักการหรือไอเดียเกี่ยวกับคำว่าปกติของสังคมของเราเท่านั้น ? ฉันไม่ได้บ้านะ ! ฉันไม่ต้องการไปเป็นช่างฝีมือในตอนนี้. ฉันเป็นผู้ใหญ่, ฉันตัดสินใจเองได้. อะไรที่ทำให้คุณมีสิทธิมาบอกว่าฉันบ้า และคุณไม่บ้า ! (ข้อความประกอบภาพการ์ตูนคนที่ถูกหาว่าบ้าตะโกนออกมา). บรรดาแพทย์และพยาบาลทั้งหลายจะได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่ในฐานะที่เป็นการต่อต้านทางการเมือง, แต่ในฐานะที่เป็นพฤติกรรมที่ไม่ให้ความร่วมมือ, อันเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลในการจับกุมคุมขังผู้คนเหล่านี้มานั่นเอง. เพียงการยอมรับเกี่ยวกับระบบอำนาจและบริบทต่างๆของมันจะทำให้พวกเขาได้รับการนิยามว่าเป็นปกติ และด้วยเหตุนี้จะทำให้คนเหล่านี้ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ "ฉันได้ความรู้สึกหนึ่งเกี่ยวกับความสมปรารถนา จากการทำที่เขี่ยบุหรี่ด้วยดินเหนียว !" "นี่ไม่ใช่อาหารที่ดีสำหรับสุขภาพของเราหรอกหรือ ? ขอบใจนะที่ให้ผมมีมันได้ !" "ฉันนั้นบ้ามากๆเลย, แต่ฉันกำลังรู้สึกดีขึ้นแล้วตอนนี้ !" "ได้โปรดเถอะ, ฉันควรจะทำอะไรดีล่ะตอนนี้ ?" "คุณหมอค่ะ, ฉันชอบที่หมอประเมินอย่างตรงไปตรงมามากเลยค่ะ เกี่ยวกับการที่ฉันพร้อมแล้วที่จะได้รับการปล่อยตัวไป !" (คำพูดในลูกโป่งต่างๆของคนไข้ที่ให้ความร่วมมือ) |
S/M (sadomasochism)
ฟูโกมองว่ามันเป็นเกมส์
เป็นการเล่นกับอำนาจ
มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของ
ความโหดร้าย และความรุนแรง
มันยังมีประเด็นโต้เถียงอื่นๆที่รายรอบความเกี่ยวพันกับเรื่อง
sadomasochism
(ความพอใจทางกามกำหนัดที่ได้จาก sadism และ masochism)ของ Foucault อยู่ด้วย.
เขาสนุกและพอใจกับฉากของบาร์ที่ตกแต่งด้วยผืนหนังสีดำในซานฟรานซิสโก, ที่ซึ่ง
คลับบางแห่งมีความเชี่ยวชาญในรูปแบบต่างๆที่ถูกทำเป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับ sadomasochism
ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในหมู่คนเหล่านี้ว่า S/M (sadomasochism).
Foucault ไม่เชื่อว่า ความพัวพันในเรื่อง S/M เป็นการเผยให้เห็นถึงแนวโน้มต่างๆของจิตใต้สำนึกที่มีต่อเรื่องของความรุนแรงและความทารุณโหดร้าย. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับเห็นว่า S/M มันเป็นเกมส์อันหนึ่ง, มันเป็นหนทางอย่างหนึ่งของ"การเล่น"หรือการทดลองกับธรรมชาติและบทบาทของอำนาจ.
"ในประเด็นนี้ เกมส์ S/M ดังกล่าวจึงมีความน่าสนใจมาก เพราะมันเป็นความสัมพันธ์ในเชิงกโลบายอันหนึ่ง, แต่มันมักจะไม่แน่นอนและเลื่อนไหลเสมอๆ. แน่นอน มันคือบทบาทต่างๆ แต่ทุกๆคนรู้ดีว่า บทบาททั้งหลายเหล่านั้นสามารถที่จะได้รับการพลิกผันหรือกลับตารปัตรได้. บางครั้ง ในตอนเริ่มต้นขึ้นมา มันตั้งต้นด้วยรูปลักษณ์ระหว่างนายทาสกับทาส, และในฉากตอนจบ ทาสกลายเป็นนายทาสไปก็มี. มันคือการแสดงอย่างหนึ่งซึ่งหลุดไปจากโครงสร้างอำนาจโดยเกมส์หรือกโลบายที่สามารถให้ความรู้สึกพึงพอใจทางเพศ หรือความพึงพอใจอันเลวร้าย"
S/M เป็นเรื่องของความพึงพอใจสำหรับ Foucault, แต่ความพึงพอใจและการเมือง มันไม่เคยเป็นเรื่องแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาดหรืออย่างสมบูรณ์เลย. แนวความคิดอันนี้เกี่ยวกับการเล่นและการแปรเปลี่ยน ซึ่งได้ช่วยให้ผู้คน(บางกลุ่ม)แก้ปัญหากับดักหรือหลุมพรางของการเป็นอยู่ ซึ่งมักจะตกอยู่ภายในความสัมพันธ์เชิงอำนาจ. วาทกรรมทางวิทยาศาสตร์อาจนิยามเราในบริบทต่างๆเกี่ยวกับเรื่องเพศของเรา, และพวกเราไม่อาจที่จะไม่คิดถึงสิ่งเหล่านี้ได้, เพื่อที่จะก้าวออกไปหรือหลุดพ้นจากมัน. โลกของเราอาจเป็นเรือนจำหรือคุกขนาดใหญ่ที่เราไม่สามารถหลุดรอดออกไปได้. แต่นั่นมิได้หมายความว่า เราเป็นผู้ไร้อำนาจอย่างแท้จริงเสียทีเดียว.
บรรดานักวิจารณ์เกี่ยวกับ
Foucault ยืนยันว่า การวิเคราะห์ของเขาเกี่ยวกับเรื่องอำนาจเป็นวิธีการวิเคราะห์แบบปลายปิด
ซึ่งไม่ยอมให้มีความเป็นไปได้ใดๆเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมืองเลย. แต่ Foucault
ยืนยันว่าการต่อต้านทางการเมืองนั้น มันไม่เพียงเป็นไปได้เท่านั้น "คุณดูซิ
ถ้าหากว่าไม่มีการต่อต้าน ก็จะไม่มีความสัมพันธ์เชิงอำนาจ เพราะมันจะเป็นเนื้อหาสาระอันหนึ่งของการเชื่อฟังหรืออยู่ในโอวาทเท่านั้น.
ดังนั้นการต่อต้านที่มีมา มันจึงอยู่เหนือกว่าพลังอำนาจของขบวนการอันนั้น
กล่าวคือ
บรรดาพรรคการเมืองและองค์กรขนาดใหญ่ที่มีการปฏิรูป จะพยายามสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจให้มั่นคงมากกว่าที่จะเปลี่ยนแปลงมัน.
การเล่น, ไม่ว่าจะในเรื่องเซ็กส์หรือการเมืองอย่างเปิดเผย, เป็นการท้าทายกฎเกณฑ์ของสังคมในระดับลึกมาก
และคาดเดาได้น้อยมาก, ในปี ค.ศ.1971 Foucault ได้สะท้อนให้เห็นความยุ่งยากในทางการเมืองของช่วงปีทศวรรษที่ 60 ในด้านต่างๆซึ่งได้สะท้อนชีวิตส่วนตัวของเขา, ความเห็นทางการเมือง และผลงานทางวิชาการของเขา ทั้งหมดได้ส่งให้สิ่งเหล่านี้ฟั่นเกลียวเข้าด้วยกัน: |
"พวกเราจะต้องมองพิธีกรรมต่างๆของเรา
ดังที่มันเป็น: นั่นคือ มันเป็นไปตามอำเภอใจอย่างสมบูรณ์,
ความเหน็ดเหนื่อยเกี่ยวกับเกมส์ต่างๆและการแดกดันประชดประชัน,
การแต่งตัวซอมซ่อ หรือทำตัวสกปรกไว้เครารุงรัง
หรือการไว้ผมเผ้าปล่อยไว้จนยาว เพื่อให้ดูเหมือนกับผู้หญิงแต่ที่แท้เป็นผู้ชาย(และอะไรในทำนองเดียวกันนี้);
ใครคนหนึ่งได้เสนอบางสิ่งบางอย่างออกมาในการเล่น, แสดงมันออกมา, เปลี่ยนรูป,
และพลิกกลับระบบต่างๆซึ่งมันได้ออกคำสั่งหรือบังคับบัญชาเราอย่างเงียบๆ. นั่นคือสิ่งที่ข้าพเจ้าเกี่ยวข้องและให้สนใจ,
มันคือสิ่งที่ข้าพเจ้าพยายามทำในงานของตัวเอง."