เอ็ดวาร์ด ดับเบิลยู. ซาอิด ได้พูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของเขาและคอนราดเมื่อเร็วๆนี้ ณ ห้องสมุด New York Public Library. สำนักพิมพ์ LRB จะตีพิมพ์งานเขียนเกี่ยวกับชีวิต
และประสบการรณ์ความทรงจำของเขาเป็นบทๆ เมื่อมันใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ (1997-99)
(ต้นฉบับ)
http://carmen.artsci.washington.edu/panop/author_S.htm#SAID

Edward W. Said เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ก่อตั้งความรู้ว่าด้วยเรื่อง post-colonial studies (หลังอาณานิคมศึกษา) - ตัวมันเองวางอยู่บนพื้นฐานทฤษฎีวัฒนธรรมฝรั่งเศสอย่างหนักแน่น - Said เป็นที่รู้จักอย่างดีสำหรับงานเขียนในเรื่อง Orientalism และแนวความคิดต่างเกี่ยวกับ the Orient (ตะวันออก) ในฐานะวาทกรรมเฉพาะอันหนึ่ง ที่ได้รับการสร้างขึ้นมาโดยโลกตะวันตก. หนังสือในปี ค.ศ. 1978 ที่มีอิทธิพลอย่างกว้างขวางของ Said เรื่อง Orientalism ยืนหยัดอยู่ได้ในฐานะที่เป็นหนังสือสำคัญของทฤษฎีหลังอาณานิคม...

เพื่อนของผมคนหนึ่งที่สอนอยู่ที่โคลัมเบียอยู่แล้ว ภายหลังได้บอกกับผมว่า เมื่อผมจะได้รับการว่าจ้างให้ทำการสอน ณ ที่นั้นผมได้รับการอธิบายให้กับภาควิชาที่ผมจะบรรจุเข้าทำการสอน ในฐานะ "ยิวแห่งอเล็กซานเดรียน"(Alexandrian Jew)ผมจำได้ว่าเป็นความรู้สึกอันหนึ่งของการได้รับการยอมรับ และแสดงความนับถือ...

 

One of the founders of the field of post-colonial studies--itself based heavily upon French cultural theory--Said is best known for writing about orientalism and conceptions of "the Orient" as a particular discourse constructed by the West. Said's widely influential 1978 book Orientalism "stands as the essential book of post-colonial theory, a case study of discourse as domination". Said's work is based fundamentally on Foucault's notions of discourse and power. In Orientalism Said defines orientalism as a subgenre of the post-colonial obsession with "otherness".
H
home
R
relate

ภาพประกอบจากหนังสือ print : America's Graphic Design ฉบับ January/Februry 2001 LV:I หน้า 17 ชื่อภาพ Images of the ages (ภาพตัดมาบางส่วน)
บทความของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน บริการฟรีเพื่อการศึกษา สำหรับนักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจทุกท่าน
หากประสบปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลดขนาดของ font ลงมา จะแก้ปัญหาได้
บทความเพื่อการศึกษา มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซอยวัดอุโมงค์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
As described by Said, orientalism was the mechanism by which the West tried to understand, or at least manage its relations, with the "East". It denoted the Western "corporate institution for dealing with the Orient -- dealing with it by making statements about it, authoring views of it, describing it, by teaching it, settling it, ruling over it: in short . . . a Western style for dominating, restructuring, and having authority over the Orient" (Orientalism, 1978:3).

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ


Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ

สนใจสมัครเป็นสมาชิก
กรุณาคลิกที่ปุ่ม member page
ส่วนผู้ที่ต้องการดูหัวข้อบทความ
ทั้งหมด ที่มีบริการอยู่ขณะนี้
กรุณาคลิกที่ปุ่ม contents page
และผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
หรือประกาศข่าว
กรุณาคลิกที่ปุ่ม webboard

หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
(midnightuniv(at)yahoo.com)

สมเกียรติ ตั้งนโม : แปลและเรียบเรียง
บทความนี้ยาวประมาณ 14 หน้ากระดาษ A4
บทความลำดับที่ 145 เผยแพร่ครั้งแรก วันที่ 13 ธันวาคม 2544 ผ่าน website มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

Between Worlds
Edward Said makes sense of his life

In the first book I wrote, Joseph Conrad and the Fiction of Autobiography, published more than thirty years ago, and then in an essay called 'Reflections on Exile' that appeared in 1984, I used Conrad as an example of someone whose life and work seemed to typify the fate of the wanderer who becomes an accomplished writer in an acquired language, but can never shake off his sense of alienation from his new - that is, acquired - and, in Conrad's rather special case, admired home. His friends all said of Conrad that he was very contented with the idea of being English, even though he never lost his heavy Polish accent and his quite peculiar moodiness, which was thought to be very un-English. Yet the moment one enters his writing the aura of dislocation, instability and strangeness is unmistakable. No one could represent the fate of lostness and disorientation better than he did, and no one was more ironic about the effort of trying to replace that condition with new arrangements and accommodations - which invariably lured one into further traps, such as those Lord Jim encounters when he starts life again on his little island. Marlow enters the heart of darkness to discover that Kurtz was not only there before him but is also incapable of telling him the whole truth; so that, in narrating his own experiences, Marlow cannot be as exact as he would have liked, and ends up producing approximations and even falsehoods of which both he and his listeners seem quite aware.

Only well after his death did Conrad's critics try to reconstruct what has been called his Polish background, very little of which had found its way directly into his fiction. But the rather elusive meaning of his writing is not so easily supplied, for even if we find out a lot about his Polish experiences, friends and relatives, that information will not of itself settle the core of restlessness and unease that his work relentlessly circles. Eventually we realise that the work is actually constituted by the experience of exile or alienation that cannot ever be rectified. No matter how perfectly he is able to express something, the result always seems to him an approximation to what he had wanted to say, and to have been said too late, past the point where the saying of it might have been helpful. 'Amy Foster', the most desolate of his stories, is about a young man from Eastern Europe, shipwrecked off the English coast on his way to America, who ends up as the husband of the affectionate but inarticulate Amy Foster. The man remains a foreigner, never learns the language, and even after he and Amy have a child cannot become a part of the very family he has created with her. When he is near death and babbling deliriously in a strange language, Amy snatches their child from him, abandoning him to his final sorrow. Like so many of Conrad's fictions, the story is narrated by a sympathetic figure, a doctor who is acquainted with the pair, but even he cannot redeem the young man's isolation, although Conrad teasingly makes the reader feel that he might have been able to. It is difficult to read 'Amy Foster' without thinking that Conrad must have feared dying a similar death, inconsolable, alone,
talking away in a language no one could understand. (detail...)
สนใจข้อมูลต้นฉบับ โปรดคลิกดูได้ที่
(English Version) http://www.lrb.co.uk/v20n09/said2009.htm

EDWARD SAID
และเรื่องราวเกี่ยวกับลัทธิหลังอาณานิคม

Edward W. Said เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ก่อตั้งแนวทางความรู้ว่าด้วยเรื่อง post-colonial studies (หลังอาณานิคมศึกษา) - สำหรับ"หลังอาณานิคมศึกษา"นี้ ตัวมันวางอยู่บนพื้นฐานทฤษฎีวัฒนธรรมฝรั่งเศสอย่างหนักแน่น - Said เป็นที่รู้จักอย่างดีสำหรับงานเขียนเกี่ยวกับลัทธิตะวันออก(orientalism)และแนวความคิดต่างเกี่ยวกับ"ตะวันออก"(the Orient) ในฐานะวาทกรรมอันหนึ่งที่ได้รับการสร้างขึ้นมาโดยโลกตะวันตก

หนังสือในปี ค.ศ. 1978 ที่มีอิทธิพลอย่างกว้างขวางของ Said เรื่อง Orientalism ยืนหยัดอยู่ได้ในฐานะที่เป็นหนังสือสำคัญของทฤษฎีหลังอาณานิคม เป็นกรณีศึกษาหนึ่งเกี่ยวกับวาทกรรมในฐานะที่เป็นการครอบงำ(Russell Jacoby, "Marginal Returns", 30). ผลงานของ Said โดยเบื้องต้น ได้รับการวางรากฐานอยู่บนความคิดต่างๆของ Foucault เกี่ยวกับเรื่องของ"วาทกรรมและอำนาจ"(discourse and power)

ในหนังสือเรื่อง Orientalism นั้น Said นิยามลัทธิตะวันออก ในฐานะที่เป็น "แบบฉบับรอง"(subgenre)อันหนึ่งของการครอบงำหลังอาณานิคมและมี"ความเป็นอื่น"(otherness). ดังที่ได้รับการอธิบายโดย Said, ลัทธิตะวันออกเป็นจักรกลนิยมซึ่งตะวันตกพยายามที่จะทำความเข้าใจ หรืออย่างน้อยที่สุด ก็พยายามจะมาจัดการควบคุมความสัมพันธ์กับ"ตะวันออก". มันบ่งชี้ถึง "สถาบันรวมๆของตะวันตกสำหรับการเกี่ยวข้องกับตะวันออก -โดยการสร้างถ้อยแถลงต่างๆหรือวาทกรรมเกี่ยวกับตะวันออกขึ้นมา

มุมมองต่างๆของนักเขียนหรือนักประพันธ์เกี่ยวกับ"ตะวันออก" พยายามจะอธิบายมัน, สอนสั่งมัน, จัดการกับมัน, ปกครองเหนือมัน หากจะกล่าวอย่างสั้นๆและรวบรัดก็คือ ...เป็นสไตล์หนึ่งของตะวันตกสำหรับการครอบงำนั่นเอง, เป็นการสร้างตะวันออกขึ้นมาใหม่, และมีอำนาจเหนือตะวันออก"ทั้งมวล (Orientalism, 1978:3)

ดังนั้น Said จึงได้ร่างเค้าโครงที่สำคัญให้เห็นว่าตะวันตก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษและฝรั่งเศส "เป็นตัวแทน" - ในการสร้างหรือกุเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างมีประสิทธิภาพ - เกี่ยวกับบางสิ่งที่เรียกว่า the Orient (ตะวันออก) อย่างไรก็ตาม อันนี้เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง มันไร้ความหมาย เป็นเพียงการเสกสรรค์กันขึ้นมา. สิ่งที่ตะวันตกเรียก the Orient ตามข้อเท็จจริงแล้ว ไม่เคยมีอยู่เลย เว้นแต่ภายในจิตใจของชาวตะวันตกนั่นเอง. มันเป็นเครื่องมือง่ายๆชิ้นหนึ่งที่เข้ามาช่วยปราบปรามดินแดนตะวันออกเพื่อทำให้เป็นข้าทาสของตะวันตก

เมื่อไม่นานมานี้ผลงานของ Said ที่เผยแพร่ออกมามีลักษณะที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก. บรรดานักวิจารณ์อย่างเช่น Bernard Lewis และ Aijaz Ahmad ได้โจมตีข้อสรุปหรือนิพนธ์ที่"ตะวันตก"(the West)ได้ประดิษฐ์"ตะวันออก"(the Orient)ขึ้นมาอย่างง่ายๆ, เช่นเดียวกับ Said ซึ่งได้โจมตีการแบ่งขั้วแยกข้าง และสร้างขีดขั้นขึ้นมาในลักษณะที่ง่ายเกินไปเกี่ยวกับ"ตะวันออก"และ"ตะวันตก"ด้วยการสมมุติขึ้น

ความจริงเกี่ยวกับอาณานิคมเป็นอะไรที่มีแง่มุมอันหลากหลายและมากด้านเกินกว่านั้นมาก ดังที่ Said เสนอและโต้แย้ง. แต่อย่างไรก็ตาม, หนังสือเรื่อง Orientalism ได้ยืนหยัดขึ้นมาในฐานะที่เป็นตำราที่มีพลังในการขยับขยายและเจริญงอกงามในเรื่องลัทธิหลังอาณานิคม. ระเบียบวิธีการศึกษาของเรื่องนี้ได้ถูกประยุกต์ใช้โดยบรรดานักเขียนเป็นจำนวนมาก รวมกระทั่งถึงคนอื่นๆอีกหลายคนในพื้นที่การศึกษาเกี่ยวกับการปลดปล่อยอาณานิคม และการปราบปรามผู้คนให้เป็นข้าทาสของโลกอาณานิคม(รวมกระทั่งถึง ส่วนต่างๆของทวีปยุโรป ในบางกรณี) และด้วยเหตุนี้ มันจึงไม่สามารถที่จะเพิกเฉยต่อไปได้

ชีวิตระหว่างชายขอบทั้งสองด้าน
เอ็ดวาร์ด ดับเบิลยู. ซาอิด : กับการทำความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิต

Between Worlds

Edward Said makes sense of his life

ในหนังสือเล่มแรกที่ผมเขียน Joseph Conrad and the Fiction of Autobiography (โจเซฟ คอนราด และเรื่องราวเกี่ยวกับชีวประวัติของตัวเอง) ได้รับการตีพิมพ์กว่า 30 ปีมาแล้ว และถัดจากนั้นในความเรียงเรื่องหนึ่งที่ชื่อว่า 'Reflections on Exile' (ผลสะท้อนต่างๆต่อการพลัดถิ่น)ที่ปรากฏออกมาในปี ค.ศ.1984 ผมได้ใช้คอนราดในฐานะที่เป็นตัวอย่างของคนหนึ่ง ซึ่งชีวิตและผลงานของเขาดูเหมือนว่าเป็นแบบอย่างเกี่ยวกับชะตากรรมของนักเดินทาง ผู้ซึ่งได้กลับกลายเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งในภาษาที่ได้มาภายหลัง แต่ตัวเขาเองไม่เคยที่จะละทิ้งความรู้สึกของเขาเกี่ยวกับความแปลกแยกจากสิ่งใหม่นี้ได้ - นั่นคือ, ภาษาที่ได้มา - และ ในกรณีที่ค่อนข้างพิเศษเกี่ยวกับคอนราด, เขามีความนิยมชมชอบความเป็นคนเมือง

บรรดาเพื่อนๆของเขาทั้งหมดต่างพูดกันถึงคอนราดว่า เขามีความรู้สึกพึงใจมากเกี่ยวกับความคิดของการเป็นคนอังกฤษ ถึงแม้ว่าเขาไม่เคยละทิ้งสำเนียงแบบโปลิชแบบหนักๆลงได้ และอารมณ์ที่เศร้าๆที่มีลักษณะเฉพาะของเขาเอง ซึ่งถูกคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่แบบอย่างของคนอังกฤษ. กระนั้นก็ตาม ชั่วขณะที่ใครสักคนได้เข้าไปสู่งานเขียนของเขา รัศมีเกี่ยวกับความแบ่งแยก, พลัดถิ่น, ความไร้เสถียรภาพ และความรู้สึกเป็นคนนอกจะแสดงออกมาอย่างชัดเจน

ไม่มีใครเป็นตัวแทนชะตากรรมเกี่ยวกับความสูญเสียและความสับสนได้ดีไปกว่าที่เขาเป็น และไม่มีใครที่เหน็บแนมประชดประชันเกี่ยวกับความมานะอุตสาหะด้วยความยากลำบาก ที่จะแทนที่สภาพเงื่อนไขอันนั้นด้วยการจัดการใหม่ๆและการปรับตัวกับที่พักพิงใหม่ได้เท่าเขาอีกแล้ว - ซึ่งมันได้ดึงดูดและหลอกล่อคนให้เข้าไปสู่กับดักหรือหลุมพรางข้างหน้า อย่างเช่น สิ่งเหล่านั้นที่ Lord Jim เผชิญเมื่อตอนที่เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งบนเกาะเล็กๆของเขา. Marlow ได้ย่างเข้าไปในใจกลางของความมืดเพื่อค้นหาว่า Kurts ไม่เพียงไม่ได้อยู่ที่นั่นตรงหน้าเขาเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถบอกกับเขาได้ด้วยถึงความจริงทั้งหมด; ด้วยเหตุดังนั้น, ในการพูดถึงประสบการณ์ของตัวเขาเอง, Marlow ไม่สามารถแน่ใจได้เท่าๆกับที่เขาต้องการ และจบลงด้วยการคาดเดาต่างๆ และความผิดพลาดเท่าๆกันเกี่ยวกับสิ่งซึ่งเขาและบรรดาผู้ฟังของเขาดูเหมือนจะทราบอยู่แล้ว

หลังจากการถึงแก่กรรมของคอนราด บรรดานักวิจารณ์ชีวิตและงานของเขาพยายามที่จะสร้างสิ่งที่ได้รับการเรียกว่าพื้นภูมิความหลังความเป็นชาวโปลิชของนักเขียนผู้นี้ขึ้นมา มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ค้นพบช่องทางดังกล่าวจริงๆที่มุ่งเข้าสู่งานเขียนของเขาโดยตรง. แต่อย่างไรก็ตาม งานเขียนของเขามีความหมายที่ค่อนข้างเข้าใจยาก ไม่ง่ายเลยที่จะนำมาแจกแจง แม้ว่าพวกเราจะสำรวจพบเรื่องราวจำนวนมากเกี่ยวกับประสบการณ์ต่างๆของความเป็นชาวโปลิชของเขาก็ตาม ทั้งเพื่อนๆและญาติๆที่มีส่วนสนับสนุนในเรื่องนี้ แต่ข้อมูลนั้น โดยตัวมันเองก็ไม่ได้วางแกนหลักอะไรให้เราเข้าใจเลยเกี่ยวกับความกระสับกระส่าย และความไม่สบายใจที่งานของเขาว่ายวนอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน

ในท้ายที่สุด พวกเราก็มาตระหนักกันว่า อันที่จริง ผลงานนั้นได้รับการก่อตัวขึ้นมาโดยประสบการณ์เกี่ยวกับการพลัดถิ่นหรือความแปลกแยก ที่เขาไม่สามารถจะปรับตัวได้. ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขาก็สามารถแสดงออกถึงบางสิ่งบางอย่างได้อย่างสมบูรณ์. แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวเขาแล้ว ผลลัพธ์ดังกล่าวมักจะดูเหมือนว่ามันเป็นเพียงการทำได้คร่าวๆเท่านั้น ต่อสิ่งซึ่งเขาต้องการที่จะพูด และที่ถูกพูดออกมา ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เขาต้องการจะพูด มันก็สายเกินไปแล้ว เพราะได้ผ่านพ้นจุดที่คำพูดดังกล่าวจะเป็นประโยชน์

เรื่อง 'Amy Foster', งานเขียนที่แสดงถึงความโดดเดี่ยวอ้างว้างมากที่สุดของเขา เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายหนุ่มคนหนึ่งจากยุโรปตะวันออก ซึ่งประสบกับอุบัติเหตุเรืออับปางนอกชายฝั่งอังกฤษในระหว่างการเดินทางของเขาไปยังอเมริกา ชีวิตของเขาจบลงด้วยการเป็นสามีอันเป็นที่รักของ Amy Foster แต่เขาพูดภาษาอเมริกันไม่ได้. ชายหนุ่มคนนี้ยังคงเป็นชาวต่างประเทศ, ไม่เคยเรียนภาษา จวบจนแม้กระทั่งหลังจากเขาและ Amy มีลูกด้วยกันแล้ว ก็ยังไม่สามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่แท้จริง ซึ่งเขาได้ร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นมากับเธอได้

ตอนที่เขาใกล้จะตายและได้พูดพล่ามออกมาด้วยอาการเพ้อด้วยภาษาแปลกๆ Amy ได้คว้าเอาลูกของเขาทั้งสองไปจากเขา, ละทิ้งเขาไปด้วยการเศร้าโศกเสียใจเป็นครั้งสุดท้ายของตัวเอง. คล้ายๆกับงานเขียนต่างๆอีกจำนวนมากของคอนราด เรื่องราวดังกล่าวได้ถูกเล่าขานโดยคนที่รู้สึกเห็นอกเห็นใจ, หมอคนหนึ่งผู้ซึ่งได้รับการปรับตัวให้คุ้นเคยกับคู่ครอง แต่กระนั้นเขาก็ไม่สามารถที่จะไถ่ถอนความอ้างว้างโดดเดี่ยวของความเป็นหนุ่มได้ แม้ว่าคอนราดจะยั่วยวน ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเขาอาจสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้. มันเป็นการยากที่จะอ่านเรื่อง"Amy Foster"โดยไม่คิดว่าคอนราดจะต้องรู้สึกหวั่นกลัวต่อความตายที่คล้ายคลึงกันนี้ ความตายซึ่งไร้การปลอบประโลม ซึ่งต้องจากโลกนี้ไปเพียงลำพัง และพร่ำเพ้อออกมาด้วยภาษาหนึ่งซึ่งไม่มีใครเข้าใจมันเลย

สิ่งแรกที่จะต้องยอมรับก็คือการสูญเสียบ้านและภาษาของตนไปในการตั้งรกรากใหม่ การสูญเสียอันหนึ่งซึ่งคอนราดจริงจังที่จะถ่ายทอดและพรรณนาออกมา ในฐานะที่เป็นสิ่งที่นำกลับมาคืนมาไม่ได้. ความทุกข์ทรมานอย่างปราศจากความปรานี ความรู้สึกที่หนาวเหน็บ ไม่อาจเยียวยาได้ และมักจะรุมเร้าอยู่เสมอ - ซึ่งอันนี้เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมหลายปีที่ผ่านมาผมจึงค้นพบตัวเองว่า ได้อ่านและเขียนเกี่ยวกับคอนราด อย่างเช่นเรื่อง cantus firmus, คล้ายดั่งกับเป็นพื้นเสียงเบสซ้ำๆของท่วงทำนองที่ไหลเลื่อนเปลี่ยนไปอยู่ข้างบนที่ผมมีประสบการณ์

สำหรับหลายปีที่ผ่านมา ดูเหมือนผมกำลังเปลี่ยนท่าทีสิ่งที่มีอยู่ในงานลักษณะเดิมๆที่ผมเคยทำ แต่มักจะผ่านงานเขียนต่างๆเกี่ยวกับคนอื่นเสมอ. มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นจนกระทั่งช่วงต้นปี 1991 เมื่อตอนที่การวินิจฉัยทางการแพทย์ซึ่งไม่เป็นที่พอใจเท่าใดนักสำหรับตัวเองได้เปิดเผยกับผมถึงเรื่องความตาย ซึ่งผมนั้นควรจะรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับมันมาก่อน ผมพบว่าตัวเองพยายามที่จะทำความเข้าใจอย่างมีเหตุผลเกี่ยวกับชีวิตตัวเองที่กำลังจะถึงจุดจบ ซึ่งดูเหมือนว่ามันใกล้เข้ามาเต็มที่อย่างน่าตกใจ

อีกสองสามเดือนต่อมา ผมยังคงพยายามที่จะดูดซับสภาพเงื่อนไขใหม่ๆของตัวเอง ผมพบว่าตัวเองกำลังแต่งจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมาโดยอธิบายอย่างยืดยาวถึงเรื่องของตัวเองให้กับแม่ของผม ผู้ซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปแล้วเกือบสองปี จดหมายที่เป็นทางการซึ่งเปิดฉากขึ้นด้วยความล่าช้า พยายามเล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตที่ผมได้ทิ้งไว้ มันเป็นการพรรณนาถึงเรื่องส่วนตัวอะไรทำนองนั้น เป็นความสับสนยุ่งเหยิง กระจัดกระจาย ไม่มีแก่นแกนอะไร

ผมมีอาชีพที่ได้รับความนับหน้าถือตาพอควรในมหาวิทยาลัย ผมเขียนงานอย่างซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมาจำนวนหนึ่ง และผมมีชื่อเสียงที่ไม่มีใครคิดอิจฉา (ในฐานะศาสตราจารย์ที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับความน่าสะพรึงกลัว) สำหรับงานเขียนและการพูด และกระตือรือร้นในประเด็นปัญหาต่างๆอย่างปาเลสติเนียนและตะวันออกกลางทั่วไป หรืออิสลามิกและการต่อต้านจักรวรรดิ์นิยม ผมแทบไม่เคยชะงักที่จะจัดวางสิ่งต่างๆเหล่านี้ทั้งหมดเข้าด้วยกัน. ผมเป็นคนทำงานที่มีแรงผลักดันทางใจ ผมไม่ชอบและเกือบจะไม่เคยหยุดงานเลย และผมทำสิ่งที่ผมทำโดยปราศจากความกังวลใจใดๆ (ถ้าจะเป็นเช่นนั้นอยู่บ้าง) เกี่ยวกับเนื้อหาสาระดังกล่าวโดยไม่รู้สึกว่ามีอะไรเป็นอุปสรรคในฐานะนักเขียน เช่น มีความกดดันหรือไร้อารมณ์ที่จะเขียน

ด้วยความปัจจุบันทันด่วน ในเวลานั้น ผมพบว่าตัวเองเกิดความคิดบางอย่างพุ่งพรวดขึ้นมาโดยใช้เวลาไม่มากนักในการสำรวจถึงชีวิตที่บิดเบี้ยวผิดปกติ ซึ่งผมยอมรับว่ามันก็คล้ายๆกับข้อเท็จจริงต่างๆมากมายของธรรมชาติ. อีกครั้งที่ผมสำนึกว่า คอนราดอยู่ในภาวะนั้นมาก่อนผม - ยอมรับว่า คอนราดเป็นชาวยุโรปคนหนึ่ง ซึ่งได้ทิ้งบ้านเกิดในประเทศโปแลนด์ของเขามา และกลายเป็นคนอังกฤษ. การเปลี่ยนแปลงถิ่นที่อยู่สำหรับเขา พูดคร่าวๆยังอยู่ภายในโลกเดียวกันไม่มากก็น้อย. แต่สำหรับผมแล้ว ผมเกิดในกรุงเยรูซาเร็ม และได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในช่วงเติบโตขึ้นมาที่นั่น และหลังจากปี ค.ศ.1948 เมื่อครอบครัวของผมทั้งหมดกลายเป็นผู้ลี้ภัย ได้เข้าไปพำนักพักพิงในประเทศอียิปต์. อย่างไรก็ตาม การศึกษาในช่วงต้นของชีวิต ผมศึกษาอยู่ในโรงเรียนอาณานิคมของชนชั้นสูง เป็นโรงเรียนรัฐบาลอังกฤษที่ออกแบบขึ้นมาโดยคนอังกฤษเพื่ออบรมสั่งสอนคนรุ่นหนึ่งที่เป็นชนเชื้อสายอาหรับต่างๆ ด้วยการผูกโยงโดยธรรมชาติอยู่กับสหราชอาณาจักรอังกฤษ

และสถานที่สุดท้ายซึ่งผมเข้าศึกษาก่อนจะละทิ้งดินแดนตะวันออกกลางมาเพื่อไปยังสหรัฐอเมริกาก็คือ ผมได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยวิคตอเรียในกรุงไคโร ซึ่งความจริงแล้วเป็นวิทยาลัยที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้การศึกษากับชนชั้นปกครองชาวอาหรับและลิแวนต์ทิน(Levantine ผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) ผู้ซึ่งกำลังจะเข้าไปแทนที่หลังจากชาวอังกฤษ(สหราชอาณาจักร)ออกไปแล้ว

เพื่อนๆที่ร่วมชั้นเรียนในช่วงเวลาดังกล่าว ผมจำได้ว่ารวมถึงกษัตริย์ฮุสเซนแห่งจอร์แดน, ชาวจอร์แดนอื่นๆอีกหลายคน, ชาวอิยิปต์, ซีเรีย, และเด็กๆชาวซาอุดิ ผู้ซึ่งได้กลายเป็นรัฐมนตรีหลายคน, นายกรัฐมนตรี, และผู้นำทางธุรกิจ, เช่นเดียวกับคนที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่าง Michel Shalhoub, หัวหน้านักศึกษาที่สมบูรณ์แบบของวิทยาลัย และตัวมารร้ายสำหรับผม เมื่อผมเป็นเด็กรุ่นน้อง ผู้ซึ่งทุกๆรู้จักเขาดีและเคยเห็นเขาบนจอภาพยนตร์ในฐานะนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ของฮอลีวูด นามว่า Omar Sharif.

ขณะที่คนๆหนึ่งไปเป็นนักศึกษาที่ VC (วิทยาลัยวิคตอเรีย) คนๆนั้นจะได้รับหนังสือคู่มือนักศึกษาเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎข้อบังคับที่มีไว้คอยควบคุมกิจกรรมทุกๆอย่างของการใช้ชีวิตในวิทยาลัย - เช่นประเภทของเครื่องแบบที่พวกเราจะต้องสวมใส่ หรืออุปกรณ์ใดบ้างที่ต้องใช้สำหรับการเล่นกีฬา ปฏิทินแสดงตารางเวลาเรียนและวันหยุดของวิทยาลัย ตารางเดินรถและอื่นๆ

แต่กฎข้อแรกของวิทยาลัย ในหนังสือคู่มือเมื่อเปิดออกมาหน้าแรกจะมีภาพตราสัญลักษณ์ของวิทยาลัยและมีข้อความว่า: "อังกฤษเป็นภาษาของวิทยาลัย; นักศึกษาคนใดที่ถูกจับได้ว่าพูดภาษาอื่นจะถูกลงโทษ". อย่างไรก็ตาม วิทยาลัยแห่งนี้ไม่มีคนที่พูดภาษาอังกฤษเป็นพื้นฐานในท่ามกลางหมู่นักศึกษาเลย. ในทางตรงข้าม ครูบาอาจารย์ทั้งหมดล้วนเป็นคนอังกฤษ พวกเราคือฝูงชนที่ผสมปนเปของเชื้อสายอาหรับต่างๆอย่างมากมาย รวมทั้ง อามีเนียน, กรีก, อิตาเลียน, ยิว, และเติร์ก ซึ่งแต่ละกลุ่มเชื้อสายต่างก็มีภาษาถิ่นของตนเอง และที่วิทยาลัยแห่งนี้ทำให้ภาษาเหล่านี้ของพวกเราเป็นสิ่งผิดกฎของวิทยาลัยอย่างโจ่งแจ้ง

กระนั้นก็ตาม ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดของพวกเราพูดภาษาอาราบิค - นักศึกษาเป็นจำนวนมากใช้ภาษาอาราบิคและฝรั่งเศส - และด้วยเหตุดังนั้น พวกเราจึงจัดหาที่ทางอันปลอดภัยในทางภาษาร่วมกันที่หนึ่งขึ้นมา เพื่อท้าทายเกี่ยวกับสิ่งซึ่งพวกเราสำเหนียกและเห็นว่าไม่เป็นธรรม มันเป็นการควบคุมพวกเราแบบอาณานิคม. อำนาจจักรวรรดิ์นิยมของสหราชอาณาจักรอังกฤษกำลังใกล้ถึงกาลสิ้นสุดของมันเต็มที ทันทีหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง. แต่ข้อเท็จจริงอันนี้มิได้เลือนหายไปจากเราเลย อย่างไรก็ตาม ผมไม่สามารถนึกถึงนักศึกษาคนใดในรุ่นเดียวกันกับผมได้ ซึ่งสามารถที่จะอธิบายถึงสิ่งที่รู้ๆกันอยู่นี้อย่างแจ่มชัดออกมาเป็นคำพูดให้กระจ่างไปกว่านี้

สำหรับผม มีบางอย่างที่มันซับซ้อนขึ้นไปอีก... พ่อและแม่ของผมต่างก็เป็นชาวปาเลสติเนียน - แม่ของผมมาจากนาซาเรท ส่วนพ่อมาจากเยรูซาเร็ม - พ่อของผมได้เป็นพลเมืองอเมริกันในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อตอนที่ท่านได้รับใช้ชาติด้วยการเป็นกองกำลังทหารอเมริกันที่ถูกส่งตัวไปเพื่อภารกิจในต่างประเทศ(AEF - American Expeditionary Force)ภายใต้การบังคับการของนายพล Pershing ในประเทศฝรั่งเศส.
(นายพล John Joseph Pershing ที่ถูกรู้จักกันในนาม Black Jack, 1860-1948 เป็นผู้บังคับการกองกำลังทหารอเมริกันที่ปฏิบัติภารกิจในยุโรป ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง).

เดิมที พ่อของผมท่านได้ละทิ้งปาเลสไตน์มา ซึ่งในช่วงเวลานั้นเป็นจังหวัดหนึ่งของ Ottoman, ในปี ค.ศ.1911 ในช่วงที่ท่านอายุเพียง 16 ปี ทั้งนี้เพราะต้องการจะหนีการเกณฑ์ทหารเพื่อไปต่อสู้ในบัลกาเรีย. ดังนั้น ท่านจึงไปยังอเมริกา เพื่อไปศึกษาและทำงานที่นั่น หลังจากนั้นก็หวนกลับไปยังปาเลสไตน์ในปี ค.ศ.1919 เพื่อประกอบธุรกิจกับญาติของท่าน. นอกจากนี้ ชื่อของผม ด้วยชื่อสกุลอาหรับที่ไม่คาดฝันอย่าง ซาอิด(Said) เชื่อมกับชื่อแรกแบบชาวอังกฤษอย่างไม่น่าเป็นไปได้ เป็นเพราะแม่ของผมท่านชื่นชมกับมงกุฎราชกุมารอังกฤษมากในปี 1935, ปีที่ผมถือกำเนิดขึ้นมา ผมจึงได้ชื่อที่ผสมกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้

ผมเป็นนักเรียนที่ออกจะผิดปกติ ไม่ค่อยสบายใจนัก รู้สึกกระสับกระส่ายและเคร่งเครียดในช่วงต้นๆของชีวิต เป็นเพราะผมเป็นชาวปาเลสติเนี่ยนที่ไปเรียนในอิยิปต์ ด้วยชื่อแรกแบบชาวอังกฤษ ถือหนังสือเดินทางอเมริกัน และนอกนั้นไม่มีหลักฐานอะไรอีกเลย. แย่ยิ่งไปกว่านั้น ภาษาอาราบิคซึ่งเป็นภาษาถิ่นของผม และภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ในโรงเรียน ได้ถูกผสมปนเปกันอย่างแก้ไขอะไรไม่ได้:

ผมไม่เคยรู้เลยว่าอะไรคือภาษาแรกของผม และไม่เคยรู้สึกอย่างเต็มที่ถึงบ้านเช่นกัน แม้ว่าผมจะฝันถึงมันทั้งสองอย่างก็ตาม. ทุกๆครั้งที่ผมพูดประโยคภาษาอังกฤษ ผมพบว่าตัวเองได้ยินเสียงสะท้อนของประโยคดังกล่าวเป็นภาษาอาราบิค และในทางตรงข้ามเมื่อผมพูดภาษาอาราบิค ผมก็จะได้ยินมันเป็นภาษาอังกฤษเช่นเดียวกัน

ทั้งหมดนี้ มันย้อนเวลากลับไปในหัวของผมจนถึงวันเดือนปีเหล่านั้น หลังจากได้รับทราบผลวินิจฉัยโรคแล้วทำให้จำเป็นต้องคิดถึงเกี่ยวกับสิ่งสุดท้าย. ซึ่งผมทำเช่นนั้นด้วยหนทางหรือวิธีการที่มีลักษณะเฉพาะตัว. ในฐานะนักเขียนที่เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า Beginnings, ผมพบว่าตัวเองได้หวนกลับไปสู่ช่วงวันเวลาปฐมวัยขณะที่ยังเป็นเด็ก ซึ่งอาศัยอยู่ใน Jerusalem, Cairo, และ Dhour el Shweir หมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนเนินเขาในเลบานอน ซึ่งผมไม่ชอบเลย แต่ที่นั่นปีแล้วปีเล่า พ่อของผมมักจะพาผมไปพักผ่อนในช่วงฤดูร้อนเสมอ

ผมพบว่าตัวเองเผชิญกับความไม่แน่ใจต่างๆในการเล่าถึงช่วงวัยเด็กของตน ความรู้สึกของตัวเองเกี่ยวกับความสงสัย คลางแคลง และผิดที่ผิดทาง เกี่ยวกับความรู้สึกของตัวผมเองที่มักจะยืนอยู่ในมุมที่ไม่ถูกต้องเสมอ ในสถานที่ซึ่งดูเหมือนว่ากำลังจะลื่นไถลและหนีห่างไปจากผม เช่นดังที่ผมพยายามจะนิยามหรืออธิบายมัน. ทำไม? ผมจำได้ว่าได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมผมจึงไม่มีพื้นเพความหลังที่มีชีวิตธรรมดาเรียบง่ายเหมือนคนอื่นๆ เช่นดังชาวอียิปต์ทั้งหลาย หรือบางสิ่งบางอย่างทั้งหมดอันนั้น และทำไมผมจึงต้องเผชิญหน้ากับคำถามที่เหน็บหนาวต่างๆ ที่ย้อนกลับไปสู่คำพูดที่ดูเหมือนจะขาดเสียซึ่งรากกำเนิดที่มั่นคงต่างๆเหล่านี้ ?

ส่วนที่เลวร้ายเกี่ยวกับสถานการณ์ของตัวผม วันเวลาเหล่านั้นที่รุนแรงหนักข้อขึ้นมา คือความสัมพันธ์ในภาวะสงครามระหว่างชาวอังกฤษกับอาราบิค บางสิ่งบางอย่างซึ่งคอนราดไม่ต้องเกี่ยวข้องด้วย เมื่อเขาได้ผันผ่านจากชาวโปลิชไปสู่ความเป็นคนอังกฤษ. การศึกษาทั้งหมดของผมตั้งอยู่บนแกนกลางแบบแองโกล(คนอังกฤษ - Anglocentric) ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับคนอังกฤษ และกระทั่งประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ของอินเดีย (อันเป็นวิชาบังคับ) ยิ่งกว่าเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ของโลกอาหรับ.

แต่ถึงแม้ว่าผมจะได้รับการเสี้ยมสอนให้มีความเชื่อและความคิดเหมือนกับเด็กนักเรียนอังกฤษ แต่ผมก็ได้รับการฝึกฝนให้เข้าใจว่าผมเป็นคนนอก เป็น"คนอื่น"ที่ไม่ใช่คนยุโรป ที่ได้รับการศึกษาโดยที่ทราบดีทีเดียวถึงสถานะของตัวผม และไม่ต้องการหรือปรารถนาที่จะเป็นคนอังกฤษ. เส้นแบ่งของพวกเราจากพวกเขาก็คือภาษา, วัฒนธรรม, เชื้อชาติ, และเผ่าพันธุ์.

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับผมที่ได้รับการถือกำเนิดขึ้นมา ผมต้องผ่านพิธีตั้งชื่อและล้างบาป และได้รับการรับรองในโบสถ์แองกลิกัน ที่ซึ่งเสียงเพลงสวดแบบห้าวๆ ฟังดูแล้วคล้ายทหารกองหน้าชาวคริสเตียนและดังมาจากภูเขาน้ำแข็งจากกรีนแลนด์ ซึ่งทำให้ผมมีบทบาทในฐานะของผู้รุกรานและก้าวร้าวขึ้นมาทันที. ประจวบกันพอดีกับช่วงเวลานั้น พวก"Wog" (เป็นคำดูถูกคนที่ไม่ใช่ผิวขาว) และ "พวกแองกลิกัน" กำลังอยู่ในภาวะพรักพร้อมที่จะทำสงครามกลางเมืองกัน

ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปี ค.ศ.1951 ผมถูกไล่ออกจากวิทยาลัยวิคตอเรีย, ถูกโยนออกมาในฐานะตัวสร้างปัญหาคนหนึ่ง ซึ่งหมายความว่า ผมเป็นคนที่มองเห็นได้ง่ายและจับได้ง่ายกว่าเด็กคนอื่นๆในการต่อสู้กันระหว่าง Mr Griffith, Mr Hill, Mr Lowe, Mr Brown, Mr Maundrell, Mr Gatley และครูบาอาจารย์ชาวอังกฤษทั้งหมดข้างหนึ่ง และพวกเรานักศึกษาของวิทยาลัยอีกข้างหนึ่ง. พวกเราทั้งหมดเป็นที่รับรู้ในฐานะว่าเป็นตัวกระตุ้นยุแหย่อยู่ข้างใต้.

ในเวลาเดียวกันนั้น ระบบระเบียบของอาหรับอันเก่าแก่กำลังถูกทำให้แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กล่าวคือ ปาเลสไตน์กำลังล่มสลาย, อียิปต์กำลังโอนเอนจะล้มมิล้มแหล่ภายใต้การคอรัปชั่นก้อนมหึมาของกษัตริย์ Faruck และคณะผู้บริหารของพระองค์ (การปฏิวัติ ได้ส่งให้ Gamal Abdel Nasser และบรรดาเจ้าหน้าที่ที่เป็นอิสระไม่ขึ้นอยู่กับคนพวกนี้ขึ้นมามีอำนาจ ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคมปี 1952), ซีเรียกำลังประสบกับภาวะยุ่งเหยิงเกี่ยวกับการรัฐประหารต่างๆ, ส่วนอิหร่านนั้น กษัตริย์ Shan เป็นช่วงเวลาที่พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับพระธิดาของกษัตริย์ Faruck และเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ขึ้นมาเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.1951 และอื่นๆ

ความหวังข้างหน้าสำหรับผู้คนที่ถอนรกรากออกมาจากถิ่นเดิมอย่างพวกเราเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน พ่อของผมจึงตัดสินใจว่า เป็นการดีที่สุดที่จะส่งตัวผมไปไกลแสนไกลเท่าที่จะเป็นไปได้ - และในทางปฏิบัติ พ่อได้ส่งผมไปยังโรงเรียนของเพียวริเทินที่มีวินัยเคร่งครัดและเข้มงวดมาก ซึ่งตั้งอยู่ที่มุมด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐ Massachusetts

ในช่วงต้นเดือนกันยายน ค.ศ.1951 เมื่อพ่อและแม่ผมได้ฝากผมไว้ที่หน้าประตูของโรงเรียน และทันใดนั้นผมรู้สึกว่าได้หลุดออกจากตะวันออกกลางมาไกล ซึ่งเป็นไปได้มากที่จะรู้สึกทุกข์ทรมานและไม่มีความสุขเลยเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง. ไม่เพียงบรรยากาศของโรงเรียนที่เข้มงวดและเต็มไปด้วยข้อห้ามทางศีลธรรมอย่างชัดเจนเท่านั้น แต่ผมดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงเด็กคนเดียวที่อยู่ ณ ที่นั้น ผู้ซึ่งไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นคนอเมริกัน ผู้ที่ไม่ได้พูดภาษาสำเนียงตามที่พวกเขาต้องการ และไม่ได้โตขึ้นมากับเบสบอล บาสเกตบอล และฟุตบอล...

สำหรับครั้งแรกที่ผมได้ถูกถอดถอนออกมาจากสภาพแวดล้อมทางภาษาที่ผมอาศัยพึ่งพิงในฐานะที่เป็นทางเลือกหนึ่งที่ตั้งใจจะต่อต้านเกี่ยวกับแองโกล-แซคซัน ซึ่งภาษาของเขามันไม่ใช่ภาษาของผม และผู้ซึ่ง หากว่ากันแบบฟันธง ทรัพย์สมบัติของผมมันด้อยกว่าของเขา หรือด้วยเหตุผลบางประการผมมีเชื้อชาติที่ถูกรังเกียจ. ใครก็ตามที่ผ่านพ้นอุปสรรคในชีวิตประจำวันของการเป็นอาณานิคมจะรู้ว่าผมกำลังพูดถึงเรื่องอะไร

หนึ่งในสิ่งแรกๆที่ผมทำก็คือมองหาอาจารย์ที่มีกำเนิดเป็นชาวอียิปต์ ผมได้รับชื่อของอาจารย์ท่านนี้มาโดยเพื่อนของครอบครัวผมในกรุงไคโร. "ไปคุยกับ Ned", เพื่อนของครอบครัวเราพูดอย่างนั้น, "และเขาจะทำให้เธอรู้สึกว่าอยู่ที่บ้านขึ้นมาทันที". ในช่วงวันเสาร์ตอนบ่ายที่แดดเปรี้ยง ผมได้เดินไปยังบ้านของอาจารย์ Ned ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า และเมื่อไปถึงผมได้แนะนำตัวเองกับคนที่ร่างกายกำยำ, ผิวค่อนข้างคล้ำผู้ซึ่งเป็นครูฝึกเทนนิสด้วย. ผมได้บอกเขาไปว่า Freddie Maalouf ในไคโรได้ขอให้ผมมาหาเขา. "โอ้ ใช่", โคชเทนนิสคนนั้นกล่าวอย่างเย็นชา, 'Freddie.' ผมเปลี่ยนไปพูดภาษาอาราบิคทันที, แต่ Ned ยกมือของเขาขึ้นมาในทำนองขัดจังหวะผม. "ไม่ น้องชาย, ไม่มีภาษาอาราบิคที่นี้. ผมได้ทิ้งสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดแล้ว หลังจากที่ผมมาถึงอเมริกา" และนั่นก็คือการจบเห่ของการพบปะกันครั้งแรกของเรา

เป็นเพราะว่าผมได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดีจากวิทยาลัยวิคตอเรีย ด้วยเหตุนี้ ผมจึงทำได้ดีพอควรในโรงเรียนกินนอน Massachusetts กล่าวคือทำข้อสอบได้ ทำให้ประสบความสำเร็จในลำดับต้นๆคือ ไม่ได้ที่หนึ่งก็ที่สองในชั้นเรียนในจำนวนราวๆ 160 คน. แต่ผมก็ถูกพบว่าเป็นคนมีความบกพร่องทางด้านศีลธรรมด้วย ราวกับว่า มันเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับผม ซึ่งลึกลับอย่างไรพิกล

เมื่อผมสำเร็จการศึกษา, ยกตัวอย่าง, การที่ผมควรจะได้เป็นนักศึกษาเกียรตินิยม เกียรตินิยมนั้นกลับถูกยับยั้งเอาไว้ด้วยเหตุผลที่ว่าผมไม่มีความเหมาะสมกับศักดิ์และสิทธิ์ดังกล่าว - มันทำให้ผมรู้สึกฉงนเกี่ยวกับการตัดสินหรือการพิพากษาทางศีลธรรมอันนี้ ซึ่งผมพบว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และไม่เคยเข้าใจหรือได้รับการยกโทษให้เลยมาโดยตลอด. ในเรื่องที่คล้ายกันแต่คนละด้าน เมื่อผมกลับไปยังตะวันออกกลางในช่วงวันหยุดพักผ่อน(ครอบครัวของผมยังคงอยู่ที่นั่น โดยย้ายจากอียิปต์ไปยังเลบานอนในช่วงปี 1963) ผมกลับพบว่าตัวเองได้กลับกลายเป็นคนตะวันตกไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุที่การศึกษาของผมทั้งสองแห่งและในระดับปริญญาโท ผมได้ศึกษามาทางด้านวรรณคดี ดนตรี และปรัชญา แต่สิ่งที่ผมร่ำเรียนมานั้นไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องเลยกับขนบประเพณีของตัวเอง

บรรดานักศึกษาในช่วงทศวรรษที่ 50 และช่วงต้นของ 60 จากโลกอาหรับ เกือบทั้งหมดศึกษาเป็นนักวิทยาศาสตร์, เป็นหมอ, และวิศวกรกันมาโดยตลอด หรือไม่ก็ศึกษากันจนเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับตะวันออกกลาง และได้รับปริญญาจากสถาบันการศึกษาอย่างเช่น Princeton และ Harvard และต่อจากนั้น ส่วนใหญ่ หวนกลับไปยังประเทศของพวกเขาเพื่อไปเป็นครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ผมมีความเกี่ยวข้องหรือความสัมพันธ์กับพวกเขาน้อยมาก สำหรับเหตุผลดังที่กล่าวอย่างหรือสองอย่าง และด้วยเหตุนี้ โดยธรรมชาติแล้ว มันยิ่งทำให้ผมโดดเดี่ยว แปลกแยกจากภาษาของผมเองและพื้นภูมิความหลังของตน

และในช่วงที่ผมไปอยู่ที่นิวยอร์คเพื่อสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ราวฤดูใบไม่ร่วงปี 1963 ผมได้รับการพิจารณาว่ามีลักษณะท่าทีแปลกแตกต่างไปจากคนอื่นในฐานะชาวต่างประเทศ แต่ค่อนข้างไม่สอดคล้องกับพื้นเพของชาวอาราบิคเท่าใดนัก - ตามจริง ผมระลึกได้ว่า มันง่ายมากสำหรับเพื่อนๆของผมส่วนใหญ่และเพื่อนร่วมงานจะไม่ใช้คำว่า"อาหรับ", และอันที่จริงไม่ใช้คำว่า"ปาเลสไตน์" ในการอนุโลมตามหรือคล้อยตามคำที่มักง่ายและคลุมเครือว่า"ตะวันออกกลาง", ศัพท์คำหนึ่งซึ่งไม่ละเมิดต่อผู้หนึ่งผู้ใด

เพื่อนของผมคนหนึ่งที่สอนอยู่ที่โคลัมเบียอยู่แล้ว ภายหลังได้บอกกับผมว่า เมื่อผมจะได้รับการว่าจ้างให้ทำการสอน ณ ที่นั้น ผมได้รับการอธิบายให้กับคณาจารย์ในภาควิชาที่ผมจะบรรจุเข้าทำการสอนในฐานะ "ยิวแห่งอเล็กซานเดรียน" (Alexandrian Jew - ศัพท์คำนี้หมายถึง "ผู้รู้" หรือเทียบได้กับ "ห้องสมุดเดินได้" ในเวลาเดียวกันก็เป็นการหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเชื้อชาติเดิมที่ถูกตั้งข้อรังเกียจ : ผู้แปล) ผมจำได้ว่าเป็นความรู้สึกอันหนึ่งของการได้รับการยอมรับ และแสดงความนับถือ โดยเพื่อนร่วมงานที่ทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียอยู่แล้ว ซึ่งเขาและคนอีกหนึ่งหรือสองคนที่เป็นข้อยกเว้น ซึ่งได้มองผมในฐานะเป็นคนที่มีอนาคต, เท่าๆกันกับนักวิชาการหนุ่มซึ่งมีอนาคตและความหวังเกี่ยวกับ"วัฒนธรรมของเรา"

เมื่อไม่มีกิจกรรมทางการเมืองในเวลานั้นที่รวมศูนย์ไปยังโลกอาหรับ ผมพบว่า ความเอาใจใส่ของตัวเองในการสอนและการวิจัย ล้วนเป็นไปตามหลักการหรือมาตรฐานทางวิชาการ แม้ว่ามันจะไม่ตรงตามขนบจารีตเดิมๆเท่าใดนัก และภารกิจเหล่านี้ได้เก็บตัวผมเอาไว้ภายในรั้วรอบขอบชิดแบบจืดชืด

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่มาพร้อมกับสงครามระหว่างอาหรับกับอิสราเอลในช่วงปี 1967 ซึ่งสอดคล้องกับยุคที่มีกิจกรรมทางการเมืองแบบเข้มข้นเกิดขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับเรื่องของสิทธิต่างๆของพลเมือง และเรื่องสงครามเวียดนาม. ผมพบว่าตัวเองโดยธรรมชาติแล้วเกี่ยวพันกับเรื่องที่เผชิญหน้าอยู่ทั้งสองกรณีนี้(คือ สงครามระหว่างอาหรับกับอิสราเอล และเรื่องสิทธิพลเมือง) แต่สำหรับผม มันยิ่งเป็นความยุ่งยากซับซ้อนเพิ่มขึ้น เกี่ยวกับความพยายามที่จะดึงความสนใจไปสู่มูลเหตุแห่งปาเลสติเนียน

หลังจากที่อาหรับพ่ายแพ้ ก็เกิดความคิดชาตินิยมปาเลสติเนียนที่เข้มแข็งขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งปรากฏตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้าน ที่มีรกรากส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจอร์แดนและดินแดนที่ถูกครอบครองใหม่เมื่อไม่นานมานี้ต่างๆ. เพื่อนๆหลายคนและสมาชิกของครอบครัวผมได้เข้าไปร่วมกับขบวนการดังกล่าว และเมื่อผมไปที่จอร์แดนในปี ค.ศ.1968, 69 และ 70 ผมพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางผู้คนร่วมสมัยที่มีจิตใจคล้ายๆกันเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ในสหรัฐอเมริกา การเมืองของผมได้ถูกปฏิเสธ - ด้วยข้อยกเว้นเด่นๆสองสามข้อ - ทั้งโดยบรรดานักกิจกรรมต่อต้านสงครามและโดยพวกที่ให้การสนับสนุน Martin Luther King. เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกแบ่งแยกอย่างแท้จริงระหว่างแรงกดดันที่รุนแรงใหม่ๆเกี่ยวกับพื้นเพของผมและภาษา กับ ความต้องการที่ซับซ้อนของสถานการณ์หนึ่งในสหรัฐที่เกือบจะไม่มีเอาเลย ในข้อเท็จจริงที่ว่า มันน่ารังเกียจสำหรับสิ่งที่ผมต้องการจะพูดเพื่อต้องการแสวงหาความยุติธรรมให้กับชาวปาเลสติเนียน - ผมถูกมองไปว่าเป็นพวก anti-semitic หรือพวกที่รังเกียจยิว และเป็นพวกนาซี

ในปี ค.ศ.1972 ผมได้มีเวลาหยุดพักการสอนตามกำหนดที่มหาวิทยาลัยอนุญาตเอาไว้(sabbatical - เป็นการหยุดให้อาจารย์ผู้สอนในระดับมหาวิทยาลัยที่ทำงานมาครบ 7 ปี สามารถลาหยุดได้ เพื่อพัฒนาการสอนเป็นเวลา 1 ปี) ผมได้ใช้โอกาสอันนี้เป็นเวลาหนึ่งปีในเบรุต ที่ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ของผมได้ใช้ไปเพื่อการศึกษาเกี่ยวกับปรัชญาอาราบิคและวรรณคดี บางสิ่งบางอย่างซึ่งผมไม่เคยทำมาก่อนเลย อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เคยจริงจังในระดับนั้น มันโดดออกมาจากความรู้สึก ซึ่งผมยอมให้กับความต่างที่ไม่เหมือนกันระหว่างอัตลักษณ์ที่ผมได้มา กับ วัฒนธรรมในสิ่งซึ่งผมได้ถือกำเนิดและจากสิ่งซึ่งผมได้ย้ายตัวเองออกมา. มันกลับกลายเป็นความยิ่งใหญ่เหลือเกิน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในประสบการณ์ เช่นเดียวกับความรู้สึกทางการเมืองที่จะนำพาตัวเองเข้าประสานกลมกลืนกับคนอื่นๆ เพื่อถกเถียงอภิปรายเกี่ยวกับสิ่งที่ครั้งหนึ่งได้รับการเรียกขานว่า"ตะวันออกกลาง" ซึ่งได้เปลี่ยนรูปแบบไปสู่การอภิปรายหรือถกเถียงกันระหว่างอิสราเอลและปาเลสติเนียน, ผมถูกดึงเข้าไป เพราะเกี่ยวกับความสามารถของผมที่จะพูดเรื่องนี้ออกมาในฐานะนักวิชาการอเมริกันและปัญญาชนคนหนึ่ง มากเท่าๆกันกับเป็นเหตุบังเอิญเกี่ยวกับกำเนิดของผม. โดยในช่วงกลางปี 1970 ผมอยู่ในภาวะที่พรั่งพร้อมสมบูรณ์ และมีตำแหน่งที่ปราศคนอิจฉาของการพูดถึงเรื่องทั้งสองนี้, ผมได้มายืนอยู่ ณ แกนกลางของขั้วตรงข้าม ด้านหนึ่งคือตะวันตก ส่วนอีกด้านหนึ่งคืออาหรับ

นานมาแล้วที่ผมยังจำได้ ผมยินยอมให้ตัวเองมายืนอยู่ภายนอกร่มซึ่งได้คอยกำบังหรือให้ที่อยู่แก่บรรดาผู้คนร่วมสมัยเดียวกันกับผม. ไม่ว่าอันนี้จะเป็นเพราะผมเป็นคนที่แตกต่างออกไป ซึ่งอันที่จริงคือคนนอกนั่นเอง หรือเป็นเพราะผมเป็นคนเพียงคนเดียวที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอไปตามอารมณ์ก็ตาม ซึ่งผมพูดเองไม่ได้ในเรื่องนี้. แต่ในข้อเท็จจริงก็คือ แม้ว่าผมจะร่วมมือกับงานประจำของสถาบันทุกๆอย่าง เพราะผมรู้สึกว่าต้องทำเช่นนั้น แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นส่วนตัวที่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งเหล่านั้น. ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรที่เป็นเหตุให้ผมรีรอหรือลังเลใจเช่นนั้น แต่เมื่อผมรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง ไม่มีความสุข หรือหลุดออกมาจากความกลมกลืนกับทุกๆคน ผมจะธำรงความห่างเหินส่วนตัวเอาไว้อย่างรุนแรง

ผมอาจจะอิจฉาเพื่อนๆ ซึ่งภาษาของพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน หรืออิจฉาผู้ซึ่งมีโอกาสได้อาศัยอยู่ในที่ที่เขาเกิด หรือผู้ซึ่งทำงานได้ดีในวิถีทางที่ได้รับการยอมรับ หรือผู้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่นั่นจริงๆ แต่ผมรำลึกถึงมันไม่ได้ หรือไม่เคยคิดว่า สิ่งเหล่านี้มันจะเป็นไปได้สำหรับผม. มันไม่ใช่ว่าผมมองดูตัวเองพิเศษ แต่ค่อนข้างเป็นไปในทางตรงข้ามคือ ผมไม่เหมาะกับสถานการณ์ต่างๆซึ่งผมกลับต้องพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์นั้น แต่ก็ไม่ถึงกับรู้สึกไม่พอใจมากจนเกินไปที่จะยอมรับสถานการณ์รวมๆเหล่านี้

นอกจากนี้ ผมมักจะถูกลากหรือดึงไปสู่การเรียนรู้ด้วยตัวเองในลักษณะถูลู่ถูกัง สู่เรื่องราวทางด้านสติปัญญาที่ไม่เหมาะสมหลากหลายเรื่อง. ส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะมุมมองที่แปลกประหลาดของพวกเขา ที่กระตุ้นหรือดึงดูดผมสู่การเป็นนักเขียนหรือศิลปินอย่าง Conrad, Vico, Adorno, Swift, Adonis, Hopkins, Auerbach, Glenn Gould, สไตล์หรือวิธีคิดของพวกเขาเหล่านี้ ค่อนข้างที่เป็นปัจเจกมากและเป็นไปไม่ได้ที่จะลอกเลียน. สำหรับพวกเขาแล้ว สื่อกลางในการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านดนตรีหรือที่กลั่นออกมาเป็นคำพูด ถูกบรรจุไปด้วยสิ่งที่ทดสอบได้อย่างน่าพิศวง เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเองระดับสูงสุด. สิ่งที่ประทับใจผมเกี่ยวกับพวกเขาไม่ใช่เพียงข้อเท็จจริงเท่านั้นเกี่ยวกับการประดิษฐ์คิดค้นของตนเอง แต่มันเป็นความกล้าได้กล้าเสียที่ได้รับการตั้งอยู่ภายในประวัติศาสตร์ทั่วๆไปอย่างละเอียดอ่อนและพิถีพิถัน ซึ่งเขาได้ขุดค้นลงไปในรากเดิม

โดยยินยอมให้ตัวผมเองค่อยๆเข้าครอบครองเสียงของผู้เชี่ยวชาญในฐานะนักวิชาการอเมริกันคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหนทางของการจ่อมจมลงในความยุ่งยากและไม่อาจย่อยซึมได้เกี่ยวกับอดีตของตัวเอง ผมเริ่มต้นคิดและเขียนอย่างอิสระในทางตรงข้าม โดยอาศัยครึ่งที่แตกต่างเกี่ยวกับประสบการณ์ของผม ในฐานะที่เป็นชาวอาหรับ และในฐานะที่เป็นชาวอเมริกัน ในการทำงานและทวนกระแสกับแต่ละฝ่าย. แนวโน้มอันนี้เริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาหลังจากปี 1967 และถึงแม้ว่ามันจะยาก แต่มันก็น่าตื่นเต้นด้วย

สิ่งที่มากระตุ้นความเปลี่ยนแปลงในช่วงแรกๆในความรู้สึกของผมเกี่ยวเรื่องตัวตน และเกี่ยวกับเรื่องภาษาที่ผมกำลังใช้อยู่ คือความสำนึกหรือความเข้าใจที่ว่า ในการปรองดองหรือเคยชินกับความจำเป็นของชีวิตในเบ้าหลอมอเมริกัน ผมไม่มีทางเลือกที่จะต้องยอมรับหลักการเกี่ยวกับการลบล้างอดีต สิ่งซึ่ง Adorno ได้พูดเอาไว้อย่างค่อนข้างชัดเจนใน Minima Moralia:

ชีวิตอดีตของคนพลัดถิ่น, อย่างที่เรารู้กัน, ได้ถูกลบล้างไป. ในช่วงต้นๆมันเป็นเรื่องของหมายจับ, วันนี้มันเป็นประสบการณ์ทางปัญญา ที่ได้รับการประกาศออกมาโดยไม่อาจถ่ายโอนกันได้และไม่อาจทำให้เป็นธรรมชาติได้. สิ่งใดก็ตามที่ไม่ได้ถูกทำให้เป็นรูปธรรม ไม่สามารถนับได้และวัดได้ มันจึงไม่มีอยู่. อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ความน่าพึงพอใจเลยกับเรื่องอันนี้ การทำให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาได้แพร่กระจายไปสู่ความตรงกันข้ามกับตัวมัน ชีวิตที่ไม่สามารถถูกทำให้เป็นจริงขึ้นมาได้โดยตรง; ทุกสิ่งทุกอย่างดำรงอยู่เพียงแค่ความคิดและการหวนคำนึงถึงเท่านั้น. สำหรับอันนี้คือกฎเกณฑ์ที่พิเศษข้อหนึ่งที่ได้รับการประดิษฐ์ขึ้นมา. มันถูกเรียกว่า"พื้นเพความหลัง" และปรากฎอยู่บนแบบสอบถามในฐานะส่วนต่อท้าย หลังจากเพศ, อายุ, และอาชีพ. เพื่อจะละเมิดหรือฝ่าฝืนมัน ชีวิตได้ถูกลากดึงไปตามถนน บนรถยนต์ที่ฉลองชัยชนะ... และเท่าๆกันกับอดีต มันไม่มีความปลอดภัยเลยนับจากปัจจุบัน ความทรงจำของเขาเกี่ยวกับมันได้ส่งมอบเป็นครั้งที่สองให้กับการถูกหลงลืม

สำหรับครอบครัวของผมและตัวผมเอง ความหายนะที่รุนแรงในช่วงปี 1948 (ซึ่งขณะนั้นผมมีอายุเพียง 12 ปี) เป็นเรื่องที่ไม่ส่งผลกระทบมากมายอะไรนัก เพราะเราอาศัยอยู่อย่างไม่ได้สนใจเรื่องราวทางการเมือง. ยี่สิบปีให้หลังของการถูกแย่งชิงเอาไปและการถูกขับไล่จากบ้านเรือนและดินแดนถิ่นแคว้นของพวกเขา ประชากรส่วนใหญ่ของปาเลสไตน์ต้องดำรงชีวิตอยู่อย่างผู้อพยพลี้ภัย ไม่อาจที่จะเรียนรู้อดีตของพวกเขา เพราะมันได้สูญหายไป ถูกลบทิ้งไป มันมีแต่ปัจจุบันของพวกเขาเท่านั้น ผมไม่ต้องการที่จะบอกว่า ชีวิตผมในฐานะเด็กนักเรียน กำลังเรียนรู้ที่จะพูดและใช้ภาษาอีกภาษาหนึ่ง ซึ่งมันจะนำชีวิตผมได้ไปอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง ที่จะนำมาซึ่งอะไรก็ตามที่ทุกข์ทรมานของคนรุ่นแรกของผู้ลี้ภัยปาเลสติเนียน ที่แตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลกอาหรับ ที่ซึ่งกฎหมายอันไม่ยุติธรรมทำให้มันเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาเลย ที่จะอยู่อย่างธรรมชาติอย่างที่เคยเป็นมา

พวกเขาไม่สามารถทำงานได้ ไม่อาจเดินทางไปไหนมาไหนได้ ถูกบีบบังคับให้ลงทะเบียนแล้วลงทะเบียนเล่าแต่ละเดือนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พวกเขาเป็นจำนวนมากถูกบีบคั้นให้ไปอาศัยอยู่ในแค้มป์ที่น่ากลัวและน่าขนลุกคล้ายดั่ง Sabra และ Shatila ของเบรุต ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุการณ์การฆาตกรรมหมู่ในอีก 34 ปีต่อมา

แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมประสบ เป็นการปิดบังอำพรางเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อันหนึ่ง ดังที่ทุกๆคนรายรอบตัวผมต่างก็ยกย่องสรรเสริญชัยชนะของอิสราเอล ดาบที่แกว่งไกวอย่างรวดเร็วน่ากลัวของมัน ดั่งที่ Barbara Tuchman พูดไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ภายใต้สภาวะแห่งการสูญเสียเกี่ยวกับการเป็นผู้อาศัยมาแต่เดิมของปาเลสไตน์ ผู้ซึ่งปัจจุบันนี้กลับพบว่าตัวของพวกเขาเองได้ถูกบังคับครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขา ครั้งหนึ่งได้เคยดำรงอยู่มาก่อน

"มันไม่มีปาเลสติเนียน" นางกอร์ดา แมร์ (ผู้นำอิสราเอล)กล่าวในปี 1969 และนั่นทำให้ผมรวมทั้งคนอื่นๆ ท้าทายอย่างโง่ๆและออกจะประหลาดๆเกี่ยวกับการพยายามพิสูจน์ว่าเธอผิด เกี่ยวกับการเริ่มต้นที่จะพูดออกมาชัดๆถึงประวัติศาสตร์อันหนึ่งของการสูญเสียและการถูกแย่งชิงเอาไป ซึ่งจะต้องแก้ไขให้หลุดจากภาวะนี้ให้ได้

นาทีต่อนาที, คำต่อคำ, นิ้วต่อนิ้ว จากประวัติศาสตร์ที่จริงแท้เกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานของอิสราเอล, การดำรงอยู่และการประสบความสำเร็จต่างๆ. ผมกำลังทำในสิ่งที่เกือบจะเป็นพื้นฐานในแง่ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงอันหนึ่ง, นั่นคือ การพิสูจน์ถึง การไม่มีอยู่ของอิสราเอล, การไม่มีประวัติศาสตร์, ซึ่งด้วยเหตุผลบางประการ ผมได้ทำให้มันปรากฏขึ้นมาให้เห็น ทั้งๆที่มันเป็นความตีบตัน, การใส่ความ, การบิดเบือนหลอกลวง, และการปฏิเสธไม่ยอมรับอย่างสิ้นเชิง

อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อันนี้ได้น้อมนำให้ผมใคร่ครวญความคิดต่างๆใหม่อีกครั้งเกี่ยวกับงานเขียนและเรื่องของภาษา ซึ่งจวบจนกระทั่งช่วงนั้น ผมยังทำงานอย่างมีชีวิตชีวาโดยเขียนตำรับตำราหรือหัวข้ออย่างเช่น - "ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับนวนิยาย" หรือ "ความคิดเกี่ยวกับการบรรยายเรื่องราวในฐานะที่เป็นแนวทางหนึ่งในวรรรกรรมร้อยแก้ว". สิ่งที่เป็นความสนใจของผมตอนนั้นคือ "หัวข้อหรือเรื่องราวอันหนึ่งมันได้รับการก่อตัวขึ้นมาอย่างไร ?", "ภาษาหนึ่งได้รับการสร้างขึ้นมาอย่างไร ?" - งานเขียนในฐานะที่เป็นการสร้างความจริงต่างๆขึ้นมาอันหนึ่ง ซึ่งไปรับใช้วัตถุประสงค์อันหนึ่ง.

ผมได้ตระหนักแล้วว่า นี่เป็นโลกของอำนาจและการเป็นตัวแทนต่างๆ โลกที่บังเกิดขึ้นมาในฐานะเป็นการตัดสินใจชุดหนึ่งที่ทำขึ้นโดยบรรดานักเขียนทั้งหลาย บรรดานักการเมืองต่างๆ และนักปรัชญา เพื่อเสนอแนะหรือวาดเค้าโครงความจริงอันหนึ่งขึ้นมา ในเวลาเดียวกันก็ลบล้างหรือทำลายความจริงอื่นๆทิ้งไป.

ความพยายามแรกสุดที่ผมทำเกี่ยวกับงานชนิดนี้ก็คือ ความเรียงสั้นๆเรื่องหนึ่งที่เขียนขึ้นมาในปี 1968 โดยใช้ชื่อว่า "The Arab Portrayed"(การร่างภาพเกี่ยวกับอาหรับ) ที่ซึ่งผมได้อรรถาธิบายถึงภาพลักษณ์ของอาหรับที่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง จัดการอย่างชำนิชำนาญโดยปราศจากยางอายอยู่ตามหน้านิตยสารและงานเขียนทางวิชาการแบบนั้น และงานเหล่านั้นหลีกเลี่ยงการอภิปราย หรือพูดถึงประวัติศาสตร์และประสบการณ์ดังที่ผมและคนอาหรับอื่นๆอีกเป็นจำนวนมากได้อาศัยอยู่ที่นั้น. ผมยังได้เขียนงานศึกษาขนาดยาวขึ้นมาชิ้นหนึ่งด้วย เกี่ยวกับงานวรรณกรรมร้อยแก้วหลังจากปี 1948 ที่ซึ่งผมรายงานเกี่ยวกับการแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย คุณสมบัติที่เตรียมรบในแนวงานแบบบรรยาย

ในช่วงระหว่างปีทศวรรษที่ 1970 ผมสอนกระบวนวิชาเกี่ยวกับวรรณคดียุโรปและอเมริกันที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียและที่มหาวิทยาลัยอื่นๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไปทีละเล็กทีละน้อย ผมค่อยๆขะเยิบเข้าไปสู่เรื่องของโลกการเมืองและคำอธิบายเกี่ยวกับตะวันออกกลาง และการเมืองระหว่างประเทศ. มันมีคุณค่ามากพอที่จะกล่าว ณ ที่นี้ว่า สี่สิบปีที่ผมทำหน้าที่สอนหนังสือนั้น ผมไม่เคยสอนอะไรเลยนอกจากหลักการของตะวันตก และไม่เคยเลยจริงๆที่จะพูดถึงเกี่ยวกับตะวันออกกลาง.

ผมตั้งใจมานานแล้ว และมีความทะเยอทะยานที่จะมีกระบวนวิชาเกี่ยวกับวรรณคดีอาราบิคสมัยใหม่ แต่ก็ไม่เคยแวะเวียนหรือเข้าถึงความทะยานอยากนั้นได้สักที อย่างน้อยที่สุดสามสิบปีที่ผมได้วางแผนที่จะให้มีการสัมนาในเรื่องของ Vico และ Ibn Khaldun, (Ibn Khaldun)ผู้ศึกษาเรื่องราวและเขียนถึงเรื่องประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ในคริสตศตวรรษที่ 14 และนักปรัชญาประวัติศาสตร์, แต่ผมก็ไม่เคยทำ

ความรู้สึกของผมเกี่ยวกับอัตลักษณ์ในฐานะอาจารย์ทางด้านวรรณคดีตะวันตก ได้กีดกันแง่มุมหรือประเด็นอันนี้ออกไปจากกิจกรรมของผมที่มีต่อชั้นเรียนที่เกี่ยวข้อง. ในทางที่แย้งกับความคาดหวัง ตามข้อเท็จจริง ผมยังคงเขียนและสอนในหัวข้อของผมต่อไปตามบทบาทหน้าที่ที่มหาวิทยาลัยได้ให้การอุปถัมภ์ในฐานะผู้ว่าจ้าง ซึ่งผมได้รับการเชื้อเชิญให้มาบรรยาย. แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาขอร้องให้ผมเมินเฉยต่อกิจกรรมทางการเมืองที่ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดใจ พร้อมคำแก้ตัวต่างๆนาๆ และเจาะจงให้ผมบรรยายหัวข้อทางวรรณคดีแต่เพียงหัวข้อเดียวเท่านั้น. และนั่นคือคนเหล่านั้นที่พูดถึงความพยายามของผมในนามของ"ผู้คนของผม" โดยไม่เคยกล่าวถึงชื่อของผู้คนเหล่านั้นเลย. "ปาเลสไตน์"ยังคงเป็นคำๆหนึ่งที่ได้รับการหลบเลี่ยง

เท่าๆกันกับโลกอาหรับ "ปาเลสไตน์"ทำให้ผมได้รับการสบประมาทและผลกระทบอย่างรุนแรง. เมื่อสหพันธ์สันนิบาตปกป้องยิวเรียกผมว่า"นาซี"ในปี 1985 ที่ทำงานของผมในมหาวิทยาลัยและรวมถึงครอบครัวด้วยได้ถูกเผา และนอกจากนี้ผมยังได้รับการขู่ฆ่าอีกหลายครั้งจนนับครั้งไม่ถ้วน และเมื่อ อันวาร์ ซาดัต และ ยัสเซอร์ อาราฟัต ได้แต่งตั้งผมเป็นตัวแทนปาเลสไตน์ในการเจรจาสันติภาพ(โดยที่ไม่เคยมีการปรึกษาหารือกับผมมาก่อน) ผมพบว่าตัวเอง, เป็นไปไม่ได้เลยที่จะก้าวเท้าออกนอกตัวอาคารที่ผมพักอาศัย

ยิ่งไปกว่านั้นคือ สื่อต่างๆได้พุ่งพรวดพราดมารายรอบผม ผมกลายเป็นวัตถุของฝ่ายปรปักษ์ชาตินิยมซ้ายสุดขั้ว เพราะผมได้รับการมองว่าเสรีจัดเกินไปต่อคำถามเกี่ยวกับปาเลสไตน์ และไอเดียเกี่ยวกับการอยู่ด้วยกันอย่างสันติระหว่าง"ยิวอิสราเอล" กับ"อาหรับปาเลสไตน์".

ผมเห็นพ้องกับความเชื่อตัวเองที่ว่า ไม่มีทางเลือกและไม่เป็นผลดีอะไรในการที่จะคงกองกำลังทหารที่มีอยู่ของแต่ละฝ่ายเอาไว้ จะมีก็แต่เพียงกระบวนการไกล่เกี่ยเพื่อสันติภาพเท่านั้นและความยุติธรรม สำหรับสิ่งที่ชาวปาเลสติเนียนทั้งหลายจะต้องอดทนต่อการถูกยื้อแย่งไปและการครอบครองของกองกำลังทหาร มีแต่การไกล่เกลี่ยเท่านั้นที่จะได้ผล

ผมยังวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักต่อคำขวัญหรือสโลแกนที่ฟังเบื่อหูอย่าง"การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ" และ การเสี่ยงโดยไม่ยั้งคิดในการปฏิวัติที่เป็นสาเหตุแห่งการตายอันบริสุทธิ์จำนวนมาก และไม่ทำอะไรที่ทำให้เกิดความคืบหน้าต่อกรณีปาเลสติเนียนในทางการเมือง

"สถานการณ์ที่ยากลำบากเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวทุกวันนี้ได้แสดงออกมาให้เห็นบนสังเวียนของมัน", Adorno เขียนเอาไว้. "ที่อยู่อาศัย, ในความหมายที่เหมาะสม, มาถึงตอนนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้. ที่พำนักพักพิงตามขนบประเพณีซึ่งพวกเราเติบโตขึ้นมา มันสุดที่จะทนทานได้ตอนนี้: อุปนิสัย ลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างเกี่ยวกับการปลอบประโลมในหมู่พวกเขา ได้ถูกจ่ายให้กับการทรยศหลอกลวงของความรู้, จ่ายให้กับร่องรอยหรือหลักฐานที่ทิ้งเอาไว้แต่ละอย่างของที่พักอาศัย ด้วยข้อตกลงที่เหม็นหืนและล้าสมัยเกี่ยวกับผลประโยชน์ของครอบครัว". อย่างที่ไม่ยอมอ่อนข้อมากยิ่งขึ้น, เขาได้กล่าวต่อไปอีกว่า:

บ้านนั้นเป็นอดีตไปแล้ว ... วิธีที่ดีที่สุดในการปฏิบัติ ในการเผชิญหน้ากับเรื่องทั้งหมดนี้ ยังคงดูเหมือนว่าไม่มีข้อผูกมัดใดๆให้ยกเลิกเป็นการชั่วคราว: ในการน้อมนำชีวิตส่วนตัว ตราบเท่าที่ระเบียบสังคมและความต้องการของคนๆหนึ่งยังจะอดทนโดยไม่มีอะไรเลย, แต่ไม่ไปมีภาระยึดติดกับมัน ในฐานะบางสิ่งบางอย่างที่ยังคงมีแก่นสารทางสังคมและเหมาะสมกับปัจเจก. "แม้ว่ามันจะเป็นส่วนหนึ่งของความโชคดีของผมที่ไม่มีบ้านเลยสักหลังที่เป็นของตัวเอง", Nietzsche เขียนเอาไว้แล้วในเรื่อง Gay Science. ทุกวันนี้ พวกเราควรต้องเพิ่มเติมเข้าไปว่า: มันเป็นส่วนหนึ่งของศีลธรรม ที่ไม่ควรมีอยู่ที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นบ้านของใคร.

สำหรับผมเอง ผมไม่สามารถที่จะดำรงอยู่โดยปราศจากข้อผูกมัดหรือมีชีวิตที่แขวนลอยอยู่เปล่าๆ: ผมไม่ลังเลใจที่จะประกาศความผูกพันและเข้าร่วมกับมูลเหตุอันอยุติธรรมอย่างสุดๆอันนี้. ในอีกด้านหนึ่งนั้น ผมมักจะระมัดระวังที่จะถูกวิจารณ์เสมอ แม้แต่การวิจารณ์ที่กล่าวหาว่าขาดความสามัคคีกับคนอื่นๆที่คาดหวังในนามของความจงรักภักดีต่อชาติ. มันเป็นสิ่งที่ชัดเจนอันหนึ่ง เกือบจะเป็นภาวะที่ต้องตกอยู่ในสภาพลำบากลำบนทีเดียวสำหรับสถานะอันนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับการเข้ากันไม่ได้กับทั้งสองฝ่าย และผลประโยชน์ที่ทั้งสองฝ่ายต้องการ

ผลลัพธ์จริงๆในแง่ต่างๆเกี่ยวกับงานเขียนของผมที่เป็นความพยายามให้โปร่งใสมากที่สุด ในการปลดปล่อยตัวเองออกจากศัพท์แสงหรือคำพูดทางวิชาการ และไม่ต้องการซ่อนเร้นอะไรเอาไว้เบื้องหลังถ้อยคำที่สละสลวยและการใช้คำพูดอ้อมค้อม ที่ซึ่งประเด็นปัญหาอันยุ่งยากได้ถูกนำเข้าไปเกี่ยวข้อง ผมได้ใช้คำว่า"การเกี่ยวข้องกับเรื่องทางโลก"(worldliness)ต่อสุ้มเสียงอันนี้ ซึ่งผมไม่ได้หมายถึงทักษะทางสังคมที่น่าเบื่อของคนเมือง แต่ต้องการหมายความถึงท่าทีที่รู้ๆกันอันหนึ่ง และทัศนคติที่ไม่มีความกริ่งเกรงใดๆต่อการสำรวจโลกที่ที่เราอาศัยอยู่

คำพูดที่คล้ายๆกัน ซึ่งรับมาจาก Vico และ Auerbach เรียกว่า "เรื่องทางโลก"(secular และ secularism) ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับสาระที่เป็นเรื่อง"เกี่ยวกับโลก"(earthly); ในคำต่างๆที่ยกมานี้ ได้รับมาจากขนบจารีตของนักวัตถุนิยมอิตาเลี่ยนที่โลดแล่นจาก Lucretius ผ่านมาจนกระทั่งถึง Gramsci และ Lampedusa, ผมพบว่า มันเป็นการแก้ไขปรับปรุงที่สำคัญอันหนึ่งเกี่ยวกับขนบจารีตจิตนิยมเยอรมันในเรื่อง synthesising the antithetical (การสังเคราะห์ ที่เป็นกระบวนการต่อเนื่องมาจาก การต่อต้านข้อสรุปในหลักการวิภาษวิธี - ผู้แปล) ดังที่พวกเราจะพบมันได้ในงานของ Hegel, Marx, Luk?cs และ Habermas.

สำหรับคำว่า"earthly"นี้ ไม่เพียงแฝงความหมายของโลกประวัติศาสตร์ที่ได้รับการสร้างขึ้นมาโดยผู้คนทั้งชายและหญิงทั่วๆไปเท่านั้น มากกว่าจะถูกสรรสร้างขึ้นมาโดยพระผู้เป็นเจ้า หรือบรรดาพวกอัจฉริยะของประชาชาติต่างๆ ดังที่ Herder เรียกมัน the nation's genius, มันยังเป็นการบอกถึงพื้นฐานของดินแดนเกี่ยวกับข้อถกเถียงในเชิงเหตุผลของผมและภาษา ซึ่งได้ถูกกระทำจากความพยายามอันหนึ่งที่จะเข้าใจสภาพภูมิศาสตร์ต่างๆที่มโนภาพกันขึ้นมา ซึ่งมันได้ถูกสลักเสลา และถัดจากนั้นก็ยัดเยียดให้โดยอำนาจที่มาจากดินแดนและผู้คนที่อยู่ห่างออกไปไกลโพ้น.

ในเรื่อง Orientalism และ Culture and Imperialism, และในช่วงเวลาเดียวกัน ในหนังสือห้าหรือหกเล่มที่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองอย่างชัดเจน ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงโลกของปาเลสไตน์และโลกอิสลามที่ผมได้เขียนขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น ผมรู้สึกว่าผมกำลังวาดรูปและสร้างตัวตนคนหนึ่งขึ้นมา ผู้ซึ่งได้เปิดเผยโลกทัศน์บางอย่างให้กับผู้อ่านชาวตะวันตก สำหรับสิ่งที่ แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ มันยังคงถูกปิดบังอำพรางอยู่ หรือไม่ได้พูดกันอย่างหมดเปลือก

ด้วยเหตุดังนั้น ในการพูดคุยกันถึงเกี่ยวกับตะวันออก หรือ the Orient, จวบจนบัดนี้ก็ยังเชื่อกันว่ามันเป็นข้อเท็จจริงง่ายๆเกี่ยวกับธรรมชาติ ซึ่งผมพยายามที่จะเปิดโปงออกมานานแล้ว มันเป็นการครอบงำทางภูมิศาสตร์ที่ผันผวนแปรปรวนมากด้วยโลกที่อยู่ห่างไกล บ่อยครั้งเป็นโลกที่เข้าไม่ถึง ซึ่งช่วยให้ยุโรปนิยามตัวของตัวเองโดยดำรงอยู่ในฝ่ายตรงข้าม. ในทำนองเดียวกัน ผมเชื่อว่าปาเลสไตน์ ดินแดนหนึ่งที่ถูกลบล้างไปในกระบวนการการสร้างสังคม สามารถที่จะได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาในฐานะการกระทำอันหนึ่ง เกี่ยวกับการต่อต้านทางการเมืองต่อความอยุติธรรมและการถูกหลงลืม.

ในบางโอกาส ผมสังเกตว่าผมกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดสำหรับคนจำนวนมาก และแม้แต่กับเพื่อนของผมสองสามคน ผู้ซึ่งทึกทักเอาว่าเป็นพวกปาเลสติเนียน ซึ่งมีความไม่เท่าเทียมกันบางอย่างในลักษณะที่เป็นมายาคติ คล้ายดั่งตัวยูนิคอร์นหรือความแปรปรวนที่แปลกๆอย่างไม่คาดฝันของคนๆหนึ่ง...

นักจิตวิทยาจากบอสตัน ผู้ซึ่งเชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาเรื่องความขัดแย้ง และผู้ซึ่งผมได้พบปะกับเธอในหลายๆครั้งในวงสัมนาวิชาการที่เกี่ยวพันกับหัวข้อปาเลสติเนียนและอิสราเอล. ครั้งหนึ่ง เธอได้โทรศัพท์มาถึงผมจาก Greenwich Village และถามว่า เธอจะมาที่ตอนบนของเมืองเพื่อมาเยี่ยมเยียนผมได้ไหม ผมตอบเธอไปว่าได้. และเมื่อตอนที่เธอมาถึง เธอเดินเข้ามาในบ้าน จ้องมองที่เปียโนของผมอย่างสงสัยและแสดงความกังขา - ฮ้า, คุณเล่นเปียโนจริงๆหรือ" เธอพูด ด้วยน้ำเสียงที่แฝงร่องรอยของความประหลาดใจทำนองไม่เชื่อ - และถัดจากนั้นก็หมุนตัวกลับและเริ่มเดินออกมา. เมื่อผมถามเธอว่าต้องการดื่มน้ำชาสักถ้วยก่อนไปไหม (หลังจากนั้น, ผมพูดว่า, คุณมาตั้งไกลเพื่อจะมาเยี่ยมผมแค่ระยะเวลาสั้นๆเท่านี้หรือ) เธอกล่าวว่า เธอไม่มีเวลา. "ฉันเพียงมาดูว่า คุณมีความเป็นอยู่อย่างไร" เธอพูดโดยปราศจากนัยะของการเสียดสี.

อีกครั้งกับผู้พิมพ์หนังสือในอีกเมืองหนึ่งซึ่งปฏิเสธที่จะเซ็นสัญญากับผมจนกว่าผมจะได้มีโอกาสทานอาหารกลางวันกับเขา. เมื่อผมได้ถามผู้ช่วยของเขาว่า ทำไมมันจึงสำคัญมากที่จะได้ทานอาหารกับผมมื้อหนึ่ง ผมได้รับการบอกว่า นายของเขาต้องการที่จะทดสอบดูว่าผมจัดการกับตัวเองอย่างไรบนโต๊ะอาหาร. โชคดีที่ประสบการณ์ต่างๆเหล่านี้มันไม่ได้มีผลกระทบหรือหน่วงเหนี่ยวอยู่กับผมยาวนานนัก เช่น ผมมักจะต้องรีบเร่งเอามากๆเสมอที่จะต้องเข้าชั้นเรียนหรือถูกขีดเส้นตายไว้(เพื่อเป็นการทดสอบ) และผมหลีกเลี่ยงอย่างรอบคอบในการที่จะตั้งคำถามกับตัวเอง ซึ่งจะพาตัวเองไปสู่ความตกต่ำหรือหดหู่ใจในท้ายที่สุด.

ในทุกๆกรณีเกี่ยวกับ intifada หรือ การก่อจราจลของปาเลสติเนียนที่มีต่ออิสราเอลซึ่งได้เข้ามายึดครองฉนวนกาซา และดินแดนในเขตเวสทแบงค์ ซึ่งปะทุขึ้นมาในเดือนธันวาคม 1987 ได้ยืนยันถึงผู้คนของเราอันน่าตื่นเต้นและน่าประทับใจเท่ากับสิ่งต่างๆที่ผมอาจกล่าวไปแล้ว. อย่างไรก็ตาม ไม่นานนัก ผมได้พบว่าตัวเองกลายเป็นสัญลักษณ์ ที่ได้รับการดึงเข้าไป ในข้อเขียนบทความขนาดสองสามร้อยคำ หรือถูกลากเข้าไปสู่ข้อความสั้นๆที่พูดออกทีวีและวิทยุ ในการยืนยันถึงว่า "อะไรที่ชาวปาเลสติเนียนกำลังพูดถึงกันอยู่", และผมตัดสินใจที่จะหนีไปจากบทบาทอันนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไม่เห็นด้วยของผมกับผู้นำ PLO นับจากปลาย 1980

ผมไม่แน่ใจ ไม่ว่าจะเรียกมันว่าการสร้างเรื่องของตัวเองขึ้นมาชั่วกัลปาวสาน หรือความไม่อยู่กับที่อย่างต่อเนื่องหรืออะไรก็ตาม. ด้วยหนทางใดหนทางหนึ่ง ผมเรียนรู้มายาวนานที่จะทนุถนอมมันเอาไว้. เอกลักษณ์เป็นอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องที่น่าเบื่อหัวข้อหนึ่งเท่าที่ใครสักคนจะจินตนาการได้. มันไม่มีอะไรเลย และดูเหมือนจะเป็นที่สนใจน้อยกว่าการศึกษาตัวเองที่มีการให้ความสำคัญกันมาก ซึ่งในทุกวันนี้ได้ผ่านเข้าไปสู่พื้นที่ต่างๆมากมาย เช่น การเมืองที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเอกลักษณ์, การศึกษาเกี่ยวกับชนกลุ่มน้อย, หรือการยืนยันเกี่ยวกับรากเหง้า, ความภาคภูมิใจในวัฒนธรรม, การสนับสนุนมูลเหตุให้เกิดความคิดชาตินิยม และอื่นๆ.

สำหรับตัวผมแล้ว เราต้องปกป้องไว้ซึ่งผู้คนทั้งหลายและเอกลักษณ์ทั้งมวลที่ถูกคุกคามด้วยการสิ้นสูญหรือการทำให้เป็นรอง เพราะพวกเขาได้รับการมองว่าด้อยกว่า แต่นั่นจะต้องแตกต่างไปจากการคุยโตโอ้อวดถึงอดีตอันหนึ่งที่สร้างขึ้นมาเองเพื่อเหตุผลต่างๆในปัจจุบัน. คนเหล่านั้นในหมู่พวกเราที่เป็นปัญญาชนอเมริกันต่างเป็นหนี้บุญคุณมัน ต่อประเทศของเราที่ต่อสู้กับการต่อต้านปัญญาชนนิยมแบบหยาบคาย, คนพาลเกเร, ความอยุติธรรม และลัทธิความคิดคับแคบ (provincialism คติมองแคบหรือความคิดคับแคบ - ตรงข้ามกับ cosmopolitanism คือ คติมองกว้างหรือความคิดกว้าง - ผู้แปล) ซึ่งทำให้มันต้องผิดรูปผิดร่างไป จนท้ายที่สุดเป็นเรื่องของอภิมหาอำนาจ.

มันเป็นเรื่องที่ท้าทายมากในการจะพยายามที่จะเปลี่ยนตัวเองไปสู่บางสิ่งบางอย่าง ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่แตกต่างมากยิ่งกว่าการจะยืนหยัดรักษาอยู่ในคุณความดีของการเป็นอเมริกันในความหมายเชิงอุดมคติ. ตัวผมเองสูญเสียประเทศของตนไปโดยปราศจากความหวังใดๆเกี่ยวกับการได้กลับคืนมาในเร็วๆวันนี้ ผมไม่พบความสะดวกสบายมากมายนักในการที่จะเพาะปลูกสวนแห่งใหม่ขึ้นมาสวนหนึ่ง หรือมองหาความช่วยเหลืออื่นๆบางอย่างที่จะมาร่วมมือกัน. ผมเรียนรู้มาจาก Adorno ว่า การประนีประนอมหรือการไกล่เกลี่ยภายใต้การข่มขู่หรือตกอยู่ภายใต้การสูญเสียอิสรภาพ เป็นสิ่งที่ขี้ขาดและหลอกลวง ไม่มีความจริงใจ: การมีชัยชนะย่อมดีกว่าการพ่ายแพ้, ความมั่นคงมันเป็นความรู้สึกหนึ่งที่น่าพึงพอใจกว่าความไม่มั่นคง ไม่แน่นอน หรือเพียงชั่วคราว - บ้านเช่าหลังหนึ่ง เป็นตัวอย่าง - การเป็นเจ้าของบ้านที่เป็นของตัวเองที่มีความมั่นคงย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าเสมอ.

อันนี้คือเหตุผลที่ว่าทำไม คนที่สำรวยซึ่งกำลังเดินทอดน่อง อย่าง Oscar Wilde หรือ Baudelaire ดูเหมือนว่าสำหรับผมแล้ว โดยธรรมชาติของตัวมัน มันน่าสนใจมากกว่าคนที่น่ายกย่องเกี่ยวกับการตั้งอยู่ในคุณงามความดีอย่าง Wordsworth หรือ Carlyle.

สำหรับอดีตห้าปี ผมเขียนบทความสองคอลัมภ์ต่อเดือนสำหรับสิ่งพิมพ์อาราบิค; และแม้ว่า ผมจะมีแนวการเมืองที่ต่อต้านศาสนา แต่บ่อยครั้ง ผมได้รับการอธิบายอย่างเร่าร้อนในโลกอิสลามในฐานะผู้พิทักษ์ปกป้องของอิสลาม และได้รับการใคร่ครวญโดยพรรคการเมืองอิสลามบางพรรคให้เป็นหนึ่งในผู้ให้การสนับสนุนพรรคการเมืองของพวกเขา. ไม่มีอะไรเกินไปจากความเป็นจริง, มากไปกว่ามันเป็นความจริงที่ว่า ผมเป็นคนที่คอยขอโทษสำหรับการก่อการร้าย.

คุณสมบัติหลายเหลี่ยมหลายมุมในงานเขียนของคนๆหนึ่ง เมื่อคนๆนั้นไม่ได้สังกัดกับค่ายใดๆ หรือถือข้างกรณีใดๆ มันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากที่จะปฏิบัติ แต่นั่นแหละ มันจริงทีเดียว ผมยอมรับการไม่อาจคืนดีกันได้เกี่ยวกับความขัดแย้งที่มีอยู่อย่างมากมาย หรืออย่างน้อยที่สุด การประสานกลมกลืนที่ไม่มีวันจะสมบูรณ์ได้ แง่มุมต่างเกี่ยวกับสิ่งที่ผมปรากฏตัวขึ้นมาและทำหน้าที่เป็นตัวแทน มันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ.

วลีหนึ่งที่เขียนโดย G?nter Grass ได้อธิบายถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากได้ดีทีเดียว: นั่นคือ"สติปัญญาที่ปราศจากอำนาจประกาศิต". สถานการณ์ที่ซับซ้อนอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 1993 นั้น หลังจากดูเหมือนว่าจะเป็นเสียงที่ยืนยันแสดงการเห็นด้วยเกี่ยวกับการต่อสู้ของปาเลสติเนียน ผมได้เขียนงานขึ้นมาชิ้นหนึ่งอย่างแหลมคมมากเกี่ยวกับความไม่เห็นด้วยของผมกับอาราฟัตและสมัครพรรคพวกของเขา. ผมถูกตีตราทันทีว่า"ต่อต้านสันติภาพ" เพราะผมขาดเสียซึ่งข้อเท็จจริงที่จะอรรถาธิบายเกี่ยวกับสนธิสัญญาออสโลที่มีช่องโหว่และข้อบกพร่องอย่างลึกซึ้ง. ปัจจุบันทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้ป่นและบดให้มันหยุดชะงัก ผมถูกถามเสมอถึงสิ่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง แต่ผมก็ต้องรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งไปกว่าใครๆ: นั่นคือ การพยากรณ์มันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของคลังสรรพาวุธของผม

สำหรับอดีตสามหรือสี่ปีที่ผมพยายามจะเขียนบันทึกชีวิตและประสบการณ์เกี่ยวกับตัวผมเอง ตั้งแต่ช่วงวัยต้นๆ - นั่นคือ ชีวิตก่อนสนใจการเมือง - ส่วนใหญ่เพราะผมคิดว่าเป็นเป็นเรื่องที่ทรงคุณค่าอันหนึ่งเกี่ยวกับการช่วยให้รอดและการเป็นอนุสรณ์ การทำดังนั้น ผมได้เขียนถึงสถานที่สามแห่งที่ผมเติบโตขึ้นมาซึ่งมันไม่มีอยู่อีกแล้ว. ปาเลสไตน์, ปัจจุบันนี้คืออิสราเอล, เลบานอน, หลังจากยี่สิบปีของสงครามกลางเมือง, มันเป็นสถานที่ที่น่าเบื่อที่แทบหายใจไม่ออกเอาเลยเมื่อเราใช้เวลาในช่วงฤดูร้อนโดยขังตัวเราเองอยู่ใน Dhour el Shweir, และดินแดนอาณานิคมในระบอบราชาธิปไตยอียิปต์ที่ไม่มีอยู่อีกแล้วในปี 1952.

ประสบการณ์ชีวิตและความทรงจำของผม เกี่ยวกับวันเวลาเหล่านั้นยังคงมีชีวิตชีวาอย่างเต็มที่ บริบูรณ์ไปด้วยรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ดูเหมือนว่าผมจะรักษามันเอาไว้ได้ ราวกับว่า ระหว่างปกหน้าและปกหลังของหนังสือ มันยังเต็มไปด้วยความรู้สึกต่างๆที่ไม่สามารถแสดงออกมา บังเกิดขึ้นและหลุดออกมาจากสถานการณ์และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลายทศวรรษมาแล้ว แต่ก็ยังดูเหมือนกำลังรอคอยจนกระทั่งถึงปัจจุบันให้ถูกพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ

คอนราดได้กล่าวเอาไว้ใน Nostromo ว่า ความปรารถนาอันหนึ่ง ซึ่งซุ่มซ่อนอยู่ในทุกซอกหลืบของหัวใจที่จะเขียนออกมาเกี่ยวกับเรื่องราวความจริงอันหนึ่งของสิ่งที่เกิดขึ้น และแน่นอน นี่คือสิ่งซึ่งขยับผมให้เขียนเล่าถึงชีวิตและประสบการณ์ของตัวเอง เทียบเท่ากับผมได้ค้นพบตัวเองกำลังเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงแม่ของผมที่ได้ละจากโลกนี้ไปแล้ว เป็นความปรารถนาอีกครั้งที่จะสื่อสารบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญอันน่ากลัว ถึงเหตุการณ์ก่อนปัจจุบันในชีวิตของผม. "ในหนังสือของเขา" Adorno กล่าวว่า,

นักเขียนได้สร้างบ้านขึ้นมาหลังหนึ่ง… สำหรับคนๆหนึ่งผู้ซึ่งไม่มีบ้านเกิดเมืองนอนของตนอีกแล้ว งานเขียนจึงกลายเป็นสถานที่พักพิงแห่งหนึ่ง… [กระนั้น] ความต้องการที่คนๆหนึ่งเสริมความเข้มแข็งให้กับตัวเองที่สู้ทวนกับความรู้สึกสงสารตัวเอง แสดงนัยะถึงความจำเป็นทางเทคนิคที่จะเผชิญหน้ากับความหย่อนยานของสติปัญญาที่ขึ้งเครียดด้วยความพรักพร้อมสุดขีด และขจัดสิ่งใดก็ตามที่เริ่มจะมาหุ้มห่อผลงานออกไป หรือล่องลอยไปตามความเกียจคร้าน ซึ่ง ณ ขั้นตอนต้นๆอาจมารับใช้, ในฐานะที่เป็นการซุบซิบนินทา, ได้ให้กำเนิดบรรยากาศที่อบอุ่นอันนำไปสู่การเจริญเติบโต, แต่ปัจจุบัน ได้ถูกทอดทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง ไร้ชีวิตชีวาและคร่ำครึ. ในตอนจบ นักเขียนไม่ได้รับการยินยอมให้ดำรงอยู่ แม้แต่ในงานเขียนของตัวเขา.

คนๆหนึ่ง อย่างมากที่สุด ก็บรรลุถึงความพึงพอใจได้เพียงแค่ชั่วคราว ซึ่งได้ถูกซุ่มโจมตีหรือดักทำร้ายโดยข้อสงสัยอย่างรวดเร็ว และความต้องการอันหนึ่งที่จะเขียนขึ้นมาใหม่และทำมันอีกครั้ง ทำให้งานเขียนไม่เหมาะที่จะดำรงอยู่ได้. อย่างไรก็ตาม มันก็ยังดีกว่าที่จะหลับใหลอยู่กับความพึงพอใจของตัวเอง และในท้ายที่สุดต้องนอนนิ่งสงบอยู่ในความตาย

เอ็ดวาร์ด ซาอิด ได้พูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของเขาและคอนราดเมื่อเร็วๆนี้ ณ ห้องสมุด New York Public Library. สำนักพิมพ์ LRB จะตีพิมพ์งานเขียนเกี่ยวกับชีวิตและประสบการรณ์ความทรงจำของเขาเป็นบทๆ เมื่อมันใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ (1997-99)

http://www.lrb.co.uk/v20n09/said2009.htm (ข้อมูล)

 

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา I webboard

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม