A CORPORATE WATCH INTERVIEW WITH NOAM CHOMSKY
Anna Couey และ Joshua Karliner
แห่ง Corporate Watch ได้ทำการสัมภาษณ์
Noam Chomsky
ผ่านทางโทรศัพท์ที่บ้านของเขาในบอสตัน
เพื่อถามถึงเรื่องของ Microsoft และ Bill Gates.
ข้อความต่อไปนี้เป็นบันทึกถอดเทป
เกี่ยวกับการสนทนาทางไกลของเรา
content
member
back to home
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
ส่วนกลางคืน เราต้องอาศัยจินตนาการ
บทสัมภาษณ์ ความยาว 10 หน้ากระดาษ A4
Corporate Watch's Anna Couey and Joshua Karliner caught up with Noam Chomsky by telephone at his home in the Boston area to ask him about Microsoft and Bill Gates. The following is a transcript of our far ranging conversation.

A CORPORATE WATCH INTERVIEW WITH NOAM CHOMSKY
สัมภาษณ์ นอวม ชอมสกี้ กรณี ไมโครซอฟ และ บิลล์ เกทส์

Anna Couey และ Joshua Karliner แห่ง Corporate Watch ได้ทำการสัมภาษณ์ Noam Chomsky ผ่านทางโทรศัพท์ที่บ้านของเขาในบอสตัน เพื่อถามถึงเรื่องของ Microsoft และ Bill Gates. ข้อความต่อไปนี้เป็นบันทึกถอดเทปเกี่ยวกับการสนทนาทางไกลของเรา

Corporate Watch : สำหรับคำถามแรกที่อยากจะเรียนถามก็คือ คุณเห็นถึงนัยสำคัญเกี่ยวกับการโต้เถียงกันระหว่าง กระทรวงยุติธรรมกับไมโครซอฟ อย่างไร ? คุณมองมันในฐานะที่จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญอะไรบ้างไหม ?

Noam Chomsky : เท่าที่ติดตามเรื่องนี้มันมีนัยสำคัญบางอย่างอยู่เหมือนกัน. ในที่นี้เราควรที่จะขยายเพิ่มเติมบางประเด็นขึ้นมาคือ... ถ้าหากว่ามันมีบริษัทใหญ่ๆ 3 บริษัทที่ควบคุมสมบัติสาธารณะ และการสร้างสรรค์ของสาธารณชน, นั่นคือ ระบบอินเตอร์เน็ท, ระบบการสื่อสารทางไกลต่างๆ (telecommunications) และอื่นๆ, อันนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะดีไปกว่า การมีบริษัทเพียงบริษัทเดียวที่ควบคุมสิ่งเหล่านี้เอาไว้ทั้งหมด, แต่มันอาจมีข้อแตกต่างในระดับรองๆลงมา. คำถามก็คือ ขอบเขตเท่าใด ที่กาฝากหรือตัวหมัดอย่างไมโครซอฟที่ควรจะเกาะกินระบบสาธารณะอันนี้, หรือควรจะยอมให้สิทธิทั้งหมดอันนั้นไปเลย.

Corporate Watch : คุณช่วยให้ภาพประวัติศาสตร์สั้นๆได้ไหมว่า อะไรกำลังเกิดขึ้นกับพลังอำนาจความเจริญเติบโตของไมโครซอฟ, และบทบาทของมันในสังคม ที่สอดคล้องกันไปกับประวัติศาสตร์เกี่ยวกับอำนาจของบริษัทในสหรัฐอเมริกา, นั่นก็คือวิวัฒนาการของบริษัทต่างๆ มันมีความเป็นมาอย่างไร ?

Noam Chomsky : ประวัติสั้นๆในที่นี้, เป็นภาพร่างคร่าวๆอันหนึ่ง...
มันมีบริษัทต่างๆเกิดขึ้น ซึ่งสามารถย้อนกลับไปยังศตวรรษที่ 18, และมากกว่านั้น. ในสหรัฐอเมริกา, บริษัทต่างๆนั้น เดิมทีเป็นเรื่องของกลุ่มคนหรือสาธารณชน. โดยพื้นฐาน, พวกเขาเหล่านี้รวมตัวกันเป็นสมาคมหรือองค์กรความร่วมมือกันต่างๆ. อย่างเช่น กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งของผู้คนที่มาพบปะสังสรรค์กัน และกล่าวว่า พวกเราต้องการสร้างสะพานขึ้นมาสะพานหนึ่ง เพื่อทอดข้ามแม่น้ำสายนี้ และพวกเขาก็ได้รับอนุญาตทางกฎหมายจากทางรัฐ ซึ่งยินยอมให้พวกเขากระทำสิ่งนั้นได้.

แน่นอน มันเป็นอย่างนั้นแหละ ไม่มีอะไรมากเกินไปกว่านี้. บริษัทดังกล่าวไม่มีสิทธิใดๆในลักษณะของความเป็นปัจเจกบุคคลหรือเอกชน. นี่คือแบบจำลองสำหรับบริษัทต่างๆที่เกิดขึ้นมา ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้นเกี่ยวกับการสร้างกรอบหรือการร่างธรรมนูญขึ้นมา ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของมลรัฐหนึ่งๆ(การปกครองท้องถิ่นก่อนมีการรวมประเทศ). จนกระทั่งมาถึงช่วงคริสตศตวรรษที่ 19, จึงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง.

เป็นเรื่องที่สำคัญที่จะต้องจำไว้ว่า ระบบรัฐธรรมนูญ เมื่อแรกนั้น มิได้ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อพิทักษ์หรือปกป้องสิทธิต่างๆของผู้คน(rights of people)แต่อย่างใด. ส่วนใหญ่แล้ว สิทธิต่างๆของผู้คนถูกทำให้มีดุลยภาพ, ดั่งเช่นที่ Madison วางเอาไว้, ตรงกับสิ่งที่เขาเรียกว่า "สิทธิต่างๆทางทรัพย์สิน"(rights of property).

แน่นอน, ทรัพย์สินไม่มีสิทธิใดๆ: ปากกาของผมก็ไม่มีสิทธิใดๆเช่นกัน. บางที เป็นไปได้ที่ผมมีสิทธิอันหนึ่งให้มัน, แต่ตัวปากกาเองไม่มีสิทธิใดๆ. ดังนั้น อันนี้จึงเป็นสำนวนหรือวลีสั้นๆกระทัดรัดสำหรับเรื่องสิทธิต่างๆของผู้คนเกี่ยวกับทรัพย์สิน.

ระบบรัฐธรรมนูญได้รับการสร้างขึ้นมาบนหลักการที่ว่า สิทธิต่างๆของผู้คนในเรื่องทรัพย์สินต้องได้รับสิทธิพิเศษ; พวกเขามีสิทธต่างๆ เพราะว่า พวกเขาคือผู้คน, ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมีสิทธิพิเศษด้วย เพราะพวกเขามีทรัพย์สิน. ดังที่ Madison ได้เสนอมันในการถกเถียงและอภิปรายต่างๆถึงรัฐธรรมนูญ, "เป้าหมายต่างๆของรัฐบาล จะต้องปกป้องคุ้มครองคนกลุ่มน้อยที่มั่งคั่ง ตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่". นั่นคือวิธีการที่ระบบได้รับการเริ่มต้นขึ้นมา.

ในสหรัฐอเมริกา, ในรอบศตวรรษ, โดยผ่านกิจกรรมที่มีวัตถุประสงค์ในกระบวนการพจิารณคดีตามกฎหมาย, ศาลยุติธรรมต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงแนวคิดเกี่ยวกับบริษัทไปอย่างถึงราก. ศาลต่างๆได้มีการนิยามมันขึ้นมาใหม่ๆ เพื่อที่จะยินยอมให้ ไม่เพียงเรื่องสิทธพิเศษต่อบรรดาเจ้าของทรัพย์สินเท่านั้น, แต่ยังได้มีการนิยามถึงสิ่งที่บรรดานักประวัติศาสตร์ทางกฎหมายเรียกว่า"collectivist legal entities"ของบริษัทต่างๆ ขึ้นมาใหม่ด้วย.

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ, ได้มีการยินยอมให้มาตั้งแต่ต้นศตวรรษนี้ เกี่ยวกับสิทธิต่างๆของบุคคล(rights of persons), ในข้อเท็จจริง, บุคคลตลอดกาล(immortal persons), และบุคคลที่มีอำนาจล้นฟ้า. และคนพวกนี้ถูกทำให้มีอิสระ หรือปราศจากสิ่งกีดขวางในความต้องการที่จะจำกัดตัวของพวกเขาเอง ต่อการยินยอมหรืออนุญาตต่างๆของกฎหมาย หรือธรรมนูญต่างๆของรัฐ.

นั่นคือการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มากอันหนึ่ง. โดยสาระแล้ว มันกำลังเป็นการสถาปนาความเป็นส่วนตัวหรือเอกชนแบบเบ็ดเสร็จที่สำคัญขึ้นมา ซึ่งโดยเฉพาะเป็นเรื่องของความไม่รับผิดชอบ, เพราะ พวกเขาได้รับการคุ้มครองโดย First Amendment rights, เป็นอิสรภาพจากตรวจสอบและจับกุม และอื่นๆ, ดังนั้น คุณจึงไม่สามารถที่จะคิดออก หรือเข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังทำได้.

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง, เป็นที่เข้าใจกันดีในทางโลกธุรกิจว่า มันกำลังดำเนินไปสู่การประสานความร่วมมือกันกับรัฐ, การให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงิน, และการทำให้เป็นชนิดหนึ่งของต้นทุนทางสังคมและความเสี่ยง. สำหรับคำถามเพียงคำถามเดียวในที่นี้ก็คือ มันทำอย่างนั้นได้อย่างไร. ระเบียบวิธีนั้นได้ถูกพัดพาไปอย่างรวดเร็วและนั่นคือ ระบบของเพนตากอน(รวมไปถึง the DOE, AEC, NASA).. ระบบให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินโดยสาธารณชน เป็นแกนหลักของเซคเตอร์ที่เป็นพลวัตรของเศรษฐกิจอเมริกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (ซึ่งเป็นแบบเดียวกันนั้นโดยมากกับเรื่อง เทคโนโลยีชีวภาพ, เรื่องของเภสัชกรรม ฯลฯ. เป็นการพึ่งพาอาศัยอยู่บนแหล่งที่มาของสาธารณะที่แตกต่างกัน). และแน่นอน นั่นได้น้อมนำไปสู่สิทธิของไมโครซอฟ.

ดังนั้น คำถามต่อมาว่า ไมโครซอฟ ประสบผลกำไรมหาศาลนั้นได้อย่างไร ? น่าสรรเสริญ, Bill Gayes ค่อนข้างเปิดเผยตรงไปตรงมาและกล้าหาญเกี่ยวกับเรื่องนี้. เขากล่าวว่า การที่พวกเขากระทำเช่นนั้นได้โดย"การรวมรวมเอาความคิดและขยายไอเดียของคนอื่นๆ. ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีรากฐานในเรื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ.

คอมพิวเตอร์นั้น ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยค่าใช้จ่ายของสาธารณชนและการริเริ่มของสาธารณชน. ในทศวรรษที่ 1950 เมื่อคอมพิวเตอร์กำลังได้รับการพัฒนาขึ้นมา, มันเป็นไปโดยค่าใช้จ่ายของสาธารณชนทั้ง 100%. และมันก็เป็นอย่างเดียวกันกับการพัฒนาระบบ internet ขึ้นมา. ไอเดีย, ความคิด, การริเริ่ม, พวกซอฟท์แวร์ และ ฮาร์ดแวร์ต่างๆ - สิ่งเหล่านี้ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นมาภายใต้ค่าใช้จ่ายและการริเริ่มของสาธารณชนในช่วงเวลา 30 ปีที่ผ่านมา, และพอมาถึงวันนี้ มันได้ถูกยื่นไปใส่ในมือของคนอย่าง Bill Gates.

Corporate Watch : อะไรคือผลกระทบที่มีต่อสังคมและวัฒนธรรมเกี่ยวกับการยินยอมเช่นนั้น, ซึ่งไม่เพียงเรื่องของการผูกขาด, แต่รวมไปถึง แม้กระทั่ง บริษัทขนาดใหญ่เพียงไม่กี่บริษัท, ที่ได้เข้ามาครอบงำบางสิ่งที่เป็นพื้นฐานๆ เท่าๆกันกับ"การพูด", "การสื่อสารกับคนอีกคนหนึ่ง"ของมนุษย์ ?

Noam Chomsky : มันเป็นลักษณะหนึ่งของทรราชแบบเบ็ดเสร็จ, แต่, นั่นเป็นจุดประสงค์ทั้งหมดของการทำให้เป็นรูปบริษัท - เพื่อพยายามที่จะขจัดสาธารณชนออกไปจากการตัดสินใจเหนือชะตากรรมของพวกเขาเอง, เพื่อจำกัดเวทีของสาธารณชน, เพื่อควบคุมความคิดเห็น, เพื่อทำให้มั่นใจว่า การตัดสินใจต่างๆขั้นพื้นฐานที่ไปกำหนดว่า โลกควรจะถูกหมุนไปอย่างไร - ซึ่งรวมไปถึงผลผลิต, การพาณิชย์, การแบ่งสรร, ความคิด, นโยบายทางสังคม, นโยบายต่างๆประเทศ, ทุกสิ่งทุกอย่าง - สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในมือของสาธารณชน, แต่มันไปอยู่ในมือของบุคคลที่มีอำนาจมาก มีพลังรวมศูนย์สูง มากกว่า.

ในความเป็นจริงเชิงปฏิบัติ, เผด็จการและการรวบอำนาจไม่รับผิดชอบหรือต้องการฟังเสียงของสาธารณชน. และมันมีแบบแผนหรือวิธีการที่หลากหลายสำหรับการกระทำสิ่งนี้. หนึ่งในวิธีการก็คือ มีระบบการสื่อสาร, ซึ่งได้รับการเรียกขานว่าระบบข้อมูลข่าวสาร, ในมือของเครือข่ายหนึ่งของ, ระบบเผด็จการรวบอำนาจ, ไม่ว่าจะน้อยหรือมากราย ก็ไม่ใช่สาระสำคัญสักเท่าใด.

ขอให้หยิบเอาเรื่องสื่อในสหรัฐอเมริกามาดูกัน. มันมีสื่อที่รวมตัวกันเป็นบริษัทอยู่อย่างท่วมท้น. แม้กระทั่งสิ่งที่เรียกกันว่า"สื่อสาธารณะ" ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันไปมากมายอะไร. บรรดาบริษัทขนาดใหญ่นั้น ได้ขายผู้ดูและผู้ฟังต่างๆให้กับนักทำโฆษณาในธุรกิจอื่นๆ. และพวกเขาก็ได้รับการทึกทักว่าเป็นผู้สถาปนาระบบสื่อสารมวลชนขึ้นมา. มันไม่ได้มีอะไรซับซ้อนที่จะคิด หรือทำความเข้าใจสิ่งที่ได้รับการเปิดเผยออกมาเกี่ยวกับเรื่องอันนี้. นั่นหมายรวมไปถึงอุตสาหกรรมบันเทิงต่างๆด้วย, ดังที่เรียกกันว่า รูปแบบต่างๆอันหลากหลายสำหรับผู้คนที่หลายหลาก จากเวที หรือพื้นที่สาธารณะ, และอื่นๆ.

และ มันมีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา. คล้ายๆกับเรื่องของสิทธิที่เพิ่งพูดไปไม่กี่นาทีนี้, ซึ่งเป็นตัวอย่างที่น่าเร้าใจ, นั่นคือ เรื่องเกี่ยวกับ"ความตกลงกันหลายฝ่ายในเรื่องของการลงทุน" (the Multilateral Agreement on Investment) (MAI), ซึ่งถูกคิดกันว่าได้รับการเซ็นสัญญากันไปแล้วในเดือนนี้, แต่อันที่จริง ยังไม่ได้มีการทำเช่นนั้นเลย.

การปรึกษาหารือ ซึ่งมีการเจรจากันนั้น ดำเนินไปอย่างเป็นความลับเป็นเวลาประมาณ 3 ปี. โดยสาระแล้ว เป็นยุทธวิธีของบริษัทขนาดใหญ่บริษัทหนึ่ง, พยายามทำให้"นักลงทุนทั้งหลาย" (- ไม่ได้หมายความถึง "คนงานที่ทำงานอยู่ในโรงงาน", แต่หมายถึง"คณะกรรมการควบคุมของบริษัท GE, ของบริษัท Merrill Lynch, และอื่นๆ" -) เพื่อให้สิทธิพิเศษแก่บรรดานักลงทุนทั้งหลาย. นั่นกำลังมีการดำเนินการในลักษณะที่เป็นความลับอยู่ ทั้งนี้เพราะ ผู้คนจำนวนมากได้ถูกนำเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั่นเอง, ซึ่งเป็นชุมชนทางธุรกิจทั้งหมด โดยทราบว่า สาธารณะกำลังเกลียดกลัวมัน.

ดังนั้น เนื่องมาจากเหตุนี้ สื่อต่างๆจึงเก็บมันเอาไว้เป็นความลับ. และมันเป็นความสำเร็จหนึ่งที่น่าตกใจ เพราะในสามปีที่ผ่านมามันยังเงียบเชียบอยู่ได้ เกี่ยวกับ สิ่งที่ทุกๆคนรู้ว่าเป็นชุดของการตัดสินใจหลักอันหนึ่ง, ซึ่งกำลังไปล็อคให้ประเทศต่างๆเข้าสู่การจัดการบางอย่าง และมันจะไปขัดขวางนโยบายสาธารณะ. มาถึงตอนนี้ คุณสามารถจะถกได้ว่ามันเป็นสิ่งที่ดีอันหนึ่ง, หรือเป็นสิ่งที่เลว, คุณสามารถให้เหตุผลสิ่งที่คุณชอบ, แต่ไม่ต้องสงสัยเลยเกี่ยวกับสิ่งที่สาธารณชนกำลังมีปฏิกริยาขึ้นมา, และก็ไม่ต้องสงสัยถึงข้อเท็จจริงที่ว่า สื่อ, ซึ่งก็รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างดีนับมาแต่ต้น ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจ โดยไม่ต้องพูดถึง.

Corporate Watch : ทำอย่างไร บริษัทอย่าง"ไมโครซอฟ"จึงมีกำไรจาก"ข้อตกลงกันหลายฝ่ายในเรื่องของการลงทุน" [the (MAI)], นี้ ?

Noam Chomsky : นั่นคือ พวกเขาสามารถเคลื่อนย้ายทุนได้อย่างเสรี. พวกเขาสามารถที่จะลงทุนที่ไหนก็ได้ที่พวกเขาชื่นชอบ. มันไม่มีข้อจำกัดอะไรเลยในสิ่งที่พวกเขาทำ. ในประเทศหนึ่ง ในเมืองๆหนึ่ง, อย่างที่พูดกัน, Cambridge, Massachusetts, ที่ๆผมอยู่ ที่ผมทำงาน, ซึ่งไม่สามารถที่จะกำหนดหรือบังคับด้วยเงื่อนไขใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการคุ้มครองผู้บริโภค, การควบคุมสิ่งแวดล้อม, การลงทุนและการสงวนเอาไว้เพื่อชนกลุ่มน้อยหรือผู้หญิง, แล้วแต่คุณจะเอ่ยมา ไม่ว่าเงื่อนไขใดๆ, นั่นจะถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น.

แน่นอน ตอนนี้ มันไปไกลแค่ไหนแล้ว ที่จะอาศัยการบีบบังคับมาทำกับมันได้. สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ได้ถูกกำหนดโดยคำพูด. มันไม่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญ, หรือในการแก้ไขหรือแปรญัตติในรัฐธรรมนูญ, ซึ่งยอมให้ทรราชหรือปัจเจกชนโดยเบ็ดเสร็จมีสิทธิต่อคุณภาพและเงื่อนไขความเป็นอยู่ของปัจเจกบุคคล(personhood). มันเป็นเพียงอำนาจ, ไม่ได้มีข้อความใดๆ.

สิ่งที่"ข้อตกลงกันหลายฝ่ายในเรื่องของการลงทุน" [the (MAI)] หมายถึงในเชิงปฏิบัติ ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ต่างๆเชิงอำนาจที่เป็นอยู่, ดังที่ผู้คนทั้งหลายได้คัดค้านมันอย่างแข็งขัน พวกเขาจะไม่ยินยอมให้มันเกิดขึ้นมาได้, บางครั้งพวกเขาก็ทำโดยการก่อจลาจลต่างๆ หรืออะไรอื่นๆ. ดังนั้น สิ่งเหล่านั้นจึงเป็นข้อสรุปต่างๆ ซึ่งพวกเขากำลังทำอยู่ เพื่อที่ไปกำหนดหรือไปบีบบังคับมัน.

แก่นสำคัญอย่างยิ่งอันหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ สิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "ผลที่ทำให้ฟันเฟืองหันไปในทิศทางเดียวกัน"; ซึ่งมีอยู่ในกฎหมายนั้น มันได้รับการยินยอมให้ทำเช่นนั้นได้, แต่มันจะต้องถูกขจัดออกไปในเวลาต่อจากนี้ไป. มันจะต้องถูกหมุนกลับ. ทั้งนี้เพราะ มันไม่มีบทบัญญัติใหม่ทางกฎหมายใดสามารถถูกนำมาเสนอ โดยที่ขัดแย้งกับสิทธิต่างๆของ"ไมโครซอฟ"ที่จะกระทำสิ่งใดๆ ตามที่พวกเขาต้องการในเวทีนานาชาติ, หรือภายในประเทศ.

นับจากเวลาต่อจากนี้ไป มีการทึกทักว่า มันจะมีผลไปในทิศทางเดียวกันนี้, ที่จะเปลี่ยนหรือหมุนโลกไปมากยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งอยู่ในมือของทรราชทางธุรกิจเอกชนตัวหลักๆ, อย่าง ไมโครซอฟ, กับพันธมิตรของพวกเขา.

Corporate Watch : นักเศรษฐศาสตร์ Brian Arthur อ้างว่า ด้วยธรรมชาติการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว, จะไม่มีใครสามารถที่จะยังคงรักษาตำแหน่งของการผูกขาดได้อย่างยาวนาน, ดังนั้น พลังการผูกขาดในด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยี จึงมีความแตกต่างไปกว่าสิ่งที่เราเคยพบเห็นกันในประวัติศาสตร์, และนั่นเป็นเหตุผลที่ไม่ต้องกังวลใจแต่อย่างใด.

Noam Chomsky : แต่มันไม่เคยมีพลังอำนาจของการผูกขาด, และมันหายากเต็มทนที่จะมีพลังอำนาจในการผูกขาด. ให้เราลองมาดูกันที่"ระบบอำนาจรวมศูนย์ต่างๆ", อย่างเช่น อุตสาหกรรมด้านพลังงาน. ทว่า พวกนั้นไม่ได้พูดว่าเป็นการผูกขาดลงไปตรงๆ. "บริษัทเชลล์"กับ"บริษัทเอ็กซ์ซอน"คือคู่แข่งขัน. อันนี้เป็นระบบการจัดการเกี่ยวกับการบริหาร, โดยอำนาจรัฐอันใหญ่โต ได้เข้าไปมีส่วนในผลประโยชน์ต่างๆของการรวมตัวกันของทรราชทางธุริกจเอกชนรายเล็กรายน้อยต่างๆ.

มันแทบจะหาไม่พบเอาเลยเกี่ยวกับการผูกขาดที่แท้จริง. บริษัท AT&T เป็นบริษัทผูกขาดอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง, นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมมันจึงสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ อย่างเช่น ทรานซิสเตอร์ขึ้นมาได้. มันเป็นการผูกขาดอันหนึ่ง, ด้วยเหตุดังนั้น พวกเขาจึงสามารถที่จะขายในราคาที่สูง. แต่นั่น แน่นอน เป็นเรื่องที่ไม่ปกติ.

Corporate Watch : คุณคิดว่า ประเด็นปัญหาทั้งหมดเกี่ยวกับการผูกขาด เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ควรให้ความเอาใจใส่ใช่ไหม ?

Noam Chomsky : สิ่งเหล่านี้เป็นภาวะที่เรียกว่า oligopolies หรือ "ภาวะการตลาดที่มีผู้ค้าอยู่เพียง 2-3 ราย"; พวกเขาคือคนกลุ่มเล็กๆของระบบอำนาจรวมศูนย์ ซึ่งได้รับการรวมตัวกันกับอีกกลุ่มหนึ่ง. ถ้าหากว่ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในกลุ่มเหล่านี้ ได้มีโอกาสเข้ามาควบคุมทั้งหมดของระบบบางอย่าง, เป็นไปได้ว่าพลังกลุ่มอื่นๆ จะไม่ยินยอมให้เป็นเช่นนั้น. ในข้อเท็จจริง, นั่นคือสิ่งที่คุณกำลังพบเห็น.

Corporate Watch : ด้วยเหตุนี้ คุณจึงไม่คิดว่า Bill Gates เป็น John D. Rockefeller สมัยใหม่ใช่ไหม ?

Noam Chomsky :John D. Rockefeller ไม่ใช่นักผูกขาด. Standard Oil ไม่ได้หมุนหรือเดินเครื่องจักรอุตสาหกรรมในประเทศทั้งหมด; แม้ว่าพวกเขาจะพยายามก็ตาม. ทั้งนี้เพราะ ศูนย์กลางพลังอำนาจอื่นๆไม่ต้องการที่ยอมให้เป็นเช่นนั้น พวกเขาจะไม่ยอมให้อำนาจในหมู่พวกเขาไปตกอยู่กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง.

Corporate Watch : ถ้าเช่นนั้น ตามข้อเท็จจริง, อาจบางทีมันเป็นไปในลักษณะแนวขนานระหว่าง Gates และ Rockefeller ใช่หรือไม่ ?

Noam Chomsky : ให้เรามาคิดกันถึงระบบศักดินากันดู. คุณมีเหล่าบรรดา กษัตริย์ เจ้าชาย ขุนนาง บาทหลวง และอื่นๆ. ส่วนใหญ่แล้วมิได้ต้องการอำนาจในลักษณะรวมศูนย์เอาไว้ทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวแต่อย่างใด, พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้ต้องการเป็นผู้เผด็จการหรือทรราชเพียงคนเดียว. พวกเขาแต่ละคนมีศักดินาหรือที่ดินของตนเอง ซึ่งต้องการที่จะธำรงรักษาให้อยู่ในระบบอันหนึ่งของอำนาจรวมศูนย์ที่สูงกว่า. พวกเขาเพียงต้องการที่จะทำให้เกิดความมั่นใจว่า ประชากร หรือที่ถูกเรียกขานว่า "ฝูงคนที่ไร้ระเบียบ" (rabble หมายถึง "ฝูงสัตว์" ก็ได้) ยังเป็นส่วนหนึ่งของมัน. มันเป็นด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมานี้ถึงข้อสงสัยเกี่ยวกับการผูกขาด - ผมไม่ได้ต้องการที่จะกล่าวว่ามันไม่สำคัญ - แต่มันไม่ใช่ประเด็นหลักของปัญหานี้อย่างแน่นอน.

อันที่จริง ไม่น่าเป็นไปได้ที่การผูกขาดอย่างบริสุทธิ์จะสามารถยืนยงอยู่ได้. จำไว้ว่า เทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปนี้ ซึ่งกำลังมีการพูดถึงกัน มันเป็นเทคโนโลยีที่กำลังครอบงำไปทั่ว ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นมาด้วยการริเริ่มและค่าใช้จ่ายของสาธารณชน. เหมือนกับอินเตอร์เน็ทในท้ายที่สุด, 30 ปีของการพัฒนาโดยสาธารณชน และแล้วก็ได้ส่งต่อไปให้กับอำนาจเอกชน. นั่นคือ ระบบทุนนิยมการตลาด.

Corporate Watch : มันได้มีการเคลื่อนย้ายจากสาธารณชนไปสู่อาณาจักรส่วนตัวได้อย่างไร และได้เปลี่ยนแปลงระบบอินเตอร์เน็ทไปอย่างไร ?

Noam Chomsky : ตราบเท่าที่อินเตอร์เน็ทยังอยู่ภายใต้การควบคุมของเพนตากอน, มันก็เป็นของฟรี. ผู้คนสามารถใช้มันได้อย่างอิสระ(เพื่อ)การแบ่งปันข้อมูล. ซึ่งมันยังคงเป็นจริงอยู่อย่างนั้น เมื่อมันยังคงอยู่ภายในส่วนงานของรัฐที่เกี่ยวกับองค์กรวิทยาศาสตร์แห่งชาติ.

มาถึงราวๆปลายปี 1994, ผู้คนชอบพูดกันว่า, Bill Gates ไม่มีผลประโยชน์หรือความสนใจในอินเตอร์เน็ท. เขาไม่เคยไปเข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย, เพราะ เขาไม่เห็นช่องทางใดๆเกี่ยวกับการทำกำไสำหรับเรื่องนี้. มาถึงปัจจุบัน มันกำลังถูกส่งไปให้กับบริษัทเอกชนต่างๆ, และพวกเขาได้บอกกับคุณอย่างไพเราะและน่ารักมากว่า อะไรที่พวกเขาต้องการจะทำ.

พวกเขาต้องการมีส่วนร่วมอย่างยิ่งใหญ่กับอินเตอร์เน็ท และตัดมันออกจากขอบเขตของสาธารณชนพร้อมกันไปด้วย, และเปลี่ยนมันไปสู่ระบบอินทราเน็ท(intranet ซึ่งหมายถึง ระบบเครือข่ายการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์ที่เป็นส่วนตัว ถูกสร้างขึ้นมาโดยอาศัยซอล์ฟแวร์ของระบบ World wild web). ซึ่งได้รับการล้อมรั้วออกมาด้วยระบบ firewall (ส่วนหนึ่งของระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายซึ่งได้รับการออกแบบขึ้นมาเพื่อป้องกันผู้ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลเข้ามาได้ ขณะที่ยอมให้มีการสื่อสารกับภายนอกได้), และใช้กันเพียงเพื่อสำหรับการปฏิบัติการภายในบริษัทต่างๆเท่านั้น. พวกเขาต้องการควบคุมการเข้าถึงข้อมูล และนั่นคือส่วนใหญ่ของความพยายามของไมโครซอฟ: คือ ควบคุมการเข้าถึงในช่องทางนั้นที่ผู้คนซึ่งเข้าไปในอินเตอร์เน็ท จะได้รับการแนะนำถึงสิ่งต่างๆที่"พวกเขา"ต้องการ, เหมือนกันกับ"การบริการสินค้าตามบ้าน", หรือนันทนาการ, หรือบางสิ่งบางอย่างที่ปรารถนา. ถ้าหากว่าคุณรู้แน่ๆว่า อะไรที่คุณต้องการจะค้นหา, และมีข้อมูลและพลังงานมากพอ, คุณก็อาจสามารถที่จะค้นพบสิ่งที่คุณต้องการได้. ทว่า พวกเขาต้องการทำให้มันยุ่งยากเท่าที่จะเป็นไปได้. และนั่นเป็นเรื่องที่เป็นธรรมชาติอย่างสมบูรณ์แบบ. ถ้าหากว่าคุณคือคณะกรรมการของผู้ควบคุมดูแลของไมโครซอฟ, แน่นอน, นั่นคือสิ่งที่คุณจะพยายามที่จะทำมัน.

นั่นคือสิ่งที่คุณก็รู้, สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้. สถาบันที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องของสาธารณชน ได้สร้างสิ่งที่เป็นสาธารณะอันหนึ่งขึ้นมา ซึ่งสามารถที่จะได้รับการเก็บรักษาเอาไว้ภายใต้การควบคุมของสาธารณชน. แต่นั่นมันเป็นงานที่หนักมากในทุกๆระดับ, นับตั้งแต่สภาคองเกรสส์เรื่อยลงมาจนถึงองค์กรท้องถิ่น, สหภาพต่างๆ, กลุ่มพลเมืองหลายหลาก ซึ่งจะต่อสู้ดิ้นรนกับมัน ในวิธีการตามปกติทุกๆอย่าง.

Corporate Watch : มันจะมีหน้าตาเหมือนอะไร ถ้าหากว่ามันอยู่ภายใต้การควบคุมของสาธารณชน ?

Noam Chomsky : ดูเหมือนว่า มองดูแล้วจะคล้ายๆกับที่มันเคยทำมาก่อน, ยกเว้นการสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากๆ เพราะผู้คนจำนวนมากจะมีโอกาสเข้าถึงมันได้. และโดยไม่การจำกัดอะไรเลย. ผู้คนทั้งหลายสามารถที่จะใช้มันได้อย่างเสรี. นั่นได้กระทำกันอยู่แล้ว ตราบเท่าที่มันยังอยู่ในอาณาเขตของสาธารณชน. มันไม่ได้สมบูรณ์แบบ, แต่ก็มีสิทธิไม่มากก็น้อยเกี่ยวกับโครงสร้าง. ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ไมโครซอฟและบริษัทอื่นๆต้องการที่จะทำลายมันลง.

Corporate Watch : และตอนที่คุณกล่าวว่า, คุณกำลังอ้างถึงอินเตอร์เน็ทดังที่มันเป็นมาเมื่อ 15 ปีที่แล้ว Noam Chomsky : เรากำลังเจาะจงพูดถึงถึงเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ท. แต่โดยทั่วไป สื่อนั้น ส่วนใหญ่แล้วมันเป็นเรื่องของศตวรรษนี้, และเพิ่มมากขึ้นมาในไม่กี่ปีนี้เอง, ที่ตกอยู่ภายใต้พลังอำนาจของบริษัท. ทว่า นั่นก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น. มันไม่เป็นอย่างนั้นสักเท่าใด.

เราไม่ต้องย้อนกลับไปไกลมากเพื่อค้นหาความแตกต่าง. เช่นเดียวกับเมื่อตอนทศวรรษที่ 1950 หรือประมาณ 50 ปีมานี้, ซึ่งมีคนงานประมาณ 800 คนที่ทำหน้าที่ส่งหนังสือพิมพ์ไปถึงคนจำนวน 20-30 ล้านคนในแต่ละสัปดาห์, ด้วยแง่คิดหรือทัศนะที่ต่างกันมาก. ถ้าคุณย้อนกลับไปยิ่งกว่านั้น, ฐานชุมชน และฐานแรงงาน และสื่ออื่นๆ โดยพื้นฐานแล้วมีความคาดหวังเกี่ยวกับบริษัทด้านสื่อในช่วงต้นๆของศตวรรษนี้. สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่กฎธรรมชาติ, มันเป็นเพียงผลของการรวมศูนย์ของอำนาจที่ได้รับการยินยอมให้โดยรัฐ โดยผ่านกิจกรรมทางกฎหมายและแรงกดดันของเอกชนต่างๆ, ซึ่งสามารถถูกทำให้พ่ายแพ้ หรือจะมีชัยชนะก็ได้.

Corporate Watch : ดังนั้น การให้ความเอาใจใส่เพิ่มขึ้นในเรื่องเทคโนโลยี ที่เรากำลังจับตามองอยู่กับบริษัทไมโครซอฟและบริษัทอื่นๆเหล่านี้, และเปรียบเทียบกับการรวมตัวของบริษัทต่างๆ(mergers)เมื่อเร็วๆนี้ ในการปกป้องหรือสร้างป้อมปราการขึ้นมา, ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสื่อ, บริษัทประกัน, อุตสาหกรรมธนกิจต่างๆ, และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริบทของโลกาภิวัตน์ คุณกำลังดูว่า มันเป็นก้าวใหม่ในลัทธิทุนนิยมโลกาภิวัตน์ หรือเรื่องๆนี้มันเป็นเพียง ความต่อเนื่องของการทำธุรกิจที่เป็นตามปกติเท่านั้น ใช่ไหม ?

Noam Chomsky : โดยมาตรการหยาบๆ, โลกาภิวัตน์ร่วมสมัยมันกำลังนำพาโลกของเราหวนกลับไปสู่สิ่งที่เป็นมาเมื่อประมาณหนึ่งศตวรรษที่แล้ว. ในช่วงต้นของศตวรรษดังกล่าว, ภายใต้พื้นฐานการครอบงำและอิทธิพลของสหราชอาณาจักรและมาตรฐานทองคำ, ถ้าหากว่า คุณดูที่จำนวนหรือปริมาณทางการค้า, และถัดจากนั้นมาดูที่การไหลเลื่อนของเงินตรา, และอื่นๆ, สัมพันธ์กับขนาดของเศรษฐกิจ, เราก็กำลังย้อนกลับไปยังจุดนั้นเอามากๆเลยทีเดียวสำหรับตอนนี้ หลังจากความเสื่อมทรามลงระหว่างสงครามโลกทั้งสองครั้ง ปัจจุบัน มันมีบางอย่างที่ต่างออกไป ยกตัวอย่างเช่น ความเร็วเกี่ยวกับการติดต่อกันทางด้านการเงินมันเพิ่มมากขึ้นในช่วง 25 ปีหลังมานี้ โดยผ่านสิ่งที่เรียกกันว่า "การปฏิวัติการสื่อสารทางไกลต่างๆ" หรือtelecommunications revolution, ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เป็นการปฏิวัติภายในหน่วยงานรัฐ. ส่วนมากของระบบดังกล่าวได้รับการออกแบบขึ้นมา, พัฒนา, และบำรุงรักษาด้วยค่าใช้จ่ายของสาธารณชน, ถัดจากนั้นก็ส่งทอดไปสู่ผลกำไรของเอกชน.

พฤติกรรมหรือการกระทำของรัฐยังไปทำลายระบบเศรษฐกิจระหว่างชาติภายหลังสงครามด้วย, ระบบ Bretton Woods ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1970 มันได้รับการรื้อทิ้งโดย Richard Nixon, ด้วยการริเริ่มมาแต่ต้นโดยสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ. ระบบเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ข้อบังคับของการไหลเลื่อนของทุนได้ถูกรื้อถอนลง และนั่น พร้อมด้วยการปฏิวัติการสื่อสารทางไกลที่เริ่มโดยรัฐ ได้น้อมนำไปสู่การระเบิดครั้งใหญ่เกี่ยวกับการเก็งกำไรของกระแสทุน, ซึ่งปัจจุบันนี้มันมีมากกว่าล้านล้านดอลล่าร์ในแต่ละวัน, และส่วนใหญ่แล้ว กระแสทุนที่ไหลไปไหลมานี้ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิตแต่อย่างใดเลย.

ถ้าหากว่าคุณย้อนกลับไปยังราวๆปี 1970, กระแสทุนนานาชาติที่ไหลเลือนไปๆมาๆ ประมาณ 90% สัมพันธ์อยู่กับเศรษฐกิจจริง, คือเป็นเรื่องของการค้าและการลงทุน. แต่มาถึงตอนนี้, ส่วนใหญ่แล้ว มีเปอน์เซนต์น้อยมากที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจจริง(real economy). ส่วนใหญ่แล้วเกี่ยวข้องกับการยักย้ายเงินตรา, การเก็งกำไรค่าเงิน, สิ่งต่างๆซึ่งจริงๆแล้วเป็นการทำลายต่อเศรษฐกิจ. และนั่นคือการเปลี่ยนแปลงอันหนึ่งที่ไม่จริง, ไม่ใช่ไม่จริงมาเมื่อ 100 ปีมาแล้ว, แต่มันไม่จริงเมื่อ 40 ปีมาแล้ว. ดังนั้นมันจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆ. และคุณเองก็สามารถเห็นถึงผลกระทบต่างๆของมันได้.

แน่นอน นั่นเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลสำหรับข้อเท็จจริงเมื่อเร็วๆนี้ที่ว่า, ในช่วง 25 ปีหลัง, นับว่าเป็นช่วงเวลาที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างเชื่องช้าผิดปกติ, เกี่ยวกับการเจริญเติบโตของผลผลิตที่ต่ำลง, เกี่ยวกับความหยุดนิ่งและความตกต่ำลงมาถึงสองในสามในเรื่องค่าจ้างแรงงานและรายได้ของผู้คน, แม้แต่ในประเทศที่ร่ำรวยเช่นนี้. และเกิดกำไรที่สูงขึ้นเป็นอย่างมากในส่วนของประชากรจำนวนที่น้อยมากๆ. และมันเป็นเรื่องซึ่งเลวร้ายในโลกที่สาม.

คุณสามารถอ่านได้ในนิตยสาร New York Times, ในบทนำประจำสัปดาห์ซึ่งเป็นการแสดงความคิดเห็นเมื่อไม่นานมานี้ ที่ว่า ชาวอเมริกันกำลังรุ่งเรืองขึ้นและมีความสุข. และคุณก็มองไปที่ชาวอเมริกันทั้งหลาย เกี่ยวกับสิ่งที่บทนำประจำสัปดาห์นี้กล่าวถึง, มันแสดงให้เห็นว่า มันไม่ใช่ผู้คนสองในสามอย่างคร่าวๆของจำนวนประชากร ซึ่งรายได้ต่างๆของพวกเขากำลังนิ่งอยู่กับที่หรือกำลังลดน้อยถอยลง, แต่มันเป็นผู้คนซึ่งเป็นเจ้าของทรพัย์สินต่างๆที่กำลังรุ่งเรืองและมีความสุขเพิ่มขึ้น.

ดังนั้น, แน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเขากำลังทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก, เว้นแต่ว่าเพียง 1% ของคนทั่วไป มีสินค้าอยู่ในมือประมาณ 50%, และมันก็เป็นแบบเดียวกันนี้กับทรัพย์สินในด้านอื่นๆด้วย. ที่เหลือส่วนใหญ่ถูกเป็นเจ้าของโดยคนที่อยู่ข้างบนราว 10% ของจำนวนประชากร. แน่นอน, ด้วยเหตุดังนั้น ชาวอเมริกันจึงกำลังมีความสุข, และอเมริกันกำลังเจริญรุ่งเรือง, ถ้าเผื่อว่าชาวอเมริกันอย่างที่นิตยสาร New York Times หมายถึงอันนี้. มันคือชนชั้นนำจำนวนน้อยในแวดวงแคบๆที่พวกเขาพูดถึง.

Corporate Watch : พวกเราได้ให้ความสนใจและอยากรู้เกี่ยวกับศักยภาพของการสื่อสารที่มากขึ้นๆอันนี้, และข้อเท็จจริงเรื่องของซอฟท์แวร์, ในฐานะที่เป็นช่องทางหนึ่งของการทำสิ่งต่างๆซึ่งนำพาคุณค่าต่างๆทางวัฒนธรรม, และมีผลกระทบต่อเรื่องของภาษาและการรับรู้. และผลกระทบชนิดใดที่แผ่ไปทั่ว สำหรับเทคโนโลยีที่มีอยู่นี้ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาโดยบริษัทต่างๆ อย่างเช่น ไมโครซอฟ เป็นต้น.

Noam Chomsky : ผมไม่คิดว่ามันจะมีคำตอบอะไรจริงๆจังๆสำหรับเรื่องนั้น. มันขึ้นอยู่กับว่าใครเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย, ใครเป็นคนทำ, ใครมีอิทธิพลต่อทิศทางความเป็นไปของสิ่งต่างๆ, และอื่นๆ. ถ้าหากว่ามันได้รับอิทธิพลและถูกควบคุมโดยบริษัท Disney และคนอื่นๆ มันก็จะสะท้อนความสนใจและผลประโยชน์ของพวกเขาออกมา. ถ้าหากว่ามันเป็นการริเริ่มของสาธารณชนส่วนใหญ่, มันก็จะสะท้อนความสนใจและผลประโยชน์ต่างๆของสาธารณชนออกมา.

Corporate Watch : ด้วยเหตุนี้ มันก็ย้อนกลับไปที่คำถามเกี่ยวกับการหวนกลับมา...

Noam Chomsky : นั่นล่ะคือคำถาม. โดยพื้นฐานที่สุด มันมีคำถามหนึ่งที่ว่า ประชาธิปไตยจะได้รับการยินยอมให้มีอยู่, และในระดับใด. และมันเป็นไปตามธรรมชาติจริงๆที่โลกธุรกิจ, พร้อมด้วยรัฐ, ซึ่งส่วนใหญ่แล้วพวกเขาครอบงำหรือมีอำนาจอยู่, ต้องการที่จะจำกัดความมีประชาธิปไตย. มันคุกคามพวกเขา. มันมักจะคุกคามอยู่เสมอ. นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมเราจึงมีอุตสาหกรรมการประชาสัมพันธ์ขนาดใหญ่โตมากอันหนึ่งที่อุทิศตัวเพื่อ, มาควบคุมความคิดจิตใจของสาธารณชน

แน่นอน, สิ่งแรกสุดที่คุณต้องทำคือ สำรวจว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา. เพราะว่า ถ้าหากคุณไม่มีข้อมูลอันนั้น, คุณก็จะไม่สามารถทำอะไรได้มาก. ยกตัวอย่างเช่น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะคัดค้าน, กล่าวคือ, "ความตกลงกันหลายฝ่ายในเรื่องของการลงทุน" (the Multilateral Agreement on Investment) ถ้าเผื่อว่าคุณไม่รู้ว่ามันมีอยู่ เป็นต้น. นั่นคือประเด็นสำคัญเกี่ยวกับเรื่องความลับ. คุณไม่สามารถที่จะต่อต้านรูปแบบที่มีลักษณะเฉพาะของโลกกาภิวัตน์ที่กำลังเกิดขึ้นได้, เว้นแต่ว่าคุณจะเข้าใจมัน.

คุณจะต้องไม่เพียงอ่านพาดหัวหนังสือพิมพ์ ซึ่งพูดถึงชัยชนะของเศรษฐกิจการตลาด, แต่คุณยังจะต้องอ่านสิ่งที่ Alan Greenspan พูด, ซึ่งเป็นประธานธนาคารกลางของสหรัฐฯ(the Federal Reserve), เมื่อเขากำลังพูดอย่างเป็นการภายใน; ตอนที่เขากล่าวว่า, ดูความแข็งแรงของเศรษฐกิจที่ขึ้นอยู่กับความสัมฤทธิผลที่ยอดเยี่ยมนี้ซิ ซึ่งพวกเราได้สร้างขึ้นมา, นั่นคือ "ความไม่มั่นคงของคนงาน"(worker insecurity). นั่นเป็นศัพท์ของเขา. ความไม่มั่นคงของคนงาน - นั่นคือการไม่รู้ว่า พอวันพรุ่งนี้คุณจะยังมีงานทำอยู่อีกหรือไม่ ? นั่นคือผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่มากของความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ เพราะมันจะยังคงรักษาระดับให้ค่าจ้างแรงงานต่ำอยู่เสมอ. มันเป็นสิ่งที่วิเศษมาก: นั่นคือ ยังคงรักษากำไรเพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าจ้างแรงงานต่ำลง.

แน่นอน, แม้ว่าผู้คนจะรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นก็ตาม, แต่พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรกับคนเหล่านี้ได้. ดังนั้น อย่างแรกที่ควรต้องทำก็คือ การสร้างสรรค์อะไรบางอย่างสำหรับพวกเรากันเองขึ้นมา, เพื่อผู้คนทั้งหลาย, ระบบการแลกเปลี่ยนกัน, การปฏิสัมพันธ์, และอื่นๆ. เหมือนอย่างกับการจับตาของ องค์กร Corporate Watch ของพวกคุณ, หรือของ Public Citizen, และกลุ่มสังคมกลุ่มอื่นๆ, ซึ่งได้ทำหน้าที่จัดหาหรือตระเตรียมข้อมูลข่าวสารและความเข้าใจ, ให้อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่มี.

หลังจากนั้น องค์กรเหล่านี้จะต้องต่อสู้กับสิ่งที่พูดถึงในหลายๆช่องทาง ซึ่งเปิดโอกาสให้กับกลุ่มองค์กรต่างๆ. พวกคุณมีสิทธิที่จะทำได้โดยผ่านการกดดันต่อรัฐสภา, หรือการเดินขบวนต่างๆ, หรือการสร้างสถาบันทางเลือกต่างๆขึ้นมา(alternative institutions). และในความเห็นของผม มันควรมีเป้าหมาย ไม่ใช่เพียงปัญหาแคบๆเท่านั้น อย่างเช่นการขัดขวางการผูกขาด, แต่ต้องรวมไปถึงปัญหาต่างๆที่ลึกซึ้งด้วย, อย่างเช่น ทำไม"ทรราชเอกชน" จึงมี"สิทธิต่างๆ"ด้วยประการทั้งปวง เป็นต้น.

Corporate Watch : คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับศักยภาพของสื่อทางเลือกทั้งหมด(alternative media) ซึ่งกำลังเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วบนระบบอินเตอร์เน็ท, ขอให้ช่วยให้ภาพเกี่ยวกับแนวโน้มในปัจจุบันนี้ที่แพร่หลายไปทั่วด้วย ?

Noam Chomsky : นั่นเป็นสาระอันหนึ่งของการปฏิบัติการ, ไม่ใช่เพื่อการเก็งกำไร. มันก็คล้ายๆกับการตั้งคำถามเมื่อ 40 ปีมาแล้วที่ว่า อะไรคือความเป็นไปได้เกี่ยวกับการที่เรามีระบบดูแลสุขภาพขนาดเล็ก อย่าง Medicare ? (midicare ในสหรัฐอเมริกา, หมายถึงระบบหนึ่งของรัฐ เกี่ยวกับการประกันสุขภาพสำหรับคนที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป). สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ หากว่าผู้คนร่วมกันต่อสู้สำหรับพวกเขา. โลกธุรกิจ, ไมโครซอฟ, มันเป็นเรื่องของความสำนึกทางชนชั้น สูงมาก. โดยพื้นฐานแล้ว เป็นพวกมาร์กซิสท์ธรรมดาทั่วๆไป, ผู้ซึ่งมองว่าพวกเขาเองนั้นผูกพันอยู่กับการต่อสู้ทางชนชั้นที่ขมขื่น. แน่นอน พวกเขามักจะทำอย่างนั้นเสมอ. คำถามก็คือ พวกเขามีพื้นที่สำหรับพวกเขาเองหรือไม่. และคำถามที่ลึกกว่านั้นก็คือ พวกเขาควรได้รับการยินยอมที่ให้เข้าไปมีส่วนร่วมหรือไม่; สำหรับผมแล้ว เห็นว่า พวกเขาไม่ควร.

Corporate Watch's Anna Couey and Joshua Karliner caught up with Noam Chomsky by telephone at his home in the Boston area to ask him about Microsoft and Bill Gates. The following is a transcript of our far ranging conversation.

กลับไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com