มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ
Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
สนใจสมัครเป็นสมาชิก
กรุณาคลิก member page
ส่วนผู้ที่ต้องการดูหัวข้อบทความ
ทั้งหมด ที่มีบริการอยู่ขณะนี้
กรุณาคลิกที่ contents page
และผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
หรือประกาศข่าว
กรุณาคลิกที่ปุ่ม webboard
ข้างล่างของบทความชิ้นนี้
หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
midnightuniv(at)yahoo.com
QUOTATION
เวลาที่นักปรัชญาพูดถึง"ความน่าเกลียด" ทำให้คนทั่วไปอย่างเรารู้สึกว่า "ความน่าเกลียด
ไม่ใช่อะไรอย่างที่เราเข้าใจเสียแล้ว" เป็นเพราะพวกเขาพิจารณามันอย่างรอบคอบและถกเถียงกันมานานในประวัติศาสตร์
ความน่าเกลียด"ไม่เคยมีอยู่เลยในธรรมชาติ
เพราะมันถูกสร้างขึ้นโดยพระผู้เป็นเจ้าซึ่งพระองค์คือองค์แห่งสัมบูรณภาพ, แต่มันมีอยู่ในสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น
เพราะมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่สมบูรณ์...
(ตัดมาบางส่วนจากบทความ)
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ 241 เดือนกุมภาพันธ์ 2546 "บนเส้นทางของความน่าเกลียด"
ว่าด้วยเรื่องของสุนทรียศาสตร์
สมเกียรติ ตั้งนโม : เรียบเรียง, (กระบวนวิชาปรัชญาศิลปะ และ ศิลปวิจารณ์) คณะวิจิตรศิลป์
มช.
Jerome
Stolnitz
ประวัติศาสตร์ความน่าเกลียดในสุนทรียศาสตร์
บนเส้นทางของความน่าเกลียด
: ว่าด้วยเรื่องของสุนทรียศาสตร์
สมเกียรติ ตั้งนโม
: เรียบเรียง
(บทความนี้ยาวประมาณ 13 หน้ากระดาษ A4)
...เวลาที่นักปรัชญาพูดถึง"ความน่าเกลียด"
ทำให้คนทั่วไปอย่างเรารู้สึกว่า "ความน่าเกลียด ไม่ใช่อะไรอย่างที่เราเข้าใจเสียแล้ว"
เป็นเพราะพวกเขาพิจารณามันอย่างรอบคอบและถกเถียงกันมานานในประวัติศาสตร์...
...ความน่าเกลียด"ไม่เคยมีอยู่เลยในธรรมชาติ
เพราะมันถูกสร้างขึ้นโดยพระผู้เป็นเจ้าซึ่งพระองค์คือองค์แห่งสัมบูรณภาพ,
แต่มันมีอยู่ในสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เพราะมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่สมบูรณ์...
บทนำ
เรื่องความน่าเกลียด
สุนทรียศาสตร์บ่อยครั้งได้รับการอธิบายว่าเป็นการศึกษาทางด้านปรัชญาเกี่ยวกับเรื่องของความงาม
แต่ในความเป็นจริง มันยังศึกษาถึงความน่าเกลียดด้วย อันนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญนับตั้งแต่เริ่มต้นเลยทีเดียว
ซึ่งเราจะมาดูถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องในนิยามความหมายอันคุ้นเคยนี้
สำหรับการก่อรูปก่อร่างเป็นทัศนะอันหนึ่งขึ้นมา
เกี่ยวกับ"ความน่าเกลียด" กล่าวได้ว่ามันมีบทบาทบทบาทสำคัญไม่น้อยในทฤษฎีสุนทรียภาพ
ในบทความชิ้นนี้ถือว่า"ความน่าเกลียด"เป็นต้นตอสำคัญของการต่อสู้ในข้อโต้แย้งต่างๆทางประวัติศาสตร์ในปรัชญาศิลปะ
ซึ่งสิ่งแรกที่เราควรบันทึกเอาไว้เกี่ยวกับทัศนะอันนี้ในสุนทรียศาสตร์ก็คือ
"ความน่าเกลียด"จัดเป็นเรื่องที่น่าสนใจประเภทหนึ่งที่บรรจุอยู่ในทฤษฎีสุนทรียภาพ
เพราะ"ความน่าเกลียด"เป็นการระบุถึง"คุณค่าเชิงลบของสุนทรียภาพ"(aesthetic
disvalue) เช่นดังที่ความงามเป็นการระบุถึงคุณค่าสุนทรียภาพในเชิงบวก
(หมายเหตุ : คำว่า disvalue คำนี้เกิดขึ้นมาใช้กันในปี
ค.ศ.1603 แปลว่า undervalue, to consider of little value, a negative value)
ด้วยเหตุนี้ ทั้งความน่าเกลียดและความงามจึงเป็นขั้วตรงข้ามทางด้านคุณค่าอันหนึ่งซึ่งอุปมาแล้วเหมือนกับ"ถูก"และ"ผิด"ในทางจริยธรรม หรือ"จริง"และ"ไม่จริง"(truth and falsehood)ในญานวิทยานั่นเอง
ท่ามกลางวัตถุต่างๆที่มีการรับรู้, มันมีบางสิ่งบางอย่างอันเป็นคุณค่าเชิงสุนทรีย์ในเชิงลบ. อันนี้มิได้หมายความว่าวัตถุสิ่งของเหล่านั้น ขาดเสียซึ่งอัตลักษณ์ต่างๆอย่างง่ายๆ โดยคุณความดีของสิ่งนั้นๆที่เป็นเรื่องความงาม แต่มันหมายความว่า สิ่งซึ่งพวกมันครอบครองเอาไว้เป็นคุณสมบัติต่างๆ มันเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกันกับสิ่งซึ่งพบได้ในวัตถุสิ่งของต่างๆที่มีความงาม
ความสัมพันธ์ระหว่างความงามและความน่าเกลียด
ความสัมพันธ์ระหว่าง"ความงาม"และ"ความน่าเกลียด"
ได้ถูกรับหรือรู้เข้าใจร่วมกันในเทอมต่างๆของพวก"สุขนิยม"(hedonistic terms),
นั่นคือ, ขณะที่วัตถุที่มีความงามอันหนึ่งเป็นแหล่งต้นตอที่มาของความพึงพอใจในตัวผู้ดู,
วัตถุที่น่าเกลียดได้ปลุกหรือกระตุ้นสิ่งที่เป็นไปในทางตรงข้าม, นั่นคือความเจ็บปวด
ในตัวอย่างของวัตถุหรือสิ่งของซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก, เพลโตได้นำเอาเรื่อง"ความงาม"มาเป็นเรื่องของ"ความพึงพอใจ"เป็นประจำ(Hippias Major 297-299, Philebus 50-52, Laws II). ในส่วนของอริสโตเติลก็เช่นกัน เขาได้กระทำกับทัศนะอันนี้อยู่ตลอด, และในการศึกษาของเขาเกี่ยวกับรูปแบบต่างๆทางศิลปะโดยเฉพาะ (ที่เด่นๆคือ โศกนาฏกรรม) เขาถือว่า มันคือบทบาทหน้าที่ที่เหมาะสมเกี่ยวกับรูปแบบต่างๆเหล่านี้ที่ได้สร้างสรรค์ความพึงพอใจขึ้นมา
กระนั้นก็ตามเป็นที่ชัดเจน ในงานคลาสสิคของเขาในเรื่อง Poetics เขาต้องประสบกับปัญหาโดยดูเหมือนว่า มีความขัดแย้งระหว่างทัศนะอันนี้เกี่ยวกับ"ศิลปะ" กับ "ข้อเท็จจริงในเชิงประจักษ์"ที่ว่า ผลงานต่างๆทางศิลปะ บ่อยครั้ง เป็นตัวแทนวัตถุสิ่งของ และเหตุการณ์ต่างๆที่เป็นสิ่งที่น่าเกลียด
อันดับแรก อริสโตเติลได้ยกคำถามขึ้นมาในการพิจารณาเกี่ยวกับแบบฉบับของทัศนศิลป์ที่เขียนภาพสิ่งต่างๆ "ซึ่งในตัวของมันเองนั้น เรามองดูมันด้วยความปวดร้าว"(IV). แต่อย่างไรก็ตาม, เขาไม่ได้สงสัยว่า จิตรกรรมในตัวของมันเองได้กระตุ้นความพึงพอใจ, มันเป็นปรากฏการณ์อันหนึ่งที่ได้ถูกอธิบาย โดการยกระตุ้นความสนใจทางด้านสิติปัญญาของเราและทำให้เราเกิดการจำได้หมายรู้เกี่ยวกับวัตถุหรือเนื้อหาอันนั้น(V)
เมื่อเราลองมาพิจารณาถึง"หัสนาฏกรรม"(comedy) เราจะเห็นว่า"หัสนาฏกรรม"เป็นการเลียนแบบมนุษย์ที่เป็นพวกไพร่,ต่ำช้า และด้วยเหตุนี้ จึงเป็นสิ่งที่น่าเย้ยหยัน; และแม้ว่าอันนี้จะเป็นชนิดหนึ่งของความน่าเกลียด, แต่หัสนาฏกรรม, สำหรับเหตุผลต่างๆนั้น แม้ว่าอริสโตเติลไม่ได้ระบุลงไป, แต่มันก็ได้เก็บรักษาตัวของมันเอาไว้ไกลห่างจากเรื่องของความเจ็บปวด
มาดูกันที่โศกนาฏกรรม(tragedy)บ้าง แนวเรื่องของโศกนาฏกรรมนั้น แม้ว่าตัวละครตัวสำคัญจะเป็นคนดี ซึ่งต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบาก, แต่ในท้ายที่สุด ส่วนใหญ่แล้วตัวละครหลักนั้นก็จะประสบผลสำเร็จ. ด้วยเหตุนี้ โศกนาฏกรรมจึงเป็นเพียงการช็อคหรือสร้างความตกอกตกใจให้กับอารมณ์เท่านั้น (XIII)
อริสโตเติลได้ริเริ่มให้เหตุผลข้อโต้แย้งในสิ่งที่ขัดกับทัศนคติของคนทั่วไปเกี่ยวกับโศกนาฏกรรม(paradox of tragedy) ซึ่งยังคงหลงเหลือมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ดังที่ได้แสดงให้เห็นแล้ว นั่นคือ ข้อสรุปที่ฟังดูขัดๆ(paradox)อันนี้ ไม่ใช่กรณีตัวอย่างอันเดียวของปัญหาเกี่ยวกับเรื่อง"ความน่าเกลียด"ในงานศิลปะ, แต่มันได้พูดถึงปัญหาได้อย่างแหลมคมที่สุด, เป็นเพราะ โศกนาฏกรรมเกือบจะเป็นเพียงลักษณาการทางศิลปะ ที่ซึ่งเนื้อหาสาระของมันเป็นเรื่องของความเศร้าโศกเสียใจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หรือชวนให้เกิดความสงสาร แต่กลับสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ชม คำถามก็คือว่า "ทำไมพวกเราจึงพึงพอใจและยกย่องสรรเสริญเรื่องเล่า หรือคำบรรยายเกี่ยวกับความชั่วร้ายและความทุกข์ทรมานเหล่านี้ ?"
คุณค่าต่างๆในเชิงกวีเกี่ยวกับวรรณกรรรมโศกนาฏกรรม, ความกล้าหาญอันสูงส่งของบรรดาวีรบุรุษ, ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง, และปัญญาญาน, สิ่งต่างๆเหล่านี้ผู้อ่านวรรณกรรมล้วนสามารถสัมผัสถึงมันได้ - เพราะสิ่งเหล่านี้ดำรงอยู่ท่ามกลางทางออกหรือการแก้ปัญหาอันเป็นปกติของข้อสรุปที่ฟังดูขัดกัน(paradox). ผู้อ่านได้มีการพิจารณาเรื่อง"ความน่าเกลียด"ในฐานะที่เป็นเพียงแง่มุมอันหนึ่งของผลงานทางด้านศิลปะ, สำหรับพวกเขาทั้งมวลยอมรับและแสดงให้เห็นว่า, "ความน่าเกลียด"ทั้งหมดภายในผลงานนั้น, ด้วยเหตุผลบางประการ, มันได้ถูกทำให้อยู่เหนือขึ้นไป(transcended).
ขอให้เรามาพิจารณาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับสมมุติฐานซึ่งมีอยู่ก่อนแล้วอันหนึ่งคือ "เนื้อหา" อย่างเช่น แบบจำลองของพล๊อทเรื่องโศกนาฏกรรมคือ"ความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน". "ความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน"นั้น อันที่จริงมันเทียบได้กับ"ความน่าเกลียด"
ความน่าเกลียดเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่
ทัศนะของออกัสติน
ตลอดประวัติศาสตร์ทฤษฎีสุนทรียศาสตร์ตะวันตก, "ความน่าเกลียด"ได้ถูกนำมาสนทนากันส่วนใหญ่โดยบรรดานักปรัชญาทั้งหลาย
ผู้ซึ่งปฏิเสธเกี่ยวกับสมมุติฐานอันนี้อย่างชัดถ้อยชัดคำ. พวกเขาปรารถนาที่จะยึดถือว่า
"ความน่าเกลียด"มิได้ดำรงอยู่หรือมีอยู่, และเมื่อข้อสรุปของพวกเขาสวนทางกันกับความเชื่อดั้งเดิม,
พวกเขาจึงถูกบังคับให้พิสูจน์และแสดงเหตุผล
ในความคิดของนักบุญออกัสติน, ความไม่เป็นจริงของ"ความน่าเกลียด"ได้ถูกกำชับโดยหลักคำสอนต่างๆในทางปรัชญาพื้นฐานส่วนใหญ่ของเขา. ดังถ้อยแถลงในทางเทววิทยาที่ว่า...
โลกและทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้
ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยพระผู้เป็นเจ้าอันดีงามอย่างหาที่สุดมิได้ ในฐานะที่เป็นการแสดงออกอันหนึ่งของความงามสง่าและคุณความดีของพระองค์...
(หมายเหตุ : ถ้อยแถลงทางด้านเมตาฟิสิกส์ข้างต้น, แสดงให้เห็นว่า
การดำรงอยู่ไม่ใช่เรื่องเป็นกลางๆด้วยการเคารพนับถือคุณค่าและการไร้คุณค่าอะไรบางอย่าง,
แต่ค่อนข้างจะเป็นการปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอันหนึ่ง, จากหัวจรดท้ายโดยตลอด,
ของคุณค่าในเชิงบวก)
ในโลกทัศน์เช่นว่านั้น, การมีอยู่ที่ปรากฏขึ้นมาเกี่ยวกับ"ความชั่ว"หรืออะไรก็ตามแต่ เป็นการกำหนดหรือตั้งคำถามขึ้นมาอันหนึ่ง, และนักบุญออกัสตินพิจารณาบาปต่างๆและความมืดบอดว่าเป็นปัญหาต่างๆอันนั้น
แต่"การไร้คุณค่าทางสุนทรีย์"เป็นประเด็นที่เฉพาะประเด็นหนึ่งสำหรับเขา ทั้งนี้เพราะแนวความคิดของเขาเกี่ยวกับ"ความจริงหรือสัจธรรม" เป็นเรื่อง"สุนทรียภาพ"อย่างเด่นชัด. ทุกสรรพสิ่งคือภาพลักษณ์ต่างๆของความคิดเกี่ยวกับแบบและความกลมกลืน(All things are images of the ideas of form and harmony)ที่ดำรงอยู่ในพระจิตของพระผู้เป็นเจ้า และมันไดหลอมรวมเข้าด้วยกัน พวกมันได้สร้างเอกภาพอันเป็นระบบระเบียบภายในอันหนึ่งขึ้นมา
จะเห็นได้ว่า ขอบเขตหรือปริมณฑลต่างๆของทฤษฎีสุนทรียศาสตร์แบบกรีก ได้ถูกนำมาเขียนเอาไว้ส่วนใหญ่ในเมตาฟิสิกส์ของนักบุญออกัสติน ดังเช่นอีกตอนหนึ่งซึ่งเขาบันทึกเอาไว้ว่า :
ที่กล่าวว่า สิ่งๆหนึ่งสามารถจะมีอยู่ได้นั้นก็เพียงแต่ว่ามันได้ครอบครองรูปลักษณ์เอาไว้, และอันที่จริง, การดำรงอยู่ของมันนั้น ไม่สามารถถูกรับรู้ได้นอกเหนือไปจากรูปที่ปรากฏ ซึ่งมีนัยะหรือความหมาย
อันนี้เป็นคำอธิบายปัญหาของนักบุญออกัสติน วัตถุสิ่งของต่างๆเป็นสิ่งที่สวยงามโดยคุณงามความดีของรูปลักษณ์ของพวกมัน, ซึ่งถ้าหากว่ามันเป็นเช่นนี้, ด้วยเหตุดังนั้น ความน่าเกลียดจึงไม่มีอยู่, และโดยเหตุผลทำนองเดียวกัน"ความไร้รูป"(formlessness - คำนี้ยังแปลได้ว่า "การขาดเสียซึ่งระบบระเบียบ) อย่างสมบูรณ์จึงไม่สามารถดำรงอยู่ได้
จะเห็นได้ว่าในที่นี้ "ความตรงข้ามกับความงาม"(ความน่าเกลียด)จึงมิใช่ความจริงแต่อย่างใด, แต่เป็นเพียง"การไม่มีอยู่"(absence) หรือ"การขาดแคลน"คุณค่าเชิงบวก(privation of positive value)ไปเท่านั้น
ปัจจุบัน ข้อถกเถียงอันนี้ดูเหมือนว่าได้มีการพิสูจน์กันจนเกือบจะเรียกว่ามากเกินพอแล้ว, สำหรับข้อความข้างต้นที่ปรากฏว่าเป็นการปฏิเสธความเป็นไปได้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่างๆ - นั่นคือ, "วัตถุสิ่งของที่น่าเกลียด"ซึ่งได้ก่อเกิดมาในเบื้องต้น. แต่อย่างไรก็ตาม เราจะเห็นว่า ออกัสตินได้ใช้ความคิดเห็นอันนี้เกี่ยวกับ"ระดับหรือดีกรี"ของคุณค่าอัตลักษณ์ของ"การมองโลกในแง่ดี"ทางเมตาฟิสิกส์และอุดมคตินิยมมากมายเพียงใด ซึ่งคงจะรับรู้กันแล้ว
วัตถุชิ้นหนึ่งอาจ ไม่มีรูปลักษณ์ที่เหมาะสม(หรือสมบูรณ์เท่า)กับสิ่งต่างๆประเภทเดียวกันกับมัน, แต่การขาดแคลนอันนี้ ได้ก่อให้เกิดความไม่สมบูรณ์ที่สัมพันธ์อันหนึ่งซึ่งเชื่อมโยงกับความงาม, ไม่ใช่เป็นเรื่องของความน่าเกลียด. ยิ่งไปกว่านั้น, วัตถุดังกล่าวจะต้องได้รับการมองดูมิใช่ในการแยกออกจากบริบทของพื้นที่และเวลาออกไปอย่างโดดๆ แต่จะต้องได้รับการมองดูในฐานะที่เป็นส่วนต่างๆขององค์ประกอบที่เป็นทั้งหมด
...ในความสัมพันธ์กันแบบคู่ประกอบ ดูเหมือนว่า เมื่อความน่าเกลียดได้เริ่มต้นขึ้น ด้วยเหตุนี้ มันจึงช่วยเพิ่มความงามของโลกมากขึ้นในเชิงสัมพัทธ์...
ออกัสตินได้ใช้ข้อถกเถียงอย่างเดียวกันนี้ในกรณีของวัตถุต่างๆ, อย่างเช่นสัตว์ ที่มีอันตรายต่างๆ, ซึ่งไม่ใช่ในหนทางที่กระจ่างชัดเกี่ยวกับการขาดเสียซึ่งรูปลักษณ์, แต่ได้ถูกพิจารณาว่า"น่าเกลียด"เพราะพวกมัน"ไม่เป็นที่น่าพอใจ"(displeasing) หรือ"ทำให้รู้สึกขุ่นเคืองต่อสายตา"มากกว่า. (ความน่าเกลียด เท่ากันกับ ความไม่น่าพอใจ - ทำให้ขุ่นเคืองต่อสายตา)
แต่อย่างไรก็ตาม
เมื่อ"รูปลักษณ์"(form)ได้รับการอธิบายให้กว้างน้อยลงมาโดยนักบุญออกัสติน,
การอธิบายนั้นก็ได้ถูกนำมาใช้เพื่อจำแนกความแตกต่างระหว่าง"ความงาม"จาก"ความน่าเกลียด"ที่แท้จริง
(หมายเหตุ : นักบุญออกัสติน
: Saint Augustine of Hippo (354-430) Early Christian church father and philosopher
มีชีวิตอยู่ในช่วงยุคมืดหรือสมัยกลางของยุโรป)
คริสตศตวรรษที่
16-17, ความเรียงและตำรับตำราทางศิลปะ
ในช่วงระหว่างคริสตศตวรรษที่ 16-17, ความเรียงและตำรับตำราเป็นจำนวนมากได้ถูกอุทิศให้กับศิลปะต่างๆ,
โดยเฉพาะ, บนแบบจำลองของ Poetics(กวีนิพนธ์). คุณสมบัติต่างๆของรูปแบบ(form)ที่ผลงานชิ้นหนึ่งจะต้องยึดครอง
เพื่อที่จะบรรลุถึงความงาม ได้รับการกำหนดหรือระบุลงไปอย่างกระชับและแคบเข้า.
สิ่งเหล่านี้รวมถึง"เอกภาพต่างๆ"ในเรื่องของการละคร(Cornaille) และ"ความถูกต้อง"เกี่ยวกับสัดส่วนต่างๆทางด้านกายวิภาคในงานทางด้านทัศนศิลป์ด้วย(Durer)
ผลงานทางด้านศิลปะชิ้นใดก็ตามที่ขาดเสียซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่น งานทางด้านละครหรือประติมากรรม, ด้วยเหตุนี้ จึงมีองค์ระบบบางอย่างหรือโครงสร้างอันนั้น ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ความบกพร่องหรือการขาดความงามเฉยๆ แต่มันเป็น"ความน่าเกลียด"จริงๆด้วย. (ศิลปะที่"ขาดคุณสมบัติอันมีแบบแผน" เป็น"ความน่าเกลียด")
อย่างไรก็ตาม, วิธีการที่ไม่คลุมเครือและแสดงออกซึ่งความมั่นใจอันนี้ เกี่ยวกับ"ความน่าเกลียด"ที่เด่นชัด ต่อมามันได้รับการทักท้วง โดยการกบฎต่อ"กฎเกณฑ์ต่างๆ"ของรูปแบบที่ได้รับการดำเนินการหรือปฏิบัติการมาโดยตลอดศตวรรษที่ 18 กฎเกณฑ์ต่างๆอันนี้ได้ถูกค้นพบในเฉพาะบางที่บางแห่งที่แคบๆและวงจำกัดมาก
กระนั้นก็ตาม ความแตกต่างระหว่าง"ความงาม"กับ"ความน่าเกลียด"ก็ยังคงได้รับการพรรณาหรือวาดขึ้นมา, โดยการอ้างอิงถึงประสบการณ์ทางความรู้สึก มากกว่าทางด้านวัตถุ หากว่าทฤษฎีทางด้าน"สุขนิยม"เกี่ยวกับคุณค่ายังคงได้รับการธำรงรักษาเอาไว้อย่างมั่นคงและเหนียวแน่น
แต่การตรวจสอบเกี่ยวกับประสบการณ์ทางสุนทรีย์(ของการทำให้สูงส่งขึ้นหรือการระเหิด - the sublime)ได้เผยให้เห็นว่า มันได้ก่อให้เกิดความรู้สึกต่างๆซึ่งเกี่ยวดองเป็นพี่น้องกันกับความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน(akin to pain).
เนื้อหา หรือวัตถุที่ทำให้สูงส่งขึ้น(ระเหิด) (sublime objects)เป็นสิ่งที่ครอบงำ, มีชัยชนะ, บางครั้งเป็นอันตราย, ดื้อด้านต่อความเข้าใจและควบคุม. และประสบการณ์อันนั้น, เนื่องจากพวกมันก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง พวกมันจึงมีคุณค่าอันยิ่งใหญ่
ทั้ง"สุขนิยม"และ"รูปแบบนิยม"(hedonism and formalism), โดยขนบประเพณีได้ค้ำจุนและสนับสนุนความเป็นทวิลักษณ์(duality)ของ"ความงาม"และ"ความน่าเกลียด", ซึ่งได้รับการประณามหรือตำหนิ
คริสตศตวรรษที่
18 กับการสถาปนาสุนทรียศาสตร์
ภาพชัดซึ่งเป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่กระจ่างมากยิ่งไปกว่านั้นก็คือ, ในคริสตศตวรรษที่
18, อันดับแรก ได้มีการสถาปนา"สุนทรียศาสตร์"ขึ้นมาในฐานะที่เป็นศาสตร์ซึ่งมีความอิสระในตนเองและมีระบบระเบียบ.
คำถามคือว่า "อะไรที่นับว่าเป็นปรากฎการณ์ต่างๆทางสุนทรีย์ที่เหมาะสม ?" ซึ่งคำถามอันนี้ได้รับการหยิบยกขึ้นมาถามอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรก
คำตอบต่อคำถามนี้, ดังที่เราได้เห็น, ได้กำหนดตัดสินลงไปอย่างถึงแก่นว่า "ความน่าเกลียด"คือปริมณฑลอันหนึ่งของคุณค่าเชิงลบ(disvalue - a negative value).
ในวิธีการเหล่านี้ทั้งหมด คริสตศตวรรษที่ 18 จึงถือได้ว่าเป็นช่วงที่ได้มีการนำเสนอแรงดลใจและทิศทางสู่การดำเนินการอย่างแข็งขันในด้านความคิดเมื่อไม่นานมานี้ เกี่ยวกับสิ่งซึ่งได้รับการเรียกขานกันในเบื้องต้นว่า(ซึ่งใกล้เคียงกับศตวรรษนั้น) "ทฤษฎีของความน่าเกลียด"(theory of ugliness) (Friedrich von Schlegel, 1797)
ตามความเห็นของทั้งสองข้อข้างล่างนี้ ซึ่งเป็นคำตอบที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อคำถามที่ยกขึ้นมาว่า, สุนทรียภาพจะถูกพบได้ในที่ใด? คำตอบคือ :
(1) เมื่อไรก็ตามที่"สาระสำคัญทางแนวคิด"บางอย่าง"ได้รับการทำให้ปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง"ขึ้นมาในรูปของวัตถุ ซึ่งสามารถที่จะจับคว้าเอาไว้ได้โดยประสาทสัมผัสและจินตนาการ หรือ
(2) เมื่อไรก็ตามที่"โครงสร้างทางความรู้สึก"บางประการ "ได้แสดงออกมาสู่ผู้พบเห็น" นั่นคือ คุณสมบัติทางความรู้สึกอันโดดเด่นของมัน
วัตถุหรือสิ่งซึ่งเป็นรูปธรรมข้างต้นทั้งสองประการนี้ ได้รับการกล่าวว่าครอบครอง"ความงาม"
ตามขนบประเพณีแล้ว "ความน่าเกลียด" เป็นสิ่งที่"ตรงกันข้ามกับคุณค่าทางสุนทรีย์"(opposite of aesthetic value). แต่อะไรล่ะ ที่เป็นสิ่งซึ่งตรงข้ามกับแนวความคิดเกี่ยวกับสุนทรียภาพของทั้งสองเหล่านี้ ?
ในประการแรก, ความตรงข้ามกับแนวคิดเกี่ยวกับสุนทรียภาพ จะถูกค้นพบได้ในการนำเสนอ"ความรู้สึกบางอย่างที่ขาดหรือไร้ซึ่งนัยสำคัญทางสติปัญญา"(some sensory presentation devoid of intellectual significance). อีกประการหนึ่ง, ซึ่งเป็นแนวคิดอย่างบริสุทธิ์, อย่างเช่น สิ่งที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และปรัชญาบางอย่างพวกนั้น, อันเป็นสิ่งซึ่งพ้นไปจากจินตนาการ. แต่อย่างไรก็ตาม เนื้อหาเหล่านั้นไม่ใช่ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นคุณค่าในเชิงนิเสธของสุนทรียภาพ(do not exemplify aesthetic disvalue), แต่พวกมันทั้งหมดจัดว่าอยู่นอกเหนือไปจากขอบเขตของสุนทรียภาพมากกว่า ดังที่มันได้รับการนิยามไปตามทฤษฎีนี้
ในประการที่สอง, ซึ่งมีลักษณะทำนองเดียวกัน, "สิ่งๆหนึ่งขาดเสียซึ่งท่วงทำนองทางอารมณ์ใดๆอย่างสมบูรณ์"(a thing compleately lacking any emotional tone) - ถ้าหากว่าสิ่งนั้นๆมีอยู่ - มันก็เป็น nonaesthetic หรือไม่ใช่สุนทรียภาพเท่านั้น
W.T.Stace, คือผู้อธิบายเมื่อไม่นานมานี้เกี่ยวกับทฤษฎีแรกที่ได้รับการกล่าวมาแล้วข้างต้น, ซึ่งความคิดนี้เขาได้รับมาจาก Hegel, ที่ได้เสนอว่า สิ่งซึ่งได้รับการแยกออกมาจากสุนทรียภาพควรจะถูกเรียกขานว่า "the unbeautiful" หรือ "ไม่งดงาม" - เป็นเพียงการไม่มีอยู่ที่เป็นไปในเชิงลบของความงามเท่านั้น (the mere negative absence of beauty) - มากกว่าจะเป็น"ความน่าเกลียด"
"ความน่าเกลียด"โดยตัวของมันเองนั้น
เป็นสายพันธุ์อันหนึ่งของความงาม
"ความน่าเกลียด"โดยตัวของมันเองนั้น เป็นสายพันธุ์อันหนึ่งของความงาม ที่ได้ถูกนำเสนอขึ้นมา
นับตั้งแต่แนวความคิดต่างๆเหล่านั้นที่เป็นเรื่อง"ความชั่ว"และ"ความหายนะ"ได้เข้ามาสู่วัตถุหรือเนื้อหาทางสุนทรีย์(ugliness
itself is a "species" of beauty that is present whenever such concepts as
evil and disaster enter into the aesthetic object).
"ความเจ็บปวด"ซึ่งแนวความคิดนั้นๆกระตุ้นปลุกเร้าในตัวเราเป็นเรื่อง"ศีลธรรม", ไม่ใช่"สุนทรียภาพ", และปกติแล้ว มันถูกครอบงำโดยความพึงพอใจทางสุนทรีย์ที่เราได้รับจากวัตถุหรือเรื่องราวนั้น
Bernard Bosanquet ได้พัฒนาทฤษฎีที่สองขึ้นมา, ซึ่งรับมาจาก Benedetto Croce, โดยได้แสดงเหตุผลว่า... ปกติส่วนใหญ่แล้ว สิ่งที่ถูกพบว่าเป็น"สิ่งน่าเกลียด" ได้รับความเข้าใจเช่นนั้นก็เพราะ"ความอ่อนแอของผู้ดู"นั่นเอง(the weakness of the spectator)
อย่างใดอย่างหนึ่ง ผลงานทางด้านศิลปะ อันที่จริงแล้วมันเรียกร้องอย่างมากต่อความสามารถต่างๆทางด้านอารมณ์ความรู้สึกของผู้ดู หรืออย่างเช่น ในหัสนาฏกรรมในเชิงล้อเลียนและการเย้ยหยัน, มันได้ล่วงละเมิดความเชื่อทั้งหลายทางศีลธรรมของผู้ดู: แต่อย่างไรก็ตาม, "ความอ่อนแอ"เป็นสิ่งซึ่งเยียวยาแก้ไขได้. ด้วยเหตุนี้ ผลงานทางด้านศิลปะจึงค่อนข้างเหมาะสมที่จะได้รับการพิจารณาให้เป็นตัวอย่างอันหนึ่งของ"difficult beauty" หรือ "ความงามที่ขัดสน" มากกว่า "ความน่าเกลียด"(ugliness).
มีวัตถุอันใดไหม ที่อยู่ในขอบเขตของสุนทรียภาพ และเป็น"สิ่งที่น่าเกลียดจริงๆ"(หรืออย่างที่ Bosanquet กล่าวว่า"invincibly"[อย่างคงกระพัน]) ? Bosanquet ได้ถูกโน้มน้าวให้คิดว่า มันไม่มี"ความน่าเกลียด"อย่างนั้น. ในทัศนะของเขา เรื่องของการแสดงออกเป็นเรื่องของสุนทรียภาพ และด้วยเหตุดังนั้น "รูปลักษณ์ทุกอย่างที่แสดงออก"(every form express)จึงมีความงาม. อันนี้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากที่จะมองว่าจะมีวัตถุอย่างนั้นได้อย่างไร?
แต่อย่างไรก็ตาม เขาถือว่า"ความน่าเกลียด"ดำรงอยู่ในสิ่งซึ่งเป็นเพียงการแสดงออกช่วงเริ่มต้นและไม่สมบูรณ์(บางส่วน), นั่นคือ, ในผลงานทางด้านศิลปะนั้นได้นำเสนอความรู้สึกบางอย่าง แต่ทว่ามันไม่ประณีตละเอียดอ่อนหรือเป็นไปอย่างสอดคล้อง และไม่บรรลุถึงการนำเสนอ, เช่นดั่งในงานศิลปะแบบ sentimental art (ศิลปะที่ทำให้หวนระลึกถึง อย่างเช่น เพลงวันคริสต์มาส หรือเพลงที่เปิดในวันวาเลนไทน์) และ affected art (ศิลปะที่เสแสร้งให้กระทบกระเทือนใจ)
ลักษณะที่เป็นขั้วตรงข้ามของ"ความงาม"กับ"ความน่าเกลียด" ลักษณะที่เป็นขั้วตรงข้ามในเชิงขนบประเพณีเกี่ยวกับ"ความงาม"และ"ความน่าเกลียด" ได้เป็นเครื่องหมายความแตกต่างระหว่าง value และ disvalue (คุณค่าและการไร้คุณค่า[คุณค่าเชิงลบ])ทางสุนทรีย์ขึ้นมา. ทฤษฎีข้างต้นทั้งของ Stace และ Bosanquet มีความเข้าใจสุนทรียภาพในหนทางหนึ่งซึ่งได้เหลือเอาไว้เพียงเล็กน้อย หรือเกือบไม่มีห้องว่างเลยสำหรับ disvalue (คุณค่าเชิงลบ). กระนั้นก็ตาม Stace และ Bosanquet เห็นว่าประสบการณ์ทางสุนทรีย์เป็นเรื่องของความพึงพอใจ
ในเวลาเดียวกัน, พวกเขาก็ต้องการที่จะสร้างห้องขึ้นมาสำหรับศิลปะ นั่นคือ เรื่องของความเศร้าโศก, เรื่องของความชั่วช้าและโหดร้าย(demonic), เรื่องของ"การขัดสน"(difficult). (Stace, เป็นตัวอย่าง, ได้อ้างถึงผลงานทางประติมากรรมของ Jacob Epstein). ด้วยเหตุนี้ ดังที่ได้แสดงให้เห็นแล้ว พวกเขาแสวงหาหนทางในการปรองดองและประนีประนอมเรื่องของความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานของศิลปะอันนั้น ด้วยคุณค่าเชิงปฏิฐาน(positive value - คุณค่าเชิงบวก)ซึ่งมันได้ครอบครองอยู่ ในฐานะที่เป็นวัตถุทางสุนทรีย์
อย่างไรก็ตาม, ในกรณีของ Bosanquet คำถามควรจะถูกหยิบยกขึ้นมาว่า การแสดงออกของความรู้สึกได้ถูกนำไปคลุกเคล้ากับความพึงพอใจอย่างไร? ในประวัติศาสตร์, แนวความคิดเกี่ยวกับการแสดงออกมีแนวโน้มที่จะปรองดองกันกับอารมณ์ความรู้สึกทุกๆชนิดในงานศิลปะ แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นศิลปะที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง, การฝ่าฝืน หรือทำลาย, ซึ่งก็คือ"ความชั่วร้าย"(darkest)ก็ตาม
การแสดงออกทาง"ศิลปะที่ประสบความสำเร็จ" หมายถึง"งานศิลปะที่สามารถกระทำการกับอารมณ์ความรู้สึกของผู้สัมผัสกับศิลปะอันนั้นได้มาก, ไม่ใช่ได้น้อย, รุนแรงและเจ็บปวด, และถ้าหากว่าผู้ดูได้รับการกระตุ้นซึ่งความพึงพอใจ ได้รับการปฏิบัติในลักษณะที่เป็นเอกภาพ และมีพลังเกี่ยวกับแนวความคิดของศิลปิน, ตามทฤษฎีของ Bosanquet, ถือว่าเป็นงานศิลปะที่ประสบความสำเร็จ". แต่อย่างไรก็ตาม มันมีวัตถุต่างๆทางสุนทรีย์ที่ไร้ศิลปะเป็นจำนวนมาก ที่แสดงออกมาอย่างเข้มข้น และสำหรับอันนั้น คำอธิบายนี้ไม่ได้ครอบคลุมถึง
เมื่อมันไม่มีความจำเป็นหรือความเชื่อมโยงในทางตรรกระหว่าง"การแสดงออก"และ"ความพึงพอใจ", มันจะต้องได้รับการตัดสินในเชิงประจักษ์(empirically), แม้กระทั่งว่า เมื่อ"ความอ่อนแอของผู้ดู"เป็นฝ่ายแพ้พ่ายหรือหมดกำลัง. โดยสรุปแล้วจะเห็นว่า ประสบการณ์ของเขาเกี่ยวกับวัตถุที่แสดงออกมานั้น มีท่วงทำนอง"สุขนิยม"ที่เป็นไปในเชิงบวก
ความเจ็บปวดเป็นเรื่องของศีลธรรมหรือสุนทรียภาพ
ทัศนะของ Stace นั้นที่ว่า "ความเจ็บปวด"เกี่ยวกับแนวเรื่องสาระสำคัญของผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งเป็นเรื่องของ"ศีลธรรม",
ไม่ใช่เรื่อง"สนุทรียภาพ", ดูเหมือนจะคล้ายเรื่องการนิยามทางกฏหมาย มากกว่าความเข้าใจอย่างแท้จริงอันหนึ่งในประสบการณ์ทางสุนทรีย์.
ความสลับซับซ้อนทางศีลธรรม และความไม่สมประสงค์ คือส่วนสำคัญที่จำเป็นต่อศิลปะอันนั้นในฐานะที่เป็นโศกนาฏกรรม,
และความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ซึ่งมันได้เข้ามาสู่การรับรู้ของเราทั้งหมดเกี่ยวกับผลงานทางด้านศิลปะอันนั้น
ทัศนะของ Stace, ด้วยเช่นกัน, เป็นการพิทักษ์ปกป้องเกี่ยวกับสุขนิยม. กระนั้นก็ตาม มันไม่มีเหตุผลที่จะถือเรื่องสุขนิยมเอาไว้ในสุนทรียศาสตร์, และอันที่จริง ความยุ่งยากเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดข้อสงสัยต่อทฤษฎีดังกล่าวขึ้นมาด้วย
ศัพท์คำว่า"ความน่าเกลียด"ในความหมายของสิ่งซึ่งเป็นเรื่อง"ความเจ็บปวด", อาจยังถูกนำมาใช้เพื่อระบุชี้ชัดชนิดหนึ่งของวัตถุทางสุนทรีย์ โดยปราศจากความเกี่ยวข้องกับการไม่มีคุณค่า(disvalue)
การพิจารณาอย่างเช่น, "X เป็นสิ่งน่าเกลียด แต่ในเชิงสุนทรียภาพ มันดี" มิได้มีความขัดแย้งในตัวเอง และอันที่จริง อาจเป็นบางสิ่งบางอย่างซึ่งเราต้องการ และอยากที่จะกล่าว. บรรดาศิลปินสมัยใหม่หรือศิลปินในยุคโมเดิร์นหลายคน ผู้ซึ่งเลิกลาและทอดทิ้งความพึงพอใจเกี่ยวกับความงามไปโดยตั้งใจ ในฐานะที่เป็นเป้าหมายของความพยายามในเชิงสร้างสรรค์ของพวกเขา ศิลปินเหล่านี้ได้สร้างคำพูดดังกล่าวขึ้นมา("X เป็นสิ่งน่าเกลียด แต่ในเชิงสุนทรียภาพ มันดี") ซึ่งยากจะไม่เชื่อถือเช่นดังที่เคยเป็นมา
ความน่าเกลียด กับ ความไร้ประประโยชน์
คำถามพื้นฐานมากๆและมีความสำคัญอย่างจริงจังเกี่ยวกับ"ความน่าเกลียด", ในความหมายกว้างๆเกี่ยวกับคุณค่าทางสุนทรีย์ในเชิงลบ(negative
aesthetic value), สำหรับทฤษฎีทางสุนทรียภาพ, ก็คือ เรื่อง"ความไร้ประโยชน์"(otiose
- โอ-ฌิโอซ)
อันนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า, บางครั้ง เราต้องการที่จะกล่าวว่า ผลงานศิลปะชิ้นนั้นมันเลวหรือแย่. แต่อย่างไรก็ตาม, อย่างน้อยที่สุด Bosanquet ได้หยิบเอา"ความน่าเกลียด"จริงๆมาเป็นเรื่องของการแสดงออกบางส่วน, และถ้าหากว่าเราดำเนินรอยตามการนำอันนี้, "ความเลว"(badness)จะต้องได้รับการอธิบายในฐานะที่เป็น "ภาวะของการขาดแคลนหรือระดับที่ค่อนข้างเบาบางเกี่ยวกับความดีทางสุนทรียภาพ"(deficiency or relatively slight degree of aesthetic goodness)
กล่าวคือ ผลงานศิลปะชิ้นนั้นสัมฤิทธิผลน้อยกว่าที่มันสัญญาเอาไว้; วัตถุที่ไม่มีศิลปะ คือ วัตถุที่ขาดเสียซึ่งพลังชีวิตหรือเสน่ห์(lacking of vitality or charm). ดังนั้น ตามทัศนะนี้, มันจึงไม่มีสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคุณค่าทางสุนทรีย์, มันเป็นแต่เพียง อย่างที่นักบุญออกัสตินพูด, การขาดแคลนเชิงสุนทรีย์อันหนึ่งเท่านั้น
ในอีกด้านหนึ่ง, อันนี้อาจถูกคิดว่าเป็นการอ่านที่ผิดพลาดเกี่ยวกับคุณสมบัติดังกล่าวโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งโดยทั่วไปถูกถือว่าสร้าง"ความน่าเกลียด"ขึ้นมา หรือสิ่งซึ่งได้รับการอ้างอิง ในฐานะที่เป็นเหตุผลต่างๆสำหรับการตัดสินสิ่งหนึ่งว่า"น่าเกลียด"... เช่น วงออร์เคสตร้าที่บรรเลงดนตรีออกมาในลักษณะที่คลุมๆเครือๆ(ขุ่นมัว) หรือโครงสร้างพล๊อตเรื่องที่ไม่สัมพันธ์ต่อเนื่องกันอย่างมีเอกภาพ
อย่างมีนัยสำคัญ, อันนี้คือความตรงกันข้ามกับวงออร์เคสตร้าที่ชัดเจน หรือพล๊อตเรื่องที่มีเอกภาพ, และในเชิงเปรียบเทียบ พวกมันเป็นจริงและถูกรับรู้เท่าๆกัน. สำหรับการไม่มีอยู่ของคุณความดีซึ่งจะมาชดเชยหรือทดแทนอันนี้, จึงทำให้สาระต่างๆซึ่งมันครอบครองอยู่ต่างก็"เลวอย่างไม่ต้องสงสัย"(positively bad).
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม, ในท้ายที่สุด การปฏิเสธเรื่องคุณค่าในเชิงลบหรือเชิงนิเสธ(negative value)ควรจะได้รับการอดทน, มันยุติธรรมที่จะกล่าวว่า การปฏิเสธอันนี้มันน่ารำคาญในทางสุนทรียศาสตร์น้อยกว่าในเรื่องจริยศาสตร์หรือญานวิทยา. โดยส่วนใหญ่แล้ว คำอรรถาธิบาย มันนอนอยู่ในความคิดเห็นของ Bosanquet เกี่ยวกับ"ความอ่อนแอของผู้ดู"(the weakness of the spectator)
สรุป
บนเส้นทางของประวัติศาสตร์ศิลป์ตะวันตกกว่า 2400 ปี นับจาก Plato นักปรัชญากรีกเป็นต้นมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
เราจะเห็นถึงการกำหนดเรื่องของ"ความงาม"และ"ความน่าเกลียด"มาตามลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
"ความน่าเกลียด"ได้มีการให้นิยามแตกต่างกันไปมากมาย
"ความงาม"และ"ความน่าเกลียด" คุณค่าเชิงบวกและลบในสุนทรียภาพ ตามที่ Jerome Stolnitz อรรถาธิบายในงานของเขาชิ้นนี้ เขาได้ไล่เลียงให้เราเห็นภาพเกี่ยวกับทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไปนับจากต้นตออารยธรรมตะวันตกเป็นต้นมา โดยเริ่มจาก Plato ที่มักจะนำเอาเรื่องของ"ความงาม"ไปผูกพันกับเรื่องของ"ความพึงพอใจ" และเมื่อมองจากแนวคิดสุขนิยม จะเห็นว่า
1. "ความงาม" เป็นเรื่องของความพึงพอใจ และ
2. "ความน่าเกลียด" เป็นเรื่องของความเจ็บปวด
ในส่วนของ"ความน่าเกลียด"ที่อ้างถึงเป็นคู่ขนานกับ"ความเจ็บปวด" W.T.Stace กลับมองว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องของสุนทรียภาพ "ความเจ็บปวด"อันที่จริงแล้ว น่าจะผูกมัดกับท่าทีหรือทัศนคติต่างๆซึ่งส่งผลต่อเราในเรื่อง"คุณค่าทางศีลธรรม"มากกว่า
ในส่วนของ Aristotle กล่าวว่า ในผลงานทางด้านทัศนศิลป์บางชิ้น บางครั้งเรามองดูมันด้วย"ความรู้สึกปวดร้าว" แต่มันก็ให้"ความรู้สึกพึงพอใจอยู่ภายใน" เช่น เรื่อง"โศกนาฏกรรม"ต่างๆ. ส่วน"หัสนาฏกรรม" เป็นการนำเสนอเรื่องของไพร่ และชนชั้นต่ำ เป็นเรื่องตลก, เสียดสี, ความรู้สึกที่น่าเย้ยหยัน, ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นชนิดหนึ่งของ"ความน่าเกลียด" แต่ความน่าเกลียดดังกล่าวมันไกลห่างจากเรื่องของความเจ็บปวด
ต่อมาในสมัยกลาง, นักบุญออกัสตินกล่าวในทำนองว่า "ความน่าเกลียด"เป็นสิ่งที่มิได้ดำรงอยู่ เพราะทุกสรรพสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างสรรค์ขึ้นมานั้น ล้วนเป็นเรื่องของความงามและแบบแห่งความกลมกลืนทั้งสิ้น
ถ้อยแถลงในทางเทววิทยาที่ว่า...
โลกและทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยพระผู้เป็นเจ้าอันดีงามอย่างหาที่สุดมิได้ ในฐานะที่เป็นการแสดงออกอันหนึ่งของความงามสง่า และความคุณความดีของพระองค์... -(และนอกจากนี้เขายังกล่าวอีกว่า)- ...ทุกสรรพสิ่งคือภาพลักษณ์ต่างๆของความคิดเกี่ยวกับแบบและความกลมกลืนที่ดำรงอยู่ในพระจิตของพระผู้เป็นเจ้า และการรวมเข้าด้วยกัน พวกมันได้สร้างเอกภาพอันเป็นระบบระเบียบภายในอันหนึ่งขึ้นมา
จะเห็นได้ว่า ขอบเขตหรือปริมณฑลต่างๆของทฤษฎีสุนทรียศาสตร์แบบกรีก ได้ถูกนำมาเขียนเอาไว้ส่วนใหญ่ในเมตาฟิสิกส์ของนักบุญออกัสติน
เราไม่อาจทราบได้ว่า ในยุคฟื้นฟู หรือ Renaissance มีความคิดเกี่ยวกับ"ความงาม"และ"ความน่าเกลียด"เช่นใด ทั้งนี้เพราะ Jerome Stolnitz ได้ข้ามผ่านยุคสมัยดังกล่าวไป แม้ว่าภาพผลงานศิลปะที่เราพบเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลงานทางด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมในยุคนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพเชิงสุนทรียอันยิ่งใหญ่ของยุโรปในคริสตศตวรรษที่ 14-16 ซึ่งในทางที่กลับกัน เราควรจะได้รู้ว่าพวกเขาเหล่านี้มีทัศนคติอย่างไรต่อ"ความน่าเกลียด"
ในคริสตศตวรรษที่ 16-17 ซึ่งถือว่าเป็นช่วงปลายของยุค Renaissance นับว่าเป็นช่วงที่ความเรียง และตำรับตำราทางศิลปะได้ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ในวันเวลาดังกล่าวพิจารณาว่า ศิลปะที่ขาดคุณสมบัติอันมีแบบแผน, ขาดเอกภาพ, และความถูกต้องของสัดส่วน ถือเป็นเรื่องของ"ความน่าเกลียด". ดูเหมือนว่าในช่วง 2 ศตวรรษดังกล่าว ไม่มากก็น้อย ได้บ่งถึงนัยสำคัญอะไรบางอย่างของยุคสมัย Renaissance ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่นั่นแต่ไม่ถูกพูดถึง ซึ่งพอจะจับความได้ถึงท่าทีและทัศนคติที่มีต่อเรื่องของ"ความงามและ"ความน่าเกลียด"พอสมควร
คริสตศตวรรษที่ 18 เป็นครั้งแรกที่ได้มีการสถาปนาสุนทรียศาสตร์ขึ้นมาในฐานะที่เป็นสิ่งซึ่งมีความอิสระในตนเองและมีระบบระเบียบ. "ความน่าเกลียด"ถูกมองว่าคือ"คุณค่าเชิงลบ"(a negative value) และในช่วงเวลาดังกล่าว "ทฤษฎีความน่าเกลียด"หรือ Theory of Ugliness ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
ตาม"ทฤษฎีความน่าเกลียด"หรือ Theory of Ugliness ได้ระบุว่า "ความน่าเกลียด"เป็นเรื่องของ"ความรู้สึกบางอย่างที่ขาดเสียซึ่งนัยสำคัญทางสติปัญญา" และนอกจากนี้"ความน่าเกลียด"ยังถูกพูดถึงว่า เป็นเรื่องของ"สิ่งซึ่งขาดท่วงทำนองทางอารมณ์อย่างสมบูรณ์"
Bernard Bosanquet (1848-1923) ถือเป็นนักปรัชญาคนสำคัญต่อมา เขามีเชื้อสายอังกฤษจากอ็อกฟอร์ด และได้อิทธิพลทางความคิดด้านจริยศาสตร์และสุนทรียศาสตร์จาก Hegel. Bosanquet กล่าวว่า "ความน่าเกลียด"ดำรงอยู่ในการแสดงออกในช่วงเริ่มต้นและไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้มันยังหมายรวมถึง การที่ยังไม่บรรลุผลถึงการนำเสนอของผู้สร้างสรรค์ผลงานทางด้านศิลปะ
นอกจากนี้ Bosanquet ยังกล่าวอีกว่า "ความเลวของศิลปะคือ การขาดแคลนเสียซึ่งความดีทางสุนทรียภาพ: นั่นคือ มันสัมฤทธิผลน้อยกว่าที่มันสัญญา ไร้พลังชีวิต และขาดเสน่ห์. แต่หากเรามาพิจารณากันถึงศิลปะในยุคโมเดิร์น เราจะพบว่า ศิลปินต่างๆในยุคโมเดิร์นหลายคน ต่างตั้งใจทอดทิ้งความงามไปอย่างแข็งขัน ทั้งนี้พวกเขาได้ให้ความสนใจและหันมาเน้นในเรื่องของการสร้างสรรค์และการแสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึก มากกว่ารูปแบบอันงดงาม
สิ่งที่น่าพิจารณาในกรอบสุดท้ายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปและรสนิยม แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุดของความเรียงชิ้นนี้ก็ตาม แต่ใคร่จะถามก็คือ
งานศิลปะแบบ sentimental art (ศิลปะที่ทำให้หวนระลึกถึง อย่างเช่น เพลงวันคริสต์มาส หรือเพลงที่เปิดในวันวาเลนไทน์ ซึ่งเปิดกันส่วนใหญ่ในห้างสรรพสินค้า) และ affected art (ศิลปะที่เสแสร้งให้กระทบกระเทือนใจ ซึ่งมักจะปรากฎในละครวิทยุและโทรทัศน์) สิ่งเหล่านี้ ปรารถนาให้ผู้อ่านพิจารณาอีกครั้งหนึ่งว่า ศิลปะประเภทนี้เป็นเรื่องของ"ความงาม"หรือ"ความน่าเกลียด"กันแน่
เรียบเรียงจาก
1. Jerome Stolnitz; หัวเรื่อง Ugliness, จาก The Encyclopedia of Philosophy, Paul Edwards : Editor in Chief The Macmillan Company & The Free Press, New York COLLIER - MACMILLAN LIMITED, LONDON และ2. Webster's New Biographical Dictionary, A Merriam-Webster INC., Springfield, Messachusetts
แปลและเรียบเรียงครั้งแรก 30 กรกฎาคม 2542 ปรับปรุงและเรียบเรียงเพิ่มเติม 10 กุมภาพันธ์ 2546
(ส่วนหนึ่งของเอกสารการสอน ประกอบกระบวนวิชาศิลปวิจารณ์)
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา I webboard I ประวัติ ม.เที่ยงคืน
e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
สำหรับสมาชิกที่ต้องการ download ข้อมูล อาจใช้วิธีการง่ายๆดังต่อไปนี้
1. ให้ทำ hyper text ข้อมูลทั้งหมด
2. copy ข้อมูลด้วยคำสั่ง Ctrl + C
3. เปิด word ขึ้นมา (microsoft-word หรือ word pad)
4. Paste โดยใช้คำสั่ง Ctrl + V
จะได้ข้อมูลมา ซึ่งย่อหน้าเหมือนกับต้นฉบับทุกประการ
(กรณีตัวหนังสือสีจาง ให้เปลี่ยนสีเป็นสีเข้มในโปรแกรม Microsoft-word)
นักบุญออกัสตินกล่าวว่า "โลกและทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยพระผู้เป็นเจ้าอันดีงามอย่างหาที่สุดมิได้ ในฐานะที่เป็นการแสดงออกอันหนึ่งของความสง่างามและความดีของพระองค์..."
แนวความคิดของเขาเกี่ยวกับความจริงหรือสัจธรรม เป็นเรื่องสุนทรียภาพอย่างเด่นชัด. ทุกสรรพสิ่งคือภาพลักษณ์ต่างๆของความคิดเกี่ยวกับแบบและความกลมกลืน(All things are images of the ideas of form and harmony)ที่ดำรงอยู่ในพระจิตของพระผู้เป็นเจ้า และการรวมเข้าด้วยกัน พวกมันได้สร้างเอกภาพอันเป็นระบบระเบียบภายในอันหนึ่งขึ้นมา จะเห็นได้ว่า ขอบเขตหรือปริมณฑลต่างๆของทฤษฎีสุนทรียศาสตร์แบบกรีก ได้ถูกนำมาเขียนเอาไว้ส่วนใหญ่ในเมตาฟิสิกส์ของเขา
ให้พวกเรามาลองพิจารณาถึงตรรกะ อย่างเช่น, "X เป็นสิ่งน่าเกลียด แต่ในเชิงสุนทรียภาพ มันดี" มิได้มีความขัดแย้งในตัวเอง และอันที่จริง อาจเป็นบางสิ่งบางอย่างซึ่งเราต้องการ และอยากที่จะกล่าว
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89
90