มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ
Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
สนใจสมัครเป็นสมาชิก
กรุณาคลิก member page
ส่วนผู้ที่ต้องการดูหัวข้อบทความ
ทั้งหมด ที่มีบริการอยู่ขณะนี้
กรุณาคลิกที่ contents page
และผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
หรือประกาศข่าว
กรุณาคลิกที่ปุ่ม webboard
ข้างล่างของบทความชิ้นนี้
หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
midnightuniv(at)yahoo.com
คำว่า University มันมาจากคำว่า Universal แปลว่า "สากล" ในคำว่า Universal นี้มันต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับ "การแสวงหาความจริง , ความดี , ความงามของมนุษย์"
ถ้าเป็นในสมัยกลาง จะต้องเรียน
ในเรื่อง Stadium General
ซึ่งจะต้องเรียน 3 วิชาเป็นหลักใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องของมนุษย์ทั้ง นั้น 1) เป็นวิชาเทววิทยา
2) นิติวิทยา หรือ นิติศาสตร์ 3) ต้องเรียนวิชา แพทยศาสตร์
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 244 เดือนมีนาคม 2546 ผลงานถอดเทปของ วรพจน์ พิทักษ์ สมาชิกมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ส่งมาเผยแพร่บนกระดานข่าว หัวเรื่อง : ปฏิรูปมหาวิทยาลัย และโรงพยาบาล โดย ส.ศิวรักษ์
เผนแพร่ครั้งแรกบนเว็ปไซค์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน วันพุธที่ 5 มีนาคม 2546
จริงอยู่พยาบาลทำงานหนักกว่าแพทย์และได้ค่าตอบแทนที่น้อยกว่า แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าคนที่เขาเจ็บป่วยมานั้นเขาเดือดร้อนมากกว่าเรา คุณจะเปลี่ยนมิติเลย เมื่อคุณได้เป็นเพื่อนกับเขา คุณได้เรียนกับเขา คุณเปลี่ยน และเมื่อคุณเปลี่ยนคุณจะรู้สึกว่าคุณต้องการน้อย จะให้มาก อันนี้คุณจะมีพลัง
พลังมาจากไหน? มาจากคนไข้ คนไข้เหล่านั้นเขามีญาติพี่น้องเต็มไปหมดแล้วคนอีสานเป็นคนที่สามารถโยงใยรวมตัวกันได้มากที่สุด
ปฏิรูปมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาล
สุลักษณ์ ศิวรักษ์
(ถอดเทปโดย วรพจน์ พิทักษ์ - ความยาวประมาณ 15 หน้ากระดาษ A4)
สำนึกท้องถิ่น "มหาวิทยาลัยและโรงพยาบาล"
เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ฟัง
ผมควรจะย้อนไปพูดถึงปฐมเหตุที่มาของโรงพยาบาลที่เรารู้จักกันในเวลานี้ จริงๆแล้ว
โดนงพยาบาลเกิดขึ้นเมื่อสมัยรัชการที่ 5 มานี้เอง ศิริราชพยาบาลเป็นแห่งแรก ส่วนมหาวิทยาลัยเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่
6 อันนี้เป็นเรื่องที่เราเอาอย่างของฝรั่งมาทั้งสิ้น ทีนี้ให้มาดูความคิดของฝรั่งในเรื่องโรงพยาบาลก็ดี
มหาวิทยาลัยก็ดี ผมเกรงว่าพวกเราจะเข้าใจไม่ชัด
คำว่า "มหาวิทยาลัย" แปลว่า "โรงเรียนที่ใหญ่ขึ้น" ในภาษาญี่ปุ่นก็ใช้คำเดียวกับไทย แต่ในภาษาแขกไม่ได้ใช้คำนี้ เขาใช้คำว่า "วิศวะ" แปลว่า "สากล" ในประเทศลังกาแปลหาวิทยาลัยว่า "โรงเรียนมัธยม" อันนี้เราเอาเรื่องของภาษาก่อน เพราะคนไทยตอนนี้เรื่องภาษาไม่ชัด เราตีศัพท์ภาษาฝรั่งไม่แตก และเอาคำแขกมาพูดเป็นภาษาไทย แล้วเราไข้วเขวกันหมด
ในภาษาอังกฤษนั้นใช้คำว่า University มันมาจากคำว่า Universal แปลว่า "สากล" ในคำว่า Universal นี้มันต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับ "การแสวงหาความจริง , ความดี , ความงามของมนุษย์" !! ถ้าเป็นในสมัยกลาง จะต้องเรียนในเรื่อง Stadium General ซึ่งจะต้องเรียน 3 วิชาเป็นหลักใหญ่ ซึ่งรวมๆแล้วเป็นเรื่องของมนุษย์ทั้งนั้น
1) เป็นวิชาเทววิทยา เป็นวิชาที่มนุษย์สัมพันธ์กับพระผู้เป็นเจ้า เพราะมนุษย์จะรู้ว่าจะตายแล้วจะไปไหน? อย่างไร? จะติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร? ถ้าไม่เรียนวิชาเทววิทยาแล้ว จะไม่สามารถถือได้ว่าการเรียนการสอนนั้นได้เข้าไปสู่ความจริง
2) ต้องเรียนวิชา "นิติวิทยา" หรือ "นิติศาสตร์" มนุษย์จะอยู่ในโลกได้อย่างไร ถ้าจะสัมพันธ์กัน ทำอย่างไรจะไม่ถูกฟ้องฯ และถ้าฟ้องจะเอาชนะกันได้อย่างไร? และความจริง หรือความถูกต้องเป็นอย่างไร?
3) ต้องเรียนวิชา "แพทยศาสตร์" เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายของมนุษย์ เป็นเรื่องความอยู่รอดของมนุษย์ในโลกนี้
- อยู่รอดของมนุษย์ในโลกนี้คือ "แพทยศาสตร์"
- อยู่รอดในสังคมคือ "นิติศาสตร์"
- อยู่รอดในโลกหน้าคือ "เทววิทยา"
อันนี้คือในสมัยกลางถือต้องเรียนทั้ง 3 วิชานี้
ส่วนในสมัยหลัง ซึ่งเป็นเรื่องของสมัยใหม่ ถือว่า "แพทยศาสตร์จะต้องแยกออกจากมหาวิทยาลัย" เพราะว่า "แพทยศาสตร์เป็นวิชาประยุกต์" ไม่ใช่วิชาบริสุทธิ์. วิทยาศาสตร์เรียนในมหาวิทยาลัย แพทยศาสตร์เรียนนอกมหาวิทยาลัย !!
มหาวิทยาลัยในอังกฤษไม่ยอมให้เรียนวิศวกรรมศาสตร์จนสมัยผมไปเรียน วิศวกรรมศาสตร์ให้ไปเรียนในโรงเรียนเทคนิค ที่เยอรมันก็เช่นเดียวกัน เพราะถือเป็นวิชาประยุกต์ซึ่งเอาไปใช้อะไรก็ได้ "ส่วนมหาวิทยาลัยนั้น มีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือ แสวงหาความจริง , ความงาม, และความดี"
แต่แล้วตะวันตกทั้งหลายก็ล้มเหลวในด้านการแสวงหาความดี ?? เพราะเหตุว่าตะวันตกไปเน้นการแสวงหาความรู้ในหัวสมองแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งอันนี้มาจากปรัชญาตะวันตกสมัยแรกเลยทีเดียว
I Think Therefor I Am : อันนี้เป็นคำพูดของ เรอเน่ต์ เดค์คาร์ท เพราะฉะนั้นก็คือ "ใช้ความคิดอย่างเดียว" แล้วความคิดตัวนี้มันหาความดีไม่ได้
ความคิดนี้คุณหาความรู้ได้ แม้ความงามก็หาไม่ได้ จะเห็นว่ามหาวิทยาลัยไทยปัจจุบันนี้น่าเกลียด! โดยเฉพาะที่ขอนแก่นนี้ เพราะฉะนั้นสำคัญนะครับ เหมือนวัดตอนนี้ก็สร้างกันได้อย่างน่าเกลียดหาความงามไม่ได้เอาเลย วัดแต่ก่อนนี้น่ารัก เพราะว่าพระแต่ก่อนนั้นท่านแสวงหาความจริง ความงามไปด้วยกัน
ความคิด ที่เราได้มาจากฝรั่ง แล้วเราได้มาด้วยการเอาอย่างเท่านั้นเอง เราตีประเด็นตรงนี้ไม่แตก. เมื่อรัชกาลที่5 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเคยดำริจะสร้างมหาวิทยาลัย แต่ไม่สำเร็จ ส่วนการสร้างโรงพยาบาลสำเร็จง่ายกว่า เพราะเพียงรักษาคนไข้ให้หายไข้ แม้กระนั้นเมื่อตั้งศิริราชพยาบาล คนส่วนใหญ่ก็ไม่ไปใช้บริการเพราะเขาถือว่าใครไปที่นั่นแล้วก็คือ "ตาย"
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเคยเล่าว่า จ้างขอทานให้ไปรักษาโรคเรื้อนยังไม่ไปกันเลย เพราะถ้าหายแล้วจะขอทานได้อย่างไร อันนี้สำคัญ เมื่อเราเอาความคิดฝรั่งรุ่นแรกมานั้น หลายคนปฏิเสธ
ยิ่งเรื่องมหาวิทยาลัยด้วยแล้ว เจ้าพระยายมราช พูดกับ ผมนึกชื่อท่านไม่ออกแล้ว บอกว่าถ้าเกิดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นมาแทบจะไม่เผาผีกันเลย เจ้าพระยายมราช บอกว่าว่าถ้าตั้งมหาวิทยาลัยแล้วนั้น คนจะฉลาด เมื่อฉลาดจะปกครองยาก
เมื่อตอน รัชกาลที่ 6 ที่ตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นนั้น เจ้าพระยายมราชไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย อันนี้อยากจะให้เข้าใจในเรื่องของภูมิหลังของการกำเนิดมหาวิทยาลัย
แต่การตั้งมหาวิทยาลัยก็ดี โรงพยาบาลก็ดี อะไรต่างๆก็ดี ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 เป็นต้นมานั้น รัฐบาลกลางเป็นคนตั้งทั้งสิ้น อันนี้มันเกี่ยวพันโดยตรงเพราะว่า "รัฐบาลกลางมีความอ่อนแอกลัวฝรั่งจะแยกเอาดินแดนไป แม้กระนั้นก็ยังถูกฝรั่งเศสแยกออกไป ฝรั่งเศสเขาพลาดนิดเดียวควรจะแยกตั้งแต่โคราชไปด้วยซ้ำไป แต่นี่แยกได้เพียงตั้งแต่แม่น้ำโขง จนถึงลาว เพียงเรือรบ 3 ลำเท่านั้นมาปิดอ่าว เท่านั้นเองที่ทำให้เราเสียประเทศลาวทั้งประเทศ และเขมรอีก 4 จังหวัด ทั้งนี้ก็ด้วยความกลัวที่จะเสียบ้านเสียเมือง ทั้งหมดส่วนกลางและรัฐบาลกลางเป็นคนกำหนดทั้งสิ้น
ที่ส่วนกลางและรัฐบาลกลางเป็นคนกำหนดนั้น ทั้งนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของรัฐบาลกลาง และเพื่อประโยชน์ของชนชั้นปกครอง !?
ศิริราชพยาบาลนั้น ตั้งขึ้นตามชื่อของเจ้าฟ้าฯ เอาเงินจากงานพระเมรุมาเพื่อเป็นการบำเพ็ญพระราชกุศล ส่วนหนึ่งก็เพื่อช่วยทวยราษฎร แต่วัตถุประสงค์ส่วนใหญ่ก็คือ เพื่อเจ้านายส่วนใหญ่จะได้อยู่ตึกสบายๆ ตึกต่างๆที่เห็นสวยหรูทุกวันนี้สร้างด้วยเงินราษฎรเรี่ยรายเข้าไป แต่ส่วนใหญ่ราษฎรไม่ได้อยู่หรอก ไม่ได้อยู่แน่นอน ใครออกสตางค์ ,ใครคุมท่านทำอันนั้น
ส่วนโรงพยาบาลเอกชนเพิ่งจะมีขึ้นเมื่อเร็วๆนี้เอง จนบัดนี้ประเทศสวีเดนก็ยังไม่ยอมให้มีโรงพยาบาลเอกชน หลายประเทศเขาถือว่า โรงพยาบาลเอกชนเป็นเครื่องทำลายฐานของรัฐ ทำลายฐานของประชาชนทั้งหมด แต่เราไม่รู้สึกในเรื่องเหล่านี้
เพราะเราถูกฝรั่งจูงจมูกมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นแบบอังกฤษ และเมื่อสมัย ส. ธนรัชต์ เป็นต้นมาเป็นแบบอเมริกัน และเวลาปัจจุบันนี้ก็คือเป็นแบบ IMF เป็นแบบ World Bank ที่เป็นผู้กำหนด
กลับมาที่ปัญหาที่เราตั้งคำถามเอาไว้ตั้งแต่แรก ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดี เวลานี้ก็คือมหาวิทยาลัยก็ส่วนหนึ่ง, โรงพยาบาลก็ส่วนหนึ่ง อาจจะสัมพันธ์กันบ้างถ้ามหาวิทยาลัยนั้นๆมีส่วนหนึ่งที่สอนเรื่องแพทยศาสตร์ แต่ว่าทั้งหมด องคาพยพ เป็นแบบเดิมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นที่ขอนแก่น ไม่ว่าจะเป็นที่เชียงใหม่ ฯลฯ องคาพยพทั้งหมดก็คือ "เดินตามกรุงเทพ" และ "กรุงเทพก็เดินตามฝรั่ง" ไม่มีการประกาศอิสระภาพจากฝรั่งเลย ?? นับตั้งแต่ปี 1855(พ.ศ.2398) ที่เมื่อเซ็นสัญญาเบาว์ริ่งมาแล้ว เราบอกว่าเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นฝรั่ง "แต่เราเป็นเมืองขึ้นทางปัญญา"มาตลอด
ทุกประเทศที่เป็นเมืองขึ้นของฝรั่งนั้นเขาได้ประกาศอิสรภาพกันหมดแล้ว ไม่ว่า อินเดีย , ปากีสถาน, พม่า, ลังกา แต่ประเทศไทยประเทศเดียวที่ไม่ประกาศอิสรภาพ เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นฝรั่ง แต่อันที่จริงเราเป็น ? ต้องยอมรับอันนี้นะครับ เราเป็นเมืองขึ้นฝรั่ง
เมื่อญี่ปุ่นมาปกครองบ้านเราในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เราก็บอกว่าเราไม่ได้เป็นเมืองขึ้นญี่ปุ่น "เราเชิญเขามา" ? แต่ อ.ปรีดี เป็นคนเดียวที่ปฏิเสธ ท่านถึงได้ทำขบวนการเสรีไทย เราถึงไม่เสียเอกราช
เมื่อสงครามเวียดนามก็เช่นเดียวกัน ฐานทัพอเมริกันมาตั้งอยู่เต็มไปหมด ขอนแก่น ,อุดร ,อุบลฯ เราก็บอกว่าเราไม่ได้เป็นเมืองขึ้นอเมริกา จนเดี๋ยวนี้เราก็ยังเป็นเมืองขึ้นอยู่ ยังไม่ประกาศอิสระภาพ ??
ปัญญาชน ชนชั้นนำของสังคมส่วนหนึ่งนั้น จิตสำนึกเป็นทาสทางปัญญาของฝรั่ง อธิการบดีมหาวิทยาลัยไทยส่วนใหญ่ก็เป็นทาสทางปัญญาฝรั่ง โดยเฉพาะที่ขอนแก่นนี้ด้วย... เป็นทาสในที่นี้เป็นอย่างไร?
แนวโน้มกระแสหลักของฝรั่งก็คือ "คนที่มีความคิด นั่นคือคนฉลาด" และยิ่งคนที่เรียนแพทยศาสตร์นั้น ถือว่าฉลาดกว่าคนอื่น และอธิการบดีมหาวิทยาลัยส่วนมากก็คือจะต้องเป็นแพทย์ และคนพวกนี้ก็ได้ทำความอะไรให้กับมหาวิทยาลัยไว้บ้างก็ทราบๆกันดีอยู่
ที่สำคัญ พวกที่มีความรู้มากจะมีความอหังการ อย่างนายธารินทร์ เขาถือว่าฉลาดที่สุดเรื่องการเงินการคลังไม่มีใครสู้เขาได้ หม่อมฯ โสนะกุล(ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนก่อน) ก็ถือว่าฉลาดที่สุด
เมื่อฉลาดแล้วจะต้องมีอำนาจ !! เพราะฉะนั้น มหาวิทยาลัยที่จะได้รับความสำเร็จจะต้องเอาผู้มีอำนาจมาร่วมด้วยในคณะบริหาร เช่น เอาอดีตอธิบดีกรมตำรวจบ้าง และใครต่อใครที่มีอำนาจ ฯลฯ มาเป็นคณะผู้บริหาร
พวกครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ จะเห็นว่าไม่ค่อยได้เรื่อง หรือถ้าเขาได้เรื่องเขาก็ทำวิจัยอะไรไป ไม่มายุ่งกับเราๆ ไปเมืองนอกบ้างอะไรบ้าง นอกจากครูบาอาจารย์ตามมหาวิทยาลัยส่วนมากก็ไม่ค่อยได้เรื่องแล้ว ที่ไม่ได้เรื่องใหญ่เลยก็คือเด็ก เพราะเด็กมันโง่ เพราะฉะนั้นถ้าเด็กมันหือ ต้องไล่มันออก เอาตำรวจจับมันเลย อันนี้คือแนวโน้มทั่วไปซึ่งต้องพูดให้ชัดเสียก่อน
ยิ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ยิ่งโง่ใหญ่เลย ที่คิดว่าชาวบ้านโง่นั้นเป็นเพราะ พวกนี้จะไม่เคยมีเวลาไปสัมผัสชาวบ้านเลย อันนี้เป็นธรรมดาเพราะคุณไปเอารูปแบบเมืองนอกเขามา แล้วก็คุณก็เขียนว่า มหาวิทยาลัยมีภารกิจหลักในด้านการสอน, การวิจัย,การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม , การบริการประชาชน "ไม่มีเลย" ??
สอน ?? ส่วนใหญ่ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้เรื่องสักวิชา ผมเคยพบกับอาจารย์ท่านหนึ่งท่านสอนอยู่ที่มหิดลเรื่องแพทย์ อย่างวิชาแพทยศาสตร์ที่เรียนมานั้น 90%ไม่มีประโยชน์เลย ? เพราะอะไร? เพราะเมื่อคุณเรียนจบมาแล้วคุณฟังอย่างเดียวคือ "ฟังบริษัทยาว่าคุณจะซื้ออะไรมาให้คนไข้" ก็คือ บริษัทยามีอิทธิพลเหนือแพทย์ที่สุด
วิจัย ? ส่วนมากก็ไม่ค่อยได้ทำ หรือถ้าทำก็คือ "เพื่อประโยชน์ส่วนตัว" ? อันที่จะมาวิจัยเพื่อจะให้เห็นปัญหาของสังคมองค์รวมนั้น "ไม่มีทาง" ? วิจัยเป็นเสี่ยงๆแบบฝรั่ง
เรื่องศิลปวัฒนธรรม ? ไม่ต้องพูดถึง ไม่รู้เรื่องเลย มีทีก็คือเอามารำเซิ้งกระติบข้าวอะไรต่ออะไรแล้วก็นึกว่า "นั่นคือเรียกว่าเป็นศิลปวัฒนธรรมแล้ว" ยิ่งเรื่องบริการสังคม ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราพูดเป็นการตีฝีปากกันทั้งหมด อันนี้เป็นเพราะเราลอกตำราฝรั่งมาต่างๆนาๆ แต่เราไม่เข้าใจเนื้อหาสาระจริงจัง 00000000
มหาวิทยาลัยนอกระบบราชการ
ทีนี้มาถามเรื่อง "มหาวิทยาลัยนอกระบบราชการ" เรื่องนี้คนแรกที่คิด ซึ่งผมเกี่ยวข้องอยู่ด้วยใน
ปี 2507-2508 คนแรกที่คิดคือ อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เพราะท่านเห็นแล้วว่า เงินราชการจะช่วยระบบทั้งหมดต่อไปไม่ไหว
ตอนนั้นเพิ่งจะเกิดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วยซ้ำไป ท่านเห็นแล้วว่าเราขยายอย่างนี้ต่อไปนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว
เหมือนเมื่อรัชกาลที่ 5 เริ่มระบบราชการขึ้นมานั้น นั่นเริ่มได้ แต่นั่นอาจจะเหมาะกับ ณ เวลานั้น. เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพมาเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย กระทรวงมหาดไทยมีข้าราชการทั้งหมด 28 คน ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีอยู่ 22-26 ปีมีข้าราชการอยู่ทั่วประเทศ 2,800 คน ซึ่งตอนนั้นมันมีพอ ที่ว่าพอก็คือ หนึ่งก็คือจ้างให้เงินเดือนแพงเข้าไว้เพื่อให้ได้คุณภาพ ตำแหน่งเทศาฯ ณ เวลานั้นเงินเดือนเกือบเท่าเสนาบดี
ผู้ว่าราชการจังหวัดไปที่ไหนๆคนต้องหมอบคลาน รักษาศักดิ์ศรี, นายอำเภอ พอมาตอนหลังนายอำเภอก็ไม่รู้ว่ากี่อำเภอเต็มไปหมด ผู้ว่าฯ บวกรองผู้ว่าฯ อีกไม่รู้ว่ากี่คน อำเภอหนึ่งๆไม่รู้ว่าเท่าไรต่อเท่าไร แล้วอย่างนี้ "รัฐ" จะเอาเงินที่ไหนมาทำ แล้วยิ่งเดี๋ยวนี้มี อบต. มีอะไรอีกมากมาย ฯลฯ เต็มไปหมด แล้ว"รัฐ" จะเอาเงินที่ไหนมาทำ
ฝรั่งเขาเห็นแล้ว ไปไม่รอด เขาถึงได้มาช่วยแก้ให้ไปให้รอด อันนี้ต้องชื่นชมเขา แต่ที่เสียคือ เขาเข้ามาก้าวก่ายเพราะคนของเราไม่เอาไหนพอที่จะให้เขาเข้ามาก้าวก่าย เพราะเราเองไม่มีสติปัญญาพอที่จะแก้ไขของเราเอง
กลับมาใกล้ตัวพวกเรา มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีเอกลักษณ์อะไรพิเศษกว่ามหาวิทยาลัยอื่นๆ ? เรื่อง "นอกระบบ" จะชอบหรือไม่ชอบก็คือ "มาแน่ๆ" ที่มาแน่ๆเพราะ "รัฐบาลจน" แล้วเรื่องนี้หลังจากอาจารย์ป๋วยเสนอมาแล้วนั้น นายกรัฐมนตรียุคนั้น และยุคต่อๆมาก็ไม่มีใครมีความกล้าพอที่จะทำ
และในยุคนี้เองที่บอกว่ารัฐบาลให้ความเป็นอิสระแก่มหาวิทยาลัย เพราะคุณ ถนอม กิติขจรคุมธรรมศาสตร์ คุณประภาส จารุเสถียร คุมจุฬาลงกรณ์ นี่คืออิสระ !! เพราะมหาวิทยาลัยขึ้นกับ 2 คนนี้โดยตรง ?
และพอหลัง14 ต.ค.เมื่อ 2 คนนี้ไปแล้ว มหาวิทยาลัยก็ยังนึกว่าตนเองมีอิสระแทนที่ !! แต่คนที่เข้ามาเป็นอธิการบดี ถ้าจะเป็นอย่างอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อยู่ได้ไม่ถึงปีหรอก ก็จะถูกถีบออกไป แล้วคนที่ถีบออกไปนั้นก็คืออาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั่นเอง ไม่ใช่ทหารที่ถีบออกไป
อธิการบดีมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะเป็นแบบ ถนอมและประภาสมาจนถึงทุกวันนี้ จิตสำนึกเป็นเผด็จการ จิตสำนึกเป็นพวก ส. รับใช้แทบทั้งนั้นทุกมหาวิทยาลัย
เพราะอาจารย์ป๋วยเป็นคนเดียว พอเข้ามาเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านเรียกตัวเลขมาดูเลย ธรรมศาสตร์ที่อาจารย์ปรีดีตั้งขึ้นเพื่อวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ตั้งขี้นเพื่อให้ลูกคนจนเรียน อาจารย์ป๋วยมาดู 97%ไม่มีลูกคนจนเรียนเลย ท่านหาทางเปิดเพื่อให้ลูกคนจนเรียน แล้วปรากฎว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยสอนภาคค่ำอะไรต่ออะไร รวยกันเพราะเหตุนี้ อาจารย์ป๋วยบอกให้เลิก พวกอาจารย์เหล่านี้จึงได้ถีบแกออกไป อย่าลืมว่า มหาวิทยาลัยก็ดี โรงพยาบาลก็ดี ล้วนเป็นแหล่งมั่วสุมหาเงินกัน
วชิราวุธวิทยาลัยนั้นอาจารย์ที่สอนอยู่ได้เงินเดือนไม่กี่บาท แต่สอนพิเศษได้เงินเดือนเป็นแสน เด็กมึงไม่ต้องเรียนมาก แต่ต้องมาเรียนพิเศษกับกูนะ มึงไม่เรียนมึงตกนะ "ระบบทั้งหมดมันฉ้อฉล" ตั้งแต่โรงเรียนไปจนถึงมหาวิทยาลัย และด้วยความเคารพ โรงพยาบาลก็ฉ้อฉลเช่นเดียวกัน
และความฉ้อฉลอันนั้นบางทีพวกเราไม่รู้สึก พวกเราไม่รู้สึกว่าพวกเราฉ้อฉล ความฉ้อฉลนั้นคุณจะรู้ได้หรือไม่รู้ได้ สำคัญมากถ้าคุณจะมองว่ามหาวิทยาลัย , โรงเรียน, โรงพยาบาลนอกระบบราชการเป็นองค์กรอิสระแล้วนั้น แล้วถามว่า ก่อนรัชกาลที่ 5 ที่มีศิริราชพยาบาล, ก่อนรัชกาลที่ 6 ที่มีมหาวิทยาลัย, เรามีหรือเปล่ามหาวิทยาลัย? เรามีหรือเปล่าโรงพยาบาล?
ตำราที่กระทรวงศึกษาธิการสอนมาบอกว่าไม่มี? เราเพิ่งมาเจริญเมื่อรัชกาลที่ 5 มานี่เอง คือเราสอนให้เราดูถูกตัวเองมาตลอด อย่างปากมูล เขาอยู่กันอย่างมีความสุขมา 700-800 ปี เราบอกว่าเขาด้อยพัฒนา แล้วก็ไปสร้างเขื่อนให้เขา ปี 2534 นี่เอง. ทำลายเขาหมด ทำลายแม่น้ำ ,ทำลายทรัพยากรทุกอย่าง ชาวบ้านไม่มีที่อยู่ที่กิน นั่นหรือคือความเจริญ
เช่นเดียวกัน ทั้งโรงพยาบาล และมหาวิทยาลัย เพราะ อย่างมหาวิทยาลัยขอนแก่นเองนี้ก็เถอะ คุณเรียนจบอะไรมาก็ได้ จบแล้ว แล้วคุณก็จะยังรู้สึกว่าตนเองด้อยอยู่นั่นเอง ต้องไปจบเมืองนอก เขาสะกดเลยว่าให้คุณด้อย
แล้วระบบมหาวิทยาลัยเมืองนอกเองก็เป็นศักดินาหลายขีดขั้น คุณเรียนมหาวิทยาลัยอเมริกาถ้าไม่ใช่ Ivy League คุณไม่มีความหมาย ต้องเรียน ฮาร์วาร์ด, เยล, หรือ ปริ๊นซ์ตั้น ที่ผมถามนี้คือเดิมทีเดียวเรามีหรือไม่มหาวิทยาลัย ? เรามีหรือไม่โรงพยาบาลตั้งแต่ก่อนรัชกาลที่ 5 ? คำตอบก็คือ เรามีอยู่เต็มที่เลย
วัดคือมหาวิทยาลัยไทย
มหาวิทยาลัยคือ
สถานที่ที่สอนความจริง ความงาม ความดี
โรงพยาบาลคือสถานที่ที่ปกป้อง , ป้องกันโรคไม่ให้โรคเกิดขึ้น
เรามีมหาวิทยาลัยทุหมู่บ้าน นั่นคือ "วัด" อันนี้เราลืมไปเลย
วัดนั้นเป็นมหาวิทยาลัย , เป็นทั้งโรงเรียน , เป็นทั้งศิลปวัฒนธรรม , เป็นทั้งพิพิธภัณฑสถาน , เป็นทุกอย่าง และวัดทุกวัดจนตราบมาถึงสมัย ส.ธนรัชต์ มานี่เอง วัดทุกวัดที่สร้างมาจะมีความประสานสอดคล้องกับธรรมชาติ เพราะพระนั้นเป็นคณะสงฆ์ซึ่งตั้งสืบทอดโดยตรงจากพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นท่านก็เหมือนเราทุกคน เป็นคนธรรมดาสามัญเหมือนพวกเรา และพระองค์รับสั่งพวกเราทุกคนมีสิทธิเหมือนพระองค์ ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย ไม่ว่าลูกเจ้า ลูกไพร่ ลูกโสเภณี มีค่าเท่ากันหมด แต่มิตินี้เราหายไปแล้วครับ เราอ้างว่าเราถือพุทธแต่มิตินี้เราหายไปแล้วครับ. วัดนั้นสอนอะไร? สอนทั้งประถมศึกษา , มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา
ประถมศึกษาคือเรื่อง"ทาน" คนไทยส่วนใหญ่จบประถมศึกษา เพราะคนไทยส่วนใหญ่มีทานเป็นเจ้าเรือน เรามีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้ซึ่งกันและกัน อันนี้คือทาน มนุษย์ถ้าขาดความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไม่มีความเป็นมนุษย์ ยิ่งในอีสานนี้สำคัญมากคนให้ทาน บุญพระเวศท์มีทุกปี เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า "การให้มันสำคัญกว่าการรับ"
พระเวสสันดรท่านให้กระทั่งลูกกระทั่งเมีย แต่เดี๋ยวนี้เราไปหาว่าท่านรังแกผู้หญิง รังแกเด็ก ถึงขนาดนั้น อีกทั้งเดี๋ยวนี้บุญพระเวศท์พระก็คือต้องการอย่างเดียว ต้องการเอาเงินเข้ากระเป๋า เพราะพระปัจจุบันท่านหมดแล้ว ท่านมาเดินตามเราๆ ทานนี้คือเป็นประถมศึกษาเลย
มัธยมศึกษาคือเรื่อง"ศีล" ศีลคือ มัธยมศึกษา ศีลคือสอนไม่ให้เอาเปรียบซึ่งกันและกัน สอนให้เกิดความปกติในสังคม สอนให้รู้จักรักษาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ วัฒนธรรมเราสร้างเรื่องทาน เรื่องศีล
อุดมศึกษาคือเรื่อง"ภาวนา" และ ภาวนาคืออุดมศึกษา ภาวนาคือสอนให้เรารู้จักตัวเรา ศักยภาพที่แท้จริงในตัวเรา เราทุกคนมีศักยภาพไม่เหมือนกัน แตกต่างกัน ทุกคนวิเศษหมด ไม่เหมือนกัน เราจะมาเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน
ระบบการศึกษาที่เรารับมาจากฝรั่ง เราทำลายศักยภาพของคนทั้งหมด คุณต้องเรียนตามที่เขากำหนดถึงจะฉลาด คุณไม่เรียนตามนี้โง่ แล้วเดี๋ยวนี้ก็คือ "คนส่วนใหญ่จะโง่" เพราะเด็กส่วนใหญ่เมื่อเรียนจบประถมจะเข้ามัธยมไม่ได้ หรือ จบมัธยมแล้วเข้าอุดมศึกษาไม่ได้ หรือ จบอุดมศึกษาก็ยังรู้สึกเป็นปมด้อยอยู่ เราทำลายคนทั้งหมดครับ
ทีนี้ถ้าเราจะกลับมาฟื้นฟู เราต้องกลับมาหาวัฒนธรรมดั้งเดิมของเรา โรงพยาบาลต้องไม่ใช่ที่รักษาโรค ?? โรงพยาบาลต้องเป็นที่ซึ่งป้องกันโรคด้วย เพราะ Preventive สำคัญมากกว่า Curative
และทั้ง Preventive และ Curative นี้มันมีอยู่ในสังคมของเราครับ ไม่ใช่ไปเอายาฝรั่งมาอย่างเดียว ไม่ใช่มาฉีดมอร์ฟีนกันอายุ 60 แล้วยังมาดึงหน้า ? มาเต้นรำชุมนุมอยู่ จะต้องกลับมาหาของเรานะครับ มันมีอยู่ในพื้นฐานเดิมของเราและพื้นฐานเดิมนี่สำคัญ คนอายุ 60-70 ก็มีความสำคัญ ถึงอยู่อีกไม่กี่ปีก็มีความสำคัญ แต่สำคัญน้อยแล้ว พวกท่านทั้งหลายสำคัญมากกว่าเพราะยังอยู่อีกหลายปี
เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจพื้นฐานของเราแล้วนั้น ผมไม่ได้บอกว่าให้กลับไปสร้างวัดกันนะครับ อันนี้ปล่อยให้ธรรมกายเขาสร้างไปคนเดียว
แต่ว่าการที่มองหาเอกลักษณ์ในทางความรู้ เอกลักษณ์ในทางความคิด เอกลักษณ์ในทางความเป็นมนุษย์นั้น ปู่ย่าตายายเรารับมาจากพระพุทธเจ้าโดยตรง ทั้งหมดเป็นองค์รวม ฝรั่งเขาเป็นเสี่ยงๆ มหาวิทาลัยก็คือเรื่องความคิด , โรคพยาบาลเรื่องโรค , พิพิธภัณฑ์นั้นเรื่องศิลปะ มันแยกออกจากกันไปหมด ของเราเป็นองค์รวมทั้งหมด
ทีนี้ถ้าถามว่าเป็นองค์รวมนั้นเป็นไปได้หรือไม่? ก็คือ "เป็นไปได้" แล้วพูดในแง่นี้ในภาคอีสานนี้เป็นยอด วิเศษกว่าในภาคอื่นทั้งหมด ท่านต้องอย่าลืมว่าคนอีสานเวลานี้แพร่ออกไปอยู่ทุกหนทุกแห่ง เป็น Subculture ที่สำคัญที่สุดเลย แต่เรามองไม่เห็น
กุ๊กร้านอาหารญี่ปุ่นเวลานี้ก็คนอีสาน , งิ้วเดี๋ยวนี้ก็คนอีสานเล่น , สวดกงเต๊กตอนนี้ก็คนอีสานเป็นคนสวด ถามว่าที่เขาสวดนั้นเขารู้เรื่องหรือเปล่า? เขาตอบว่าไม่รู้แต่อาศัยการท่องจำเอา เพราะถ้าเป็นคนสวดจะได้รับถวายมากกว่า เล่นงิ้วได้ร้อยเดียว แต่เป็นคนสวดอย่างนี้รับถวายทีได้เป็นพัน
คนเหล่านี้เป็นอธิการบดีได้ เป็นคณบดีได้ทั้งหมด แต่ว่าถูกกีดกันเพราะว่าไม่ได้จบจากเมืองนอก, เพราะว่าไม่ได้เป็นด๊อกเตอร์ เพราะเราถูกสยบ คำตอบอยู่ที่ฝรั่งเท่านั้นเอง แล้วพวกที่เป็นด๊อกเตอร์ทั้งหลายอยู่ในเวลานี้นั้น พวกนี้ส่วนใหญ่ไม่รู้จักกำพืดเดิมของตัวเอง "ลืม". ลูกแม่ค้าบางคนยังลืมกำพืดเดิมของตัวเองเลย ? อันนี้ไม่ได้ว่าใครนะครับ แต่ว่าระบบของเราทั้งหมด
ระบบของเราทั้งหมดทำลายคน ถ้าคนอีสานเข้าโรงเรียนจะอายทันที อายที่จะพูดภาษาลาวแล้ว คุณไปขี้ไปเยี่ยวไม่ได้จะต้องพูดว่าไปปัสสาวะ ไปอุจจาระ คือดัดจริต ไปหมดเลย
สาธารณสุข "ความสุขซึ่งเป็นสาธารณะ"
คือที่ผมพูดมาอาจจะไม่มีประโยชน์ แต่ผมอยากจะเรียนถามว่าถ้าเราต้องการ "องค์กรอิสระ"
ต้องการหน่วยงานสาธารณสุข ซึ่งคำว่า "สาธารณสุข" นี้ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ Public
Health อย่างฝรั่ง
สาธารณสุขหมายความว่า "ความสุขซึ่งเป็นสาธารณะ" ซึ่งเราเองต้องมีความสุขครับ แล้วอันนี้ละครับ ทาน ศีล ภาวนา นั้นท่านสอนให้มีความสุข แล้วเมื่อเราแต่ละคนมีความสุข เราต้องพึ่งตนเองครับ อัตตาหิ อัตโนนาโถ ปู่ยาตายายเราพึ่งตัวเองมาตลอด ทำไร่ทำนาอะไรต่างๆ
ตอนนี้เขาพยายามไม่ให้เราพึ่งตัวเอง เขาให้เราสั่งเข้าตลอดเวลา WTO, World Bank ล้วนแล้วแต่เป็นปฏิปักษ์กับเราทั้งหมด เขาต้องการให้เราไปพึ่งเขา ยาต่างประเทศทั้งหมดก็ล้วนเป็นปฏิปักษ์กับเราเช่นเดียวกัน ยาต่างประเทศบางอย่างอาจจะเป็นประโยชน์ไม่ใช่ว่ายาทั้งประเทศทั้งหมดไม่มีประโยชน์ คนในธนาคารโลกบางคนก็อาจจะเป็นคนดี
ลูกชายอาจารย์ป๋วยคนหนึ่งตอนนี้ก็ทำที่ธนาคารโลกอยู่ และหลายคนเป็นคนดี "แต่ต้องเข้าใจองคาพยพทั้งหมดมีโทษ"
มหาวิทยาลัยขอนแก่นโดยเนื้อหาสาระเป็นโทษ แต่อาจารย์บางคนก็เป็นคนดี ต้องเข้าใจ ถึงแม้ไม่ใช่คนเลว แต่เขาก็อาจจะมองไม่เห็นองคาพยพทั้งหมดที่เป็นโทษ พวกนี้ไม่ใช่เลวร้าย แต่พวกนี้เป็นผู้ซึ่งไม่เข้าใจบริบทของวัฒนธรรม
เพราะฉะนั้นอันที่หนึ่ง "มนุษย์จะต้องแสวงหาความสุขให้ได้ และความสุขนี้ต้องเจือจานคนอื่น นั่นคือเรื่องของศีลโดยตรง และการเจือจานคนอื่นนั้นต้องเคารพคนอื่นทั้งหมด"
ในวัฒนธรรมเดิมของเราๆเห็นทุกคนเป็นพ่อเป็นแม่ของเรา ตอนที่ผมไปที่ลาดักซึ่งเป็นดินแดนเดียวในอินเดียซึ่งยังมีความเป็นพุทธหลงเหลืออยู่ ตอนผมไปนั้นเขาเรียกผมเป็น"แม่" ผมตื่นเต้นมาก ถามมาก็ได้ความว่า ชาตินี้ไม่เป็น ชาติก่อนก็เป็น ชาติก่อนไม่เป็น ชาติหน้าก็ต้องเป็น มิตินี้เราก็หาย เรื่องชาติก่อนชาติหน้านี้เราหายหมดเลย เพราะเราไปเชื่อฝรั่งว่า เกิดมาชาตินี้เท่านั้นเอง ช่วงนี้เท่านั้นต้องตักตวงให้ได้มากที่สุดไม่ยอมแก่, ไม่ยอมเจ็บ ไม่ยอมอะไรทั้งนั้นนี่ผิดหมดเลย
เมื่อเรารักสรรพสัตว์ทั้งหมด เรารักต้นไม้ทั้งหมด มันเป็นอิทัปปจยตา ทั้งหมดมันพึ่งพาซึ่งกันและกัน ปู่ย่าตายายเราเห็นน้ำว่าเป็น"แม่" เรียกแม่น้ำ แม่แจ่ม, แม่สะเรียง, ถ้าเป็นภูเขาก็เป็นผู้ชายก็เรียก"ขุน" เช่น ขุนยวม ฯลฯ นี้จะเห็นว่าเราถูกตัดขาดจากกำพืดเราหมด
ถ้าเรากลับมาเห็นสรรพสัตว์เป็นเพื่อน เห็นคนฝั่งลาว ฝั่งเขมร เป็นพี่เป็นน้องกับเรา และเราไม่ไปดูถูกเขา อันนี้จะทำให้เรารักกันได้แต่ สื่อสารมวลชนของเราไปโจมตีเขา โจมตีโดยไม่ได้ตั้งใจด้วยวิธีการต่างๆ เพราะลึกๆเราขาด... อันนี้ต้องกลับมา
แต่กลับมาไม่ใช่เพื่อชาตินิยมของชาวอีสาน แต่ว่าต้องมีความภูมิใจในปู่ย่าตายาย ภูมิใจในเพื่อนของเราที่เป็นลาว เพื่อนของเราที่เขมร เพื่อนของเราที่มาลายูที่ต่างภาษากับ เราต้องสร้างพื้นฐานข้างล่างให้แข็ง
อันนี้นักการเมืองก็ทำอะไรเราไม่ได้ นักการเมือง(ไม่ดี)บางคนยังอยู่ไม่ได้เลย ถึงเป็น สว.ก็สามารถแขวนได้ และที่แขวนได้นั้นไม่ได้มาจากความสามารถอะไรของผู้ที่ไปแขวนอะไรเลยแต่หากว่า "มันมีการเปลี่ยนแปลง" องค์กรพัฒนาเอกชน(NGOs)เองก็มีการเปลี่ยนแปลง แม้จะมีคนไม่ดีปะปนอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีคนที่ดีๆที่เขาอุทิศชีวิตให้อยู่เช่นกัน
แล้วชาวบ้านของเราในภาคอีสานเราถูกปู้ยี้ปู้ยำยำมาก คนภาคอีสานหนีไปอยู่ที่อื่นมากที่สุด เพราะเขาถูกทำปู้ยี่ปู้ยำมาก่อนที่อื่น ดงพญาไฟ ดงพญาเย็น เขาถูกทำลายมาก่อนที่อื่น และการถูกทำลายก่อนที่อื่นในแง่หนึ่งมันดี มันดีที่เราจะกลับคืนมา
ทิเบตถูกทำลายทั้งประเทศมา 40 กว่าปี เป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมที่ประเสริฐที่สุดแต่ถูกทำลายทุกอย่าง แต่ว่าท่านดาไลลามะท่านสอนเสมอว่า ให้เราต้องรักประเทศจีน รักคนที่เขาทำลายเรา อย่าไปเกลียดเขา สร้างสันติภาวะข้างใน สร้างชุมชนให้มีสันติ สร้างชุมชนให้เข้มแข็งมีเมตตา, มุทิตา, อุเบกขา อันนี้เป็นพื้นทุนเดิมของพวกเรา แต่เราถูกทำให้ลืมไปหมด จะเห็นว่าเชยไม่ได้เรื่อง แล้วเราไปเอาคำภาษาฝรั่งที่เราเข้าใจมั่งไม่เข้าใจมั่งมาใช้
การเรียนรู้จากกันและกัน
จะเห็นว่าท่านทั้งหลายนี้ ถ้าผมพูดมานี้พอจะมีประโยชน์บ้างนั้น อยากจะให้กลับมา
โรงพยาบาลในระบบที่เป็นอยู่ในเวลานี้นั้น มันมีอะไรดี มันมีอะไรบกพร่อง ? แน่นอนว่ามันต้องมีอะไรดี
มันต้องมีอะไรบกพร่อง แต่ว่าข้อสำคัญทำอย่างไรถึงให้ทุกคนรู้สึกมีความภูมิใจ
และเรียนจากกันและกันได้
หัวหน้าเรียนจากลูกน้อง ลูกน้องเรียนจากหัวหน้า พยาบาลเรียนจากคนไข้ คนไข้เรียนจากพยาบาล เพื่อนกันก็เรียนจากกันและกัน สัตว์ที่เราเอามาทดลอง เอามาเป็นแพทย์เป็นยา เรียนจากสัตว์เขาได้ไหม? เคารพเขาได้ไหม? อันนี้จะเปลี่ยนมากเลยนะครับ
อาจารย์ประเวศ วะสี นั้น ท่านดีวิเศษตรงไหน? ในความเห็นของผมท่านไม่ได้ดีวิเศษตรงไหนเลย ท่านดีวิเศษตรงที่ท่านเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนตลอดเวลา ท่านอาจจะเชี่ยวชาญในเรื่องโลหิตวิทยา นั่นก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ท่านมานั่งพับเพียบคุยกับคนเจ็บทุกคนที่ไปที่ตึกอานันทราษฎร ท่านมีเวลาให้ทุกคน
หมอที่เขาไม่มีเวลาให้คนไข้นั้นอย่าไปโทษเป็นความผิดของเขานะครับ ระบบมันทำให้เขาต้องหน้างอ เพราะคนมันมาเยอะเหลือเกิน แต่ถ้าไปคลีนิคแล้วเขาต้องยิ้มให้เพราะเขาได้สตางค์
แสดงให้เห็นว่า ปัจจัยที่กำหนดเราคือปัจจัยเรื่องอำนาจ ปัจจัยในเรื่องทรัพย์ ซึ่งมันเป็นเรื่องของ โลภ โกรธ หลง แล้วอาจารย์ประเวศ ท่านไม่ต้องการมีคลีนิค ท่านไม่ต้องการทรัพย์ เพราะฉะนั้นท่านเลยมีเวลาให้
เพราะฉะนั้นถ้าเราแต่ละคนเริ่มรู้สึกว่าเรามีความอิ่มใจ อิ่มตัว ต้องการน้อย ก็คือจะมีเวลาให้มาก
ประเด็นนี้แลที่ กลัวการออกนอกระบบนี้นั้น กลัวเงินเดือนจะไม่ได้ขึ้น กลัวว่าจะไม่มีความมั่นคงในชีวิต กลัวว่าจะไม่ได้เครื่องราชฯ ?? ของที่เขาหลอกเขาลวงนี้มันกลายเป็นของจริงขึ้นมาได้ อะไรที่เป็นของเล่นเราต้องรู้ อะไรเป็นของจริงเราต้องรู้. ของจริงคือ ทำอย่างไรจิตใจเราถึงจะสงบ สำคัญนะครับ ถ้าเราสงบแล้วท่านจะรู้สึกว่า เขาเดือดร้อนมากกว่าเราเยอะแยะ
จริงอยู่พยาบาลทำงานหนักกว่าแพทย์และได้ค่าตอบแทนที่น้อยกว่า แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าคนที่เขาเจ็บป่วยมานั้นเขาเดือดร้อนมากกว่าเรา คุณจะเปลี่ยนมิติเลย เมื่อคุณได้เป็นเพื่อนกับเขา คุณได้เรียนกับเขา คุณเปลี่ยน และเมื่อคุณเปลี่ยนคุณจะรู้สึกว่าคุณต้องการน้อย จะให้มาก
อันนี้คุณจะมีพลัง พลังมาจากไหน? มาจากคนไข้ คนไข้เหล่านั้นเขามีญาติพี่น้องเต็มไปหมดแล้ว คนอีสานเป็นคนที่สามารถโยงใยรวมตัวกันได้มากที่สุด อย่าลืมว่า "พรรค" ที่เข้มแข็งที่สุดคือคนในภาคนี้ พรรคสลายไปแล้วก็จริง แต่ว่าวิธีการของพรรคหลายอย่างยังคงมีประโยชน์อยู่ โดยเฉพาะการเอื้ออาทร ในการโยงใยกัน แต่สิ่งที่พรรคขาดก็คือ "พรรคไม่มีจิตสำนึกในทางความเป็นมนุษย์ จิตสำนึกในทางเป็นสันติ"
ที่พรรคต่างๆทั้งหลายที่พังๆกันนั้น เพราะเขาไปคิดจากข้างนอก ถ้ามหาวิทยาลัยยังคิดถึงแต่เรื่องตึกข้างนอก โรงพยาบาลยังคิดถึงอะไรที่เป็นข้างนอก นั่นคือพังครับ
มันต้องพยาบาลในนี้นั่นแหละ ต้องพยาบาลจิตใจคุณให้เข้มแข็งให้หาย Curative ในนี้ Preventive ในนี้ แล้วคุณเรียนรู้ มหาวิทยาลัยในตัวคุณนี้ แล้วเพื่อนคุณมาเป็นกัลยาณมิตรกันครับ เรียนจากกันและกัน พยาบาลสอนให้หมออ่อนน้อมถ่อมตัวมาเคารพพยาบาล พยาบาลเองเคารพอ่อนน้อมถ่อมตัวไปหา อันนี้สอนได้นะครับ สอนไม่ได้สู้เลย สู้อย่างสันติวิธี
ที่ผมพูดนี้ท่านทั้งหลายอาจจะหาว่าเพ้อฝันนะครับ แต่ผมไม่ได้พูดด้วยความเพ้อฝัน เพราะว่าผมมีชีวิตมานี้นั้น ผมจะได้เปรียบท่านทั้งหลายในที่นี้เพราะผมแก่กว่าท่านทั้งหลาย และผมได้ผ่านชีวิตมานานพอสมควร แล้วที่ผมรู้สึกว่าชีวิตผมมีค่านั้น เพราะผมได้มีโอกาสได้พบปะคนยากไร้มามาก ผมได้เรียนจากคนที่ปากมูล ผมเรียนจากคนชาวเขาเผ่าต่างๆ ซึ่งผมเคยดูถูกว่าเขาโง่เขลาเบาปัญญา เพราะผมเป็นนักเรียนนอกเหมือนกัน
นักเรียนนอกมันมีอหังการมันดูถูกคนอื่น ซึ่งเป็นความผิดที่ร้ายแรงซึ่งผมเรียนจากพระพุทธเจ้า ผมจะต้องปลงอาบัติ ผมจะต้องขอขมาลาโทษ ผมเคยโจมตีท่านอาจารย์ปรีดีอย่างร้ายแรงที่สุด ซึ่งผมจะต้องขอขมาลาโทษ เพราะผมเห็นแล้วว่าท่านอาจารย์ปรีดี ท่านได้ทำมากกว่าคนอื่นทั้งหมดเพื่อราษฎร
และในเดือน พ.ค.43 นี้อายุของท่านครบ 100 ปี เรามาบูชาคุณอาจารย์ปรีดีได้โดยกลับมาหาพื้นภูมิฐานเดิมของเรา กลับมาหาให้พวกเราทุกคนมีความเชื่อมั่น มีความเข้มแข็ง มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ผมว่าอันนี้เป็นพื้นฐาน
ที่โรงพยาบาลก็ดี มหาวิทยาลัยก็ดี ออกนอกระบบราชการเพื่อเป็นตัวของเราเอง เพื่อเอื้ออาทรต่อชาวบ้าน เพื่อเรียนรู้ภูมิธรรมของชาวบ้าน โดยโยงไปถึงภูมิธรรมอื่นๆรอบๆบ้านของเรา นอกประเทศของเราเองด้วย หวังว่าที่ผมพูดมานี้คงมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะครับสวัสดีครับ
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา I webboard I ประวัติ ม.เที่ยงคืน
e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
สำหรับสมาชิกที่ต้องการ download ข้อมูล อาจใช้วิธีการง่ายๆดังต่อไปนี้
1. ให้ทำ hyper text ข้อมูลทั้งหมด
2. copy ข้อมูลด้วยคำสั่ง Ctrl + C
3. เปิด word ขึ้นมา (microsoft-word หรือ word pad)
4. Paste โดยใช้คำสั่ง Ctrl + V
จะได้ข้อมูลมา ซึ่งย่อหน้าเหมือนกับต้นฉบับทุกประการ
(กรณีตัวหนังสือสีจาง ให้เปลี่ยนสีเป็นสีเข้มในโปรแกรม Microsoft-word)
ในยุคนี้เองที่บอกว่ารัฐบาลให้ความเป็นอิสระแก่มหาวิทยาลัย เพราะคุณ ถนอม กิติขจรคุมธรรมศาสตร์ คุณประภาส จารุเสถียร คุมจุฬาลงกรณ์ นี่คืออิสระ !! เพราะมหาวิทยาลัยขึ้นกับ 2 คนนี้โดยตรง ?
และพอหลัง14 ต.ค.เมื่อ 2 คนนี้ไปแล้ว มหาวิทยาลัยก็ยังนึกว่าตนเองมีอิสระแทนที่ !! แต่คนที่เข้ามาเป็นอธิการบดี ถ้าจะเป็นอย่างอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อยู่ได้ไม่ถึงปีหรอก ก็จะถูกถีบออกไป แล้วคนที่ถีบออกไปนั้นก็คืออาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั่นเอง ไม่ใช่ทหารที่ถีบออกไป
อธิการบดีมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะเป็นแบบ ถนอมและประภาสมาจนถึงทุกวันนี้ จิตสำนึกเป็นเผด็จการ จิตสำนึกเป็นพวก ส. รับใช้แทบทั้งนั้นทุกมหาวิทยาลัย
เพราะอาจารย์ป๋วยเป็นคนเดียว พอเข้ามาเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านเรียกตัวเลขมาดูเลย ธรรมศาสตร์ที่อาจารย์ปรีดีตั้งขึ้นเพื่อวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ตั้งขี้นเพื่อให้ลูกคนจนเรียน อาจารย์ป๋วยมาดู 97%ไม่มีลูกคนจนเรียนเลย ท่านหาทางเปิดเพื่อให้ลูกคนจนเรียน แล้วปรากฎว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยสอนภาคค่ำอะไรต่ออะไร รวยกันเพราะเหตุนี้ อาจารย์ป๋วยบอกให้เลิก พวกอาจารย์เหล่านี้จึงได้ถีบแกออกไป อย่าลืมว่า มหาวิทยาลัยก็ดี โรงพยาบาลก็ดี ล้วนเป็นแหล่งมั่วสุมหาเงินกัน