รสนิยมทางศิลปะแบบที่เป็นทางการของโลกทุกวันนี�
ได้ถูกครอบงำให้มีความรู้สึกกับสุนทรียรสแบบ Eurocentric บทความนี� กำลังจะช่วยให้เราขยายขอบเขตของการสัมผัสรับรู้ให้กว้างขวางออกไป |
เมื่อราวปลายศตวรรษที�
19 ต่อมาถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นั้น
ศิลปินและนักวิจารณ์หลายค�
ได้รับแรงบันดาลใจจากผลงานศิลปะ
ที่อยู่นอกเขตดินแดนตะวันตก
หลายคนประทับใจกับศิลปะแอฟริกัน
อีกหลายคนมีความรู้สึกกับศิลปะของหมู่เกาะ
ในมหาสมุทรต่าง�
นอกจากนี� ศิลปินบางค�
มองดูผลงานของเด็กๆด้วยความริษย�
และอีกหลายๆคนชื่นชมกับงานศิลปะบำบั�
ซึ่งทำขึ้นมาจากผู้ป่วยทางจิต มันเกิดอะไรขึ้นกับความวุ่นวายเหล่านี�
ในช่วงที่เรายังเป็นเด็กอยู่นั้� พวกเราทั้งหลายในโลกต่างก็เป็นศิลปินด้วยกันทั้งสิ้น.
แต่เมื่อเราเติบโตขึ้นม� แรงผลักดันในทางสร้างสรรค์ภายในของเรา มันกลับค่อยๆจางหายไป
กระนั้นก็ตาม ศิลปะของคนนอ� หรือ outsider art ได้พิสูจน์แล้ว
ถึงการมีอยู่เกี่ยวกับพลังในการสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่ไม่มีวันจบสิ้น.
ความจริงแล้ว ภายในตัวของพวกเราแต่ละคนต่างก็มีสะเก็ดหรือประกายสุกสว่างอันนั้� ซึ่งมันคือประกายแห่งความเป็นสากลที่พวกเราต่างมีร่วมกันในเชิงสร้างสรรค์ของมนุษย�. สิ่งนี้ทำให้เรารู้สึกขอบคุ� ต่อประกายบางอย่างที่ไม่เคยดั�, ตัวของมันเองไม่เคยถูกบดขยี้ลงไปโดยบรรทัดฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมของความเป็นผู้ใหญ่และเงื่อนไขทางวัฒนธรรมต่าง�. บรรดานักสร้างสรรค์โดยสหัชญาน หรือการหยั่งรู�(intuition)เหล่านี้ คือบุคคลที่บทความเรื่อ�"ดิบงามในงานสร้างสรรค์ " เป็นหนี้และรู้สึกขอบคุณในการมีอยู่ขอ�"ศิลปะของคนนอ�".
ในขณะที่การนำเสนองานศิลปะในแบบขนบประเพณี ต้องพานพบกับการดูหมิ่นเหยีดหยามและความไม่สนใจมากขึ้นเรื่อย� ดังที่พบเห็นกันในปัจจุบั�, ในเวลาเดียวกันนั้นก็มีการค้นพบว่� มันมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ข้างนอกนั่� บางสิ่งซึ่งเป็นศิลปะที่แท้ ซึ่งมาปะทะกับเราในฐานะที่เป็นการเปิดเผยตัวที่มีชีวิตชีวา สดและใหม�, แรงและดิบเถื่อ�. เมื่อเราได้ล้วงลึกเข้าไป กลับต้องพบว่�, มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ถูกเอาชนะหรือต้องถูกทำให้พ่ายแพ้ต่อพลังอำนาจและความประหลาดใจเกี่ยวกับการแสดงออกอันกล้าหาญของผู้คนเหล่านั้น ซึ่งเป็นของจริงอย่างไม่มีการเสแสร้�
เส้นทางที่นำไปสู่การยอมรับเกี่ยวกับศิลปะของคนนอกนั้น มันเป็นเส้นทางสายที่ยาวไกลและยากลำบากสายหนึ่� เกือบๆจะครบรอบแห่งศตวรรษนี้พอด� มันจึงได้รับการยอมรั�. ไม่มีใครล่วงรู้สิ่งที่เป็นผลงานอันยิ่งใหญ่เหล่านี้มาก่อน ทั้งนี้เพราะทุกคนต่างมองไม่เห็นคุณค่� ด้วยเหตุนี� บางครั้งมันจึงไดสูญไปหรือไม่ก็ถูกทำลายลงอย่างรู้เท่าไม่ถึงกา�. ศิลปะของคนนอกได้ถูกเยาะเย้ยถากถางมานานปี และไม่มีใครให้ความสนใจ แต่กระนั้นก็ตา� ปัจจุบัน, แน่นอน มันเป็นช่วงเวลาที่มาถึงแล้วที่ศิลปะเหล่านี้จะเข้าครองพื้นที่อย่างมั่นค� ในโลกของศิลป�.
ในช่วงทศวรรษสุดท้ายของศตวรรษที่ผ่านม�
ศิลปะของคนนอ� ได้ยุติการเป็นที่สนใจกันอย่างลับ� หรือเป็นการส่วนตัวสำหรับคนที่ติดตามผลงานดังกล่าวเหล่านี้เพียงไม่กี่คนล�.
ศิลปะของคนนอ� มันมีพัฒนาการอันน่าตื่นเต้นมากในศิลปกรรมร่วมสมัยซึ่งพวกเราได้พบเห็นกันมาหลายปีแล้ว,
ซึ่งพัฒนาการอันน่าเร้าใจนี้ได้มีผลสะท้อนกลับและมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางต่อวงการศิลป�.
และนอกจากนี้ มันได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับวิธีคิดของเราทั้งหมด เกี่ยวกับพัฒนาการของศิลปะในยุคสมัยของเรา
และแนวความคิดเกี่ยวกับความสมบูรณ�
และความมีเหตุมีผลเกี่ยวกับการศึกษาทางด้านศิลปะของพวกเราด้ว�
อัตราเร่งของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในยุคสมัยใหม่ - อัตราเร่งอันหนึ่งซึ่งได้ก่อให้เกิดเส้นทางการเดินทางและการท่องเที่ยวอย่างมากมาย การเจริญเติบโตของตลาดข้ามชาต� และเหนือสิ่งอื่นใด การกระตุ้นของสื่อเทคโนโลยี ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงให้ศตวรรษที่ผ่านมาของเรา เป็นยุคแห่งภาพลักษณ์ขอ�"ความเร่งรี�" สำหรับเร�, ท่ามกลางมรดกและบทเรียนอันมากมา� ในท้ายที่สุดของโอกาสดังกล่าว ก็ได้น้อมนำเรามาสู่วันเวลาของการรับรู้เกี่ยวกับศิลปะบางอย่าง และตระหนักถึงมิติต่างๆทีแท้จริงของมั� ในฐานะที่เป็นปรากฎการณ์ของโลกกว้างอันหนึ่ง. มาถึงตอนนี� เราได้เข้ามาสู่แผนที่ของศิลปะซึ่งมีสีสรรที่เข้มข้นมากขึ้� และเต็มไปด้วยรายละเอีย� ซึ่งมันยากที่จะซาบซึ้งแต่เพียงลางๆและลวกๆเท่านั้� กับสิ่งที่เป็นตัวแทนของพื้นที่ทั้งหมดของการแสดงออกด้วยภาพที่นอนแบอยู� ซึ่งครั้งหนึ่ง มันเคยหลุดรอดไปจากอาณาเขตดินแดนที่ถูกสำรวจอย่างละเอียด โดยขนบประเพณีแบบตะวันต� มันเป็นประสบการณ์อันน่าสะดุ้งตกใจและเร้าอารมณ์อันหนึ่ง ในการมองย้อนกลับไปถึงการปฏิวัติเรื่องรสนิย� ซึ่งเกิดขึ้นมาในยุโรปในช่วงระหว่างทศวรรษสุดท้ายของคริสตศตวรรษที่ 19 และทศวรรษแรกของคริสตศตวรรษที� 20. ในช่วงปีเหล่านี้นี่เอง เราจะเห็นว่า บรรดาศิลปินตะวันตกทั้งหลาย ต่างละทิ้งแบบแผนหรือรูปจำลองทางสุนทรียภาพแบบดั้งเดิมลง และเริ่มค้นหาแรงบันดาลใจจากศิลปะชายขอบ(marginal arts) ทั้งหลาย |
Klee เองรู้สึกพศวงและแฝ�
ความอิจฉ� เมื่อต้องเผชิญหน้ากั�
ภาพเขียน ของพวกเด็ก� หรือผลงานของบรรดาคนไข้โรคจิต
ผลกระทบของงานศิลปะดิบเถื่อ�
ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปล�
ในระดับราก ของสุนทรียภา�
แบบยุโรป
สำหรับคำว่�"ศิลปะชายขอ�" ในที่นี้หมายความถึ� รูปแบบต่างๆที่มีอยู่อย่างมากมา� ของการแสดงออกมาให้เห็นได้ด้วยต� ซึ่งคุณค่าและสไตล์ของมันต่างเป็นที่แปลกหูแปลกต� ต่อรูปงานศิลปะกระแสหลักแบบตะวันต� ซึ่งเป็นที่ยอมรับกัน. ตัวอย่างเช่น :
ความหลงไหลขอ� Gauguin
(โกแก�) ซึ่งตัวเขาเองนั้� ได้ให้ความสนใจต่� งานประติมากรรมพื้นบ้านขอ� Britanny
(หมายถึงศิลปะพื้นบ้านของอังกฤ�) และศิลปะพื้นเมืองของ Polynesia ;
ส่วน Picasso มีความรู้สึกดูดดื่มในช่วงสั้นๆกับงานแกะสลักของแอฟริกันตะวันตกและ
Iberian;
และศิลปิ� Kandinsky รู้สึกชื่นชอบรสนิยมของงานภาพพิมพ์พื้นบ้านของรัสเซี� และภาพเขียนทางศาสนาอันเป็นที่นิยมกันขอ�
Bavarian, เช่นเดียวกับใจที่เปิดกว้างของเขา ต่อศิลปะพื้นเมืองของชาวยุโรปและศิลปะของชนเผ่าที่ไม่ใช่ยุโร�;
Klee เองก็รู้สึกพิศวงและแฝงความอิจฉ� เมื่อเผชิญหน้ากับภาพที่ได้ถูกวาดขึ้นมาโดยบรรดาพวกเด็กๆหรือบรรดาคนไข้โรคจิต;
ส่วน Brancusi กระตือรือร้นและมีใจจดจ่อกับศิลปะพื้นบ้านของชาวโรมาเนี่ยน และงานแกะไม้ของแอฟริกั�.
นอกจากความหลงใหล ดูดดื่มและชื่นชอ� ปนความพิศวงของปัจเจกศิลปินที่ยกมาเป็นตัวอย่างข้างต้นนี�
ซึ่งมีให้กับรสชาติของสุนทรียภาพที่ผิดแผกแปลกใหม่เหล่านี้แล้ว, ยังมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มศิลปิ�
French Surrealism (ลัทธิเหนือจริงฝรั่งเศส) แล� German Expresionism ซึ่งมีลักษณะสุดขั้วในระดับฐานรากของศิลปะเลยทีเดียว.
เราจะเห็นว่า บรรดาศิลปินเหล่านี้ได้ให้ความสำคัญ และความโดดเด่นต่อการสร้างสรรค์ของชนเผ่าจากแอฟริก�,
โอชีอเนี�(Oceania อยู่บริเวณนิวซีแลนด์) หรืออเมริกาเหนือด้วย
ความไม่เหมือนกันต่างๆเหล่านั้นทั้งหมดของลัทธิดึกดำบรรพ�(primitiveism)โดยแก่นแท้ คือตัวอย่างในขอบเขตที่บรรดาศิลปินต่างยอมให้มันโดดเด่� และมีความสำคัญต่อความแปลกใหม�, ในลักษณะปลุกเร้า, ประหลาดชวนหลงใหล, กระทั่งเถื่อนหรืออนารย�. ผลกระทบโดยรวมของสิ่งเหล่านี้ ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับรากฐานของสุนทรียภาพแบบยุโร� มันเป็นความเปลี่ยนแปลงซึ่งยังคงท้าทายเราอยู่อย่างต่อเนื่อง ในการคิดถึงขอบเขตของการแสดงออกอันเป็นที่ยอมรับ และลำดับการที่ยอมรับได้ของการโต้ตอบหรือขานรับทางสุนทรียภาพของเรา.
ครั้นมองย้อนมายังผู้ชม เราจะเห็นว่า เมื่อรูปแบบของงานศิลปะที่มีความแตกต่างอย่างสุดขั้วได้ถูกนำเสนอต่อบรรดาผู้ชมที่ไม่ได้มีการเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน ผลลัพธ์ก็คือ ปฏิกริยาโต้ตอบต่อความซาบซึ้งในแบบเดิมๆถึงกับสะดุดหยุดลงทันที และกลายเป็นไม่ทำงานไปเลย. ศิลปะนั้นปฏิเสธปัญญาความฉลาดที่ยอมรับกัน และได้บอกกับผู้ชมในใจว่า "เร�(หมายถึงผู้ชมชาวตะวันตกทั้งหลาย)ได้เปิดตัวของเราเองสู่สิ่งกระตุ้นทางสายตาใหม่ๆ. วิธีการของเราเกี่ยวกับการมองและตีความสิ่งที่เราเห็� จะต้องได้รับการปรับปรุงกันขึ้นมาใหม่. ลัทธิดึกดำบรรพ�(primitivism) [-ในด้านของความพยายามอย่างมีสำนึกในส่วนของศิลปินชาวยุโรปที่อ้าแขนรับ พร้อมโอบกอดสไตล์และทัศนคติอันหนึ่งอย่างเต็มที่ ซึ่งแปลกไปจากการที่พวกเขาฝึกฝนกันม�-] ได้สอนเราว่า ศิลปะนั้� ในความหมายอันบริบูรณ์ที่สุ� ไม่ต้องการมีลักษณะที่เป็� Eurocentric (ศูนย์กลางยุโรป), และลักษณะของ Eurocentric ไม่ใช่ปริมณฑลอันโดดเดี่ยวของผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองหรือเชื่อถือเท่านั้น. ถ้าหากว่ามันเป็นการแสดงออกอันหนึ่งของความปรารถนาและจินตนาการของมนุษย�, ศิลปะสามารถที่จะแสดงตัวของมันเองออกมาได้อย่างมีพลั� แม้ว่ามันจะมาจากดินแดนที่อยู่ห่างไกลและไร้ชื่อเสียงของโลกก็ตาม ดังที่มันสามารถทำได้ และพิสูจน์มาแล้วในท่ามกลางความสุภาพอ่อนโยนของศูนย์กลางชุมชนเมืองของพวกเร�; และมันสามารถสร้างแรงดึงดูดใจได� ต่อผู้ชมได้อย่างกว้างไกลและกว้างขวาง มากยิ่งกว่าในบริบทของวัฒนธรรมที่เป็นทางการของนักวิจารณ์และคณะกรรมการเลือกสรรทางศิลปะ. แม้ว่าบ่อยครั้� กระบวนการดังกล่าวจะต้องใช้ความพยายามและแรงงานมากก็ตา�, แต่ศตวรรษของเรานี้ กำลังดำเนินการเพื่อที่จะนำพาการปฏิวัติดังกล่าวก้าวไปข้างหน้า เพื่อทำให้แกลอรี่ทางศิลปะและพิพิธภัณฑ์ต่างๆได้รับรู้ถึงสิ่งเหล่านี�, (ซึ่งปัจจุบัน สถาบันศิลปะดังกล่า� ต่างกำลังแสวงหาช่องทาง เพื่อจะพูดถึงความหลากหลายมากมายเกี่ยวกับสไตล์และความหมาย ที่ซึ่งแรงดลใจในทางสร้างสรรค์ของมนุษย์ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลมา). ตามข้อเท็จจริงแล้ว มันมีงานศิลปะอยู่มากชนิด � ขอบรอบนอกของความรู้เรา มากกว่าที่เราจะจินตนาการได�. คำสอนเกี่ยวกับการระงับยับยั้งในเรื่องบุริมสิทธิ์หรือสิทธิพิเศษทางด้านภูมิศาสตร�, สังคมและวัฒนธรรม ได้ก่อให้เกิดการยอมรับ(ซึ่งอาจจะสุ่มเสี่ย�)ในการแสดงออกของศิลปิ� และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานศิลปะที่ได้รับการสร้างขึ้นซึ่งอยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางหรือศิลปะที่เป็นทางการ. แต่อย่างๆไรก็ตาม จนบัดนี้ยังมีคนบางคนที่ยังคงเมินเฉยหรือไม่ให้ความเอาใจใส่ศิลปะดังกล่าว ในฐานะที่เป็นศิลปะชายขอบหรืออยู่รอบนอก ถ้าไม่มากจนเกินไปก็ตาม. มันเป็นการสอนให้พิจารณาถึงการยักย้ายปรับเปลี่ยนและมีใจกว้างทางสุนทรียภาพ จากทศวรรษที่ 1880 เป็นต้นม�. แต่การรับรู้ภายในวัฒนธรรมฝรั่งเศสเอง ที่ซึ่งรสนิยมในทางศิลปะกลับได้ถูกทำให้เคยชินไปแล้วกับกฎเกณฑ์ต่างๆเกี่ยวกับการแบ่งแยก (โดยเฉพาะอย่างยิ่� ในเรื่องของการศึกษาและชนชั้น). เมื่อครั้งที� George Couteline ได้เริ่มบุกเบิกสะสมงานศิลปะที่ไม่ใช่งานของผู้ผ่านการศึกษามาทางด้านนี�(non-academic work), งานเป็นจำนวนมากเป็นงานที่ไร้เดียงส�(na?ve)และก็ไม่มีการบันทึกชื่อผู้สร้างผลงาน เขาได้ขนานนามห้องที่เขาเก็บสะสมงานดังกล่าวว่�"ห้องที่น่าหวาดหวั่�"(Cabinet of Horrors'), ราวกับว่าเป็นการตอบคำถามต่อข้อข้องใจหรือความกังข� ซึ่งอาจจะกล่าวหาหรือการโจมตีต่อตัวเข� ในเรื่องเกี่ยวกับรสนิยมที่เล� ด้วยการปลุกหรืออุธรณ์มันด้วยตัวของเขาเอง โดยลิ้นของตนและแก้มที่ขยับตามของเข�. ส่วน Alfred Jarry ได้ให้ความเคารพต่องานภาพพิมพ์แกะไม้ซึ่งเป็นที่นิยมแต่ไม่มีชื่อเสีย�, และได้แสดงท่าทีในเชิงส่งเสริมสนับสนุนต่อจิตรกรซึ่งไม่ได้ร่ำเรียนมา อย่า� Henri Rousseau, แต่เขายังคงกระทำเช่นนั้น ในสำนวนของความคดเคี้ยวเยาะเย้ยถากถาง. ในลำดับต่อมา Guillaume Apollinaire ได้เคลื่อนคล้อยจากความอยากรู้อยากเห็นในเชิงขบขันไปสู่การพัวพันมั่นหมายอย่างตั้งอกตั้งใจจริงต่อ Rousseau, เขาไม่อาจที่จะระงับหรือยุติข้อสังเกตุอันหนึ่งเกี่ยวกับการยอมรับหรือการก้มหัวให้กับการยกย่องสรรเสริญศิลปินผู้นี้ได้ ทั้งนี้เขาได้กระทำลงไปโดยปราศจากข้อสงสัยถึงความผิดแปลกและความไม่คุ้นเค�, เขาถึงกับบันทึกว่า มันเป็นความกล้าและความมีเสน่ห์มากที่สุดของบรรดาจิตรกรที่มีลักษณะแปลกถิ่น(exotic). (ต่อหน้าถัดไป กรุณาคลิกตัวอักษรข้างล่า�)
|
ภาพผลงานขอ� Henri Rousseau ชื่อภา� The Dream. 1910 ภาพสีน้ำมันบนผ้าใบ ปัจจุบันเก็บรักษาเอาไว้ในพิพิธิภัณฑ์ The Museum of Modern Art, New York