การเรียกร้องของ Lyotard
ก็คือ
เขาขอให้พวกเราปฏิเสธวาทกรรมหลัก
(grand narrative)[นั่นคือ, ทฤษฎีต่างๆที่อ้างความเป็นสากล]ของวัฒนธรรมตะวันตก
เพราะปัจจุบัน พวกมันได้สูญเสียสถานะความน่าเชื่อถือไปแล้วทั้งหมด ซึ่งอันนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นข้อสรุปของจิตวิญญานหรือแถลงการณ์ของลัทธิหลังสมัยใหม่
ด้วยการดูถูกเหยียดหยามต่ออำนาจในลักษณะภายนอก
มันไม่มีประเด็นผูกมัดใดๆอีกแล้วในการถกเถียง ยกตัวอย่างเช่น ลัทธิมาร์กซิสม์ ข้อโต้เถียงในเชิงเหตุผลดำเนินไป; แน่นอน เราควรจะเมินเฉยมันในฐานะสิ่งที่ไม่ตรงประเด็นต่อความเป็นอยู่ของเรา.
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ
Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
สนใจสมัครเป็นสมาชิก
กรุณาคลิก member page
ส่วนผู้ที่ต้องการดูหัวข้อบทความ
ทั้งหมด ที่มีบริการอยู่ขณะนี้
กรุณาคลิกที่ contents page
และผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
หรือประกาศข่าว
กรุณาคลิกที่ปุ่ม webboard
ข้างล่างของบทความชิ้นนี้
หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
midnightuniv(at)yahoo.com
ซึ่งอันนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นข้อสรุปของจิตวิญญานหรือแถลงการณ์ของลัทธิหลังสมัยใหม่ ด้วยการที่มันได้ดูถูกเหยียดหยามต่ออำนาจหน้าที่ในลักษณะภายนอกทั้งหมด
มันไม่มีประเด็นผูกมัดใดๆอีกแล้วในการถกเถียง ยกตัวอย่างเช่น ลัทธิมาร์กซิสม์ ข้อโต้แย้งในเชิงเหตุผลดำเนินไป; แน่นอน เราควรจะเมินเฉยมันในฐานะสิ่งที่ไม่ตรงประเด็นต่อความเป็นอยู่ของเรา. ปรัชญาหลังสมัยใหม่ตระเตรียมเราด้วยข้อโต้เถียงและเทคนิคต่างๆเพื่อสร้างท่าทีเกี่ยวกับขัดแย้งขึ้นมา เช่นเดียวกับ มันได้สร้างการตัดสินเชิงคุณค่าขึ้นมาให้เรา และแสดงให้เห็นถึงความไม่มีอยู่ของอำนาจหน้าที่ต่างๆทั้งหมด
หนึ่งในหนทางที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการอธิบายลัทธหลังสมัยใหม่ก็คือ การเคลื่อนไหวทางปรัชญา ซึ่งจะเป็นรูปแบบหนึ่งของความสงสัย(scepticism) - เช่น ความสงสัย ไม่เชื่อในอำนาจหน้าที่(scepticism about authority), อย่างสติปัญญาซึ่งเป็นที่ยอมรับ, บรรทัดฐานทางวัฒนธรรม และการเมือง ฯลฯ. - สิ่งที่วางหรือเสนอตัวอยู่ในขนบประเพณีที่มีมาเก่าแก่ในความคิดตะวันตก ที่สามารถย้อนกลับไปถึงปรัชญากรีกในสมัยคลาสสิค
ความสงสัยไม่เชื่อถือ โดยสาระแล้ว เป็นรูปแบบของปรัชญาอันหนึ่งในเชิงนิเสธ ซึ่งเริ่มต้นด้วยการขุดเซาะทฤษฎีทางปรัชญาต่างๆที่อ้างตนว่าได้ครอบครองเกี่ยวกับความจริงระดับอันติมะ(หรือระดับสูงสุ) หรือเกี่ยวกับเกณฑ์บรรทัดสำหรับกำหนดตัดสินสิ่งที่ถือว่าเป็นความจริงสูงสุด
Antifoundationalism
(การต่อต้านรากฐาน)
ศัพท์เทคนิคเพื่ออธิบายสไตล์ของปรัชญานี้คือ antifoundational(การต่อต้านรากฐาน)
บรรดานัก Antifoundationalists จะถกเถียงถึงความมีเหตุผลหรือความสมบูรณ์เกี่ยวกับรากฐานต่างๆของคำอธิบาย(discourse-วาทกรรม)
โดยจะตั้งคำถามเช่น "อะไรที่มารับประกันความจริงรากฐานของคุณ(นั่นคือ จุดเริ่มต้น)?
ลัทธิหลังสมัยใหม่ได้ดึงเอาตัวอย่างมากมายที่จัดหามาโดยนักปรัชญา antifoundationalists คนอื่นๆ, บางทีคนที่เด่นดังมากที่สุดในการทำลายความเชื่อถือศรัทธาของผู้คน(iconoclastic)คือ Friedrich Nietzsche นักปรัชญาชาวเยอรมันในคริสตศตวรรษที่ 19 ข้อเรียงร้องของเขาคือ ให้ผู้คนทั้งหลายประเมินคุณค่าต่างๆกันใหม่อีกครั้ง ซึ่งจากข้อเรียกร้องอันนี้ บางคนได้โห่ร้องแสดงความยินดีในการสนับสนุนสำหรับความเคลื่อนไหวดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เราจะทำความรู้จักเกี่ยวกับหลักข้อสงสัยของลัทธิหลังสมัยใหม่ในรายละเอียดที่ลึกลงไป มันน่าจะช่วยได้มากหากจะพูดถึงว่า"ใคร" และ"อะไร" ที่สามารถถือว่าอยู่ภายใต้หัวข้อเรื่องของปรัชญาหลังสมัยใหม่
ในที่นี้จะไม่เพียงนำเอาข้อสรุปของบรรดานักคิดหลังสมัยใหม่ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่าง Lyotard มานำเสนอเท่านั้น แต่ยังจะกล่าวถึงคำอธิบายอันหลากหลาย อย่างเช่น ทฤษฎีการรื้อสร้าง(deconstruction) ที่อยู่ภายใต้เรื่องราวของ poststructuralism(หลังโครงสร้างนิยม) มานำเสนอด้วย
Poststructuralism (ลัทธิหลังโครงสร้างนิยม)
การปฏิเสธของ poststructuralism(ลัทธิหลังโครงสร้างนิยม) เกี่ยวกับขนบจารีตความคิด
structuralist(นักโครงสร้างนิยม) ได้ก่อให้เกิดท่าทีอีกอันหนึ่งของความสงสัย(scepticism)ต่ออำนาจหน้าที่ที่ได้รับการยอมรับ
และสามารถได้รับการพิจารณาในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของทิวทัศน์ทางวิชาการ และบรรยากาศของปัญญาชนหลังสมัยใหม่
ถึงแม้ว่าปรัชญาหลังสมัยใหม่ บางส่วนนั้นจะเป็นพื้นที่ที่ต่างออกไปเลยก็ตาม แต่เราสามารถหมายเหตุลักษณะที่ร่วมกันบางอย่างได้
อย่างเช่น ท่าทีเกี่ยวกับความสงสัยที่มีร่วมกัน ซึ่งเป็นลักษณะ antifoundational
bias(ความโน้มเอียงในการต่อต้านรากฐาน)อย่างเดียวกัน และค่อนข้างเป็นการสะท้อนถึงความไม่ชอบในอำนาจหน้าที่คล้ายๆกัน
"ลัทธิหลังโครงสร้างนิยม"เป็นความเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมอย่างกว้างๆอันหนึ่ง ซึ่งได้แผ่คลุมและทอดข้ามสาขาวิชาอย่างหลากหลาย ซึ่งมันเกี่ยวพันกับการปฏิเสธไม่เพียงลัทธิโครงสร้างนิยม(structuralism) และระเบียบวิธีการของมันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสมมุติฐานในเชิงอุดมคติหรือระบบคิดที่วางอยู่เบื้องหลังมันด้วย โดยเหตุนี้ ใครสักคนสามารถพิจารณามันในฐานะที่เป็นความเคลื่อนไหวทางปรัชญาและการเมืองได้เช่นกัน ดุจเดียวกับที่ใครบางคนสามารถพิจารณาลัทธิหลังสมัยใหม่ในลักษณะดังกล่าวได้ด้วยเช่นกัน
การทักท้วง Structuralism
(ลัทธิโครงสร้างนิยม)
ลัทธิหลังโครงสร้างนิยม(poststructuralism)ทักท้วงความแน่นอนต่างๆทางวัฒนธรรม(cultural
certainties) ซึ่งลัทธิโครงสร้างนิยม(structuralism)ถูกทำให้รู้สึกว่า "ความแน่นอนทางวัฒนธรรม"มันได้ก่อตัวขึ้นมา;
ความแน่นอน อย่างเช่น ความเชื่อที่ว่าโลกเป็นสิ่งที่รู้ได้เกี่ยวกับธรรมชาติภายใน,
และลัทธิโครงสร้างนิยมได้ให้กุญแจและวิธีการแก่เราในการไขหรือเปิดล็อคระบบต่างๆอันหลากหลายซึ่งมันได้สร้างโลกใบนี้ขึ้น
โครงสร้างนิยมนำความคิดของมันมาจากทฤษฎีต่างๆทางภาษาศาสตร์ของนักภาษาศาสตร์ชาวสวิสซ์ Ferdinand de Saussure ผู้ซึ่งได้ทำการปฏิวัติการศึกษาเกี่ยวกับภาษาศาสตร์ในผลงานพิมพ์หลังมรณกรรมของเขา, Course in General Linguistics(1916)
ประเด็นหลักของ Saussure เกี่ยวกับภาษาก็คือ มันอยู่เหนือหรือพ้นไปจากระบบใดระบบหนึ่ง; ระบบหนึ่งพร้อมกับกฎเกณฑ์และข้อบังคับต่างๆ(หรือไวยากรณ์ภายใน) ที่ควบคุมหน่วยต่างๆอันหลายหลากของภาษาในการปฏิบัติการ. ภาษาได้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเครื่องหมายต่างๆ(signs) และเครื่องหมายก็ประกอบด้วยส่วนสองส่วน, นั่นคือ a signifier (word) and signified (concept), ซึ่งนำมารวมกัน ในการทำความเข้าใจต่อรูปของเครื่องหมาย
ถึงแม้ว่า มันไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะมีความเชื่อมโยงกันระหว่าง"คำ"(word) กับ"วัตถุ"(object)ที่ถูกเรียก (มันเป็นความไร้เหตุผล หรือเป็นไปตามอำเภอใจ[arbitrary], ดังที่ Saussure ยอมรับ), แต่อำนาจของขนบธรรมเนียมได้ให้การรับรองหรือความมั่นใจว่า มันจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามความแปรผันของคนใดคนหนึ่ง อย่างน้อยที่สุด มันมีเสถียรภาพในเชิงสัมพันธ์กับภาษาและการผลิตความหมาย และภาษาได้รับการมองในฐานะที่เป็นระบบหนึ่งของเครื่องหมาย ซึ่งชักชวนหรือเหนี่ยวนำการขานรับที่ทำนายได้ในส่วนหนึ่งของชุมชนทางภาษา
แบบจำลองทางภาษา ที่มาของโครงสร้างนิยม
แบบจำลองทางภาษาที่สร้างขึ้นมาโดย Saussure ได้ก่อร่างพื้นฐานของการวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง(structuralist
analysis)ขึ้น ซึ่งมันได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้กับระบบต่างๆโดยทั่วไป โดยสร้างสมมุติฐานที่ว่า
ทุกๆระบบมีไวยากรณ์ภายในอันหนึ่งที่ควบคุมการปฏิบัติงานอยู่
ประเด็นหลักของการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างก็คือเปิดเผยว่าไวยากรณ์นั้น ไม่ว่าระบบที่กล่าวถึงจะเป็นปกรณัมของชนเผ่า, อุตสาหกรรมการโฆษณา, หรือโลกของวรรณคดีหรือแฟชั่นก็ตาม
ในท้ายที่สุด สิ่งที่บรรดานักคิด"หลังโครงสร้างนิยม"คัดค้านก็คือความเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยตลอดเกี่ยวกับการดำเนินการของนักโครงสร้างนิยม ที่ซึ่งมันไม่มีความหละหลวมและทุกสิ่งทุกอย่างมันกระจ่างชัดและเกลี้ยงเกลามากเกินไป
ด้วยเหตุนี้ สำหรับนักคิดอย่าง Claude Levi-Strauss หรือ Roland Barthes ในช่วงต้น จึงมองว่า รายละเอียดทุกๆอย่างเกี่ยวกับการเล่าขาน(narrative) มันมีนัยสำคัญในเทอมของโครงสร้างเกี่ยวกับผลผลิตในบั้นปลาย (มันไม่มีหน่วยของการสุ่มหรือความบังเอิญ), และการเล่าขานต่างๆก็ตกลงสู่แบบเฉพาะต่างๆ ซึ่งตัวอย่างที่มีลักษณะเฉพาะ(กล่าวคือ, ปกรณัมของชนเผ่าที่ยกมา) เป็นเพียงการผันแปรต่างๆบนแนวเรื่องหลักที่มีแกนกลางอันหนึ่ง
จากทัศนียภาพอันหนึ่ง, ระบบหนึ่ง(หรือเรื่องเล่า) ดูเหมือนว่ามันจะเหมือนกันมากกับเรื่องอื่นๆ และการวิเคราะห์เกี่ยวกับไวยากรณ์ของมัน กลายเป็นแบบฝึกหัดที่คาดการณ์หรือทำนายได้อย่างตรงไปตรงมา เกือบจะประหนึ่งว่า ใครคนหนึ่งรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วในสิ่งที่เขากำลังค้นหา; ซึ่งอันนี้ใครสักคนอาจเถียง, และบรรดานักคิด"หลังโครงสร้างนิยม"ทั้งหลายได้ทำเช่นนั้น
เทคนิคต่างๆข้างต้นดังที่กล่าวมาในการนำมาวิเคราะห์ ซึ่งกำลังถูกใช้โดยนักโครงสร้างนิยม พวกเขานำมาใช้กำหนดหรือตัดสินผลลัพธ์ต่างๆเป็นส่วนใหญ่ แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า ลัทธิโครงสร้างนิยมก็มีช่องที่จะยอมให้กับขอบเขตสำหรับความบังเอิญหรือโอกาสที่เป็นไปได้, การสร้างสรรค์, หรือสิ่งที่ไม่คาดฝันอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วการเปิดโอกาสดังกล่าว ดูจะน้อยเต็มที
สำหรับนักทฤษฎี"หลังโครงสร้างนิยม", ความบังเอิญ, โอกาสที่เป็นไปได้, การสร้างสรรค์, หรือสิ่งที่ไม่คาดฝัน ทั้งหมดเหล่านี้มันสำคัญมากเกินกว่าความคล้ายคลึงกันทั้งหมดระหว่างระบบต่างๆ และมันเป็นสิ่งที่มีค่าเท่ากับข้อผูกพันหรือพันธกิจเกี่ยวกับการค้นหา ในท่ามกลางนักคิดหลังโครงสร้างนิยม พวกเขาพำนักพักพิงอยู่บน, ความไม่เหมือนกัน, ความแตกต่าง, และการไม่อาจคาดเดาได้ของการวิเคราะห์
Deconstruction (การรื้อสร้าง)
การรื้อสร้าง(deconstruction)ของ Jacques Derrida กลายเป็นหนึ่งในการแสดงออกที่ทรงพลังมากที่สุดของหลักการของนักคิด"หลังโครงสร้างนิยม".
การรื้อสร้างได้ถูกกำกับหรือกำหนดทิศทางสวนกับการสร้างระบบขึ้นมาของลัทธิโครงสร้างนิยม
และโต้แย้ง คัดค้านกับไอเดียที่ว่า ปรากฎการณ์ทั้งปวงเป็นสิ่งที่ลดทอนลงได้สู่ปฏิบัติการต่างๆของระบบ
โดยนัยะของมันอันนี้ เราสามารถที่จะควบคุมเหนือสภาวะแวดล้อมของเราได้ทั้งหมด
สิ่งที่ Derrida ได้ให้การเอาใจใส่ก็คือการสาธิตให้เห็นถึง การไร้เสถียรภาพหรือความไม่มั่นคงของภาษา, และอันที่จริงมันเกี่ยวโยงไปถึงระบบต่างๆโดยทั่วไปด้วย
"เครื่องหมายต่างๆ"(signs) เป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดทำนายได้ทั้งหมดในทัศนะของ Derrida และที่จริงนั้น มันไม่เคยมีสันธารหรือการร่วมกันที่สมบูรณ์เลยระหว่าง signifier(word) และ signified(concept) ที่มารับประกันการสื่อสารโดยไม่มีปัญหา
"การเลื่อนไหล"บางอย่างของความหมาย มักจะเกิดขึ้นเสมอๆ. สำหรับตัวอย่างหนึ่ง คำต่างๆมักจะบรรจุเสียงสะท้อนและร่องรอยต่างๆของคำอื่นไว้เสมอ ด้วยคุณภาพเสียงของพวกมันเป็นตัวอย่าง ทำให้นึกขึ้นมาได้เสมอเกี่ยวกับลำดับแถวอันหนึ่งของเสียงที่คล้ายคลึงกับอีกอันหนึ่ง
Derrida ได้จัดหาหลักฐานเกี่ยวกับการเลื่อนไหลอันนี้ในเชิงปฏิบัติขึ้นมาแสดง โดยอาศัยแนวคิดอันหนึ่งที่เรียกว่า differance, การประดิษฐ์คำขึ้นมาใหม่ที่รับทอดมาจากคำในภาษาฝรั่งเศส difference (ซึ่งมีความหมายว่า "ความแตกต่าง"(diferrence) และ"เลื่อนหรือยืดออกไป" (deferral))
พวกเราอาจตรวจไม่พบคำสองคำที่ตั้งใจให้ออกเสียงเหมือนกัน แต่อาจตรวจพบภาษาเขียนเหมือนกันแต่ออกเสียงต่างกัน. สำหรับ Derrida, สิ่งที่ได้ถูกเปิดเผยในจุดนี้ก็คือความไม่แน่นอนซึ่งมีอยู่เกี่ยวกับความหมาย. ความหมายทางภาษาเป็นปรากฎการณ์อันหนึ่งที่ไม่คงที่หรือไร้เสถียรภาพ: ตลอดเวลา และทุกๆสถานที่ differrance ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้. (มันมีความสำคัญที่จะชี้แจงว่า Derrida ปฏิเสธ Difference ในฐานะที่เป็นแนวความคิดอันหนึ่ง อันที่จริงสำหรับเขาแล้ว มันเป็นเพียงการชี้หรือจำแนกเกี่ยวกับกระบวนการอันหนึ่งที่ฝังตรึงอยู่ในตัวของภาษา)
ความรักในการเล่นกับภาษา(pun) หรือการเล่นคำภายในงานเขียนแบบการรื้อสร้าง(ลักษณะที่เกิดขึ้นบ่อยๆเกี่ยวกับผู้ปฏิบัติการหลักๆของมัน) มีเป้าหมายในการแสดงภาพให้เห็นเกี่ยวกับความไม่มั่นคงของภาษา เช่นเดียวกับความสามารถในเชิงสร้างสรรค์อันไร้ขอบเขตของมันในการให้กำเนิดความหมายใหม่ๆและความหมายที่ไม่คาดฝัน
ด้วยเหตุนี้ ความหมายจึงเป็นปรากฎการณ์เพียงชั่วคราว ซึ่งมันระเหยเป็นไอหรือจางหายไปเกือบจะในทันทีที่มันปรากฎในภาษาพูดและภาษาเขียน (หรือแปรเปลี่ยนตัวของมันเองไปสู่ความหมายใหม่) มากกว่าที่จะเป็นบางสิ่งที่แน่นอนตายตัวที่ธำรงไว้เหนือกาลเวลาสำหรับผู้ฟังหรือผู้อ่านที่แตกต่างกันไปจำนวนหนึ่ง
Derrida เห็นด้วยว่า ปรัชญาตะวันตกทั้งหมดได้วางรากฐานอยู่บนหลักฐานที่ว่า ความหมายบริบูรณ์ของคำๆหนึ่งมันมีอยู่ในใจของผู้พูด, ด้วยเหตุนั้นมันจึงสามารถถูกสื่อสารได้ โดยปราศจากการเลื่อนไหลที่มีนัยสำคัญใดๆ ต่อผู้ฟัง. ความเชื่ออันนี้คือสิ่งที่ Derrida เรียกว่า metaphysic of presence (อภิปรัชญาของการมีอยู่) และสำหรับเขาแล้วมันเป็นมายาการอันหนึ่ง: diferrance (ความต่างและเลื่อนหรือยืดออกไป) มักจะรุกล้ำเข้าไปในการการสื่อสารเสมอ เพื่อปกป้องการสถาปนาเกี่ยวกับ"การมีอยู่", หรือความสมบูรณ์ของความหมาย
การเน้นในเรื่องความต่าง(difference) ในสิ่งซึ่งล้มเหลวที่จะลงรอยกับบรรทัดฐาน หรือกับการสร้างระบบ, ที่พวกเราพบในการรื้อสร้างเป็นอัตลักษณ์ที่แท้จริงของหลักการทางปรัชญาหลังสมัยใหม่
Michel Foucault
Michel Foucault เป็นนักคิดอีกคนหนึ่ง ผู้ซึ่งเป็นศัตรูกับการสร้างระบบ และแนวโน้มต่างๆที่กันเอาความแตกต่างออกไปของความคิดโครงสร้างนิยม.
อีกครั้ง มันเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความแตกต่าง(difference)ที่ได้ถูกนำมาเน้น.
ในกรณีของ Foucault มีความสนใจโดยเฉพาะอันหนึ่งในกลุ่มๆต่างที่ถูกทำให้เป็นชายขอบ(marginalized
groups) ความแตกต่างของพวกเขาได้ทำให้พวกเขาถูกกีดกันออกไปจากพลังอำนาจทางการเมือง;
กลุ่มต่างๆที่ถูกทำให้เป็นชายขอบเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น คนวิกลจริต, คนคุก, และพวกรักร่วมเพศ
ฯลฯ
วัฒนธรรมหลังเรอเนสซองค์(Post-Renaissance culture) ได้ถูกผูกมัดกับการทำให้เป็นชายขอบ, แม้กระทั่งการทำให้รู้สึกว่าคนเหล่านี้เป็นคนที่ชั่วช้า, เลวทราม, เป็นคนที่แตกต่าง, โดยการสร้างบรรทัดฐานต่างๆของมันขึ้นมาเกี่ยวกับพฤติกรรม
Foucault ได้เขียนงานซึ่งเป็นกรณีศึกษาขึ้นมาชุดหนึ่งซึ่งอธิบายว่า บรรทัดฐานต่างๆเหล่านี้ได้ถูกทำให้เป็นเครื่องมือในคริสตศตวรรษที่ 17-18 ของยุโรปตะวันตกอย่างไร ด้วยเหตุนั้น ลำดับการใหม่ทั้งหมดอันหนึ่งของสถาบันที่ถูกจัดระเบียบอย่างเคร่งครัดต่างๆ(อย่างเช่น สถานกักกันคนบ้า-วิกลจริต, คุก, โรงพยาบาล)จึงได้ถูกทำให้เกิดขึ้น เพื่อที่จะปฏิบัติหรือจัดการกับ"ความแตกต่าง"
สำหรับ Foucault, สถาบันต่างๆเหล่านี้คือการแสดงออกของอำนาจทางการเมือง, มันคือหนทางที่กลุ่มซึ่งมีอิทธิพลครอบงำในสังคม ได้กำหนดยัดเยียดเจตจำนงของตนลงไปสู่คนอื่นๆ
เพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงกรณีดังกล่าวข้างต้น เราจะมาดูกันถึง"ความแตกต่างทางเพศ" โดยที่มันได้ถูกกำหนดให้ชั่วร้ายอย่างไรในสังคมสมัยใหม่. Foucault ได้หวนกลับไปสู่ช่วงเวลาคลาสสิคในงานเขียนสามเล่มของเขาเกี่ยวกับการศึกษาเรื่อง ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องเพศ(History of Sexuality)[976-84] เพื่อสืบสาวว่า "การรักร่วมเพศ"มันมีบทบาทหน้าที่อย่างไรในวัฒนธรรมกรีกและโรมัน
สังคมกรีกค่อนข้างที่จะอดทนและใจกว้างต่อความแตกต่างเกี่ยวกับเรื่องเพศยิ่งกว่าในยุคของพวกเรา และทรรศนะทางด้านศีลธรรมจรรยาก็ไม่ด้อยไปกว่ายุคสมัยของเราแต่อย่างใด. ในเทอมต่างๆเกี่ยวกับการอ้างอิงของ Foucault มันมีวาทกรรมที่แตกต่างอันหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศ, หนึ่งในนั้นก็คือไม่มีบรรทัดฐานหนึ่งใดของพฤติกรรมที่ควรกำหนดหรือยัดเยียดไปให้คนอื่น ความจริงแล้ว การรักร่วมเพศและความรักต่างเพศควรจะงอกงามเฟื่องฟูไปเคียงคู่กัน
Foucault เปรียบเทียบความผิดแผกอันนี้กับยุคสมัยใหม่ที่ไม่เอื้ออำนวย เมื่อความรักต่างเพศได้ถูกทำให้เป็นบรรทัดฐานอันหนึ่งและอันเดียวขึ้นมา ส่วนรูปแบบอื่นๆทั้งหมดของการแสดงออกทางเพศ ถูกถือว่าเป็นการเบี่ยงเบน. การยืนยันอันนี้บนบรรทัดฐานดังกล่าว เป็นการหมดเปลืองไปกับความแตกต่าง อันนี้คือส่วนทั้งหมดของลัทธิเผด็จการอำนาจนิยมที่บรรดานักคิดอย่าง Foucault เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมสมัยใหม่
เผด็จการอำนาจนิยมได้ฝังตรึงอยู่ในทฤษฎีจิตวิเคราะห์
หนังสือเรื่อง Anti-Oedipus(1972) ของ Gilles Deleuze และ Felix Guattari ยังคงเป็นตัวแทนนักทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยมอีกหนึ่งที่โจมตีลัทธิเผด็จการอำนาจนิยม;
ในกรณีนี้ เผด็จการอำนาจนิยมได้ฝังตรึงอยู่ภายในทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ซึ่งตลอดทั้งกลไกของทฤษฎีดังกล่าวเกี่ยวกับ
Oedipus complex, ได้แสวงหาหนทางที่จะควบคุมการแสดงออกอย่างอิสระเกี่ยวกับความปรารถนาของมนุษย์
สำหรับแนวคิดของ Deleuze และ Guattari ระบุว่า บรรดาปัจเจกบุคคลทั้งหลายต่างก็คือเครื่องจักรของความปรารถนา(desiring machines) เป็นผู้ขาดเสียซึ่งความรู้สึกเกี่ยวกับเอกภาพ ที่โดยทั่วไปเราจะเชื่อมโยงสัมพันธ์กับเอกลักษณ์ของปัจเจกอื่นๆ และพยายามค้นหาโอกาสที่จะแสดงออกถึงความปรารถนาของพวกเขาที่ถูกระงับยับยั้งโดยอำนาจทางสังคมการเมือง(socio-political authorities)[โดยที่ลัทธิฟาสซิสม์ เป็นตัวอย่างที่มีพลังมากที่สุดของกระบวนการดังกล่าวที่ทำงาน]
จิตวิเคราะห์ สำหรับ Deleuze และ Guattari แล้ว กลายเป็นสัญลักษณ์อันหนึ่งของความปรารถนาที่ถูกระงับหรือสกัดกั้นเอาไว้ และในทางตรงข้าม พวกมันได้วางหรือเสนอเรื่องของ "การวิเคราะห์อาการจิตเสื่อม"(schizo-analysis)เอาไว้ ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนประสบการณ์เกี่ยวกับอาการ schizophrenic (หมายถึง โรคจิตที่สำคัญที่สุด ซึ่งมีอาการขาดการติดต่อกับสิ่งแวดล้อมหรือบุคคลิกภาพแตกแยก-โรคจิตเภท) - ซึ่งในแบบแผนของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งต่างๆเหล่านี้ ได้กลายเป็นแบบจำลองเชิงอุดมคติบางอย่างเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์
ความแตกต่าง ลัทธิสิทธิสตรี(Difference
feminist)
สำหรับเรื่องของความแตกต่างในแนวคิดสิทธิสตรี
สามารถที่จะถูกรวมเข้ามาให้อยู่ภายใต้หัวข้อลัทธิหลังสมัยใหม่ได้ ทั้งนี้เพราะแนวคิดดังกล่าวได้ตั้งคำถามต่างๆที่ถือกันว่าค่อนข้างจะแข็งกระด้างเกี่ยวกับการจำแนกแยกเพศ
ข้อถกเถียงคือว่า "เอกลักษณ์ทางเพศ" โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอกลักษณ์ของความเป็นผู้หญิง ไม่ใช่บางสิ่งที่ถูกทำให้ตายตัวหรือกำหนดแน่นอนลงไป แต่มันเป็นขบวนการที่เลื่อนไหล ซึ่งไม่สามารถถูกลดทอนลงสู่เนื้อแท้บางอย่างหรือบรรทัดฐานของพฤติกรรมได้ (ในกรณีนี้ ลักษณะของปิตาธิปไตย[ผู้ชาย-พ่อเป็นใหญ่]ได้สร้างบรรทัดฐานของพฤติกรรมขึ้นมา)
บรรดานักทฤษฎีอย่างเช่น Luce Irigaray ได้ใช้รูปแบบเกี่ยวกับข้อถกเถียงอันนี้ทักท้วงสมมุติฐานต่างๆของปิตาธิปไตย(patriarchy) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมมุติฐานเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะหรืออุปนิสัยของเพศชายและเพศหญิงนั้น ได้นำไปสู่ทัศนคติที่ตายตัวทางเพศ(gender stereotypes) ซึ่งสังคมของพวกเรายังคงยึดถือกันอยู่ และใช้มันในฐานะที่เป็นพื้นฐานสำหรับการกดขี่บรรดาผู้หญิงทั้งหลาย
Lyotard นักคิดคนสำคัญของลัทธิหลังสมัยใหม่
Lyotard ยังคงเป็นตัวแทนสุ้มเสียงที่มีอิทธิพลมากที่สุดของปรัชญาหลังสมัยใหม่
และเป็นสายใยที่เหนียวแน่นของการต่อต้านลัทธิเผด็จการอำนาจนิยมซึ่งครอบคลุมงานทางปรัชญาของเขา
ที่พวกเราปัจจุบัน สามารถยอมรับได้ในฐานะที่หัวใจหรือแก่นแกนของหลังสมัยใหม่
ในงานอาชีพของเขาช่วงต้นๆ Lyotard สามารถถูกอธิบายได้ในฐานะที่เป็นมาร์กซิสท์คนหนึ่ง
เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มที่เรียกว่า Socialisme ou barbarie (Socialism
or Barbarism)[สังคมนิยมหรืออนารยลัทธิ] ผู้ซึ่งอุทิศตัวให้กับทฤษฎีมาร์ซิสท์อย่างเชื่อฟังเพื่อการค้นหาและวิพากษ์จากภายใน
และเขาได้ทำหน้าที่ในฐานะผู้แถลงข่าวในอัลจีเรียสำหรับหนังสือพิมพ์ของกลุ่ม
งานเขียนของ Lyotard ในเรื่องสงครามอัลจีเรียนเกี่ยวกับการปลดเปลื้องอิสรภาพในทศวรรษที่ 1950s และ 60s ได้เผยให้เห็นว่า บางคนได้ไปไกลมากจากความเป็นมาร์กซิสท์แบบเดิมๆ และยิ่งไปกว่านั้นยังมุ่งที่จะทักท้วงหลักการต่างๆของมาร์กซิสท์ด้วย ข้อคัดค้านที่สำคัญที่เขาโต้แย้งก็คือ อัลจีเรียกำลังกระทำในลักษณะที่มีการแบ่งแยกโดยลำดับชั้นสูงต่ำของพรรคคอมมิวนิสท์ ซึ่งถือเป็นกรณีคลาสสิคอันหนึ่งเกี่ยวกับการปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพ เมื่อความเป็นจริงปรากฎว่า สังคมชาวนาลัทธิมาร์กซิสม์ได้ถูกให้คุณค่าในเชิงปฏิบัติน้อยมาก
ภายหลังจากการแตกหักของ Socialisme ou barbarie ในทศวรรษที่ 1960s Lyotard โดยสำนึกแล้ว ได้ทิ้งห่างตัวของเขาเองจากอดีตความเป็นมาร์กซิสท์ของเขาไปมาก คล้ายๆกับปัญญาชนฝรั่งเศสจำนวนไม่น้อยในรุ่นราวคราวเดียวกับเขา เขาได้ถูกทำให้พ้นจากความเพ้อฝัน โดยการเข้ารับตำแหน่งผู้สนับสนุนการสถาปนาพรรคคอมมิวนิสท์ฝรั่งเศส ซึ่งตำแหน่งนี้เขารับมาจากพรรคนั่นเองในปี ค.ศ.1968 Paris evenements, และในงานเขียนต่างๆอย่างเช่น Libidinal Economy(1974) เขาได้ระบายความขุ่นข้องหมองใจที่เขารับความรู้สึกนั้นมาจากลัทธิมาร์กซิสม์ที่เป็นทางการ
Libidinal Economy
Libidinal Economy อ้างว่า ลัทธิมาร์กซิสม์ไม่อาจที่จะบรรลุถึงแรงขับทางเพศ(libidinal
drive)ที่ปัจเจกบุคคลทุกคนประสบได้ เพราะเหตุว่า แรงขับที่ไม่อาจคาดทำนายได้นั้น
มันนอนเนื่องอยู่เหนือการควบคุมของทฤษฎีใดๆ (ข้ออ้างในหลักเหตุผลนี้มีความคล้ายคลึงกับที่แสดงออกใน
Anti-Oedipus) สิ่งที่เป็นความผิดพลาดอย่างเด่นชัดของลัทธิมาร์กซิสม์ก็คือ มันพยายามที่จะกดทับพลังงานต่างๆเหล่านี้
และในการกระทำดังกล่าวได้เผยให้เห็นถึงลัทธิเผด็จการอำนาจนิยมที่แฝงอยู่ของมัน
เบื้องหลังการโจมตีที่ดุร้ายของหนังสือเล่มดังกล่าวที่มีต่อลัทธิมาร์กซิสม์ วางอยู่บนความเชื่อหนึ่งของ Lyotard ในส่วนที่ว่า ธรรมชาติของมนุษย์และกระบวนการทางประวัติศาสตร์ ทั้งคู่เป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดทำนายได้ และด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่อาจยักย้าย จัดการ หรือเปลี่ยนแปลงมันได้ ดังที่ทฤษฎีมาร์กซิสท์ยืนยัน
Lyotard ได้ขอให้พวกเรายอมรับว่า แรงขับทางเพศ(libidinal energy)[บางสิ่งบางอย่างคล้ายปมที่สลับซับซ้อนของแรงขับจิตใต้สำนึกที่ถูกจำแนกโดยฟรอยด์)ได้ทำลายข้ออ้างทุกๆอย่างที่ว่า ลัทธิมาร์กซิสม์อาจจะสามารถควบคุมเหตุการณ์ต่างๆได้ หนังสือเล่มนี้สามารถได้รับการมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นเกี่ยวกับการวิจารณ์อุดมการณ์หลัก(grand narrative - วาทกรรมหลัก) ซึ่งนั่นคือแก่นแกนหรือหัวใจสำคัญของงานอันทรงอิทธิพลและประสบความสำเร็จอย่างยิ่งของ Lyotard, นั่นคือหนังสือเรื่อง The Postmodern Condition.
The Postmodern Condition
- ความรู้และอำนาจ
เรื่อง The Postmodern Condition ให้เหตุผลว่า "ความรู้คือสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่มีนัยสำคัญที่สุดของโลกในปัจจุบัน"(knowledge
is now the world's most significant commodity), และมันอาจจะกลายเป็นแหล่งต้นตออันหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างประชาชาติต่างๆในอนาคต
ใครก็ตามที่"ควบคุมความรู้", Lyotard ยืนยัน, ปัจจุบัน พยายามที่จะ"ควบคุมทางการเมือง"ด้วย และเขาได้แสดงความแหลมคมที่จะรับประกันว่า "การแพร่กระจายความรู้ จะต้องได้รับการรักษาให้เปิดเอาไว้เท่าที่จะเป็นไปได้" และด้วยเหตุนี้ อีกทางเลือกหนึ่งที่จะควบคุมความรู้ที่เป็นศูนย์กลางทางการเมืองก็คือ "ทำให้ธนาคารข้อมูลทั้งหมดเข้าถึงได้ง่ายต่อสาธารณชนโดยทั่วไป"
ความรู้ถูกมองว่ามันถูกสื่อสารออกมาโดยอาศัยการเล่าขาน, และ Lyotard ได้วิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่เขาเรียกว่าวาทกรรมหลักต่างๆ(grand narratives): คือ ทฤษฎีต่างๆที่อ้างว่าสามารถอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างได้ และต้านทานความพยายามใดๆก็ตาม ที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบ-ทฤษฎีของมัน(narrative)
ลัทธิมาร์กซิสม์ เป็นตัวอย่าง มีวาทกรรมโดยเฉพาะของตัวมันเองเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โลก ซึ่งมันรู้สึกว่าเป็นความจริง และด้วยเหตุดังนั้น จึงพ้นไปจากหรืออยู่เหนือคำวิพากษ์วิจารณ์ใดๆหรือความต้องการในการปรับปรุง ลัทธิมาร์กซิสม์เชื่อว่ามันไม่ใช่วาทกรรม(narrative)ที่จะถูกตีความใหม่อยู่เสมอ โดยเป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ต่างๆทางวัฒนธรรม, มันคือทฤษฎีที่ไม่อาจตีแตกได้ซึ่งยึดกุมครอบงำมาโดยตลอด และอำนาจของมันจะต้องไม่เคยถูกตั้งคำถาม
วาทกรรมเล็ก (Little narrative)
สำหรับ Lyotard ทัศนคติหรือท่าทีแบบนั้นเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จ และเขาให้การยกย่องข้างฝ่ายวาทกรรมเล็กๆ(little
narrative)[petit recit]แทน. วาทกรรมเล็กเป็นการประกอบตัวหรือเรียบเรียงขึ้นมาบนพื้นฐานยุทธวิธีโดยคนกลุ่มเล็กๆที่เป็นปัจเจกบุคคลต่างๆ
เพื่อบรรลุถึงวัตถุประสงค์ที่จำเพาะบางอย่าง (กรณีอย่างเช่น "วาทกรรมเล็ก"ที่เป็นการรวมตัวกันของนักศึกษาและกรรมกรในปี
1968 evenement, เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปรัฐบาล) และจะต้องไม่เสแสร้งหลอกลวงว่ามีคำตอบต่อปัญหาต่างๆของสังคมทั้งหมด:
ในเชิงอุดมคติ, ตราบเท่าที่พวกเขาจำเป็นที่จะบรรลุถึงวัตถุประสงค์ต่างๆของตนเอง
Lyotard พิจารณาว่า "วาทกรรมเล็ก"คือหนทางการประดิษฐ์คิดค้นมากที่สุดของการแพร่กระจาย, และเป็นการสร้างสรรค์, เป็นความรู้ และมันช่วยล้มล้างวาทกรรมหลักซึ่งมีลักษณะปฏิบัติการที่ผูกขาดเชิงขนบจารีต
ในทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวอย่าง ปัจจุบันมันได้รับการพิจารณาในฐานะที่เป็นวิธีการหลักหรือแรกสุดของการค้นคว้าสืบสวน. วิทยาศาสตร์หลังสมัยใหม่, Lyotard ให้ข้อมูลกับเราว่า คือการแสวงหาอันหนึ่งในลักษณะประติทรรศน์หรือในเชิงผกผัน, กล่าวคือความไม่มั่นคง และความไม่รู้ ค่อนข้างมากกว่าที่จะเป็นความพยายามจะสร้างวาทกรรมหลักอีกอันหนึ่งขึ้นมา ซึ่งอันนี้ประยุกต์ใช้ได้กับชุมชนวิทยาศาสตร์ทั้งมวล
การทำลายวาทกรรมหลัก
วัตถุประสงค์ของ Lyotard ต้องการรื้อทำลายอำนาจที่ถูกทำให้กว้างขวางโดยวาทกรรมหลัก
ซึ่งเขาถือว่าเป็นการสะกัดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของปัจเจกบุคคล. "เราไม่ขอความช่วยเหลือหรือต้องพึ่งพาวาทกรรมหลักอีกต่อไปแล้ว"
เขาประกาศ; นั่นคือ เราไม่สามารถที่จะให้ความไว้วางใจต่อมันได้อีก เพื่อให้มันนำทางการกระทำของพวกเรา
ไม่ว่าจะในระดับสาธารณะหรือปัจเจกชนก็ตาม. สิ่งที่พวกเราสนุกจะทำไม่ใช่ต่อสู้กับวาทกรรมหลัก
อันที่จริง เราเพียงแค่ยุติหรือเลิกเชื่อมันก็พอ; ในกรณีนี้ พวกมันก็จะถูกทำให้เหี่ยวเฉาลงไปแล้ว
แม้ว่าอันนี้ค่อนข้างจะเป็นทัศนะที่เป็นอุดมคติมากอยู่สักหน่อยเกี่ยวกับ"กระบวนการทางการเมือง" แต่บางสิ่งอย่าง เช่น การเหี่ยวเฉาลงไปเองอันนี้ได้เกิดขึ้นมาเมื่อไม่กี่ปีหลังจากงานเขียนเรื่อง The Postmodern Condition กล่าวคือ เกิดการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสม์ในหมู่ชาวยุโรปตะวันออก - ส่วนใหญ่แล้วมันเกิดขึ้นโดยปราศจากการปะทะกันอย่างรุนแรงกับอำนาจทางการเมืองใดๆ ในเทอมต่างๆเกี่ยวกับการอ้างอิงหลังสมัยใหม่ ประชากรเพียงหยุดการเชื่อในอุดมการณ์ที่ชี้ชวนอันนั้น ซึ่งผลก็คือ มันได้ยุติบทบาทและอำนาจใดๆที่จะมาบีบบังคับอันเป็นเจตจำนงของมันลง
เมื่อวาทกรรมหลักถูกทำลาย
เราจะหาคุณค่าใดมาทดแทน
หนึ่งในปัญหาต่างๆซึ่งพวกเราทิ้งไว้ เมื่อเราขจัดวาทกรรมหลักไปแล้ว หรืออำนาจศูนย์กลางชนิดใดก็ตามลงก็คือ
จะสร้างการตัดสินในเชิงคุณค่ากันอย่างไรให้คนอื่นๆยอมรับในฐานะที่มันสมเหตุสมผลและดีพอ.
Lyotard ได้เผชิญกับปัญหานี้ใน Just Gaming(1979) ในงานชิ้นดังกล่าวเขาได้ให้เหตุผลว่า
มันยังคงเป็นไปได้ที่จะสร้างการตัดสินเชิงคุณค่าขึ้นมา แม้ว่าเราไม่มีวาทกรรมหลักที่จะคอยหนุนหลังพวกเรา
บนพื้นฐานแต่ละกรณีๆไป (อันนี้คือรูปแบบหนึ่งของลัทธิปฏิบัตินิยม ซึ่งเขาอ้างและมีปฏิบัติอยู่ในงานเขียนต่างๆทางจริยธรรมและการเมืองของอริสโตเติล)
การปฏิบัติการบนพื้นฐานในแต่ละกรณีๆไป ที่ซึ่งเป็นการยอมรับการไม่มีอยู่ของบรรทัดฐานแบบเบ็ดเสร็จใดๆ คือเงื่อนไขที่ Lyotard อ้างถึงลัทธิเพเกินนิสม์(paganism - การถือศาสนาหรือความเชื่ออื่นนอกไปจากศาสนาหลักของโลก) และมันได้กลายเป็นอุดมคติหนึ่งที่ว่า เราควรจะปฏิบัติการในโลกหลังสมัยใหม่อย่างไร. มันไม่เคยมีบรรทัดฐานเบ็ดเสร็จหรือสมบูรณ์เช่นนั้น หรือฐานรากต่างๆของความเชื่อ ที่จะนำทางเรา สิ่งเหล่านั้นมันไม่เป็นที่ต้องการ, Lyotard ยืนยัน
ซึ่งอันนี้ "บรรดานักวิจารณ์ในข้างฝ่ายวาทกรรมหลัก"ต่างคุ้นเคยที่จะนำเสนอเจตจำนงของตนว่า การทำอย่างที่ Lyotard เสนอไว้จะนำมาซึ่งการล่มสลายกลายเป็นความไร้ระเบียบและความสับสนอลหม่านทางสังคม
สิ่งที่ Jean-Francois Lyotard รับหลักการและสนับสนุนในที่นี้ก็คือ "การต่อต้านลัทธิฐานรากนิยม" (antifoundationalism): นั่นคือ การปฏิเสธความคิดหรือไอเดียที่ว่า มันมีฐานรากต่างๆสำหรับระบบความคิดของพวกเรา หรือความเชื่อ ที่อยู่พ้นหรือเหนือข้อสงสัยและการตั้งคำถาม และนั่นคือสิ่งจำเป็นต่อกิจกรรมสำคัญเกี่ยวกับการสร้างการตัดสินต่างๆในเชิงคุณค่าขึ้นมา
ปรัชญาหลังสมัยใหม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นเรื่องของการต่อต้านฐานรากนิยม(antifoundational)อย่างเด็ดเดี่ยวในท่าทีดังกล่าว และไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่า อันนี้ได้ทำให้มันมีลักษณะผิดปกติในการทำหน้าที่ของตนในทุกๆกรณีในฐานะที่เป็นปรัชญา
Event (an occurrence)
ปรัชญาในช่วงหลังของ Lyotard ได้เข้าไปผูกมัดหรือเอาใจใส่อย่างมากกับสิ่งที่เขาเรียกว่า"event"(เหตุการณ์)
และยังเกี่ยวพันกับแนวคิดเรื่องของ"difference"(ความแตกต่าง)ด้วย. สำหรับ event
นั้นในความคิดของ Lyotard คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาอันหนึ่ง(an occurrence)ที่เปลี่ยนแปลงวิธีการซึ่งพวกเรามองโลกอย่างน่าตื่นเต้น
และเรียกร้องให้ตั้งข้อสงสัยในกระบวนการเกี่ยวกับการตั้งสมมุติฐานต่างๆในเชิงอุดมคติของเราทั้งหมด
ค่ายกักกัน Auschwitz ของนาซี ถือเป็นเหตุการณ์หนึ่ง, และ 1968 evenement ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับเหตุการณ์แรกไม่ใช่บางสิ่งที่สามารถจะอธิบายได้ โดยละเลยความเกี่ยวข้องกับวาทกรรมหลัก; ตามข้อเท็จจริง มันคือตัวแทนจุดสำคัญ ซึ่งวาทกรรมหลักที่ทำให้เป็นทฤษฎีได้พังทลายลง. ส่วนสำหรับเหตุการณ์หลัง เป็นชนิดหนึ่งของการระเบิดหรือปะทุของพลังงานทางเพศ(libidinal energy) ซึ่งระบบดังกล่าวไม่สามารถที่จะเกี่ยวข้องด้วยได้
การยอมรับว่า มีเหตุการณ์ต่างๆซึ่งไม่สามารถคาดทำนายหรือถูกโอบกอดให้อยู่ภายใต้ทฤษฎีที่เป็นสากลใดๆได้อย่างเกลี้ยงเกลา มันไม่เพียงเป็นการไม่ยอมรับถึงข้อจำกัดต่างๆของวาทกรรมหลักเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดกว้างที่จำเป็นสำหรับอนาคตด้วย การเปิดกว้างนี้กลายเป็นประเด็นสำคัญอันหนึ่งของความศรัทธาต่อนักคิดหลังสมัยใหม่ทั้งหลาย:
อนาคตจะต้องไม่ถูกพิจารณาว่าได้ถูกกำหนดตัดสินเอาไว้ล่วงหน้า และความพยายามของมนุษย์ทั้งมวลจะต้องไม่ถูกปฏิบัติหรือกระทำให้ไร้ความหมาย
Phrase
regime (ระบบกลุ่มคำหรือวลี)
ความแตกต่างทั้งหลายเป็นความขัดแย้งต่างๆในทางผลประโยชน์ระหว่างพรรค ซึ่งไม่สามารถที่จะตัดสินหรือสลายมันลงไปได้
แต่จะต้องได้รับการยอมรับและตระหนักอยู่ตลอดเวลา (โดยเฉพาะขอให้ดูเรื่อง The
Difference[1983]). แต่ละพรรคอาศัยสิ่งที่ Lyotard เรียกว่า"ระบบวลี"(phrase
regime - ระบบกลุ่มคำ)ที่แตกต่างกัน ซึ่งวัตถุประสงค์ของมันเปรียบเทียบกันไม่ได้กับระบบอื่นๆ,
และทุกๆระบบไม่มีสิทธิอันชอบธรรมใดๆที่จะทำให้อันอื่นมาเข้ากับหรือลงรอยกันกับความปรารถนาของตน
สิ่งโน้มเอียงที่จะเกิดขึ้นในเชิงปฏิบัติหรือความเป็นจริง โดยเฉพาะปฏิบัติการทางการเมืองก็คือว่า พรรคๆหนึ่งจะทำการโต้เถียงหรือบีบบังคับทัศนะของตนต่อพรรคอื่น, "การแก้ปัญหา" การโต้เถียง ทำขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของตัวมันเอง. ในเทอมต่างๆเกี่ยวกับการอ้างอิงของ Lyotard, ระบบกลุ่มคำหนึ่งพยายามที่จะครอบงำเหนือระบบกลุ่มคำอีกอันหนึ่ง - กรณีตัวอย่างที่คลาสสิคอันนี้ก็คือ ลัทธิเผด็จการอำนาจนิยมในเชิงปฏิบัติ
ดังตัวอย่างของเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นทุกวันบนโลก, Lyotard อ้างถึงกรณีของการตักตวงผลประโยชน์จากลูกจ้าง ผู้ซึ่งไม่สามารถที่จะได้รับการชดเชยหรือทำให้ถูกต้องใดๆขึ้นมาสำหรับการตักตวงผลประโยชน์จากพวกเธอ และถ้าหากว่าพวกเธอกระทำการใดๆขึ้นซึ่งเป็นการต่อต้านหรือสวนกลับนายจ้าง ศาลที่รับฟังข้อต่อสู้ในเชิงคดี ซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นมาบนหลักการดังกล่าว ก็จะตัดสินว่าการตักตวงผลประโยชน์เป็นเรื่องที่ชอบธรรมแล้วตามกฎหมาย ระบบกลุ่มคำของนายจ้างกำลังกีดกันคนอื่นออกไปจากการมีสุ้มเสียงที่ถูกต้อง
Philosophical Politics
มันคือกิจธุระสำคัญของบรรดานักปรัชญาทั้งหลายที่จะช่วยให้ระบบกลุ่มคำที่ถูกสะกัดกั้นได้ค้นพบสุ้มเสียงของพวกมัน
ภาวะเช่นนี้คือสิ่งที่ Lyotard อธิบายในฐานะที่เป็นการเมืองเกี่ยวกับปรัชญา("philosophical
politics"). การเมืองเกี่ยวกับปรัชญา, คือการค้นหาเพื่อสิ่งใหม่, การเผชิญหน้าทางวัฒนธรรม,
การปะทะกันของระบบกลุ่มคำ(วาทกรรม), ที่สามารถได้รับการมองว่าเป็นการแสดงออกที่สูงสุดของปรัชญาหลังสมัยใหม่
Techno-science
ความเอาใจใส่ล่าสุดของ Lyotard คือเรื่องที่ว่า พลังบีบคั้นของสิ่งที่เขาเรียกว่า
techno-science (สำหรับคำนี้เราสามารถอ่านว่า multinational) กำลังพยายามที่จะดักปล้น(hijack)บนเส้นทางประวัติศาสตร์ของมนุษย์,
โดยการตระเตรียมจุดจบของชีวิตบนโลก
Lyotard ให้เหตุผลว่า techmo-science กำลังค่อยๆกำจัดและถอนรากถอนโคนมนุษย์ชาติเรา โดยการพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์อันช่ำชองมากยิ่งกว่าที่เคย ด้วยความสามารถที่จะผลิตตัวของมันเอง และเริ่มมีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งอย่างต่อเนื่องในจักรวาลเมื่อโลกได้ถึงกาลสิ้นสุด (เหตุการณ์หนึ่ง ประมาณ 4.5 พันล้านปีจะถึงกาลสิ้นสุดในอนาคต)
เป้าหมายขั้นสุดยอดของ techno-science นั้น Lyotard ได้เตือนเราในหนังสือเรื่อง The Inhuman (1988), คือ เป็นไปได้ที่จะมีการสร้างความคิดขึ้นมาโดยปราศจากเรือนร่าง และอันนี้ได้คุกคามต่อความเป็นมนุษย์และคุณค่าต่างๆของมนุษย์ ซึ่งควรได้รับการต่อต้านอย่างแข็งขัน, นั่นคือภาวะที่"ไม่เป็นมนุษย์"(inhuman)ในจิตวิญญาน
สิ่งที่บรรดานัก techno-scientists ต้องการก็คือ ลดทอนความเป็นมนุษย์ลงสู่เนื้อแท้ที่ถูกสมมุติขึ้นมาของมัน นั่นคือ เหลือเพียง"ความคิด"(thought)เท่านั้น และปฏิบัติการในลักษณะที่เป็นการทำนายอันนี้มันอยู่ในรูปแบบของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ "ความคิด"ดังกล่าวไม่มีร่างกาย(body) มันไม่มีเหตุการณ์หรือความแตกต่างกันอีกต่อไปแล้วที่จะต้องกังวลอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น และจะไม่มีการเปิดกว้างเกี่ยวกับอนาคต ซึ่งสิ่งเหล่านี้บรรดานักคิดหลังสมัยใหม่ทั้งหลายประเมินค่าเอาไว้สูงมาก
มันเป็นอีกกรณีหนึ่งของ"การแยก"หรือ"กันความแตกต่าง"และ"การไม่อาจคาดเดาได้"ออกไป เพื่อที่จะพยายามควบคุม. สิ่งที่ขาดหายไปเท่าๆกันก็คือ"ภาวะความเป็นปัจเจก"(individual) เช่นเดียวกับ "วาทกรรมเล็ก"(little narrative), ซึ่งจะไม่มีที่ทางใดในแผนผังอำนาจเบ็ดเสร็จเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ - และปรารถนาที่จะทำให้มนุษย์ชาติกลายเป็นเครื่องจักรหรือภาวะที่ไม่ใช่คน(dehumanize) โดยการลดทอนมนุษย์ให้เหลือเพียงแค่"กระบวนการทางความคิด"แต่เพียงลำพัง ซึ่งนั่นคือการกระทำในขั้นสุดยอดอันหนึ่งของลัทธิเผด็จการอำนาจนิยมสำหรับ Lyotard
การต่อต้าน ณ ระดับวาทกรรมเล็กกลายเป็นการกระทำทางจริยธรรมอันหนึ่งในนามของฝ่ายความแตกต่าง(difference); และ ความแตกต่างจักต้องได้รับการปกปักษ์รักษาด้วยต้นทุนทั้งหมดในโลกยุคหลังสมัยใหม่
Jean Baudrillard
ผลงานของ Jean Baudrillard ยังคงเป็นการแสดงออกที่สำคัญของปรัชญาหลังสมัยใหม่.
เขาเป็นอีกคนหนึ่งเช่นกัน ซึ่งได้วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับลัทธิมาร์กซิสม์และลัทธิโครงสร้างนิยม
ในท้ายที่สุดได้ปฏิเสธความคิดที่ว่า มันมีโครงสร้างที่ซ้อนเร้นอยู่เบื้องหลังปรากฎการณ์ต่างๆทั้งหมด
ซึ่งมันเป็นภารกิจของนักวิเคราะห์ที่จะแยกแยะและอธิบาย
สำหรับ Baudrillard โลกหลังสมัยใหม่เป็นโลกที่เขาเรียกว่า simulacra (ภาพเสมือน), ที่ซึ่งพวกเราไม่อาจจำแนกความแตกต่างระหว่าง"ความจริง"(reality) และ"ความจริงเสมือน"(simulation)ออกจากกันได้อีกแล้ว. ภาพเสมือน(simulacra)มันไม่ได้เป็นตัวแทนความจริงของสิ่งใดเลย เว้นแต่ตัวของพวกมันเอง: มันไม่มีความจริงอื่นอีกซึ่งมันอ้างอิงถึง
ผลที่ตามมา, Baudrillard สามารถอ้างต่อไปว่า ดิสนีย์แลนด์ และโทรทัศน์ ปัจจุบันได้สถาปนาความจริงของอเมริกาขึ้นมา และ ยิ่งไปกว่านั้นซึ่งน่าทึ่งมาก สงครามอ่าวเปอร์เชียมันไม่ได้เกิดขึ้น มันเป็นแต่เพียงความจริงเสมือนอันหนึ่งเท่านั้น(the Gulf War did not happen, but was merely a simulation)[เป็นบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายๆกับ video game ที่แพร่หลายอยู่ทั่วไป]
ไม่น่าประหลาดใจ อันนี้เป็นทัศนะหนึ่งที่ดึงดูดและกระตุ้นความสนใจให้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างรุนแรงและมากมายตามมา สำหรับการเยาะเย้ยถากถาง(cynicism)ที่โดดเด่นของคำพูดนี้ และถูกหาว่า มันเป็นคำพูดที่ขาดเสียซึ่งความรู้สึกอ่อนไหวต่อมติของความเป็นมนุษย์ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
ข้ออ้างเหตุผลอีกประการหนึ่งของ Baudrillard ก็คือ นั่นได้ให้แรงดลใจต่อการโต้เถียงค่อนข้างมากที่ว่า ระบบต่างๆนั้น ไม่ต้องถูกต่อต้านอีกต่อไปแล้ว เพราะพวกเขาจะถูกล่อลวงแทน - โดยที่เขาหมายถึง การล่อลวงให้ตกอยู่ในภาวะจำยอม (see particularly "Seduction"). บรรดานักสิทธิสตรีทั้งหลายได้วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเธอพิจารณาหรือถือว่า เป็นอคติการแบ่งแยกทางเพศ โดยนัยะของความคิดเกี่ยวกับการล่อลวง และกล่าวหา Baudrillard เกี่ยวกับทัศนคติตายตัวในเรื่องเพศ ที่เสริมเพิ่มพลังขึ้นมาใหม่โดยการใช้ประโยชน์ของมัน
ขณะเดียวกันมีการยอมรับพลังของข้อถกเถียงของนักสิทธิสตรี, ใครสักคนอาจถือว่าการล่อลวงเป็นความพยายามของหลังสมัยใหม่ที่มีลักษณะเฉพาะอีกอันหนึ่งด้วย ในการขุดเซาะระบบต่างๆโดยการหาจุดต่างๆที่อ่อนแอของพวกมัน. โดยทั่วไป ปรัชญาหลังสมัยใหม่มองว่า ไม่ต้องการการเผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมากับระบบทั้งหลายที่ทรงอำนาจ อันที่จริงเพียงเอาใจใส่ต่อการสาธิตให้เห็นว่าระบบต่างๆนั้น (ลัทธิมาร์กซิสม์และลัทธิคอมมิวนิสม์เป็นตัวอย่างงที่เด่นชัด) สามารถถูกทำให้ระเบิดขึ้นมาจากภายในได้อย่างไรเท่านั้น
Post-Marxism
(หลังมาร์กซิสม์)
ปฏิกริยาดังกล่าว ซึ่งมีต่อลัทธิมาร์กซิสม์แบบดันทุรัง ในงานเขียนต่างๆของบรรดานักคิดทั้งหลายอย่าง
Lyotard และ Baudrillard สามารถที่จะได้รับการพิจารณาว่า เป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มทางวัฒนธรรมอีกอันหนึ่ง
ซึ่งปัจจุบันนี้ถูกรู้จักในฐานะที่เป็น post-Marxism
Post-Marxism(หลังลัทธิมาร์กซิสม์)กลายเป็นตำแหน่งที่สำคัญในเชิงทฤษฎีอันหนึ่ง และรวมถึง ซึ่งไม่เพียงบุคคลต่างๆที่ต้องการปฏิเสธความเชื่อต่างๆของชาวมาร์กซิสท์เท่านั้น(Lyotard และ Baudrillard เป็นตัวอย่าง) แต่ยังรวมถึงผู้คนทั้งหลายซึ่งปรารถนาที่จะแก้ไขปรับปรุงลัทธิมาร์กซิสม์ในเทอมต่างๆของการพัฒนาในเชิงทฤษฎีและวัฒธรรมขึ้นมาใหม่ด้วย
Ernesto Laclau และ Chantal Mouffe ได้เป็นตัวแทนสุ้มเสียงสำหรับกลุ่มหลังนี้ เมื่อพวกเขาได้ตีพิมพ์งานหนังสือซึ่งเป็นที่ถกเถียงของพวกเขาในเรื่อง Hegemony and Socialist Strategy: Towards a Radical Democratic Politics ในปี ค.ศ. 1985
ในงานศึกษาชิ้นนี้ พวกเขาได้ให้เหตุผลว่า ลัทธิมาร์กซิสม์ต้องการปรับตัวของมันเองให้เข้ารูปเข้ารอยกับขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมใหม่ๆอย่างหลากหลาย ซึ่งกำลังดีดตัวขึ้นมา (เช่น ขบวนการสิทธิสตรี, ขบวนการสีเขียว(เพื่อสิ่งแวดล้อม), ขบวนการของชนกลุ่มน้อย และเพศที่เป็นรอง, เป็นตัวอย่าง); กล่าวอีกนัยหนึ่ง, สำหรับลัทธิมาร์กซิสม์ได้อ้าแขนรับและโอบกอดลัทธิพหุนิยมทางการเมือง และหยอดการเรียกร้องของตนเองให้เป็นส่วนหนึ่งของเรือนร่างความจริงที่รับมา
ลัทธิมาร์กซิสม์ต้องคำนึงถึงทฤษฎีใหม่ๆอันหลากหลายที่กำลังก้าวเข้ามาสู่ความโดดเด่น - ทฤษฎีต่างๆ อย่างเช่น"การรื้อสร้าง"(deconstructionsim) หรือ"ลัทธิหลังสมัยใหม่"(postmodernism)
อีกคำรบหนึ่ง เราสามารถสังเกตความคลางแคลงใจที่มีลักษณะเฉพาะของหลังสมัยใหม่เกี่ยวกับวาทกรรมหลัก และลัทธิความเชื่องมงาย(dogmatism)ของพวกนั้นที่กำลังก้าวขึ้นมาข้างหน้า. สิ่งที่รู้สึกว่าเป็นความผิดพลาดเกี่ยวกับลัทธิมาร์กซิสม์คือว่า มันล้มเหลวที่จะเคลื่อนไปกับห้วงเวลา และสำนึกว่า สังคมกำลังมีความหลากหลายอย่างไร(หรือเป็น"พหุสังคม"มากขึ้น)
ลัทธิมาร์กซิสม์ทุ่มเทอย่างหนักในระดับของความพยายามที่จะยัดเยียดทฤษฎีต่างๆของตัวเองให้กับคนอื่นๆ, เนื่องจากว่ามันเพียงลำพังเป็นผู้ครอบครองความจริง. หากมองดูจากทัศนียภาพนี้, ลัทธิมาร์กซิสม์ก็คือทฤษฎีเผด็จการอำนาจเบ็ดเสร็จอันหนึ่ง
อีกด้านหนึ่งนั้น, Laclau และ Mouffe กำลังเสนอแนะกรณีดังกล่าว ให้ลัทธิมาร์กซิสม์มีการเปิดกว้างมากขึ้น ซึ่งจะทำให้มันสามารถที่จะปรับประยุกต์เพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทางวัฒนธรรม - และเป็นที่ดึงดูดใจต่อผู้ฟังใหม่ๆในกระบวนการดังกล่าวได้
อย่างที่ทำนายได้เพียงพอ การตั้งมั่นของมาร์กซิสท์เป็นสิ่งที่น่าดูแคลนในสายตาของ Laclau และ Mouffe ที่อ้างว่า ลัทธิมาร์กซิสม์ต้องมีการปรับปรุงอย่างถึงที่สุด หรือมันควรจะต้องพยายามมุ่งมั่นให้กลายไปเป็นนักพหุนิยม แทนที่จะธำรงหรือยึดถือความจริงที่คิดขึ้นเองของลัทธิมาร์กซิสม์เอาไว้ และยึดถือความเป็นสากลเกี่ยวกับการปฏิบัติ
Richard Rorty - post-philosophy
(หลังปรัชญา)
ความสงสัยแคลงใจอันนี้เกี่ยวกับทฤษฎีหลัก(grand
theory) และการเรียกร้องอ้างสิทธิ์ในลักษณะเบ็ดเสร็จของมันนั้น สามารถได้รับการพิจารณาถึงลักษณะสำคัญที่แตกต่างของปรัชญาหลังสมัยใหม่
ซึ่งได้ธำรงรักษาท่าทีแบบเสรีนิยมเอาไว้มาโดยตลอดในการแสดงออกอันหลากหลาย ในโลกของปรัชญาแองโกลอเมริกัน
พวกเราสามารถค้นพบทัศนะต่างๆดังกล่าว ที่ได้รับการสนับสนุนโดยนักปรัชญาปฏิบัตินิยมชาวอเมริกัน
นั่นคือ Richard Rorty, ซึ่งเป็นผู้ที่มีความสามารถอย่างสูงและเป็นที่รู้จักกันอย่างดีเมื่อเร็วๆนี้
เกี่ยวกับขนบจารีตทางปรัชญาภาคพื้นทวีปยุโรป
Rorty เช่นเดียวกัน เขาไม่มีเวลาให้กับทฤษฎีหลักและ, ในรูปแบบของนักปฏิบัตินิยมดั้งเดิม, เขามีความสนใจน้อยมากว่าทฤษฎีต่างๆนั้นมันถูกต้องหรือผิดพลาด สิ่งที่เขาให้ความเอาใจใส่คือทฤษฎีเหล่านั้นมันมีประโยชน์และน่าสนใจหรือไม่ต่างหาก
ปรัชญาสำหรับ Rorty ไม่มีอะไรมากเกินไปกว่ารูปแบบหนึ่งของการสนทนา และความชื่นชอบส่วนตัวของเขาเอง ปรัชญามันทำหน้าที่ค้นคว้าหาต้นตอเกี่ยวกับไอเดียต่างๆเพื่อนำทางพฤติกรรมของเราไปสู่หัวข้ออื่นๆ อย่างเช่น วรรณคดี
การหันไปสู่"post-philosophy"(หลังปรัชญา)ของ Rorty, ก็เช่นกันคือ postmodern(หลังสมัยใหม่)อันมีลักษณะเฉพาะ ในการปฏิเสธเกี่ยวกับวาทกรรมมาตรฐาน(standard narrative)ที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับขนบจารีตปรัชญาตะวันตก. เช่นเดิม "อำนาจหน้าที่"อีกอันหนึ่งได้ถูกส่งลงสู่ถังขยะทางประวัติศาสตร์อย่างไม่มีพิธีรีตอง
การวิจารณ์นักคิดหลังสมัยใหม่
ไม่น่าประหลาดใจที่ว่า
ไม่ทุกคนจะรู้สึกมีความสุขกับลัทธิหลังสมัยใหม่ นักวิจารณ์ชาวอเมริกัน Fredric
Jameson ได้ตั้งฉายาทฤษฎีหลังสมัยใหม่ว่า "the cultural logic of late capitalism"(ตรรกะทางวัฒนธรรมของลัทธิทุนนิยมตอนปลาย),
ซึ่งเขาได้พิจารณามันในฐานะที่เป็นภาวะการสมรู้ร่วมคิดกับพลังอำนาจต่างๆที่เป็นอยู่
ในการช่วยธำรงรักษาสถานะทางการเมืองดังกล่าวเอาไว้โดยที่อาจไม่ได้ตั้งใจ
ส่วนบรรดานักคิดหลังสมัยใหม่ได้วิพากษ์วิจารณ์โต้กลับเกี่ยวกับความเชื่อของพวกฝ่ายซ้ายในประสิทธิภาพเกี่ยวกับการเผชิญหน้าเชิงอุดมการณ์ และสำหรับนักคิดหลังสมัยใหม่นั้นถือว่า มาร์กซิสท์อย่าง Jameson นั้น มีอิทธิพลในการรับใช้แนวทางของพวกฝ่ายขวา ซึ่งมีผลประโยชน์เหนียวแน่นในการมองดูกระบวนการทางการเมืองดังกล่าวที่งอกงามโดยปราศจากความกระตือรือร้นใดๆ
Terry Eagleton ได้นำเอาทัศนะที่คล้ายคลึงกันอันหนึ่งมาสู่ Jameson, โดยเขาได้ดึงความสนใจอย่างต่อเนื่องสู่ความเกี่ยวพันในเชิงอุดมการณ์ของการรับเอาแนวทางหลังสมัยใหม่มา ซึ่งเขาได้ปฏิบัติในฐานะที่ไม่เป็นมิตรนักกับแนวทางของสังคมนิยม
Christopher Norris ได้วิจารณ์อย่างรุนแรงเกี่ยวกับผลงานของ Baudrillard, โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เขารู้สึกคือ ท่าทีทะเล้นที่มีต่อสงครามอ่าวเปอร์เชีย สำหรับ Norris, การปฏิเสธของ Baudrillard เกี่ยวกับความเป็นจริงของสงครามนั้น เป็นสัญลักษณ์ของความว่างเปล่าของลัทธิหลังสมัยใหม่ในฐานะทฤษฎีทางวัฒนธรรมอันหนึ่ง, และเขาไม่สามารถให้การยอมรับความรู้สึกตายด้านที่เด่นชัดของ Baudrillard ต่อความยุ่งเหยิงทางการเมืองและความทุกข์ยากของมนุษย์ได้
Jurgen Habermas เช่นเดียวกัน พบว่าลัทธิหลังสมัยใหม่น่าสงสัยในเชิงอุดมการณ์ และได้หยิบยกเอาประเด็นเกี่ยวกับปรัชญาของ Lyotard มาเป็นพื้นฐานอันนี้
สรุป
กล่าวโดยสรุป ปรัชญาหลังสมัยใหม่ได้รับการนิยามหรืออธิบายว่า เป็นเรื่องราวใหม่ล่าสุดเกี่ยวกับความสงสัย(scepticism)
ซึ่งค่อนข้างให้ความเอาใจใส่อย่างมากต่อความไร้เสถียรภาพหรือความไม่มั่นคงในทฤษฎีต่างๆ
ที่พยายามเรียกร้องหรืออวดอ้างตนเองในเรื่องความจริง มากกว่าการสร้างทฤษฎีที่มีลักษณะเชื่อถือได้หรือเป็นหลักการของตัวมันเองขึ้นมา
แน่นอน แม้ว่าจะเป็นเรื่องของความสงสัยเกี่ยวกับข้ออ้างต่างๆในทางทฤษฎีของคนอื่น ซึ่งมีโปรแกรมที่แน่ชัดอันหนึ่งของตัวมันเอง แต่ก็ไม่ได้สร้างอะไรขึ้นมาใหม่ ด้วยเหตุนี้ ปรัชญาหลังสมัยใหม่จึงสามารถถูกมองได้ว่าเป็นการแปรขบวนหรือปรับความเหมาะสมเกี่ยวกับปรัชญาเท่านั้น เพื่อทำลายอำนาจเบ็ดเสร็จอันเป็นสิ่งที่จำเป็นในวัฒนธรรมของพวกเรา ทั้งในระดับทฤษฎีและในระดับการเมือง
ไม่ว่าแนวโน้มนั้นจะมาควบคุมหรือมีอำนาจเหนือผลประโยชน์มาเป็นระยะเวลายาวนานหรือไม่ก็ตาม ซึ่งยากที่จะกล่าว ในบางขอบเขต ลัทธิหลังสมัยใหม่ตัวของมันได้กลายเป็นวาทกรรมหลัก(grand narrative)ไปเสียเอง(มันมีแนวทางของหลังสมัยใหม่ที่แน่ชัดอันหนึ่งต่อประเด็นปัญหาต่างๆทางปรัชญาส่วนใหญ่) และด้วยเหตุนี้ มันจึงถูกโจมตีได้ง่ายด้วยเช่นกันในทางที่ย้อนกลับ
เป็นไปได้ด้วยที่จะถกว่า บรรดานักปรัชญาหลังสมัยใหม่พูดหรือเน้นมากเกินไปถึงความเสื่อมของวาทกรรมหลักต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างแย้งซึ่งเห็นกันชัดเจนและตรงประเด็นมากๆอันหนึ่ง ต่อการบอกเลิกของ Lyotard เกี่ยวกับการมีนัยสำคัญที่ต่อเนื่องของวาทกรรมเหล่านี้ก็คือ ลัทธิมูลรากทางด้านศาสนา(religious fundamentalism)(วาทกรรมหลักอันหนึ่ง ที่เป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด) ซึ่งมีการเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงทศวรรษที่เข้าใกล้การสิ้นสุดของศตวรรษที่ยี่สิบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเจริญเติบโตของลัทธิมูลรากอิสลาม ดูเหมือนว่าจะทักท้วงความมีเหตุผลหรือหลักฐานการตัดสินของ Lyotard บนรอยบากอันนี้. ความงอกงามของลัทธิมูลรากอิสลาม มันควบคุมวิถีชีวิตทางการเมืองของประเทศต่างๆเป็นจำนวนมาก ซึ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในตะวันออกกลางและเอเชีย, และทำให้มันมีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญอันหนึ่งต่อฉากการเมืองโลกในปัจจุบัน
Lyotard ตัวของเขาเองได้ใช้ทัศนะที่มีลักษณะเป็นวงวัฏฏอันหนึ่งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ด้านวัฒนธรรม ซึ่งลัทธิหลังสมัยใหม่และลัทธิสมัยใหม่ยังคงประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในแต่ละลัทธิเหนือกาลเวลามาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นลัทธิหลังสมัยใหม่ในอดีต(บุคคลต่างๆอย่างเช่น Rabelais หรือ Laurence Sterne มีคุณสมบัติเป็นหลังสมัยใหม่สำหรับ Lyotard) และมันก็จะมีลัทธิสมัยใหม่และลัทธิหลังสมัยใหม่อีกครั้งในอนาคต
เป็นไปได้ที่จะให้เหตุผลว่า พวกเราได้ก้าวเข้ามาสู่โลกของหลัง-หลังสมัยใหม่(post-postmodernist world)กันเรียบร้อยแล้ว ที่ที่การหมกมุ่นใจจดใจจ่อทางวัฒนธรรมที่แตกต่าง กำลังทำให้ความเป็นอยู่ของพวกเรารู้สึก. แน่นอน ความสงสัยมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปเป็นความทันสมัยและล้าสมัยบนเส้นทางของประวัติศาสตร์ปรัชญา และมันอาจจะดีที่ว่า วงรอบปัจจุบันได้รับใช้วัตถุประสงค์อันมีประโยชน์ ในการดึงความสนใจของเราสู่ความอ่อนแอของฐานะตำแหน่งทางปรัชญาบางอย่าง และงานทางปรัชญาต่างๆที่มีการปรับตัวในเชิงลบน้อย สามารถที่จะครอบครองที่ทางของมันในอนาคตได้โดยตรง
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา I webboard
e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
สำหรับสมาชิกที่ต้องการ download ข้อมูล อาจใช้วิธีการง่ายๆดังต่อไปนี้
1. ให้ทำ hyper text ข้อมูลทั้งหมด
2. copy ข้อมูลด้วยคำสั่ง Ctrl + C
3. เปิด word ขึ้นมา (microsoft-word หรือ word pad)
4. Paste โดยใช้คำสั่ง Ctrl + V
จะได้ข้อมูลมา ซึ่งย่อหน้าเหมือนกับต้นฉบับทุกประการ
(กรณีตัวหนังสือสีจาง ให้เปลี่ยนสีเป็นสีเข้มในโปรแกรม word)
แนวคิดของ
Lyotard และคนดังหลังสมัยใหม่
( ลัทธิหลังสมัยใหม่และปรัชญา
: Postmodernism and Philosophy : Stuart Sim)
แปลและเรียบเรียงโดย สมเกียรติ ตั้งนโม
สาขาจิตรกรรม คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปรัชญา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในจารีตปรัชญาฝรั่งเศสเมื่อไม่นานมานี้ นับว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการถกเถียงกันเรื่องลัทธิหลังสมัยใหม่ และเป็นแหล่งต้นตอข้อมูลของทฤษฎีจำนวนมากเกี่ยวกับสิ่งที่ก่อตัวขึ้นมาเป็นลัทธิหลังสมัยใหม่. เป็นไปได้ว่า บุคคลสำคัญซึ่งเป็นผู้นำในปรัชญานี้ก็คือ Jean-Francois Lyotard หนังสือของเขาที่ชื่อว่า The Postmodern Condition: A Report on Knowledge(1979) ได้รับการพิจารณาอย่างกว้างๆในฐานะที่เป็นการแสดงออกในเชิงทฤษฎีที่ทรงพลังเกี่ยวกับลัทธิหลังสมัยใหม่.
การเรียกร้องของ Lyotard ก็คือ เขาขอให้พวกเราปฏิเสธวาทกรรมหลัก(grand narrative)[นั่นคือ, ทฤษฎีต่างๆที่อ้างความเป็นสากล]ของวัฒนธรรมตะวันตก เพราะปัจจุบัน พวกมันได้สูญเสียสถานะความน่าเชื่อถือของมันทั้งหมดลงไปแล้ว