Pworld4.jpg (65335 bytes)

คนในยุคดึกดำบรรพ์รู้จักกับความจริงเสมือนและไซเบอร์สเพสมาแล้ว พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิต

011.jpg (18647 bytes)

CHAPTER 17 : CYBERSPACE AND HUMAN NATURE

บทที่ 17 : ไซเบอร์สเพส และธรรมชาติมนุษย์

การปลดปล่อยอันยิ่งใหญ่, ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพวกเรา, เกิดขึ้นมาในช่วงระหว่างยุคสมัย Upper Paleolithic. ยิ่งไปกว่านั้น การปลดปล่อยอันนี้มันไม่ใช่อะไรอื่นที่อยู่ไกลลิบลับ ซึ่งเกิดขึ้นในห้วงเวลานอกเหนือไปจากจิตใจของมนุษย์, มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจอันหนึ่ง แต่โดยสาระแล้วมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับอดีตเลย.

จากจุดยืนที่เกี่ยวกับช่วงชีวิตของมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่ย้อนเวลากลับไป 3 หมื่นปี หรือมากกว่านั้น ดูเหมือนว่าคล้ายๆกันกับประวัติศาสตร์ในยุคโบราณนานมากทีเดียว. อันที่จริง มันเป็นเพียงแค่พริบตาเดียวในสัดส่วนของช่วงเวลาแห่งวิวัฒนาการของโลกเราเท่านั้น. เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงยังคงเยาว์วัยมาก, หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยังเป็นทารกอยู่ ซึ่งเพิ่งจะเริ่มต้นอย่างงงๆในการสังเกตุการณ์และในการสำรวจโลกของเราใบนี้.

กระบวนการ momentum ในท่ามกลางมนุษย์ Cro-Magnons ยังคงเคลื่อนตัวต่อไปสู่อัตราเร่งในยุคสมัยของเรา. พลังอย่างเดียวกันซึ่งขับเคลื่อนเราในทุกวันนี้ ได้ขับเคลื่อนบรรพบุรุษของเราด้วยเมื่อไม่นานมานี้ ภายใต้รูปเขียนบนผนังถ้ำ, เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ, แสงตะเกียง, และความนึกคิดทั้งหลาย อันเกี่ยวกับที่ทางหรือตำแหน่งแหล่งที่ของพวกเขา ในแบบแผนโครงสร้างของสิ่งต่างๆ…

เรื่องราวซึ่งยังคงซ่อนเร้นอยู่ข้างใต้ มันยังคงต่อเนื่องมาเรื่อยๆ, พรุ่งนี้มันอาจจะทำออกมาจนสำเร็จ, ด้วยความเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นและในสัดส่วนที่ใหญ่ๆขึ้นของพลังเมื่อวานนี้ที่ปลดปล่อยออกมาในช่วงระหว่าง Upper Paleolithic. ข้อมูลต่างๆยังคงก่อตัวเป็นกองๆสุมขึ้นมาเรื่อยๆ, และรวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต.

ภารกิจของกระบวนการเกี่ยวกับการจัดการและวิเคราะห์มันยังคงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และยังคงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก และด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นภารกิจของการสื่อสาร-การสร้างสรรค์ใหม่ๆ, สัญลักษณ์ต่างๆที่อัดรวมกันอยู่, ภาพต่างๆที่แสดงถึงความช่ำชองบนแบบฉบับบนจอโทรทัศน์, ระเบียบวิธีที่เชี่ยวชาญมากๆ. การอยู่รอดยังคงขึ้นอยู่กับการใช้ทรัพยากรของเราทั้งหมด, ศิลป, และพิธีกรรม เช่นเดียวกับเทคโนโลยี, เพื่อสร้างสังคมซึ่งมีความมั่นคงที่นอกเหนือไปจากจำนวนที่เพิ่มขึ้นของลักษณะปัจเจกต่างๆที่ห้าวหาญและไม่อาจคาดเดาได้.

John Pfeiffer : The Creative Explosion, 1982

เมื่อพิจารณาถึงบุคคลในระบบศักดินา, ซึ่งไม่รู้ว่าเขาอาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งได้บรรทุกหรือบรรจุทรัพยากรธรรมชาติเอาไว้ อย่างเช่น เชื้อเพลิงฟอสซิล, ซึ่งสามารถให้พลังแก่เครื่องจักรต่างๆที่จะไปสร้างสรรค์เครื่องจักรที่สลับซับซ้อนมากขึ้น และไปผลิตพลังงานไฟฟ้าเคมี…. ทุกวันนี้, ณ จุดสิ้นสุดของยุคอุตสาหกรรม, และเป็นรุ่งอรุณของยุคแห่งไซเบอร์สเพส, วิศวกรดิจิตอลส่วนใหญ่และนักจัดการเกี่ยวกับอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนมาก ต่างไม่ทราบว่า เรากำลังดำรงอยู่ในวัฒนธรรมไซเบอร์ที่ถูกล้อมรอบโดยกองข้อมูลข่าวสารที่ไม่มีขีดจำกัด ซึ่งสามารถที่จะทำให้เป็นดิจิตอลและเทปไว้โดยปัจเจกที่จัดหามาได้ด้วยเครื่องมือเกี่ยวกับไซเบอร์…. มันไม่มีขีดจำกัดบนความจริงเสมือน(virtual reality). ทั้งหมดมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเข้าไปสู่ข้อมูลข่าวสาร. การสวมใส่เสื้อผ้าคอมพิวเตอร์จะมีนัยะสำคัญในประวัติศาสตร์มนุษย์เช่นเดียวกันกับการสวมใส่หนังสัตว์ชั้นนอก ดังที่เป็นในยุคสมัย Paleolithic.

Timothy Leary : Quoted by David Sheff in Upside, 1990

3 หมื่นปีมาแล้ว, ภายนอกโพรงเล็กๆที่ดูหลอกๆ ซึ่งอยู่ในถ้ำหินปูนอีกทีหนึ่ง ที่สร้างขึ้นในพื้นที่ซึ่งปัจจุบันนี้ถูกรู้จักว่าคือฝรั่งเศสทางตอนใต้, วัยรุ่นหลายคน ตัวสั่นระริกอยู่ในความมืด, เพื่อรอคอยพิธีกรรมเพื่อเข้าสู่ศาสนพิธีเกี่ยวกับคนทำเครื่องมือต่างๆ(toolmakers). หลายสัปดาห์ของการอดอาหาร และการบังคับใจตัวเอง, การทดสอบที่เต็มไปด้วยความทรหดของความเงียบและความเจ็บปวด, พิธีกรรมเกี่ยวกับเสียงกลอง, การร้องเพลง และการเต้นรำ, ต่างเกี่ยวพันกับการมาถึงของจุดไคลแม็กซ์. ความจริงเสมือน(virtual reality)ครั้งแรกรอคอยพวกเขาอยู่ข้างล่าง. เราไม่อาจล่วงรู้ได้เลยเกี่ยวกับความแน่นอนใดๆว่าอะไรจะออกมาจากที่นั่น, แต่อย่างน้อยที่สุด, นักดึกดำบรรพ์วิทยาร่วมสมัย (contemporary paleontologist)ได้แสดงให้เห็นว่า กิจกรรมต่างๆในถ้ำเหล่านั้น มันมีความใกล้ชิดกันมากกับความเปลี่ยนแปลงในความคิดและการกระทำของมนุษย์ ซึ่งยังคงดังก้องอยู่อย่างต่อเนื่องในทุกวันนี้.

ณ บางจุดในช่วงระหว่าง 1 หมื่นถึง 3 หมื่นปีมาแล้ว, ส่วนใหญ่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์เราได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตนเองไป, ไม่ใช่เพราะเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางชีววิทยาหรือการคัดสรร, แต่เป็นเพราะผู้คนเรียนรู้บางสิ่งใหม่ๆ. ถ้ำต่างๆที่ Lascaux และสถานที่อื่นๆ อาจเป็นที่ที่การเรียนรู้อันนั้นได้เกิดขึ้นมา. ถ้าหากว่าทฤษฎีต่างๆของ John Pfaiffer นักดึกดำบรรพ์วิทยาถูกต้อง, มันคือ”ไซเบอร์สเพสแบบดึกดำบรรพ์”แต่มีประสิทธิภาพมาก และอาจเป็นเครื่องมือในการจัดการหรือตกแต่งเราให้ไปสู่เส้นทางเกี่ยวกับการสร้างโลกที่เป็นคอมพิวเตอร์ก่อนอื่นใดทั้งหมด.

การสร้างเครื่องมือ คือจุดเริ่มต้นของถนนหนทางที่น้อมนำไปสู่การเปิดเผยเกี่ยวกับไซเบอร์สเพส, และการสร้างเครื่องมือ, การใช้กลไกความสนใจต่างๆของมนุษย์ และการแก้ปัญหาชั้นสูงของ video display แทนภาพเขียนสีเหลืองโอ๊คบนผนังถ้ำหินปูนต่างๆ, อาจเป็นวัตถุประสงค์ของอนาคตที่ไกลสุดเกี่ยวกับไซเบอร์สเพสด้วย.

ผู้เริ่มฝึกหัด(วัยรุ่น เด็กหนุ่มๆในยุคดึกดำบรรพ์)ได้ถูกเลือกสรรอย่างระมัดระวัง. ปีละครั้ง, ผู้เข้ารับเลือกต่างๆผู้ซึ่งอายุครบเกณฑ์เหล่านี้ ต่างถูกล่อลวงด้วยกลุ่มของภาพเงาของคนสร้างเครื่องมือ(toolmakers), หมอผี, และศิลปินทั้งหลาย, กิจกรรมของพวกเขาเหล่านี้กำลังเปลี่ยนไปอย่างไม่อาจหวนคืนมาได้ จากวิถีของการทำงานและอาศัยอยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์. ที่ปรึกษาอันชาญฉลาดหรือพี่เลี้ยงทั้งหลายนำเอาผู้ที่ตนฝึกหัด คนต่อคน, ลงไปในถ้ำ. หลายชั่วโมงที่ต้องคลานลึกลงไป, ทั้งแคบและมืด, คดเคี้ยและวกวน, ช่องทางนั้นได้นำไปสู่ห้องพิเศษต่างๆ. หลังจากการร้องรำทำเพลง, การนอนคว่ำหน้า, การกระซิบกระซาบเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องเล่าตำนานต่างๆและคาถาอาคม, ความมืดได้ถูกทะลุทะลวงมันสว่างขึ้นด้วยคบไฟ และแสงตะเกียงซึ่งจะถูกนำมาวางเป็นช่วงๆตามแผนการอันแยบยล. ผู้ฝึกหัด(วัยรุ่น, เด็กหนุ่ม) ซึ่งนอนอยู่หรือยืนอยู่ในตำแหน่งที่ถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำ, ทันใดนั้น คนเหล่านี้จะมองเห็นรูปลักษณ์ของสิ่งที่เหนือธรรมชาติลอยอยู่ท่ามกลางที่ว่างต่อหน้าต่อตาของพวกเขา – เช่น ตัวไบซัน, นก, สัญลักษณ์ต่างๆ, รูปคน, สิ่งเหล่านี้กระโดดออกมาจากความมืด มาปรากฎแก่สนามสายตาของพวกเขา.

ในช่วงนี้ของความกลัวที่เกิดขึ้นมาด้วยภาพและเสียงจนตัวสั่น, Pfeiffer แสดงความคิดเห็นว่า, ความลึกลับต่างๆทางเทคโนโลยีครั้งแรกได้ถูกเผยออกมา. ดวงจิตของผู้ฝึกหัดถูกทำให้อ่อนไหวหรือกระตุ้นอย่างระมัดระวังและได้รับการกรอบขึ้นมาใหม่โดยสิ่งที่เห็นและได้ยินเป็นลำดับต่อเนื่องซึ่งมีความเชี่ยวชาญอย่างระมัดระวัง, มันถูกทำขึ้นมาด้วยความลึกลับของไฟและโลหะ, เรื่องราวของความเชื่อมโยงกันระหว่างเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆและดวงดาวทั้งหลาย. รูปแบบแรกๆอันหนึ่งของไอเดียอันมีพลังที่สุด ณ พื้นฐานของอารยธรรมทางด้านเทคโนโลยี – มันมีความเป็นไปได้ที่จะสังเกตุโลกและเรียนรู้จากมัน และประยุกต์ความรู้อันนั้นไปสู่ความประสงค์นานาของชีวิตประจำวัน – สิ่งเหล่านี้ได้ถูกหลอมรวมเข้าไปข้างในสมองของบรรพบุรุษของเราสู่องค์ประกอบของเสียงซึ่งเป็นสามมิติและการแสดงของแสงเงา.

ความจริงเสมือนต่างๆเมื่อแรกสุดบนโลกของเราอันนี้ ได้รับการก่อตัวขึ้นมาอย่างยากลำบากและอุตสาหะ, ด้วยแสงตะเกียงและโพรงที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน. วัตถุประสงค์ของพวกเขายังไม่ถูกรู้, แต่ John Pfaiffer ได้เสนอหลักฐานในงานพิมพ์เชิงวิทยาศาสตร์ของเขาและหนังสือของเขาที่ชื่อว่า, The Creative Exposion, เขาบันทึกว่า ไซเบอร์สเพสที่อยู่ใต้ดินเหล่านี้อาจได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อให้ข้อมูลที่เป็นรอยประทับลงบนจิตใจของนักเทคโนโลยีต่างๆครั้งแรก. ถึงแม้ว่าต้นตอกำเนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะยังคงเป็นสารัตถะอันหนึ่งของการทุ่มเถียง, แต่วิธีการต่างๆที่แพร่หลายในช่วงวันเวลานั้นได้ชี้ถึงลักษณะร่วมกันอันหนึ่งของบรรพบุรุษเมื่อประมาณ 2 แสนปีล่วงมาแล้ว. จนกระทั่ง หลายหมื่นปีที่ผ่านมา, จำนวนประชากรที่ค่อนข้างเบาบางได้นำไปสู่การดำรงอยู่ในอย่างเดียวกันไม่มากก็น้อย, นับเป็นพันๆปี.

อย่างไรก็ตาม รายรอบช่วงวันเวลาดังกล่าว งานจิตรกรรมบนผนังถ้ำครั้งแรกได้รับการเขียนขึ้น, วิถีการดำรงอยู่อย่างใหม่อันหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นมา. การปฏิวัติที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของวันเวลาทั้งหมด, เกษตรกร/นักเทคโนโลยียุค paleolithic คนแรกๆ กำลังเปลี่ยนแปลงและกำลังกำหนดชี้ชะตา อันเป็นพื้นฐานที่สุดเกี่ยวกับวิถีชีวิตดึกดำบรรพ์ที่ต้องดำรงอนยู่ด้วยการเก็บสะสมอาหารและการล่าสัตว์ ซึ่งนั่นเป็นการค้ำจุนหรือยืนยันถึงเผ่าพันธุ์มนุษย์กลุ่มเล็กๆสำหรับเมื่อ 2 แสนปีมาแล้วว่าเผ่าพันธุ์เหล่านี้มีอยู่.

ทำไม อยู่ๆผู้คนจึงเริ่มต้นสร้างงานจิตรกรรมที่ลึกเข้าไปในถ้ำ, เมื่อหลายหมื่นปีล่วงมาแล้ว ? คำถามนี้เป็นยิ่งกว่างานวิชาการ. ดังที่ Pfaiffer ได้ชี้แจงในหนังสือของเขา, ผู้คนจะไม่ไปถึงจุดแห่งความยุ่งยากนี้หากย้อนกลับไป ถ้าปราศจากเหตุผลอันหนึ่งคือ:

สิ่งซึ่งก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์เกี่ยวกับศิลปะ ภายหลังจากวันเวลานับเป็นแสนๆปีของถ้ำและที่อยู่อาศัยกลางแจ้งที่ว่างเปล่า ไร้ร่องรอยของสิ่งประดับประดาตกแต่งและงานศิลปะ, และทำไมต้องเป็นในยุโรปตะวันตกด้วยเล่า ทำไมที่อื่นๆของโลกจึงไม่เป็นเช่นนั้นด้วย ? ต่อคำถามนี้ บางสิ่งบางอย่างจะต้องเกิดขึ้น เพื่อมาอธิบายถึงความแตกต่างอันนี้, และมันจะต้องผิดแผกแตกต่างอย่างมีนัยะสำคัญมากๆด้วย.

สิ่งที่น่าประหลาดใจและสร้างความงวยงงก็คือ ทำไมสังคมจึงเปลี่ยนไป, ทำไมผู้คนจึงเปลี่ยนไป. สิ่งซึ่งเป็นความต้องการใหม่ๆจะต้องเป็นที่น่าพอใจ, อะไรคือสิ่งใหม่ซึ่งเป็นที่ต้องการเติมเต็มหรือต้องการทำให้บรรลุผล ? ผู้คนเหล่านี้มีความรู้สึกอ่อนไหวมากขึ้น, มีความประจักษ์ในตัวเอง, มีสุนทรีย์มากขึ้นใช่ไหม ? – และเหนืออื่นใด เป็นไปได้ที่พวกเขาจะได้ประโยชน์จากพฤติกรรมที่เพ้อฝันหรือปฏิบัติไม่ได้เช่นนั้น อย่างไร ?

ปัญหาเหล่านี้กลายเป็นระเบียบแบบแผนอันหลากหลายของความสลับซับซ้อนและขนาดมหึมามาก เมื่อมีใครคนหนึ่งพิจารณาศิลปะที่อยู่ลึกเข้าไปในถ้ำ: ศิลปะได้รับการเขียนขึ้นมาในส่วนที่มืดที่สุด, ไกลห่างจากแสงสว่างที่จะลอดเข้าไปถึงได้ ไม่ว่าจะเป็นแสงจากกลางวันหรือแสงยามเย็นรวมไปถึงแสงสว่างที่มาจากที่อยู่อาศัย, ผนังถ้ำที่แผ่กว้างหรือซ่อนเร้นอยู่ภายใน หรือห้องเล็กๆที่ซ่อนเร้นถึงสองชั้น, ถ้ำต่างๆภายในถ้ำอีกทีหนึ่ง, ความลึกลับภายในความลึกลับ. วัตถุประสงค์ของศิลปะประเภทนี้มันแตกต่างอย่างเหลือคณาจากวัตถุประสงค์ต่างๆเกี่ยวกับความหลากหลายของศิลปะที่มีอยู่ในบ้านของเรา. มันแนะไปถึงบางสิ่งที่ตั้งใจให้เป็นเรื่องของพิธีกรรม, การทดสอบที่ทรหด, การเดินทางใต้ดินเพื่อเหตุผลต่างๆที่ลึกลับ.

การปะทุของศิลปะแสดงถึงการปะทุขึ้นมาของพิธีกรรม และอีกคำรบหนึ่ง เรารู้สึกประหลาดใจและทึ่งเกี่ยวกับวิวัฒนาการที่ตามมาของมัน, เกี่ยวกับความปรารถนาและความต้องการซึ่งมันเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย, เกี่ยวกับคุณค่าที่มีการปรับดัดแปลงและเลือกสรร. มันเป็นทุกๆเหตุผลที่เชื่อว่า บรรดาศิลปินแต่ละคนได้รับประโยชน์โดยตรงจากพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษที่หายากของพวกเขา, ศิลปะนี้จะเหี่ยวแห้งล่วงโรยหากว่าไม่ได้รับการสำรวจหรือตรวจสอบ.

การปรากฎตัวขึ้นมาของศิลปะโดยตัวของมันเองมันเป็นอะไรที่เหลือที่จะพอต่อการจำแนกความแตกต่างกับ Upper Paleolithic, แต่การพัฒนาจำนวนมากยังอยู่ภายใต้วิถีทางในช่วงเวลาเดียวกันนี้. สำหรับสิ่งหนึ่ง, อันเป็นสิ่งใหม่ที่ปรากฎตัวขึ้นมาในความคุ้นเคยเป็นครั้งแรกในการบันทึกของฟอสซิล, นั่นก็คือเผ่าพันธุ์มนุษย์ใหม่เผ่าพันธุ์หนึ่ง. มนุษย์ Neanderthals ต่างๆก่อนหน้านี้ ได้อัตรธานหายไปโดยปราศจากร่องรอย, และที่ทางของพวกเขาได้ถูกหยิบยกขึ้นมาโดยสิ่งเหลือรอดของแบบฉบับของปัจเจกลักษณะใหม่ต่างๆเหมือนของพวกเราเอง, มนุษย์ Cro-Magnon และการแพร่พันธุ์ที่เกี่ยวดองกันอ้างอิงถึงการรวมกันและบางอย่างซึ่งมีลักษณะสละสลวยในฐานะที่เป็นสิ่งที่เรียกว่า”ความฉลาดเป็นสองเท่า”(doubly wise), Homo sapiens sapiens.

แบบแผนการดำเนินชีวิตใหม่ปรากฎขึ้นมาพร้อมกับเผ่าพันธุ์ใหม่ของมนุษย์. การเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้นข้ามไปยังอีกขอบด้านหนึ่ง, ซึ่งในความเป็นจริงในทุกๆพื้นที่ของความพยายามบากบั่นของมนุษย์. มนุษย์ Cro-Magnons ได้สร้างเครื่องไม้เครื่องมือมากขึ้นและหลากหลายชนิดมากกว่าแต่ก่อนที่มนุษย์ Neanderthals เคยทำขึ้นมา, มีการใช้ประโยชน์วัตถุดิบต่างๆอย่างหลากหลายและอย่างมีประสิทธิภาพมาก, มีการใช้ประโยชน์เกี่ยวกับพืชและสัตว์ต่างๆอย่างกว้างขวางตามลำดับ. ดูเหมือนว่าพวกเขาได้มารวมตัวกันเป็นกลุ่มที่ใหญ่ขึ้น, บางทีสำหรับช่วงเวลาอันยาวนาน, มันมีนัยะอันหนึ่งของการมาถึงช่วงเวลาแห่งการตั้งถิ่นฐานลงอย่างบริบูรณ์ และได้มีการสื่อสารกับอีกคนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปมากได้. มันเป็นเครื่องหมายบางอย่างของเศษเล็กๆอันหนึ่งของขนบประเพณีในยุคที่เก่าแก่. สิ่งต่างๆได้บังเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมาก่อน.

Pfaiffer ได้บันทึกเอาไว้ว่า ภาพจิตรกรรมเป็นจำนวนมากเป็นประเภทบิดเบือนรูปทรงหรือตามศัพท์เรียกว่า anamorphic, นั่นคือ มีการเขียนภาพด้วยวิธีที่บิดผันไปอย่างแม่นยำบนผนังหินปูนที่โหนกนูนออกมาและเว้าเข้าไปตามธรรมชาติ เพื่อที่จะทำให้มันมีลักษณะปรากฏออกมาเป็นสามมิติเมื่อมองจากมุมมองที่มีแสงอย่างพอเหมาะ. ส่วนในภาพอื่นๆได้ถูกแกะสลักลงในผนังถ้ำในวิธีการที่มันได้เผยให้เห็นตัวของมันเองเมื่อแสงเคลื่อนผ่านมันไปจากมุมที่เหมาะสม. จากสถานที่หรือตำแหน่งของงานจิตรกรรม, มายาภาพซึ่งเป็นสามมิติ, และหลักฐานภายนอกเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆของมนุษย์อื่นๆในช่วงระหว่างยุคสมัยเดียวกัน, Pfaiffer ได้ทำการรวบรวมหลักฐานสำหรับสมมุติฐานของเขาว่า วัตถุประสงค์ของการแสดงภาพเงาใต้ดินเหล่านี้ เป็นไปเพื่อต้องการก่อให้เกิดภาวะที่เฉพาะอันหนึ่งเกี่ยวกับความสำนึกขึ้นมา.

เหตุผลที่เชื่อก็คือ เพื่อช็อคผู้คนในการเข้าสู่ภาวะที่ผันแปรไปของความสำนึก, Pfaiffer ยืนยัน, อาจเป็นไปเพื่อช่วยในการเล่าเรื่องเนื้อหาที่มีการเพิ่มพูนขึ้นของข้อมูล ซึ่งต้องการเพื่อการขยับขยายเกี่ยวกับวิถีชีวิตใหม่ๆ. การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืช, ยาสมุนไพร, การทำเครื่องมือหิน, การดูดาว, การทำปศุสัตว์, และเรื่องราวอื่นๆทั้งหมดเกี่ยวกับความรู้และตำนานซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อวงวัฏฏะของอายุขัยเกี่ยวกับการอพยพย้ายถิ่น และสร้างที่อยู่ที่ถาวรขึ้นมา ซึ่งค่อนข้างใหม่ในวัฒนธรรมของมนุษย์. เทคนิคใหม่ต่างๆนำมาซึ่งความปรารถนาอันหนึ่งที่จะส่งผ่านหรือถ่ายทอดข้อมูลทางวัฒนธรรมที่เพิ่มขึ้นสู่คนรุ่นต่อไปในอนาคต – มันเป็นการสั่งสอนหรือการถ่ายทอดความรู้ด้วยสิ่งประดิษฐ์ต่างๆที่ช่วยประหยัดแรงงานอันใหม่. การปะทุหรือระเบิดของข้อมูลและวิกฤติการสื่อสารที่มีผลตามมา, Pfaiffer ยืนยัน :

วิกฤติอันนั้น, มันมีความรุนแรงเทียบเท่ากับการคุกคามในช่วงที่เกิดทุพภิกขภัย, มันวุ่นวายและสับสนอลหม่าน. ความรู้ที่สั่งสมกันมาของหมู่คณะของสังคม มันได้ตื่นขึ้นมา และมันต้องการระบบของการเก็บข้อมูลอันทรงพลังที่มากกว่า และมันไม่มีการเขียนเป็นตัวหนังสือ.

ตัวเขียนหนังสืออาจช่วยได้ในบางขอบเขต, และจังหวะก้าวนั้น ในท้ายที่สุด ได้น้อมนำไปสู่การบันทึกแรกเริ่มที่สุดของมนุษย์ โดยผ่านเครื่องหมายและสัญลักษณ์ต่างๆอันสลับซับซ้อนซึ่งปฏิบัติการหรือดำเนินการได้เป็นอย่างดี.

ตัวเขียนอย่างที่เราทราบกันมันมาถึงหลังจากนั้น คืออีกสองหมื่นกว่าปีต่อมา. ที่นี่และตอนนี้ มันได้เกิดมาตรการที่ฉับพลันเกี่ยวกับลักษณะที่แตกต่างอันหนึ่ง, มาตรการต่างๆที่สร้างขึ้นเพื่อถ่ายทอดเนื้อหาที่ขยายออกไปเกี่ยวกับ”สารานุกรมชนเผ่า”(tribal encyclopedia) ซึ่งไม่ถูกระทบกระเทือนและลบเลือนไปจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง.

หนทางหนึ่งหรือวิธีการหนึ่งซึ่งจะเตรียมผู้คนเพื่อตรึงตาหรือเกิดรอยประทับขึ้นมาในใจ ได้ถูกรู้มานานแล้วโดยชนเผ่าต่างๆในทุกๆที่, ทั้งในโลกสมัยใหม่เช่นเดียวกันกับยุคก่อนประวัติศาสตร์: นั่นคือ นำพวกเขาไปสู่ที่ที่ไม่คุ้นเคย, ที่ซึ่งดูต่างออกไปแปลกๆ, และสถานที่ซึ่งไม่สะดวกสบาย, ส่วนหนึ่งของขั้นตอนหรือขบวนการซึ่งรู้จักเมื่อเร็วๆนี้ในฐานะที่เป็นการล้างสมอง. อันนี้ได้รับการออกแบบขึ้นมาเพื่อลบหรือขุดเซาะโลกในชีวิตประจำวันของเขาทิ้งไปอย่างสมบูรณ์เท่าที่สามารถจะทำได้, และแน่นอน วิธีการอันนี้ได้ถูกนำมาใช้ในฐานะที่เป็นประสิทธิภาพเบื้องต้นที่จะทำให้เด็กหนุ่มเหล่านี้จดจำได้.

มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ดำเนินไปสู่จุดนั้น, มีความประทับใจมากมายเและผลกระทบที่รวมเข้าด้วยกันของรอยประทับทั้งหมด. ศิลปะในตัวมันเองเป็นเพียงส่วนหนึ่งของประสบการณ์, บ่อยครั้งเป็นส่วนเล็กๆเท่านั้น. เว้นแต่สำหรับสัดส่วนที่ค่อนข้างเล็กของงานจิตรกรรมที่เด่นออกมาและถูกแกะสลัก, รูปลักษณ์ที่ปรากฎพวกนั้น มันมีความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว มันไม่ได้สร้างความตื่นเต้น, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมองดูมันจากนอกบริบท และในลักษณะที่เป็นสองมิติ, การผลิตสิ่งเหล่านี้ออกมาในรูปของหนังสือหรือภาพสไลด์ที่ฉายบนจอจะไม่น่าสนใจอะไรเลย. การจัดการดังกล่าวเป็นเงื่อนไขหรือปัจจัยหลักอันหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลเกี่ยวกับรูปร่างต่างๆพวกนี้, และกระบวนการของการไปถึงจุดนั้น, ตั้งแต่ต้องค่อยๆคลานเข้าไปยังโพรงถ้ำแคบๆ, จากโลกภายนอกเข้าไปสู่ปากถ้ำ, และไปยังห้องที่มีภาพเหล่านี้, ห้องเล็กๆข้างๆและโพรงช่องต่างๆด้านใน หรือพ้นไปจากห้องแคบๆ. มันเป็นการค่อยๆเข้าไปใกล้ซึ่งขยายกว้างขึ้น หรือการเข้าหาเพื่อขยายรูปดังกล่าว. มันได้สร้างความตื่นเต้นมากขึ้นๆทีเดียว….

รอยประทับจำนวนมากมายมหาศาลของข้อมูลในความทรงจำทำให้ระลึกถึงสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ นั่นคือ – การใช้ประโยชน์เกี่ยวกับพื้นที่ว่างที่จำกัด, เส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและความยากเย็นแสนเข็น, และภาพที่ซ่อนอยู่ มันได้ช่วยเพิ่มความแปลกประหลาดที่เป็นธรรมชาติของการจัดการที่อยู่ใต้ดิน – และอะไรอื่นๆอีกมากมายจริงๆ. พวกเราหรือผู้คนในสมัยนี้ เพียงเริ่มต้นทำความซาบซึ้งกับความลึกลับอันเต็มไปด้วยความชำนาญและเล่ห์เหลี่ยมของสิ่งที่ดำเนินไปเหล่านั้น. เมื่อเราได้พิจารณาถึงเทคโนโลยีต่างๆที่นำมาใช้ในยุคนั้น, มนุษย์ Upper Paalelithic ดูเหมือนว่าได้ใช้ประโยชน์เกี่ยวกับกลวิธีทุกๆชนิด, การสะสมและการทับถมของเทคนิคที่ให้ผลลัพธ์พิเศษ หรือ special effect ที่ทับลงบน special effect, มันเป็นความพยายามอันหนึ่งที่จะสร้างความมั่นใจว่า พวกเขาจะเก็บรักษาและส่งผ่านถ่ายทอดสารานุกรมของชนเผ่าต่อไปยังคนรุ่นต่อไปได้.

ถ้ำต่างๆที่ Lascaux อาจจะเป็นถ้ำที่อยู่ในท่ามกลางขนบพิธีรอยประทับทางใจต่างๆ ซึ่งได้ใช้ประโยชน์เกี่ยวกับใต้ดิน, ศิลปะสามมิติ, ปกรณัมโบราณและพิธีกรรม, และแก่นแกนจิตใจที่เปลี่ยนไปได้. การใช้ห้องใต้ดินในการรับเข้าเป็นสมาชิก(initiation) ซึ่งบรรจุไปด้วยสัญลักษณ์ต่างๆทางสถาปัตยกรรมและภาพต่างๆเกี่ยวกับหลักการทางจิตวิญญานและเทคโนโลยี, เพื่อพิธีกรรมในลักษณะละครพิเศษ และความน่าตื่นตาตื่นใจของแสงเสียง สิ่งเหล่านี้ตั้งใจหรือเจตนาที่จะปรับเปลี่ยนความสำนึกนั่นเอง, และสิ่งเหล่านี้มิได้จำกัดอยู่เฉพาะเพียงในแถบเมดิเตอร์เรเนียนเท่านั้น.

การตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยของมนุษย์ที่เก่าแก่สุดในอเมริกาเหนือ, ที่ราบสูง Hopi ณ Oraibi ในทางตอนเหนือของ Arizona, ก็มีห้องต่างๆเช่นว่านี้เช่นกัน, ซึ่งรู้จักกันในหมู่ชนเผ่า Pueblo ว่า Kiva: Kiva มีลักษณะเป็นห้องกลมๆ, หรือสี่เหลี่ยม, หรือหกเหลี่ยม โดยปกติแล้วจะอยู่ใต้ดิน, kiva ที่พูดถึงนี้จะมีช่องหรือโพรงอยู่ที่พื้น, มีแนวหินรายรอบเป็นเส้นรอบวง, และขั้นบันไดที่ขยายไปสู่ช่องควันที่ด้านบน.

ใน kiva ต่างๆเหล่านี้, เช่นเดียวกันกับในถ้ำต่างๆของ Lascaux หรือห้องที่ใช้สำหรับทำพิธีรับเข้าเป็นสมาชิกอื่นๆที่ Eleusis, คนหนุ่มในภาวะของการปรับเปลี่ยนความสำนึกจะได้รับการศึกษาในการใช้เกี่ยวกับเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆเพื่อการสร้างสรรค์ และธำรงรักษาวิถีชีวิตใหม่ๆ, มันเป็นทั้งเรื่องราวของจิตวิญญานและเรื่องของเทคโนโลยี. อย่างที่ Frank Waters ได้อธิบายเอาไว้ถึงสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า kiva อันลึกลับนี้ :

“มันลงรอยสอดคล้องอย่างคร่าวๆกับจักรวาลวิทยาแบบพุทธ, จักรวาลของพวกชนเผ่า Navaho และ Pueblo ได้โอบอุ้มโลกข้างใต้ที่ต่อเนื่องกันทั้งสี่เอาไว้ข้างล่างพื้นดิน….

ทั้งหมดนี้ได้ถูกทำให้เป็นสัญลักษณ์ในลักษณะนามธรรมใน kiva ของชนเผ่า Pueblo – มันเป็นห้องที่ลึกลับ, ซึ่งใช้ประกอบพิธีกรรมใต้ดิน. สำหรับ kiva ในตัวของมันเอง, มันมีความหลากหลายมาก, สรุปความในรูปลักษณ์ทางโครงสร้างโดยรวม จักรวาลทั้งสี่มันมีร่วมกันทั้งหมด….

ใน kiva, มนุษย์จะระลึกว่า เขาได้พำนักอยู่ในจักรวาลอันยิ่งใหญ่มหึมาและเปลือยเปล่า. และเขาได้ถูกทำให้รู้สึกรู้ทราบอย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับจิตวิญญาน, ความกลมกลืนกับจักรวาลซึ่งเขาจะต้องช่วยให้มันดำรงอยู่อย่างถาวรไม่สูญไปโดยพิธีกรรมเกี่ยวกับชีวิตของเขา.

สำหรับ kiva แล้ว มันไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมเท่านั้นของจักรวาลที่ปรากฎขึ้นมาเป็นรูปร่าง. จักรวาลดังกล่าว, ด้วยหินแกนอันยิ่งใหญ่ของมัน และ sipapucanyon, ตัวมันเองเป็นสัญลักษณ์ทางโครงสร้างอันหนึ่งของรูปลักษณ์ทางวิญญานที่ลึกลับของการสร้างสรรค์ทั้งหมด. และทั้งคู่ได้ถูกจำลองขึ้นมาในตัวของมนุษย์เอง.”

 

เกี่ยวกับพิธีกรรมที่ประกอบขึ้นมาใน kiva ที่ลึกลับส่วนใหญ่ ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่มีใครล่วงรู้ สำหรับคนที่อยู่ภายนอกเผ่าพันธุ์ Pueblo. แต่ก็เพียงพอที่จะรู้ถึงแง่มุมสาธารณะหรือประเด็นทั่วๆไปต่างๆเกี่ยวกับพิธีกรรม เพื่อสรุปว่ามันเกี่ยวพันกันกับแผนที่ของการถือกำเนิดและเป้าหมายต่างๆของมนุษย์อย่างชัดแจ้ง, พิธีกรรมที่มีลักษณะละครซึ่งเป็นสัญลักษณ์, และข้อมูลที่เข้มข้นเกี่ยวกับเทคโนโลยี จำเป็นที่จะธำรงรักษาวิถีชีวิตใหม่อันหนึ่งให้ยืนยงเอาไว้สำหรับวัฒนธรรม. ชนเผ่า Hopis ต่างๆ, ก็เหมือนกันกับผู้สืบทอดมาทางซีกโลกตะวันตกของกลุ่มคนที่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการล่าสัตว์และเก็บสะสมอาหารอื่นๆ ซึ่งได้อพยพข้ามผืนแผ่นดินที่เชื่อมต่อกันเป็นสะพานที่ Bering land bridge, คนเหล่านี้ได้เดินทางนับเวลาเป็นศตวรรษๆก่อนที่จะมีการตั้งรกรากลงและสร้างสังคมเมืองขึ้นมา. เทคโนโลยีที่ได้ทำให้เกิดการตั้งถิ่นฐานเหล่านี้ เป็นไปได้ที่ว่า มันเป็นเทคโนโลยีอย่างเดียวกันที่ได้ทำให้เกิดอารยธรรมส่วนใหญ่ในซีกโลกตะวันตกเท่าที่เป็นไปได้ : นั่นคือ การเพาะปลูกข้าว.

มาถึงตอนนี้เป็นที่รู้กันแล้วว่า ข้าว(corn)ไม่ใช่พืชป่า แต่เป็นพืชที่มีการบ่มเพาะขึ้นมา, มันได้รับการผสมขึ้นมาอย่างประณีตจากข้าวป่าและหญ้าพื้นเมือง, ภารกิจนั้นเป็นเรื่องของเกษตรกรซึ่งมีความเชี่ยวชาญสูงในใจกลางเม็กซิโก ซึ่งกระทำสำเร็จมาเรื่อยๆรุ่นแล้วรุ่นเล่า, และประมาณช่วงเวลาใกล้เคียงกันนี้ พวก Eleusinian อันลึกลับก็รุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้นในแถบเมดิเตอร์เรเนียน. พิธีกรรมที่ทำขึ้นใน kiva ต่างๆ เพื่อสร้างรอยประทับต่อวงวัฏฏขนบพิธีได้มีการแปลงไปสู่ระบบเกษตรกรรมอย่างช่ำชอง.

ประการแรก, ข้าวได้รับการปลูกขึ้น ณ เวลาที่แน่นอนหนึ่ง, ดังที่ได้รับการชี้แนะโดยแบบแผนดวงดาวซึ่งได้เป็นตัวนำทางเกี่ยวกับขนบพิธี. ต่อจากนั้น พืชตระกูลถั่วจะได้รับการปลูกตามมาเพื่อประโยชน์ของต้นข้าว; กล่าวคือ บรรดาพืชตระกูลถั่วจะช่วยให้รากของต้นข้าวได้รับไนโตรเจน, และแกนหรือก้านของต้นข้าวก็จะทำหน้าที่เป็นโครงให้กับพืชตระกูลถั่วได้เลื้อยพันขึ้นไป. ถัดมา พืชจำพวกฟักแฟงแตงกวาก็ถูกปลูก, และในช่วงอุณหภูมิที่สูงขึ้นในฤดูร้อน ใบที่แผ่กว้างของพืชเหล่านี้จะช่วยรักษาความชื้นในดินได้และสร้างบรรยากาศที่จำเพาะขึ้นมาอันหนึ่งที่ไม่เอื้ออำนวยต่อสัตว์หรือแมลงที่จะมารบกวนต้นข้าว.

เทคโนโลยีที่สมบูรณ์แบบนี้, ช่วงเวลาที่แม่นยำ, และการดำเนินการเพาะปลูกอย่างกระฉับกระเฉง ถือว่าเป็นส่วนเสริมอันหนึ่งของข้อมูลภายนอกที่เป็นไปตามองค์ประกอบในเชิงจิตวิทยาและในทางวิญญานของขนบพิธีใน kiva. การใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการจำลองหรือเลียนแบบ, ตัวละครสวมหน้ากาก, การระบายสีวัตถุที่เป็นสามมิติของสิ่งซึ่งมีนัยะสำคัญเชิงสัญลักษณ์, คือเทคนิคบางประการที่รับรู้กันว่าเป็นการเชื่อมโยงกับขนบพิธี kiva ต่างๆ. ซึ่งฟังดูคุ้นเคยใช่ไหม ?

บางสิ่งเกี่ยวกับถ้ำและการแกะสลักมันมักจะก้องกังวานอยู่กับข้าพเจ้าเสมอ. ใน Alizona, ตอนอายุ 17 หรือ 18, ข้าพเจ้าได้เผชิญหน้ากับ Kokopelli เป็นครั้งแรก. ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร, เขามุ่งหมายอะไร, หรือเขามีชื่อว่าอะไร, แต่เมื่อข้าพเจ้าเห็นร่างหยาบๆ เกือบจะคล้ายๆกับกิ่งไม้, คนเป่าขลุ่ยที่หลังโกงที่ได้รับการแกะสลักอยู่ในหินก้อนหนึ่งในถ้ำที่ไม่ลึกนัก ซึ่งกำลังมองไปยังแม่น้ำกว้างที่หุบเขาสายหนึ่งทางตอนเหนือของ Alizona, มันเป็นราวกับว่าใครบางคนได้ยื่นตรงออกมา และสะดุดใจข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยล่วงรู้เรื่องนี้มาก่อน.

ข้าพเจ้าได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับเขาต่อมาภายหลัง – ซึ่งสัมพันธ์กันกับเรื่องของข้าว, ผู้นำพาเมล็ดพันธุ์และข้อมูล, ปีศาจที่มีเขาคล้ายพระศิวะและ Dionysius. ผู้ชำนาญการทางเทคนิควิวัฒนาการ, ผู้ถักทอความฝัน, ผู้ทำหน้าที่เผยแผ่และขยายอารยธรรม หรือเรียกว่า civilization amplifier.

ในช่วงระหว่างการทำวิจัยสำหรับหนังสือเล่มนี้ของข้าพเจ้า, ข้าพเจ้าจบลงที่การประชุมทางวิทยาศาสตร์ใน Santa Barbara, California, หนึ่งในเรื่องราวเหตุการณ์ที่เข้มข้นเหล่านั้น ที่ซึ่งข้อมูลได้ไหลหลั่งออกมาอย่างไม่หยุดยั้งในระหว่างการประชุม. ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ประโยชน์จากหนึ่งในสองช่องที่กำหนดให้เป็นเวลาส่วนตัว และค้นพบผู้ชอบเดินทางใน cyberspace หรือเรียกว่า cybernaut ผู้ซึ่งสนใจที่จะไปดูภาพเขียนบนผนังถ้ำ, มันอยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งชั่วโมงจากตัวเมือง, ที่ตีนเขา the Santa Ynez foothills.

พวกอินเดียนชนเผ่า Chumash, ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ Santa Barbara และตลอดทั่วไปของบริเวณที่ยาวและกว้างราบเรียบของ southern California, ต่างล่วงรู้ถึงเรื่องของหมอผีที่ทรงพลังอำนาจและภาพเขียนจิตรกรรมต่างๆบนผนังถ้ำ – ซึ่งไม่ใช่ปรากฏการณ์ต่างๆที่ไม่มีความสัมพันธ์กันแต่อย่างใด. ข้าพเจ้าได้ดูภาพยนตร์เกี่ยวกับเส้นที่ขดเป็นก้นหอย, ดวงดาวต่างๆ, เส้นที่เป็นคลื่น, รูปลักษณ์ที่มีลักษณะเหมือนคนอีกครั้ง. มันแตกต่างไปมากจากความจริงที่น่าประหลาดใจของงานจิตรกรรมบนผนังถ้ำที่เก่ากว่าต่างๆในทางใต้ของฝรั่งเศส. โบรชัวร์และเอกสารอีกจำนวนหนึ่งที่ข้าพเจ้าหยิบมาด้วยจากบริเวณใกล้ๆนั้นบันทึกเอาไว้ว่า บรรดาหมอผีเหล่านี้ ผู้ซึ่งได้เขียนภาพดังกล่าวต่างเป็นที่รู้กันว่าได้ใช้ datura, นั่นคือ พืชชนิดหนึ่งที่มีพลังในการหลอนประสาท, และแก่นของพืชอื่นๆนำทาง.

ถ้ำที่มีภาพเขียนที่เราตั้งใจไปดู มันอยู่ห่างออกไปจากถนน, นั่นคือ มันอยู่อีกด้านหนึ่งของหุบเขาลึกที่หันหน้าไปเผชิญกับภูเขาต่างๆ, กระนั้นก็ตาม หากเดินเท้าไปก็ใช้ระยะเวลาและระยะทางเพียงสั้นๆ มันเป็นที่ที่หนึ่งซึ่งมหาสมุทรแปซิฟิคถูกมองเห็นได้. ประตูโครงเหล็กที่หนาหนักปิดแนวทางเข้าถ้ำเอาไว้. มันมืดมากที่จะมองเห็นอะไรได้, ดังนั้นเราจึงต้องปีนป่ายไปรอบๆและเพื่อรอพระอาทิตย์ขึ้นสูงกว่านี้. เมื่อเราเพ่งดูข้างใน เราจึงเห็นถึงเหตุผลของการมีประตูเหล็กเป็นบาร์ทอดอยู่, เส้นขดบนยอดและแผ่นกลมดวงอาทิตย์ที่ปิดช่องกลมอยู่ ซึ่งนั่นถูกเชื่อว่าเพื่อระลึกถึงหรือเป็นอนุสรณ์(หรืออาจเป็นการคาดเดา ?)ถึงสุริยคราส อันนี้รู้กันว่าได้เกิดขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 14: “John loves Mary” และร่องรอยของการพ่นสีแบบที่เราพบเห็นกันในสังคมร่วมสมัยตามป้ายรถเมล์ที่มีข้อความจืดๆปรากฎอยู่ที่นั่น ซึ่งได้ไปทำลายความเก่าแก่และความจริงจังของบริเวณนี้.

ในหลายๆอย่าง, ถือว่าเป็นการเดินทางที่ทำให้ผิดหวัง. ภายหลังจากมองไปตลอดแนวกั้นที่งานจิตรกรรมเหล่านั้นซึ่งมองเห็นได้จากทางเข้า, เราก็ตัดสินใจที่จะตามร่องรอยอันหนึ่งไป และปีนป่ายสูงขึ้นไปสู่หินยอดสุดที่อยู่บนถ้ำ. เรานั่งพักเหนื่อยอยู่ที่นั่นและพูดคุยกันเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นไปเหมือนเมื่อพันปีล่วงมาแล้ว. ขณะที่เรากำลังจะผละจากที่นั้นไป, ข้าพเจ้ากำลังพักผ่อนอยู่ที่หินซึ่งโผล่ขึ้นมาเป็นแนวเล็กๆ หลังจากได้ปรึกษากันถึงส่วนที่แคบลงไปตรงหน้านั้น, ข้าพเจ้าจ้องมองข้ามไปยังช่องว่างสู่หินก้อนถัดไป, และต้องกลั้นลมหายใจ. ดวงอาทิตย์ได้มาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง, และข้าพเจ้าก็อยู่ในตำแหน่งที่ถูกจุดด้วยเช่นกัน สายตาที่จับจ้องของข้าพเจ้าได้เล็งไปที่ทิศทางที่เหมาะสม – เส้นรอบนอกที่ชัดเจนของภาพนก thunderbird ตัวหนึ่งปรากฎขึ้นมา, ขนาดราวสองฟุต, เห็นอยู่บนผิวหน้าของหินกลมก้อนใหญ่. ความสนใจเป็นเครื่องมือที่พื้นฐานที่สุดสำหรับตอนนี้.

“รูปร่างในลักษณะอุปมาของการมีอยู่แทรกซึมอยู่ในวัฒนธรรม”, Brenda Laurel ได้โทรศัพท์ถึงข้าพเจ้าและกล่าวออกมาเช่นนั้น, เมื่อเธอกลับมาจาก New Mexico, “แต่นั่นไม่ควรที่จะทำให้เรารู้สึกประหลาดใจอะไร. นั่นคือสิ่งที่เป็นแก่นแท้ที่เรากระทำกับเรือนร่างของเราและอารมณ์ความรู้สึกของเรา”, เธอได้ไปเยือนหุบเขาลึก Chaco Canyon, ที่ที่กลองเต้นรำได้รับการขุดเข้าไปในที่ลาดชัน, และ kiva นั้นมีขนาดใหญ่มากพอที่จะบรรจุภาพดังกล่าวลงไปได้เป็นร้อยๆภาพ. รูปร่างที่แท้จริงของเมือง Anasazi ต่างๆ และสถาปัตยกรรมเกี่ยวกับสถานที่ประกอบพิธีกรรมต่างๆของพวกเขา, คล้ายๆกับวัดต่างๆของ Eleusinian, ถ้ำทั้งหลายของ Paleolithic, โรงละครครึ่งวงกลม Dionysian, ที่โฟกัสถึงพลังอำนาจของการจำลองแบบ.

ในการขานรับต่อสมมุติฐานของ Pfaiffer เกี่ยวกับความจริงเสมือน ในฐานะที่เป็นสื่อกลางของรอยประทับใจอันหนึ่ง, การคาดเดาต่างๆของข้าพเจ้าเกี่ยวกับข้าวและ kiva ต่างๆ, และแง่มุมที่มีการการปรับเปลี่ยนข้อมูลของละคร, Laurel กล่าวว่า: “การส่งผ่านเกี่ยวกับคุณค่าต่างๆและการถ่ายทอดข้อมูลทางวัฒนธรรมเป็นโฉมหน้าหนึ่งของความจริงเสมือน(VR). ส่วนโฉมหน้าอื่นๆเป็นการสร้างสรรค์ของประสบการณ์แบบ Dionysian (หมายถึงความตื่นเต้น คลุ้มคลั่ง และปราศจากความยับยั้ง). สิ่งหนึ่งซึ่งฉัน(หมายถึง Laurel)ค้นพบว่ามีความสำคัญต่อบทบาทหน้าที่ต่างๆก็คือ ความนึกคิดอันนี้ของภาวะในการมีอยู่เกี่ยวกับชีวิตของบางสิ่งบางอย่าง. ด้วยขนบพิธีใน kiva, สิ่งหนึ่งที่มีอยู่อย่างมีชีวิตไม่เพียงเพื่อคนอื่นเท่านั้น แต่มันยังเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์อันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในเวลานั้นจริงๆ. ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เราจ้องมองบทบาทหน้าที่ของข้อมูล หรือลักษณะแบบ Dionsian อย่างใดอย่างหนึ่ง, ไอเดียอันนั้นเกี่ยวกับการเกิดขึ้นมาในช่วงเวลาจริง และในสถานที่ที่มีอยู่จริง(real time and present location), กิจกรรมทั้งสองอย่างนี้ต้องการผู้คนอยู่ในพื้นที่เดียวกันและในเวลาเดียวกัน. สิ่งที่ความจริงเสมือนทำขึ้น มันได้ตัดความต่อเนื่องลงทันที และได้กำจัดพื้นที่ว่างจริงทิ้งไปในฐานะที่เป็นสิ่งจำเป็นอันหนึ่ง. ไซเบอร์สเพสมีศักยภาพของภาวะการมีอยู่ สามารถทำให้พื้นที่ว่างหลุดออกไปได้ ในฐานะที่เป็นตัวกลางเกี่ยวกับประสบการณ์ที่สั่งสม”.

พวกเรายังคงใช้ประโยชน์กับสื่อกลางในการสื่อสารใหม่ๆที่มากับไซเบอร์สเพส, Laurel ยืนยัน, ดังที่เราได้ใช้สื่อกลางก่อนหน้านั้นทุกๆอย่าง, เพื่อร่ายเวทมนตร์หรือส่งสัญญานพลังอำนาจของข้อมูล, เพื่อขับดันเราให้ไปพ้นขอบเขตของจิตใจเรา และผลักดันวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมของเราไปสู่ดินแดนใหม่ต่างๆ.

การใช้ประโยชน์เกี่ยวกับไซเบอร์สเพสเพื่อชักจูง เพื่อให้การศึกษา, และเพื่อประสบการณ์กระตุ้นความรู้สึกปลาบปลื้ม เป็นประเด็นหนึ่งสำหรับอนาคตเช่นเดียวกับอดีต. รหัสต่างๆทางสังคมซึ่งเราได้สร้างคุณค่า, กลไกทางสังคมที่คุณค่าเหล่านั้นได้น้อมนำการกระทำต่างๆ, และการใช้ประโยชน์อย่างถึงที่สุด ซึ่งเราเลือกเครื่องมือนั้นที่เราสร้างสรรค์ขึ้น เป็นคำถามเกี่ยวกับอนาคตที่ว่า เทคโนโลยีความจริงเสมือน(VR) เป็นไปได้ที่บังคับเราให้ต้องเผชิญหน้า.

คำถามเกี่ยวกับว่า มนุษย์ดำรงอยู่เพื่ออะไร(อะไรคือจุดมุ่งหมายของเรา มันอยู่ในแบบแผนของสิ่งต่างๆ) ไม่ใช่อย่างเดียวกันกับที่มนุษย์ดูเหมือนว่าได้มุ่งหมายเอาไว้ (ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆในอดีตของเราอาจก่อรูปก่อร่างประสิทธิภาพหรือสมรรถภาพที่มีอยู่ของเราขึ้นมา). เพื่อที่จะออกแรงพยายามเพื่อมีอิทธิพลต่อทิศทางของเหตุการณ์ต่างๆ, มนุษย์จำนวนมากพอ ต้องการความเข้าใจความแตกต่างอันนั้น ระหว่างเส้นทางโคจรที่พาเรามาถึงจุดนี้ และเส้นทางเดินที่เราชอบที่จะเลือกเพื่ออนาคตของเรา. หนทางหนึ่งที่เล็งเอาไว้คือ คำถามเกี่ยวกับนัยะอันมากมายของเทคโนโลยีความจริงเสมือน(VR technology) และอนาคตที่จะต้องมองไปที่การใช้ประโยชน์ของเราเกี่ยวกับเครื่องมือทางความคิดต่างๆ(thinking tools)เหล่านี้ ซึ่งปัจจุบันหรือเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เรากำลังใช้มันอยู่.

Back to midnight's home midnightuniv(at)yahoo.com