บทสัมภาษณ์พิเศษองค์ทะไลลามะ โดย Miri Heatherwick แปลจากนิตยสาร Resurgence ฉบับเดือนมิถุนายน 2000 เรื่อง"วัฒนธรรมแห่งความเมตตา" เป็นการพูดถึงหลักอหิงสาที่ชาวธิเบตใช้เป็นยุทธวิธีการต่อสู้เรียกร้องเอกราชของตน
โลกของการพึ่งพาอาศัยกัน เป็นโลกซึ่งไม่มีว่างสำหรับความรุนแรง (In a mutually interdependent world, violence has no place)
สัมภาษณ์ โดย : Miri Heatherwick
ท่านได้ตรัสว่า ในศตวรรษที่ 20 มีผู้คนต้องประสบกับความทุกข์ยากมากขึ้นเนื่องมาจากความรุนแรงยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาก่อน แต่ท่านยืนยันว่า ความรุนแรงเป็นสิ่งที่ทวนกระแสธรรมชาติของมนุษย์. คุณจะเชื่อได้อย่างไร ในเมื่อพยานหลักฐานต่างๆดูเหมือนว่าจะเป็นไปในลักษณะที่ตรงกันข้าม ?
ในระดับเบื้องต้นหรือพื้นฐานของชีวิตธรรมชาติของมนุษย์ ต้องขึ้นอยู่กับความรัก. ความก้าวร้าวเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมนุษย์ แต่ไม่ใช่ส่วนที่มีอิทธิพลแต่อย่างใด. สิทธิที่มีมาตั้งแต่เกิดของชีวิตทารกทั้งหลาย คือความรู้สึกทราบซึ้งในความรักของคนอื่น และขานรับต่อความรู้สึกอ่อนโยนอันนั้น แม้ว่าความเฉลียวฉลาดจะไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมา, ทารกน้อยๆก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้โดยไม่ต้องมีสติปัญญา แต่หากว่าปราศจากความรักทารกจะไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้.
ตามความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ เมื่อมารดาตั้งครรภ์ขึ้น ทารกจะเจริญเติบโตในครรภ์ของมารดา, ความรู้สึกสงบ สันติในใจของผู้เป็นแม่ ความรัก และความเมตตาของเธอเป็นเงื่อนไขที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับทารกที่อยู่ในครรภ์. ความโกรธและความเกลียด จะสร้างความปั่นป่วนในจิตใจของผู้เป็นแม่ และมันเป็นเรื่องที่เลวร้ายสำหรับทารกที่อยู่ในครรภ์ด้วย.
ในทำนองเดียวกัน ช่วงระหว่างไม่กี่สัปดาห์แรกหลังการถือกำเนิดขึ้นมาของทารก การสัมผัสทางกายด้วยความรักกับทารกเป็นเงื่อนไขที่สำคัญมากสำหรับพัฒนาการอันเหมาะสมต่อสมองของทารก. ในเรื่องเกี่ยวกับส่วนสูงของร่างกาย ก็ต้องการความรักของมนุษย์. อารมณ์ความรู้สึกต่างๆทางด้านบวกของมนุษย์ อย่างเช่น ความรัก, ความเมตากรุณา ไปด้วยกันอย่างดีกับพัฒนาการทางกายภาพของเรา. แต่จิตใจที่ปั่นป่วนร้อนรนจะไม่ไปด้วยกันกับการดำรงอยู่ที่ดี. ทารกเกือบจะเหมือนกันกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ ไม่มีสติปัญญา, ไม่มีอุดมคติ, ไม่มีศรัทธาในศาสนา, ไม่มีสิ่งใดเลยเว้นแต่ความรู้สึกซาบซึ้งในความเอาใจใส่ของผู้เป็นมารดา และสามารถที่จะขานรับต่อสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไม่ต้องสงสัยและเป็นไปได้ด้วยดี.
ทุกคนทราบว่า ทารกหรือเด็กๆซึ่งได้รับความรักจากพ่อแม่จะมีจิตใจและสติปัญญาที่แข็งแรงสมบูรณ์. อันนี้ย่อมส่งผลให้การศึกษาของพวกเขาดีขึ้นมาก. เมื่อเด็กคนนั้นโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ก็จะมีความรู้สึกไวและอ่อนไหวต่อความเจ็บปวดหรือความทุกข์ยากของคนอื่น และพบว่ามันง่ายมากที่จะพัฒนาไปสู่ความรู้สึกอันหนึ่งของการเป็นห่วงเป็นใยคนอื่น.
สิ่งดีๆที่เป็นเรื่องทางบวกมาจากความรักความเมตตา จากความรู้สึกอันหนึ่งของการเอาใจใส่และความรัก. คุณจะเป็นคนที่มีสุขภาพอนามัยที่ดีและมีจิตใจที่เป็นสุข. อันนี้เนื่องมาจากครอบครัวที่มีความสุขและชุมชนที่มีความสุข. เด็กที่ขาดเสียซึ่งความรัก จะเป็นเด็กที่ขี้อายและจิตใจไม่เป็นสุข. พัฒนาการทางร่างกายของพวกเขาก็จะได้รับผลกระทบด้วย. เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาจะพบว่ามันยากมากที่จะแสดงออกซึ่งความรักให้กับคนอื่นๆ. ในท้ายที่สุด อันนี้สามารถจะมีอิทธิพลส่งไปถึงสังคมโดยรวมได้. พื้นฐานธรรมชาติของมนุษย์มีความเชื่อมโยงกันบางอย่างกับความเป็นสัตว์สังคม ซึ่งต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม, คล้ายๆกับผึ้ง. การดำรงชีวิตอยู่ประเภทนี้เรียกร้องต้องการความรู้สึกอันหนึ่งของชุมชน ความรู้สึกรับผิดชอบ ความรู้สึกที่จะทำงานร่วมกัน และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน. อันนี้เป็นธรรมชาติ.
ความก้าวร้าวก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมนุษย์ด้วย แต่มันไม่ใช่ส่วนที่มีอิทธิพลสำคัญแต่อย่างใด. อหิงสา หรือการไม่ใช้ความรุนแรงได้รับการกล่าวว่าเป็นความรู้สึกของความเมตตา และความรู้สึกของการเป็นห่วงเป็นใย. ความเมตตาไม่ใช่ความรู้สึกอันหนึ่งของความสงสาร. ความเมตตาเป็นความรู้สึกที่แท้จริงอันหนึ่งของความรับผิดชอบและเคารพต่อสรรพชีวิต. ด้วยเหตุนี้ อารมณ์ความรู้สึกเกี่ยวกับความรักและความเมตตาเอาใจใส่จึงเป็นรากฐานเกี่ยวกับการอยู่รอดของมนุษย์. ด้วยเหตุดังนั้น อหิงสาหรือการไม่ใช้ความรุนแรงจึงไปด้วยกันอย่างดีกับธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์.
ในความสัมพันธ์ทางสังคมของเรา เรื่องของความรุนแรงมีผลทางด้านลบ. ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าเราพัฒนาความไม่ลงรอยกันขึ้นมา ถ้าข้าพเจ้าใช้กำปั้นต่อยคุณหรือคุณใช้กำปั้นทุบข้าพเจ้า การกระทำเช่นนี้จะมีฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ชนะและอีกฝ่ายหนึ่งจะเป็นผู้แพ้. แต่คุณมีเพื่อนของคุณและญาติๆของคุณ. คนเหล่านี้พร้อมที่จะแก้แค้นให้. มาถึงตรงนี้ เนื่องจากการกระทำของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องเตรียมตัวที่จะเผชิญหน้ากับคนอีกสิบคน. ด้วยเหตุดังนั้น ในระดับของการปฏิบัติ ถ้าหากว่าคุณใช้ความรุนแรง ในช่วงเวลาสั้นๆคุณอาจได้รับชัยชนะคนอื่นๆ แต่ในระยะยาวมันจะมีผลในทางลบตามมา.
มองไปที่ประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งดูซิ หลังจากที่ทหารเยอรมันต้องพ่ายแพ้สงคราม พวกเขาก็ได้พักรบ. แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว เมล็ดพันธุ์ดังกล่าวของสงครามโลกครั้งที่สองได้รับการบ่มเพาะขึ้นมา. ภายในดวงจิตของประชาชนชาวเยอรมันมัน เป็นความรู้สึกที่ว่า เราเป็นผู้พ่ายแพ้ และเราจะต้องไม่ลืมความพ่ายแพ้อันนี้.
โลกในทุกวันนี้เป็นโลกที่มีความเชื่อมโยงกันและกันและเป็นโลกที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน. ไม่เพียงแต่ประเทศหนึ่งต้องพึ่งพาอาศัยประเทศอื่นๆเท่านั้น แต่ทวีปต่างๆก็ต้องพึ่งพาอาศัยทวีปอื่นๆด้วย. ปัญหาใหม่ๆ อย่างเช่นปัญหาทางนิเวศวิทยาเป็นปัญหาทั้งโลก. ทั้งนี้เพราะเราต่างพึ่งพาอาศัยกันและกันอย่างมาก แนวความคิดเกี่ยวกับฉัน, เรา, ของเรา, และของคุณ, พวกเขา, ของพวกเขา, ไม่มีหรือไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไปแล้ว. การทำลายเพื่อนบ้านของคุณก็คือการทำลายตัวคุณเองด้วย. ปัจจุบันนี้โลกทั้งโลกมันเป็นเหมือนกับเรือนร่างเดียวกัน.
ความคิดเกี่ยวกับสงคราม มันเกิดขึ้นมาจากแนวความคิดที่ว่า มันยังคงมีเส้นที่ชัดเจนเส้นหนึ่งที่แบ่งแยกระหว่างพวกเขาและพวกเรา. ฝ่ายหนึ่งชนะ, ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้. แต่โลกซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันนั้น เรื่องเช่นนี้มันเป็นไปไม่ได้. ทุกวันนี้ ผลประโยชน์ของพวกเขาก็คือผลประโยชน์ของพวกคุณ. ด้วยเหตุนี้ คุณจึงไม่สามารถที่จะมองข้ามหรือไม่เอาใจใส่ผลประโยชน์ของคนอื่นๆได้. คุณจะต้องรักษาผลประโยชน์ของคนอื่นเอาไว้ในใจ ขณะที่คุณพยายามที่จะแก้ปัญหาของคุณเอง. ในข้อเท็จจริง โดยปราศจากความร่วมมือของคนอื่น คุณจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้. ภายใต้สถานการณ์เหล่านั้น จะไม่มีที่ว่างสำหรับความรุนแรง. ในระดับปรัชญาและในระดับปฏิบัติการ ทั้งสองระดับนี้ การไม่ใช้ความรุนแรงหรืออหิงสาเป็นเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น. ความรุนแรงไม่มีคุณค่ายืนยงยาวนานอีกต่อไปแล้ว.
ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ การสนทนากับฝ่ายตรงข้ามหรือปรปักษ์เป็นวิธีการที่เป็นจริงมากที่สุด และเป็นหนทางซึ่งนำไปสู่ความก้าวหน้า.
ถ้าหากว่าการสนทนาหรือการพูดคุยกันเป็นทางเลือกของท่านต่อการมีสงคราม, ท่านก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามันประสบความสำเร็จมากนัก. อะไรคือสิ่งที่ธิเบตได้มาในความพยายามต่างๆของท่านในการเจรจากับจีน ?
ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยที่ว่า หลักอหิงสา หรือการไม่ใช้ความรุนแรงของข้าพเจ้าไม่ประสบความสำเร็จที่เป็นจริงแต่อย่างใด. ใช่ ด้านหนึ่ง ความพยายามที่จะบรรลุถึงการแก้ปัญหาที่แท้จริงต่อการรุกรานของชาวจีนในธิเบตโดยผ่านการพูดคุยกับรัฐบาลจีน จนกระทั่งปัจจุบันนี้มันยังล้มเหลวอยู่. แต่ ในอีกด้านหนึ่งนั้น เนื่องจากวิธีการอหิงสาของข้าพเจ้า วิญญานแห่งการประนีประนอมของข้าพเจ้า และไม่ลืมเรื่องผลประโยชน์ของจีน ได้มีการสนับสนุนอย่างมากมายจากชุมชนชาวจีน จากบรรดานักวิชาการปัญญาชนของจีน และนักคิดต่างๆเป็นจำนวนมาก. ชาวจีนเกือบทุกคนผู้ซึ่งรู้ถึงวิธีการของข้าพเจ้า และรู้ถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของธิเบต ต่างก็มีความเห็นสอดคล้องและสนับสนุนจุดยืนของข้าพเจ้า
ถ้าหากว่าธิเบตดำเนินรอยตามความรุนแรงมากกว่านี้ ชาวจีนในธิเบตก็จะบาดเจ็บล้มตายเป็นพวกแรก; ชาวจีนเหล่านี้จะตกเป็นเหยื่อหรือเป้าหมายกลุ่มแรกเลยทีเดียว. หากเป็นเช่นนั้น ญาติๆของเขา เพื่อนของเขา สมาชิกในครอบครัวของเขาก็จะเจ็บปวดทุกข์ทรมาน. ชาวธิเบตจะเล็งเป้าไปที่คนจีนทุกคน. ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น, มันจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากสำหรับชาวจีนทุกๆคนที่จะให้การสนับสนุนข้าพเจ้า แม้ว่าชาวจีนบางคนอาจทราบว่า ชาวธิเบต ที่จริงแล้ว ต้องทุกข์ทรมานมากเพียงใด. ดังนั้น ชาวจีนหรือพลเมืองจีนทุกคนก็จะต่อต้านข้าพเจ้า; อันนี้จะเป็นสถานการณ์ซึ่งยุ่งยากมากสำหรับพวกเรา.
ด้วยเหตุนี้ โลกกว้างจึงหันมาให้การสนับสนุนประเด็นปัญหาของชาวธิเบต เพราะพวกเราดำเนินรอยตามหลักการแห่งอหิงสาอย่างจริงใจ. ดังนั้น วิธีการที่ไม่ใช้ความรุนแรงจึงได้รับการสนับสนุนเป็นจำนวนมากและบรรลุถึงผลลัพธ์ในทางบวก. พัฒนาการอันนี้ในระยะยาวแล้ว จะส่งผลสะเทือนในทางบวกอย่างมาก.
ปัจจัยที่สำคัญมากอีกอันหนึ่ง: ไม่ว่าเราจะชื่นชอบหรือไม่ก็ตาม เราจะต้องดำรงอยู่เคียงข้างกันกับชาวจีน ดังนั้น เพื่อที่จะดำรงอยู่อย่างมีความสุข สันติและสงบ และในจิตวิญญานของเพื่อนบ้านที่ดี ข้าพเจ้าเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นว่า ขณะที่เรากำลังดำเนินไปบนการต่อสู้เพื่ออิสรภาพอยู่นี้ เราจะต้องดำเนินรอยตามหนทางแห่งอหิงสธรรม.
ท่านไม่คิดหรือว่า ความศรัทธาของท่านต่อการสนับสนุนในทางการเมืองจากชุมชนนานาชาติมันยังไม่เกิดขึ้น เนื่องจากผลประโยชน์ทางธุรกิจและเงินตรามักจะมาก่อนเรื่องของศีลธรรมเสมอ
ถ้าเช่นนั้นขอถามคุณว่า ถ้าหากว่าพวกเราใช้วิธีการที่รุนแรงต่างๆ คุณแน่ใจไหมว่ารัฐบาลต่างๆเป็นจำนวนมากจะมาช่วยเรา ? ไม่เลย ข้าพเจ้าไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น สถานการณ์จะเลวร้ายลงไปอีก. อันนี้ไม่ใช่เป็นคำถามเกี่ยวกับความรุนแรงหรือการไม่ใช้ความรุนแรง. ธิเบตเป็นประเทศที่เล็กมาก ไม่มีน้ำมัน ไม่มีเงิน ไม่เหมือนกับประเทศคูเวต, ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆแต่มีน้ำมันเป็นจำนวนมาก. ด้วยเหตุนี้ กรณีของธิเบตจึงอ่อนแอมากต่อสายตาของโลกภายนอก. ธิเบตไม่มีความดึงดูดใจทางด้านเศรษฐกิจ. ธิเบตมีความร่ำรวยในเรื่องทรัพยากรทางธรรมชาติ แต่อันนี้ต้องใช้เทคโนโลยีเป็นจำนวนมากและต้องใช้การลงทุนสูงมาก. ดังนั้น มันจึงไม่มีผลประโยชน์ในธิเบตสำหรับโลกส่วนใหญ่.
ในทางตรงข้าม ประเทศจีนเป็นประเทศใหญ่ มันเป็นตลาดใหญ่ ทั้งทางด้านการเมืองและการทหาร จีนเป็นประเทศที่สำคัญมากประเทศหนึ่ง. การชี้ขาดหรือตัดสินจากเงื่อนไขปัจจัยต่างๆเหล่านี้ ข้าพเจ้าคิดว่าการสนับสนุนที่เราได้รับในทุกวันนี้ ที่จริงแล้ว เป็นเรื่องซึ่งน่าทึ่งมากเลยทีเดียว.
ในปี 1959, 60 และ 65 ประเด็นปัญหาของธิเบตได้รับการนำเข้าไปสู่องค์การสหประชาชาติ. ในช่วงเวลานั้น ประเทศต่างๆมากมายให้การสนับสนุนต่อธิเบต แต่การสนับสนุนอันนั้นมิได้เป็นไปอย่างแท้จริง. ประเทศต่างๆทางตะวันตกกลุ่มหนึ่งมีนโยบายเกี่ยวกับการต่อต้านคอมมิวนิสม. พวกเขาได้จัดการยักย้ายประเด็นปัญหาของชาวธิเบต ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์ในการต่อต้านคอมมิวนิสม. ในทศวรรษที่ 70, 80, และ 90 การสนับสนุนที่เราได้รับ ส่วนใหญ่มาจากสาธารณชนและสื่อต่างๆ. การสนับสนุนดังกล่าวได้รับการสะท้อนในรัฐสภาต่างๆอย่างหลากหลายในประเทศประชาธิปไตย เช่นเดียวกันกับในรัฐสภาสหรัฐและรัฐสภายุโรปต่างๆและ ในท้ายที่สุด ในรัฐบาลประเทศต่างๆด้วย. ถึงแม้ว่าจะเป็นการทำไปด้วยความฝืนใจ ไม่มีความสมัครใจ และไม่รู้สึกรู้สาเท่าไรนักก็ตาม แต่พวกเขาก็เจตนามากขึ้นที่จะแสดงให้เห็นว่า พวกเขาได้ให้ความเอาใจใส่ต่อเรื่องของธิเบต
และเมื่อเร็วๆนี้ หลายๆประเทศมากได้แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่และความเห็นอกเห็นใจของพวกเขาออกมา แต่อันที่จริง พวกเขาต้องการที่จะช่วยเหลือในระดับปฏิบัติการที่เป็นจริงอันหนึ่งเท่านั้น. ด้วยเหตุดังกล่าว ในช่วงขณะนี้ ความช่วยเหลือเฉพาะหน้าก็คือกระตุ้นสนับสนุนการเจรจาต่อรองที่มีความหมายต่างๆกับรัฐบาลจีน. ในหมู่พวกเรา การแต่งตั้งผู้ประสานงานพิเศษคนหนึ่งสำหรับธิเบตเป็นเครื่องบ่งชี้อันหนึ่งว่า พวกเราต้องการกระทำบางสิ่งบางอย่างในเชิงปฏิบัติการและเชิงสร้างสรรค์. ชาวจีนบางคนก็ได้แสดงออกถึงความเข้าใจอย่างซาบซึ้งเกี่ยวกับวิธีการประนีประนอมและไกล่เกลี่ยอันนี้. พวกเขาเชื่อว่า ธิเบตมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะเป็นอิสรภาพ. ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการสนับสนุนอันนี้ที่เกิดขึ้นมาก็เพราะ เราดำเนินรอยตามหลักอหิงสธรรม. ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าวิธีการอหิงสาของข้าพเจ้าซึ่งยาวนานมากว่า 20 ปีหลังนี้ ได้พัฒนาคำประกาศอันหนึ่งซึ่งเป็นพื้นฐานของสันติภาพ.
ท่านได้วางอนาคตเกี่ยวกับประเทศของท่านเอาไว้ไหม บนความเป็นไปได้อันคลุมเครือที่ว่า จีนจะเป็นประชาธิปไตย ?
จีนที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น จะทำให้มันง่ายขึ้นมากที่จะติดต่อด้วยกับประเด็นปัญหาของธิเบต. แต่นั่นมิได้หมายความว่า เพียงจีนที่เป็นประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะช่วยในเรื่องปัญหาของธิเบตได้; ไม่เลย ข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แม้กระทั่งบรรดาผู้ปกครองของจีนในปัจจุบัน สามารถที่จะช่วยในเรื่องปัญหาของธิเบต. ข้าพเจ้ารู้สึกว่าถ้ารัฐบาลจีนได้วิเคราะห์อย่างระมัดระวังโดยปราศจากความกลัว ความสงสัยคลางแคลงใจ หรือความรู้สึกไม่ปลอดภัย ก็สามารถที่จะบรรลุถึงความมั่นคงที่แท้จริงและตกลงกันได้กับเราโดยผ่านการพูดคุยที่มีความหมาย. ตราบเท่าที่ธิเบตยังได้รับความเป็นห่วงเป็นใย ความมั่นคงและเอกภาพอันผิวเผินมากๆ ซึ่งได้มาด้วยการใช้กำลังจะไม่มีความมั่นคงหรือยืนยง. อันนี้ไม่ใช่ความมั่นคงที่แท้จริง. ในทันทีที่กำลังอำนาจของพวกเขาน้อยลง ความไม่มั่นคงก็จะมาเยือน. ความมั่นคงที่แท้และความเป็นเอกภาพจะต้องมาจากหัวใจมิใช่ได้มาจากความกลัว.
ท่ามกลางบรรดาผู้นำสุดยอดของคอมมิวนิสม, มีอยู่ 2 กลุ่ม: กลุ่มที่หนึ่งมองว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้วิธีการปราบปราม. ส่วนอีกกลุ่มได้มองถึงความเป็นไปได้อีกอันหนึ่ง. นี่ไม่ใช่เพียงวันนี้เท่านั้น. หลายปีที่ผ่านมาเราได้เห็นถึงความคิดเห็นทั้งสองกลุ่มนี้. จีนพบว่ามันเป็นการเสี่ยงเกินไปที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงเกี่ยวกับธิเบต. แต่จากทัศนคติและข้อคิดเห็นเกี่ยวกับผลประโยชน์ในระยะยาว ธรรมชาติที่ระเบิดออกมาอันนั้น มันจะไม่เป็นการดีทั้งต่อจีนเองและต่อธิเบตด้วย. ชาวจีนที่มีเหตุผลทุกคนต่างตระหนักในเรื่องนี้.
ท่านได้ขานรับอย่างไร ต่อการเพิ่มจำนวนมากขึ้นของชนชาวธิเบตซึ่งไม่เห็นด้วยกับนโยบายของท่านเกี่ยวกับหลักการไม่ใช้ความรุนแรง และกำลังใคร่ครวญถึงวิธีการที่ก้าวร้าวรุนแรงอย่างจริงจัง ?
แน่นอน พวกเขามีสิทธิอันชอบธรรมที่จะเรียกร้องอิสรภาพอย่างเต็มที่ในปัจจุบัน. เนื่องจากประสบการณ์ของพวกเขา ในช่วงระหว่าง 40 ปีหลังมานี้เกี่ยวกับความทุกข์ทรมานและการทำลายล้าง ชาวธิเบตเป็นจำนวนมากได้สูญเสียศรัทธาของพวกเขาที่มีต่อชาวจีนไปอย่างสมบูรณ์. พวกเขาต้องการแบ่งแยกเด็ดขาดจากจีน. ข้าพเจ้าเข้าใจในเหตุผลต่างๆของพวกเขา แต่ข้าพเจ้ามีความเชื่อมมั่นอย่างเต็มที่ว่า โลกทั้งมวลคือครอบครัวมนุษย์ครอบครัวเดียวกัน. ธิเบตในเชิงประวัติศาสตร์มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดมากกับอินเดียและกับจีน. ธิเบตเป็นประเทศที่เรียกว่า landlocked country (ประเทศซึ่งไม่มีทางออกทะเล ถูกล้อมรอบด้วยแผ่นดิน) และล้าหลังในเชิงวัตถุ; พวกเราต้องการความพยายามอย่างมากสำหรับการพัฒนาทางด้านวัตถุ. ทรัพยากรต่างๆทางธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ แต่เราต้องการความเชี่ยวชาญมาก. พวกเราต้องการพัฒนาเรื่องการสื่อสาร. ในท้ายที่สุด, ขอบเขตพรมแดนประเทศไม่ใช่สิ่งสำคัญ. สิ่งซึ่งเป็นสาระคือเรื่องของสิทธิประชาธิปไตยและเสรีภาพ ที่จะปฏิบัติตามวัฒนธรรมและศาสนาของพวกเรา.
ลึกเข้าไปในจิตใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นว่า เขตแดนต่างๆไม่ใช่พื้นฐานเบื้องต้นที่สำคัญอะไรเลย. แต่ผู้คนทั้งหลายต่างพิจารณาว่า เขตแดนต่างๆเป็นเรื่องที่สำคัญมาก; แม้แต่เพียงไม่กี่นิ้วของดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาก็สำคัญ. ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันไม่ใช่สาระ. พวกเราควรจะทำอะไรๆต่อกันอย่างมากมายที่ข้ามพ้นไปจากเขตแดนต่างๆอันนั้น. สันติภาพเป็นเรื่องซึ่งสำคัญกว่า. ผู้คนควรที่จะมีชีวิตที่มีความสุข มีชุมชนที่สันติสุข. ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าชาวธิเบตและชาวจีน อันที่จริงแล้ว สามารถที่จะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขได้.
การอนุรักษ์วัฒนธรรมของชาวธิเบตและพุทธศาสนาของธิเบตเป็นสิ่งซึ่งสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับชีวิตมนุษย์ที่มีความหมาย ความถูกต้องของท่าทีหรือทัศนคติทางใจต่อตัวของตัวเอง ต่อเพื่อนบ้านของเราและต่อสภาพแวดล้อมเป็นสิ่งซึ่งสำคัญมาก. ในวัฒนธรรมพุทธศาสนาของชาวธิเบต ข้าพเจ้าเห็นถึงศักยภาพที่จะทำให้เกิดความถูกต้องชอบธรรมเกี่ยวกับท่าทีหรือทัศนคติซึ่งมีต่อตัวของตัวเองและคนอื่นๆ เราปรารถนาให้ชาวจีนยินยอมให้เราได้ถือปฏิบัติในวิถีชีวิตแห่งพุทธธรรมของเราอย่างอิสระ.
ถ้าหากว่าการปฏิวัติของจีนได้พัฒนาสังคมอย่างมีความหมายอย่างแท้จริง เป็นสังคมที่มีความสุข, ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น แน่นอน ก็จะไม่มีความต้องการสำหรับทางเลือกอื่นๆ. แต่ข้าพเจ้าคิดว่า จีนขาดศรัทธาอันนั้นไปแล้ว มันแตกสลายไปแล้ว ทุกวันนี้ มันเกือบจะมีพุทธศาสนานิกายใหม่ๆเกือบร้อยล้านนิกายในประเทศจีน และจำนวนของชาวคริสเตียนในท่ามกลางหมู่ชาวจีนก็เพิ่มขึ้นด้วย. ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? ก็เพราะว่า มันยังคงมีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไปอยู่.
สิ่งที่มาก่อนและอยู่บนสุดของข้าพเจ้าก็คือ การอนุรักษ์วัฒนธรรมพุทธศาสนาแบบธิเบตเอาไว้, ไม่จำเป็นเพียงแค่พุทธศาสนาในตัวมันเองเท่านั้น แต่หมายรวมถึงวัฒนธรรมพุทธศาสนาเอาไว้ด้วย. และการเก็บรักษาวัฒนธรรมพุทธศาสนาเอาไว้สามารถบรรลุผลสำเร็จเช่นนั้นได้โดยไม่ต้องมีความเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์จากจีน, โดยไม่จำต้องแบ่งแยกอย่างเด็ดขาด. ถ้าหากว่าพวกเรายังคงต้องร่วมกับอีกประเทศหนึ่งซึ่งเป็นประเทศใหญ่, อย่างประเทศจีน เราอาจได้รับประโยชน์บางอย่างต่อพัฒนาการทางด้านวัตถุ และจะได้รับการเอาใจใส่
ในช่วงขณะที่มีการทำลายเกี่ยวกับวัฒนธรรมพุทธศาสนาในธิเบต วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า มีเหตุการณ์ต่างเกิดขึ้นมากมาย ดังนั้นในประเด็นดังกล่าว เวลากำลังถูกทอดทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์: พวกเราไม่สามารถทนรออยู่ได้. อันตรายอันนี้มันช่างน่าตกใจจริงๆ.
ข้าพเจ้าเข้าใจอย่างเต็มที่ถึงความรู้สึกเกี่ยวกับภาวะที่ล่อแหลมของคนเหล่านั้น ซึ่งให้การสนับสนุนการต่อสู้ด้วยอาวุธในธิเบต. ขอให้เรามาคิดถึงเรื่องของความรุนแรงกันดู. ก่อนอื่นใดทั้งหมด เรามีปืนเพียงไม่กี่กระบอก, มีระเบิดอยู่เพียงไม่กี่ลูก. ดังนั้น พวกเราจึงต้องการอาวุธต่างๆเป็นจำนวนมากมาย. และจากที่ใดล่ะซึ่งพวกเราจะได้อาวุธและยุทธภัณฑ์เหล่านั้นมา ? ใช่ เรามีเงินอยู่บ้าง และเราสามารถซื้อหาอาวุธมาได้จากตลาดนานาชาติ. แต่เมื่อเราได้อาวุธเหล่านั้นมาแล้ว เราจะส่งมันไปยังประเทศธิเบตอย่างไร ? โดยผ่านอินเดียก็เป็นไปไม่ได้. โดยผ่านเนปาล, ก็เป็นไปไม่ได้อีก. การติดต่อกับอัฟกานิสถานก็มีภูมิประเทศซึ่งเต็มไปด้วยก้อนหิน แล้วก็ต้องใช้เวลาหลายเดือนมากกว่าจะไปถึงธิเบต.
และถ้าหากว่า อาวุธเป็นจำนวนมากมายมหาศาลไปถึงธิเบต, ประชาชนธิเบตเพียงไม่กี่หมื่นคนเริ่มจะเริ่มระดมโจมตี. คนจีนก็จะไม่นิ่งเฉยเหมือนกับเป็ด; พวกเขาก็จะใช้วิธีการอันรุนแรงตอบโต้เราด้วย. ดังนั้น หากว่าเรามีทหารธิเบต 1 แสนคน, ข้าพเจ้าคิดว่า อย่างน้อยที่สุด ทหาร 2-3 หมื่นคน หรืออาจจะ 4 หมื่นคนต้องถูกฆ่าตาย. สำหรับเราแล้ว หากชาวธิเบต 4 หมื่นคนต้องบาดเจ็บล้มตาย นั่นจะเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่มาก. แต่สำหรับชาวจีนแล้ว คนจำนวนหนึ่ง 1 แสนคนถือว่าน้อยมาก. ถ้าหากว่าคนจีน 1 แสนคนได้ถูกกำจัดทิ้งไปวันนี้ สัปดาห์หน้าคน 2 แสนคนก็จะมาแทนที่พวกที่ถูกขจัดไปอย่างไม่ยากเย็นอะไร. แต่ถ้าเป็นคนของธิเบต 1 แสนคนถูกฆ่า มันจะไม่มีการทดแทนขึ้นมาแต่อย่างใด มันคือการฆ่าตัวตาย. ด้วยเหตุนี้ สิ่งซึ่งยกตัวอย่างขึ้นมาเป็นคำตอบของข้าพเจ้าต่อชนชาวธิเบตเหล่านั้น ผู้ซึ่งชอบใช้ความรุนแรง. การตัดสินจากพัฒนาการเมื่อไม่นานมานี้, ดูเหมือนว่าอำนาจท้องถิ่นของจีนได้เชื้อเชิญความไม่สงบและความรุนแรงเข้ามาในธิเบต. พวกเขาสามารถจัดการมันได้อย่างง่ายดายและอย่างมีประสิทธิภาพ.
ตัวอย่างที่ชัดเจนอันหนึ่ง. นั่นคือ ในรุ่งอรุณของวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ.1959 มีการยิงปืนใหญ่เข้ามาในกรุง Lhasa. ทุกๆคนเห็นว่ามันมาจากฝั่งของประเทศจีน. แต่แถลงการณ์ในกรุงปักกิ่งของจีนกลับประกาศว่า ชาวธิเบตได้เริ่มเปิดการยิงปืนใหญ่เข้ามาตกในกองทหารรักษาการของจีน ต่อจากนั้น รัฐบาลจีนจึงให้มีการตอบโต้อย่างเต็มที่. ในช่วงทศวรรษที่ 80 ทหารจีนคนหนึ่งผู้ซึ่งมีส่วนร่วมอยู่ในเหตุการณ์ปี ค.ศ.1959 ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งว่า ทหารจีนได้เปิดฉากการยิงเข้าไปยังธิเบตก่อน.
ทั้งๆที่ความโหดร้ายเหล่านี้ต่อชนชาวธิเบตทำให้ชาวธิเบตต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมาน, ท่านยังขอร้องให้พวกเขาจะต้องไม่รู้สึกโกรธ, เพียงแผ่เมตตาไปยังผู้กดขี่ทั้งหลายที่กระทำกับพวกเขา. ท่านไม่คิดหรือว่า มาตรฐานของท่านมันเป็นมาตรฐานที่สูงเกินไป ?
นี่ล่ะคือประเด็นสำคัญ พวกเราไม่ควรที่จะสูญเสียความเมตตาของเราไปไม่ว่าสถานการณ์ต่างๆจะเป็นเช่นไร. อันนี้ไม่ใช่แค่คำแนะนำของข้าพเจ้าเท่านั้น. พระภิกษุชาวธิเบตรูปหนึ่ง, ผู้ซึ่งข้าพเจ้ารู้จักเป็นอย่างดี, ที่วัด Namgyal ใน Potala ที่กรุง Lhasa ได้อรรถาธิบายถึงภารกิจอันสำคัญอันนี้. เขาได้ใช้เวลายาวนานถึง 17 ปี ในค่ายกักกันแรงงานของจีน และในช่วงระหว่างวันเวลาเหล่านั้น ในโอกาสซึ่งมีอยู่เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นที่เขาต้องเผชิญหน้ากับภัยอันตรายครั้งหนึ่ง. ข้าพเจ้าถามท่านว่าเป็นอันตรายร้ายแรงประเภทไหนกันล่ะที่ท่านต้องเผชิญ; ข้าพเจ้าคิดว่ามันจะต้องเป็นอันตรายต่อชีวิตของท่าน. แต่ท่านกลับตอบว่า อันตรายของการสูญเสียความเมตจตาต่อชาวจีน. ข้าพเจ้าไม่สามารถปฏิบัติเช่นนั้นได้, ข้าพเจ้าคิด, แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากนั้น จริงๆแล้ว ท่านกลับปฏิบัติการด้วยการเจริญเมตตาได้.
การไม่ใช้ความรุนแรงเป็นธรรมชาติอันดับที่สองต่อวัฒนธรรมพุทธศาสนาของท่าน. ในคุณค่าทางศาสนาตามขนบประเพณีตะวันตก สิ่งเหล่านี้กำลังสาบสูญไป. เราจะสามารถเป็นตัวแทนการไม่ใช้ความรุนแรงได้อย่างไร เมื่อคุณค่าทางจิตวิญญานได้กลายเป็นคนแปลกหน้ามากๆสำหรับพวกเราไปแล้ว ?
ในด้านหนึ่ง, ใช่ คุณค่าทางศาสนาตามขนบประเพณีได้ถูกทำให้อ่อนแอลง. แต่มันมีคุณค่าใหม่ๆที่ถือกำเนิดขึ้นมา; คุณค่าต่างๆทางนิเวศวิทยา เป็นตัวอย่าง, ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือลักษณะเฉพาะต่างๆทางศาสนา มันมิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานเกี่ยวกับศรัทธาในศาสนา, แต่มันมีฐานอยู่บนความสำคัญที่เป็นจริงเกี่ยวกับความห่วงใยในการไม่ใช้ความรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม. ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือพัฒนาการที่เต็มไปด้วยสุขภาพอนามัยที่ดี. ในหนทางหนึ่ง อิทธิพลทางศาสนาในปัจจุบันได้ลดทอนลงมา แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่า มนุษย์ที่ดำรงชีวิตอยู่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น. โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาว; เนื่องมาจากความเปิดกว้างของพวกเขา ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเคลื่อนเข้าไปใกล้กับความจริงอันนั้น.
ข้าพเจ้าได้พูดกับคนฝรั่งเศสกลุ่มหนึ่ง และได้ไต่ถามพวกเขาเกี่ยวกับประเทศเยอรมันนี. ข้าพเจ้าคิดว่า เมื่อ 40 ปีล่วงมาแล้ว ในสายตาของคนฝรั่งเศส ประเทศเยอรมันนีเป็นบางสิ่งที่เลวร้ายมาก, แต่ปัจจุบันคนสองคนของสองประเทศนี้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน. ในทำนองเดียวกัน นักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ชาวเยอรมันคนหนึ่งบอกกับข้าพเจ้าว่า 40-50 ปีมาแล้ว เมื่อเขาได้พบกับคนฝรั่งเศส เขาพบว่ามันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากและไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่จะปฏิบัติตัวอย่างไร. แต่ทุกวันนี้ สิ่งเหล่านั้นได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์แล้ว นี่คือเครื่องหมายต่างๆของความเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น. มาถึงตอนนี้ ชาวเยอรมันและชาวฝรั่งเศสได้ปฏิบัติต่อกันเหมือนดั่งกับการเป็นพี่เป็นน้องกัน.
ในการรำลึกถึงความทรงจำของท่านเมื่อวัยเยาว์ ท่านได้อธิบายว่า ท่านเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับความโกรธมากมายอย่างไร, แต่หลายปีต่อมา ท่านกล่าวว่า ท่านได้จัดการเพื่อขจัดความโกรธออกไปได้จนเกือบจะสมบูรณ์แล้ว.
แน่นอน จิตใจของมนุษย์และอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากว่าคุณใช้ความพยายาม. ด้วยการกำหนดตัดสินใจและความอดทนคุณสามารถที่จะแปรเปลี่ยนความโกรธและลดทอนการยึดติดลงไปได้. ความเชื่อมั่นในตัวเองและความเมตตาสามารถเพิ่มขึ้นมาได้. แต่มันต้องใช้เวลาและมันไม่ง่ายนัก ข้าพเจ้าไม่ได้พูดว่าความเมตตาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะคัมภีร์ทางศาสนาของเรากล่าวเอาไว้อย่างนั้น. ความเมตตาในระดับปฏิบัติการที่เป็นจริงเป็นเรื่องที่มีประโยชน์และให้ผลดีอย่างยิ่ง.
มันใช่เวลาหรือ ที่ความเมตตาของท่านจะส่งไปถึงชาวจีนที่เพิ่มความทุกข์ทรมานมากขึ้นให้กับพวกท่าน ?
เมื่อข้าพเจ้าเจริญเมตตาที่มีต่อพี่น้องชาวจีนของเรา มันไม่ใช่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความโหดร้ายต่างๆ แต่มันอยู่บนพื้นฐานของมนุษยธรรมของพวกเขา เมื่อคุณตั้งจิตให้มีสมาธิกับความเมตตาจากมุมดังกล่าว คุณจะเห็นว่าพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น พวกเขาไม่ต้องการความเจ็บปวดทุกข์ทรมานใดๆเช่นกันเหมือนกับพวกเรา; พวกเขามีสิทธิอันชอบธรรมทุกประการที่จะพิชิตและเอาชนะความทุกข์ยาก. ดังนั้น คุณจึงเห็นว่าพวกเราต่อต้านการกระทำของพวกเขา โดยปราศจากการต้องสูญเสียความเมตตาที่มีต่อบุคคลไป.
ท่านเคยตรัสว่า ทะไลลามะองค์ต่อไปจะทรงประสูติขึ้นมานอกอาณาเขตของธิเบต
ไม่ว่าสถาบันของทะไลลามะ จะดำเนินต่อไปหรือไม่ก็ตาม, นั่นเป็นเรื่องของผู้คนชาวธิเบตจะต้องตัดสิน. ถ้าหากว่าอีก 2-3 สัปดาห์ต่อไปข้าพเจ้าต้องมรณภาพลง เป็นไปได้มากที่สุดว่า ชนชาวธิเบตทั้งหลายต้องการที่จะมีองค์อวตารอีกองค์หนึ่ง. แต่ถ้าหากว่าข้าพเจ้ายังคงกล่าวอะไรต่อไปได้อีก 30-40 ปี ถ้าเป็นเช่นนั้น บางที สถานการณ์ดังกล่าวอาจกลายเป็นว่าสถาบันขององค์ทะไลลามะอาจจะไม่สอดคล้องเป็นที่ต้องการอีกต่อไปแล้ว; นั่นคือสิ่งที่เป็นไปได้มาก. แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สถาบันทะไลลามะควรจะดำรงอยู่ต่อไปหรือไม่ นั่นไม่ใช่ความห่วงใยของข้าพเจ้า. ความเป็นห่วงเป็นใยของข้าพเจ้าคือ ประชาชาติธิเบตและวัฒนธรรมธิเบตจะต้องคงอยู่. แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าจะตัดสินอนาคตอันนั้นให้เร็วที่สุดเมื่อข้าพเจ้าได้หวนคืนกลับสู่ธิเบตด้วยระดับของการเป็นอิสระในการปกครองตนเองในบางระดับ. ข้าพเจ้าจะส่งมอบอำนาจหน้าที่ของข้าพเจ้าทั้งหมดให้กับรัฐบาลธิเบต. รัฐบาลชุดนั้นควรจะเป็นรัฐบาลที่ได้มาจากการเลือกตั้ง.
ผู้คนส่วนใหญ่ของชาวธิเบตรู้สึกว่าสถาบันขององค์ทะไลลามะควรจะต้องคงอยู่ต่อไป และการสืบทอดนั้นควรดำเนินไปตามขนบประเพณีด้วย ด้วยเหตุนี้ คำถามเกี่ยวกับทะไลลามะองค์ต่อไปจึงเกิดขึ้นมา. สมมุติว่าพวกเรายังคงอยู่นอกอาณาเขตของธิเบต และชนชาวธิเบตยังต้องการรักษาสถาบันของทะไลลามะเอาไว้อย่างแท้จริง ถ้าเผื่อว่าข้าพเจ้ามรณภาพลง ภายใต้สถานการณ์อันนั้น การกลับชาติมาเกิดของข้าพเจ้าก็จะปรากฎขึ้นอีกครั้ง. การกลับชาติมาเกิดอีกครั้งของข้าพเจ้าหรือการอวตารใหม่ขององค์ทะไลลามะจะปรากฎขึ้นนอกประเทศธิเบต เพื่อที่จะดำรงภารกิจแห่งชีวิตก่อนหน้านี้ต่อไป ซึ่งมันยังไม่บรรลุผลสำเร็จ.
ผู้สัมภาษณ์ : Miri Heatherwick ทำงานให้กับ the Meridian Trust, London, ซึ่งได้ผลิตภาพยนตร์และวิดีโอเกี่ยวกับองค์ทะไลลามะ, พุทธศาสนาและวัฒนธรรมของธิเบต.