บทสัมภาษณ์เรื่อง"ทุนนิยมธรรมชาติ"
Amory Lovins

Satish Kuman สัมภาษณ์

ผมได้รับการศึกษามาทางนักฟิสิกส์คนหนึ่งในโลกทัศน์ของ Cartesian (หมายถึงแนวทางของ Descartes)อย่างเต็มที่.
ในเค้าโครงทางกลศาสตร์นั้น โลกประพฤติตัวค่อนข้างที่จะเหมือนกับลูกบิลเลียดมาก. แต่อันที่จริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นสักนิดเลย. เราจะต้องเรียนรู้ถึงระบบของชีวิตกันใหม่ ซึ่งมันมีความสลับซับซ้อน จนไม่อาจที่จะจินตนาการได้ และละเอียดอ่อนยิ่งกว่านั้นมาก, บ่อยทีเดียวมันกระทำสิ่งต่างๆไปโดยไม่ได้เป็นไปแบบเส้นตรง
และย้อนคืนกลับมาไม่ได้.

ต้นฉบับมาจากเอกสารสำเนานิตยสาร Resurgence
(ไม่ระบุฉบับที่ และปีที่พิมพ์ ของ อ.ชัชวาล ปุญปัน)
สมเกียรติ ตั้งนโม : แปล
Midnight's Economics
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนการ

ในโลกปัจจุบันที่ลัทธิทุนนิยม
ครองความเป็นใหญ่.
ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ได้ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งพื้นดิน น้ำ และบรรยากาศ
พืช และสัตว์ นานาชนิด
สิ่งเหล่านี้คือต้นทุน และ ระบบนิเวศวิทยาของสรรพชีวิต
ซึ่งได้หล่อเลี้ยงโลกของเรา
มานับล้านปี

การทำลายล้างครั้งนี้ มันเป็นการ
ทำลายเกราะป้องกันของทุกๆชีวิต
ไม่จำเพาะแต่เพียงมนุษย์เท่านั้น

เกราะป้องกันชีวิตนี้ เมื่อมันได้ถูกทำลายลงแล้ว
ด้วยความชาญฉลาดของมนุษย์
ก็ไม่อาจสร้างทดแทนขึ้นมาได้
แม้จะใช้ทุนมหาศาลเพียงใดก็ตาม
ดังพิสูจน์แล้วใน Biophere 2
ที่ใช้เงินถึง 200 ล้านเหรียญ
แต่ไม่อาจผลิตอากาศและน้ำ
ได้เพียงพอให้กับคนเพียง 8 คนอาศัยอยู่ได้

ในขณะที่โลกเราสามารถรองรับ
ชีวิตมนุษย์ได้ถึง 6000 ล้านคน
ในแต่ละวัน

บทสัมภาษณ์ เรื่อง "ทุนนิยมธรรมชาติ"

ทุนนิยมธรรมชาติ วางอยู่บนพื้นฐานของการให้ความเคารพ และการเรียนรู้จากระเบียบกฎเกณฑ์ของสิ่งต่างๆทางธรรมชาติ มากกว่าการเข้าไปแทนที่ธรรมชาติด้วยความฉลาดของมนุษย์

สัมภาษณ์โดย Satish Kuman
(ความยาวประมาณ 16 หน้ากระดาษ A4)

ถาม : คุณเป็นคนที่ได้ร่วมเขียนหนังสือใหม่เล่มหนึ่งที่ชื่อว่า Natural Capitalism, สำหรับหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาอะไรอยู่ในนั้นบ้าง ?

ตอบ : หนังสือเล่มนี้ได้อธิบายว่า ทุนนิยมควรจะเป็นเช่นไร หรือจะเปลี่ยนไปอย่างไร ถ้าหากว่าได้ปฏิบัติกับทุนธรรมชาติด้วยการให้คุณค่าอย่างเหมาะสม.

ทุนธรรมชาติเป็นโลกที่ธำรงอยู่ ซึ่งได้จัดหาทรัพยากรต่างๆและระบบนิเวศวิทยามาบริการแก่ชีวิตและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเราไม่อาจที่จะทดแทนหรือดำรงอยู่ได้โดยปราศจากมัน. ระบบนิเวศวิทยาเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างสำคัญมาก, มันไม่ใช่เรื่องของกำไรขาดทุน หรือบัญชีงบดุลของใคร และสิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถที่จะไล่สะสางหนี้สินกันได้ ภายหลังจากที่มีการสูญเสียการใช้ทรัพยากรไปแล้วอย่างประมาทเลินเล่อ ทั้งนี้อันเนื่องมาจากคุณค่าทางการตลาดของมันซึ่งเป็นที่ยอมรับนั่นเอง

แต่อย่างไรก็ตาม นับเป็นเวลาหลายทศวรรษมาแล้ว ที่เราใช้เวลาไปกับการถกเถียงกันในเรื่องของระบบนิเวศวิทยาที่ให้ประโยชน์กับเราในเรื่องที่ว่า มันมี"คุณค่าหรือราคาเป็นตัวเงินเท่าไร ?", ผมคิดว่า มันจะมีความหมายหรือประโยชน์มากกว่าที่จะปฏิบัติกับธรรมชาติในท่าทีที่ เรากำลังให้คุณค่าอันสมควรอย่างยิ่งและเหมาะสมกับมัน, โดยผ่านหลักปฏิบัติต่างๆ. หนังสือของเราได้ทำการสำรวจ, โดยใช้ตัวอย่างต่างๆเป็นร้อยๆ, และได้นำเสนอหลัก ๔ ประการซึ่งได้เสริมเพิ่มพลังให้แก่กันและกันอย่างเข้มแข็ง

ถาม : เมื่อใครคนหนึ่งคิดถึงคำว่า"ทุนนิยม" ในภาษาเศรษฐศาสตร์แบบคลาสสิค, มันหมายความถึง ที่ดิน, แรงงาน, และทุน(land, labour, and capital). คำว่า"ทุน" ส่วนใหญ่แล้วมีความเข้าใจกันว่าหมายถึงทุนที่เป็นรูปตัวเงิน(financial capital). ด้วยเหตุนี้ คุณกำลังใช้คำว่า"ทุน"คำนี้ ในความหมายที่เปลี่ยนไป

ตอบ : ผมกำลังทำการฟื้นฟูและให้คุณค่าเพิ่มเติมกับความหมายดังกล่าว. ตำราทุนนิยม เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการผลิต และการลงทุนซ้ำของทุน ซึ่งยอมให้มีการสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นมา. ภายหลัง คำว่า"ทุน"ได้กลายมามีความหมายเพียงแค่เงินตรา และทุนที่ลงไปกับการผลิตเพียงเท่านั้น.

โลกของเราได้เคลื่อนคล้อยไปไกลมากจากเศรษฐศาสตร์ Ricardian (หมายถึงยุคสมัยของกษัตริยแห่งอังกฤษ ๓ พระองค์ ประกอบด้วย พระเจ้าริชาร์ดที่ ๑,๒,และ ๓) ซึ่ง"ที่ดิน"เป็นคุณค่าพื้นฐาน. แต่, ในหนังสือเล่มนี้ เรากำลังย้อนกลับไปยังสิ่งนี้ ด้วยการบิดเกลียวหรือฟั่นคำว่าที่ดิน(ในความหมายที่กว้างของโลกธรรมชาติ) ไม่ใช่เพียงที่ที่คุณสามารถเพาะปลูกพืชพันธุ์ต่างๆเพียงเท่านั้น; มันยังทำหน้าที่ควบคุมและกำหนดบรรยากาศ, สภาพอากาศ, สันปันน้ำหรือลุ่มน้ำ, ความอุดมสมบูรณ์ และการให้ประโยชน์อย่างอื่นๆที่สร้างชีวิตขึ้นมา และด้วยเหตุนี้จึงทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีความเป็นไปได้.

ถ้าคุณคิดว่า ความเฉลียวฉลาด ความเป็นนักประดิษฐ์ของมนุษย์สามารถเข้ามาทดแทนทุนธรรมชาติได้, นั่นมันจะสะท้อนในแนวทางที่ว่า สิ่งก่อสร้างที่เรียกว่า Biosphere 2 ซึ่งมีมูลค่าประมาณ ๒๐๐ ล้านเหรียญ (สิ่งก่อสร้างซึ่งเป็นรูปโดมขนาดใหญ่ในทะเลทรายอริโซน่า)ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วในปี ๑๙๙๒ นั้น, มันไม่สามารถที่จะจัดหาอากาศ, น้ำ, และอาหาร มาให้คน ๘ คนที่อยู่ในนั้นได้อย่างเพียงพอ, ซึ่งนั่นคือจำนวนคนที่เราไดเพิ่มเข้ามาให้กับดาวเคราะห์ดวงนี้ที่เราอาศัยอยู่ในทุกๆสามวินาทีเท่านั้น.

ในทางตรงข้าม, Biophere 1 (หมายถึงโลกของเรา)ได้จัดหาการบริการเหล่านั้นให้กับคนถึง ๖ พันล้านคนของเราทุกๆวันโดยไม่คิดมูลค่า, และเราก็ไม่มีไอเดียหรือความคิดที่สลัวลางที่สุดว่าจะทำมันได้อย่างไร.

(ครั้งหนึ่ง ผมได้พบกับนักเศรษฐศาสตร์คนหนึ่ง ผู้ซึ่งเชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถที่จะทดแทนได้ด้วยเงิน, ดังนั้น ผมจึงแนะนำเขาให้เข้าไปอยู่ในเหยือกรูปทรงระฆังขนาดใหญ่โดยมีเงินมากเท่าที่เขาต้องการ และมาดูกันว่าเขาจะใช้เวลาได้นานเท่าไรก่อนที่จะจบชีวิตลง. แต่เขาดูว่าจะลังเล และคัดค้านกับคำแนะนำอันนี้)

ถาม : เรากำลังพูดถึงคนจากคำอธิบายนี้ด้วยใช่ไหม ?

ตอบ : ใช่. เราจะต้องตระหนักถึงความสำคัญเกี่ยวกับ"ทุนมนุษย์"(human capital)ด้วย, ไม่ใช่เพียงในความหมายของความคิดจิตใจที่ได้รับการศึกษาและทักษะความชำนาญหรือฝีมือในการประกอบการเท่านั้น, แต่ต้องหมายรวมถึงกระบวนการต่างๆทางสังคมที่ไม่ใช่เรื่องของเงินตราด้วย ซึ่งทำใหเราเป็นมนุษย์ และทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่า.

เราจะต้องสำนึกถึงแง่มุมต่างๆเหล่านั้นที่ทำให้เราเป็นมากกว่าฟันเฟืองในเครื่องจักร; เพราะมนุษย์ยังเป็นผู้สร้างชุมชนขึ้นมา; มนุษย์ได้สรรค์สร้างความรัก, ความเอาใจใส่, การแบ่งปัน, ครอบครัวขึ้น; มนุษย์ได้พัฒนาความงาม, เกียรติและศักดิ์ศรี, คุณธรรมความซื่อสัตย์ และความคิดสร้างสรรค์. สิ่งเหล่านี้คือคุณลักษณะต่างๆของสังคม, เช่นเดียวกับปัจเจกชน. พวกเขาต้องการการส่งเสริมสนับสนุนและการลงทุนใหม่อีกครั้ง เพื่อไปช่วยบรรเทาความทุกข์ยากและสร้างความสุขขึ้นมาให้กับชีวิต.

ถ้าหากว่าเราปฏิบัติกับสิ่งที่เรียกว่า"ทรัพยากรมนุษย์"ราวกับว่าพวกเขาเป็นเพียงสินแร่อย่างหนึ่งซึ่งจะต้องได้รับการขุดขึ้นมาจากดิน, มันก็เท่ากับว่า เรากำลังทำให้เกิดการสูญเสียความสามารถทางสังคมที่จะส่งเสริมสนับสนุนวัตถุประสงค์อันกว้างใหญ่ไพศาลของชีวิตมนุษย์ไป.

เศรษฐศาสตร์ได้รับการเข้าใจหรือคิดกันว่า "เพื่อรับใช้เป้าหมายต่างๆของมนุษย์" - ไม่ใช่ในทางที่ตรงกันข้าม. และผลที่ตามมาของการหลงลืมต่อความคิดความเข้าใจนี้ ทำให้เรากำลังเผชิญกับภยันตรายที่ว่า "ตลาดต่างๆได้สร้างคนรับใช้ที่ดี, เจ้านายที่ชั่ว และศาสนาที่เลวร้ายขึ้นมา". (markets make a good servant, a bad master and a worse religion)

ทุกวันนี้เราได้มีการพัฒนาซึ่งเบี่ยงเบนไปจากความเป็นปกติเป็นการชั่วคราวที่เรียกว่า"ทุนนิยมอุตสาหกรรม"(industrial capitalism) ซึ่งกำลังชำระหนี้ของมันที่ทำไปด้วยความประมาทเลินเล่อ กับต้นตอกำเนิดที่สำคัญที่สุดสองอย่างของทุน - นั่นคือ โลกธรรมชาติ และสังคมที่มีบทบาทหน้าที่อย่างเหมาะสม. ผมคิดว่า ไม่มีนักทุนนิยมคนใดที่มีเหตุผลจะกระทำสิ่งนั้น.

ตำรับตำราทางด้านนี้กล่าวว่า ทุนนิยมได้ลงทุนซ้ำกับผลกำไรของมัน ทั้งนี้เพื่อเพิ่มสต็อคสินค้าของต้นทุนการผลิต. กระนั้นก็ตาม โดยผ่านอุบัติการณ์ทางประวัติศาสตร์, เราได้เห็นแล้วว่า มันได้ทำลายธรรมชาติและสังคมมนุษย์ลงไปอย่างไร มันควรหรือยังที่เราจะต้องยุติ และมาคิดกันใหม่ เกี่ยวกับรูปแบบบางอย่างของทุนและอื่นๆ. เพราะสิ่งที่เรากำลังดำเนินการไปนั้นและคิดว่าเป็นความสำเร็จ, มันเล็กน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราไม่ได้นำมันมานับรวมเอาไว้ ซึ่งได้สูญเสียไป.

ถาม : มีคนบางคนมีความพยายามที่จะเสนอคุณค่าเป็นเงินดอลล่าร์ให้กับการบริการของธรรมชาติ. คุณคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร ?

ตอบ : มันเกี่ยวกับการสอนหรือการให้ความรู้. Constanza ได้มีการประเมินราคาในเชิงอนุรักษ์ เช่นดังกับที่ Gretchen Daley ทำ, กล่าวคือ ได้มีการตีราคาการให้บริการหรือประโยชน์ของระบบนิเวศวิทยาต่างๆว่า มันมีคุณค่าอย่างเหมาะสมเท่าไร, ผลสรุปที่ออกมา อย่างน้อยที่สุดมันก็มากเท่ากับผลผลิตของโลกทั้งหมด. แต่นั่นเป็นตัวเลขเทียมเมื่อมันไม่มีตลาดสำหรับมันเอง, และเราก็ไม่รู้ว่าจะผลิตมันขึ้นมาได้อย่างไรด้วย(เว้นแต่เพียงเล็กน้อยมากคล้ายๆกับการโปรยปรายของละอองเกสร - แต่การโปรยปรายละอองเกสรด้วยมือให้กับโลก มันจะกลายเป็นสิ่งที่ดูออกจะตลกมากและไร้สาระ) และเราไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีมัน.

ด้วยเหตุนี้ คุณค่าที่แท้จริงของธรรมชาติจึงไร้ขีดจำกัดอย่างเห็นได้ชัด. แต่เราไม่ต้องการที่จะชี้ขาดลงไปถึงสิ่งที่มันมีคุณค่า. เราเพียงต้องการให้คุณค่าที่แท้และเหมาะสมกับมัน โดยการดำเนินรอยตามหลักการในทางปฏิบัติ 4 ประการเกี่ยวกับทุนนิยมธรรมชาติ.

หลักการข้อแรก และ ถือว่าเป็นหลักการที่แจ่มชัดที่สุดก็คือ การใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุดและสร้างผลผลิตได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้; เพื่อให้ได้ผลผลิตเป็นสิบเท่าออกมา โดยผ่านเทคโนโลยีที่ดีกว่า ซึ่งได้ทำหน้าที่รับใช้กิจกรรมในอย่างเดียวกันได้ดีกว่า ด้วยการใช้สมองที่มากกว่าแต่ใช้เงินน้อยลง. ตัวแทนอันนี้สามารถที่จะช่วยลดการใช้ทรัพยากรครึ่งล้านๆตันต่อปีอย่างน่าทึ่ง จากการหมดเปลืองของทรัพยากรไปสู่มลภาวะ นั่นคือรากของการลดทอนเกี่ยวกับระบบต่างๆของธรรมชาติลงมา.

ถาม : อะไรคือสิ่งที่กำลังถูกใช้กันไปมากในเชิงการผลิต ?

ตอบ : พลังงาน, น้ำ, วัตถุดิบ, หน้าดิน อากาศ และอื่นๆ. บ่อยทีเดียว ผลผลิตทางด้านทรัพยากรสามารถบรรลุผลสัมฤิทธิ์ได้โดยไม่จำเป็นต้องลดลง แต่กลับได้ผลย้อนกลับมาขยายตัวขึ้น. นั่นเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจ, แต่ตอนนี้มันก็แสดงให้เห็นอย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับระบบต่างๆในทางเทคนิคและภาคเศรษฐกิจต่างๆ.

ตรรกะของการเพิ่มผลผลิตด้านทรัพยากรเป็นเรื่องที่เราค่อนข้างจะคุ้นเคย ทั้งนี้เพราะ มันเป็นตรรกะอันเดียวกันกับการที่มันปล่อยให้มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นมาครั้งแรก ทำให้ผู้คนสร้างผลผลิตขึ้นมามากเป็นร้อยเท่า. เศรษฐศาสตร์สอนว่า คุณควรที่จะประหยัดหรือไม่สุรุ่ยสุร่ายกับทรัพยากรที่มีอยู่อย่างขาดแคลนที่สุด เพราะนั่นเป็นสิ่งที่จะไปสะกัดความก้าวหน้า.

ในวันเวลาที่ผ่านมา, คือเมื่อประมาณ ๒๓๐ ปีมาแล้ว ความขาดแคลนเชิงสัมพัทธ์เกี่ยวกับผู้คน ได้ไปจำกัดความก้าวหน้าในการแสวงประโยชน์จากธรรมชาติอย่างไร้ขอบเขตตามที่ปรากฎ. แต่ในทุกวันนี้ เรามีแบบแผนที่เป็นไปในทางตรงข้ามเกี่ยวกับความขาดแคลน: เรามีผู้คนมากมายและธรรมชาติน้อยลง. ดังนั้น พอมาถึงตอนนี้ มันเป็นเรื่องที่มีเหตุผลที่จะสับเปลี่ยนผู้คนที่มีจำนวนมาก กับธรรมชาติที่ขาดแคลน กล่าวคือต้องรักษาธรรมชาติเอาไว้ให้มากที่สุด(ต้องประหยัด หรือไม่สุรุ่ยสุร่ายกับธรรมชาติ) - ซึ่งไม่ใช่เป็นไปในทางตรงกันข้าม, เช่นดังที่เรายังคงดูเหมือนมีแนวโน้มที่กำลังกระทำอย่างนั้นในเวลานี้.

ถาม : อะไรคือหลักการอันที่สอง ที่ว่าทุนธรรมชาติได้ลดทอนแรงกดดันต่อระบบต่างๆทางธรรมชาติ ?

หลักการข้อที่สอง

ตอบ : หลักในประการที่ 2 คือการออกแบบใหม่เกี่ยวกับผลผลิตบนแนวทางต่างๆคล้ายกับเรื่องทางชีววิทยาในลักษณะที่เป็นวงวัฏฏ, ไม่มีความสิ้นเปลือง และปราศจากความเป็นพิษ. การออกแบบทุกสิ่งทุกอย่างออกมาควรจะเป็นอย่างนั้น. อันนี้จะทำให้มีผลผลิตที่ดีกว่าขึ้นมาในต้นทุนที่ต่ำกว่า. มันจะแปรเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างที่เราผลิตไปสู่อาหารที่เป็นธรรมชาติที่จะไปเป็นปุ๋ยหรือสารอาหารทางด้านเทคนิค ซึ่งย้อนกลับไปสู่การผลิตใหม่อีกครั้ง.

เมื่อคุณออกแบบผลผลิตขึ้นมาใหม่บนหลักการต่างๆทางชีววิทยา - นั่นหมายความว่า เป็นการเลียนแบบการกระทำในทางชีวะ - คุณได้ให้ความวางใจต่อวัตถุดิบต่างๆที่ขุดขึ้นมาน้อย แต่ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจมากในสิ่งที่ได้รับการปลูกสร้าง. เราควรจะล้อเลียนธรรมชาติซึ่งมีประสิทธิภาพมากๆอันนี้ และมีแนวทางซึ่งเป็นมิตรกับชีวิตในการทำสิ่งต่างๆ.

หนังสือของ Janine Benyus ในเรื่อง Biomimicry (การล้อเลียนหรือจำลองแบบของชีววิทยา)ได้ให้ตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่กับเราบางประการ. ต้นไม้ที่พวกเราเห็นอยู่นอกหน้าต่างได้แปรเปลี่ยนแสงแดด, อากาศ, ดิน และน้ำ ไปเป็นน้ำตาลซึ่งเรียกว่า เซลลูโลส, ซึ่งมันมีความแข็งแรงเท่าๆกับไนล่อน แต่มีน้ำหนักที่เบากว่าหลายเท่า, และด้วยเหตุนี้ มันจึงตรึงเซลลูโลสเข้าไปสู่ส่วนประกอบธรรมชาติอันหนึ่งที่เรียกว่า"ไม้", ซึ่งแข็งกว่าและแกร่งกว่าเหล็ก, อะลูมินัมอัลลอย หรือคอนกรีต.

กระนั้นก็ตาม ต้นไม้ไม่เรียกร้องต้องการคนมาหลอมมัน(เหมือนกับเหล็ก), ไม่ต้องการเครื่องพ่นลมหน้าเตา หรือเตาหลอมซีเมนต์แต่อย่างใด. มันทำงานที่อุณหภูมิที่อยู่ล้อมรอบอย่างประหยัดและงดงามมาก. ถ้าหากว่าเรามองไปรอบๆห้องนี้ เป็นไปได้ที่เราอาจจะพบแมงมุมตัวหนึ่ง ที่ขึงตาข่ายเพื่อดักจับพวกจิ้งหรีดตัวเล็กๆให้บินไปติด ใยแมงมุมนั้นมันมีความแข็งแรงเท่าๆกันกับโพลีอรามิด หรือ ไฟเบอร์เคฟล่าร์ ซึ่งได้นำเอาไปทำเสื้อเกราะกันกระสุน(bullet-proof vests). ซึ่งการทำเสื้อเกราะกันกระสุนนั้น, บริษัทดูปองท์ต้องการกรดกำมะถันเดือด และสิ่งที่เล็ดออกมาด้วยแรงดันสูงเพื่อผลิตไฟเบอร์เคฟล่าร์อันนี้. ส่วนเจ้าแมงมุมกระทำสิ่งเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องใช้กรรมวิธีที่สิ้นเปลืองหรือยุ่งยากดังกล่าวนี้เลย. ถ้าหากว่าเราฉลาดได้เท่ากับแมงมุม, เราก็จะสามารถผลิตไฟเบอร์ที่แข็งแรงเป็นพิเศษได้อย่างดีเยี่ยม โดยไม่ต้องใช้วิธีการความร้อนที่โบราณหรือดึกดำบรรพ์นี้, ด้วยการหวดกระหน่ำกับเครื่องจักรหรือเทคโนโลยี.

ถาม : แล้วอะไรคือหลักการข้อที่สามของลัทธิทุนนิยมธรรมชาติ ?

หลักการข้อที่สาม

ตอบ : หลักการข้อที่ 3 คือ จะต้องเปลี่ยนแปลงแบบจำลองทางธุรกิจโดยการเปลี่ยนจากการขายสินค้าไปสู่การให้บริการในลักษณะเลื่อนไหลอย่างต่อเนื่อง. และอันนี้ควรถูกทำในรูปของความสัมพันธ์กันอันหนึ่ง ซึ่งเป็นไปทั้งสองฝ่ายระหว่างผู้ให้บริการ(หรือผู้จัดหา)และผู้บริโภคที่รับบริการ เพื่อเป็นการประหยัดทรัพยากร และกระทำในลักษณะที่ย้อนกลับเป็นวงวัฏฏ. นี่คือหนึ่งในไอเดียหรือความคิดที่มีลักษณะอันเป็นรากเหง้าต่างๆ ซึ่งครั้งหนึ่งที่คุณได้เห็นมา และมันมีเหตุผลมากทีเดียว.

ยกตัวอย่างเช่น Ray Anderson, ประธานบริษัท Interface Corporation, เขาเข้าใจว่า ผู้คนไม่ต้องการเป็นเจ้าของพรมในสำนักงานของพวกเขา; เขาเพียงที่จะเดินบนมันและมองดูมันเท่านั้น. ดังนั้น Anderson จึงเริ่มต้นทำร้านสำหรับการให้เช่าและบริการพรมปูพื้น. บริษัทของเขาเป็นเจ้าของสิ่งที่อยู่บนพื้นสำนักงานของคุณ. พวกเขาจะทำหน้าที่รับผิดชอบให้มันดูใหม่และสะอาดอยู่เสมอ โดยการเปลี่ยนพรมขนาดหนึ่งตารางเมตรให้กับบริเวณที่มันเก่า, ซึ่งนั่นเป็นเพียงหนึ่งในห้าของพื้นที่พรมทั้งหมด.

บริษัท Interface ยังสามารถที่จะจัดหาบริการที่ดีกว่าอันหนึ่งด้วยราคาหรือต้นทุนที่ถูกกว่าด้วย, พร้อมกันนั้นก็ให้กำไรมากขึ้น, และมีการว่าจ้างงานมากกว่า. ปัจจุบัน บริษัทดังกล่าวได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมาที่เรียกว่า Solenium ซึ่งใช้วัสดุน้อยลงไป ๓๕ เปอร์เซนต์ต่อตารางเมตร และมีความทนทานเป็นสองเท่า. มันเป็นการดีกว่าในทุกๆแง่มุมสำหรับลูกค้า, ต้นทุนต่ำลงในการผลิต, ไม่มีสิ่งที่เป็นพิษในสินค้า และและสามารถจะผลิตซ้ำได้อย่างสมบูรณ์สู่ผลผลิตที่เหมือนกันทุกประการ. ด้วยเหตุนี้ เมื่อคุณรวมเอาการลดทอนลงมาเจ็ดส่วนในเรื่องของวัสดุ ประกอบกับการประหยัดวัสดุหรือพื้นพรมที่เคยเปลี่ยนพร้อมกันทั้ง 5 ตารางเมตร มาเหลือเพียงแค่เปลี่ยนหรือทดแทนเฉพาะพรมที่ชำรุดเท่านั้น เท่ากับว่าคุณได้ลดการสิ้นเปลืองวัสดุลงมาถึง ๙๗ เปอร์เซ็นต์ เพื่อบำรุงรักษาการให้บริการพรมปูพื้นที่เหนือกว่าด้วยราคาที่ต่ำกว่า.

แบบจำลองทางธุรกิจดังกล่าวข้างต้น เป็นธุริกจประเภทหนึ่งซึ่งยากจะแข่งขันด้วย. โดยการสับเปลี่ยนแบบจำลองจากการค้ามาเป็นการบริการ และการลดความสูญเสียอย่างเป็นระบบ ก่อนที่จะปล่อยสินค้าใหม่ออกมา, บริษัท Interface ได้ทำรายได้เป็นสองเท่า ได้กำไรเป็นสามเท่า และมีการว่าจ้างงานเพิ่มขึ้นได้เกือบๆสองเท่า. เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของบริษัท ไม่ต้องการเอาอะไรจากโลกของเราใบนี้ และไม่ใส่อะไรกลับเข้าไปที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมกับดาวเคราะห์ดวงนี้.

จากกรณีดังกล่าว ผลผลิตหรือสินค้าใหม่ของบริษัทจึงได้ตัดการไหลเวียนของขยะออกโดยการนำเอาของเก่ามาผลิตซ้ำอีกครั้ง, และสามารถที่จะตัดการไหลเวียนตั้งแต่แรกจากบ่อน้ำมัน โดยการทำ Solenium ขึ้นมาจากคาร์โบไฮเดร์ท. จะเห็นว่า ความสิ้นเปลืองหรือขยะได้เปลี่ยนไปเป็นกำไร. สำหรับกิจกรรมเหล่านี้ บริษัท Interface ทำได้ดีมากในการลดทอนและประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ.

ส่วนบริษัทอื่นๆต่างตื่นเต้นและริษยาที่บริษัท Interface ได้ไปถึงจุดนั้นเป็นรายแรก. หลังจากนั้น จากธุรกิจหนึ่งไปสู่อีกธุรกิจหนึ่ง เราได้พบเห็นแบบจำลองเกี่ยวกับบริการให้เช่า(service-leasing)เข้ามาแทนที่เพิ่มขึ้น. แต่จำไว้ว่า สิ่งซึ่งสำคัญในที่นี้ไม่ใช่รูปแบบของการจัดการทางธุรกิจที่มีรูปแบบอย่างหลากหลาย - เช่น การทำธุรกิจบริการให้เช่าซื้อแทนการขายสินค้า - แต่การทำธุรกิจในรูปดังกล่าว ผู้จัดหาการให้บริการสำหรับลูกค้าที่มาขอรับบริการ ทั้งคู่ต่างก็ได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น สำหรับการทำสิ่งที่ทำได้มากกว่า และดีกว่าด้วยราคาค่าที่ต่ำกว่า.

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าคุณไปเช่าซื้อบริการเกี่ยวกับน้ำมันเครื่องที่มีส่วนผสมของสารละลาย(solvent)จากบริษัท Dow บริษัทแห่งนี้จะนำน้ำมันเครื่องเก่าของคุณไปทำความสะอาดเพื่อทำให้สารละลาย(solvent)นั้นบริสุทธิ์ขึ้นมาใหม่ การทำเช่นนี้เป็นการหมุนเวียนของที่ใช้แล้ว มาใช้ใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้การเดินทางของคุณได้ระยะทางที่ไกลขึ้น, ต้นทุนของเขาก็ต่ำลง ส่วนผลกำไรเพิ่มขึ้น และพวกเขาก็เรียกค่าบริการจากคุณน้อยลง ดังนั้นเขาจึงได้ส่วนแบ่งของตลาดมากขึ้น. ที่สำคัญกว่านั้น การทำเช่นนี้เป็นการลดการใช้ทรัพยการลง และทำให้ธรรมชาติยั่งยืนมากขึ้น

ในทำนองเดียวกัน, ถ้าบริษัท Carrier ที่กำลังทำธุรกิจให้เช่าบริการความสะดวกสบาย ซึ่งทำให้พนักงานแอร์คอนดิชั่นของบริษัทมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรืออยู่นานขึ้น, พวกเขาก็จะทำกำไรได้มาก โดยการให้บริการที่ดีกว่าด้วยความชำนาญ ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า. ถ้าพวกเขารวมตัวกันขึ้นกับบริษัทอื่นๆ ซึ่งสามารถที่จะจัดการหรือกำหนดแน่นอนบางสิ่งบางอย่างกับอาคารสิ่งก่อสร้างของคุณได้ลงตัว ถ้าเป็นเช่นนั้น อาคารดังกล่าวก็ต้องการแอร์คอนดิชั่นเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น หรืออาจไม่ต้องการเลยเพื่อความสะดวกสบายที่เหนือกว่า ดีกว่า เพราะว่าสิ่งที่คุณต้องการคือความสบายเพิ่มขึ้นในราคาที่ต่ำกว่า. แต่ถ้าเผื่อว่าบริษัทต่างๆไม่สามารถที่จะไปบรรจบกับความต้องการนั้น, คู่แข่งต่างๆของพวกเขาก็จะแซงหน้า และพวกเขาก็จะสิ้นสุดธุรกิจแอร์คอนดิชั่นลง.

แนวทางอันนี้ บริษัทต่างๆกำลังทำให้มันค่อยๆปรากฎขึ้นมาเพื่อนำไปสู่การบรรจบพบกับคุณค่าที่เปลี่ยนไปของคุณอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องการหนทางที่ดีที่สุดด้วยราคาต้นทุนที่ต่ำสุด. แน่นอน นั่นเป็นที่ที่ธุรกิจใดๆก็ตามควรจะเป็นและไปให้ถึง - การเปลี่ยนแปลงเพื่อประหยัดทรัพยากร จากรายได้ที่ลดลง สู่ต้นทุนที่ลดลง. James Womack เรียกแนวความคิดนี้ว่า, the "Solutions Economy".

ถาม : อะไรคือปัจัยข้อที่สี่เกี่ยวกับทุนนิยมธรรมชาติ ?

go to next page Back to midnight's home

 

หลักการข้อแรก