โครงการก้าวสู่คริสตศตวรรษที่ ๒๑ ด้วยการทบทวนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา




Update 17 August 2007
Copyleft2007
บทความทุกชิ้นที่นำเสนอบนเว็บไซต์นี้เป็นสมบัติสาธารณะ และขอประกาศสละลิขสิทธิ์ให้กับสังคม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเปิดรับบทความทุกประเภท ที่ผู้เขียนปรารถนาจะเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน โดยบทความทุกชิ้นต้องยินดีสละลิขสิทธิ์ให้กับสังคม สนใจส่งบทความ สามารถส่งไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com โดยกรุณาใช้วิธีการ attach file
H
บทความลำดับที่ ๑๓๓๖ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ตั้งแต่วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๐ (August, 17, 08,.2007) - ไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์
R
power-sharing formulas, options for minority rights, and constitutional safeguards.

บรรณาธิการแถลง: บทความทุกชิ้นซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้ มุ่งเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กับสังคมไทยอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังมุ่งทำหน้าที่เป็นยุ้งฉางเล็กๆ แห่งหนึ่งสำหรับเก็บสะสมความรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ตามสะดวก ในฐานะที่เป็นสมบัติร่วมของชุมชน สังคม และสมบัติที่ต่างช่วยกันสร้างสรรค์และดูแลรักษามาโดยตลอด. สำหรับผู้สนใจร่วมนำเสนอบทความ หรือ แนะนำบทความที่น่าสนใจ(ในทุกๆสาขาวิชา) จากเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลก สามารถส่งบทความหรือแนะนำไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com (กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: ๒๘ มกาคม ๒๕๕๐)

หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ทักษิณได้พบหารือกับพลเอกสนธิฯ ผู้บัญชาการทหารบก 1 ครั้งที่ห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี ทักษิณทราบดีว่า เบื้องหลังของการต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้ ยังมีชนชั้นหนึ่งที่มีบารมีและไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้ ซึ่งนั่นก็คือกองทัพ ที่จะสามารถแสดงบทบาทพลิกสถานการณ์ในยามคับขัน บรรดานายทหารที่ถือกระบอกปืนเหล่านี้ ดูเผินๆ เหมือนจะอยู่ในตำแหน่งที่เป็นอิสระเหนือรัฐบาล แต่ที่แท้จริงแล้วแค่เพียงกระดิกนิ้วหัวแม่มือเพียงนิ้วเดียว ก็สามารถที่จะขับเขาให้ตกจากที่นั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้
17-08-2550

Thaksin's 24 Hours
Midnight University

 

H
R
ทุกท่านที่ประสงค์จะติดต่อมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กรุณาจดหมายไปยัง email address ใหม่ midnightuniv(at)gmail.com
-Free Documentation License-
Copyleft : 2007, 2008, 2009
Everyone is permitted to copy
and distribute verbatim copies
of this license
document, but
changing it is not allowed.

บันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับการรัฐประหาร ๑๙ กันยา
Thaksin's 24 Hours After the Coup:
บทที่ ๑ เสียงโทรศัพท์ยามรุ่งอรุณ

กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน : เรียบเรียง
ต้นฉบับแปลจากภาษาจีนทั้งเล่ม ได้รับมาจากเพื่อนสื่อมวลชนเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชน

บันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับนายกฯ ทักษิณ และการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ นี้
แปลมาจากต้นฉบับภาษาจีน (โดยผู้แปลไม่เปิดเผยนาม) กองบรรณาธิการ ม.เที่ยงคืนได้นำมาเรียบเรียง
และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติม เพื่อสะดวกแก่การค้นคว้าในเรื่องประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย
โดยในบทที่ ๑ นี้ มีชื่อบทว่า "เสียงโทรศัพท์ยามรุ่งอรุณ" ดังมีลำดับหัวข้อที่น่าสนใจต่อไปนี้
- ห้องเพรสซิเดนท์เชี่ยลสวีท โรงแรมแกรนด์ไฮแอท นิวยอ์รก
- เหตุการณ์คาร์บอมบ์ สายชนวนกำจัดทักษิณ
- ย้อนเรื่องระเบิดเครื่องบินโบอิ้ง 747 มีนาคม 2544
- 2 ล้านดอลลาร์ สำหรับมือปืนที่เด็ดหัวทักษิณ
- คดีขายหุ้นชินคอร์ปให้กับเทมาเส็ก
- ประกาศยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
- ทักษิณประกาศเว้นวรรคทางการเมือง
- ร้อยโทธวัชชัย กลิ่นชนะ - พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี คดีคาร์บอมบ์
- หลับสบายที่นิวยอร์ค ภายใต้การเมืองที่กรุงเทพกำลังวุ่นวาย
- สัตว์ที่เข้าสู่บ่วงแล้ว แต่มันกลับเอ้อระเหยลอยชาย
midnightuniv(at)gmail.com

บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงตรวจสอบตัวสะกด
และปรับปรุงบางส่วนเพื่อความเหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ รวมทั้งได้เว้นวรรค
ย่อหน้าใหม่ และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติมสำหรับการค้นคว้าทางวิชาการ
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๓๓๖
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๐
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ ๑๗ หน้ากระดาษ A4)

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บทที่ 1 เสียงโทรศัพท์ยามรุ่งอรุณ

ตอนที่ 1
ห้องเพรสซิเดนท์เชี่ยลสวีท โรงแรมแกรนด์ไฮแอท นิวยอ์รก
วันที่ 19 กันยายน 2549 เวลาตีห้า ท้องฟ้าในมหานครนิวยอร์กกำลังจะสว่าง ดวงดาวค่อยๆ ลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเป็นสีครามและเงียบสงัด มีพยากรณ์อากาศว่า วันนี้มีอุณภูมิโดยเฉลี่ย 23 ? ระดับความชื้น 78% นับเป็นวันที่มีอากาศแจ่มใสวันหนึ่ง ลมในฤดูในไม้ร่วงพัดปะทะเบาๆ กับใบหน้า ช่วงรุ่งสางเป็นช่วงที่มหานครนิวยอร์กเงียบสงัดที่สุด ลมในช่วงรุ่งสางพัดผ่านใบไม้ไป ทำให้ได้ยินเสียงนกร้องในสวนสาธารณะ หากเป็นเมื่อ 5 ปีก่อนนี้ ยังสามารถขึ้นไปยืนอยู่ตึกที่สูงที่สุดของมหานครนิวยอร์กได้ นั่นคือ ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ที่ซึ่งสามารถชมทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ร่วงในสวนสาธารณะได้

ปัจจุบันนี้ สถานที่ที่นั้นเหลือเพียงแต่หลุมใหญ่ๆ 2 หลุม และป้ายรำลึกที่สลักชื่อผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งมีรั้วเหล็กกั้นไว้ เมื่อ 2-3 วันก่อนที่นี่เพิ่งจัดงานรำลึกครบรอบ 5 ปีของเหตุการณ์ 9/11 ประธานาธิบดีบุชและภรรยาได้มาวางช่อดอกไม้ด้วยตนเอง คนจำนวนไม่น้อยจุดเทียนเพื่อรำลึกถึงวิญญาณผู้เสียชีวิต ปัจจุบันนี้บนรั้วเหล็กที่กั้นสิ่งปรักหักพังของตึกเวิลด์เทรดนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้และธงชาติสหรัฐฯ จำนวนมาก ตามแผนงานของมหานครนิวยอร์ก หลังจาก 3 เดือน อเมริกาจะก่อสร้าง "ตึกแห่งเสรีภาพ" บนพื้นที่ของตึกเวิลด์เทรดเดิม แต่ทว่า หากไม่เปลี่ยนแปลงความเคยชินที่ใช้ความรุนแรงและอาวุธแก้ไขปัญหา มนุษยชาติก็ไม่อาจมีเสรีภาพตลอดไป ความเจ็บปวดของมนุษย์ก็ไม่มีทางสิ้นสุด

ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งมีอายุ 57 ปี ณ ขณะนั้นกำลังนอนในห้องเพรสซิเดนท์เชี่ยลสวีท ของโรงแรมแกรนด์ไฮแอทนิวยอ์รก ม่านสีทึบกั้นหน้าต่างในห้องทำให้แสงสว่างของอรุณรุ่งไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาในห้องนอนได้ ในห้องเงียบสงัดจนได้ยินเสียงหายใจเบาๆ ของคนที่กำลังหลับ เขานอนไม่หลับพลิกตัวกลับไปกลับมา หัวคิ้วที่ขมวดอยู่เผยให้เห็นร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามานาน ศีรษะกว้างและใหญ่ รอยย่นปรากฏเป็นริ้วๆ ขอบใต้ตาดำคล้ำ มีถุงใต้ตาอย่างชัดเจน รูปหน้าทรงกลม/เหลี่ยม อาจเป็นเพราะความขาวหมดจดของใบหน้าจึง ทำให้ดูเหมือนอายุยังไม่มากนัก แต่เมื่อดูโดยรวมแล้ว นี่เป็นใบหน้าที่บ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยตรากตรำ

หลังจากเกิดเรื่อง "รถวางระเบิด" เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดกันสับสนไปหมด ตั้งแต่นั้นมาเขาก็นอนอย่างไม่สบายใจ ทั้งกลางวันและกลางคืน เขาถูกล้อมรอบไปด้วยภัยคุกคามที่ไม่อาจรู้ได้ว่าจะมาจากไหน ศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดฉับพลันก็ออกมาสร้างความตกใจให้กับเขา หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เขาได้กล่าวว่า วันนั้น เป็นวันที่เขารู้สึกเครียดมากที่สุดตั้งแต่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา และมันยังน่ากลัวกว่าเมื่อเทียบกับเรื่องที่เกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงต่อจากนี้

เหตุการณ์คาร์บอมบ์ สายชนวนกำจัดทักษิณ
ตอนเช้าของวันที่ 24 สิงหาคม 2549 ฝ่ายตำรวจของไทยประกาศว่า พบรถยนต์บรรทุกวัตถุระเบิดน้ำหนัก 67 กิโลกรัม บริเวณใต้ทางด่วนแห่งหนึ่งซึ่งมีระยะ 1 กิโลเมตรใกล้กับที่พักของนายกรัฐมนตรีบริเวณเขตปริมณฑล เป็นระเบิดทีเอ็นทีที่มีน้ำหนัก 5 กิโลกรัม และยังพบน้ำมันเบนซินผสมกับปุ๋ยซึ่งบรรจุในถุงจำนวนกว่า 10 ถุง นอกจากนี้ยังมีระเบิดซีโฟร์ 3 ลูก รวมทั้งดินระเบิดที่มีลักษณะเป็นพลาสติกจำนวนหนึ่ง และสายชนวนและท่อนำ ฝ่ายตำรวจกล่าวว่าวัตถุระเบิดเหล่านี้ซุกซ่อนอยู่ในส่วนต่างๆ ของรถ และติดตั้งติดกับรถมาอย่างดี นอกจากนี้ตัวรถยังติดตั้ง remote sensing ด้วย ซึ่งเพียงแค่กลุ่มผู้ก่อการร้ายกดปุ่มควบคุมในระยะไกล พลังของระเบิดก็จะสามารถทำลายสิ่งปลูกสร้างในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรให้กลายเป็นผุยผงได้

ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อยว่า ระเบิดนี้มุ่งทำร้ายทักษิณ ตำแหน่งที่รถจอดอยู่ก็เป็นถนนสายที่ขบวนรถของนายกรัฐมนตรีจะต้องผ่านทุกวัน เวลาก็ประจวบเหมาะพอดี 9 โมงซึ่งเป็นเวลาที่นายกรัฐมนตรีมาทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล. นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกรัฐบาลออกมากล่าวในงานแถลงข่าวว่า "ในตอนนั้นลูกระเบิดได้เตรียมการไว้อย่างดีและพร้อมที่จะระเบิด สายนำไฟฟ้าถูกเชื่อมต่อกับท่อลำเลียง และยังใช้ถุงทราย 7 ถุงเพื่อบังคับทิศทางระเบิด และรับประกันว่าระเบิดจะต้องมุ่งไปยังทิศทางขบวนรถของนายกรัฐมนตรีแน่น่อน"

ตำรวจได้ควบคุมตัวร้อยโทธวัชชัย กลิ่นชนะ ซึ่งเป็นผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าว ณ ที่เกิดเหตุ และจอดเอาไว้ใต้ทางด่วนนั้น แต่ว่า ผู้ต้องสงสัยปฏิเสธความผิด นายธวัชชัยยืนยันว่า ตนไม่ทราบแผนการลอบสังหารนายกรัฐมนตรีเลย และไม่รู้ด้วยว่ามีระเบิดติดตั้งในรถคันดังกล่าว สำหรับชื่อของระเบิดซีโฟร์และทีเอ็นที ตนก็แทบจะไม่เคยรู้จัก แค่มีเพื่อนหนึ่งฝากให้เขาขับรถคนนี้ไปที่ที่ใกล้กับบ้านพักของนายกรัฐมนตรี เขาจึง "ทำตามอย่างงงๆ"

ข้อแก้ตัวนี้เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถเชื่อถือได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เมื่อ 2-3 เดือนก่อน เห็นรถยนต์สีเทาเงินคันหนึ่งตามขบวนรถนายกรัฐมนตรีอย่างลับๆ ล่อๆ และ 3 วันก่อนเกิดเรื่อง รถยนต์คันนี้ก็ขับกลับไปกลับมาและมีท่าทางน่าสงสัยบนถนนใกล้กับบ้านพักของนายกรัฐมนตรี และเช้าตรู่ของวันนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพบเห็นรถคันดังกล่าวกำลังกลับรถไปมา จึงรีบแจ้งตำรวจทันที

หลังจากที่ทักษิณรอดตายจากภัยนี้แล้ว ทักษิณก็ได้กล่าวที่ทำเนียบรัฐบาลซึ่งรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดว่า ในวันนั้นตนเคราะห์ดีที่สามารถรอดจากประตูนรกนั้นได้ สาเหตุสำคัญก็คือ ได้รับแจ้งจากสำนักข่าวกรองได้ทันเวลา จึงได้ออกจากที่พักก่อนหน้านั้น 1 ชั่วโมง ทักษิณยังบอกอีกว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้รู้ถึงแผนการชั่วร้ายที่จะสังหารนายกรัฐมนตรีหลายครั้งในระยะ 2-3 เดือนนี้ สำหรับการบงการเบื้องหลังเหตุการณ์ลอบสังหารนี้ ทักษิณเชื่อว่าอย่างน้อยมีผู้ที่เกี่ยวข้อง 4 คน โดยเป็นนายทหารระดับสูงทั้งยังอยู่ในตำแหน่งและเกษียณแล้ว แต่ความจริงจะเป็นใครนั้น ยังไม่สะดวกที่จะเปิดเผย

เพื่อความปลอดภัย ทักษิณได้ยกเลิกกำหนดการต่างๆ ในช่วงบ่ายวันนั้น เช่น การพบปะกับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ชายแดนไทย-กัมพูชา กำหนดการเดินทางไปตรวจเยี่ยมภัยน้ำท่วมในภาคเหนือก็ถูกเลื่อนออกไป เมื่อสมาชิกพรรคไทยรักไทยมาให้กำลังใจทักษิณนั้นเขาได้บอกกับสมาชิกพรรคว่า ตอนนี้เขาเองยังเอาตัวไม่รอด เกรงว่า จะไม่สามารถออกสู่เวทีสาธารณะเพื่อรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งที่จะมาถึงได้ เขาเร่งเพิ่มกำลังหน่วยรักษาความปลอดภัยถึง 30 คน และจัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนกว่า 10 คนดูแลภรรยาและลูกของตน

ย้อนเรื่องระเบิดเครื่องบินโบอิ้ง 747 มีนาคม 2544
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทักษิณเอาชีวิตรอดมาได้ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2544 เมื่อเขาได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียง 25 วัน เขาก็ได้รับรู้รสชาติของการถูกลอบสังหาร ในวันนั้น เครื่องบินโบอิ้ง 747 ลำหนึ่งของการบินไทยซึ่งบรรทุกผู้โดยสารจำนวน 129 คน เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดเชียงใหม่ ผู้โดยสารบนเครื่องซึ่งรวมทั้งทักษิณที่เพิ่งได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยลูกชาย รวมทั้งข้าราชการจำนวน 20 คนเตรียมพร้อมขึ้นเครื่อง

วินาทีที่เครื่องบินเตรียมทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้านั้น ที่นั่งชั้นหนึ่งหมายเลข 11A ที่เขาได้จองไว้เกิดระเบิดขึ้นกะทันหัน ผู้โดยสารที่อยู่บริเวณรอบๆ ที่นั่งนั้นได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก แต่ที่โชคดีก็คือ ที่นั่งนี้ไม่มีใครนั่งอยู่ในตอนนั้น ทักษิณผู้ซึ่งตรงต่อเวลามาโดยตลอดตัดสินใจที่จะรอลูกชายซึ่งก็คือ นายพานทองแท้ ที่มาถึงช้า วันนั้นลูกชายก็ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมถึงมาช้า 25 นาที แต่ในที่สุดก็ได้ช่วยชีวิตพ่อของตนไว้ได้

ฝ่ายทหารและตำรวจได้พบระเบิดฟอสฟอรัสขาวชนิดหนึ่งในบริเวณที่เกิดเหตุ โดยระเบิดได้ถูกติดตั้งไว้ใต้ที่นั่งของนายกรัฐมนตรีและลูกชาย ทั้งเวลาและสถานที่ชัดเจนเช่นนี้จึงทำให้เกิดความคลางแคลงสงสัยว่า มันเป็นการกระทำของ "หนอนบ่อนไส้". อย่างไรก็ตาม ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ถึง 1 เดือน สำนักข่าวกรองแห่งชาติยังไม่ได้รับแจ้งมาก่อนว่ากลุ่มอำนาจใดต้องการทำร้ายทักษิณ ตำรวจสันนิษฐานว่า ผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารอาจจะเป็นผู้ค้ายาเสพติดในประเทศพม่าและบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ เนื่องจากทักษิณมาเป็นนายกรัฐมนตรีไม่นานก็ได้ประกาศว่า งานสำคัญของรัฐบาลใหม่ในอีก 4 ปีข้างนี้คือ "ปราบปรามการค้ายาเสพติดให้หมดสิ้น" ด้วยเหตุนี้ ทักษิณจึงพบปะกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานต่างๆ เพื่อเสนอวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการกวาดล้างยาเสพติด

2 ล้านดอลลาร์ สำหรับมือปืนที่เด็ดหัวทักษิณ
ท่าทีเช่นนี้ของทักษิณทำให้พวกค้ายาเสพติดเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ. 2 ปีต่อมา ก็มีข่าวอันน่าสะพรึงกลัวออกมาจากนอกประเทศว่า พวกค้ายาเสพติดได้ตั้งเงินรางวัลจำนวน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แก่มือปืนที่สามารถฆ่าตัดหัวทักษิณได้ และยังมีรายงานข่าวอย่างเป็นตุเป็นตะว่า ข่าวกรองที่สำคัญนี้ได้ถูกส่งมาถึงกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และสำนักข่าวกรอง โดยเจ้าหน้าที่จากสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ผู้ที่ได้ช่วยชีวิตทักษิณคือชาวอเมริกันจริงหรือ รัฐบาลไทยปิดปากเงียบไม่พูดสักคำ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพูดแต่เพียงว่า "มืดมีดชาวต่างชาติที่วางแผนมุ่งร้ายลอบสังหารทักษิณยังไม่ได้เข้าประเทศไทย"

ภาพอันน่าสยดสยองของการเสียชีวิตของพวกค้ายาเสพติดที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทักษิณได้แสดงว่าตนไม่สะทกสะท้าน เขากล่าวว่าตนจะไม่ประนีประนอม เพราะ "เรามีการเตรียมพร้อมป้องกันไว้แต่แรกแล้ว ดังนั้น ผมเองไม่ห่วงเลยแม้แต่นิด" หนึ่งในมาตรการเตรียมพร้อมป้องกันก็คือ เวลาออกเดินทางจะไม่ใช้รถยนต์ที่หรูหรา แต่จะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์กันกระสุน ทำเนียบรัฐบาลได้จัดซื้อรถยนต์ซึ่งภายนอกเหมือนกันทุกอย่างจำนวนหลายคัน เลขทะเบียนรถของรถทุกคันก็เป็นเลขเดียวกัน คนภายนอกก็ไม่สามารถมองเห็นภายในของรถได้ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่กล้าวางใจ จึงส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนกว่า 1,000 นาย คอยอารักขาทักษิณเมื่อต้องออกไปประชุมหรือเปิดตัวสู่สาธารณะข้างนอก

แต่ทว่า ภัยคุกคามเหล่านี้ยังไม่สามารถเทียบได้กับภัยอันตรายที่ได้รับครั้งนี้ สถานการณ์ประเทศไทยในปัจจุบันเหมือนกับหม้อต้มน้ำที่กำลังเดือดปุดๆ บนเตาไฟ ภายในหม้อเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นและความโกรธ คนที่ต้องการกำจัดเขาไม่เพียงแต่พวกค้ายาเสพติดนอกประเทศ แต่ยังมีกลุ่มพลังอำนาจ ไม่ว่าจะพลังมืดหรือสว่างที่คัดค้านการบริหารประเทศของเขาในช่วงระยะกว่า 5 ปีที่ผ่านมา หากจะบอกว่า ทักษิณกำลังนั่งอยู่บนระเบิดที่จวนจะระเบิดก็คงไม่เกินความเป็นจริงแม้แต่น้อย

ตอนที่ 2
คดีขายหุ้นชินคอร์ปให้กับเทมาเส็ก
"คดีขายหุ้น" เป็นมูลเหตุที่จุดชนวนให้เกิดวิกฤตการบริหารประเทศของทักษิณ เมื่อตอนต้นปี วันที่ 23 มกราคม 2549 ลูกชายและลูกสาวของทักษิณ คือ นายพานทองแท้และนางสาวพิณทองธา ได้นำหุ้นร้อยละ 49.6 ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 1,870 ล้านดลลาร์สหรัฐ ของบริษัทชินคอร์ป (Shin Corp) ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมที่ใหญ่อันดับหนึ่งของไทย ขายให้กับวิสาหกิจของสิงคโปร์ที่ชื่อเทมาเส็ก (Temasek)

ตามกฎหมายของไทยที่ออกมาใหม่ ว่าด้วยสัดส่วนการถือครองหุ้นในธุรกิจโทรคมนาคมของเงินทุนต่างชาตินั้น รายได้ซึ่งมาจากการซื้อขายหุ้นที่ดำเนินการในนามของบุคคลธรรมดา จะสามารถเลี่ยงชำระภาษีได้ ดังนั้นการที่ลูกชายและลูกสาวของทักษิณซื้อขายหุ้นของตน ในทางกฎหมายก็ไม่ต้องจ่ายภาษี แต่หากว่าการซื้อขายหุ้นกระทำในนามของบริษัท ก็จำเป็นที่ต้องจ่ายภาษีเป็นจำนวนเงินประมาณ 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

หลังจากที่เรื่องนี้ถูกสื่อมวลชนประโคมข่าวออกมา เรื่องก็บานปลายขึ้น ผู้คนต่างกล่าวหาครอบครัวทักษิณว่าสร้างแบบอย่างการไม่ชำระภาษีให้กับประชาชน และหลีกเลี่ยงภาษี "เขาควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชน แต่เขากลับไม่เป็น" ยังมีคนที่สงสัยทักษิณว่า การที่เขาขายธุรกิจโทรคมนาคม ซึ่งเป็นเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญด้านยุทธศาสตร์ของชาติให้กับบริษัทต่างชาติ ทำให้สิงคโปร์มีอิทธิพลเหนือธุรกิจโทรคมนาคมของไทย ซึ่งถือเป็นการคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ "เขาเลวยิ่งกว่าซัดดัมจริง ๆ" "เผด็จการอย่างซัดดัม แม้ว่าจะโหดร้ายทารุณ แต่ยังรู้จักใช้อำนาจบาตรใหญ่นั้นทำสงครามเพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยของประเทศตน" แต่ทักษิณกลับ "ขายผลประโยชน์ของชาติเพื่อผลประโยชน์ของครอบครัว"

ชาวกรุงเทพฯ เริ่มเดินขบวนบนประท้วงบนท้องถนนเพื่อ "โค่นล้มทักษิณ" คนเดินขบวนค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากสองพันคน เป็นสองหมื่น และกลายเป็นแสนกว่าคน ในตอนแรกทักษิณไม่ได้ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหานี้ จากเศรษฐีที่ร่ำรวยได้ผลิกผันตัวเองเข้าสู่เวทีการเมืองเป็นต้นมา เนื่องจากเขาร่ำรวยมหาศาล และมีผลประโยชน์ทางธุรกิจซึ่งโยงใยสลับซับซ้อนจึงทำให้คนอิจฉาริษยา และฟ้องร้องเขาต่อศาลในหลายคดี ทักษิณได้อธิบายการซื้อขายครั้งนี้ว่า "การกระทำทางธุรกิจทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่โปร่งใส ชอบด้วยกฎหมายและไม่ใช่ปัญหาการขายผลประโยชน์ของประเทศ...พวกลูกๆ ได้ช่วยผมตัดสินใจ เพียงเพราะหวังว่าผมจะสามารถมุ่งทำงานด้านการเมืองได้"

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ได้ตัดสินการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ว่า "ไม่ผิดกฎหมาย" "แม้ว่าในรายงานการซื้อขายหุ้นของนายพานทองแท้ ที่นำส่งคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จะเกิดข้อผิดพลาดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาร้ายแรง" หลังจากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้ตีกลับคำขอของสมาชิกวุฒิสภา 28 คน ที่ขอให้ดำเนินการตรวจสอบการซื้อขายทางธุรกิจของทักษิณตามกฎหมาย โดยให้เหตุผลว่า "คำยื่นอุทธรณ์คลุมเคลือไม่ชัดเจน"

คำบอกเล่าของทักษิณ
หุ้นเป็นของลูกๆ ผมตามกฎหมาย พวกเขาอายุ 20 ปีเต็มแล้ว ซึ่งสามารถเป็นผู้ถือหุ้นได้ แต่ว่าไม่ว่าลูกผมจะขายบริษัทให้ใคร เพียงแค่เงินเข้ากระเป๋าครอบครัวเรา พวกพรรคการเมืองฝ่ายค้านก็ต้องไม่วางใจ และยังมีคนที่ไม่อยากเห็นผมอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไปที่คอยหาโอกาสหาเรื่องผม พวกลูกผม ช้าเร็วจะต้องขายบริษัทนี้ เนื่องจากอนาคตของธุรกิจโทรคมนาคมขึ้นอยู่กับรัฐบาล สองคือ ต้องใช้เงินลงทุนไปกับเทคโนโลยีใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ค่าใช่จ่ายยังมหาศาลอีกด้วย พวกเราไม่คิดจะทำต่อแล้ว แค่คิดจะขายเท่านั้น ส่วนหุ้นที่เราขายไปนั้นเป็นเพียงหุ้นธรรมดาๆ ผู้ที่ถือหุ้นธรรมดามีวิธีได้เงินเพียง 2 วิธี คือ หนึ่ง รอเงินปันผล สอง คือ ขายหุ้นให้คนอื่น

การซื้อขายหุ้นครั้งนี้ใสสะอาดอย่างยิ่ง การกระทำของเราทั้งหมดล้วนชอบด้วยกฎหมาย มีการเจรจากับหลายบริษัท ไม่เฉพาะแต่เพียงบริษัทของสิงคโปร์เพียงบริษัทเดียว เราขายหุ้นให้กับสิงคโปร์ แต่ว่าพนักงานและผู้บริหารของบริษัทปัจจุบันก็ยังเป็นคนไทย ด้านสิงคโปร์ได้แต่ส่งฝ่ายการเงินเข้ามาบริหารเท่านั้น และมิใช่การปัญหาการขายผลประโยชน์ของประเทศ

ทักษิณโล่งอกไปเปราะหนึ่ง แต่ว่าเขาก็พบว่า ประเด็นร้อนที่ผู้คนพากันถกเถียงกลับไม่ใช่เรื่องการขายหุ้นว่า "ผิดกฎหมายหรือไม่" แต่เป็นเรื่อง "มีคุณธรรมหรือไม่" พลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้นำ "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ซึ่งเป็นแนวร่วมต่อต้านรัฐบาล ได้กล่าวว่า "แม้ว่าโดยส่วนตัวของทักษิณจะไม่มีที่ที่จะให้ถูกประณามในทางกฎหมายได้ แต่ในด้านคุณธรรมแล้วไม่สามารถรับได้ เราควรปฏิบัติตามคุณธรรม เพราะคุณธรรมสำคัญกว่ากฎหมายและบรรทัดฐาน โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี สมมุติว่าเขาเป็นคนธรรมดาก็แล้วไป แต่เพราะเขาเป็นนายกรัฐมนตรีจึงจำเป็นต้องลาออก"

ทักษิณปฏิเสธที่จะลาออก เขามีท่าทีแข็งกร้าว "ยังไงก็จะไม่ลาออกเพียงเพราะเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองส่วนหนึ่งและเป้าหมายทางการเมือง และก็จะไม่ยอมแพ้คนกลุ่มเดียวที่ไม่ต้องการผม" ทักษิณตอบโต้ผู้ชุมนุมประท้วงว่า "รัฐบาลตามกฎหมายจะถูกทำลายโดยผู้นำกลุ่มผู้ประท้วงจนทำให้ไม่สามารถที่จะอยู่ต่อไปได้ ผมจะไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อว่า ผู้ที่ยินดีเป็นนายกรัฐมนตรีจะกระทำความผิด คนไทยจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะเคารพกฎหมาย"

แต่ว่าข่าวลือและถ้อยคำใส่ร้ายที่ว่า นายกรัฐมนตรีเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชั่น เป็นเผด็จการ และใช้อำนาจเอื้อผลประโชยน์ส่วนตัว รวมไปถึงข่าวลือต่างๆ ที่โจมตีตัวบุคคล ก็แพร่สะพัดไปตามถนนตรอกซอกซอยของกรุงเทพฯ กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงมาสมทบอย่างไม่ขาดสาย ก่อให้เกิดความไร้ระเบียบ สร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจ หุ้นเริ่มตก ค่าเงินบาทเริ่มตก แม้กระทั่งผู้นำธุรกิจที่อยู่วงนอกก็เริ่มบ่นว่า "การชุมนุมบนท้องถนนจะทำให้นักลงทุนหนีกันไปหมด" เมื่อรัฐมนตรีกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศและรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ประกาศลาออกอย่างเปิดเผยเพื่อแสดงรับผิดชอบต่อ "คุณธรรมทางการเมือง" คำพูดที่ว่า "ผู้ชุมนุมประท้วงไม่น่ากลัว" จึงเป็นคำพูดที่ทักษิณต้องเก็บกลับมาคิดใหม่เพื่อเริ่มหาทางแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

ประกาศยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ทักษิณก็ประกาศยุบสภาอย่างฉับพลัน และจะให้มีการเลือกตั้งก่อนเดือนเมษายน โฆษกรัฐบาลแถลงว่า "หลังจากที่ประชาชนต่างได้ยินได้เห็นการเดินขบวนประท้วงตามท้องถนน ก็ให้ประชาชนตัดสินใจด้วยตนเองอีกครั้งเพื่อให้เราเห็นว่า ประชาชนเชื่อใครกันแน่ หากประชาชนไม่เลือกพรรคไทยรักไทย ทักษิณบอกว่า เขาจะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี" ข้อเสนอนี้ถูกพรรคฝ่ายค้านคัดค้านอย่างรุนแรง โดยพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคมหาชน สามพรรคร่วมมือกันคัดค้านการเลือกตั้ง โดยไม่มีการส่งผู้สมัคร พวกเขามองว่า นี่เป็น "กลเล่ห์เพทุบาย" ของทักษิณ เนื่องจากโอกาสที่พรรคไทยรักไทยจะได้รับเลือกมีมาก

พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคที่ทักษิณก่อตั้งด้วยมือของทักษิณเอง ในการเลือกตั้งปีที่แล้วพรรคไทยรักไทยได้ที่นั่งในสภามากที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ ร้อยละ 76. กลายเป็นพรรคการเมืองพรรคแรกที่เข้ามาบริหารประเทศเพียงพรรคเดียวในประวัติศาสตร์ 73 ปีของการปกครองอันมีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ดังนั้น เมื่อเข้าสู่สนามการเลือกตั้งครั้งนี้ หลังการเลือกตั้ง ทักษิณก็จะนั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน ปรากฏว่า 278 เขตจากทั้งหมด 500 เขต มีเฉพาะผู้สมัครรับเลือกตั้งจากพรรคไทยรักไทยเท่านั้น ไม่มีผู้สมัครจากพรรคอื่น สภาวการณ์ที่พรรคไทยรักไทยลงเล่นอยู่พรรคเดียว จึงชนะการเลือกตั้ง ฝ่ายค้านก็ออกมาพูดว่า" ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เราจะคัดค้านอย่างนี้ต่อไป จนกว่าทักษิณจะลาออก" วันที่ 4 เมษายน ทักษิณออกมาประกาศลาออก ซึ่งก่อนหน้านี้ 1 วัน ทักษิณได้ออกมาพูดให้ประชาชนยอมรับการเลือกตั้ง แต่แล้วกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงดั่งนิยาย

ทักษิณประกาศเว้นวรรคทางการเมือง



ภายนอกประเทศคาดเดากันว่า คงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ผู้ทรงมีคุณธรรมและพระบารมีอันสูงส่ง ทักษิณพูดออกโทรทัศน์ว่า " การที่ผมตัดสินใจลาออกครั้งนี้ เพราะว่าปีนี้เป็นปีที่มีความสำคัญยิ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 60 กว่าวัน ที่จะถึงงานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปี... เราไม่มีเวลาทะเลาะกันแล้ว หากทุกคนยังทะเลาะกันอยู่ ผู้ที่แพ้ก็คือประเทศ..." ทักษิณประกาศว่า เขาจะมอบอำนาจให้กับ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี ส่วนตัวเองจะขอพัก มีการกล่าวกันว่า คณะรัฐมนตรีหลายคนและผู้บริหารระดับสูงของพรรคที่ติดตามสถานการณ์นี้ ก็ปล่อยโฮออกมาเมื่อตอนที่ทักษิณประกาศลาออก ทักษิณพร้อมด้วยภรรยาและลูกต่างก็กอดคอกันร้องไห้

สองวันต่อมา รถกระบะคันหนึ่งมาเก็บของใช้ส่วนตัวของทักษิณที่ตึกทำเนียบรัฐบาล หลังจากนั้นก็มีคนเห็นทักษิณกำลังจูงมือลูกสาวเดินช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้าเกสรพลาซ่า เขาให้สัมภาษณ์นักข่าวว่า "ผมตกงานแล้ว อย่ามาตามผมอีกเลย ไปขุดคุ้ยข่าวใหม่จากนักการเมืองจะคุ้มค่ากว่า" และยังมีคนเห็นเขานั่งดื่มกาแฟที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีเด็กสองคนจำเขาได้ จึงหยิบสมุดให้เขาเซ็นชื่อ เขาเขียนว่า "หวังว่าเมื่อพวกหนูโตขึ้นจะกลายเป็นผู้มีความรู้ความสามารถที่สร้างคุณประโยชน์" นอกจากนี้ เขายังนัดกับบุคคลในคณะรัฐมนตรีเพื่อตีกอลฟ์ เมื่อเขาตีกอลฟ์ออกไปได้สวย เขาก็บอกว่า "วินาทีนี้เป็นวินาทีที่รู้สึกปลอดโปร่งที่สุดใน 5 ปีที่ผ่านมา"

ดูไปแล้ว ทักษิณคิดที่จะออกจากเวทีการเมือง แต่หลังจากนั้น 48 วัน เขาก็ขึ้นรถเมอซิเดสเบนซ์ S600 กลับมาที่ทำเนียบรัฐบาล เหตุผลก็คือ ในช่วงที่เขาพักร้อน ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้ผลการเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายนเป็นโมฆะ เหตุผลก็คือ การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดการทุจริต เช่น คูหาการกาบัตรเลือกตั้งหันทิศทางที่ผิดกฎ ดังนั้น คำสัญญาของทักษิณที่ว่า เขาจะ "ไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี" ก็มีอันต้องหมดความหมายไป

ประกอบกับภาคเหนือเกิดน้ำท่วมใหญ่ งานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็กำลังเข้ามาถึง เขาจึงไม่สามารถปล่อยให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่างอยู่ เขาจึงจำเป็นต้องกลับมาทำงานต่อไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ จนถึงช่วงที่จะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่หลังการเลือกตั้งในเดือนตุลาคม แต่ทว่า สามวันต่อมา เขาได้รับการเตือนจากนายไพโรจน์ วงศ์วิภานนท์ ซึ่งเป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียงของไทย ว่า " ให้ระวังถูกลอบสังหาร อย่าคิดว่าการลอบสังหารจะไม่เกิดในประเทศไทย"

คำเตือนนี้ในที่สุดแล้วไม่ใช่แค่พูดการพูดลอยๆ

ตอนที่ 3
ร้อยโทธวัชชัย กลิ่นชนะ - พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี คดีคาร์บอมบ์

ฝ่ายทหารก็ได้รู้ฐานะที่แท้จริงของร้อยโทธวัชชัย กลิ่นชนะ นักโทษผู้ต้องสงสัย เขาสังกัดกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และเป็นคนขับรถของพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี รองผู้อำนวยการ กอ.รมน. จากนั้นพลเอกพัลลภจึงถูกสอบสวน เขาบอกว่า เขาถูกใส่ร้าย คนขับรถของเขาได้ลาออกเมื่อ 3 เดือนก่อน โดยบอกว่าจะไปทำงานที่ภาคใต้ และเขาไม่ทราบข้อเท็จจริงของการกระทำที่บ้าคลั่งเช่นนี้ของลูกน้อง และหากว่าร้อยโทธวัชชัยจะสังหารทักษิณจริง "ทำไมถึงขับรถผ่านหน้าที่พักของทักษิณหลายครั้ง โดยไม่ได้จุดระเบิด" ดังนั้น " ผมเห็นว่านี่เป็นเรื่องที่ทักษิณสร้างขึ้น" โดยมีจุดประสงค์เพื่อกำจัดผม.....หากผมคิดจะฆ่าเขา ผมจะทำให้แนบเนียนกว่านี้.....อย่าลืมว่าผมเคยเป็นผู้นำหน่วยลอบสังหาร หากผมคิดจะสังหารทักษิณจริงๆ เขาไม่อาจจะหนีรอดแน่"

คำพูดนี้ไม่ได้เป็นเท็จ พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี เป็นบุคคลทางทหารที่แปลกประหลาดคนหนึ่งของไทย ตอนที่เขาเพิ่งจะจบการศึกษาจากโรงเรียนนายทหาร ก็ได้เข้าร่วมในหน่วยจู่โจมลอบสังหาร และมีส่วนในการลอบสังหารนักการเมืองที่ประวัติไม่ดี เมื่อทศวรรษที่ 1980 เขาเคยเข้าร่วมการรัฐประหารที่แท้งก่อนเกิด ซึ่งก่อการโดยกลุ่มยังเติร์กจนถูกจับ และหลังจากออกจากคุก เขาก็กลับมามีอำนาจอีกครั้ง และตั้งแต่ปี 2539 เขาก็ได้กลับเข้ารับราชการเข้าสู่กองทัพบกและอยู่จนเกษียณ

พลเอกพัลลภมีอุปนิสัยโหดเหี้ยม เมื่อเดือนเมษายน ปี 2547 ขณะที่เขาดำรงตำแหน่งผู้ดูแลด้าน ยุทธศาสตร์การทหารในภาคใต้ เขาบัญชาการทหารอย่างสุดโต่งในการกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธมุสลิม ในมัสยึดเกรือเซะอันศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดปัตตานี หลังจากฝนแห่งกระสุนปืนได้ผ่านไป ปรากฏว่ามีชาวมุสลิมเสียชีวิต 32 คน เหตุการณ์นี้ในภายหลังถูกเรียกว่า "เหตุการณ์เศร้าสลดที่มัสยิดเกรือเซะ" เหตุการณ์นี้ยังถูกประนามทั้งในและนอกประเทศ

เมื่อต้นปีนี้ พลเอกพัลลภอยู่ข้างพลตรีจำลอง ศรีเมืองอย่างเปิดเผย ในขบวนการ "โค่นล้มทักษิณ" ซึ่งมีอานุภาพเกรียงไกร พลเอกพัลลภกล่าวว่า "เป็นเพื่อนรักและเป็นเพื่อนนักเรียนโรงเรียนทหารมาด้วยกัน ยังไงผมต้องสนับสนุนพลตรีจำลอง (ซึ่งขับไล่ทักษิณ) แน่นอน" เขายังกล่าวอีกว่า "สถานการณ์ของไทยยังไม่นิ่ง และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการรัฐประหาร"

ขณะที่พลเอกพัลลภเรียกร้องว่าตนถูกใส่ร้ายอยู่นั้น คนจำนวนมากเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับ "แผนการสังหารนายกรัฐมนตรี" กล่าวกันว่า ตอนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งตรวจค้นบ้านของพลเอกพัลลภ ปรากฏว่าไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับระเบิดดังกล่าว นายอิทธิพลซึ่งเป็นพี่ชายของผู้ต้องสงสัยพูดด้วยสีหน้าตกตะลึงว่า " นายธวัชชัยเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อนายกทักษิณ เขาไม่มีเจตนาที่จะสังหารทักษิณอย่างแน่นอน" ยังมีผู้สงสัยว่า หากว่า "รถวางระเบิด" เป็นเรื่องนั้นจริงๆ แล้วประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ ก็อาจจะเสียชีวิตไปด้วย โดยเฉพาะละแวกใกล้ๆ นั้นมีโรงเรียนอยู่ แต่ว่าในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ "กู้ระเบิด" ก็ไม่ได้อพยพประชาชนโดยรอบออกไป อย่างไรก็ตาม ก็ได้แจ้งสื่อมวลชนทั้งหลายให้เข้ามาทำข่าวในที่เกิดเหตุ

ฝ่ายค้านก็ยิ่งทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ โดยกล่าวว่าทั้งหมดนี้ "แผนการทำลายตนเอง" ที่วางโดยทักษิณ เพื่อมุ่งเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คน และปิดบังอำพรางการทุจริตคอร์รัปชั่น ในคณะรัฐมนตรี และให้พลเอกพัลลภเป็น "แพะรับบาป" ยังมีคนกล่าวอีกว่าคะแนนนิยมในการเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทยลดลง จึงใช้เพทุบายเก่าๆ ดั่งเช่นนายเฉิน สุยเปี่ยนของไต้หวัน (ช่วงที่มีการหาเสียงเพื่อดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี มีการลอบยิงเขา ทำให้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย) การกระทำดังกล่าวเป็นการเรียกร้องความสนใจจากประชาชนใน "คดีลอบยิง" ซึ่งเป็นการหลอกลวงประชาชนเพื่อให้ได้ "คะแนนเห็นใจ". สื่อของไทยบางสื่อก็สงสัยในเหตุการณ์นี้ หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษเดอะเนชั่น ได้วิจารณ์ว่า

ทักษิณกล่าวว่า เมื่อ 2-3 เดือนก่อน เกิด "เหตุการณ์ลอบสังหารที่ไม่ประสบความสำเร็จ" ที่มุ่งมายังเขาหลายเหตุการณ์เพียงแต่ไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมาเท่านั้น ปัญหานั้นได้มาถึงแล้ว หากเกิดภัยคุกคามถึงแก่ชีวิตเขาโดยที่ประชาชนไม่รู้เรื่อง ทำไมนายกรัฐมนตรีจึงเลือกที่จะให้มีการเลือกตั้งในช่วงนี้ (วันที่ 24 สิงหาคม เป็นวันที่พระราชบัญญัติที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงลงพระปรมาภิไธยมีผลบังคับใช้วันแรก) และเปิดเผยข่าวที่ละเอียดอ่อนทางการเมืองต่อประชาชน ? การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ดั่งเช่นนิยายนี้ เห็นได้ชัดว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเมืองระบอบประชาธิปไตย และการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 15 ตุลาคม

มีการพูดกันบ่อยครั้งว่า เป้าหมายของเหตุการณ์ลอบสังหารที่ไม่ประสบความสำเร็จนี้ยิ่งขู่ขวัญมากขึ้น แต่ไม่ได้มุ่งเป้าทำให้คนตาย นี่เป็นเพทุบายที่เกิดอย่างต่อเนื่องในการเมืองไทย อำนาจทางการเมืองบางอย่าง ครั้งแล้วครั้งเล่าได้มาด้วยการพลิกแพลงใช้ยุทธวิธีเพื่อให้ชนะใจประชาชน พวกเขาก็จะสวมหน้ากากเป็นผู้ถูกทำร้าย หรือใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้าม หรือใช้วิธีที่แยบยลเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายทั้งสองประการ ทั้งหมดนี้ทำให้เราเข้าใจแล้วว่า การสอบสวนเรื่องเช่นนี้มักจะสอบสวนเสร็จแล้วก็แล้วกันไป หนังสือพิมพ์ก็เลิกพาดหัวข่าวเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวภายในระยะเวลาอันสั้น การสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยุติลง ประชาชนก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เงื่อนงำของปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน

วันที่ 25 สิงหาคม หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ได้ลงบทความหัวข้อ "แผนลอบวางระเบิดหรือการกุเรื่อง" โดยอ้างถึง คำพูดของอดีตผู้รับผิดชอบของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ว่า จริงๆ แล้วแผนลอบวางระเบิดทั้งหมดเป็นฝีมือของรัฐบาลทักษิณ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงวิกฤต ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชน ยิ่งกว่านั้น ทักษิณสามารถประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้. ยังมีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งซึ่งขี้นหัวข้อข่าวสะเทือนขวัญว่า "ทักษิณใช้เงิน 20 ล้านจงใจสร้างปาหี่ทางการเมือง". 1 สัปดาห์ต่อมา มหาวิทยาลัยกรุงเทพได้ทำการสำรวจความคิดเห็นประชาชน โดยประชาชนถึงร้อยละ 49.8 ไม่เชื่อว่านี่เป็นแผนลอบวางระเบิดนายกรัฐมนตรี และมีเพียงร้อยละ 20.5 ที่เชื่อว่านี่เป็นแผนลอบสังหาร

ความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรีตกต่ำลงด้วยเหตุนี้ และทำให้ผู้คนรู้สึกเสียใจ หนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา ทักษิณยังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อ แต่เพียง 2-3 เดือนต่อมา เขาก็ถูกมองว่าเป็นคนหลอกลวง เป็นนักวางแผน และเป็นนักการเมืองที่ต่ำช้า ทักษิณถูกกดดัน มีคนสงสัยและโจมตี โดยที่ประชาชนไม่สนใจว่าเขาจะเป็นจะตายอย่างไร ตามรายงานข่าว ลูกสาวของทักษิณ คือ นางสาวแพทองธาร ซึ่งกำลังเรียนอยู่ที่จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ก็ได้รับความเดือดร้อนไปด้วย

อาจารย์ซึ่งสอนวิชาการเมืองคนหนึ่งพูดต่อหน้านักศึกษาในห้องเรียนว่า " แพทองธาร เธอยังอยู่ที่นี่ไม่ยอมไปอีกเหรอ ? ฉันคิดว่าเธอไสหัวไปแล้วซะอีก! พอพูดถึงพ่อเธอ ฉันก็รู้สึกขยะแขยง" แพทองธารก็โต้กลับไปว่า " ก็แล้วแต่อาจารย์จะพูด คงมีสักวันหนึ่งที่หนูพูดถึงอาจารย์ หนูก็คงจะรู้สึกขยะแขยงเหมือนกัน" เมื่อเรื่องนี้ไปถึงหูทักษิณ เขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขากล่าวว่า คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของไทย " เอาความแตกต่างทางความคิดทางการเมืองมาโจมตีคนในครอบครัวของนักการเมืองได้อย่างไรกัน ! "

เข้าของวันที่ 28 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจพบวัตถุต้องสงสัยอีกครั้ง บริเวณที่ใกล้กับที่พักของทักษิณ สืบทราบว่า ชายคนหนึ่งขณะกำลังไปส่งน้ำแข็งให้กับโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ ก็พบวัตถุต้องสงสัยซึ่งมีลักษณะเป็นห่ออยู่ริมถนน จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตำรววจพบว่า ภายในห่อดังกล่าวมีนาฬิกาปลุก 1 เรือน อิฐ 1 ก้อน สายไฟและถ่านเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้วจำนวนหนึ่ง รวมถึงกระดาษที่เขียนด้วยลายมือว่าต้องการทำร้ายทักษิณ นี่ก็เป็นพฤติกรรมข่มขวัญอีกครั้งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวว่า "เป็นการสร้างสถานการณ์ เพื่อต้องการให้บ้านเมืองวุ่นวาย"

ต่อมาวันที่ 4 กันยายน ตำรวจก็ออกหมายจับนายทหารจำนวน 4 นาย ในข้อหามีส่วนพัวพันกับแผนการลอบสังหารนายกรัฐนตรี นายทหารทั้ง 4 นายนี้เป็นทหารประจำการ โดยมียศเป็นพลตรี 1 นาย, พันเอก 1 นาย, พันโท 1 นาย, และทหารชั้นประทวน 1 นาย สามวันต่อมา นายทหารผู้ต้องสงสัย 3 นายถูกจับ แต่ทั้งสามนายก็ให้การปฏิเสธว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการดังกล่าว

มีข่าวลือว่า เป็นเวลานานมาแล้วเมื่อทักษิณประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่ดี ก็มักจะให้นักโหราศาสตร์ทำนายดวงชะตาให้ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เขาประสบกับเหตุการณ์ร้ายที่เอาชีวิตรอดมาได้ เขาจึงหวาดระแวงและรู้สึกว่ากรุงเทพฯ เป็นที่สถานที่ที่อันตรายอย่างมาก เล่ากันว่า หมอดูได้แนะนำทักษิณให้เปลี่ยนที่อยู่ "เดินทางไปต่างจังหวัดเป็นการชั่วคราว" แม้ว่าทักษิณไม่ได้พิสูจน์ว่าคำพูดนี้เป็นจริง แต่เขาก็รีบย้ายออกจากกรุงเทพฯ ไปต่างจังหวัดอย่างรวดเร็ว ต่อมาวันที่ 9 กันยายน เขาเดินทางโดยเครื่องบินพิเศษ "ไทยคู่ฟ้า" เดินทางเยือนประเทศฟินแลนด์ จากนั้นเดินทางต่อไปยังสหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติครั้งที่ 61 ซึ่งจัดขึ้นที่มหานครนิวยอร์ค ในวันที่ 12 กันยายน

ตอนที่ 4
หลับสบายที่นิวยอร์ค ภายใต้การเมืองที่กรุงเทพกำลังวุ่นวาย
ตอนนี้ทักษิณสามารถนอนหลับอย่างสบายใจในมหานครนิวยอร์คซึ่งเป็นที่ที่ปลอดภัย ผู้นำรัฐบาลและประมุขประเทศต่างๆ กว่า 80 ประเทศมารวมตัวกันที่การประชุมนี้ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของสหรัฐต่างปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ มีการวางกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาตามโรงแรมที่พักของคณะผู้แทนจากประเทศต่างๆ ไม่มีแม้กระทั่งการเดินขบวนต่อต้านรัฐบาล

ทักษิณมีจิตใจแจ่มใสและปลอดโปร่ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ภายในประเทศไทยยังคงวุ่นวาย ใน ระหว่างการเยือนของเขา คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า จะเลื่อนการเลือกตั้งจากเดิมที่กำหนดไว้วันที่ 15 ตุลาคม อาจจะเลื่อนเป็นวันที่ 19 หรือ 26 พฤศจิกายน ก่อนหน้านี้ สมาชิกในคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 3 คน ถูกศาลอาญาตัดสินว่าความผิด ฐานมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายน โดยเอื้อประโยชน์ให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคไทยรักไทย ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง

กรรมการฯ ทั้ง 3 คนถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกจำคุก 4 ปี สภาผู้แทนราษฎรจึงต้องจัดการเลือกตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ การเลือกตั้งที่เดิมกำหนดไว้เดือนตุลาคม จึงต้องเลื่อนออกไป นี่ไม่ใช่ข่าวดีซึ่งทักษิณรู้อยู่แก่ใจ ความจริง การจัดการเลือกตั้งเดือนกันยายนจะสามารถจัดได้หรือไม่นั้น ก็ไม่มีใครคาดคะเนได้ ในระยะนี้เขามีความรู้สึกไม่ค่อยดีอยู่ตลอดเวลา สมองอันเหน็ดเหนื่อย แต่ก็มีสติอยู่ทุกวินาที ครุ่นคิดหาทางรับมืออยู่ตลอด ก้าวต่อไปจะทำอย่างไรดี ? จะเข้าหรือออก ? ออกแล้วจะเป็นยังไง ? เข้าแล้วจะเป็นยังไง ?

การที่พรรคไทยรักไทยจะชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ไม่มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงเท่าใดนัก เรื่องนี้แม้กระทั่งฝ่ายค้านย่อมรู้ดี เนื่องจากไม่ว่าปัญญาชนระดับหัวกะทิในกรุงเทพฯ จะรุมโจมตีแค่ไหน แต่ทักษิณและพรรคไทยรักไทย ยังมีฐานเสียงจากชนชั้นรากหญ้าในต่างจังหวัดเป็นจำนวนมหาศาล เรียกได้ว่า "ร้องตะโกนหนึ่งครั้ง มีเสียงตอบรับนับร้อย" แม้ว่าการเลือกตั้งในเดือนเมษายนจะเป็นโมฆะ และรัฐบาลทักษิณมีข่าวไม่ดีออกมาไม่เว้นแต่ละวันก็ตาม พรรคไทยรักไทยก็ยังคงชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงถึงร้อยละ 57 ประเด็นก็ย้อนกลับไปเหมือนกับที่ผ่านมาก็คือ เพียงแค่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง ไม่ว่าทักษิณจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ย่อมต้องส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางการเมืองไม่มากก็น้อยเป็นแน่

ยิ่งกว่านั้น ก่อนหน้านี้ 1 เดือน มีข่าวออกมว่า ทักษิณละจุดยืนเดิมที่จะ " จะไม่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี" และจะนำพรรคไทยรักไทยให้ชนะการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร และพร้อมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ข่าวนี้ทำให้ฝ่ายค้านที่ต้องการ "ขุดรากถอนโคน" รัฐบาลทักษิณถึงกับนั่งอย่างไม่เป็นสุข

สัตว์ที่เข้าสู่บ่วงแล้ว แต่มันกลับเอ้อระเหยลอยชาย
ตอนบ่ายของวันที่ 18 กันยายน ในระหว่างที่ทักษิณกำลังกล่าวสุนทรพจน์ที่คณะกรรมการความสัมพันธ์กับต่างประเทศ (Council on Foreign Relations) ของสหรัฐอเมริกาอยู่นั้น มีคนถามคำถามว่า ทำไมคุณถึงไม่ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ? มันสร้างความวุ่ยวายและยุ่งเหยิง เราอยากทราบเหตุผลที่คุณตัดสินใจช้าเช่นนี้ ? ทักษิณตอบว่า

ผมไม่ได้ตัดสิน เพราะผมเองก็ยังสับสน (ผู้ฟังหัวเราะ) บางครั้งผมรู้สึกว่าผมควรเสียสละ ฝ่ายค้านรู้ว่าพวกเขาไม่มีทางเอาชนะผม เพราะพลังประชาชนเข้มแข็งมาก เรายังคงได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างเหนียวแน่น แต่ว่า ยังมีคนที่ไม่มีความสุขที่เห็นรัฐบาลของผม อย่างเช่น นักธุรกิจจำนวนหนึ่งที่เสียผลประโยชน์จากการปฏิรูป ผู้อยู่เบื้องหลังการค้าเสพติดและหวยเถื่อน รวมถึงเจ้าพ่อวงการสื่อมวลชน พวกเขารวมกลุ่มกันเพื่อให้ผมลงจากตำแหน่ง หากว่าผมยอม ก็เท่ากับว่า ผมยอมก้มหัวให้กับคนที่เสียผลประโยชน์แล้วลุกขึ้นมาต่อต้านผม ดังนั้น ตอนนี้ผมได้แต่พูดอย่างชัดเจนว่า ขณะนี้ผมก็ยังเป็นผู้ลงสมัครเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทย ยังคงเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทยต่อไป และจะนำพรรคไทยรักไทยเข้าสู่สนามเลือกตั้งในฐานะผู้นำพรรคการเมือง แต่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ผมกำลังคิดอยู่ เพราะตอนนี้ผมสับสนมาก ผมอาจจะให้คำตอบที่ชัดเจนได้ในวันที่กำหนดวันเลือกตั้ง

นี่ไม่ใช่คำพูดแบบขอไปทีของนักวางกลยุทธ ตอนนี้ทักษิณยังไม่ได้ตัดสินใจ บางที่อาจจะจริง บางครั้งอำนาจก็เหมือนกับปีศาจเมดูซ่าในเทพนิยายกรีก ไม่ว่าใครก็ตามที่สบตากับดวงตาที่สวยงามคู่นั้นของเมดูซ่า ก็จะกลายเป็นหินทันที เนื่องจากหากเคยชิมรสชาติของการเป็นนักปกครอง หรือผู้บัญชาการ ซึ่งกำหนดชะตาขีวิตของผู้คนเป็นล้านเป็นสิบล้านคนมาก่อน ก็ยากที่จะต้านทานแรงดึงดูดของอำนาจได้. ในหน้าประวัติศาสตร์ของโลก ผู้นำทางการเมืองที่ไม่ได้ถูกบีบให้อยู่ในภาวะจำยอม แต่ยอมละทิ้งอำนาจด้วยความสมัครใจ มีจำนวนน้อยมาก สำหรับทักษิณ เขายืนยันมาโดยตลอดว่าเขาไม่ผิด "ไม่เคยทำเรื่องใดๆ ที่เป็นการทำลายประเทศชาติ" สำหรับ "เรื่องการขายหุ้น" ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์มากนั้น เขาได้กล่าวในสุนทรพจน์นี้ว่า

พวกเขาโจมตีว่าผมหลีกเลี่ยงภาษี คนจำนวนหนึ่งกล่าวว่า " คุณขายก๋วยเตี๋ยว ยังต้องเสียภาษีเลย ขายบริษัทกลับไม่เสียภาษีเหรอ ? " แต่ว่า การขายก๋วยเตี๋ยว สิ่งที่คุณขายก็คือ สินค้าซึ่งจะต้องจ่ายภาษี แต่กฎหมายกำหนดไว้ว่า ทรัพย์สินและกำไรที่ได้จากการขายหุ้นไม่ต้องเสียภาษี สำหรับเรื่องนี้ ผมเคยเสนอให้มีการอภิปรายอย่างเปิดเผยในที่ประชุมรัฐสภา แต่ฝ่ายค้านไม่ตกลง พวกเขาบอกว่าไม่มีประโยชน์ ดังนั้น ผมจึงทำได้แต่เพียงยุบสภา เพื่อให้ประชาชนติดสินว่าผมควรจะอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไปหรือไม่ ในความเป็นจริง การขายหุ้นครั้งนี้ได้สร้างคุณประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศชาติ เงินเกือบ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไหลเข้าประเทศไทย ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่าเดิม...

ทักษิณยังกล่าวอีกว่า - กระบวนการเลือกตั้งในระบบประชาธิปไตยที่มีอิสระเสรีและความยุติธรรม ไม่ควรถูกปฏิเสธเพียงเพราะมีคนจำนวนหนึ่งไม่ชอบผลการเลือกตั้ง เมื่อประชาชนได้แสดงเสียงโดยผ่านการเลือกตั้ง ความตั้งใจของประชาชนก็ควรได้รับความเคารพ ไม่ใช่ได้รับความเสียหายจากการชุมนุมประท้วงบนท้องถนน

ประชาธิปไตยที่สุกงอมจะต้องพึ่งพาการสร้างสรรค์และการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประชาชน สมาชิกในสังคมทุกหมู่เหล่าสามารถยอมรับและเคารพกฎและเกมส์ของประชาธิปไตย .....วันนี้ปัญหาพื้นฐานที่สังคมเอเชียประสบอยู่ก็คือ พลังอำนาจของการคัดค้านประชาธิปไตยที่ยังคงรวมตัวกัน พวกเขาเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของประชาธิปไตย ซึ่งความจริงก็คือ ความโอบอ้อมอารีของประชาธิปไตย พวกเขาใช้อำนาจโจมตีระบอบของเรา

เห็นได้ชัดว่า นี่ทำให้ผู้ที่ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในกรุงเทพฯ แสดงความไม่พอใจ และทำให้ผลเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายนที่พรรคไทยรักเป็นผู้ชนะต้องเป็นโมฆะ มีคนถามว่า อำนาจที่ทำให้ผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาไม่เป็นที่ยอมรับนั้น จะยอมรับการเลือกตั้งครั้งนี้ที่กำลังจะมาถึงได้หรือไม่ ? สถานการณ์ทางการเมืองของไทยจะมั่นคงขึ้นเมื่อไร ? ทักษิณตอบว่า

ฝ่ายค้านไม่มีอำนาจยับยั้งการเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายน สาเหตุที่พวกเขาทำเช่นนี้เพราะว่า กลัวว่าจะพ่ายแพ้การเลือกตั้ง แต่ว่าครั้งนี้ พรรคฝ่ายค้านได้กล่าวว่า พวกเขาจะเข้าร่วมลงเลือกตั้ง หากทุกพรรคลงเลือกตั้ง ก็ไม่มีปัญหา รัฐบาลใหม่ที่ได้จากการเลือกตั้งก็จะเริ่มทำงานก่อนขึ้นปีใหม่ ผมคิดว่า ภายใน 3 เดือน สถานการณ์ของประเทศไทยจะกลับมาเป็นปกติ

3 เดือน สถานการณ์ทางการเมืองก็จะกลับมาเป็นปกติ การเลือกตั้งจะพิสูจน์ให้
เห็นความจริงโดยเร็ววัน ! การฟันธงเช่นนี้ผิดพลาดอย่างมหันต์ ทักษิณไม่เพียงตัดสินสถานการณ์ภายในประเทศผิดพลาด แต่ยังไม่รู้ว่าตนกำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย เปรียบเหมือนสัตว์ที่เข้าสู่บ่วงแล้ว แต่มันกลับเอ้อระเหยลอยชาย

เมื่อกล่าวสุนทรพจน์จบ ทักษิณก็กลับเข้าโรงแรมที่พัก มีผู้เห็นว่า การกล่าวสุนทรพจน์ของทักษิณในหัวข้อ "อนาคตประชาธิปไตยของไทย" ที่ที่ประชุมคณะกรรมการความสัมพันธ์กับต่างประเทศ มีจุดประสงค์เพื่อแสวงหาแรงสนับสนุนจากแวดวงการศึกษาและสื่อมวลชน เนื่องจากคณะกรรมการความสัมพันธ์กับต่างประเทศเป็นหนึ่งใน Think Tank ที่มีอิทธิพลต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ว่าพรรคการเมืองใดเข้ามาควบคุมอำนาจก็ตาม ในคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลที่ผ่านๆ มา รวมทั้งประธานาธิบดีต่างก็มีสมาชิกของคณะกรรมการนี้อยู่ด้วยส่วนหนึ่ง ทำให้คณะกรรมการนี้อยู่เหนือการสับเปลี่ยนหมุนเวียนของพรรคการเมือง และกลายเป็น "องค์กรเหล็ก" ของรัฐบาลสหรัฐฯ

การกล่าวสุนทรพจน์ที่จัดขึ้นครั้งนี้ซึ่งมีนาย Maurice R. Greenberg รองประธานกิตติมศักดิ์ของคณะกรรมการเป็นประธานจัดงาน ประสบผลสำเร็จด้วยดี เวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง บรรยากาศในที่ ประชุมเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา แต่ทักษิณจิตใจยังฟุ้งซ่าน

เวลา 2 ทุ่ม ทักษิณนั่งอยู่หน้าที่โต๊ะทำงาน เขาเปิดการประชุม teleconference กับคณะรัฐมนตรีที่กรุงเทพฯ ซึ่งการเลือกตั้งกำลังจะมาถึง และบรรยากาศของการเมืองภายใน ประเทศอยู่ในภาวะตึงเครียด มีข่าวออกมาว่า วันที่ 20 กันยายน ฝ่ายค้านจำนวน 1 แสนคนจะรวมตัวกันเดินขบวน "ล้มทักษิณ" เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เตรียมพร้อมเหตุการณ์ความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้

เสียงกริ่งโทรศัพท์ตอนตี 5
เวลาเที่ยงคืน การประชุมสิ้นสุดลง ทักษิณก็นอนหลับพักผ่อน ตามกำหนดการแล้ว เขาจะต้องตื่น 7 โมงเช้า และ 8 โมงเช้า รถก็จะมุ่งหน้าไปยังที่ประชุมสหประชาชาติซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน เป็นต้นมา การประชุมสหประชาชาติครั้งที่ 61 ก็เริ่มต้นขึ้นด้วยการกล่าวสุนทรพจน์ และอภิปรายตามปกติ วันนั้นประธานาธิบดีบุช และประธานาธิบดีของอิหร่านจะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ด้วย คนจำนวนไม่น้อยที่รอดูเกมส์ที่น่าสนุกของสองผู้นำ ซึ่งจะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในวันเดียวกัน ทักษิณก็มีกำหนดการขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในวันที่ 20 กันยายน ในหัวข้อ "ประธิปไตยของไทย"

เวลาตีห้าของวันรุ่งขึ้น ทักษิณกำลังอยู่ในภวังค์ ความคุ้นเคยในชีวิตประจำวันของเขาในหลายปีที่ผ่านมาก็คือ การไม่นอนดึก ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม เขาจะพยายามเข้านอนก่อนเที่ยงคืน อย่างน้อยต้องนอน 5 ถึง 6 ชั่วโมง ตื่นมาตอนเช้า ปกติก็จะต้องออกกำลังกายสักพัก เขาชอบว่ายน้ำ มีเพียงการปฏิบัติเช่นนี้ เขาจึงมีแรงต่อสู้มาอย่างยาวนาน ไม่ถูกแรงกดดันอันหนักหน่วงมาโจมตีได้

โทรศัพท์มือถือดังขึ้น "ตู้ด ๆ ๆ ๆ" เสียงโทรศัพท์ทำให้เขาตื่นขึ้น ใครโทรมาแต่เช้า รบกวนการนอนหลับของเขานะ ? "ฮัลโหล ? ฉันเอง" เสียงที่เขาได้ยิน คือ เสียงที่คุ้นเคยของภรรยา "พวกเขาอาจจะก่อรัฐประหาร" พวกเขาเป็นใครกัน ?

คำบอกเล่าของทักษิณ
หลังจากที่รับโทรศัพท์จากภรรยาแล้ว ผมก็รู้สึกตกใจ ก่อนที่ผมจะไปประชุมที่นิวยอร์ก ก็มีลางสังหารณ์ ผมจึงให้เพื่อนรัฐมนตรีคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกเขา แต่พวกเขาใช้วิธีอื่นหลอกพวกเรา พวกเขาตั้งใจและตระเตรียมการมาเป็นอย่างดี ผมวางใจง่ายไปหน่อย ไม่ใช่ว่าผมมั่นใจเกินไป แต่เป็นเพราะผมคิดว่า คนที่ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ไม่น่าทำเรื่องเช่นนี้ นี่มันศตวรรษที่ 21 แล้ว ยุคสมัยที่อาศัยอาวุธยึดอำนาจมันหมดไปแล้ว ผมคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะทำเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเช่นนี้

สนใจคลิกไปอ่านต่อบทที่ ๒

 

คลิกไปที่ กระดานข่าวธนาคารนโยบายประชาชน

นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ก่อนหน้านี้ สามารถคลิกไปอ่านได้โดยคลิกที่แบนเนอร์



สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4 I สารบัญเนื้อหา 5 I สารบัญเนื้อหา 6
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)gmail.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด กว่า 1200 เรื่อง หนากว่า 20000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com

 




1

 

 

 

 

2

 

 

 

 

3

 

 

 

 

4

 

 

 

 

5

 

 

 

 

6

 

 

 

 

7

 

 

 

 

8

 

 

 

 

9

 

 

 

 

10

 

 

 

 

11

 

 

 

 

12

 

 

 

 

13

 

 

 

 

14

 

 

 

 

15

 

 

 

 

16

 

 

 

 

17

 

 

 

 

18

 

 

 

 

19

 

 

 

 

20

 

 

 

 

21

 

 

 

 

22

 

 

 

 

23

 

 

 

 

24

 

 

 

 

25

 

 

 

 

26

 

 

 

 

27

 

 

 

 

28

 

 

 

 

29

 

 

 

 

30

 

 

 

 

31

 

 

 

 

32

 

 

 

 

33

 

 

 

 

34

 

 

 

 

35

 

 

 

 

36

 

 

 

 

37

 

 

 

 

38

 

 

 

 

39

 

 

 

 

40

 

 

 

 

41

 

 

 

 

42

 

 

 

 

43

 

 

 

 

44

 

 

 

 

45

 

 

 

 

46

 

 

 

 

47

 

 

 

 

48

 

 

 

 

49

 

 

 

 

50

 

 

 

 

51

 

 

 

 

52

 

 

 

 

53

 

 

 

 

54

 

 

 

 

55

 

 

 

 

56

 

 

 

 

57

 

 

 

 

58

 

 

 

 

59

 

 

 

 

60

 

 

 

 

61

 

 

 

 

62

 

 

 

 

63

 

 

 

 

64

 

 

 

 

65