Free Documentation
License
Copyleft : 2006,
2007, 2008
Everyone is permitted to copy and distribute verbatim
copies of this license
document, but changing it is not allowed.
หากนักศึกษา
และสมาชิกประสงค์ติดต่อ
หรือส่งบทความเผยแพร่บนเว็บไซต์
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กรุณาส่ง email ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
midnightuniv(at)yahoo.com
midarticle(at)yahoo.com




![]()
คลำหาชีวประวัติรองผู้บัญชาการมาร์กอส
ชายไร้ใบหน้าหลังหน้ากากสกี
: รองผู้บัญชาการมาร์กอส
ภัควดี
วีระภาสพงษ์ : เรียบเรียง
นักแปลและนักวิชาการอิสระ
บทความชิ้นนี้กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้รับมาจากผู้เรียบเรียง
เป็นการคลำหาความเป็นมาของรองผู้บัญชาการมาร์กอส
แม้จะมีคนที่เข้าถึงตัวเขาจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร
มาร์กอสเป็นคนแรกๆที่เชื่อมโยงเรื่องของโลกาภิวัตน์กับปัญหาความยากจนที่เกิดขึ้นทั่วโลก
และในแวดวงวรรณกรรมได้มีการพูดถึงผลงานที่แหลมคมของเขาด้วยความประทับใจ
midnightuniv(at)yahoo.com
(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
หมายเหตุ : ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้มีการแก้ไขและตัดแต่งไปจากต้นฉบับบางส่วน
เพื่อความเหมาะสมเป็นการเฉพาะสำหรับเว็บไซต์แห่งนี้
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 1034
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่
๑๓ กันยายน ๒๕๔๙
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
11 หน้ากระดาษ A4)

ชายไร้ใบหน้าหลังหน้ากากสกี : รองผู้บัญชาการมาร์กอส
ภัควดี วีระภาสพงษ์ : เรียบเรียง
ความนำ
9 กุมภาพันธ์ 1995 หนึ่งปีหลังจากกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติซาปาติสต้าลุกฮือขึ้นก่อกบฏในรัฐเชียปาสของประเทศเม็กซิโก
หลังจากกองทัพเม็กซิกันบุกเข้าบดขยี้และสังหารชาวอินเดียนแดงพื้นเมืองใน 12 วันแรกของการปราบกบฏ
หลังจากข้อตกลงหยุดยิง การเจรจาสันติภาพที่ล้มเหลว หลังจากซาปาติสต้าและรองผู้บัญชาการมาร์กอสกลายเป็นขวัญใจของชาวเม็กซิกันและนักเคลื่อนไหวทั่วโลก
หลังจากชายคาบไปป์ใส่หน้ากากสกีครองความเป็นใหญ่บนจอทีวี บนหน้าหนังสือพิมพ์
ในโลกไซเบอร์สเปซของเครือข่ายอินเตอร์เน็ต และครองใจชาวเม็กซิกัน (โดยเฉพาะสาว
ๆ) ยิ่งกว่านักการเมืองคนไหน รัฐบาลเม็กซิกันรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องยุติเรื่องทั้งหมดนี้เสียที
9 กุมภาพันธ์ 1995 ภายหลังรัฐบาลเม็กซิกันทุ่มเทกำลังทหารหลายหมื่นนายเข้าไปในเชียปาส และป่าลากันดอนเพื่อจับเป็นหรือจับตายมาร์กอส หลังจากตำนานร่ำลือที่ว่ารองผู้บัญชาการมาร์กอสหนีพ้นจากวงล้อมของทหารไปได้อย่างเหลือเชื่อ โดยเหลือแต่ไปป์ที่ยังมีควันกรุ่นทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า รัฐบาลเม็กซิกันคิดตกแล้วว่า การใช้กำลังเพียงอย่างเดียว นอกจากไม่ประสบผลสำเร็จแล้ว มันกลับทำให้ความนิยมและภาพพจน์ของรัฐบาลตกต่ำลงในสายตาของภาคประชาสังคมด้วย วิธีที่ดีกว่าคือฉีกหน้ากากมาร์กอสทิ้ง เปิดโปงว่าเขาเป็นใคร กระชากตำนานและความเร้นลับที่มีเสน่ห์เร้าใจให้พ้นไปจากตัวมาร์กอส และแฉโพยให้เห็นความเป็นปุถุชนสามัญของชายไร้ใบหน้าคนนี้
9 กุมภาพันธ์ 1995 ในห้องแถลงข่าวของกรุงเม็กซิโกซิตี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมปฏิบัติงานชิ้นสำคัญสุดยอด เขาทาบรูปถ่ายขาวดำของชายหนุ่มหน้าตาจืดชืดลงบนสไลด์ภาพใบหน้าสวมหน้ากากสกีของรองผู้บัญชาการมาร์กอส นั่นไงล่ะ! โฉมหน้าไร้เสน่ห์ของคล้าก เคนท์ รัฐมนตรีประกาศอย่างกระหยิ่มว่า มาร์กอสไม่ใช่ชายที่ตกลงมาจากสวรรค์ เขาเป็นแค่ผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่มีชื่อว่า ราฟาเอล เซบาสเตียน กุยเญน (Rafael Sebastian Guillen) ภูมิลำเนาเดิมมาจากเมืองท่าทัมปิโก ทางตอนกลางของประเทศเม็กซิโก
หากมาร์กอสคือราฟาเอล กุยเญน เขาย่อมเกิดในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1957 มาจากครอบครัวค้าเครื่องเรือนที่มีอันจะกิน ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เขาเป็นหนึ่งในนักศึกษา 5 คนที่ได้รับเหรียญเชิดชูความเป็นเลิศทางด้านปรัชญาและอักษรศาสตร์ จากประธานาธิบดีของเม็กซิโกในสมัยนั้น เขารับอุดมการณ์ของฝ่ายซ้ายมาตั้งแต่เป็นนักศึกษา ทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับหลุยส์ อัลธุสแซร์ ซึ่งเป็นนักทฤษฎีมาร์กซิสต์ชาวฝรั่งเศสคนสำคัญ
หลังจากเรียนจบ เขาเป็นอาจารย์สอนวิชาปรัชญาและสุนทรียศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย UAM (Universidad Autonoma Metropolitana) ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์รวมของอาจารย์นักศึกษาหัวก้าวหน้าฝ่ายซ้ายที่นิยมคิวบา นิยมแซนดินิสต้า (ฝ่ายซ้ายในนิคารากัว) มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีการเรียนการสอนที่หลุดพ้นจากแบบแผนเดิม ๆ และมีแนวคิดแบบสหวิทยาการที่ไม่แบ่งแยกสาขาวิชาต่าง ๆ ออกจากกัน บรรยากาศทางความคิดที่นี่นิยมผสานทฤษฎีเข้ากับการปฏิบัติ อาจารย์ส่วนใหญ่คอยเตือนนักศึกษาให้คำนึงถึงความยากจนของประชาชน และความอยุติธรรมในเม็กซิโก
เป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการทำลายภาพพจน์อัศวินพเนจร ที่ต่อสู้เพื่อคนยากไร้ของรองผู้บัญชาการมาร์กอส โดยฉีกหน้ากากเพื่อเปิดโปงใบหน้าจืด ๆ ของนักวิชาการมาร์กซิสต์เชย ๆ ดูเหมือนจะได้ผลสัก 72 ชั่วโมง สามวันต่อมา หนังสือพิมพ์ในเม็กซิโกซิตี้ได้รับสารหรือจดหมายเปิดผนึกจากมาร์กอสอีกครั้ง สารของมาร์กอสมักจะมีปัจฉิมลิขิตที่อ่านสนุกน่าสนใจเสียยิ่งกว่าตัวจดหมาย สารฉบับนี้มีปัจฉิมลิขิตตอนหนึ่งว่า:
ป.ล. ทั้งที่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยก็ยังไม่เลิกหลงตัวเอง: ว่าไง...รองผู้บัญชาการมาร์กอสรายใหม่หน้าตาดูได้หรือเปล่า? เพราะหลัง ๆ มานี้พวกเขาชอบยัดเยียดไอ้หนุ่มหน้าขี้ริ้วให้เป็นผมเสียจริง ๆ เชียว และทำลายบรรยากาศที่สาว ๆ เขียนจดหมายถึงผมหมด
[ลงชื่อ] เอล ซุป (คำเรียกตัวเองอย่างล้อเลียนของมาร์กอส) พลางขยับหน้ากากสกีด้วยมาดเข้มอย่างมีเสน่ห์
แค่ตวัดปลายปากกาไม่กี่ประโยค ความนิยมในตัวเขากลับคืนมาอีกครั้งทันที ไม่มีใครแยแสอีกต่อไปว่าใบหน้าหลังหน้ากากสกีนี้คือใคร
ความนิยมในตัวเอล ซุปไม่จำกัดเฉพาะชาวเม็กซิกันและนักเคลื่อนไหวทางสังคมเท่านั้น แต่ยังลามไปถึงคนเด่นคนดังทั้งหลายในโลกทุนนิยม ในบรรดาฝูงชนที่แห่มาเยือนรัฐเชียปาสและปรารถนาจะได้พบกับรองผู้บัญชาการมาร์กอส ผู้ประกาศว่าตัวเองเป็นแค่โฆษกของกองทัพจรยุทธ์ชาวพื้นเมือง มีทั้งโอลิเวอร์ สโตน ผู้กำกับชื่อดัง, นักแสดงอย่างเอ็ดเวิร์ด เจมส์ โอลมอส, อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของฝรั่งเศส ดานีแอล มิตเตอรองด์, นักรบกองโจรชาวฝรั่งเศสที่กลับลำมาเป็นที่ปรึกษารัฐบาลอย่าง เรอยิส เดอแบร, ไฮโซสาวเมียร็อคสตาร์อย่างเบียงก้า แจ็คเกอร์ก็โผล่มา แต่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบ เพราะเธอดันมากับโรเบิร์ต ตอร์ริเชลลี ผู้แทนในสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ที่สนับสนุนกฎหมายคว่ำบาตรคิวบา
สถานีโทรทัศน์ซีบีเอสถ่ายทอดเรื่องราวของมาร์กอสออกรายการ 60 Minutes และคงไม่มีนักรบจรยุทธ์คนไหนในโลกอีกแล้ว ที่เบเนตตอง บริษัทเสื้อผ้าสำเร็จรูปของอิตาลี ยื่นข้อเสนออย่างงามเพื่อติดต่อให้เขาเป็นนายแบบโฆษณาเสื้อผ้าของบริษัท! (มาร์กอสปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย)
ไม่ว่ามาร์กอสจะเป็นราฟาเอล กุยเญนจริงหรือไม่ เขาก็คือนักรบอีกคนหนึ่งที่เป็นผลผลิตของอุดมการณ์สังคมนิยม ปัญญาชนผิวขาวที่ต้องการวัดรอยเท้าของเช เกวารา ความเพ้อฝันทางการเมืองอย่างที่เอล ซุปเองเรียกว่า "พิษไข้ฝัน"
กว่าจะเป็นรองผู้บัญชาการมาร์กอส:
ราคาของพิษไข้ฝัน
ประมวลจากคำให้สัมภาษณ์ของตัวมาร์กอสเอง บวกกับข้อสันนิษฐานที่มีความเป็นไปได้
มาร์กอสมาถึงป่าลากันดอนในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1983 โดยก่อนหน้านี้มีรุ่นพี่ร่วมอุดมการณ์เดินทางมา
"ฝังตัว" ในเทือกเขานี้ก่อน ชายหญิงกลุ่มนี้มีอยู่ประมาณ 8-12 คน แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่เดือน
คนกลุ่มนี้เหลืออยู่เพียง 4 คน มาร์กอสเคยกล่าวว่า ใน 4 คนนี้เป็นชาย 3 หญิง
1 และเป็นชาวพื้นเมืองสองคน พวกเขามุ่งหวังที่จะสร้างกองทัพจรยุทธ์ตามแบบเหมาเจ๋อตุง
หรือฟิเดล คาสโตร โดยมีฐานมาจากชาวพื้นเมือง ในขณะเดียวกันก็กางตำราทหารของกองทัพอเมริกันเพื่อใช้ฝึกการรบ
"มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก" มาร์กอสรำลึกความหลังในสมัยแรก ๆ ที่เข้ามาอยู่ในป่าลากันดอน "โดยเฉพาะสำหรับคนที่มาจากในเมือง สิ่งเดียวที่ปลอบใจให้คุณอยู่รอดไปวัน ๆ คือความหวังว่าจะมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทุ่มเทลงไป มันเป็นความคาดหวังที่ไร้เหตุผล โง่เง่าอย่างที่สุด เพราะไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรโดยสิ้นเชิง ที่บอกว่าสิ่งที่เราทำอยู่จะสร้างผลลัพธ์อะไรขึ้นมา..."
ในความเชื่อของชาวพื้นเมือง ป่าดงดิบของลากันดอนเป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้า เป็นสถานที่ต้องห้าม แต่มาร์กอสค้นพบหลายสิ่งหลายอย่างมากกว่านั้น เขาต้องทำความรู้จักกับพิษสงของยุงเชเชมหรือ "นางหญิงร้าย" ที่กัดแต่ละทีทำเอาเป็นไข้ไปหลายวัน เขาต้องเรียนรู้ถึงอันตรายของงูบักเนหรือ "ไอ้สี่จมูก" และทนกินเนื้องูเมื่อหาอาหารอื่นใส่ท้องไม่ได้อีกแล้ว เขาต้องฝึกที่จะไม่หลงทางในป่าดงดิบ ที่กิ่งก้านของต้นไม้แผ่ครึ้มประดุจร่มสีเขียวขนาดใหญ่ ต้องเดินทางไกลไปตามเส้นทางทุรกันดาร ท่ามกลางสายฝนหลายต่อหลายชั่วโมงโดยแบกเป้หนัก 40 กิโลไว้ที่หลังและไม่มีการหยุดพัก ต้องหัดรัดเข็มขัดและอดมื้อกินมื้อครั้งละหลาย ๆ วัน
จุดหักเหทางความคิดของมาร์กอสเกิดขึ้นเมื่อเขารู้จักกับดอนอันโตเนียว หมอผีผู้เฒ่าชาวเผ่ามายา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปีแรก ๆ ที่เขาเข้ามาอยู่ในป่าลากันดอน มาร์กอสบอกว่าดอนอันโตเนียวเป็นคนที่ชักนำแกนนำของ EZLN (ชื่อย่อของกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติซาปาติสต้าในภาษาสเปน) ให้เข้าร่วมกับชุมชนชาวพื้นเมืองในปี ค.ศ. 1985
จากปากของดอนอันโตเนียว ได้หลั่งไหลตำนานปรัมปราของชาวเผ่ามายา ตำนานของเทพเจ้า ตำนานของคนผิวสีดิน ตำนานเหล่านี้ล้วนมีแก่นเรื่องอยู่ที่การยอมรับความแตกต่าง และไม่ลืมว่าความแตกต่างคือพื้นฐานของโลก. ความเข้มแข็งและอำนาจที่มาจากเบื้องล่าง ไม่ใช่จากเบื้องบน. เหตุผลเหนือการใช้กำลัง ฟังมากกว่าพูด ตั้งคำถามมากกว่าตอบ และยืนยันกับปัญญาชนเมสติโซผิวขาวว่า ในภาษาของชาวพื้นเมืองรัฐเชียปาส ไม่มีคำว่า "ยอมแพ้"
มาร์กอสเองก็ไม่ได้เป็นฝ่ายรับวิธีคิดของชาวพื้นเมืองแต่ถ่ายเดียว มันเป็นกระบวนการปะทะแลกเปลี่ยนทางความคิดที่ผลิดอกออกผลเป็นลัทธิที่เรียกกันว่า Zapatismo เขาผลักดันให้ชาวพื้นเมืองมองปัญหากว้างไกลออกไปจากบริบทแคบ ๆ ของตัวเอง รู้จักมองปัญหาท้องถิ่นผูกโยงเข้ากับปัญหาของระบบเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ เปิดตัวเองเพื่อจับมือกับภาคประชาสังคมอื่น ๆ รวมทั้งใช้เทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่อย่างอินเตอร์เน็ต เป็นอาวุธสงครามในการต่อกรกับรัฐบาล
รองผู้บัญชาการมาร์กอส ยังคงยืนยันความเป็นฝ่ายซ้าย เพียงแต่เขาไม่ได้ประกาศด้วยคำขวัญหรือสูตรสำเร็จทางทฤษฎีที่มีแต่คำยาก ๆ เขาเพียงแต่พูดง่าย ๆ ว่า "ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ธรรมชาติสร้างมนุษย์มาให้หัวใจตั้งอยู่ข้างซ้าย"
ชื่อ "มาร์กอส" เป็นชื่อจัดตั้ง ชาวซาปาติสต้าทุกคนจะมีชื่อจัดตั้ง หลายครั้งที่ชื่อจัดตั้งมักได้มาจากเกลอร่วมกองทัพที่เสียชีวิตในการรบ ว่ากันว่าชื่อ "มาร์กอส" ก็ได้มาเช่นนี้ แต่มีบางคนคิดไกลไปถึงขนาดว่า Marcos มาจากอักษรตัวต้นของเมืองหกเมืองที่ EZLN บุกเข้ายึดในการก่อกบฏวันที่ 1 มกราคม 1994 กล่าวคือ เมือง Margaritas, Altamirano, La Realidad, Chanal, Ocosingo และ San Cristobal
ส่วนตำแหน่ง "รองผู้บัญชาการ"
ยังเป็นที่ถกเถียงกันมาจนทุกวันนี้ มาร์กอสยืนยันหลายครั้งว่า EZLN อยู่ภายใต้การนำเป็นหมู่คณะของชาวพื้นเมือง
เขาย้ำว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดเป็นเพียงเสียงสะท้อนเจตจำนงของชาวซาปาติสต้า
สารและแถลงการณ์ทุกฉบับจะต้องผ่านการเห็นชอบและลงนามโดยคณะกรรมการใต้ดินปฏิวัติของชาวพื้นเมือง
(CCRI) ถึงขนาดมีข้อสันนิษฐานว่า มาร์กอสไม่สามารถไต่เต้าขึ้นไปสู่ระดับผู้บังคับบัญชาได้
เพราะเขาเป็นคนผิวขาว ซึ่ง
ขัดกับประเพณีพื้นเมืองที่คนระดับหัวหน้าต้องเป็นชาวอินเดียนแดงเท่านั้น
แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากไม่ยอมเชื่อ โดยเฉพาะสื่อมวลชนในสหรัฐอเมริกามักอุปโลกน์ให้เขาเป็นผู้นำของขบวนการตามวิธีคิดแบบเดิม ๆ ถ้าดูจากบทบาทตลอด 20 ปีที่ผ่านมาของเขา (10 ปีก่อนการปฏิวัติและ 10 ปีหลังการปฏิวัติ) เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า เขาน่าจะมีฐานะเป็นผู้บังคับบัญชา (Comandante) มีบทบาทในกองทัพซาปาติสต้าพอสมควร มีอิสระพอที่จะเขียนสารและแถลงการณ์ที่สะท้อนบุคลิกภาพของตนอย่างเด่นชัด แต่เขาไม่ใช่ผู้นำที่มีอำนาจตัดสินใจขั้นเด็ดขาดใน EZLN
แล้วหน้ากากสกีล่ะมาจากไหน?
ในการให้สัมภาษณ์ครั้งแรก หลังจากเขาตอบคำถามของผู้สื่อข่าวด้วยคำพูดเล่น ๆ ว่า
"คนที่หล่อกว่าก็ต้องปกป้องตัวเองหน่อยสิ" เขาอธิบายต่ออย่างจริงจังดังนี้:
"เรื่องของเรื่องก็คือ ในกรณีนี้ นายทหารคือคนที่ใส่หน้ากาก ด้วยเหตุผลสองประการ
ประการแรก คือ เราต้องระวังการทำตัวเป็นพระเอก กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ เราต้องไม่สร้างความเด่นให้ตัวเองมากเกินไป มันเป็นการทำตัวนิรนาม ไม่ใช่เพราะเรากลัว แต่พวกเขาจะได้ไม่มีทางติดสินบนเรา...เรารู้ว่าเรามีการนำเป็นหมู่คณะและเราต้องเชื่อฟังส่วนรวม... นั่นคือสิ่งที่ผมอยากให้คุณเข้าใจ ผมไม่ใช่ผู้นำตามแบบเก่า ไม่ใช่ผู้นำในภาพพจน์แบบนั้น
ประการที่สอง ภาพพจน์เดียวที่คุณน่าจะมีก็คือ คนที่ทำให้สิ่งนี้ (คือการปฏิวัติ) เกิดขึ้นคือคนที่ใส่หน้ากาก และจะต้องมีสักวันหนึ่งที่ประชาชนตระหนักว่า แค่มีศักดิ์ศรีก็เพียงพอแล้วและลุกขึ้นใส่หน้ากากพร้อมกับพูดว่า: เอาล่ะ ฉันก็ทำได้เหมือนกัน ฉันไม่จำเป็นต้องมีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น นี่คือความจริงและด้วยเหตุผล คุณไม่ควรเชื่อคำพูดที่ผมบอกว่าผมหล่อมาก เพราะนั่นเท่ากับผมกำลังโหมประโคมตัวเอง"
อำนาจวรรณกรรม
ตอนที่เอล ซุปเดินทางเข้าไปในป่าลากันดอนเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1983 เขาแบกหนังสือหลายเล่มใส่เป้หลังไปด้วย
เปล่า มันไม่ใช่หนังสือทฤษฎีการเมือง แต่เป็นนิยายเสียมากกว่า นิยายของการ์เบรียล
การ์เซีย มาร์เควซ, มาริโอ บาร์กัส โญซ่า, ฮูลิโอ กอร์เตซ่า ฯลฯ เรื่องหนังสือนี้สร้างความขบขันให้สหายร่วมกบฏเป็นอย่างมาก
พวกเขาตั้งใจสั่งสอนเมสติโซผิวขาวคนนี้โดยยืนยันว่า นอกจากหนังสือ มาร์กอสยังต้องแบกลูกปืน
อาหารและอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เป็นส่วนของตัวเองเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ
หนุ่มชาวเมืองวัย 27 ได้เรียนรู้กฎข้อแรกของชีวิตการเป็นนักรบจรยุทธ์: "หลังจากผ่านไป 1 ชั่วโมง น้ำหนัก 1 กิโล หนักเหมือน 2 กิโล พอผ่านไป 2 ชั่วโมง มันหนักเหมือน 4 กิโลและคุณอยากจะโยนไอ้ของเฮงซวยพวกนี้ทิ้งไปให้หมด"
แต่ความสามารถของมาร์กอสในการทำให้หนังสือกลายเป็นเรื่องเล่าที่มีชีวิตชีวาข้างกองไฟ ทำให้เกลอร่วมทัพเปลี่ยนใจ "ทุกครั้งที่ผมทิ้งหนังสือสักเล่ม ก็จะมีคนใดคนหนึ่งเสนอตัวมาแบกมันไปให้" ไม่นานนัก มาร์กอสก็กลายเป็นคนที่เพื่อนฝูงขาดไม่ได้ เขามีหน้าที่เขียนจดหมายรักให้เกลอนักรบกบฏทั้งหลาย
ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ไม่ว่าชาวซาปาติสต้าจะมีการฝึกฝนทางทหารอย่างดีเยี่ยม มีความกล้าหาญ มีแผนการรบ มีระเบียบวินัย แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองทัพเม็กซิกัน เครื่องบินรบไอพ่น ปืนติดเลเซอร์ ไปจนถึงเครื่องบินทิ้งระเบิด ทหารชาวนาเหล่านี้แตกพ่ายหนีกระเจิดกระเจิงหัวซุกหัวซุนเข้าไปในป่าลากันดอน ดังที่เอล ซุปพรรณนาว่า "เราหนีจนแทบตะกายขอบฟ้า"
ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนั้นเอง พูดได้ว่ามาร์กอสต่อกรกับกองทัพเม็กซิกันทั้งกองทัพเพียงคนเดียวโดด ๆ เขาเขียนแถลงการณ์ จดหมายเปิดผนึก บทกวี เล่านิทาน เล่าตำนาน ให้สัมภาษณ์ มันเป็นสงครามที่ปากกาด้ามเดียวสู้กับกองทัพเม็กซิกันทั้งกองทัพ (หรือพูดให้ถูกคือเวิร์ดโพรเซสเซอร์ เพราะมาร์กอสเขียนกับคอมพิวเตอร์) อย่างที่เขาพูดขำ ๆ ว่า
"งานของผมคือออกรบด้วยการเขียนจดหมาย"
ในสงครามแย่งชิงถ้อยคำ สงครามแย่งชิงมวลชน สงครามแย่งชิงทัศนคติของประชาชน รัฐบาลเม็กซิกันพ่ายแพ้ต่อเอล
ซุปราบคาบ หมดรูป
มีอะไรในสารของมาร์กอสที่จับใจชาวเม็กซิกันและคนอีกมากมายทั่วโลก? ข้อเขียนของเขาเป็นการหลอมรวมของกวีนิพนธ์กับการเมือง การอุปมาอุปไมยที่แยบคายกับการเสียดสีที่แหลมคม เขาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยภาษาง่าย ๆ ที่ทุกคนเข้าใจ บางครั้งคมคาย บางครั้งโกรธเกรี้ยว บางครั้งลึกซึ้งจับใจ และไม่เคยขาดอารมณ์ขัน เขามักอ้างถึงงานเขียนตั้งแต่คลาสสิกจนถึงสมัยใหม่ ตั้งแต่เช็คสเปียร์จนถึงลูอิส แคร์รอล, อุมแบร์โต เอโก และบีตเทิ่ลส์, กรัมชีและเบรชท์ แน่นอน คนที่ขาดไม่ได้เด็ดขาดคือ แซร์บันเตส ผู้ประพันธ์ดอน กีโฮเต้ อัศวินบ้าที่เอล ซุปบอกว่ามีอิทธิพลต่อเขาตั้งแต่ยังเด็ก
มาร์กอสผสมผสานภาษาภาพพจน์แบบตำนานปรัมปราของอินเดียนแดง ไว้ในแถลงการณ์ฉบับที่สอง เมื่อเดือนมิถุนายน 1994 "หันหน้าเข้าสู่เทือกเขา เราสนทนากับผู้ล่วงลับ เพื่อให้ถ้อยคำของพวกท่านนำทางเราไปตลอดเส้นทางที่เราต้องเดิน เสียงกลองสะท้อนก้องและในสุ้มเสียงของแผ่นดิน เราได้ยินความเจ็บปวดและประวัติศาสตร์ของเรา"
ใน The Story of Colors มาร์กอสใช้มุขปาฐะแบบพื้นบ้าน เล่าถึงต้นกำเนิดของสีต่าง ๆ "เทพเจ้าอีกตนหนึ่งกำลังค้นหาสี ก็พอดีได้ยินเสียงเด็กหัวเราะ เทพจับตัวเด็กคนนั้น คว้าเอาเสียงหัวเราะและปล่อยให้เด็กร้องไห้ นั่นคือสาเหตุที่คนพูดกันว่า เด็กชอบหัวเราะ แล้วอีกประเดี๋ยวก็ร้องไห้ เทพเจ้าขโมยเสียงหัวเราะของเด็กและตั้งชื่อสีที่เจ็ดว่าสีเหลือง" เมื่อเทพทั้งหมดเข้านอน เทพเจ้าติดสีทั้งเจ็ดสีที่เหลือไว้ที่หางนกแก้วมาคอว์ "เกลือกว่าผู้ชายกับผู้หญิงเกิดลืมไปว่าโลกนี้มีสีหลายสีและมีวิธีคิดหลายวิธี และโลกนี้ย่อมมีความสุข หากสีและวิธีคิดทั้งหมดต่างมีที่ทางของตัวเอง"
ทุกครั้งที่ให้สัมภาษณ์ เอล ซุปแสดงให้เห็นถึงปฏิภาณไหวพริบที่ถูกอกถูกใจนักข่าวยิ่งนัก ครั้งหนึ่ง พอถูกถามว่ามันเป็นเรื่องเพ้อฝันไปหรือเปล่า ที่คิดว่าซาปาติสต้าจะบุกไปถึงกรุงเม็กซิโกซิตี้? เขาตอบว่า "เราไม่ได้อยู่ที่นั่นมาตั้งแต่วันที่สองมกราคมหรอกหรือ? เราอยู่ทุกหนแห่ง บนริมฝีปากของทุกคน-ในรถไฟใต้ดิน ในวิทยุ แม้แต่ธงของเรายังติดอยู่ที่จัตุรัสโซกาโลเลย" จัตุรัสที่ว่านี้ตั้งอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล
ลีลาที่เป็นแบบฉบับเฉพาะตัวอีกอย่างของเอล ซุปคือ การพูดที่ดูเหมือนขัดกันเอง แต่แฝงไว้ด้วยความจริงอย่างลึกซึ้ง ในจดหมายลงวันที่ 6 มีนาคม 1994 ซึ่งเขาเขียนตอบคำถามของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง "อยู่มาวันหนึ่ง พวกเราตัดสินใจเป็นทหาร เพื่อว่าสักวันหนึ่งจะได้ไม่จำเป็นต้องมีทหารอีกต่อไป นั่นคือ เราเลือกอาชีพที่เหมือนฆ่าตัวตาย เพราะเป้าหมายของอาชีพนี้คือการสาบสูญ ทหารที่เป็นทหารเพื่อว่าสักวันจะได้ไม่ต้องมีใครเป็นทหารอีก ชัดเจนมากเลย จริงไหม?"
แต่ไม่ใช่ว่าเอล ซุปจะรู้จักแต่ล้อเล่น เขายังคงเป็นปัญญาชนที่มองปัญหาได้เฉียบขาด เป็นปัญญาชนคนแรก ๆ ที่วิจารณ์โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ และเชื่อมโยงมันเข้ากับความยากจนของประชาชนในซีกโลกใต้ "หลังการพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน มหาอำนาจตนใหม่ผุดโผล่ขึ้นมา โดยได้รับแรงกระตุ้นจากนโยบายเสรีนิยมใหม่ แม้ว่าผู้ชนะรายใหญ่ในสงครามเย็น (ซึ่งเราขอเรียกว่าเป็นสงครามโลกครั้งที่สาม) คือสหรัฐอเมริกา แต่มีมหาอำนาจตนใหม่เริ่มอุบัติขึ้นมาเหนือฝ่ายชนะและครอบงำฝ่ายชนะไว้ นั่นคือ มหาอำนาจทางการเงินที่เริ่มออกคำบัญชากำกับโลกทั้งโลก นี่ทำให้เกิดสิ่งที่เรามักเรียกกันกว้าง ๆ ว่า โลกาภิวัตน์
สำหรับโลกาภิวัตน์ อุดมคติคือทำให้โลกทั้งใบกลายเป็นบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่บริษัทเดียว มีกรรมการบริหารประกอบด้วยไอเอ็มเอฟ ธนาคารโลก กลุ่มประเทศโออีซีดี (องค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา) ดับเบิลยูทีโอ และประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ในสถานการณ์แบบนั้น รัฐบาลของประเทศอื่น ๆ จะมีหน้าที่เหลือเพียงแค่เป็นตัวแทนของกรรมการบริหาร จะเรียกว่า ผู้จัดการท้องถิ่นก็ได้"
ภาษาของเขาเป็นความแปลกใหม่ในการเมือง เป็นวิธีการใหม่ในการต่อสู้ทางการเมือง เป็นการผสมเสียงหัวเราะเข้ากับความแน่วแน่ ผสานความทะลึ่งตึงตังเข้ากับความจริงจัง ดึงตำนานให้มาบรรจบกับโลกสมัยใหม่ ภาษาในแบบของเอล ซุปนี่เองที่เป็นแรงบันดาลใจแก่นักประท้วงทั่วโลก ขบวนประท้วงองค์กรโลกบาลที่สนุกสนานราวกับงานคาร์นิวัลย่อย ๆ การแสดงความขัดขืนต่อลัทธิเสรีนิยมใหม่ด้วยละครข้างถนน ดนตรี การเต้นรำ การล้อเลียนป้ายโฆษณาของบรรษัทยักษ์ใหญ่ ฯลฯ นี่คือการแปลภาษาแบบเอล ซุปให้กลายเป็นภาษาของการปฏิบัติ การประท้วงที่ดูเหมือนล้อเล่น แต่ก็จริงจัง กัดไม่ปล่อยเพียงพอที่จะตามไปประท้วงทุกหนแห่งในโลก!
มาร์กอส : กับคนในโลกวรรณกรรม
ในโลกวรรณกรรม โดยเฉพาะในภาษาสเปน มาร์กอสถือเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่ง ภาษาที่เขาใช้คือ
ภาษาของคนที่ลุ่มลึกในภาษาสเปนคลาสสิก แต่บิดผันมันมาผสมกับภาษาสเปนแบบอินเดียนแดง
จนก่อให้เกิดท่วงทำนองและจังหวะลีลาใหม่ เขาเป็นที่นิยมยกย่องอย่างสูงในหมู่นักเขียนละตินอเมริกาและยุโรปที่ใช้ภาษาสเปน
โดยเฉพาะกลุ่มนักเขียนที่มีสำนึกทางสังคมเข้มข้น
- ออคตาเบียว ปาซ (Octavio Paz) นักเขียนรางวัลโนเบลของเม็กซิโก ที่แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับขบวนการซาปาติสต้าเท่าไรนัก ก็ยังยอมรับว่างานเขียนของมาร์กอสเป็น "ร้อยแก้วที่เปี่ยมไปด้วยจินตนาการและมีชีวิตชีวามาก"
- การ์เบรียล การ์เซีย มาร์เควซ นักเขียนรางวัลโนเบลของโคลอมเบียบอกว่า ซาปาติสต้าทำให้เขาอยาก "เอาหนังสือที่ผมเขียนทั้งหมดไปโยนทิ้งทะเล" เขาดั้นด้นไปถึงเม็กซิโกซิตี้เพื่อสัมภาษณ์รองผู้บัญชาการมาร์กอสในวาระที่เขาเดินทางครั้งประวัติศาสตร์เข้าสู่เมืองหลวงเมื่อปี ค.ศ. 2001- โฮเซ่ ซารามาโก นักเขียนรางวัลโนเบลชาวโปรตุเกส ยิ่งกว่าเต็มใจเขียนคำนำให้หนังสือชื่อ Our Word is Our Weapon ที่รวบรวมงานเขียนของมาร์กอส และปวารณาตัวว่าจะช่วยเหลือซาปาติสต้าทุกอย่างเท่าที่ทำได้
- การ์ลอส ฟูเอนเตส (Carlos Fuentes) นักเขียนนิยาย นักเขียนบทภาพยนตร์ นักปราชญ์และนักการทูตชาวเม็กซิกัน รวมทั้งเป็นนักวิจารณ์นโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคละตินอเมริกา กล่าวถึงมาร์กอสว่า "เขาเป็นคนดี ไม่มีข้อกังขา เขาเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ ผมชื่นชมเขา นิยมยกย่องเขาและกล้าพูดอย่างเปิดเผยด้วย"
- เอดัวร์โด กาเลอาโน (Eduardo Galeano) นักเขียนชื่อดังชาวอุรุกวัยที่เคยกล่าวปราศรัยสนับสนุนซาปาติสต้าในเมืองลา เรอัลลิดัด กล่าวว่า "ผมมาที่นี่เพื่อสนับสนุนชาวซาปาติสต้า เพราะในโลกที่เต็มไปด้วยความมดเท็จ ผมเชื่อและไว้วางใจในตัวพวกเขา"
ยังไม่นับการ์ลอส มองซีบาอิส (Carlos Monsivais) นักเขียน นักวิจารณ์ด้านวัฒนธรรมที่ได้รับความนิยมมากคนหนึ่งในเม็กซิโก และมานูเอล บาซเควซ มองตัลบัน (Manuel Vazquez Montalban) กวีและนักเขียนนิยายนักสืบชื่อดังของสเปน ก็เคยสัมภาษณ์มาร์กอสเช่นกัน (โดยเฉพาะรายหลัง นอกจากข้ามน้ำข้ามทะเลมาแล้ว ยังแบกไส้กรอกมาฝากเอล ซุปอีก 4 กิโลด้วย)
ถ้าหากคุณยังอยากรู้ว่ามาร์กอสคือใคร คำตอบของเอล ซุปคงช่วยให้หายสงสัย "...หากสิ่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างที่เรามุ่งหวังและสิทธิของชาวอินเดียนแดงได้รับการรับรองในที่สุด มาร์กอสจะเลิกเป็นรองผู้บัญชาการ เลิกเป็นผู้นำ เลิกเป็นตำนาน...ผู้คนทั้งหลายจะตระหนักว่า อาวุธสำคัญของซาปาติสต้าไม่ใช่ปืน แต่คือถ้อยคำ และเมื่อฝุ่นที่คลุ้งขึ้นมาจากการลุกฮือของเราซาลงไปแล้ว ประชาชนจะค้นพบสัจธรรมง่าย ๆ ประการหนึ่ง นั่นคือ ในกระบวนการต่อสู้และครุ่นคิดทั้งหมดนี้ มาร์กอสเป็นแค่นักต่อสู้อีกคนหนึ่งเท่านั้นเอง นั่นคือเหตุผลที่ผมพูดเสมอว่า
'หากคุณอยากรู้ว่ามาร์กอสเป็นใคร
อยากเห็นคนที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากาก จงหยิบกระจกขึ้นมาและส่องดูตัวเอง ใบหน้าที่คุณเห็นในกระจกนั่นแหละคือโฉมหน้าของมาร์กอส
เพราะเราทุกคนคือมาร์กอส'"
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

----------------------
รองผู้บัญชาการมาร์กอส
เรียบเรียงจาก
Subcomandante Insurgente Marcos, Our Word is Our Weapon, (edited by Juana Ponce de Le?n), New York: Seven Stories Press, 2002.
Tom Hayden (edit.), The Zapatista Reader, New York: Thunder's Mouth Press/Nation Books, 2002.
บทสัมภาษณ์และข้อเขียนส่วนใหญ่ของรองผู้บัญชาการมาร์กอสหาอ่านได้ใน http://flag.blackened.net/revolt/zapatista.htmlบทแปลคำสัมภาษณ์ระหว่างการ์เบรียล การ์เซีย มาร์เควซ และรองผู้บัญชาการมาร์กอส อ่านได้ที่เว็บไซท์วิทยาลัยวันศุกร์ http://www.fridaycollege.org/index.php?file=forum&obj=forum.view(cat_id=tr-war,id=31)
บทแปลงานเขียนของมาร์กอส "เรื่องเล่าของดอนอันโตเนียว: ตำนานของคำถาม" ซึ่งเล่าถึงเหตุการณ์ที่มาร์กอสพบกับดอนอันโตเนียวเป็นครั้งแรก อ่านได้ในนิตยสาร SCALE ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 มีนาคม-เมษายน 2547
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
I สารบัญเนื้อหา
5 I
สารบัญเนื้อหา
6
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
webboard (1)
webboard (2) ธนาคารนโยบายประชาชน
e-mail :
midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 1000 เรื่อง หนากว่า 17000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com


![]()
![]()

ข้อความบางส่วนจากบทความ
เขายังคงเป็นปัญญาชนที่มองปัญหาได้เฉียบขาด เป็นปัญญาชนคนแรก ๆ ที่วิจารณ์โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ
และเชื่อมโยงมันเข้ากับความยากจนของประชาชนในซีกโลกใต้ "หลังการพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน
มหาอำนาจตนใหม่ผุดโผล่ขึ้นมา โดยได้รับแรงกระตุ้นจากนโยบายเสรีนิยมใหม่ แม้ว่าผู้ชนะรายใหญ่ในสงครามเย็น
(ซึ่งเราขอเรียกว่าเป็นสงครามโลกครั้งที่สาม) คือสหรัฐอเมริกา แต่มีมหาอำนาจตนใหม่เริ่มอุบัติขึ้นมาเหนือฝ่ายชนะและครอบงำฝ่ายชนะไว้
นั่นคือ มหาอำนาจทางการเงินที่เริ่มออกคำบัญชากำกับโลกทั้งโลก นี่ทำให้เกิดสิ่งที่เรามักเรียกกันกว้าง
ๆ ว่า โลกาภิวัตน์
สำหรับโลกาภิวัตน์
อุดมคติคือทำให้โลกทั้งใบกลายเป็นบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่บริษัทเดียว มีกรรมการบริหารประกอบด้วยไอเอ็มเอฟ
ธนาคารโลก กลุ่มประเทศโออีซีดี (องค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา)
ดับเบิลยูทีโอ และประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ในสถานการณ์แบบนั้น รัฐบาลของประเทศอื่น
ๆ จะมีหน้าที่เหลือเพียงแค่เป็นตัวแทนของกรรมการบริหาร จะเรียกว่า ผู้จัดการท้องถิ่นก็ได้"
จากปากของดอนอันโตเนียว ได้หลั่งไหลตำนานปรัมปราของชาวเผ่ามายา ตำนานของเทพเจ้า ตำนานของคนผิวสีดิน ตำนานเหล่านี้ล้วนมีแก่นเรื่องอยู่ที่การยอมรับความแตกต่าง และไม่ลืมว่าความแตกต่างคือพื้นฐานของโลก. ความเข้มแข็งและอำนาจที่มาจากเบื้องล่าง ไม่ใช่จากเบื้องบน. เหตุผลเหนือการใช้กำลัง ฟังมากกว่าพูด ตั้งคำถามมากกว่าตอบ และยืนยันกับปัญญาชนเมสติโซผิวขาวว่า ในภาษาของชาวพื้นเมืองรัฐเชียปาส ไม่มีคำว่า "ยอมแพ้"