มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ

ก่อนหน้านี้ ร่างกายของมนุษย์เป็นเพียงเรื่องนามธรรม
วินัยและการลงโทษ
ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการลงโทษมีความเป็นมาอย่างไร ?
ใครเป็นผู้มีอำนาจในการใช้อำนาจนั้น
นักโทษทำไมต้องมีวินัย ระบบอุตสาหกรรมเกี่ยวข้องกับ
เรื่องนี้หรือไม่ ?

เท่าที่เราเคยได้ยินกันมา เกี่ยวกับการสอบสวนเพื่อค้นหาความจริง ทำไมต้องใช้วิธีการทรมานที่รุนแรง
และแรงขึ้นหากต้องการหลักฐานที่เป็นความผิดขั้นอุกฉกรรณ์ เรื่องนี้มีความเป็นมาอย่างไร ? การลงโทษสำหรับผู้กระทำความผิดถึงขั้นฉีกร่างกายออกจากกันด้วยม้า 4 ตัว แล้วกรอกด้วยตะกั่วร้อน เรื่องนี้เป็นจริงแค่ไหน ? และทำไมมนุษย์จึงทำร้ายร่างกายคนด้วยวิธีการเช่นนี้ เรือนร่างของมนุษย์และจิตวิญญานสัมพันธ์กันอย่างไร ? ใครเป็นผู้มีอำนาจในการทำเช่นนั้น ?

(เนื้อหาเรื่อง"วินัยและการลงโทษ มีความยาวประมาณ 10 หน้ากระดาษ A4)

introduction : Discipline & Punish

วินัยและการลงโทษ (Discipline & Punish)

Demiens ผู้ซึ่งได้ปลงพระชนม์กษัตริย์ ได้ถูกประณามสาปแช่งอย่างรุนแรง สำหรับความผิดอุกฉกรรณ์ที่เขากระทำลงไป เหตุการณ์ครั้งนี้เขาจักต้องชดใช้กรรมที่กระทำขึ้นต่อหน้าบานประตูใหญ่ของวิหารแห่งปารีส ในวันที่ ๒ มีนาคม ๑๗๕๗, และในวันเวลาดังกล่าวเขาก็ได้ถูกพาตัวมาบนหลังเกวียน โดยร่างกายมิได้สวมใส่อะไรเลยนอกจากเสื้อเพียงตัวเดียวเท่านั้น ในมือของเขาถือคบเพลิงที่ทำจากเชื้อขี้ผึ้ง ซึ่งมีน้ำหนักประมาณ ๒ ปอนด์ ถัดจากนั้นเขาก็ได้ถูกนำตัวลงมาจากหลังเกวียน และพาไปยังสถานที่ที่จะใช้เพื่อการชำระโทษ(the Place de Greve)

ณ สถานที่แห่งนั้น นั่งร้านขนาดใหญ่กว่าตัวเขาเล็กน้อยได้รับการสร้างขึ้น ร่างกายของเขาจะต้องถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ตั้งแต่แขนทั้งสองข้างที่จะถูกฉีกออกจากลำตัว โคนขาและน่องทั้งสองข้างก็จะถูกกระชากออกด้วยคีมใหญ่อันร้อนแดงด้วยไฟที่ระอุ มือข้างขวาที่ถือดาบ ซึ่งเขาได้สารภาพว่าเป็นมือที่ได้กระทำปิตุฆาต มันจะถูกเผารนด้วยความร้อนจากกำมะถัน

ณ สถานที่แห่งนั้น ร่างกายของ Damiens จะต้องชดใช้กรรม มันจะถูกฉีกออกจากกัน ร่างของเขาจะถูกลาดด้วยตะกั่วที่หลอมเหลว แล้วนำไปต้มด้วยน้ำมัน เผาไหม้ด้วยยางสน ขี้ผึ้ง และกำมะถันที่หลอมละลายผสมกัน หลังจากนั้น ร่างกายของเขาจะถูกดึงและถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนด้วยม้าสี่ตัว แขนขาของเขาและร่างกายจะถูกนำไปเผาไฟเพื่อให้มันกลายเป็นเถ้าถ่าน และเถ้าถ่านที่เหลือมาจากร่างของเขา จะถูกโปรยขึ้นไปกับสายลม ให้มันได้รับการพัดพาหายไปในอากาศ.

(มาถึงตอนนี้ ข้าพเจ้ารู้ว่า เสียงต่างๆฟังดูชัดเจนและดังพอ แต่เรื่องราวดังกล่าวถูกบอกโดยประจักษ์พยานทางสายตาที่ฟังดูสับสนและยุ่งเหยิง. ผลที่ปรากฎมันไม่ง่ายนักเลยที่จะฉีกเนื้อออกจากร่างด้วยคีมที่ถูกเผาโชนจนรุกแดง. ม้าหลายตัวซึ่งได้ถูกทึกทักว่าดึงแขนขาออกจากร่างกายของเขาออกเป็นชิ้นๆนั้น ก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ และไม่เคยได้มีโอกาสที่จะกระทำเช่นนั้นจริงๆแต่อย่างใด. คนที่ถูกประหารชีวิตโดยการแบ่งร่างกายออกเป็นชิ้นๆดังคำกล่าวอ้างข้างต้น จริงๆแล้ว เรือนร่างที่ปราศจากแขนขาของ Damiens ยังคงมีอยู่ครบถ้วน เมื่อมันได้ถูกโยนเข้าสู่กองไฟ.


เพื่อให้ได้มาซึ่งความจริง
ในการสอบสวน ก็ต้องใช้วิธีการทรมาน

(อ้า... ข้าพเจ้าทราบดีว่า ความรุนแรงหรือโหดร้ายอันนี้ มันทำให้รู้สึกร้อนรนและก่อให้เกิดปฏิกริยาอย่างไรในตัวคุณ คุณคงจะนึกไปว่า มาถึงทุกวันนี้เราได้เคลื่อนตัวไปไกลจากวัฒนธรรมหรือขนบประเพณีโบร่ำโบราณนั้นไปแล้ว ซึ่งเป็นความคิดเกี่ยวกับการลงโทษอย่างสาสม).

หลังจาก : 1837

Leon Faucher ได้เริ่มต้นสร้างตารางเวลาอันหนึ่งขึ้นมาสำหรับสถานคุมขังในกรุงปารีส: นั่นคือ "วันหนึ่งๆของนักโทษ จะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนเช้าเวลา ๖ นาฬิกาในช่วงฤดูหนาว และตอนตี ๕ ในช่วงฤดูร้อน; บรรดาพวกนักโทษจะต้องทำงานวันละ ๙ ชั่วโมงตลอดทั้งปี: ส่วนเวลาประมาณสองชั่วโมงต่อวัน จะถูกอุทิศให้กับการศึกษา. การทำงานและวันหนึ่งๆจะสิ้นสุดลงเวลา ๒๑ นาฬิกาในช่วงฤดูหนาว และ ๒๐ นาฬิกาในช่วงฤดูร้อน.

"เวลาตื่นนอน, ทุกคนจะต้องลุกขึ้น เมื่อได้ยินเสียงกลองรัวขึ้นครั้งแรก, นักโทษจะตื่นขึ้นพร้อมกันและแต่งตัวด้วยความเงียบ ขณะที่ผู้คุมนักโทษจะเปิดประตูห้องขังออก. และเมื่อเสียงกลองรัวครั้งที่สองดังขึ้น พวกเขาจะต้องแต่งตัวให้เสร็จและจัดเตียงให้เรียบร้อย. พอมาถึงเสียงกลองรัวชุดที่สาม, พวกนักโทษจะต้องเข้าแถวและเริ่มเดินแถวไปยังโรงสวดพิธีทางศาสนา เพื่อสวดมนต์เช้า. นักโทษเหล่านี้จะมีเวลาแต่ละช่วงของเสียงกลองรัว เพียงช่วงละ ๕ นาทีเท่านั้น"

และก็ดำเนินไปตามเวลาที่ได้วางเป็นตารางเอาไว้เรียบร้อยแล้วไปเรื่อยๆ ดังนั้น เวลาทุกๆวินาทีจึงได้รับการวางหรือกำหนดเอาไว้อย่างรัดกุม.

สำหรับตัวอย่างที่ยกมาเกี่ยวกับการลงทัณฑ์ทั้งสองกรณีนี้(การฉีกร่าง, และการมีตารางปฏิบัติงานของคนโทษ) ไม่ได้นำมาใช้กับอาชญากรรมอย่างเดียวกัน หรือกับความผิดทางอาญาประเภทเดียวกัน. ทว่าในแต่ละกรณี ถือเป็นตัวอย่างเกี่ยวกับวิธีการของการลงโทษ และอันหนึ่งนั้นดูเหมือนว่าจะคุ้นเคยหรือพบเห็นเสมอ ขณะที่อีกอันหนึ่งค่อนข้างจะแปลกไม่คุ้นเคยเอาเลย. อะไรล่ะที่เป็นสาเหตุแห่งความเปลี่ยนแปลงอันนี้ ? คุณสามารถที่จะมองไปที่การถือกำเนิดขึ้นมาของวัฒนธรรมสมัยใหม่ หรืออาจจะกล่าวว่า สังคมได้กลายไปเป็นสังคมซึ่งมีมนุษยธรรมมากขึ้น ในช่วงวันเวลาที่เปลี่ยนแปรไป.

เช่นดังที่ Foucault ทำ, …ใช่ คุณสามารถจ้องมองไปยังสิ่งที่ยกขึ้นมาข้าต้นนี้ได้ ในฐานะที่เป็นการเปลี่ยนแปลงอันหนึ่งในการใช้อำนาจอย่างเป็นระบบในสังคมหนึ่ง และบันทึกลงไปได้เลยว่า การลงทัณฑ์ในแบบที่สองนั้น อาจไม่ได้เสนอหรือบ่งชี้ว่า การใช้อำนาจนั้นมันได้ลดน้อยถอยลงไปแต่อย่างใด: มันเป็นการควบคุมอย่างระมัดระวังเกี่ยวกับทุกๆฝีก้าวของชีวิต ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นการปฏิบัติที่สมบูรณ์มากอันหนึ่งของอำนาจ

เมื่อเราต้องประหารชีวิตใครสักคนหนึ่งตอนนี้ เราจะดูแลเอาใจใส่เขาคนนั้นเป็นอย่างดี และให้การประหารนั้นเป็นไปด้วยความรวดเร็วและปราศจากความเจ็บปวด.
แน่นอน, สังคมอาจจะฆ่าผู้คนได้, แต่สังคมไม่จงใจหรือตั้งใจที่จะสร้างความเจ็บปวดให้กับใครแต่อย่างใด.

การ ลงโทษอาชญากร
เปลี่ยนแปลงไปจากการทรมาน
มาสู่แนวคิดของการใช้หนี้กรรม

Foucault มีความเชื่อว่า ด้านที่สำคัญอย่างยิ่งของประวัติศาสตร์ได้ถูกละเลยหรือเมินเฉย; ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งนั้น ในประวัติศาสตร์ตามขนบธรรมเนียมได้มีการปฏิบัติกับผู้คนในฐานะสิ่งที่ชีวิตที่เป็นนามธรรม, และไม่ค่อยจะมองมนุษย์ว่ามีเรือนกาย. แต่ถ้าหากคุณมองว่ามนุษย์ โดยเฉพาะในเรือนร่างของพวกเขา ได้ถูกควบคุมดูแล บางทีในวิธีการที่ละเอียดอ่อน, โดยรัฐ, และโดยสถาบันต่างๆที่เชื่อมโยงกับรัฐน้อยลงมา, ก็จะพบว่า การเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ทั้งหมดได้เกิดขึ้นมาในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ ๑๘ เป็นต้นมา.

ความสำคัญของความเจ็บปวด(The Importance of Pain)

ก่อนหน้านั้น, ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานเป็นเรื่องที่ค่อนข้างปกติมาก ซึ่งบางครั้งมันเป็นกำหนดนิยามเกี่ยวกับการลงโทษเลยทีเดียว.

การทรมานเป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งอันหนึ่งเกี่ยวกับการสืบสวน-สอบสวน, และการทรมานในช่วงระหว่างที่มีการสอบสวนก็เป็นส่วนหนึ่งของการลงโทษด้วย. มาถึงตรงนี้ เราอาจตั้งข้อสงสัยว่า "อะไรกัน ? ทำไมการลงโทษจึงเริ่มต้นขึ้น ก่อนที่จะมีการสอบสวนเสร็จสิ้นลงไปได้ล่ะ ? บุคคลคนนั้นยังคงไม่ได้มีความผิดแต่อย่างใดเลย มิใช่หรือ ?"

สมัยก่อน ความผิดไม่ได้ถูกมองเช่นนั้นทั้งหมดหรือไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสียทีเดียว.

แน่นอน ผู้คนไม่ได้เป็นผู้บริสุทธิ์หรือมีความผิด, เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงไม่ได้บริสุทธิ์จนกว่าได้รับการพิสูจน์ว่าไม่ผิด. สำหรับการทดสอบเพียงเล็กน้อย จะกระทำกับคนที่มีความผิดเพียงเล็กน้อย, ซึ่งอาจดูสมเหตุสมผลกับเรื่องการทรมานเพียงเล็กน้อย ก็จะได้พยานหลักฐานเพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อย. คนๆหนึ่งนั้นอาจจะเป็นวัตถุของความสงสัย และเป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากมลทินหรือข้อสงสัยก็ได้ แต่ต้องผ่านการพิสูจน์.

หลังจากที่มีการทดสอบและสอบสวนแล้ว, ปัจจัยเกี่ยวกับการแสดงต่อสาธารณะจะได้รับการผนวกเข้ามาด้วย. อาชญากรรมใดๆก็ตามที่ถือว่าเป็นการคุกคามอันหนึ่งต่ออำนาจของกษัตริย์ กษัตริย์ก็จะทรงมีอำนาจสิทธิ์ขาดอันนั้นที่จะลงโทษสาธารณชน และการลงทัณฑ์จะถูกนำมาใช้เพื่อแสดงให้เห็นถึงการลงโทษที่เป็นไปในลักษณะของการแก้แค้น(vengeance) และเป็นการฟื้นฟูระเบียบกฎเกณฑ์ขึ้นมา.

แต่ในช่วงศตวรรษที่ ๑๘, บรรดานักปรัชญาทั้งหลายต่างคิดกันว่า ความต้องการที่จะก่อให้เกิดความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมสำหรับรัฐบาลต่างๆ, กลุ่มคนหรือฝูงคนที่มาดูภาพเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานและความตาย เริ่มที่จะกลายเป็นฝูงชนที่ไม่อาจควบคุมได้มากขึ้นๆเรื่อยๆ. ดังนั้น บางสิ่งบางอย่างจะต้องได้รับการแก้ไขและเปลี่ยนแปลงไป.

(คำพูดในลูกโป่ง) ข้าพเจ้าเรียกอันนี้ว่าศาสตร์ของระเบียบวินัย

มาถึงตรงนี้ เราจะต้องสลับไปยังฉากอีกฉากหนึ่ง ซึ่งอยู่นอกเหนือไปจากระบบการลงโทษ, ที่ซึ่ง, ในระหว่างนั้น, เป็นวิทยาศาสตร์ใหม่สาขาหนึ่งเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง -จริงๆแล้วคือวิศวกรรมศาสตร์- ปัจเจกชนได้พัฒนาในเรื่องของการทหาร, โรงเรียน, โรงพยาบาล, บ้านคนบ้า(โรงพยาบาลบ้า), บ้านคนจนหรือสถานสงเคราะห์, และโรงงานต่างๆขึ้นมา.

 

อาชญากรรม ถือเป็นการคุกคาม
ต่ออำนาจของกษัตริย์
ดังนั้นพระองค์จึงมีพระราชอำนาจ
ในการลงโทษผู้คนที่ทำผิด
เพื่อฟื้นฟูระเบียบขึ้นมาใหม่


ในที่นี้คือหลักการต่างๆของวิทยาศาสตร์ใหม่:

1. Spatialization(การมีอัตลักษณ์เกี่ยวกับพื้นที่ว่าง). ทุกๆคนจะมีที่ทางอันหนึ่งสำหรับตัวเอง, และทุกๆคนจะต้องอยู่ในที่ทางของตน. ที่ซึ่งใครคนหนึ่งได้รับการบ่งชี้หรือระบุว่า เขาคือใครและเป็นอะไร, อย่างเช่น ในตึกคนไข้ หรือในโรงเรียนต่างๆ ที่ที่นักเรียนที่ดีที่สุดเคลื่อนมาอยู่ที่หน้าชั้นเรียน เป็นต้น.

2. เวลาจะทำหน้าที่ควบคุมกิจกรรมต่างๆ (minute control of activity)(โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ตารางเวลามาควบคุม) (ภาพประกอบ) ยกตัวอย่างเช่น ตารางเวลาที่กำหนดใช้กันภายในโรงเรียน: นั่นคือ เวลา 8.00 ถึง 8.20 เป็นช่วงเวลาของการอ่านหนังสือ. 8.20 ถึง 8.40 จะเป็นช่วงเวลาของการคัดลายมือ. 8.40 ถึง 9.00 เป็นช่วงเวลาที่ฝึกสะกดคำศัพท์ให้ถูกต้อง. 9.00 จะเป็นช่วงเวลาที่มีการทดสอบครั้งที่หนึ่ง. เวลาหยุดพักจะเริ่มจาก 9.30 ถึง 9.45 และช่วงระหว่างเวลานั้น นักเรียนจะได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องเรียนได้และไปเล่นกับเพื่อนๆ เป็นต้น

3. การฝึกฝนซ้ำๆหลายๆครั้ง(repetitive exercises) การฝึกกระทำซ้ำๆจะต้องเป็นทั้งมาตรฐานและเป็นส่วนตัว ตามอัตราของความก้าวหน้า. การทำซ้ำที่มากพอจะสร้างปฏิกริยาต่างๆอย่างอัตโนมัติเกี่ยวกับการกระตุ้นผลักดันขึ้นมา… หลังตรง, ยกมือขึ้น, เอานิ้วชี้ตาม C.E.G.C.G.E.C. อีกครั้ง, และอีกครั้ง, และอีกครั้งหนึ่ง. ไม่, Josie เธอไม่ได้ยกนิ้วชี้ตามตลอดเวลา, ให้เธอทำแบบฝึกหัดมา ๒๐ จบ.

4. การจัดลำดับชั้นสูงต่ำที่กระทำกันอย่างละเอียด (detailed hierarchies) ลูกโซ่อันสลับซับซ้อนอันหนึ่งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่และการฝึกฝน. แต่ละระดับของการแบ่งลำดับชั้นสูงต่ำจะคอยเฝ้าดูลำดับชั้นที่ต่ำกว่าลงมา

5. การพิจารณาตัดสินในความเป็นปกติ (normalizing judgment) นั่นคือ, การวิเคราะห์อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับระเบียบวินัย เฝ้าระวังไม่ให้เกิดการเบี่ยงเบนไปทางใดจากความเป็นปกติ.

ตามขนบประเพณี กฎหมายต่างๆได้รับการประกาศออกมาเพียงในรูปของศัพท์ที่เป็นไปในเชิงนิเสธเท่านั้น. มันได้วางข้อจำกัดต่างๆเอาไว้ในเรื่องของพฤติกรรมและการตัดสินสิ่งที่ไม่เป็นที่ยอมรับ. แต่กฎหมายไม่ค่อยจะได้มีการพูดถึงพฤติกรรมอะไรที่เป็นที่ปรารถนา. ในฐานะที่เป็นรูปแบบหนึ่งของอำนาจ, กฎหมายจะทำหน้าที่ป้องกัน, แต่ไม่ได้ระบุลงไปในรายละเอียด.

อำนาจของระเบียบวินัยเป็นเรื่องซึ่งแตกต่างกันมาก: นั่นคือไม่เพียงแค่ลงโทษเท่านั้น, แต่ยังให้รางวัลด้วย. มันจะให้ดาวทองสำหรับคนที่มีพฤติกรรมที่ดี. ส่วนแนวโน้มใดๆก็ตามสำหรับการละเมิดหรือฝ่าฝืนต่อคำสั่ง ใครก็ตามที่ฝ่าฝืน จะถูกนิยามไม่เพียงว่าเป็นคนเลวเท่านั้นแต่ยังเป็นคนที่ไม่ปกติด้วย. อันนี้เป็นการใช้ประโยชน์ที่ละเอียดอ่อนมากเกี่ยวกับเรื่องของอำนาจ และทำให้ลำดับการของความเป็นปกติแข็งแรงขึ้น ซึ่งสวนทางกันกับเรื่องอื่นๆทั้งหมด.

 

เวลาจะทำหน้าที่ควบคุมสิ่งต่างๆ
เช่นในชั้นเรียน จะมีการแบ่งเวลาว่า
ช่วงใดนักเรียนควรทำอะไร

การฝึกฝนซ้ำๆ เชื่อว่าจะช่วยทำให้เกิด
ความก้าวหน้า

 

ไม่มีสถานที่ใดอีกแล้วในรูปของสถาบัน ที่ใช้ประโยชน์เกี่ยวกับแนวคิดเรื่องความเป็นปกติที่ได้ถูกนำมาใช้ในเชิงเทคนิคอย่างเต็มที่มากไปกว่าในโรงพยาบาลบ้า. โรงพยาบาลบ้าในทุกวันนี้คือกลุ่มตึกคนไข้หนึ่ง ซึ่งมีการแบ่งเกรดและการคัดเกรดจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ทั้งนี้จะกระทำโดยผ่านการกระทำหรือพฤติกรรมของคนไข้ทำดี, ทำในสิ่งที่เหมาะสม, หรือมีพฤติกรรมที่ดูเป็นปกติ, ซึ่งได้รับการนิยามขึ้นมาโดยอำนาจของสถาบันดังกล่าว.

นวัตกรรมใหม่ๆเกี่ยวกับอำนาจของระเบียบวินัยทั้งหมดได้มารวมเข้าด้วยกันในนวัตกรรมทางสถาปัตยกรรมอันหนึ่ง ที่เรียกว่า The Panopticon (ซึ่งคำๆนี้หมายถึง การแสดงให้เห็นทั้งหมดในการมองเพียงครั้งเดียว) (ภาพประกอบ)

ศีลธรรมจรรยาได้รับการปฏิรูป - สุขภาพได้รับการปกปักษ์รักษา - อุตสาหกรรมได้รับการทำให้เข้มแข็งขึ้น - การศึกษาหรือการเรียนการสอนได้รับการแพร่กระจายไปทั่ว - ภาระของสาธารณชนได้รับการแบ่งเบาลง - เศรษฐกิจได้ถูกนำมาวัด - ปัญหาหรือเงื่อนปมอันยากลำบากเกี่ยวกับกฎหมายซึ่งไม่ดีพอหรือเลวๆ ไม่ได้ถูกตัดออกไป แต่ได้รับการผ่อนคลายลง - ทั้งหมดโดยไอเดียง่ายๆธรรมดาอันหนึ่งในทางสถาปัตยกรรม ! " (จากบทนำใน Panopticon โดย Jeremy Bentham [1748-1832])

ไอเดียอันนี้ก็คือว่า ทุกๆคนได้รับการแยกออกมาอยู่ในห้องเล็กๆ, ที่ที่พวกเขาทั้งหมดจะได้ถูกสังเกตุหรือเฝ้ามองได้ตลอดเวลา โดยผ่านสายตาของคนๆหนึ่งที่อยู่ ณ จุดกึ่งกลางของอาคาร. ตัวอาคารนี้จะได้รับการจุดโคมไฟรายรอบตามแนวโค้ง เพื่อว่าแต่ละคนจะได้ถูกมองเห็นได้อย่างชัดเจนโดยผู้สังเกตุการณ์ที่อยู่ตรงกลาง แต่ผู้ที่อยู่ในตัวอาคารแต่ละห้องนี้จะไม่สามารถมองเห็นผู้สังเกตุการณ์ได้ และจะไม่เห็นคนอื่นๆที่อาศัยอยู่ด้วยกัน. Bentham ได้นึกถึงแนวคิดพื้นฐานอย่างเดียวกันนี้สำหรับโรงงานต่างๆ, โรงเรียน, โรงทหาร, โรงพยาบาล, และโรงพยาบาลบ้า.

 

ขณะที่ระเบียบวินัยกำลังได้รับการพัฒนาอยู่ในแบบต่างๆกันที่ยกมาเหล่านี้, การลงโทษก็กำลังได้รับการเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน.

ระบบที่มีศูนย์กลางอยู่บนความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน และการลงโทษโดยมีการแสดงต่อหน้าสาธารณชนกำลังถูกโจมตีจากบรรดานักทฤษฎีทางสังคมทั้งหลาย แต่มันมีความสำคัญมากขึ้น, การแสดงต่อหน้าผู้ชมต่างๆกำลังเป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้ กลายเป็นจุดสำหรับการก่อความไม่สงบหรือการจลาจลทางการเมืองต่างๆขึ้นมา (คล้ายกับการจลาจล the Rodney King riots), และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิวัติฝรั่งเศส, ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่รุนแรงได้รับการหลีกเลี่ยงจากความไม่สงบและการจลาจลทางการเมือง.

ระบบทั้งหมดเกี่ยวกับการลงโทษค่อยๆมีการเปลี่ยนแปลงและทำให้ชัดเจนขึ้นมาอย่างระมัดระวัง มาเป็นการลดโทษลงเหลือการลงโทษเพียงอย่างเดียวสำหรับอาชญากรรมทั้งหมด: นั่นคือ การจำคุก. ซึ่งอันนี้ พวกเราได้นำเอาไอเดียดังกล่าวมาใช้จนกระทั่งทุกวันนี้.

มันเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงได้ ทั้งนี้เพราะมันเป็นเรื่องที่ใหม่. การจำคุกมิได้ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นการลงโทษหรือแก้แค้น แต่มันหมายถึงการจับกุมคุมขังบุคคลเหล่านั้น นับตั้งแต่การสอบสวนด้วยเหตุอันชวนสงสัยที่มีต่อคนๆนั้น และกำลังคาราคาซังอยู่, ส่วนในเรื่องของกักตัวก็กระทำในฐานะที่บุคคลคนนั้นคือผู้เป็นหนี้ พวกเขาจะถูกกักจนกว่าพวกเขาจะได้ชดใช้หนี้ของพวกเขาจนหมดสิ้นแล้ว.

ทำไมจึงจับเอาใครบางคนเข้าคุก เพื่อทำให้เขากลายเป็นคนดี ? ทำไมคุณต้องปิดบังหรือซ่อนเร้นความผิดกันล่ะ ? คุณกำลังทำอะไรกับพวกเขา ? การจับเอาพวกอาชญากรทั้งหลายมาอยู่ด้วยกัน พวกเขาจะสร้างเครือข่ายอาชญากรรมขนาดใหญ่ขึ้นมา. การพรากอิสรภาพของใครคนหนึ่งออกไป จะไม่สอนเขาให้กระทำการใดๆในฐานะเสรีชนได้เลย. นั่นคือการลงโทษล่ะหรือ ? พวกคนเหล่านี้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เหนือกว่าคนจนๆที่ซื่อสัตย์เสียอีก. (ข้อสงสัยและคำถามของผู้คนต่อการเปลี่ยนแปลงการลงโทษในยุคนั้น)

Back to Midnight's Home Go to History of Sexuality

 

 

สถาปัตยกรรมแบบของโลก
อุตสาหกรรม

นวัตกรรมใหม่ทางสถาปัตยกรรม
The Panopticon
ได้เข้ามามีส่วนในเรื่องระเบียบวินัย

ทุกคนจะถูกเฝ้าดูจากสายตาคู่หนึ่ง
ขณะเดียวกัน ผู้ถูกเฝ้าดูไม่สามารถ
มองเห็นสายตาคู่นั้นได้

ระบบคุกเป็นการเตรียมคนในแบบ
อุตสาหกรรม เพื่อให้แรงงานเหล่านี้
กลับเข้าสู่ระบบดังกล่าวได้

พวกเขาจะได้รับการฝึกอาชีพ