H

เว็ปไซค์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ทางเลือกเพื่อการศึกษาสำหรับสังคมไทย เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน สมดุล และเป็นธรรม : ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2543

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ


Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ

สนใจสมัครเป็นสมาชิก
กรุณาคลิก member page
ส่วนผู้ที่ต้องการดูหัวข้อบทความ
ทั้งหมด ที่มีบริการอยู่ขณะนี้
กรุณาคลิกที่ contents page
และผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
หรือประกาศข่าว
กรุณาคลิกที่ปุ่ม webboard
ข้างล่างของบทความชิ้นนี้

หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
midnightuniv(at)yahoo.com

สำหรับปัญญาชน ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มันแทบจะกลายเป็นภารกิจไปแล้ว ปัญญาชนมักฝังตัวอยู่กับสถาบันที่ครองอำนาจ อภิสิทธิ์ และชื่อเสียงของปัญญาชนได้มาจากการปรับตัวให้เข้ากับผลประโยชน์ของศูนย์อำนาจ โดยมักหุ้มเปลือกภายนอกด้วยท่าทีวิพากษ์วิจารณ์ แต่ในขอบเขตที่จำกัดมาก (นอม ชอมสกี)

ถาม: ในงานเขียนของคุณ คุณบอกว่าโลกนี้ถูกปกครองโดย "วุฒิสภาเสมือน" (virtual senate) คุณช่วยขยายความเรื่องนี้หน่อยได้ไหม?

นอมชอมสกี: คำ ๆ นี้ไม่ใช่ของผม ผมยืมมาจากงานเขียนของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ "วุฒิสภาเสมือน" ประกอบด้วยนักลงทุนและผู้ให้กู้ คนเหล่านี้สามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินนโยบายทางเศรษฐกิจและสังคมด้วยการทำให้เงินทุนไหลออกนอกประเทศ (capital flight) โจมตีค่าเงินเพี่อทำลายรากฐานทางเศรษฐกิจ รวมทั้งวิธีการอื่น ๆ ที่โครงสร้างเสรีนิยมใหม่เอื้อให้เกิดขึ้นในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา

QUOTATION

บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ 308 หัวเรื่อง
บทสัมภาษณ์ : นอม ชอมสกี
คัดลอกมาจาก website fridaycollege.org

แปลและเรียบเรียงโดย ภัควดี
บทความนี้เคยคัดลอกเผยแพร่แล้ว บนเว็ปบอร์ดมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

(บทความนี้ยาวประมาณ 5 หน้า)
หากนักศึกษาหรือสมาชิก ประสบปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลดขนาดของ font ลง จะแก้ปัญหาได้

บทความของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน สามารถคัดลอกไปใช้ประโยชน์ทางวิชาการได้ กรุณาแจ้งให้ทราบที่
midnightuniv(at)yahoo.com

280946
release date
เรามักให้เกียรติปัญญาชนที่ตระหนักว่า "หน้าที่ประการแรกคือจับตาดูประเทศของตัวเอง" และมันน่าสนใจที่ไม่เคยมีใครขอคำอธิบายเลย เพราะในกรณีของศัตรูที่เป็นทางการ ความจริงก็คือความจริง แต่พอเอาความจริงนี้มาใช้กับตัวเราเองสิ เมื่อนั้นแหละที่มันกลายเป็นปัญหา
มันก็ดีอยู่หรอกที่จะพูดถึงอาชญากรรมของเจ็งกิสข่าน แต่พูดไปแล้วก็ทำอะไรไม่ได้มาก (นอม ชอมสกี้ - 29 สิงหาคม 2003)
ฟูโกต์เป็นกรณีที่น่าสนใจ เพราะผมแน่ใจว่า เขาต้องการอย่างจริงใจที่จะบ่อนทำลายรากฐานของอำนาจ แต่ผมคิดว่าด้วยข้อเขียนของเขา เขากลับหนุนเสริมอำนาจ วิธีเดียวที่จะเข้าใจฟูโกต์ได้ คือคุณต้องเป็นนักศึกษาปริญญา หรือเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัย และได้รับการอบรมในวิธีการของวาทกรรมแบบนั้นโดยเฉพาะ มันอาจไม่ใช่จุดประสงค์ของฟูโกต์ แต่นั่นเป็นวิธีหนึ่งที่รับประกันได้เลยว่า ปัญญาชนจะมีอำนาจ ชื่อเสียงและอิทธิพล ถ้าคุณพูดเรื่องไหนได้ง่าย ๆ ก็ควรพูดง่าย ๆ ช่างไม้ที่อยู่ข้างบ้านจะได้เข้าใจ เรื่องที่เกี่ยวกับมนุษย์เป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายมาก

สัมภาษณ์นอม ชอมสกี: ปัญญาชน
29 สิงหาคม 2003
ภัควดี : แปล

ถาม: ปีที่แล้ว เรามีงานสัมมนากันครั้งหนึ่ง จัดโดยนักศึกษาซึ่งตั้งชื่อว่า Genealogy of Dominion (การสืบค้นอย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับการครอบงำ) เราศึกษา Max Stirner, Giorgio Agamben, มิเชล ฟูโกต์, Etienne De la Boetie และ Hannah Arendt ฉันศึกษาหนังสือของ Max Stirner เรื่อง the Ego and Its Own เขาเชื่อว่าภาษามีผลต่อการบ่มเพาะทางความคิด เพราะถ้อยคำส่งผลโดยตรงต่ออุดมการณ์ ดังนั้น ตามความคิดของ Stirner คุณต้องปลดเปลื้องตัวเองจากภาษาแบบนี้และสร้างการกบฏส่วนบุคคล ไม่ใช่การปฏิวัติ. นี่เป็นสิ่งที่แตกต่างจากแนวความคิดเกี่ยวกับภาษาของคุณ ซึ่งเห็นว่าภาษามีอิสระและสร้างสรรค์ ฉันอยากรู้ว่าคุณคิดอย่างไรในเรื่องนี้

นอมชอมสกี: ผมคิดว่า Stirner กำลังสับสนระหว่างภาษากับการใช้ภาษา ผมหมายความว่า มันคล้ายกับการถามว่า คุณต้องปลดเปลื้องตัวเองจากค้อน เพราะค้อนอาจถูกคนอื่นเอามาใช้ทรมานคุณ จริงอยู่ ค้อนอาจถูกนำมาใช้ทรมานคน แต่ค้อนก็เอามาใช้สร้างบ้านได้เหมือนกัน การใช้ค้อนเป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสนใจ แต่ภาษาอาจถูกนำมาใช้เพื่อกดขี่ เพื่อปลดปล่อย เพื่อเบี่ยงเบน มันคล้ายกับการพูดว่า คุณต้องปลดปล่อยตัวเองจากมือ เพราะมืออาจถูกเอามาใช้กดผู้คนไว้ แต่มันไม่ใช่ความผิดของมือสักหน่อย

ถาม: นักกิจกรรมฝ่ายซ้ายนั้นอยู่ยากในสหรัฐอเมริกา ฉันไม่รู้สึกสบายใจในประเทศของคุณ การเคลื่อนไหวทางสังคมในสหรัฐอเมริกามีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง?

นอมชอมสกี: สถานการณ์มีความซับซ้อนจริง ๆ เราไม่มีกลุ่มพลังที่มีฐานเป็นชนชั้นแรงงาน และไม่มีพรรคการเมืองที่มีฐานเป็นชนชั้นแรงงาน ประชาชนต่างคนต่างอยู่โดยสิ้นเชิง และการขาดความสัมพันธ์กันเช่นนี้เป็นปัญหาอย่างแท้จริง อย่าลืมว่าขบวนการมาร์กซิสต์ไม่เคยเข้มแข็งมากนักในสหรัฐอเมริกามาตลอดประวัติศาสตร์ เคยมีบรรยากาศที่นักลัทธิมาร์กซิสต์อิสระบางคนมีอิทธิพลอยู่บ้าง แต่สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ

เราต้องนึกถึงเงื่อนไขอีกอย่างหนึ่งด้วย นั่นคือ รัฐบาลสหรัฐฯ เป็นกลุ่มหัวรุนแรงและชาตินิยมสุดขั้ว โดยมีความคล้ายคลึงบางอย่างกับลัทธิฟาสซิสต์ในยุโรป กลุ่มพลังนี้ประกาศถึง "ความทะเยอทะยานแบบจักรวรรดินิยม" โดยอาศัยความเหนือกว่าอย่างล้นเหลือในด้านการทหาร และยังทุ่มเทจนเลยเถิดเพื่อตอบสนองความต้องการของส่วนเสี้ยวเล็ก ๆ ในภาคเอกชนที่ร่ำรวยและมีอำนาจ ประชาชนในสหรัฐอเมริกาทำงานหนักมาก หนักกว่าผู้คนในสังคมอุตสาหกรรมก้าวหน้าประเทศอื่น ๆ และนี่ก่อให้เกิดความเครียดทางจิตใจอย่างยิ่ง

ประชาชนวิตกจริตในเรื่องการงานตลอดเวลาและมีชีวิตอยู่ในความกลัว แม้ว่ามีอาชญากรรมมากมายในสหรัฐอเมริกา แต่ถ้าเทียบกับสังคมที่ใกล้เคียงกัน มันก็มีมากพอ ๆ กัน แต่ความกลัวอาชญากรรมที่นี่สูงกว่ามาก ในหลาย ๆ ด้าน นี่เป็นประเทศที่ขี้กลัวที่สุดในโลก!

นอกจากนั้น ระดับของการเคลื่อนไหวทางสังคมขึ้นอยู่กับว่าคุณนึกถึงส่วนไหนของสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ซับซ้อนมากและมีแนวโน้มที่แตกต่างกันหลายแบบ ยกตัวอย่างเช่น สัปดาห์ที่แล้ว ผมอยู่ในมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งไม่ใช่ศูนย์กลางความคิดเสรีในประเทศนี้เลย นั่นคือที่เทกซัส ในเมืองฮุสตันและออสตินที่ผมได้ไปเยือน มีกิจกรรมชุมชนและกิจกรรมของมหาวิทยาลัยทุกรูปแบบ

ที่มหาวิทยาลัยเทกซัส มีประชาชนหลายพันคนมาชุมนุมประท้วงหลังจากสภาคองเกรสอนุมัติการใช้กำลังทหาร และสภานักศึกษาผ่านมติต่อต้านสงครามอย่างเข้มแข็ง เราพบเหตุการณ์คล้าย ๆ กันนี้ทั่วประเทศ ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ทีเดียว ไม่เคยมีการประท้วงแบบนี้ตั้งแต่ก่อนที่จะประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ และประเด็นเรื่องสงคราม-สันติภาพ เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของขบวนการประชาชนที่กำลังก่อรูปก่อร่างขึ้น ซึ่งอุทิศตัวให้กับประเด็นและความสนใจที่หลากหลายกว้างขวางมาก

ถาม: ฉันสะดุดใจกับข้อเท็จจริงที่ในทุกหนแห่ง ในร้านค้า ในบาร์ ในโรงภาพยนตร์ มีการติดโปสเตอร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ 9-11 พร้อมกับประโยคว่า "เราจะไม่มีวันลืม" ในยุโรป เราคงจะเขียนทำนองนี้มากกว่าว่า "เราจะจดจำเสมอ" ดูเหมือนมีรสชาติของการล้างแค้นเจือปนอยู่ในโปสเตอร์รณรงค์ของประเทศคุณ...

นอมชอมสกี: คุณจะเห็นปฏิกิริยาแตกต่างกันไปสารพัด ผมหมายถึงว่า หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน มีรายงานว่าประชากรในสัดส่วนสูง หรือเสียงส่วนใหญ่ ต้องการให้โจมตีอัฟกานิสถาน มันเป็นความรู้สึกธรรมดา ตอนนี้ เสียงส่วนใหญ่เดียวกันต้องการให้หาทางคลี่คลายด้วยวิธีการทางการทูต

ถาม: ในงานเขียนของคุณ คุณบอกว่าโลกนี้ถูกปกครองโดย "วุฒิสภาเสมือน" (virtual senate) คุณช่วยขยายความเรื่องนี้หน่อยได้ไหม?

นอมชอมสกี: คำ ๆ นี้ไม่ใช่ของผม ผมยืมมาจากงานเขียนของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ "วุฒิสภาเสมือน" ประกอบด้วยนักลงทุนและผู้ให้กู้ คนเหล่านี้สามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินนโยบายทางเศรษฐกิจและสังคมด้วยการทำให้เงินทุนไหลออกนอกประเทศ (capital flight) โจมตีค่าเงินเพี่อทำลายรากฐานทางเศรษฐกิจ รวมทั้งวิธีการอื่น ๆ ที่โครงสร้างเสรีนิยมใหม่เอื้อให้เกิดขึ้นในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา

คุณสามารถเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นในบราซิลอยู่ในขณะนี้ "วุฒิสภาเสมือน" ต้องการหลักประกันว่า นโยบายเสรีนิยมใหม่ของรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีการ์โดโซจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นนโยบายที่นักลงทุนต่างชาติและชนชั้นนำในประเทศได้รับผลประโยชน์อย่างมาก

ทันทีที่นักลงทุนระหว่างประเทศ ผู้ให้กู้ ธนาคาร ไอเอ็มเอฟ กลุ่มคนร่ำรวยในประเทศ ฯลฯ ตระหนักว่าลูล่า (ผู้นำพรรคแรงงานบราซิล ซึ่งชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2545 [ผู้แปล]) อาจชนะการเลือกตั้ง คนกลุ่มนี้ก็แสดงปฏิกิริยาโดยโจมตีค่าเงิน ทำให้เงินทุนไหลออก และวิธีการอื่น ๆ ที่จะกดดันบีบคั้นประเทศนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เจตจำนงของคนส่วนใหญ่ได้รับการปฏิบัติตาม

แต่เมื่อพวกเขากลับมามั่นใจว่า ลูล่าไม่สามารถนำพาประเทศแยกทางจากระบอบเสรีนิยมใหม่สากลได้ในขั้นเด็ดขาด คนเหล่านี้จึงผ่อนปรนและยอมต้อนรับลูล่า ดังที่พวกเขากล่าวว่า ลูล่าสร้างหลักประกันแก่ประชาชนว่าเขาจะนำพาให้บราซิลปลอดภัย การใช้ภาษาแบบนั้นมีสองนัย: หากลูล่านำพาประเทศให้ปลอดภัยสำหรับนักลงทุนทางการเงิน เขาจะนำพาประเทศให้ปลอดภัยสำหรับชาวบราซิลหรือเปล่า?

รัฐบาลต้องเผชิญกับสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า "ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งแบบทวิลักษณ์" (dual constituency) นั่นคือ ประชาชนผู้ลงคะแนนเสียงกับวุฒิสภาเสมือน ลูล่าสัญญากับประเทศบราซิลว่า เขาจะนำพาบราซิลให้ปลอดภัยสำหรับประชาชน แต่ไอเอ็มเอฟต้องการให้บราซิลปลอดภัยสำหรับผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งของสถาบัน นั่นคือ วุฒิสภาเสมือน พวกเขาจึงจัดการให้เงินทุนไหลเข้าหลังจากการเลือกตั้ง และหลังจากลูล่ายอมอ่อนข้อให้เจ้าหนี้ก่อน นี่คือผลกระทบของการเปิดเสรีทางการเงิน รวมทั้งมาตรการอื่น ๆ ที่เบิกทางให้วุฒิสภาเสมือนเป็นกลุ่มอิทธิพลหลักในการกำหนดนโยบายทางสังคมและเศรษฐกิจที่มีต่อประเทศ มันหมายความว่า ประชาชนไม่สามารถควบคุมการตัดสินใจด้านนโยบายในประเทศของตัวเอง ผลพวงประการหนึ่งของการเปิดเสรีต่อเงินทุนเห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้งทีเดียว นั่นคือ มันบ่อนทำลายประชาธิปไตย

ถาม: นี่เป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของฝ่ายซ้ายในโลก บราซิลเป็นประเทศที่ใหญ่มาก...

นอมชอมสกี: ผมนับถือลูล่ามาก แต่ปัญหาก็คือ เขามีพื้นที่น้อยมากที่จะกระดิกตัวทำอะไร จริงอยู่ เขามีทางเลือก: เขาอาจกลายเป็นหุ่นเชิดในมือของไอเอ็มเอฟ หรือทำสิ่งดี ๆ ให้บราซิล ถ้าเขาไม่ถูกฆ่าตายเสียก่อน...

ถาม: เราหวังว่าคงไม่

นอมชอมสกี: ลูล่าสามารถหันเหทรัพยากรมาใช้ในการพัฒนาภายในประเทศ แต่การไหลเข้าออกของเงินทุนโดยไม่มีการควบคุมสามารถใช้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการบ่อนทำลายความพยายามของรัฐบาลใด ๆ ที่จะสร้างมาตรการที่ก้าวหน้า ประเทศใดก็ตามที่พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจหรือเพิ่มค่าใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุข มีความเป็นไปได้ว่า ความประพฤติออกนอกลู่นอกทางเช่นนี้ จะถูกลงโทษด้วยการไหลออกของเงินทุนทันที

ถาม: ในความคิดของฉัน แม้จะมีความแตกต่างอยู่บ้าง แต่แนวความคิดเกี่ยวกับวุฒิสภาเสมือนมีความคล้ายคลึงกับแนวความคิดในหนังสือเรื่อง Empire ของ (Antonio) Negri และ (Michael) Hardt

นอมชอมสกี: Empire ใช่ แต่ผมต้องบอกว่า ผมว่ามันอ่านยาก ผมเข้าใจเพียงบางส่วน และสิ่งที่ผมเข้าใจก็ดูเหมือนเป็นสิ่งที่รู้ ๆ กันอยู่แล้ว และสามารถถ่ายทอดออกมาได้ง่าย ๆ กว่านี้ แต่ผมอาจพลาดเรื่องสำคัญไปก็ได้กระมัง

ถาม: ใช่ หนังสือเล่มนี้มีข้อสรุปเช่นเดียวกับคุณ แต่ใช้วิธีการที่ซับซ้อนและอ่านยากกว่ากันมาก...

นอมชอมสกี: ถ้าคนอ่าน อ่านแล้วได้อะไร มันก็โอเค! เท่าที่ผมเข้าใจ ดูเหมือนเป็นเรื่องพื้น ๆ และนี่ไม่ใช่บอกว่ามันไม่ดี ผมเพียงแต่มองไม่เห็นความจำเป็นต้องพูดให้มันยากในสิ่งที่คุณพูดให้มันง่าย ๆ ก็ได้ คุณสามารถทำให้มันดูซับซ้อน นั่นเป็นส่วนหนึ่งของเกมที่พวกปัญญาชนชอบเล่น คือ ต้องทำให้มันซับซ้อนเข้าไว้ คุณอาจไม่รู้ตัว แต่นั่นคือวิธีที่จะได้มาซึ่งชื่อเสียง อำนาจและอิทธิพล

ถาม: คุณมองงานของฟูโกต์แบบเดียวกันนี้หรือเปล่า?

นอมชอมสกี: ฟูโกต์เป็นกรณีที่น่าสนใจ เพราะผมแน่ใจว่า เขาต้องการอย่างจริงใจที่จะบ่อนทำลายรากฐานของอำนาจ แต่ผมคิดว่าด้วยข้อเขียนของเขา เขากลับหนุนเสริมอำนาจ วิธีเดียวที่จะเข้าใจฟูโกต์ได้ คือคุณต้องเป็นนักศึกษาปริญญา หรือเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัย และได้รับการอบรมในวิธีการของวาทกรรมแบบนั้นโดยเฉพาะ มันอาจไม่ใช่จุดประสงค์ของฟูโกต์ แต่นั่นเป็นวิธีหนึ่งที่รับประกันได้เลยว่า ปัญญาชนจะมีอำนาจ ชื่อเสียงและอิทธิพล ถ้าคุณพูดเรื่องไหนได้ง่าย ๆ ก็ควรพูดง่าย ๆ ช่างไม้ที่อยู่ข้างบ้านจะได้เข้าใจ เรื่องที่เกี่ยวกับมนุษย์เป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายมาก

ผมเห็นว่าฟูโกต์น่าสนใจจริง ๆ แต่ผมยังตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับวิธีการสื่อสารของเขา ผมพบว่าต้องถอดรหัสเขา และหลังจากถอดรหัสแล้ว ผมอาจพลาดอะไรบางอย่างไป ผมมองไม่เห็นนัยสำคัญของเนื้อหาที่แกะออกมาแล้ว ผมไม่เคยเข้าใจอย่างปรุโปร่งว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไร หมายถึงว่า เมื่อผมพยายามดึงคำใหญ่ ๆ ที่เขาใช้ และใส่คำเหล่านั้นเข้าไปในถ้อยคำที่ผมเข้าใจและใช้ได้ มันทำได้ยากมาก จนผมรู้สึกว่ามันซับซ้อนเกินไปและนามธรรมมาก แต่...อะไรเกิดขึ้นเมื่อคุณพยายามลงมาปรับใช้กับกรณีต่าง ๆ ในความเป็นจริง? ฟูโกต์กับทฤษฎีประเภทนี้มีปัญหาเมื่อพยายามลงมาติดดิน อันที่จริง ไม่เคยมีใครสามารถอธิบายให้ผมฟังถึงความสำคัญของงานเขียนของเขาได้เลย...

ถาม: คุณคิดว่าปัญญาชนควรเป็นอิสระจากทฤษฎี จากวิสัยทัศน์ เช่นอย่างขบวนการซาปาติสต้าและ (รองผู้บัญชาการ) มาร์กอสหรือ?

นอมชอมสกี: ความคิดของมาร์กอสก็น่าสนใจ แต่ไม่มีการคิดแบบไหนที่ "ไร้ทฤษฎี" ผมหมายถึงว่า คุณย่อมผูกมัดตัวเองอยู่กับชุดความเชื่อบางอย่าง เป้าหมายและวิสัยทัศน์บางอย่าง ฯลฯ หรือไม่ก็การวิเคราะห์สังคมบางอย่าง นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ว่าคุณกำลังแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการทรมาน หรือเสรีภาพในการพูด หรืออันที่จริงก็คือในทุก ๆ ประเด็นที่นอกเหนือจากเรื่องที่ผิวเผินอย่างที่สุด

ถาม: ฉันกำลังนึกถึงข้อเขียนของคุณ Goals and Visions (อยู่ในหนังสือชื่อ Powers and Prospects ของชอมสกี [ผู้แปล]) และฉันคิดว่า บางครั้งมันสำคัญมากกว่าที่จะต้องเพ่งไปที่เป้าหมายและลืมวิสัยทัศน์ไปก่อน...

นอมชอมสกี: คุณไม่ต้องลืมก็ได้ มีความสมดุลอยู่ คุณต้องเลือกเอาเอง ผมหมายถึงว่า เพื่อนสนิทของผมอาจเลือกแตกต่างจากผมมาก ยกตัวอย่างเช่น ไมเคิล อัลเบิร์ต (ZNet ทำโครงการและเขียนหนังสือชื่อ Parecon: Life after Capitalism [ผู้แปล]) คิดว่าการแสดงวิสัยทัศน์ออกมาอย่างชัดเจนเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ส่วนความรู้สึกของผมก็คือ เราไม่รู้ว่าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ดังนั้น งานประเภทนี้จึงสำคัญน้อยกว่าเป้าหมาย ทั้งหมดนี้เป็นการคาดเดาเกี่ยวกับลำดับความสำคัญอย่างมีเหตุผล ไม่ต้องสงสัยเลยว่าย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละคน ซึ่งก็ควรเป็นเช่นนั้น ไม่มีกฎเกณฑ์ "ผิดหรือถูก" ในเรื่องนี้

ถาม: เมื่อคุณพูดถึงบทบาทของปัญญาชน คุณบอกว่าหน้าที่แรกคือจับตาดูประเทศของตัวเอง คุณอธิบายคำยืนยันนี้ได้ไหม?

นอมชอมสกี: หลักพื้นฐานทางจริยธรรมที่ชัดแจ้งในตัวเองที่สุดประการหนึ่งก็คือ คุณต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่คาดการณ์ได้ที่เกิดจากการกระทำของตัวเอง มันก็ดีอยู่หรอกที่จะพูดถึงอาชญากรรมของเจ็งกิสข่าน แต่พูดไปแล้วก็ทำอะไรไม่ได้มาก ถ้าหากปัญญาชนในสมัยโซเวียต เลือกที่จะอุทิศตัวให้กับการเปิดโปงอาชญากรรมของสหรัฐอเมริกา ซึ่งพูดไปแล้วก็ทำอะไรไม่ได้มาก นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขา เรามักให้เกียรติปัญญาชนที่ตระหนักว่า "หน้าที่ประการแรกคือจับตาดูประเทศของตัวเอง" และมันน่าสนใจที่ไม่เคยมีใครขอคำอธิบายเลย เพราะในกรณีของศัตรูที่เป็นทางการ ความจริงก็คือความจริง แต่พอเอาความจริงนี้มาใช้กับตัวเราเองสิ เมื่อนั้นแหละที่มันกลายเป็นปัญหา หรือกระทั่งกลายเป็นความขุ่นเคือง แต่ความจริงก็ยังคงเป็นความจริง

อันที่จริง ความจริงข้อนี้ต้องใช้กับเรายิ่งกว่าใช้กับปัญญาชนหัวแข็งของโซเวียต เพราะเหตุผลง่าย ๆ ก็คือ เราอยู่ในสังคมเสรี ไม่ต้องเผชิญหน้ากับการกดขี่ และสามารถมีอิทธิพลต่อนโยบายของรัฐบาลได้จริง ๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเราใช้หลักความจริงข้อนี้ นั่นแหละคือจุดที่เราต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจและผูกมัดตัวเอง คำอธิบายยิ่งชัดเจนในกรณีของศัตรูที่เป็นทางการ แน่นอน ความจริงเป็นสิ่งที่ถูกเกลียดชังเมื่อนำมาใช้กับตัวเอง คุณจะเห็นได้อย่างแจ่มแจ้งในกรณีของการก่อการร้าย

อันที่จริง เหตุผลประการหนึ่งที่ผมถูกพิจารณาว่าเป็นศัตรูสาธารณะอันดับหนึ่ง ในบรรดาปัญญาชนจำนวนมากของสหรัฐอเมริกา ก็เพราะผมพูดออกมาตรง ๆ ว่า สหรัฐอเมริกาเป็นรัฐก่อการร้ายตัวเอ้ในโลก คำกล่าวนี้แม้จะเป็นความจริงโต้ง ๆ แต่ก็ไม่เป็นที่ยอมรับของปัญญาชนจำนวนมาก รวมทั้งปัญญาชนเสรีนิยมฝ่ายซ้ายด้วย เพราะถ้าเราเผชิญหน้ากับความจริงข้อนี้ เราสามารถทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการก่อการร้ายซึ่งเรามีส่วนต้องรับผิดชอบ โดยยอมรับความรับผิดชอบทางจริยธรรมขั้นพื้นฐาน แทนที่จะมัวสรรเสริญตัวเอง ด้วยการป่าวประณามอาชญากรรมของศัตรูที่เป็นทางการ ซึ่งพูดไปแล้วก็ทำอะไรได้น้อยมาก

ความซื่อสัตย์ขั้นพื้นฐานนั้นมักเป็นเรื่องที่น่าอึดอัด เช่นเดียวกับในชีวิตส่วนบุคคล และมีคนจำนวนมากพยายามอย่างยิ่งที่จะหลบเลี่ยง สำหรับปัญญาชน ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มันแทบจะกลายเป็นภารกิจไปแล้ว ปัญญาชนมักฝังตัวอยู่กับสถาบันที่ครองอำนาจ อภิสิทธิ์ และชื่อเสียงของปัญญาชนได้มาจากการปรับตัวให้เข้ากับผลประโยชน์ของศูนย์อำนาจ โดยมักหุ้มเปลือกภายนอกด้วยท่าทีวิพากษ์วิจารณ์ แต่ในขอบเขตที่จำกัดมาก เช่น

ปัญญาชนคนหนึ่งอาจวิจารณ์สงครามในเวียดนามว่าเป็น "ความผิดพลาด" ที่เริ่มต้นจาก "เจตนาดี" แต่มันล้ำเส้นเกินไปถ้าบอกว่า สงครามไม่ใช่แค่ "ความผิดพลาด" แต่เป็น "ความไม่ชอบธรรมและผิดศีลธรรมโดยพื้นฐาน" ซึ่งเป็นจุดยืนของประชาชนถึง 70% ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ แต่กลับเป็นจุดยืนของปัญญาชนชายขอบจำนวนน้อยนิดเท่านั้น

ลัทธิก่อการร้ายก็เหมือนกัน ในวาทกรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับ โดยยกตัวอย่างให้เห็นกันง่าย ๆ คำ ๆ นี้ใช้เพื่อหมายถึงการก่อการร้ายที่ พวกมันกระทำต่อ เรา ไม่ใช่ที่เรากระทำต่อ พวกมัน นั่นแทบจะเป็นความจริงสากลในประวัติศาสตร์เลย และมีตัวอย่างนับไม่ถ้วน

 

 

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา I ประวัติ ม.เที่ยงคืน

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

 

สำหรับสมาชิกที่ต้องการ download ข้อมูล อาจใช้วิธีการง่ายๆดังต่อไปนี้

1. ให้ทำ hyper text ข้อมูลทั้งหมด
2. copy ข้อมูลด้วยคำสั่ง Ctrl + C
3. เปิด word ขึ้นมา (microsoft-word หรือ word pad)
4. Paste โดยใช้คำสั่ง Ctrl + V
จะได้ข้อมูลมา ซึ่งย่อหน้าเหมือนกับต้นฉบับทุกประการ
(กรณีตัวหนังสือสีจาง ให้เปลี่ยนสีเป็นสีเข้มในโปรแกรม Microsoft-word)

 

บทความคัดลอก ซึ่งมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้เล็งเห็นถึงประโยชน์ของบทความชิ้นนี้ จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อ เพื่อขยายความรู้แก่แวดวงการศึกษาไทย