มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ
Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ 326 หัวเรื่อง
เอฟทีเอ (FTA) กับรัฐธรรมนูญ
รศ.จักรกฤษณ์
ควรพจน์
สาขาวิชานิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
(บทความนี้ยาวประมาณ 15
หน้า)
หากนักศึกษาหรือสมาชิก
ประสบปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลดขนาดของ font ลง จะแก้ปัญหาได้
บทความของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน สามารถคัดลอกไปใช้ประโยชน์ทางวิชาการได้ หากนำไปใช้ประโยชน์
กรุณาแจ้งให้ทราบที่
midnightuniv(at)yahoo.com
midnight2545(at)yahoo.com
ข้อตกลงเขตการค้าเสรี
ไทย-สหรัฐ :
ปัญหาว่าด้วย"ทริปส์ผนวก"
จักรกฤษณ์ ควรพจน์
รองศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
ข้อเขียนนี้เป็นคำบรรยายในการเสวนาทางวิชาการเรื่อง
"รัฐธรรมนูญไทยในหล่มโคลน"
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน 2546
ณ
ห้อง ร.103 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
(มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ร่วมกับ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
(บทความนี้ยาวประมาณ
15 หน้ากระดาษ A4)
ขณะนี้รัฐบาลสหรัฐนายจอร์จ
ดับเบิลยู บุช กำลังดำเนินการรุกหนักเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรี (Free Trade Area)
ด้วยการทำข้อตกลงเอฟทีเอ (FTA) กับประเทศต่างๆ. ในปี 2546 สหรัฐได้ทำข้อตกลงเอฟทีเอไปแล้วกับสองประเทศ
คือ สิงคโปร์ และชิลี และอยู่ระหว่างการเจรจาจัดทำข้อตกลงลักษณะเดียวกันกับอีกหลายประเทศ
รวมทั้งประเทศไทย ออสเตรเลีย มอร็อคโค และอีกสามสิบสี่ประเทศในละตินอเมริกา ที่รู้จักกันในนามข้อตกลงเขตการค้าเสรีแห่งอเมริกา
(Free Trade Agreement of the Americas) หรือเอฟทีเอเอ (FTAA)
ประเทศไทยและสหรัฐได้มีแถลงการณ์ร่วมกันในการประชุมเอเปคที่กรุงเทพ เมื่อเดือนตุลาคม 2546 ว่าทั้งสองประเทศจะทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี ข้อตกลงที่ไทยจะทำกับสหรัฐจะกรุยทางไปสู่การที่สหรัฐจะทำข้อตกลงในลักษณะเดียวกันกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น อาทิเช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม
ขณะที่การเจรจาระดับพหุภาคีขององค์การระดับโลก กำลังดำเนินอยู่ภายใต้รอบโดฮาว่าด้วยการพัฒนา (Doha Development Round) สหรัฐกลับรุกหนักเพื่อจัดทำข้อตกลงทวิภาคีและข้อตกลงแบบภูมิภาคนิยม คู่ขนานไปกับการเจรจาพหุภาคีขององค์การการค้าโลก
เหตุผลสำคัญที่สหรัฐต้องหันมาทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ นั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 ประการ
ประการแรกคือ การเจรจาพหุภาคีในรอบโดฮาขาดความแน่นอน ประเทศสมาชิกต่างๆ ได้แตกแยกกันออกเป็นกลุ่มก้อน ยากที่การเจรจาประเด็นการค้าต่างๆ จะได้ข้อสรุปเป็นที่ยุติประการที่สอง หัวข้อการเจรจาในรอบโดฮาที่กำลังดำเนินอยู่ส่วนใหญ่ มิได้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐสักเท่าใดนัก ในทางตรงกันข้าม หากการเจรจาประเด็นต่างๆ ของรอบโดฮาสามารถกระทำได้เป็นผลสำเร็จ ก็จะทำให้สหรัฐต้องเสียประโยชน์มากมาย การเจรจากับประเทศต่างๆ แบบทวิภาคีและภูมิภาคนิยม จะเอื้อให้สหรัฐสามารถโน้มน้าวเปลี่ยนแปลงนโยบายและกฎหมายของประเทศคู่ค้าได้ง่าย และสะดวกกว่าการเจรจาแบบพหุภาคี
ประสบการณ์ในอดีตได้สะท้อนว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วมักประสบความสำเร็จในการใช้การเจรจาแบบทวิภาคี เพื่อบรรลุความมุ่งหมายของตนในเรื่องการค้าและการลงทุน ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน สหรัฐกำลังใช้วิธีการเดิมซึ่งใช้ได้ผลมาแล้วในการเจรจารอบอุรุกวัย ครั้งนั้น สหรัฐใช้วิธีการเจรจาแบบทวิภาคี โดยข่มขู่ประเทศคู่ค้าว่าจะลงโทษตอบโต้ทางการค้า ตัดสิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) และใช้มาตรา 301 ภายใต้กฎหมายการค้าของสหรัฐ ในครั้งนี้สหรัฐก็กำลังใช้วิธีการเดิม เพียงแต่เปลี่ยนจากการใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้ามาเป็นการเสนอหยิบยื่นผลประโยชน์ให้ประเทศคู่ค้า เพื่อแลกเปลี่ยนกับการยอมรับข้อเรียกร้องของสหรัฐในนามของการจัดตั้งเขตการค้าเสรี
ข้อตกลงเอฟทีเอ จะช่วยให้สหรัฐผลักดันข้อเรียกร้องทางการค้าที่เอื้อต่อผลประโยชน์ของสหรัฐ ซึ่งขณะนี้สหรัฐกำลังผลักดันประเด็นการค้าหลายประเด็นด้วยกัน รวมทั้งเรื่องการค้าบริการ กฎเกณฑ์การลงทุน การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ มาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อม และสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
ข้อเรียกร้องในเรื่องต่างๆ ที่สหรัฐเรียกร้องจากประเทศคู่ค้า โดยส่วนใหญ่มาจากบทบัญญัติในข้อตกลงนาฟต้า (NAFTA) หรือเขตการค้าเสรีที่สหรัฐทำกับแคนาดาและเม็กซิโก ที่แม้โดยหลักการการทำข้อตกลงเช่นนี้ จะขึ้นอยู่กับความสมัครใจและการต่อรองของประเทศคู่สัญญา แต่ในทางปฏิบัติ สหรัฐมีเป้าหมายและความต้องการในแต่ละเรื่องอยู่แล้วอย่างชัดเจน และจะไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของประเทศคู่ค้าที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการบรรลุเป้าหมายสำคัญในแต่ละเรื่อง
ภายใต้ข้อตกลงเอฟทีเอ สหรัฐตกลงที่จะเปิดตลาดสินค้าให้กับประเทศคู่ค้า โดยยินยอมยกเลิกหรือลดอัตราภาษีนำเข้าที่เก็บกับสินค้านำเข้าของประเทศเหล่านั้น โดยประเทศคู่ค้าต้องยอมให้สิทธิพิเศษทางการค้าแก่สหรัฐเป็นการตอบแทน
สำหรับเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา สหรัฐต้องการให้ประเทศคู่ค้าคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาภายใต้หลักการที่เรียกว่า "ทริปส์ผนวก" (TRIPS-Plus) ซึ่งทั้งข้อตกลงเอฟทีเอที่สหรัฐทำกับชิลีและสิงคโปร์ ต่างกำหนดหลักการเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาที่คล้ายกัน ข้อตกลงเอฟทีเอกำหนดประเทศคู่ค้าต้องให้การคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของคนชาติสหรัฐ ในระดับที่สูงกว่ามาตรฐานขั้นต่ำในข้อตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า(Trade-Related Aspects of Intellectual Property Rights) หรือข้อตกลงทริปส์ (TRIPS) ซึ่งวิธีการเช่นนี้จะช่วยให้สหรัฐกรุยทางไปสู่การปรับปรุงมาตรฐานการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในองค์การการค้าโลก ให้มีระดับการคุ้มครองที่สูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ประเด็นเรื่องประโยชน์และโทษของการทำข้อตกลงเอฟทีเอ ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์กล่าวถึงในวงกว้าง
ในแง่บวก ประเทศกำลังพัฒนาที่จัดตั้งเขตการค้าเสรีกับสหรัฐ จะได้รับประโยชน์ในแง่ที่สามารถส่งสินค้าไปขายในตลาดขนาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูงได้ โดยปราศจากอุปสรรคทางการค้า นอกจากนี้ เขตการค้าเสรียังจะส่งเสริมดึงดูดการลงทุนมาสู่ประเทศกำลังพัฒนาแต่ในอีกด้านหนึ่ง การจัดทำเขตการค้าเสรีจะก่อให้เกิดผลกระทบในแง่ลบต่อประเทศที่ทำข้อตกลงกับสหรัฐ ผลประโยชน์ที่จะได้เขตการค้าเสรีนั้นยังปราศจากความยั่งยืน เช่น ข้อตกลงเขตการค้าเสรีกำหนดให้สหรัฐลดพิกัดอัตราภาษีศุลกากรให้แก่ประเทศคู่ค้า โดยมิได้สร้างพันธกรณีให้สหรัฐต้องยกเลิกนโยบายที่เป็นการบิดเบือนการค้าด้วย เช่น มิได้กำหนดให้สหรัฐยกเลิกการอุดหนุนและทุ่มตลาดสินค้าเกษตร
ขณะนี้เกษตรกรสหรัฐแต่ละราย ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลสหรัฐปีละกว่า 21,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากสหรัฐไม่ยุติการอุดหนุนเกษตรกรของตน ผู้ส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศคู่ค้าของสหรัฐ ก็จะยังไม่สามารถแข่งขันในตลาดสหรัฐได้อยู่ดี ถึงแม้ว่าจะได้รับการลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีนำเข้าก็ตาม
นอกจากนี้ การที่สหรัฐกำลังดำเนินการจัดทำข้อตกลงเอฟทีเอกับประเทศต่างๆ อีกกว่า 50 ประเทศ ก็หมายความว่า สินค้าของประเทศคู่ค้าของสหรัฐก็ยังคงต้องแข่งขันกัน ภายใต้สิทธิพิเศษทางการค้าอย่างเดียวกันอยู่นั่นเอง ซึ่งเป็นการยากที่จะประเมินว่า สิทธิพิเศษทางการค้าที่จะได้จากการทำข้อตกลงเอฟทีเอกับสหรัฐที่แท้จริงเป็นอย่างไร
ในทางตรงกันข้าม ประเทศคู่ค้าจะต้องปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของสหรัฐเช่นเดียวกัน โดยข้อเรียกร้องของสหรัฐในเรื่องต่างๆ จะก่อให้เกิดต้นทุนทั้งในทางเศรษฐกิจและสังคมต่อประเทศคู่ค้า รวมทั้งเกิดการผูกขาดตลาดสินค้าที่มีความสำคัญ การสูญเสียตลาดและการล้มหายไปของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและอุตสาหกรรมในประเทศ เกิดปัญหาสาธารณสุข ต้นทุนการศึกษาที่สูงขึ้น การสูญเสียความมั่นคงทางอาหาร เกิดปัญหามลพิษและสิ่งแวดล้อม ปัญหาแรงงาน กีดขวางการถ่ายทอดเทคโนโลยี การลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ ฯลฯ ( Oxfam Canada "Let's Harness Trade for Development: Why Oxfam Opposes the FTAA", 2001. http://www.oxfam.ca/news/Peoples_Summit/intellectualProperty)
ข้อเรียกร้องของสหรัฐเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ที่เรียกว่า "ทริปส์ผนวก" มีประเด็นสำคัญดังนี้
(1) ให้มีการขยายการคุ้มครองสิทธิบัตร
(2) ให้คุ้มครองพันธุ์พืชโดยระบบอนุสัญญายูปอฟ
(3) ให้มีสิทธิผูกขาดในข้อมูลผลการทดสอบความปลอดภัยของยา และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
(4) จำกัดการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ ห้ามเพิกถอนสิทธิบัตร และจำกัดการนำเข้าซ้อน
(5) คุ้มครองเครื่องหมายการค้าที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตา
(6) คุ้มครองลิขสิทธิ์สำหรับเทคโนโลยีดิจิตอล
(7) ให้มีมาตรการเยียวยาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
1. ขยายการคุ้มครองสิทธิบัตร
สหรัฐกำหนดให้ประเทศคู่ค้าขยายการคุ้มครองสิทธิบัตรใน 3 ประเด็น คือ (1) ประเทศคู่ค้าต้องคุ้มครองการประดิษฐ์ที่เป็นสิ่งมีชีวิต
(2) ต้องขยายอายุการคุ้มครอง และ (3) ต้องเข้าร่วมในสนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือทางสิทธิบัตร
1.1 ต้องให้การคุ้มครองการประดิษฐ์ที่เป็นสิ่งมีชีวิต
ข้อตกลงเอฟทีเอที่สหรัฐทำกับประเทศต่างๆ ไปแล้ว และที่สหรัฐเสนอให้ประเทศคู่สัญญายอมรับ กำหนดพันธกรณีให้ประเทศคู่ค้าต้องคุ้มครองการประดิษฐ์ในทุกสาขาของเทคโนโลยี ประเทศคู่ค้าจะต้องสละประโยชน์จากข้อยกเว้นตามข้อตกลงทริปส์ และคุ้มครองการประดิษฐ์สาขาที่ข้อตกลงทริปส์ยินยอมให้มีการยกเว้นจากการคุ้มครองสิทธิบัตร ที่สำคัญได้แก่ ข้อยกเว้นตามบทบัญญัติข้อ 27.3 (บี) ของข้อตกลงทริปส์ ซึ่งอนุญาตให้ประเทศสมาชิกขององค์การการค้าโลกในการคุ้มครองพืช สัตว์ กรรมวิธีทางชีววิทยาสำหรับการผลิตพืชหรือสัตว์ ยีน ลำดับยีน สารสกัดจากพืชหรือสัตว์ วิธีการทางธุรกิจ (Business methods) โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ฯลฯ1.2 ต้องขยายอายุการคุ้มครองสิทธิบัตร
ข้อตกลงทริปส์กำหนดให้สมาชิกขององค์การการค้าโลกคุ้มครองสิทธิบัตร เป็นกำหนดเวลา 20 ปี อายุการคุ้มครองดังกล่าวต้องมีผลกับการประดิษฐ์ทุกสาขา ข้อตกลงจัดตั้งเขตการค้าเสรีกับสหรัฐ กำหนดให้ประเทศคู่ค้าขยายอายุสิทธิบัตรออกไปอีกเป็นเวลา 5 ปี ในกรณีที่การออกสิทธิบัตรดังกล่าวล่าช้าด้วยเหตุอย่างหนึ่งอย่างใด นอกจากนี้ ในกรณีที่เป็นสิทธิบัตรเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยาหรือเคมีภัณฑ์ทางการเกษตร ซึ่งต้องมีการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์เพื่อขออนุญาตจำหน่าย สหรัฐกำหนดให้ประเทศคู่ค้าขยายอายุการคุ้มครองสิทธิบัตรออกไป ตามเวลาที่เสียไปกับการขออนุญาตขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ เช่น หากผลิตภัณฑ์ยา X ต้องใช้เวลาในการขึ้นทะเบียนตำรับยาเป็นเวลา 5 ปี ประเทศคู่ค้าต้องนำระยะเวลา 5 ปีมาผนวกเข้ากับอายุสิทธิบัตรของยาหรือเคมีภัณฑ์ดังกล่าว ซึ่งเท่ากับว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะได้รับการคุ้มครองสิทธิบัตรเป็นเวลา 25 ปีไม่ต้องสงสัยว่า ข้อเรียกร้องเช่นนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของบรรษัทยาและเคมีภัณฑ์ข้ามชาติ โดยสหรัฐต้องการให้บรรษัทข้ามชาติของตน สามารถผูกขาดตลาดได้เป็นเวลานาน ทั้งๆ ที่บรรษัทข้ามชาติเหล่านั้นโดยทั่วไปก็สามารถใช้กลไกและวิธีการต่างๆ เพื่อผูกขาดตลาดเกินกว่าอายุสิทธิบัตรได้อยู่แล้ว เช่น ใช้วิธีการผูกขาดโดยอาศัยเครื่องหมายการค้า และการโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความจงรักภักดีต่อสินค้า (Brand loyalty) เป็นต้น
ประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมาก ประสบปัญหาการเข้าถึงยาจำเป็น เนื่องจากยาเหล่านั้นมีราคาแพงอันเป็นผลจากการคุ้มครองสิทธิบัตร การยอมรับหลักการทริปส์ผนวกเช่นนี้ จะทำให้ประเทศเหล่านั้นประสบกับปัญหาด้านสาธารณสุขมากยิ่งขึ้น
1.3 เข้าร่วมในสนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือทางสิทธิบัตร
ข้อตกลงเอฟทีเอกับสหรัฐ กำหนดให้ประเทศคู่ค้าเข้าเป็นสมาชิกสนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือทางสิทธิบัตร (Patent Co-operation Treaty) หรือพีซีที (PCT) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่จัดทำขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการขอรับสิทธิบัตร รวมทั้งในการตรวจคำขอและสืบค้นข้อมูลสำหรับการออกสิทธิบัตร สนธิสัญญาพีซีทีกำหนดให้สำนักงานสิทธิบัตรของประเทศที่พัฒนาแล้ว ทำหน้าที่ในการรับคำขอและตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรแทนสำนักงานสิทธิบัตรของประเทศกำลังพัฒนาอ้างกันว่า สนธิสัญญาพีซีที จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศกำลังพัฒนา ที่ระบบการตรวจสอบและสืบค้นข้อมูลสิทธิบัตรยังไม่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งสำนักงานสิทธิบัตรของประเทศเหล่านั้นก็ยังล้าหลังขาดเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย แตกต่างจากสำนักงานของประเทศที่พัฒนาแล้ว การให้สำนักงานสิทธิบัตรของประเทศที่พัฒนาแล้วดำเนินการแทน จะช่วยให้การตรวจสอบคำขอและคุณสมบัติการประดิษฐ์ของประเทศกำลังพัฒนามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี ไม่มีสิ่งใดที่จะรับประกันได้ว่า สำนักงานสิทธิบัตรของประเทศที่พัฒนาแล้วจะดำเนินการเพื่อดังกล่าวโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศกำลังพัฒนา ยิ่งกว่านั้น ระบบขอรับสิทธิบัตรภายใต้สนธิสัญญาพีซีที จะให้ประโยชน์แก่บรรษัทข้ามชาติในอันที่จะยื่นขอรับสิทธิบัตรเพียงครั้งเดียว แต่ได้รับการคุ้มครองในหลายประเทศ
2. คุ้มครองพันธุ์พืชโดยอนุสัญญายูปอฟ
ข้อตกลงเอฟทีเอที่สหรัฐทำกับประเทศต่างๆ กำหนดให้ประเทศคู่ค้าต้องเข้าร่วมเป็นสมาชิกอนุสัญญายูปอฟ
(UPOV Convention) ว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ แม้ข้อ 27.3 (บี) ของข้อตกลงทริปส์
จะกำหนดให้ประเทศสมาชิกให้การคุ้มครองพันธุ์พืช แต่ก็มิได้บังคับว่าการคุ้มครองพันธุ์พืชต้องกระทำโดยระบบกฎหมายใด
ซึ่งอาจเป็นระบบการคุ้มครองตามอนุสัญญายูปอฟหรือไม่ก็ได้ ประเทศสมาชิกขององค์การการค้าโลกหลายประเทศ
รวมทั้งประเทศไทย ปฏิเสธระบบอนุสัญญายูปอฟ และเลือกใช้ระบบกฎหมายลักษณะเฉพาะ
(sui generis) ซึ่งคุ้มครองผลงานการปรับปรุงพันธุ์พืช ทั้งที่เป็นพันธุ์พืชใหม่
พันธุ์พืชพื้นเมือง และสารพันธุกรรมพืช ดังเช่นที่ปรากฏตาม พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช
พ.ศ. 2542
ในทางตรงกันข้าม อนุสัญญายูปอฟกำหนดให้มีการคุ้มครองพันธุ์พืชเฉพาะที่เป็นพันธุ์พืชใหม่เท่านั้น ประเทศสมาชิกจะไม่สามารถคุ้มครองพันธุ์พืชพื้นเมือง และไม่อาจอ้างได้ว่าพันธุ์พืชพื้นเมืองและสารพันธุกรรมพืชเป็นของตนได้
การเข้าร่วมในอนุสัญญายูปอฟจะทำให้ประเทศไทยไม่สามารถอ้างสิทธิใดๆ เหนือพันธุ์พืชเศรษฐกิจของไทยได้อีกต่อไป รวมทั้งข้าวหอมมะลิ ทุเรียนหมอนทอง เงาะโรงเรียน ฯลฯ
นอกจากนี้ เนื่องจากอนุสัญญายูปอฟฉบับปี ค.ศ. 1991 ซึ่งเป็นฉบับล่าสุด กำหนดให้มีสิทธิเด็ดขาดของนักปรับปรุงพันธุ์ที่เข้มงวดใกล้เคียงกับสิทธิผูกขาดตามกฎหมายสิทธิบัตร จะทำให้เกิดการผูกขาดได้ ตัวอย่างเช่น ขณะที่ พ.ร.บ. คุ้มครองพันธุ์พืชฯ กำหนดให้นักปรับปรุงพันธุ์พืชมีสิทธิผูกขาดเหนือส่วนที่ใช้สำหรับการขยายพันธุ์พืชเท่านั้น เช่น มีสิทธิเหนือเมล็ดพันธุ์ กิ่ง ก้าน หัว หน่อ ฯลฯ แต่อนุสัญญายูปอฟ กำหนดให้ผู้ทรงสิทธิมีสิทธิผูกขาดเหนือผลผลิตของพืช เช่น ผล เมล็ด ใบ ลำต้น และทุกส่วนของพืช อันจะทำให้เกิดการผูกขาดผลผลิตทางการเกษตร ทำลายความมั่นคงทางอาหารของประเทศในที่สุด
อนุสัญญายูปอฟยังจำกัดสิทธิของเกษตรกร ในการเก็บรักษาผลผลิตไว้ใช้เป็นเมล็ดพันธุ์ในฤดูกาลถัดไป (Rights over farm-saved seeds) เกษตรกรจะต้องกลายเป็นลูกค้าถาวรของบรรษัทเมล็ดพันธุ์ข้ามชาติ ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ผูกขาดจากบรรษัทข้ามชาติในทุกฤดูการเพาะปลูก
โดยเข้าร่วมในอนุสัญญายูปอฟ ประเทศไทยต้องแก่ไขยกเลิกบทบัญญัติที่เป็นประโยชน์ใน พ.ร.บ. คุ้มครองพันธุ์พืชฯ ไม่ว่าจะเป็นบทบัญญัติที่กำหนดให้ผู้ขอรับการคุ้มครองต้องพิสูจน์ว่าพันธุ์พืชที่ขอรับความคุ้มครองมีความปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อระบบนิเวศน์ บทบัญญัติให้พิสูจน์ว่าการปรับปรุงพันธุ์ได้รับอนุญาตจากเจ้าของสารพันธุกรรมพืช และแสดงว่าเชื้อพันธุ์ที่ใช้ในการปรับปรุงพันธุ์เป็นเชื้อพันธุ์พืชที่ได้มาโดยชอบ
การถูกบังคับให้เข้าร่วมในอนุสัญญายูปอฟ จะปิดกั้นโอกาสของประเทศไทยในการสร้างระบบกฎหมายที่เอื้อต่อการคุ้มครองพันธุ์พืช และปกป้องทรัพยากรพันธุกรรมพืช อย่างสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจสังคมของประเทศ การทำข้อตกลงเอฟทีเอกับสหรัฐจะตัดโอกาสของประเทศไทยในการดำเนินการดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง
3. การให้สิทธิเด็ดขาดสำหรับข้อมูลผลการทดสอบเกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์เคมี
กฎหมายของประเทศต่างๆ กำหนดให้มีการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ยาและเคมีภัณฑ์ทางการเกษตรกับพนักงานเจ้าหน้าที่
ก่อนที่บริษัทจะสามารถนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวออกจำหน่ายในท้องตลาด ในการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์
บริษัทจะต้องเสนอข้อมูลที่พิสูจน์ถึงความปลอดภัย และที่แสดงถึงคุณภาพและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์นั้นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้คือข้อมูลที่เป็นผลการทดสอบ (Test data) และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ภายใต้ข้อตกลงทริปส์ ประเทศสมาชิกมีดุลพินิจในการคุ้มครอง "ข้อมูลผลการทดสอบ" ภายใต้เงื่อนไขว่า ประเทศสมาชิกได้ป้องกันการใช้ข้อมูลในทางพาณิชย์อย่างไม่เป็นธรรม (Unfair commercial use) และป้องกันการเปิดเผยข้อมูลนั้น (Disclosure) ข้อตกลงทริปส์ไม่ได้ห้ามการใช้ข้อมูลนั้นหรือให้สิทธิเด็ดขาดแก่บริษัทที่ได้ยื่นข้อมูลต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนั้น พนักงานเจ้าหน้าที่จึงสามารถนำข้อมูลผลการทดสอบไปใช้เพื่อประกอบการพิจารณารับขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกันของบริษัทอื่นๆ ได้
ประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศ ได้ให้สิทธิเด็ดขาดเหนือข้อมูลผลการทดสอบแก่บริษัทต้นตำรับ ในอันที่จะห้ามมิให้บริษัทอื่นและเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ข้อมูลดังกล่าวโดยปราศจากความยินยอมของตน กฎหมายของประเทศดังกล่าวถือว่าบริษัทต้นตำรับมีฐานะเป็นเจ้าของข้อมูลผลการทดสอบ (Correa, C., Protection of Data Submitted for the Registration of Pharmaceuticals: Implementing the Standards of the TRIPS Agreement, South Centre, Geneva, 2002, p.8.)
ในข้อตกลงเอฟทีเอที่สหรัฐได้ทำ และข้อเสนอข้อตกลงเอฟทีเอที่สหรัฐจะทำกับประเทศต่างๆ กำหนดให้ประเทศคู่ค้าให้ "สิทธิเด็ดขาด" (Exclusivity) แก่บริษัทต้นตำรับ ด้วยการห้ามผู้ใดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกัน หรือคล้ายคลึงกันเป็นกำหนดเวลา 5 ปี นับแต่วันขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ของบริษัทต้นตำรับ และห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรับขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์เพื่อนำออกจำหน่ายในท้องตลาด โดยอาศัยข้อมูลผลการทดสอบของบริษัทต้นตำรับ หรือโดยอาศัยข้อเท็จจริงว่าได้มีการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ดังกล่าว หรือผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกันในต่างประเทศแล้ว โดยกำหนดเวลาที่ห้ามคือ 5 ปี นับแต่วันขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ เว้นแต่การใช้ข้อมูลผลการทดสอบนั้นได้รับความยินยอมจากบริษัทต้นตำรับ
ข้อ 39.3 ของข้อตกลงทริปส์กำหนดให้มีการคุ้มครองข้อมูลผลการทดสอบที่เป็นความลับ เฉพาะกรณีที่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีใหม่ (New chemical entities) เท่านั้น ข้อตกลงเอฟทีเอกับสหรัฐมิได้จำกัดประเภทของข้อมูลเอาไว้ ดังนั้นการขึ้นทะเบียนตำรับยาทุกประเภท ทั้งที่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับตำรับยา (Formulation) การใช้ใหม่ (New use) หรือการใช้ครั้งที่สองหรือครั้งต่อๆ ไป (Secondary or additional uses) จะได้รับการคุ้มครองแบบ"สิทธิเด็ดขาด"ทั้งสิ้น ก่อให้เกิดการผูกขาด และสร้างภาระให้กับสังคมเกินสมควร
ข้อเรียกร้องของสหรัฐมีวัตถุประสงค์ที่จะอุดช่องว่างในข้อตกลงทริปส์ โดยไม่ให้ประเทศคู่ค้าบังคับใช้บทบัญญัติของทริปส์ได้อย่างยืดหยุ่นเช่นที่เป็นอยู่ ข้อเรียกร้องเช่นนี้ ให้สิทธิผูกขาดแก่บริษัทต้นตำรับเกินสมควร และในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดผลกระทบหลายประการต่อประเทศคู่ค้า รวมทั้งทำให้เกิดการผูกขาดตลาดยาเกินสมควร ปิดกั้นโอกาสการเข้าถึงยาของประชาชน บริษัทยาชื่อสามัญ (Generic companies) ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดเล็กจะไม่สามารถเข้าสู่ตลาดได้ แม้ว่ายาที่ต้องการผลิตและจำหน่ายจะไม่มีสิทธิบัตรก็ตาม เนื่องจากบริษัทยาชื่อสามัญจะต้องลงทุนทำการทดสอบเพื่อหาข้อมูลทางยาด้วยตนเอง ซึ่งจะต้องทำการทดสอบเป็นเวลานาน และใช้การลงทุนเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ การให้สิทธิผูกขาดในข้อมูลผลการทดสอบ จะจำกัดโอกาสการการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ (Compulsory licence) การที่บริษัทต้นตำรับสามารถกีดกันมิให้ผู้อื่นใช้ข้อมูลผลการทดสอบของตน ย่อมหมายความว่า แม้จะมีการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิกับผลิตภัณฑ์ยาภายใต้สิทธิบัตร แต่ผู้ได้รับอนุญาตให้ผลิตยาโดยมาตรการบังคับใช้สิทธิก็จะไม่สามารถทำการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ เนื่องจากผู้นั้นจะต้องขอขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์โดยอาศัยข้อมูลผลการทดสอบของตนเอง
อาจกล่าวได้ว่า ข้อเสนอของสหรัฐในข้อตกลงเอฟทีเอ คือความพยายามในการจำกัดการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ ซึ่งเป็นกลไกถ่วงดุลอำนาจผูกขาดของบรรษัทยาข้ามชาตินั่นเอง
ข้อเรียกร้องให้มีการให้สิทธิเด็ดขาดสำหรับข้อมูลผลการทดสอบ ยังจะจำกัดมิให้พนักงานเจ้าหน้าที่ด้านยาของประเทศคู่ค้า ที่จะใช้ข้อเท็จจริงที่มีการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ยาดังกล่าวในต่างประเทศ เพื่อประกอบการตัดสินใจรับขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ในประเทศ ข้อจำกัดนี้มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของการบริหารระบบขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ยาในประเทศคู่ค้า ซึ่งหากเป็นประเทศกำลังพัฒนาดังเช่นประเทศไทย ก็จะมีผลกระทบต่อการควบคุมความปลอดภัยของยาที่จำหน่ายในประเทศ เนื่องจากประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ยังไม่มีความสามารถในการตรวจสอบข้อมูลการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ยาอย่างเพียงพอ
4. จำกัดการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ
ห้ามเพิกถอนสิทธิบัตร และจำกัดการนำเข้าซ้อน
ปรัชญาพื้นฐานของระบบสิทธิบัตรและสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาคือ
การคุ้มครองต้องส่งเสริมให้เกิดการประดิษฐ์คิดค้นงานสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์แก่สังคม
สิทธิผูกขาดตามกฎหมายไม่ควรเป็นอุปสรรคกีดกันสาธารณชนมิให้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่จำเป็น
มาตรการบังคับใช้สิทธิ (Compulsory licence) การเพิกถอนสิทธิบัตร (Revocation)
และการนำเข้าซ้อน (Parallel import) คือกลไกที่ถูกกำหนดไว้ในกฎหมาย เพื่อแก้ปัญหาการไม่สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่จำเป็น
ภายใต้มาตรการบังคับใช้สิทธิ รัฐจะอนุญาตให้บุคคลอื่นที่มิใช่ผู้ทรงสิทธิ ให้ทำการผลิต นำเข้า และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้สิทธิบัตร เพื่อแก้ปัญหาผูกขาดจนทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์นั้นได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะผลิตภัณฑ์ดังกล่าวขาดแคลนหรือมีราคาแพง ข้อตกลงทริปส์และอนุสัญญากรุงปารีส กำหนดเงื่อนไขหลายประการในการที่ประเทศสมาชิกจะใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ รวมทั้งกำหนดให้ต้องขออนุญาตใช้สิทธิโดยสมัครใจจากผู้ทรงสิทธิก่อน ให้มีการจ่ายค่าชดเชยที่เพียงพอและเป็นธรรมให้แก่ผู้ทรงสิทธิ การอนุญาตให้ผลิตสินค้าโดยส่วนใหญ่ต้องกระทำเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในประเทศ ฯลฯ
ข้อตกลงเอฟทีเอที่สหรัฐทำกับประเทศต่างๆ จำกัดการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิดังนี้
(1) จำกัดขอบเขตการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ ข้อตกลงทริปส์และอนุสัญญากรุงปารีสมิได้กำหนดสถานการณ์ที่จะมีการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ แต่ข้อตกลงเอฟทีเอกับสหรัฐกำหนดว่า มาตรการบังคับใช้สิทธิอาจใช้ได้เพียงใน 2 กรณีเท่านั้นกรณีแรก ได้แก่ การใช้เพื่อป้องกันการกระทำที่เป็นการจำกัดการแข่งขัน แต่ทั้งนี้จะต้องมีการตัดสินภายใต้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าของประเทศนั้นแล้วว่า การกระทำของผู้ทรงสิทธิบัตรเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการแข่งขันทางการค้า และ
กรณีที่สอง ให้ใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิได้เฉพาะกรณีที่เป็นการใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ที่ไม่เป็นการใช้เชิงพาณิชย์ หรือเป็นการใช้ในกรณีที่เป็นกรณีฉุกเฉินของชาติ หรือกรณีเป็นความจำเป็นเร่งด่วนอย่างยิ่งยวด โดยทั้งหมดนี้ต้องเปิดโอกาสให้เจ้าของสิทธิบัตรสามารถโต้แย้งฟ้องร้องคำสั่งของเจ้าพนักงานในศาลได้การจำกัดขอบเขตการใช้เช่นนี้ ทำให้ประสิทธิภาพของมาตรการบังคับใช้สิทธิลดลง เช่น ผู้ทรงสิทธิบัตร สามารถถ่วงเวลาการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิออกไป ด้วยการฟ้องร้องเป็นคดีในศาล เป็นต้น
นอกจากนี้ จากเดิมที่มาตรการบังคับใช้สิทธิสามารถใช้ได้อย่างกว้างขวาง เช่น เป็นกลไกควบคุมการใช้สิทธิบัตรโดยมิชอบ (Patent abuses) ในลักษณะต่างๆ ในทุกกรณี (ซึ่งกฎหมายของสหรัฐก็กำหนดมาตรการบังคับใช้สิทธิแบบกว้างเช่นเดียวกัน) ข้อตกลงเอฟทีเอได้กำหนดขอบเขตของมาตรการบังคับใช้สิทธิให้แคบลง จนเหลือเพียงการใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะในบางกรณีเท่านั้น
(2) จำกัดวิธีการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ ภายใต้ข้อตกลงเอฟทีเอกับสหรัฐ ประเทศคู่ค้าจะใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิได้ในเงื่อนไขที่เคร่งครัดมากขึ้น กล่าวคือ ประเทศคู่ค้าจะไม่สามารถอนุญาตให้เอกชนเป็นผู้ใช้สิทธิดังกล่าว จะต้องอนุญาตให้หน่วยงานของรัฐเท่านั้นเป็นผู้ใช้ ต้องมีการชดเชยความเสียหายให้แก่ผู้ทรงสิทธิบัตรอย่างเพียงพอ และประเทศคู่ค้าจะต้องไม่บังคับให้ผู้ทรงสิทธิบัตรถ่ายทอดข้อมูลที่เป็นความลับและโนว์ฮาวสำหรับการใช้เทคโนโลยี ตามสิทธิบัตรให้แก่ผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ ซี่งเงื่อนไขทั้งหมดนี้ได้ทำให้การใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิไม่อาจกระทำได้เลยในทางปฏิบัติ
ข้อเสนอของสหรัฐเช่นนี้ มีความมุ่งหมายที่จะปกป้องผลประโยชน์ของบรรษัทยาข้ามชาติสหรัฐอย่างชัดเจน ปัญหาการเข้าถึงยาเป็นปัญหาสำคัญที่ได้รับการหยิบยกขึ้นพิจารณาในการประชุมระดับรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก และกลายเป็นปฏิญญาโดฮาว่าด้วยข้อตกลงทริปส์และการสาธารณสุข (Doha Declaration on TRIPS and Public Health) ในที่สุด ซึ่งแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาการเข้าถึงยาของประเทศยากจนที่องค์การการค้าโลกให้นำมาใช้ ก็คือมาตรการบังคับใช้สิทธิ ( Rich, J. "Roche Asks for Meeting with Brazil Health Minister", NY TIMES, Aug. 24, 2001)
สหรัฐในฐานะประเทศสมาชิกขององค์การการค้าโลก แทนที่จะช่วยส่งเสริมแนวทางขององค์การ แต่กลับปกป้องผลประโยชน์ของตน ด้วยแนวทางและวิธีการที่สวนทางกับองค์การการค้าโลก ข้อตกลงเอฟทีเอที่สหรัฐทำกับประเทศคู่ค้าจะซ้ำเติมปัญหาการเข้าถึงยาของประเทศยากจน และทำให้สถานการณ์สาธารณสุขของประเทศเหล่านั้นเลวร้ายยิ่งขึ้น
ข้อตกลงทริปส์และอนุสัญญากรุงปารีสมิได้ห้ามประเทศสมาชิกเพิกถอนสิทธิบัตร หากสิทธิบัตรก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจสังคมของประเทศ เช่น ก่อให้เกิดการผูกขาดสินค้าหรือสร้างความเดือดร้อนแก่สังคม รัฐสามารถที่จะเพิกถอนสิทธิบัตรดังกล่าวเสียได้
ข้อตกลงเอฟทีเอที่ทำกับสหรัฐได้ห้ามประเทศคู่ค้ามิให้เพิกถอนสิทธิบัตรในทุกกรณี ยกเว้นจะเป็นการเพิกถอนโดยเหตุผลในเรื่องความไม่สมบูรณ์ของการประดิษฐ์ที่ได้รับความคุ้มครอง ซึ่งหมายความว่า ประเทศสมาชิกจะไม่เหลือมาตรการใดๆ ในการควบคุมการใช้สิทธิบัตรเลย ข้อตกลงเอฟทีเอกับสหรัฐได้เพิ่มอำนาจผู้ขาดของบรรษัทข้ามชาติและผู้ทรงสิทธิบัตร แต่ในขณะเดียวกันก็ลดทอนอำนาจของรัฐในการกำกับควบคุมพฤติกรรมของบรรษัทดังกล่าว รวมทั้งจำกัดอำนาจของรัฐในการส่งเสริมการแข่งขันและคุ้มครองผู้บริโภค
ข้อตกลงเอฟทีเอยังจำกัดการนำเข้าซ้อน การนำเข้าซ้อน คือการนำสินค้าที่จำหน่ายในต่างประเทศเข้ามาขายแข่งขันกับสินค้าของผู้ทรงสิทธิในประเทศ โดยทั่วไปบรรษัทข้ามชาติมักจะขายสินค้าในประเทศต่างๆ ในราคาที่แตกต่างกัน บุคคลที่สามอาจนำเข้าสินค้าของผู้ทรงสิทธิที่จำหน่ายในราคาที่ถูกกว่าในต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศ อันเป็นการตัดราคา ซึ่งจะทำให้ผู้ทรงสิทธิต้องขายสินค้าในประเทศในราคาที่ถูกลง การนำเข้าซ้อนจึงเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค เนื่องจากก่อให้เกิดการแข่งขัน และการลดการผูกขาด
ข้อตกลงเอฟทีเอที่ทำกับสหรัฐได้กำหนดห้ามใช้หลัก
"การระงับสิ้นไปของสิทธิแบบระหว่างประเทศ" (International Exhaustion Doctrine)
เท่านั้น
(ตามข้อ 6 ของข้อตกลงทริปส์ ประเทศสมาชิกสามารถจะถูกว่าสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาระงับสิ้นไปในการมีขายผลิตภัณฑ์ภายใต้สิทธิ
โดยผู้ทรงสิทธิหรือด้วยความยินยอมของผู้ทรงสิทธิ การใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิสามารถกระทำได้
3 แนวด้วยกัน คือ
(1) ถือว่าสิทธิจะระงับเฉพาะในกรณีที่มีการขายสินค้าในประเทศ การที่ผู้ทรงสิทธิได้ขายสินค้าในต่างประเทศจะไม่มีผลทำให้สิทธิของผู้ทรงสิทธิระงับไป (เรียกว่า "National exhaustion")
(2) ถือว่าสิทธิระงับไปในกรณีที่มีการขายสินค้าในเขตเศรษฐกิจ การขายสินค้านอกเขตเศรษฐกิจจะไม่ทำให้สิทธินั้นระงับไป ซึ่งประเทศที่ใช้หลักการนี้คือสหภาพยุโรป ที่ต้องการส่งเสริมให้เกิดการเคลื่อนย้ายของสินค้าโดยเสรี ตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งตลาดร่วมยุโรป (เรียกว่า "Regional exhaustion")
(3) ถือว่าสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาจะระงับไป หากผู้ทรงสิทธิได้ขายสินค้าไม่ว่า ณ ที่ใดในโลก หลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ได้ใช้หลักการนี้ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการนำเข้าซ้อน และเกิดการแข่งขันด้านราคาระหว่างสินค้านำเข้ากับสินค้าของผู้ทรงสิทธิ (เรียกว่า "International exhaustion")
โปรดดูเพิ่มเติมใน จักรกฤษณ์ ควรพจน์ กฎหมายสิทธิบัตร: แนวความคิดและบทวิเคราะห์ (พิมพ์ครั้งที่สอง) สำนักพิมพ์นิติธรรม 2544)
ซึ่งหมายความว่าผู้ทรงสิทธิสามารถฟ้องร้องผู้นำเข้าซ้อนสินค้าของตนจากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศได้ โดยฟ้องว่าผู้นำเข้าละเมิดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของตน
5. คุ้มครองเครื่องหมายการค้าที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยสายตา
ในการจัดตั้งเขตการค้าเสรีกับสหรัฐ ประเทศคู่ค้าต้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้าอย่างกว้างขวางเกินเลยจากหลักการในข้อตกลงทริปส์
ข้อตกลงทริปส์กำหนดให้ประเทศสมาชิกคุ้มครองถ้อยคำ อักษรประดิษฐ์ รูปภาพ การผสมกันของสี
ฯลฯ สหรัฐกำหนดให้ประเทศคู่สัญญาเอฟทีเอ คุ้มครองสิ่งที่ไม่สามารถสัมผัสได้โดยจักษุประสาท
(invisible to the eye) การกำหนดเช่นนี้เพื่อเปิดโอกาสให้มีการนำเอาสิ่งที่ไม่สามารถสัมผัสได้โดยประสาทสัมผัสอื่นนอกจากจักษุสัมผัส
เช่น เสียง กลิ่น รส ฯลฯ มาจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ภายใต้กฎหมายเครื่องหมายการค้าของสหรัฐ
เป็นสิ่งที่อาจนำมาจดเป็นเครื่องหมายการค้า
นอกจากนี้ ข้อตกลงเอฟทีเอกำหนดให้มีการคุ้มครองเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงแพร่หลาย (Well-know marks) ก็ต้องกระทำในระดับสูงเช่นเดียวกัน โดยถือความรับรู้ของคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสาขานั้นในการพิจารณาว่า เครื่องหมายการค้านั้นมีชื่อเสียงแพร่หลายหรือไม่ โดยมิให้ใช้ความรับรู้ของประชาชนทั่วไป ซึ่งอาจไม่เกี่ยวข้องรับรู้ถึงชื่อเสียงของเครื่องหมายการค้านั้นเลยก็ได้
การคุ้มครองเครื่องหมายการค้าในระดับสูง จะเปิดโอกาสให้บริษัทใช้วิธีการโฆษณาจูงใจประชาชนให้เกิดความจงรักภักดีต่อตราสินค้า (Brand loyalty) ซึ่งการผูกขาดโดยเครื่องหมายการค้าจะเป็นประโยชน์อย่างถาวรต่อบริษัท ยิ่งกว่าการผู้ขาดโดยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาอื่น เนื่องจากการคุ้มครองเครื่องหมายการค้าไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุด บริษัทจึงสามารถรักษาอำนาจการผูกขาดตลาดของตนได้ตลอดไป ทั้งนี้แม้อายุสิทธิบัตรหรือสิทธิประเภทอื่นจะสิ้นสุดลงแล้วก็ตาม
งานศึกษาของสแต็ทแมน (Statman) ระบุว่า "ราคาสินค้ายาที่มีสิทธิบัตรมิได้ลดลง ถึงแม้ว่าสิทธิบัตรของยานั้นจะหมดอายุแล้วก็ตาม ทั้งนี้เป็นผลมาจากความจงรักภักดีต่อตราสินค้า ที่สร้างขึ้นโดยเครื่องหมายการค้าและการโฆษณาประชาสัมพันธ์" ( Statman, M. "The Effect of Patent Expiration on the Market Position of Drugs", in Helms, R.B. (ed.), Drugs and Health, AEI, Washington, 1981, pp.140-150)
6.
การคุ้มครองลิขสิทธิ์และเทคโนโลยีดิจิตอล
ข้อตกลงทริปส์มิได้กำหนดหลักการเกี่ยวกับการคุ้มครองเทคโนโลยีดิจิตอล และลิขสิทธิ์ของงานที่เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต
ในปี ค.ศ. 1996 องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ได้จัดทำข้อตกลงระหว่างประเทศขึ้นสองฉบับ
ที่เรียกรวมกันว่า "สนธิสัญญาอินเตอร์เน็ต" (Internet treaties) อันได้แก่ "WIPO
Copyright Treaty" และ "WIPO Performances and Phonograms Treaty"
สนธิสัญญาทั้งสองนี้ได้สร้างหลักการใหม่เกี่ยวกับการคุ้มครองงานที่เกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต โดยให้สิทธิแก่เจ้าของงานในระดับสูง ซึ่งสหรัฐเองได้เข้าร่วมในสนธิสัญญาทั้งสองนี้ และได้แก้ไขกฎหมายของตนเพื่อให้การคุ้มครองงานตามหลักการในสนธิสัญญา
ข้อตกลงเอฟทีเอที่ทำกับสหรัฐ กำหนดให้ประเทศคู่ค้าคุ้มครองลิขสิทธิ์และเทคโนโลยีดิจิตอลในประเด็นต่างๆ ต่อไปนี้
(1) ประเทศคู่สัญญาจัดตั้งเขตการค้าเสรีกับสหรัฐ ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในข้อตกลง ระหว่างประเทศ 3 ฉบับ คือ "Convention Relating to the Distribution of Program-Carrying Signals Transmitted by Satellite (1974)" "WIPO Copyright Treaty (1996)" และ "WIPO Performances and Phonograms Treaty (1996)"(2) ประเทศคู่ค้าต้องคุ้มครองลิขสิทธิ์โดยมีอายุการคุ้มครองยาวนานกว่ากำหนดในข้อตกลงทริปส์ กล่าวคือ เป็นกำหนดเวลา 70 ปีนับจากวันที่ผู้สร้างสรรค์งานถึงแก่ความตาย
(3) ข้อตกลงทริปส์กำหนดให้มีสิทธิในการเช่า (Rental rights) สำหรับงานสองประเภทคือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และงานภาพยนตร์ แต่ข้อตกลงเอฟทีเอที่ทำกับสหรัฐกำหนดให้มีสิทธิการเช่าสำหรับงานทุกประเภท รวมทั้งงานวรรณกรรม ศิลปกรรม และสิ่งบันทึกเสียงทุกประเภท
(4) ประเทศคู่ค้าต้องป้องกันมิให้มีการการถอดรหัสสัญญาณดาวเทียมที่มีการเข้ารหัสเอาไว้ รวมทั้งป้องกันการเผยแพร่ต่อซึ่งสัญญาณที่ถูกถอดรหัสหรือเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้เพื่อการถอดรหัส โดยปราศจากความยินยอมของเจ้าของงาน บทบัญญัติและหลักการเช่นนี้มิได้ปรากฏอยู่ในข้อตกลงทริปส์ การกำหนดบังคับให้ประเทศคู่ค้าต้องรับหลักการเช่นนี้ได้แสดงว่า สหรัฐกำลังสร้างหลักการคุ้มครองลิขสิทธิ์แบบใหม่ ที่มิใช่เป็นการให้สิทธิเด็ดขาดในงานที่สร้างสรรค์เท่านั้น หากแต่รวมถึงการให้สิทธิในการใช้จำหน่ายอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ที่ใช้เพื่อการเข้ารหัส และถอดรหัสสัญญาณด้วย
(5) ประเทศคู่ค้าต้องคุ้มครองเทคโนโลยีการบริหารสิทธิ (Right management technology) ที่เป็นเครื่องมือช่วยให้เจ้าของสิทธิสามารถบริหารจัดการการจำหน่าย และหาประโยชน์จากผลงานของตนได้อย่างเต็มที่ ประเทศสมาชิกต้องให้สิทธิแก่เจ้าของงานในอันที่จะห้ามปรามกีดกันบุคคลอื่นมิให้ยุ่งเกี่ยวแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีดังกล่าว ซึ่งหลักการนี้มิได้ถูกกำหนดไวในข้อตกลงทริปส์
(6) ประเทศคู่ค้าต้องให้สิทธิแก่เจ้าของงานอย่างกว้างขวาง รวมถึงสิทธิที่จะห้ามการทำซ้ำชั่วคราว (Temporary reproduction) หลักการนี้จะทำให้การใช้งานโปรแกรมคอมพิวเตอร์และการท่องอินเตอร์เน็ตเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ เนื่องจากทุกครั้งที่มีการใช้คอมพิวเตอร์จะต้องมีการทำซ้ำงาน (ชั่วคราว) ไว้ในแรม (RAM) ของเครื่อง อันเป็นการทำซ้ำทางเทคนิคของเทคโนโลยี สหรัฐต้องการให้ประเทศคู่ค้าให้การคุ้มครองในระดับสูง เพื่อเปิดโอกาสให้เจ้าของงานสามารถผูกขาดควบคุมการใช้ลิขสิทธิ์ได้
(7) ข้อตกลงเอฟทีเอกำหนดให้ประเทศคู่ค้าให้สิทธิเจ้าของงานที่จะดำเนินคดีกับ ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (Internet service providers) โดยผู้ให้บริการต้องรับผิดตามกฎหมาย หากมีการละเมิดลิขสิทธิ์โดยผ่านเครือข่ายให้บริการของตน นอกจากนี้ ผู้ให้บริการจะต้องยินยอมให้เจ้าของลิขสิทธิ์สามารถตรวจสอบการใช้และการทำซ้ำงานดิจิตอลต่างๆ ที่มีอยู่ เพื่อที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานสำหรับการดำเนินคดีในศาลด้วย
การห้ามเกี่ยวข้องกับการเข้ารหัสและห้ามใช้เครื่องมือเพื่อถอดรหัส จะทำให้สิทธิผูกขาดในข้อมูลและของเจ้าของเทคโนโลยีกว้างขวางเกินสมควร เจ้าของงานสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อผูกขาดงานของตนได้ตลอดไป โดยไม่คำนึงถึงอายุการคุ้มครอง เจ้าของเทคโนโลยีสามารถนำข้อมูลหรืองานที่ไม่มีลิขสิทธิ์มาจัดเก็บในระบบดิจิตอล และทำการเข้ารหัสเพื่อกีดกันผู้อื่น ซึ่งหากผู้ใดกระทำการถอดรหัสโดยไม่ได้รับความยินยอม ก็จะมีความผิดตามกฎหมาย
ข้อเรียกร้องของสหรัฐในหลักการต่างๆ เหล่านี้ จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิของสาธารณชนในการใช้และการเข้าถึงข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต จะจำกัดสิทธิในการใช้อย่างเป็นธรรม (Fair use) ของสาธารณชน การคุ้มครองด้วยระบบนี้จะส่งผลกระทบต่อการใช้อินเตอร์เน็ตและส่งผลต่อการศึกษาของประเทศ เจ้าของงานจะสามารถเรียกค่าธรรมเนียมการใช้ข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต แม้การใช้นั้นจะได้กระทำโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาก็ตาม (Cohen, J.E. "Lochner in Cyberspace: The New Economic Orthodoxy of "Right Management", 97 Mich. L. Rev. 462 (1998))
จุดที่จะส่งผลกระทบต่อสังคมมากที่สุด คือการใช้หลัก "การทำซ้ำชั่วคราว" ที่จะทำให้เจ้าของงานควบคุมการใช้อินเตอร์เน็ตของสาธารณชนได้ ในขณะที่การใช้งานลิขสิทธิ์ทั่วไปจะไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น การอ่านหนังสือไม่ถือเป็นการทำละเมิด แต่ข้อตกลงเอฟทีเอจะทำให้ประเทศคู่ค้าของสหรัฐเปิดโอกาสให้เจ้าของงานควบคุมการใช้งานทางอินเตอร์เน็ต และถือว่าการใช้อินเตอร์เน็ตโดยไม่รับความยินยอมเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในทุกกรณี
7. การบังคับสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
สหรัฐกำหนดให้ประเทศคู่สัญญาเอฟทีเอ เพิ่มมาตรการปราบปรามการละเมิดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มกำหนดโทษและค่าปรับ เพิ่มความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของรัฐในการปราบปรามการทำละเมิด
และเพิ่มประสิทธิภาพของศาลและหน่วยงานยุติธรรมเพื่อลงโทษการทำละเมิดสิทธิอย่างเด็ดขาด
นอกจากนี้ สหรัฐยังต้องการให้ความผิดฐานละเมิดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเป็น "ความผิดอาญาแผ่นดิน" มิใช่เป็น "ความผิดที่ยอมความได้" เพื่อที่จะบีบให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดแม้ไม่ปรากฏผู้เสียหาย หรือแม้จะไม่มีการร้องทุกข์กล่าวโทษก็ตาม
สหรัฐยังกำหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐของประเทศคู่ค้า มีหน้าที่ต้องรายงานให้ผู้ทรงสิทธิทราบถึงการทำละเมิด รายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลผู้กระทำละเมิด สถานที่อยู่ และสถานที่ที่มีการพบการละเมิดและจับกุม ซึ่งข้อเรียกร้องต่างๆ เหล่านี้ ล้วนแต่เป็นข้อกำหนดที่เกินเลยจากหลักการของข้อตกลงทริปส์ที่กำหนดว่า "สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเป็นสิทธิของเอกชน" ซึ่งการปกป้องคุ้มครองควรเป็นหน้าที่และความริเริ่มโดยตรงของผู้ที่เป็นเจ้าของสิทธิ โดยรัฐไม่มีหน้าที่เกินสมควรดังที่กำหนดไว้ในข้อตกลงเอฟทีเอ
บทสรุป
การจัดตั้งเขตการค้าเสรี
มีความมุ่งหมายเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันระหว่างประเทศคู่ค้า แต่ในระยะยาวจะมีผลกระทบต่อระบบการค้าพหุภาคี
ที่มุ่งสร้างระบบการค้าที่เสรีและเป็นธรรมสำหรับประเทศสมาชิกโดยรวม หากองค์การการค้าโลกไม่สามารถยุติการทำข้อตกลงเอฟทีเอที่มีหลักการเบี่ยงเบนจากเจตนารมณ์และบทบัญญัติแห่งข้อตกลงพหุภาคี
ก็จะส่งผลกระทบต่อการจัดทำระบบการค้าเสรีที่ทุกประเทศมุ่งหวังในที่สุด
ประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมาก มีประสบการณ์ที่เจ็บปวดจากการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา โดยถูกบีบบังคับทั้งแบบสองฝ่ายและหลายฝ่ายจากประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่การที่ประเทศกำลังพัฒนาต้องประสบปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้ประเทศเหล่านั้นมีความมุ่งมั่นที่จะทำข้อตกลงเปิดตลาดของประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะตลาดการค้าขนาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อดังเช่นตลาดสหรัฐ ปัญหาคือ ประเทศกำลังพัฒนาจะชั่งน้ำหนักผลประโยชน์จากการทำข้อตกลงเอฟทีเออย่างถูกต้องเหมาะสมได้เพียงใด ผลประโยชน์ระยะยาวในด้านสุขอนามัย การศึกษา และระบบเกษตรกรรมของประเทศ กับผลประโยชน์ระยะสั้นที่จะได้จากการส่งออกสินค้า อะไรจะมีความสำคัญมากกว่ากัน การตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวกับรากฐานทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ เป็นสิ่งที่ประเทศกำลังพัฒนาพึงต้องกระทำด้วยความรอบคอบอย่างยิ่ง
หลักการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เรียกว่า "ทริปส์ผนวก" จะสร้างผลกระทบระยะยาวเกินกว่าที่จะแก้ไขเยียวยาได้ และผลกระทบนี้จะมีต่อประชาชนทุกคน ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการทำข้อตกลงเอฟทีเอกับสหรัฐ โดยจะต้องปฏิเสธหลักการ "ทริปส์ผนวก" อย่างสิ้นเชิง และจะต้องไม่ยอมรับหลักการดังกล่าว แม้ว่าสหรัฐจะเสนอแลกเปลี่ยนด้วยผลประโยชน์ใดก็ตาม
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา I ประวัติ ม.เที่ยงคืน
e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
สำหรับสมาชิกที่ต้องการ download ข้อมูล อาจใช้วิธีการง่ายๆดังต่อไปนี้
1. ให้ทำ hyper text ข้อมูลทั้งหมด
2. copy ข้อมูลด้วยคำสั่ง Ctrl + C
3. เปิด word ขึ้นมา (microsoft-word หรือ word pad)
4. Paste โดยใช้คำสั่ง Ctrl + V
จะได้ข้อมูลมา ซึ่งย่อหน้าเหมือนกับต้นฉบับทุกประการ
(กรณีตัวหนังสือสีจาง ให้เปลี่ยนสีเป็นสีเข้มในโปรแกรม Microsoft-word)
ภาพประกอบดัดแปลง เพื่อใช้ประกอบบทความวิชาการบน
เว็ป มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน :
ขณะนี้รัฐบาลสหรัฐ กำลังดำเนินการรุกหนักเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรี
ด้วยการทำข้อตกลงเอฟทีเอ (FTA) กับประเทศต่างๆ. ในปี 2546 สหรัฐได้ทำข้อตกลงเอฟทีเอไปแล้วกับสองประเทศ
คือ สิงคโปร์ และชิลี และอยู่ระหว่างการเจรจาจัดทำข้อตกลงลักษณะเดียวกันกับอีกหลายประเทศ
รวมทั้งไทย
นอกจากนี้ สหรัฐยังต้องการให้ความผิดฐานละเมิดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเป็น
"ความผิดอาญาแผ่นดิน" มิใช่เป็น "ความผิดที่ยอมความได้" เพื่อที่จะบีบให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดแม้ไม่ปรากฏผู้เสียหาย
หรือแม้จะไม่มีการร้องทุกข์กล่าวโทษก็ตาม - สหรัฐยังกำหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐของประเทศคู่ค้า
มีหน้าที่ต้องรายงานให้ผู้ทรงสิทธิทราบถึงการทำละเมิด รายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลผู้กระทำละเมิด
สถานที่อยู่ และสถานที่ที่มีการพบการละเมิดและจับกุม ซึ่งข้อเรียกร้องต่างๆ เหล่านี้
ล้วนแต่เป็นข้อกำหนดที่เกินเลยจากหลักการของข้อตกลงทริปส์ที่กำหนดว่า "สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเป็นสิทธิของเอกชน"
ซึ่งการปกป้องคุ้มครองควรเป็นหน้าที่และความริเริ่มโดยตรงของผู้ที่เป็นเจ้าของสิทธิ
โดยรัฐไม่มีหน้าที่เกินสมควรดังที่กำหนดไว้ในข้อตกลงเอฟทีเอ -
การจัดตั้งเขตการค้าเสรี มีความมุ่งหมายเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันระหว่างประเทศคู่ค้า
แต่ในระยะยาวจะมีผลกระทบต่อระบบการค้าพหุภาคี ที่มุ่งสร้างระบบการค้าที่เสรีและเป็นธรรมสำหรับประเทศสมาชิกโดยรวม