บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 252 เดือนเมษายน 2546 หัวเรื่อง : เบื้องหลังความพัวพันเกี่ยวกับสงครามอิรัค สหรัฐ และอิสราเอล โดย Edward Said เรียบเรียงโดย สมเกียรติ ตั้งนโม : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน วันที่ 2 เมษายน 2546 (ความยาวประมาณ 17 หน้ากระดาษ A4 font 16 p.)
ระหว่างที่มีการปฏิบัติการทางทหารของอเมริกันที่แพร่อยู่ในปัจจุบัน
เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองในอิรัค สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือผู้คนชาวอิรัค
ซึ่งส่วนใหญ่จำนวนมากมายมหาศาลศต้องตกอยู่ในสภาพของความยากจนข้นแค้น, ความขาดแคลนด้านโภชนาการและความเจ็บป่วยในฐานะที่เป็นผลลัพธ์ของ
10 ปีแห่งการลงโทษหรือการแซงค์ชั่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้หลุดรอดไปจากสายตาที่มองเห็น
อันนี้เป็นความประสานสอดคล้องอย่างสมบูรณ์กับนโยบายของสหรัฐอเมริกาในตะวันออกกลาง
ที่สร้างขึ้นมาบนเสาหลักสองต้นอันมหึมาและสำคัญยิ่ง นั่นคือ ความมั่นคงปลอดภัยของอิสราเอล(1)
และการได้ใช้น้ำมันราคาถูกอย่างอุดมสมบูรณ์(2)
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ
Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
สนใจสมัครเป็นสมาชิก
กรุณาคลิก member page
ส่วนผู้ที่ต้องการดูหัวข้อบทความ
ทั้งหมด ที่มีบริการอยู่ขณะนี้
กรุณาคลิกที่ contents page
และผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
หรือประกาศข่าว
กรุณาคลิกที่ปุ่ม webboard
ข้างล่างของบทความชิ้นนี้
หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
midnightuniv(at)yahoo.com
มันมีนัยสำคัญเกี่ยวกับเจตจำนงของนายชาลอน
ซึ่งได้ไปไกลลิบถึงขนาดพยายามที่จะทำลายล้างความน่ากลัวให้สิ้นซาก ซึ่งบรรดาทหารของเขาได้ทำลายเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง
และต่อจากนั้นได้มีการขโมยแฟ้มข้อมูลต่างๆของคอมพิวเตอร์ และฮาร์ดไดรฟส์จากสำนักงานสถิติแห่งชาติไป,
รวมทั้งของกระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงการคลัง, กระทรวงสาธารณสุข, ศูนย์วัฒนธรรม,
มีการจงใจทำร้ายเจ้าหน้าที่ต่างๆและทำลายห้องสมุดด้วย ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการลดทอนความเป็นอยู่และการครองชีวิตของชาวปาเลสติเนียนลงสู่ระดับก่อนมาถึงยุคสมัยใหม่(pre-modern
level)
กองกำลังของเขาซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเลบานอน ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงการหยุดยิงชั่วคราวเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มก่อนการรุกราน. สองสามวันถัดมา วันที่ 13 มิถุนายน กรุงเบรุตได้ตกอยู่ภายใต้การโอบล้อมของกองทัพอิสราเอล. ถึงแม้ว่า, ดังที่ปฏิบัติการทางทหารได้เริ่มต้นขึ้น, โฆษกรัฐบาลอิสราเอลได้อ้างถึงแม่น้ำ Awali, แต่อันที่จริงแล้ว 35 กิโลเมตรทางด้านเหนือของชายแดน คือเป้าหมายของพวกเขา
โดยไม่มีการอ้อมค้อมแต่ประการใด ต่อมาปรากฎว่านายเอเลียว ชาลอน พยายามที่จะฆ่านายยัสเซอร์ อาราฟัด ด้วยการทิ้งระเบิดทุกที่โดยรอบผู้นำที่ต่อต้านและเป็นปฏิปักษ์ชาวปาเลสติเนียน. พร้อมกันกับการโอบล้อมก็คือการปิดล้อมเกี่ยวกับความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม มีการตัดน้ำและไฟฟ้า และมีการทิ้งระเบิดทางอากาศอย่างสม่ำเสมอต่อไป ซึ่งได้ทำลายอาคารบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างในกรุงเบรตนับร้อยๆหลัง และในช่วงสิ้นสุดการโอบล้อมในปลายเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน ได้คร่าชีวิตชาวปาเลสติเนียนและชาวเลบานีสไปประมาณ 18,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่ของคนเหล่านั้นเป็นเพียงแค่พลเรือน
เลบานอนได้ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับด้วยสงครามกลางเมืองที่น่ากลัวนับจากฤดูใบไม้ผลิปี 1975 เป็นต้นมา และถึงแม้ว่า อิสราเอลจะเคยส่งทหารของพวกเขาเข้าไปในเลบานอนเพียงครั้งเดียวก็ตามก่อนปี ค.ศ.1982 แต่อิสราเอลได้รับการพยายามติดต่อในฐานะพันธมิตรโดยกองกำลังอาสาสมัครของพวกคริสเตียนฝ่ายขวามาก่อนหน้านั้นแล้ว ด้วยการมีที่มั่นอยู่ทางด้านเบรุตตะวันออก กองกำลังอาสาสมัครเหล่านี้ได้ร่วมปฏิบัติการกับกองกำลังต่างๆของชาลอน โดยผ่านการโอบล้อมครั้งนั้น ซึ่งได้มาสิ้นสุดลงหลังจากวันเวลาอันน่าสยดสยองของการทิ้งระเบิดโดยไม่มีการเจาะจงเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม
และแน่นอน มันคือการฆาตกรรมหมู่ของ Sabra และ Shatila (Sabra หมายถึง ชนกำเนิดพื้นเมืองอิสราเอล). พันธมิตรหลักของนายชาลอนก็คือ Bashir Gemayel, ซึ่งเป็นผู้นำของพรรค Phalanges (พรรคฟาลังจีส เป็นพรรคการเมืองฝ่ายขวาของเลบานอน) ผู้ได้รับเลือกขึ้นมาให้เป็นประธานาธิบดีของเลบานอนโดยรัฐสภาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 1982
นาย Gemayel มีความเกลียดชังชาวปาเลสติเนียน ส่วนชาวปาเลสติเนียนได้เข้าสู่สงครามกลางเมืองอย่างไม่ฉลาดนักอยู่ในข้างฝ่ายของขบวนการเคลื่อนไหวแห่งชาติ มีการร่วมมือกันอย่างหลวมๆกับพวกฝ่ายซ้ายและพรรคชาตินิยมอาหรับที่รวมถึง Amal, ซึ่งถือเป็นผู้นำหรือผู้บุกเบิกของขบวนการชีอะฮิสบูลเลาะห์(Hizbullah Shi'ite movement)ทุกวันนี้ ซึ่งได้แสดงถึงบทบาทนำในการขับไล่ชาวอิสราเอลิให้ออกไปในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ.2000
การต้องเผชิญหน้ากับโอกาสข้างหน้าเกี่ยวกับการตกเป็นทาสอิสราเอลโดยตรง ภายหลังจากกองทหารของชาลอนได้ทำให้เกิดการเลือกตั้งขึ้น, ดูเหมือนว่านาย Gemayel จะคัดค้าน. เขาได้ถูกลอบสังหารในวันที่ 14 กันยายน. หลังจากนั้นสองวัน ค่ายสังหารหมู่เริ่มมีการรักษาความปลอดภัยภายใน ซึ่งอันนี้ได้รับการตระเตรียมขึ้นมาโดยกองทหารอิสราเอล เพื่อว่าพวกกลุ่มหัวรุนแรงที่เป็นสมาชิกคริสเตียนที่เคียดแค้นของ Gemayel จะได้สามารถกระทำสิ่งที่น่าสยดสยองของพวกเขาที่ไม่มีใครสามารถคัดค้านและมาทำให้เกิดความวอกแวกได้
ภายใต้การดูแลควบคุมของสหประชาติ และแน่นอนสหรัฐด้วย, กองทหารของฝรั่งเศสได้เข้าไปในกรุงเบรุตในเดือนสิงหาคม. พวกเขาได้รับความร่วมมือจากสหรัฐและกองกำลังยุโรปอื่นๆอีกเล็กน้อยต่อมาภายหลัง อย่างไรก็ตาม บรรดานักรบ PLO เริ่มมีการถอนตัวออกจากเลบานอนในวันที่ 21 สิงหาคม
วันที่ 1 กันยายน การถอนตัวดังกล่าวได้เสร็จสิ้นลง และนายอาราฟัดได้เพิ่มจำนวนคณะที่ปรึกษาและทหารของเขาขึ้นมาอีกเล็กน้อยซึ่งได้รับการรับรองในเมืองตูนิส. ช่วงระหว่างเวลานั้น สงครามกลางเมืองเลบานิสยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งปี 1990 ในช่วงที่ข้อตกลงที่เป็นทางการได้รับการวางรูปแบบร่วมกันใน Taif, ไม่มากก็น้อย อันนี้เป็นการรื้อฟื้นระบบการสารภาพผิดอันเก่าแก่ขึ้นมาใหม่ ซึ่งยังคงเป็นอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้
ในช่วงกลางปี ค.ศ.1994 - นายอาราฟัดยังคงเป็นผู้นำของ PLO - และคณะที่ปรึกษาและทหารเหล่านั้นก็ยังคงเป็นชุดเดิม ซึ่งสามารถที่จะเข้าไปในฉนวนกาซาได้ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่าข้อตกลงออสโล(Oslo agreements)
ก่อนหน้าปีดังกล่าว นายชาลอนได้รับการอ้างว่า เขารู้สึกเศร้าสลดต่อความล้มเหลวของตัวเองในความพยายามที่จะฆ่านายอาราฟัดในกรุงเบรุต แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ. อย่างไรก็ตาม การพยายามฆ่าไม่ใช่ความต้องการของเขาเพียงประการเดียวเกี่ยวกับความพยายามทั้งหมด, เมื่อสถานที่ซ่อนหลายโหล และสำนักงานใหญ่หลายแห่งของนายอาราฟัดได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นซากเศษอิฐเศษปูนรวมทั้งการสูญเสียชีวิตครั้งยิ่งใหญ่
ย้อนกลับมาในปี 1982 อาหรับทั้งหลายไม่มีความรู้สึกใดๆ, ผมคิดว่าเป็นเช่นนั้น ต่อความเข้าใจที่ว่า ไม่เพียงอิสราเอลจะใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและล้ำสมัย(เช่น เครื่องบินรบ, ขีปนาวุธ, รถถัง และเฮลิคอปเตอร์)โจมตีพลเรือนโดยไม่เลือกเท่านั้น แต่ทั้งสหรัฐอเมริกา และรวมถึงชาวอาหรับอื่นๆก็ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน เพื่อหยุดยั้งปฏิบัติการดังกล่าวแต่อย่างใด แม้ว่ามันจะมีเจตนาที่พุ่งไปยังบรรดาผู้นำและเมืองหลวงต่างๆก็ตาม (สำหรับกรณีเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอให้ดู Rashid Khalidi, Under Siege, New York 1986; Robert Fisk, Pity the Nation, London 1990; ส่วนเรื่องราวเพิ่มเติมโดยเฉพาะเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองเลบานอน ขอให้ดู, Jonathan Randall, Going All the Way, New York, 1983)
ด้วยเหตุดังนั้น จึงเป็นการสิ้นสุดลงของความพยายามอย่างเต็มอัตราในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ที่ระบอบการปกครองแบบทหาร พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงอีกประเทศหนึ่งในตะวันออกกลางโดยประเทศที่เหนือกว่าในทุกๆด้าน. ทั้งหมดที่ผมได้นำเรื่องนี้ขึ้นมากล่าว เป็นเพราะ, มันคือฉากหลังอันยุ่งเหยิงของสิ่งซึ่งกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันนั่นเอง
นายชาลอน ทุกวันนี้ เขาเป็นนายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ทหารและเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อของเขา มันได้โอบล้อมและทำให้นายอาราฟัดและชาวปาเลสติเนียนทั้งหลายกลายเป็นอมนุษย์ในฐานะ"พวกผู้ก่อการร้าย"ขึ้นมาอีกครั้ง
มันเป็นสิ่งสำคัญและมีค่ายิ่งที่จะระลึกถึงคำว่า"ผู้ก่อการร้าย" ซึ่งเริ่มต้นถูกนำมาใช้อย่างเป็นระบบโดยอิสราเอล เพื่ออรรถาธิบายถึงการกระทำของชาวปาเลสติเนียนในเชิงที่ต่อต้าน อันนี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงกลางทศวรรษที่ 1970s. และมันได้กลายเป็นกฎนับจากนั้นเป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงระหว่าง Intifada ครั้งแรก(Intifada - หมายถึงการที่ชาวปาเลสติเนียนได้ลุกขึ้นต่อสู้กับการยึดครองของอิสราเอลในเขตฉนวนกาซา และ West Bank ซึ่งเริ่มต้นในปี ค.ศ.1987-93)
ซึ่งการใช้ถ้อยคำ"ผู้ก่อการร้าย"ดังกล่าว มันมีนัยสำคัญในการขจัดหรือลบความแตกต่างระหว่าง"การต่อต้าน-คัดค้าน" กับ"การก่อการร้ายจริงๆ"ออกไป และยังได้"ทำลายหรือยักย้ายเหตุผลต่างๆเกี่ยวกับการต่อสู้ทางการเมืองด้วยกำลังทหารทิ้งไปด้วย"
ในช่วงระหว่างทศวรรษที่ 1950s - 60s นายเอเลียว ชาลอน ได้รับแรงกระตุ้นต่างๆของเขา กล่าวคือ โดยการหันหัวหน่วยรบ 101 ที่เลวทรามมายังดินแดนปาเลสไตน์ ซึ่งได้สังหารพลเรือนชาวอาหรับ และทำลายบ้านเรือนของผู้คนเหล่านั้นด้วยการยินยอมหรือนุญาตของ Ben Gurion. นาย Ben Gurion เป็นผู้รับผิดชอบดูแลเกี่ยวกับการรักษาความสงบเกี่ยวกับฉนวนกาซา ในช่วงปี 1970-1. ไม่มีผลอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้, รวมถึงปฏิบัติการทางทหารในปี 1982, ตลอดกระทั่งผลลัพธ์ในการกำจัดผู้คนปาเลสติเนียน หรือในการเปลี่ยนแปลงแผนที่หรือระบอบการปกครองโดยเครื่องมือและวิธีการทางด้านการทหารเพื่อประกันหรือรับรองถึงชัยชนะของอิสราเอลทั้งหมด
ข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างปี 1982 และปี 2002 ก็คือ ขณะนี้ชาวปาเลสติเนียนได้ตกเป็นเหยื่อและถูกโอบล้อมอยู่ในฐานะ"พวกผู้ก่อการร้ายปาเลสติเนียน"ซึ่งได้ถูกยึดครองมาตั้งแต่ปี 1967 นอกจากนี้ พวกเขายังได้รับการดูถูกและถูกทำร้ายภายใต้การยึดครองนั้น มีการทำลายเศรษฐกิจ รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐานทางด้านพลเรือนเกี่ยวกับการครองชีพโดยรวมด้วย
แน่นอน ความคล้ายคลึงที่สำคัญคือ ยังคงมีการกระทำอย่างเดียวกันนี้กับพวกเขาอย่างไม่ได้สัดส่วน ยกตัวอย่างเช่น รถถังเป็นจำนวนนับร้อยๆคันและรถบูลโดเซอร์มักจะเข้าไปในตัวเมืองและหมู่บ้าน อย่างเช่น เจนินซึ่งเป็นค่ายผู้ลี้ภัย เพื่อฆ่าและทำลายล้างอย่างเจตนาปองร้ายเสมอ นอกจากนี้ยังขัดขวางรถพยาบาลและการปฐมพยาบาลที่พยายามจะเข้าไปช่วยเหลือด้วย, มีการตัดน้ำตัดไฟ และอื่นๆอีกมาก ฯลฯ
ทั้งหมดนี้โดยการสนับสนุนของสหรัฐ ซึ่งประธานาธิบดีของชาวอเมริกัน ตามที่ปรากฎนั้น ได้ไปไกลถึงขนาดเรียกนายชาลอนว่า"บุรุษแห่งสันติภาพ"(a man of peace) ในระหว่างที่กำลังโมโหอย่างสุดๆในช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน 2002
มันมีนัยสำคัญเกี่ยวกับเจตจำนงของนายชาลอน ซึ่งได้ไปไกลลิบถึงขนาดพยายามที่จะทำลายล้างความน่ากลัวให้สิ้นซาก ซึ่งบรรดาทหารของเขาได้ทำลายเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง และต่อจากนั้นได้มีการขโมยแฟ้มข้อมูลต่างๆของคอมพิวเตอร์ และฮาร์ดไดรฟส์จากสำนักงานสถิติแห่งชาติไป, รวมทั้งของกระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงการคลัง, กระทรวงสาธารณสุข, ศูนย์วัฒนธรรม, มีการจงใจทำร้ายเจ้าหน้าที่ต่างๆและทำลายห้องสมุดด้วย ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการลดทอนความเป็นอยู่และการครองชีวิตของชาวปาเลสติเนียนลงสู่ระดับก่อนมาถึงยุคสมัยใหม่(pre-modern level)
ผมไม่ต้องการที่จะพูดถึงข้อคิดเห็นหรือคำวิจารณ์ทั้งหลายของตัวเอง เกี่ยวกับยุทธวิธีต่างๆของนายอาราฟัด หรือความล้มเหลวเกี่ยวกับระบอบการปกครองอันน่าเศร้าสลดและน่าตำหนิของเขา ในช่วงระหว่างการเจรจาออสโลต่างๆและหลังจากนั้น ซึ่งผมได้ทำเต็มที่แล้ว ณ ที่อื่นๆ... นอกจากการที่ผมอยากจะเขียนถึงคนๆหนึ่งซึ่งแขวนชีวิตของเขาอยู่บนเส้นด้ายอย่างแท้จริง เศษเสี้ยวเล็กๆเพียงหนึ่งในสี่ใน Ramallah ยังคงถูกโอบล้อมต่อไป ขณะที่นายชาลอนยังคงกระทำทุกอย่างเท่าที่เป็นไปได้เพื่อก่ออันตรายต่อเขา ซึ่งอันที่จริงกล่าวอย่างสั้นๆ ต้องการที่จะฆ่าเขานั่นเอง
สิ่งที่ผมให้ความเอาใจใส่และผูกพันคือ ความคิดหรือไอเดียทั้งหมดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในฐานะที่เป็นความหวังข้างหน้าที่ดึงดูดความสนใจสำหรับปัจเจกชนทั้งหลาย นั่นคือ เรื่องของอุดมคติและสถาบันต่างๆที่มีพลังอำนาจอันไม่สมส่วนหรือสมดุลกับปรปักษ์ของพวกเขา
ความคิดชนิดใดกันเล่า ที่ทำให้มันค่อนข้างง่ายที่จะทำให้เข้าใจเกี่ยวกับพลังอำนาจทางทหารอันยิ่งใหญ่ ซึ่งมีการสมยอมทางการเมือง รวมไปถึงการพยายามจะเปลี่ยนแปลงสังคมบนสัดส่วนอันหนึ่งอย่างที่ไม่เคยจินตนาการมาก่อน และการกระทำเช่นนั้น กระทำไปโดยมีความห่วงใยต่อความเสียหายในสัดส่วนที่น้อยมาก ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตกทอดสืบไปอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ มันจะเป็นความเสี่ยงอย่างมากเกี่ยวกับการสูญเสียที่ร้ายแรงต่อชีวิต ซึ่งสำหรับความหวังในอนาคตเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า มันคงจะไม่เกิดขึ้น
สำหรับฝ่ายหนึ่งนั้น มันเป็นการกระตุ้นจินตนาการและยังคงเป็นความเฟ้อฝันเอามากๆเกี่ยวกับการพยายามจะผ่าตัด, การทำสงครามที่บริสุทธิ์, สนามรบที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีระดับสูง, การเปลี่ยนแปลงแผนที่อย่างสิ้นเชิง, และการสร้างประชาธิปไตยหรืออะไรทำนองนั้น, ทั้งหมดนั้นมันก่อให้เกิดไอเดียเกี่ยวกับพลานุภาพอันเหลือคณา ซึ่งจะกวาดพื้นที่เป้าหมายให้สะอาด, และอยู่ในการควบคุมจนถึงที่สุดของฝ่ายเรา
ระหว่างที่มีการปฏิบัติการทางทหารของอเมริกันที่แพร่อยู่ในปัจจุบัน เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองในอิรัค สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือผู้คนชาวอิรัค ซึ่งส่วนใหญ่จำนวนมากมายมหาศาลศต้องตกอยู่ในสภาพของความยากจนข้นแค้น, ความขาดแคลนด้านโภชนาการและความเจ็บป่วยในฐานะที่เป็นผลลัพธ์ของ 10 ปีแห่งการลงโทษหรือการแซงค์ชั่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้หลุดรอดไปจากสายตาที่มองเห็น
อันนี้เป็นความประสานสอดคล้องอย่างสมบูรณ์กับนโยบายของสหรัฐอเมริกาในตะวันออกกลาง ที่สร้างขึ้นมาบนเสาหลักสองต้นอันมหึมาและสำคัญยิ่ง นั่นคือ ความมั่นคงปลอดภัยของอิสราเอล(1) และการได้ใช้น้ำมันราคาถูกอย่างอุดมสมบูรณ์(2)
โมเสคที่สลับซับซ้อนของขนบประเพณี, ศาสนา, วัฒนธรรม, ชนกลุ่มน้อยต่างๆ, และประวัติศาสตร์ที่ได้สร้างโลกอาหรับขึ้นมา - โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอิรัค - โดยไม่คำนึงถึงการมีอยู่ของรัฐชาติต่างๆที่ดำรงอยู่ด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆที่กดขี่และมืดมัว ต่างพ่ายแพ้ต่อบรรดานักวางแผนทางด้านยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล
ด้วยประวัติศาสตร์อันเก่าแก่มากว่า 5000 ปี, ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่แล้ว อิรัคถูกคิดถึงในฐานะที่เป็นการคุกคามต่อประเทศเพื่อนบ้าน แม้ว่าสภาพการณ์หรือเงื่อนไขในทุกวันนี้ อิรัคจะค่อนข้างอ่อนแอและถูกปิดล้อมก็ตาม ซึ่งฟังดูออกจะเป็นเรื่องเหลวไหล, หรืออิรัคถูกคิดว่าเป็นผู้คุกคามต่ออิสรภาพและความมั่นคงปลอดภัยของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอันนี้ยิ่งเหลวไหลไร้สาระไปใหญ่
ผมไม่อยากจะทำให้เกิดความยุ่งยากหรือรำคาญใจในที่นี้ โดยผนวกการประณามตำหนิของตัวเองต่อซัดดัม ฮุสเซนเข้ามาในฐานะที่เป็นบุคคลซึ่งน่ากลัวมากคนหนึ่ง นั่นคือ ผมทึกทักเอาเองว่า แน่นอน เขาสมควรที่จะได้รับการลงโทษหรือขับไล่ไม่ว่าจะใช้มาตรฐานใดๆมาตัดสินก็ตาม และที่เลวร้ายสุดก็คือ เขาเป็นผู้คุกคามต่อประชาชนของเขาเอง
กระนั้นก็ตาม นับแต่ช่วงก่อนจะเกิดสงครามอ่าวขึ้นมาครั้งแรก ภาพลักษณ์ของอิรัค โดยข้อเท็จจริงเป็นประเทศใหญ่ที่มีความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง และแตกต่างจากประเทศอาหรับอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ได้อันตรธานหายไป ด้วยภาพลักษณ์ซึ่งไหลเวียนและแพร่กระจายทั้งในด้านสื่อและนโยบายที่เกี่ยวกับผู้คนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในทะเลทรายโดยกลุ่มแก๊งต่างๆที่ทารุณโหดร้ายซึ่งนำโดยซัดดัม
ความตกต่ำลงของอิรัคทุกวันนี้มันเข้าใกล้ที่จะถึงความพินาศและหายนะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งนี้เพราะ อุตสาหกรรมการพิมพ์หนังสืออาหรับบอกกับเราว่า อิรัคได้ตระเตรียมผู้อ่านจำนวนมากที่สุดขึ้นมาให้กับโลกอาหรับ นั่นคือ อิรัคเป็นหนึ่งในประเทศอาหรับเพียงสองสามประเทศเท่านั้นที่มีผู้คนซึ่งได้รับการศึกษาเป็นจำนวนมากและมีชนชั้นกลางที่มีความสามารถและความเชี่ยวชาญสูง, ประเทศนี้มีน้ำมัน, มีน้ำและผืนดินที่อุดมสมบูรณ์, ซึ่งมันมักจะเป็นศูนย์กลางทางด้านวัฒนธรรมของโลกอาหรับเสมอ (จักรวรรดิ Abbasid [สมาชิกหนึ่งของราชวงศ์กาหลีบผู้ซึ่งปกครองแบกแดด ราว ค.ศ.750-1258] อุดมไปด้วยวรรณคดีอันยิ่งใหญ่, ปรัชญา, สถาปัตยกรรม, วิทยาศาสตร์ และการแพทย์ซึ่งได้มาหล่อเลี้ยงชาวอิรัค ซึ่งยังคงเป็นพื้นฐานสำหรับวัฒนธรรมอาหรับอยู่) ซึ่งต่อประเทศอาหรับอื่นๆ บาดแผลที่เลือดตกยางออกเกี่ยวกับความทุกข์ยากของชาวอิรัค, คล้ายกับนักรบปาเลสติเนียน, ถือเป็นต้นตออันหนึ่งของความเศร้าสลดอย่างต่อเนื่องสำหรับบรรดาชาวอาหรับและมุสลิมทั้งหลายเช่นกัน - อันที่จริง สิ่งซึ่งกล่าวมาทั้งหมดนี้ มันไม่เคยได้รับการพูดถึงเลย
แต่อย่างไรก็ตาม การสำรองต่างๆทางด้านน้ำมันขนาดใหญ่ของอิรัค ยังเป็นข้อถกเถียงที่คงดำเนินไป ถ้าหากว่าเราช่วงชิงมันมาจากซัดดัมและยึดเอามา เราจะไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันจากซาอุดีมากนัก. นั่นคือความจริงที่ถูกอ้างถึงไม่บ่อยนัก ในฐานะที่เป็นปัจจัยหนึ่งในการถกเถียงกันอย่างหลากหลายและค่อนข้างรุนแรงในสภาคองเกรสของสหรัฐและตามสื่อต่างๆ
มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะกล่าวว่า อิรัคเป็นแหล่งสำรองน้ำมันใหญ่ที่สุดบนโลกเป็นอันดับสอง รองลงมาจากซาอุดิ อาราเบีย และถ้าประเมินราคาน้ำมันแล้วมันมีค่าราวๆ 1.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ -- ส่วนมากของมันได้มอบให้กับรัสเซีย, ฝรั่งเศส, และอีกสองสามประเทศไปเรียบร้อยแล้วโดยซัดดัม - นั่นเป็นสิ่งที่ใช้ได้แล้วกับอิรัค ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สำคัญอันหนึ่งของยุทธศาสตร์อเมริกัน
บางสิ่งซึ่งรัฐสภาแห่งชาติของอิรัคใช้เป็นไพ่ตายใบหนึ่ง นั่นคือได้มอบน้ำมันส่วนนนี้ให้กับผู้บริโภคทางด้านน้ำมันที่ไม่ใช่สหรัฐ(สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมด ขอให้ดู Michael Klare, "Oiling the Wheels of War," The Nation, 7 Oct). หลายต่อหลายครั้งของการต่อรองกันระหว่างประธานาธิบดี Putin และ Bush เกี่ยวข้องกับการจะปันส่วนมากน้อยแค่ไหนในเรื่องน้ำมันให้กับบริษัทน้ำมันต่างๆของสหรัฐ ซึ่งเจตนาที่จะให้รัสเซียให้คำมั่นสัญญา. มันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่รำลึกถึงแล้วน่าขนลุกเกี่ยวกับเงินจำนวน 3 พันล้าน ที่ถูกมอบให้โดยประธานาธิบดี Bush ผู้พ่อแก่รัสเซีย
ท้ายที่สุดแล้วตระกูล Bush ทั้งพ่อและลูกเป็นนักธุรกิจทางด้านน้ำมัน และพวกเขาห่วงกังวลเกี่ยวกับการคำนวณในเรื่องนี้ มากกว่าสิ่งที่เขาทำซึ่งเป็นประเด็นอันละเอียดอ่อนของการเมืองในตะวันออกกลาง อย่างเช่น การสร้างความหายนะให้กับโครงสร้างพื้นฐานทางด้านพลเรือนของอิรัคอีกครั้ง เป็นต้น
ด้วยเหตุดังนั้น ขั้นแรกของการทำให้เกิดการไร้ความเป็นมนุษย์(dehumanisation)ของคนที่ถูกเกลียดชังก็คือ การลดทอนความเป็นจริงของเขาลงมา โดยการใช้คำพูดหรือวลีซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการสร้างภาพลักษณ์หรือแนวความคิดขึ้นมางำ. อันนี้ทำให้มันง่ายมากที่จะบอมบ์หรือทิ้งระเบิดลงไปที่เป้าหมายซึ่งเป็นฝ่ายศัตรูโดยปราศจากความไม่สบายใจหรือวิตกกังวลใดๆทั้งสิ้น
หลังจากเหตุการณ์วันที่ 11 กันยา อันนี้เป็นเรื่องที่ง่ายมากทีเดียว สำหรับอิสราเอลและสหรัฐที่จะนำมันมาเกี่ยวข้องกับชาวปาเลสติเนี่ยนและชาวอิรัคในฐานะที่เป็นมนุษย์ตามลำดับ. สิ่งสำคัญที่ควรหมายเหตุเอาไว้ตรงนี้ก็คือว่า โดยความเหนือกว่าอย่างท่วมท้นในทุกๆด้าน นโยบายในอย่างเดียวกันและความรุนแรงที่ไม่แตกต่างกันเกี่ยวกับแผนการณ์ในขั้นที่หนึ่ง, ที่สอง, หรือสาม โดยหลักการแล้ว ได้มีการนำเสนอขึ้นมาโดยอเมริกันและอิสราเอลโดยไม่แตกต่างหรือผิดเพี้ยนกันเลย
ในสหรัฐ ดังที่ Jason Vest ได้เขียนลงใน The Nation (September 2/9) มีโครงการที่น่าสนใจติดตามโครงการหนึ่ง ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยผู้คนจากปีกขวาจัด สถาบันเพื่อความปลอดภัยแห่งชาติของชาวยิว (Jewish Institute for National Security)(JINSA) และศูนย์กลางนโยบายเพื่อความปลอดภัย(the Center for Security Policy)(CSP), ผู้ซึ่งอยู่ในเพนตากอนและคณะกรรมการกระทรวงต่างประเทศ, รวมถึงกลุ่มที่เคลื่อนไหวโดย Richard Perle (ถูกแต่งตั้งโดย Wolfowitz and Rumsfeld) โดยมาตรการรักษาความปลอดภัยของอิสราเอลิและอเมริกันเท่าๆกัน, และ JINSA. กลุ่มและองค์กรที่กล่าวถึงนี้ทั้งหมด ได้ใช้จ่ายงบประมาณเป็นจำนวนมาก เพื่อส่งตัวนายพลของกองทัพบกและกองทัพเรือสหรัฐที่ปลดเกษียรกลุ่มหนึ่ง เดินทางไปยังอิสราเอล
เมื่อบุคคลเหล่านี้ได้หวนกลับมา พวกเขาได้เขียนบทความลงในหน้า op-eds (หมายถึง หน้าหนังสือพิมพ์ที่ตรงข้ามกับบทความบรรณาธิการ ซึ่งอุทิศเนื้อที่ให้กับข้อเขียนแสดงความคิดเห็นรวมรวมถึงเรื่องราวสารคดีต่างๆ) และได้ปรากฎตัวในรายการทีวีต่างๆของพรรค Likud (พรรคการเมืองของอิสราเอลที่เป็นพันธมิตรกับพวกฝ่ายขวา) นิตยสาร Time ได้นำเอางานชิ้นหนึ่งไปเขียนต่อในเรื่องเกี่ยวกับนโยบายป้องกันของเพนตากอน, ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ของคณะกรรมการนโยบายดังกล่าว ได้ถูกดึงมาจาก JINSA และ CSP, ในฉบับวันที่ 23 สิงหาคม ที่มีชื่อบทความว่า "Inside the Secret War Council".
สำหรับส่วนของเขา, นายชาลอนได้พูดออกมาซ้ำๆซึ่งฟังแล้วรู้สึกงงๆว่า ปฏิบัติการทางทหารของเขาในการต่อสู้กับลัทธิการก่อการร้ายปาเลสติเนียน มีความคล้ายคลึงกันทุกประการกับสงครามอเมริกันที่มีต่อลัทธิการก่อการร้ายโดยทั่วไป, โดยเฉพาะ โอซามา บิน ลาเดน และ อัล กออิดะ. และพวกคนเหล่านี้, เขาอ้าง, คือส่วนหนึ่งของพวกผู้ก่อการร้ายสากลเช่นเดียวกันที่รวมไปถึงชาวมุสลิมเป็นจำนวนมากทั่วทั้งเอเชีย, แอฟริกา, ยุโรป, และอเมริกาเหนือ, แม้ว่าแกนหลักของ Bush เกี่ยวกับความชั่วร้าย ดูเหมือนสำหรับในช่วงนี้จะถูกเอาใจใส่และพุ่งตรงมายังอิรัค, อิหร่าน และเกาหลีเหนือ
ตอนนี้มีอยู่ 132 ประเทศที่มีความร่วมมือในบางลักษณะกับทหารอเมริกัน ทั้งหมดนั้นได้เชื่อมโยงกับสงครามการก่อการร้าย ซึ่งยังคงไม่ชัดเจนและลอยๆอยู่ เพื่อที่จะดึงเอาความบ้าคลั่งเกี่ยวกับความรักชาติและความกลัวขึ้นมา และด้วยการสนับสนุนของปฏิบัติการทางทหารภายในบ้านของตน ที่ซึ่งสิ่งต่างๆกำลังดำเนินไปบนหนทางที่เลวร้ายสู่ความชั่วร้ายอย่างถึงที่สุดลงไปเรื่อยๆ
พื้นที่ในเขต West Bank และฉนวน Gaza ที่สำคัญได้ถูกยึดครองโดยกองทหารอิสราเอล ซึ่งได้เข่นฆ่าและกักกันชาวปาเลสติเนียนอยู่เป็นประจำ บนพื้นฐานที่ว่า คนเหล่านี้เป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับการเป็นผู้ก่อการร้ายและนักรบประชาชน ในทำนองเดียวกัน บ้านเรือนและร้านค้าต่างๆ บ่อยครั้งได้ถูกรื้อถอนและทำลายโดยข้ออ้างที่ว่า อาคารสิ่งก่อสร้างเหล่านี้เป็นที่หลบซ่อนของโรงงานผลิตระเบิด, ที่อยู่อาศัยของผู้ก่อการร้าย, และที่พบปะของบรรดานักรบประชาชน. ไม่มีการให้ข้อพิสูจน์ใดๆทั้งสิ้น และไม่เคยมีการซักถามใดๆหลุดออกมาจากปากของบรรดานักข่าวทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่ ยอมรับการชี้แจงเพียงข้างเดียวของฝ่ายอิสราเอลโดยปราศจากเสียงพึมพำ หรือเสียงบ่นอุบอิบ
เพราะฉะนั้น พรมผืนใหญ่ของความลึกลับดำมืดและความเป็นนามธรรมจึงได้ถูกปูลงมาปกคลุมโลกอาหรับ โดยการพยายามอันนี้ที่จะทำให้เกิดการปราศจากความเป็นมนุษย์(dehumanisation)ขึ้นอย่างเป็นระบบ. สิ่งที่ตาและหูรับรู้คือ ความน่าสยองขวัญ, ลัทธิบ้าคลั่ง, ความรุนแรง, ความเกลียดชังในอิสรภาพ, ความไม่ปลอดภัยและ, ท้ายที่สุดคือ อาวุธทำลายล้างรุนแรง(WMD)ซึ่งไม่มีการค้นพบเลย ทั้งที่เรารู้ดีว่ามันอยู่ที่ไหนแต่ไม่เคยค้นหากัน(นั่นคือ มันมีอยู่อย่างมากมายในอิสราเอล, ปากีสถาน, อินเดีย และที่แจ่มชัดมากที่สุดคือ สหรัฐอเมริกาในท่ามกลางประเทศต่างๆ) โดยทางกลับกัน ในพื้นที่ที่สมมุติโดยปราศจากเหตุผลขึ้นมาเกี่ยวกับขบวนการของผู้ก่อการร้าย, อาวุธร้ายแรงเหล่านี้อยู่ในมือของซัดดัม, กลุ่มแก๊งที่บ้าคลั่งกลุ่มหนึ่ง ฯลฯ
ภาพที่มั่นคงซึ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยภาพหนึ่งบนผืนพรมดังกล่าวคือ ชนชาวอาหรับเกลียดชังอิสราเอลและชาวยิว มันไม่มีเหตุผลอื่นใด เว้นแต่ว่าคนพวกนี้จะเกลียดชังอเมริกันด้วยเช่นกัน. โดยศักยภาพ อิรัคเป็นศัตรูที่น่ากลัวมากที่สุดของอิสราเอล เนื่องจากว่าเศรษฐกิจของอิรัคและทรัพยากรมนุษย์; ส่วนชาวปาเลสติเนียนเป็นพวกที่น่าเกรงขามแลน่าหวาดหวั่นเช่นกัน เพราะ พวกเขายืนหยัดอยู่ในเส้นทางของการมีอิทธิพลครอบงำอย่างสมบูรณ์ของอิสราเอลและการยึดครองดินแดนโดยไม่ยอมถอย
บรรดาพวกฝ่ายขวาของอิสราเอล อย่างนายชาลอน ผู้ซึ่งเป็นตัวแทนอุดมคติของความเป็นอิสราเอลอันยิ่งใหญ่ อ้างว่า ทั้งหมดของดินแดนปาเลสไตน์ในประวัติศาสตร์ มันเป็นมาตุภูมิหรือบ้านเกิดเมืองนอนของชนชาวยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำให้ความคิดนี้ประสบความสำเร็จในทัศนะของพวกเขาเกี่ยวกับการครอบครองดินแดนเหล่านี้คือ ท่ามกลางชาติต่างๆ สหรัฐเป็นหนึ่งในประชาชาติที่ให้การสนับสนุนความคิดนี้ของอิสราเอล
ข้อคิดเห็นอันหนึ่งโดย Uzi Landau, รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงภายในหรือกระทรวงมหาดไทยของอิสราเอล(และเป็นสมาชิกของพรรคลีคูด) ซึ่งแสดงผ่านหน้าจอทีวีของสหรัฐในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา กล่าวว่า ทั้งหมดของการพูดจากันเกี่ยวกับ"การยึดครอง"เป็นเรื่องที่ไร้สาระทั้งสิ้น พวกเราคือคนที่หวนกลับบ้านเท่านั้น. คำพูดเช่นนี้ นาย Uzi Landau ไม่ได้ถูกซักไซร้เกี่ยวกับแนวคิดที่พิเศษพิสดารอันนี้โดย Mort Zuckerman เลย, ซึ่งเป็นเจ้าของรายการทีวีดังกล่าว, และยังเป็นเจ้าของ US News และ World Report และเป็นประธานของ the Council of Presidents of Major Jewish Organisations (สภาประธานเกี่ยวกับองค์กรต่างๆของชาวยิวที่สำคัญ)
แต่นักเขียนเรื่องในวารสารอิสราเอลิคนหนึ่ง Alex Fishman, ใน Yediot Aharanot ฉบับวันที่ 6 กันยายน, ได้อธิบายถึง"ไอเดียต่างๆในแนวปฏิวัติ"ของ Condoleeza Rice, Rumsfeld (ผู้ซึ่งตอนนี้ได้อ้างถึงสิ่งที่เรียกว่า"ดินแดนที่ถูกครอบครอง"ด้วย), Cheney, Paul Wolfowitz, Douglas Feith และ Richard Perle (ผู้ซึ่งได้รับมอบให้เป็นคณะกรรมการศึกษาเกี่ยวกับ Rand study อันฉาวโฉ่ ซึ่งได้มีการระบุว่า ซาอุดิ อาราเบียเป็นศัตรู และอิยิปต์เป็นรางวัลสำหรับอเมริกาในโลกอาหรับ)เป็นพวกที่กระหายสงครามอย่างน่ากลัว เพราะคนพวกนี้ได้ให้การสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศอาหรับทุกประเทศ
Fishman ได้อ้างถึงคำพูดของ Sharon ที่ว่า กลุ่มนี้, จำนวนมากของคนพวกนี้คือสมาชิกของ JINSA และ CCP, และเชื่อมโยงกับ AIPAC และผูกพันกับ the Washington Institute of Near East Affairs(สถาบันวอชิงตัน ซึ่งว่าด้วยกิจการต่างๆตะวันออกใกล้) ได้ครอบงำความคิดของ Bush (ถ้าเผื่อว่านั่นคือคำที่ถูกต้องสำหรับเรื่องนี้); เขากล่าวว่า "เพื่อนๆของพวกเราชาวอเมริกันคนต่อไปคือ Effi Eitam [หนึ่งในคณะรัฐมนตรีของอิสราเอล ซึ่งไม่ประนีประนอมมากที่สุด โหดเหี้ยมและไร้ความปรานี] คือบุคคลแห่งสันติภาพและยึดในนโยบายไกล่เกลี่ยที่สมบูรณ์แบบ
ด้านที่น่าตกใจมากของอันนี้คือข้อเสนอที่ไม่มีการเผชิญหน้า ซึ่งถ้าเราไม่มีปฏิบัติการเพื่อจะปกป้องลัทธิการก่อการร้าย(หรือศัตรูที่มีศักยภาพอื่นๆ)เราจะถูกทำลาย
ปัจจุบัน นี่คือแกนกลางของยุทธศาสตร์ความมั่นคงของสหรัฐ นั่นคือสิ่งที่ได้รับการยักย้ายหรือขจัดออกไปอย่างเป็นทางการในการให้สัมภาษณ์ต่างๆและรายการ talk show โดย Rice, Rumsfeld, และตัว Bush เองอยู่เสมอ
ถ้อยแถลงที่เป็นทางการเกี่ยวกับทัศนะดังกล่าว ได้ปรากฎขึ้นเมื่อไม่นานนี้ในเรื่องของยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ, มันเป็นเอกสารอย่างเป็นทางการฉบับหนึ่งที่เตรียมขึ้นมาในฐานะที่เป็นแถลงการณ์โดยรวมทั้งหมดสำหรับเรื่องใหม่ของคณะผู้บริหาร อันเป็นนโยบายต่างประเทศหลังสงครามเย็น
ข้อสันนิษฐานในเชิงปฏิบัติก็คือ "พวกเรากำลังมีชีวิตอยู่ในโลกที่เป็นอันตรายเป็นพิเศษด้วยเครือข่ายอันหนึ่งของศัตรู ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้ว มันมีอยู่, ทั้งโรงงานต่างๆ, ที่ทำการ, สมาชิกนับไม่ถ้วน, และการมีอยู่ของทั้งหมดเหล่านี้มีขึ้นมาเพื่อทำร้าย"พวกเรา", เว้นแต่ว่าเราจะจัดการมันก่อน". อันนี้คือสิ่งที่สร้างขึ้นและให้ความชอบธรรมทางกฎหมายที่จะทำสงครามกับลัทธิการก่อการร้ายและกระทำกับอิรัค, สิ่งซึ่งสภาคองเกรสและ UN ตอนนี้กำลังได้รับการขอให้มีการรับรอง
บรรดาปัจเจกชนที่บ้าคลั่ง และกลุ่มที่คลั่งไคล้ศาสนานั้นมีอยู่จริง แน่นอน จำนวนมากของคนและกลุ่มเหล่านี้ โดยทั่วไปแล้ว ต่างเห็นด้วยหรือให้การสนับสนุนการทำอันตรายต่ออิสราเอลและสหรัฐอย่างใดอย่างหนึ่ง อีกด้านหนึ่งนั้น อิสราเอลและสหรัฐต่างรับรู้ว่า ในโลกอิสลามและอาหรับนั้น
- ประการแรก มีการสร้างกลุ่มที่เรียกว่า"พวกหัวรุนแรง Jihadi ขึ้นมา คนกลุ่มนี้มี Bin Laden เป็นคนที่มีชื่อเสียงมากที่สุด
- ประการที่สอง เป็นเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศ ที่สำคัญเหนืออื่นใดและการแก้ปัญหาต่างๆของ UN ก็คือ การไล่ตามเกี่ยวกับนโยบายที่เป็นอันตรายและเป็นปรปักษ์ของสหรัฐและอิสราเอลในโลกเหล่านั้น
David Hirst ได้เขียนคอลัมภ์ลงใน Guardian ที่ขึ้นหัวในหน้านั้นว่า Cairo ในเนื้อความกล่าวถึงว่า แม้แต่ชาวอาหรับอื่นๆ ซึ่งมีความคิดเห็นไปในทางตรงข้ามกับระบอบการปกครองที่กดขี่และเป็นเผด็จการ ก็ยังมองว่า การที่สหรัฐโจมตีอิรัคนั้น เป็นการกระทำอันหนึ่งที่เป็นการรุกราน ซึ่งมิได้มีเป้าหมายเพียงแค่อิรัคเท่านั้น แต่มันเป็นการรุกรานต่อโลกอาหรับโดยรวมด้วย และสิ่งนี้มันจะทำให้เกิดการขาดความอดทนอย่างถึงที่สุด นั่นคือ มันถูกกระทำขึ้นมาบนผลประโยชน์หรือการเป็นตัวแทนของอิสราเอล และเป็นการได้มาซึ่งคลังสรรพาวุธขนาดใหญ่เกี่ยวกับอาวุธทำลายล้างสูง ซึ่งเป็นที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง
ผมกำลังจะกล่าวด้วยว่า มันมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับปาเลสติเนียนโดยเฉพาะเรื่องหนึ่ง และอย่างน้อยที่สุด นับจากช่วงกลางทศวรรษที่ 1980s เป็นต้นมา มีเจตนาที่เป็นทางการอันหนึ่งซึ่งจะสร้างสันติภาพร่วมกับอิสราเอล นั่นค่อนข้างที่จะตรงกันข้ามทีเดียวกับข้ออ้างเรื่องการคุกคามของผู้ก่อการร้ายเมื่อไม่นานมานี้ โดยถูกทำให้มีตัวแทนโดยกลุ่มอัล กออิดะ หรือการคุกคามปลอมๆ ซึ่งได้รับการทำให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นในลักษณะทึกทักกันเอาเองโดยมีตัวแทนคือซัดดัม ฮุสเซน
ซึ่งแน่นอน ซัดดัมป็นคนที่น่ากลัวคนหนึ่ง, แต่อย่างไรก็ตาม เขาผู้นี้ไม่อาจที่จะทำสงครามระหว่างทวีปขึ้นมาได้; จะมีก็แต่เพียงในบางโอกาสเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับโดยคณะผู้บริหารว่า เขาอาจจะเป็นผู้ที่คุกคามต่ออิสราเอล แต่นั่นดูเหมือนว่าจะเป็นหนึ่งในบาปหรือเคราะห์กรรมที่น่าเศร้าของเขา. ไม่มีใครเลยในหมู่เพื่อนบ้านของเขา สัมผัสหรือรับรู้ถึงเขาในฐานะที่เป็นผู้คุกคาม(ยกเว้นคูเวตเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว)
ชาวปาเลสติเนียนและอิรัคได้ถูกกวนให้เข้ากันในหนทางที่แทบจะไม่เคยสำเหนียกกันนี้ จนกระทั่งก่อให้เกิดการสร้างห้วงอันตรายหรือการคุกคามอันหนึ่งขึ้นมา ซึ่งสื่อต่างๆได้ให้การสนับสนุนและเพิ่มเติมเชื้อไฟอันนี้ขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า. เรื่องราวส่วนใหญ่เกี่ยวกับชาวปาเลสติเนียนที่ปรากฎในสิ่งพิมพ์ที่แพร่หลายอยู่ในหมู่ผู้คนทั้งหลายที่ทรงอิทธิพลและในสังคมผู้ดี อย่าง The New Yorker และ The New York Times magazine ได้แสดงให้เห็นว่าชาวปาเลสติเนียนเป็นพวกที่ชอบวางระเบิด, เป็นพวกที่สมรู้ร่วมคิด, เป็นพวกระเบิดพลีชีพ, และอะไรในหนทางนั้นอย่างเดียว โดยไม่มีอย่างอื่นเลย. ไม่มีสิ่งพิมพ์ที่กล่าวมานี้ได้เคยตีพิมพ์เรื่องใดๆจากทัศนะของชาวอาหรับ นับจากเหตุการณ์ 11 กันยาเป็นต้นมา เรียกได้ว่าไม่มีเอาเลยจริงๆ
ดังนั้น เมื่อคนที่ผิดปกติของฝ่ายบริหาร อย่าง Dennis Ross (ซึ่งเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบในฝ่ายของประธานาธิบดี Clinton เกี่ยวกับการเจรจาตกลงกันที่ออสโล, ทั้งก่อนและหลังการรั้งตำแหน่งของเขาในงานนั้น ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งซึ่งทำหน้าที่ล็อบบี้ให้กับฝ่ายอิสราเอล) ได้กล่าวออกมาว่า ชาวปาเลสติเนียนไม่ยอมรับความมีน้ำใจของอิสราเอลที่มีให้ ณ Camp David, เขากำลังบิดเบือนข้อเท็จจริงต่างๆอย่างชัดเจน
ซึ่งดังที่ข้อมูลที่เชื่อถือได้หลายหลากได้แสดงให้เห็น นั่นคือ อิสราเอลยอมรับดินแดนต่างๆของปาเลสติเนียนที่ไม่อยู่ในเขตประชิดกับฐานที่มั่นทางด้านความปลอดภัย และการตั้งรกรากของอิสราเอลที่อยู่รายรอบพวกเขาทั้งหมด และกับพื้นที่ซึ่งไม่มีชายแดนร่วมกันระหว่างปาเลสไตน์และรัฐอาหรับอื่นๆ (ยกตัวอย่างเช่น อิยิปต์ทางตอนใต้, จอร์แดนทางด้านตะวันออก)
ทำไมคำพูดต่างๆ อย่างเช่นคำว่า "มีน้ำใจ" และ"ให้" ควรนำมาใช้กับดินแดนที่ผิดกฎหมาย ซึ่งครอบครองโดยกำลังการยึดครองในความขัดแย้งกับกฎหมายระหว่างประเทศและการแก้ปัญหาต่างๆของ UN, ไม่มีใครสร้างความรำคาญความยุ่งยากที่จะตั้งคำถามต่อเรื่องราวเหล่านี้
แต่ดังที่เคยกล่าวเอาไว้แล้ว พลังอำนาจของสื่อยังคงทำหน้าที่ตอกย้ำต่อไป ซ้ำลงไปเรื่อยๆและขีดเส้นใต้คำยืนยันต่างๆดังกล่าว ซึ่งยังเพิ่มเติมความพยายามโดยไม่ย่อท้อเกี่ยวกับการล็อบบี้ให้อิสราเอลเสนอไอเดียอันนั้นซ้ำๆ - ตัวของ Dennis Ross เอง ยังคงดื้อรั้นอย่างน่าประหลาดในการยืนหยัดของเขาต่อความผิดพลาดอันนี้ต่อไป -
มาถึงตอนนี้ มันได้ก่อให้เกิดการติดตันที่ว่า ชาวปาเลสติเนียนเลือกที่จะเป็น"ปัญหา"แทน"สันติภาพ". ขบวนการฮามาสและอิสรามิค จีฮาด ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ดิ้นรนของชาวปาเลสติเนียนเพื่อปลดปล่อยการยึดครองของทหารอิสราเอลให้หมดไป แต่เป็นส่วนหนึ่งของปาเลติเนียนทั่วไปซึ่งปรารถนาที่จะคุกคาม, ข่มขวัญ, ก่อการร้าย, และเป็นพวกที่เป็นอันตราย, เช่นเดียวกับ อิรัค
เหตุการณ์ทั้งมวลที่ตามมา ข้ออ้างใหม่ล่าสุดของฝ่ายบริหารสหรัฐ และค่อนข้างที่จะเป็นไปไม่ได้ที่ว่า อิรัค(ที่มีระบบการปกครองอันไม่เกี่ยวกับศาสนา)ได้ให้ที่หลบซ่อนและการฝึกฝนแก่กลุ่ม"อัล กออิดะ"ซึ่งยึดมั่นในหลักศาสนาอย่างคลั่งไคล้ กรณีดังกล่าวที่ตรงข้ามซัดดัม ดูเหมือนว่าได้ถูกปิดตายลง
ความคิดเห็นส่วนใหญ่ของรัฐบาลที่มีอิทธิพล(แต่ไม่ได้หมายถึงไร้คู่แข่ง)คือว่า เมื่อคณะผู้ตรวจสอบของ UN ไม่สามารถที่จะสืบเสาะว่าเขามีอาวุธทำลายล้างสูง(WMD), ไม่อาจค้นพบสิ่งที่เขาซ่อนเร้นและสิ่งที่เขาอาจกำลังทำอยู่ ด้วยเหตุนี้ เขาควรที่จะถูกโจมตีและขับไล่ออกไป
ประเด็นทั้งหมดของการดำเนินการของ UN สำหรับการมีอำนาจนี้จากความคิดเห็นของสหรัฐที่ต้องการได้มาซึ่งทางออกหรือการแก้ปัญหาที่รุนแรงและแข็งกร้าวในลักษณะการลงโทษ ตัวซัดดัม ฮุสเซนไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ เขาได้ถูกกล่าวโทษด้วยข้ออ้างที่ว่าเป็นการละเมิดหรือฝ่าฝืน"กฎหมายระหว่างประเทศ" ด้วยเหตุนี้ การดำรงอยู่ของเขาต่อไปจึงเป็นการไม่สมควร และควรมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยกำลังทหาร
อีกด้านหนึ่งนั้น, ในช่วงปลายเดือนกันยายน การแก้ปัญหาของสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้มีการผ่านมติออกมาอย่างเป็นเอกฉันท์(โดยสหรัฐงดออกเสียง), อิสราเอลได้ถูกสั่งให้ยุติการปิดล้อมบริเวณเมือง Ramallah ของอาราฟัด และให้ถอนตัวออกจากดินแดนปาเลสไตน์ที่ได้เข้าไปยึดครองอย่างผิดกฎหมาย นับตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา(สำหรับการที่อิสราเอลอ้างว่า เพื่อเป็นการป้องกันตนเอง)
อิสราเอลปฏิเสธที่จะยินยอมหรือทำตามมติดังกล่าว และภายใต้พื้นฐานเหตุผลของสหรัฐสำหรับการที่สหรัฐจะไม่ทำอะไรเพื่อบีบบังคับให้เป็นไปตามมติดังกล่าว ทั้งนี้เพราะ มันเป็นฐานที่มั่นแห่งรัฐของอิสราเอลเอง และพวกเราเข้าใจว่า อิสราเอลจะต้องป้องกันพลเมืองของตัว
คำถามก็คือว่า ทำไม UN จึงสืบเสาะหรือค้นหาอาวุธในอิรัค แต่กลับเมินเฉยต่อการไม่ยินยอมปฏิบัติตามของอิสราเอล อันนี้คือหนึ่งในความไม่ลงรอยกันต่างๆ ที่สหรัฐเข้าไปพัวพันอยู่ด้วยอย่างชัดเจน
กลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งของวลีต่างๆซึ่งประดิษฐ์กันขึ้นมา อย่างเช่น การเตรียมป้องกันตนเอง หรือ การลงมือทำก่อน ได้ถูกนำมาพูดถึงโดย Donald Rumsfeld (รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐ)และบรรดาเพื่อนร่วมงานของเขา เพื่อชักชวนสาธารณชนว่า การเตรียมตัวต่างๆสำหรับการทำสงครามต่อต้านอิรัคหรือรัฐใดก็ตาม เป็นไปเพื่อต้องการ"เปลี่ยนแปลงการปกครอง" (หรือ, โดยการใช้ถ้อยคำที่สละสลวยเป็นพิเศษว่า "การทำลายในเชิงสร้างสรรค์"[constructive destruction]) ซึ่งอันนี้ได้รับการสนับสนุนโดยความคิดที่คลุมเครือเกี่ยวกับการป้องกันตนเอง(self-defense)
สาธารณชนยังคงถูกทำให้ใจหายใจคว่ำต่อมา โดยการใช้เครื่องหมายเตือนภัยด้วยระหัสการเตรียมพร้อมสีแดงและสีส้ม, นอกจากนี้ ผู้คนยังได้รับการกระตุ้นและสนับสนุนให้มีการแจ้งข่าว โดยมีอำนาจตามกฎหมายเกี่ยวกับ"พฤติกรรมที่น่าสงสัย"(suspicious behaviour), และมุสลิมเป็นพันๆคน, ชาวอาหรับและคนเอเชียใต้จำนวนมากได้รับการกักตัวเอาไว้, ซึ่งในบางกรณีมีการจับกุมคุมขังด้วยข้อหาพฤติกรรมที่น่าสงสัยนี้
ทั้งหมดข้างต้น ดำเนินไปโดยเป็นคำสั่งของประธานาธิบดี ในฐานะที่เป็นด้านหนึ่งของลัทธิรักชาติ(patriotism)และความรักในอเมริกา(love to America)
จนถึงทุกวันนี้ ผมยังไม่สามารถเข้าใจได้เกี่ยวกับสิ่งที่มันหมายความถึง"ความรักในประเทศหนึ่ง" (ในวาทกรรมทางการเมืองของสหรัฐ ความรักในประเทศอิสราเอล ก็เป็นอีกวลีหนึ่งที่แพร่หลายด้วยเช่นกัน) แต่มันดูเหมือนจะหมายความว่า ความซื่อสัตย์จงรักภักดีอันมืดบอดที่ไม่ต้องมีการตั้งคำถาม(unquestioning blind loyalty)ต่อพลังอำนาจต่างๆที่อำพราง ซึ่งเป็นการหลบหลีกและการปฏิเสธอย่างจงใจที่จะผูกมัดกับสาธารณชนที่เตรียมพร้อม ซึ่งขณะนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ปลุกให้ตื่นขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบหรือโต้ตอบอย่างเป็นระบบหรือสอดคล้องกัน, มันเป็นการปิดบังอำพรางความน่าเกลียด และยังเป็นการทำลายล้างเกี่ยวกับนโยบายตะวันออกกลางและอิรัคทั้งหมดลงอย่างราบคาบ โดยการบริหารของประธานาธิบดี Bush.
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ค่อนข้างมีพลังอำนาจมากในเชิงเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆที่สำคัญๆส่วนใหญ่รวมกัน ซึ่งจริงๆแล้ว สหรัฐไม่สามารถที่จะถูกบีบบังคับหรือผลักดันให้เชื่อฟังการชี้นำอย่างเป็นระบบของนานาชาติได้ ไม่แม้กระทั่งที่จะบีบบังคับรัฐมนตรีต่างๆประเทศ(secretary of state)ของสหรัฐตามใจปรารถนา
พร้อมด้วยความเป็นนามธรรมเกี่ยวกับการที่"พวกเรา"ควรไปสู่สงครามต่อสู้กับอิรัคซึ่งอยู่ห่างจากเราไปจึง 7000 ไมล์, การสนทนาเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ ได้ช่วยชำระล้างความมืดคลึ้มหรือทำให้ความจริงปรากฏกับผู้คน. รูปพรรณของมนุษย์ คือ คนอิรัคและอัฟกานิสถานถูกมองลงมาจากเป้าเล็งทิ้งระเบิด(bombsight)ด้วยขีปนาวุธฉลาด(smart missle) หรือบนจอทีวี ทั้งสองชนชาติ อย่างดีที่สุดก็เป็นเพียงแค่เบี้ยในกระดานหมากรุก ซึ่ง"พวกเรา"ตัดสินใจจะเข้าไป, ทำลาย, รื้อฟื้นขึ้นมาใหม่, หรือไม่ก็แล้วแต่ใจเรา
คำว่า"ลัทธิการก่อการ้าย", เช่นเดียวกับ "สงครามกับมัน", ได้มารับใช้ต่อความรู้สึกหรือความนึกคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ขยายออกไปได้เป็นอย่างดี ในเชิงเปรียบเทียบกับชาวยุโรปทั้งหลาย ชาวอเมริกันส่วนใหญ่จำนวนมากไม่เคยมีการติดต่อ หรือมีประสบการณ์ชีวิตความเป็นอยู่กับดินแดนและผู้คนมุสลิมทั้งหลาย และด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีความรู้สึกเกี่ยวกับเยื่อใยที่ถักทอกันขึ้นมาของชีวิต ซึ่งการปฏิบัติการทางการทหารด้วยการทิ้งระเบิดเรื่อยมา(ดังเช่นในอัฟกานิสถาน)จะไปฉีกทำลายเยื่อใยและการถักทอกันขึ้นมาอันนี้ออกเป็นชิ้นๆ
และดังที่เห็นอย่างที่เป็น คล้ายการฉายฉานออกมาจากที่ใดที่หนึ่งซึ่งไม่รู้จัก เว้นแต่จากผืนผ้าสีสดสว่างที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินเป็นอย่างดี บนพื้นฐานการตัดสินใจอันหนึ่งโดยผู้คนซึ่งเกลียดชังอิสรภาพของพวกเรา และผู้ซึ่งอิจฉาริษยาประชาธิปไตยของพวกเรา, ลัทธิการก่อการร้ายผูกกับพวกที่ชอบทะเลาะถกเถียงกันในลักษณะที่ฟุ้งซ่านส่วนใหญ่, ทั้งหมดเพราะความทรงจำ, ความจริง, และการดำรงอยู่หรือการมีอยู่จริงของผู้คนที่ได้ถูกลดระดับลงมาอย่างมีประสิทธิภาพ. คุณไม่สามารถที่จะพูดถึงเกี่ยวกับความทุกข์ยากของชาวปาเลสติเนียน หรือความขัดข้องหมองใจของชาวอาหรับได้ เพราะการมีอยู่ของอิสราเอลในสหรัฐขัดขวางไม่ให้สามารถทำเช่นนั้นได้
การสำแดงพลังด้วยการเดินขบวนเพื่อสนับสนุนอิสราเอลอันเร่าร้อนในเดือนพฤษภาคม, Paul Wolfowitz ได้พูดถึงความทุกข์ทรมานของชาวปาเลสติเนียนกับผู้คนในขบวนที่กำลังเดินผ่าน, แต่เขากลับถูกโห่ร้องอย่างกึกก้องในลักษณะที่เหยียดหยาม และเขาไม่เคยสามารถที่จะอ้างถึงมันได้อีกเลย
ยิ่งไปกว่านั้น สิทธิมนุษยชนที่สอดคล้องกันต่างๆ หรือนโยบายการค้าเสรี ที่ยึดติดอย่างมั่นคงกับคุณความดีที่ได้รับการขีดเส้นใต้อย่างไม่รู้จบของเรื่องสิทธิมนุษยชน, ประชาธิปไตย, และเศรษฐกิจเสรี ที่พวกเราถูกทำให้เชื่อว่ายืนอยู่เพื่อสิ่งเหล่านั้น เป็นไปได้ว่ามันได้ถูกทำลายลงจากภายในทีละน้อยๆโดยกลุ่มผลประโยชน์พิเศษต่างๆ (ดังปรากฎหลักฐานถึงอิทธิพลของนักล็อบบี้เกี่ยวกับชาติพันธุ์[ในที่นี้หมายถึงนักล็อบบี้อิสราเอลิ], อุตสาหกรรมทางด้านการทหารและเหล็กกล้า, การผูกขาดทางด้านน้ำมัน, อุตสาหกรรมด้านการเกษตร, บุคคลที่เกษียรอายุ, นักล็อบบี้เกี่ยวกับเรื่องอาวุธปืน, ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงกลุ่มผลประโยชน์ไม่กี่กลุ่มเท่านั้น ซึ่งยังคงมีอีกจำนวนมาก)
ยกตัวอย่างเช่น ทุกๆเขตเลือกตั้ง 500 เขตที่มีตัวแทนอยู่ในรัฐสภาที่วอชิงตัน จะมีการปกป้อง หรือสัมพันธ์กับการพิทักษ์อุตสาหกรรมในเขตของตัว; ดังเช่น เลขาธิการกระทรวงต่างประเทศนาย James Baker กล่าวว่า ก่อนสงครามอ่าวครั้งแรก, ปัญหาที่แท้จริงในสงครามครั้งนั้นที่ต่อสู้กับอิรัคก็คือ"การจ้างงานต่างๆ"
แต่เมื่อมันมาถึงกระทรวงต่างประเทศ, มันเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งที่จะจำไว้ว่า เพียงบางส่วนของสมาชิกรัฐสภา 25-30 เปอร์เซนต์เท่านั้น(เปรียบเทียบกับ 15 เปอร์เซนต์ของชาวอเมริกัน ผู้ซึ่งมีโอกาสเดินทางไปยังต่างประเทศจริงๆ)ที่มีหนังสือเดินทางหรือ passport, และสิ่งที่พวกเขาพูดและคิด เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์น้อยมาก, และยังเกี่ยวข้องกับปรัชญาและอุดมคติต่างๆน้อยมากเช่นกัน สิ่งที่เกี่ยวพันกับเรื่องที่เขาพูดกันมากนั้นก็คือ เรื่องของใครเป็นผู้มีอิทธิพลต่อปฏิบัติการทางการทหาร, ใครจะส่งเงินให้ ฯลฯ เป็นต้น
สมาชิกรัฐสภาที่ดำรงตำแหน่งอยู่สองคน Earl Hilliard แห่ง Alabama และ Cynthia McKinney แห่ง Georgia, ได้ให้การสนับสนุนเกี่ยวกับสิทธิของชาวปาเลสติเนียนที่จะกำหนดและตัดสินใจในเรื่องของตัวเอง และได้วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับอิสราเอล, แต่ไม่นานหลังจากนั้น เขาทั้งสองได้ถูกทำให้พ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ปราศจากชื่อเสียง ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินเป็นอย่างดี โดยสิ่งที่ถูกอ้างกันอย่างเปิดเผยว่าเป็นเงินของนิวยอร์ค(นั่นคือ เงินของชาวยิว)จากภายนอกรัฐของพวกเขา. ความพ่ายแพ้การเลือกตั้งของทั้งคู่ได้ถูกว่ากล่าวและตำหนิอย่างรุนแรงโดยหนังสือพิมพ์ ในฐานะที่เป็นพวกหัวรุนแรงและผู้ไม่รักชาติ
ตราบเท่าที่นโยบายเกี่ยวกับตะวันออกกลางของสหรัฐได้ถูกนำเข้ามาเกี่ยวข้อง, นักล็อบบี้อิสราเอลจะไม่มีคู่เปรียบ และจะมีการแปรเปลี่ยนเรื่องราวทางกฎหมายของรัฐบาลสหรัฐเพื่อเข้าไปสู่สิ่งที่สมาชิกวุฒิสภาคนก่อน Jim Abourezk ได้เคยเรียกร้องให้อิสราเอลยึดครองดินแดนนั้นเอาไว้. ไม่มีนักล็อบบี้อาหรับที่จะมาเปรียบเทียบได้เลยหรือกระทั่งมีอยู่สักคน, ด้วยเหตุนี้ เรื่องราวเกี่ยวกับอาหรับจึงมีบทบาทต่างๆน้อยมากในเชิงประสิทธิภาพ
ดังเช่นกรณีหนึ่งในวุฒิสภา ซึ่งปรากฏออกมาเป็นครั้งคราวเกี่ยวกับการแก้ปัญหาต่างๆที่เป็นไปตามปกติอย่างอิสระที่ส่งถึงประธานาธิบดี ซึ่งมีการเน้นย้ำ ขีดเส้นใต้ กระทำซ้ำๆในการสนับสนุนอิสราเอลโดยอเมริกัน. นั่นคือการแก้ปัญหาครั้งหนึ่งในเดือนพฤษภาคม, ซึ่งเป็นช่วงที่กองกำลังของอิสราเอลกำลังยึดครองและกำลังทำลายเมืองสำคัญๆต่างๆในเขต West Bank อย่างได้ผล. หนึ่งในอุปสรรคกีดขวางต่างๆเกี่ยวกับการรับรองโดยตลอดอันนี้ ในเรื่องของนโยบายต่างๆที่สุดขั้วที่สุดของอิสราเอลก็คือ ในระยะยาว มันจะเป็นผลเสียอย่างแท้จริงต่ออนาคตของอิสราเอลในฐานะที่เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในตะวันออกกลาง
Tony Judt ได้ให้เหตุผลเอาไว้ดีมากเกี่ยวกับกรณีนั้น เขาเสนอแนะว่า ไอเดียต่างๆที่เป็นทางตันของอิสราเอลเกี่ยวกับการคงอยู่ในพื้นที่ของชาวปาเลสติเนียนนั้น มันจะไม่น้อมนำไปสู่ที่หนึ่งที่ใดเลย เว้นแต่มันจะต้องขยับไปสู่การถอนตัวกลับซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างแน่นอน
เรื่องราวทั้งหมดของสงครามต่อสู้กับลัทธิการก่อการร้าย อนุญาตให้อิสราเอลและบรรดาผู้สนับสนุนมันกระทำอาชญากรรมสงครามต่อประชากรปาเลสติเนียนที่อยู่ในเขต West Bank และฉนวน Gaza ทั้งหมดได้, นั่นหมายความว่าประชาชนราว 3.4 ล้านคน กลายเป็นคนที่ไม่ใช่ทหารซึ่งส่งเสริมการทำลายล้างขึ้นมา
Terje-Roed Larsen, ซึ่งเป็นผู้บริหารพิเศษของ UN เกี่ยวกับกรณีดินแดนต่างๆที่ถูกยึดครอง ได้ตีพิมพ์รายงานฉบับหนึ่งออกมา โดยประจานความผิดของอิสราเอลเกี่ยวกับการเหนี่ยวนำไปสู่ความหายนะของมนุษยธรรม นั่นคือ การไม่มีงานทำได้พุ่งขึ้นมาถึง 65 เปอร์เซนต์, ประชาชนประมาณ 50 เปอร์เซนต์ดำรงชีวิตอยู่ด้วยรายได้ซึ่งน้อยกว่า 2 เหรียญต่อวัน, และในเชิงเศรษฐกิจ, โดยไม่จำต้องพูดถึงเกี่ยวกับการเป็นอยู่ของผู้คน มันได้ถูกทำลายลงจนแตกละเอียด
ในเชิงเปรียบเทียบกับรายงานดังกล่าวนี้ ความทุกข์ยากและความไม่มั่นคงปลอดภัยของชาวอิสราเอลิมันน้อยกว่านั้นมากอย่างน่าพิจารณา กล่าวคือ พวกเขาไม่ต้องเผชิญหน้ากับบรรดารถถังของปาเลสติเนียนที่จะเข้ามายึดครองส่วนหนึ่งส่วนใดของอิสราเอล หรือกระทั่งการท้าทายการตั้งรกรากต่างๆ
ในช่วงระหว่างสองสัปดาห์ที่ผ่านมา อิสราเอลได้สังหารผู้คนชาวปาเลสติเนียนไปถึง 75 คน, ในจำนวนนี้เป็นเด็กเสียส่วนใหญ่, ได้มีการรื้อทำลายบ้านเรือน, เนรเทศผู้คน, ทำลายล้างพื้นที่ทางการเกษตรอันมีค่าทิ้ง, และกักให้ทุกคนอยู่แต่ในบ้านยาวนานถึง 80 ชั่วโมงภายใต้กฎเคอฟิว, ไม่อนุญาตให้พลเมืองทั้งหลายผ่านแนวกั้นเขตบนท้องถนนต่างๆ หรือยินยอมให้รถพยาบาลและการช่วยเหลือทางการแพทย์ผ่านแนวกั้นนี้ไปได้ และปกติแล้วจะมีการตัดน้ำและตัดไฟเป็นประจำ
โรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆไม่สามารถเปิดทำการได้จริงๆจังๆ ขณะที่สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำวัน ซึ่งคล้ายกับการยึดครองตัวของมันเอง และการแก้ปัญหาของสภาความมั่นคงแห่งสหประชาตินับเป็นสิบๆเรื่องหรือจำนวนหลายโหล ซึ่งกระทำมาโดยตลอดอย่างน้อย 35 ปี มันได้รับการกล่าวถึงในสื่อของอเมริกันน้อยมากหรือเป็นครั้งคราวเท่านั้น เช่นดั่งกับหมายเหตุท้ายเรื่องของบทความขนาดยาวเกี่ยวกับการโต้เถียงของรัฐบาลอิสราเอลล, หรือการระเบิดพลีชีพซึ่งสร้างความเสียหายที่เกิดขึ้น
วลีสั้นๆ คือ "ถูกสงสัยเกี่ยวกับการก่อการร้าย" มันเป็นทั้งการให้เหตุผลและคำจารึกบนหลุมฝังศพสำหรับคนที่ชาลอนเลือกที่จะฆ่า. สหรัฐไม่คัดค้านเลย เว้นแต่ในบางประโยคที่อ่อนเอามาก เช่น คำกล่าวที่ว่า อันนี้มันช่วยไม่ได้ แต่น่าจะป้องกันหรือยับยั้งบ้างสำหรับการฆ่าในครั้งต่อไป
ตอนนี้ พวกเราได้เข้ามาใกล้หัวใจของเรื่องนี้แล้ว เนื่องจากผลประโยชน์ต่างๆของอิสราเอลในประเทศนี้ และโดยเหตุแห่งนโยบายตะวันออกกลางของสหรัฐคือ"ศูนย์กลางอิสราเอลโล"(Israelo-centric). สถานการณ์ที่ทำให้หมดกำลังใจหลังเหตุการณ์ 11 กันยาได้เกิดขึ้นมา ซึ่งกลุ่มคริสเตียนฝ่ายขวา, นักล็อบบี้อิสราเอล, และพฤติกรรมกระหายสงครามกึ่งศาสนาของการบริหารของประธานาธิบดี Bush ได้ถูกทำให้มีเหตุผลในเชิงทฤษฎีโดยบรรดาผู้ที่มีความคิดก้าวร้าวและกระหายสงครามในแนวอนุรักษ์นิยมใหม่
ทัศนะของคนพวกนี้เกี่ยวกับตะวันออกกลางได้รับการผูกเข้ากับการทำลายศัตรูของอิสราเอล ซึ่งบางครั้งได้ถูกประทับตราด้วยถ้อยคำอันสละสลวยของการเขียนแผนที่ขึ้นมาใหม่ โดยการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง และการนำเอาประชาธิปไตยไปให้บรรดาประเทศอาหรับทั้งหลาย ซึ่งคุกคามอิสราเอลมากที่สุด (See "The Dynamics of World Disorder: Which God is on Whose Side?" by Ibrahim Warde, Le Monde Diplomatique, September 2002 and "Born-Again Zionists" by Ken Silverstein and Michael Scherer, Mother Jones, October 2002).
การรณรงค์เพื่อปฏิรูปชาวปาเลสติเนียนของนายชาลอน เป็นอีกด้านหนึ่งไปเลยเกี่ยวกับความพยายามของเขาที่จะทำลายล้างปาเลสติเนียนในทางการเมือง นี่คือความปรารถนาอันแรงกล้ามาตลอดชั่วชีวิตของเขา. อิยิปต์, ซาอุดิ อาราเบีย, ซีเรีย, กระทั่งวจอร์แดนได้รับการคุกคามอย่างหลากหลาย, ถึงแม้ว่า, พวกเขาอาจจะมีการปกครองที่น่ากลัวก็ตาม, แต่พวกเขาก็ได้รับการปกป้องและสนับสนุนโดยสหรัฐนับจากสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา, ซึ่งอันที่จริงแล้วก็เช่นเดียวกันกับอิรัค
ตามข้อเท็จจริง ดูเหมือนจะเป็นที่แจ่มชัดกับทุกคนซึ่งรู้อะไรเกี่ยวกับโลกอาหรับที่ว่า รัฐที่ไม่มั่นคงของอาหรับ เป็นไปได้ว่าจะมาถึงจุดที่เลวร้ายมากอีกครั้งหนึ่ง เมื่อสหรัฐเริ่มโจมตีหรือข่มขืนอิรัค. บรรดาผู้ให้การสนับสนุนเกี่ยวกับนโยบายของการบริหาร บางครั้ง ได้กล่าวอะไรออกมาในลักษณะที่คลุมๆเครือๆ อย่างเช่น มันจะน่าตื่นเต้นมากแค่ไหน เมื่อพวกเราได้นำพาประชาธิปไตยไปสู่อิรัคและบรรดารัฐอาหรับอื่นๆ, โดยปราศจากข้อพิจารณาจำนวนมากสำหรับสิ่งที่แน่ชัดลงไป ในเทอมต่างๆของประสบการณ์การดำรงชีวิต ซึ่งจะมีความหมายต่อผู้คนซึ่งอาศัยอยู่ ณ ที่นั้นจริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเครื่องบิน B-52 ได้ทิ้งระเบิดโจมตี และฉีกทึ้งพื้นที่และทำลายล้างบ้านเรือนของพวกเขาไปอย่างไม่ปราณี. ผมไม่สามารถที่จะจินตนาการถึงเรื่องนั้น มันเป็นชนอาหรับเพียงลำพังหรือชาวอิรัคเท่านั้น ซึ่งไม่ชอบที่จะเห็นซัดดัม ฮุสเซนถูกขจัดออกไป. การบ่งชี้ทั้งหมดคือปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐ/อิสราเอลล ที่จะทำให้สิ่งต่างๆเลวร้ายลงมากสำหรับพื้นฐานการดำรงอยู่ของผู้คนธรรมดาในชีวิตประจำวัน แต่อันนี้ไม่มีอะไรซึ่งจะเปรียบเทียบได้กับความห่วงกังวลอันน่ากลัว, ความบิดผันในเชิงจิตวิทยา และรูปลักษณ์อันวิปริตผิดปกติของการเมืองซึ่งยัดเยียดให้กับสังคมต่างๆของพวกเขา
ทุกวันนี้ ไม่มีชาวอิรัคที่เป็นฝ่ายตรงข้ามซึ่งถูกเนรเทศออกนอกประเทศคนใด (ซึ่งได้รับการประจบประแจงเป็นพักๆโดยอย่างน้อยที่สุดจากคณะผู้บริหารของสหรัฐบางคน) และบรรดานายพลสหรัฐ อย่าง Tommy Franks, ซึ่งมีความน่าเชื่อถือมากพอในฐานะที่จะเป็นผู้ปกครองอิรัคหลังสงคราม. และดูเหมือนว่าจะไม่มีการคิดถึงและจริงจังอะไรนักเกี่ยวกับสิ่งที่อิรัคต้องการ เมื่อการปกครองได้ถูกเปลี่ยนแปลงไป และตัวละครต่างๆภายในถูกขยับเขยื้อนอีกครั้ง กระทั่งเมื่อพรรค Baath ได้ถูกถอดถอนหรือทำลายทิ้ง
เป็นสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการรับฟังของรัฐสภาเมื่อเร็วๆนี้ นายพล 3 คนจากศูนย์บัญชาการกองทัพสหรัฐ ได้แสดงออกอย่างจริงจังว่า, การสงวนรักษาที่ทุกลักทุเลซึ่งมีอันตรายอันคาดไม่ถึงทั้งหมดนี้ ดังที่มันเป็น กำลังได้รับการวางแผนทางด้านการทหารอยู่. แต่ความสงสัยไม่แน่ใจเหล่านั้นไม่ได้มีการพูดถึงมากพอเกี่ยวกับการแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่าภายในที่กำลังเดือดพล่านของประเทศนั้น และพลวัตเกี่ยวกับศาสนาในเชิงชาติพันธุ์, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจาก 30 ปีที่ระโหยโรยแรงภายใต้อำนาจของพรรค Baath, การแซงค์ชั่นของ UN, และสงครามที่สำคัญสองครั้ง(ขณะนี้นับได้เป็นสามครั้ง หลังจากสหรัฐได้โจมตีอิรัค). ไม่มีใครในสหรัฐ, ไม่มีใครที่ไหนเลยซึ่งมีความรู้ความคิดที่แท้จริงเกี่ยวกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอิรัค, หรือซาอุดิ อาราเบีย, หรืออิยิปต์ถ้าการแทรกแซงด้านการทหารที่สำคัญอุบัติขึ้น
เป็นที่รู้กันดี และถัดจากนั้นต่างสั่นเทาไม่ตามๆกันเมื่อ Fouad Ajami และ Bernard Lewis คือที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญสำคัญสองคนของฝ่ายบริหาร. ทั้งคู่คือผู้ซึ่งต่อต้านอาหรับอย่างร้ายกาจและฝังอยู่ในกมลสันดาน เช่นเดียวกับที่ไม่ได้รับความเชื่อถือจากเพื่อนร่วมงานของพวกเขาส่วนใหญ่ในด้านความเชี่ยวชาญในสาขานั้น. Lewis ไม่เคยอยู่ในโลกอาหรับเลย และสิ่งที่เขาต้องการพูดเกี่ยวกับมันเป็นขยะหรือเรื่องเหลวไหลไร้สาระของพวกปฏิกริยาฝ่ายขวา; ส่วน Ajami เป็นคนที่มาจากทางตอนใต้ของเลบานอน เขาเป็นคนหนึ่งซึ่งในอดีตเคยเป็นผู้ให้การสนับสนุนที่ก้าวหน้าเกี่ยวกับการต่อสู้ของชาวปาเลสไตน์ แต่ปัจจุบันได้ผลิกผันเปลี่ยนไปสู่พวกฝ่ายขวาสุดขั้ว และได้รับหลักการของลัทธิ Zionism (ขบวนการหนึ่งเกี่ยวกับการพัฒนาและปกป้องชนชาติยิวในอิสราเอล)และจักรวรรดินิยมอเมริกันโดยปราศจากตั้งคำถามหรือข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น
เหตุการณ์ 11 กันยา เป็นการเปิดช่องให้กับช่วงเวลาเกี่ยวกับการสะท้อนลักษณะความเป็นชาติขึ้นมา และการไตร่ตรองเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ หลังจากอาการช็อคเกี่ยวกับความโหดร้ายอันไร้จิตสำนึก. ลัทธิการก่อการร้ายดังกล่าว แน่นอน ต้องการการเผชิญหน้าที่มีพลังและความเกี่ยวข้องอันเข้มแข็งมากที่สุด แต่ในความคิดเห็นของผม มันมักจะเป็นผลที่ตามมาของการโต้ตอบที่ทรงพลังและเด็ดขาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับการพิจารณาเป็นอันดับแรก, ไม่ใช่เพียงทันทีทันใดเท่านั้น, อันนี้เป็นปฏิกริยาขานรับที่สะท้อนกลับและความเฉียบขาด
ไม่มีใครเถียงในทุกวันนี้, แม้แต่หลังจากการแตกพ่ายของพวกตาลิบัน ที่อัฟกานิสถานตอนนี้เป็นที่ซึ่งมีความปลอดภัยมากขึ้นและดีขึ้นกว่า จากจุดยืนของพลเมืองที่ยังคงได้รับความทุกข์ทรมานของประเทศนี้. การสร้างชาติ, อย่างชัดเจน ไม่ใช่สิทธิพิเศษของสหรัฐสำหรับที่นั่น ในเมื่อสงครามอื่นๆในสถานที่ที่ต่างออกไป ได้ดูดดึงความสนใจให้ละวางไปจากสนามรบแห่งสุดท้ายนี้ นอกจากว่า อะไรคือเจตนาหรือความตั้งใจของอเมริกันในการสร้างชาติๆหนึ่งขึ้นมา ด้วยวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่แตกต่างไปจากของพวกเขาดังเช่นอิรัค ?
ทั้งโลกอาหรับและสหรัฐอเมริกาต่างมีความสลับซับซ้อนและเป็นที่ซึ่งมีพลวัตสูงมาก มันเป็นอะไรมากมายกว่าความซ้ำซากจำเจต่างๆของสงคราม และวลีที่กังวานกึกก้องเกี่ยวกับการสร้างขึ้นมาใหม่ที่จะยอมรับได้. นั่นคือความชัดเจนในเหตุการณ์หลังการโจมตีของสหรัฐต่ออัฟกานิสถาน
มันมีเสียงซึ่งแสดงการไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงเกี่ยวกับน้ำหนักข้อพิจารณาในวัฒนธรรมอาหรับทุกวันนี้ และได้มีขบวนการต่างๆเกี่ยวกับการปฏิรูปข้ามเส้นเขตแดนอันกว้างใหญ่ออกไป. ความจริงในอย่างเดียวกันนี้เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งโดยการตัดสินจากประสบการณ์การบรรยายของผมเมื่อไม่นานมานี้ ในหลายๆแคมพัส ผู้คนส่วนใหญ่มีความรู้สึกกังวลใจเกี่ยวกับสงคราม กระวนกระวายที่อยากจะรู้อะไรมากขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด รู้สึกไม่สบายใจที่จะไปร่วมสงครามกับคนที่ชอบทะเลาะวิวาทที่ได้รับแรงบันดาลในเกี่ยวกับองค์ Messiah
ดังเช่นที่ The Nation ได้นำเสนอมันในบทบรรณาธิการล่าสุด, ประเทศนี้กำลังเดินหน้าไปสู่สงคราม ประหนึ่งว่ามันกำลังตกอยู่ในภวังค์ ขณะเดียวกัน ข้อคัดค้านต่างๆก็ทวีจำนวนมากยิ่งขึ้น และสภาคองเกรสได้สละบทบาทของตัวเองเกี่ยวกับการเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของผู้คน
ในฐานะของคนๆหนึ่ง ผู้ซึ่งเคยอยู่ในวัฒนธรรมทั้งสองนี้มาโดยตลอดเช่นชีวิตของผมทั้งหมด มันทำให้รู้สึกตกใจว่า การปะทะกันของอารยธรรมต่างๆ, ที่เป็นแนวคิดอันหยาบกระด้างและถูกสะกัดตัดทอนลงมาซึ่งคลุมเครือเอามากๆตอนนี้, ได้มาเข้ามาแทนที่ความคิดและการกระทำ. สิ่งที่พวกเราต้องการนำเสนอในที่นี้คือกรอบโครงสร้างที่เป็นสากลอันหนึ่งสำหรับการทำความเข้าใจและการเกี่ยวข้องกับซัดดัม ฮุสเซน เช่นเดียวกับนายชาลอน, บรรดาผู้ปกครองของเมียนมาร์, ซีเรีย, ตุรกี, และเจ้าของบ้านทั้งหมดของประเทศเหล่านั้น ที่ซึ่งการปล้นสดมภ์ต่างได้รับการอดทนโดยไม่มีการต่อต้านมากพอ. บ้านเรือนที่ถูกรื้อถอนทำลาย, ความทรมานและความเจ็บปวด, การปฏิเสธในเรื่องสิทธิทางการศึกษาคือสิ่งที่ได้รับคัดค้านไม่ว่าจะเกิดขึ้น ณ ที่ใดก็ตาม
ผมรู้ว่าไม่มีหนทางใดที่จะรื้อฟื้นหรือสร้างโครงสร้างขึ้นมาใหม่ เว้นแต่โดยผ่านการศึกษา และการสนับสนุนเกี่ยวกับการเจรจากันอย่างเปิดเผย, มีการแลกเปลี่ยน มีความซื่อสัตย์ และมีการใช้สติปัญญา ซึ่งจะไม่บรรทุกเอาแถลงการณ์ที่มีวาระซ่อนเร้นพิเศษไว้ หรือศัพท์เฉพาะต่างๆเกี่ยวกับสงคราม, ความรุนแรงทางด้านศาสนา, และการใช้กำลังเข้าป้องกันก่อน(pre-emptive "defense")
แต่อนิจจา นั่นต้องใช้เวลานาน, และด้วยการตัดสินจากรัฐบาลสหรัฐและอังกฤษ, หุ้นส่วนที่เล็กมากของมัน, ชัยชนะโดยไม่ต้องมีการหยั่งเสียงใดๆทั้งสิ้น. พวกเราจะต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยอำนาจของพวกเราเพื่อปลุกปั่นและยุแหย่ให้มีการสนทนากัน และช่วยกันตั้งคำถามที่ก่อให้เกิดความลำบากใจมากขึ้นๆ
ด้วยการกระทำเหล่านั้นมันจะช่วยให้เรื่องต่างๆช้าลง และในท้ายที่สุดไปหยุดยั้งการพึ่งพาสงคราม ซึ่งปัจจุบันนี้ได้กลายเป็นเพียงทฤษฎีหนึ่งเท่านั้น และจะได้ไม่ต้องนำมันมาสู่การปฏิบัติอีกเลย
Edward Said writes a weekly column for the Cairo-based al-Ahram.
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา I webboard I ประวัติ ม.เที่ยงคืน
e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
สำหรับสมาชิกที่ต้องการ download ข้อมูล อาจใช้วิธีการง่ายๆดังต่อไปนี้
1. ให้ทำ hyper text ข้อมูลทั้งหมด
2. copy ข้อมูลด้วยคำสั่ง Ctrl + C
3. เปิด word ขึ้นมา (microsoft-word หรือ word pad)
4. Paste โดยใช้คำสั่ง Ctrl + V
จะได้ข้อมูลมา ซึ่งย่อหน้าเหมือนกับต้นฉบับทุกประการ
(กรณีตัวหนังสือสีจาง ให้เปลี่ยนสีเป็นสีเข้มในโปรแกรม Microsoft-word)
อิสราเอล
อิรัค และสหรัฐอเมริกา
Israel, Iraq and the US
by EDWARD SAID
สมเกียรติ ตั้งนโม : เรียบเรียง
หลายส่วนของเลบานอนได้ถูกทิ้งระเบิดอย่างหนักโดยเครื่องบินรบของอิสราเอล เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 1982. สองวันหลังจากที่กองทัพอิสราเอลได้บุกเข้าไปในเลบานอนด้านพรมแดนทางตอนใต้. ในช่วงเวลานั้น นายเมนาเฮม เบกิน เป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนนายเอเลียว ชาลอน เป็นรัฐมนตรีกลาโหม
เหตุผลเร่งด่วนในช่วงเวลาดังกล่าวสำหรับการรุกรานก็คือ มีการพยายามลอบฆ่านักการฑูตอิสราเอลในกรุงลอนดอน แต่หลังจากนั้นจนถึงทุกวันนี้ การกล่าวโทษในเรื่องนี้ได้ถูกนำไปโยนให้กับขบวนการก่อการร้าย PLO โดยนายเบกินและนายชาลอน