มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ
Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
สนใจสมัครเป็นสมาชิก
กรุณาคลิก member page
ส่วนผู้ที่ต้องการดูหัวข้อบทความ
ทั้งหมด ที่มีบริการอยู่ขณะนี้
กรุณาคลิกที่ contents page
และผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
หรือประกาศข่าว
กรุณาคลิกที่ปุ่ม webboard
ข้างล่างของบทความชิ้นนี้
หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
midnightuniv(at)yahoo.com
ซึ่งพยายามผลักให้โลกในฐานะองค์ระบบขนาดมหึมาเสมือนสิ่งที่มีชีวิต(Gaia)ไปพ้นจากเขตแดนต่างๆทางธรรมชาติของตัวเองใช่ไหม ? หรือ การเล่นแร่แปรธาตุเป็นอะไรบางอย่างที่มากกว่าเรื่องของการเสกเป่าหรือคาถาเวทมนต์(mumbo-jumbo) ภายใต้เงื่อนไขที่ดีที่สุด มันเป็นการเบิกโรงหรือการเปิดฉากไปสู่วิชาเคมีอย่างที่เรารู้จักในปัจจุบัน, และภายใต้เงื่อนไขที่เลวที่สุด มันคือความเชื่อทางไสยศาสตร์ที่อันตรายใช่หรือไม่ ?
ตามข้อเท็จจริง การเล่นแร่แปรธาตุไม่ใช่เพียงแค่ให้การสนับสนุนบางสิ่งบางอย่างอันเป็นประโยชน์ หรือสร้างประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลให้กับวงการวิทยาศาสตร์และการแพทย์เวชกรรมไปทั่วโลกเท่านั้น แต่มันยังมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อความรู้ทางปรัชญา, ศาสนา, จิตวิทยา, วรรณคดี, สถาปัตยกรรม และศิลปะด้วย
การเล่นแร่แปรธาตุเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเก่าแก่โบร่ำโบราณ แต่ในเวลาเดียวกันมันก็สอดคล้องอย่างยิ่งกับยุคสมัยของเรา มันคือวิทยาศาสตร์แบบองค์รวม ซึ่งได้พูดถึงความคิดจิตใจและจินตนาการไปพร้อมกัน. บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายเข้าใจว่า ความรู้ที่แท้จริงนั้นไม่ต้องการเพียงเหตุผลและข้อพิสูจน์เท่านั้น แต่มันต้องการสหัชญานหรือการหยั่งรู้(intuition)และการส่องสว่าง(iluumination)ด้วย. พวกเขาต่างตระหนักว่า มันมีสติปัญญาอันหนึ่งของหัวใจ เช่นเดียวกับสติปัญญาของสมอง
ถึงแม้ว่ามันจะมีรัศมีอันเปล่งปลั่งที่วิเศษและลึกลับ แต่การเล่นแร่แปรธาตุก็ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเป็นกระแสล่าง(undercurrent)ของวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกอย่างมั่นคงและมีพลัง. และมันอยู่ในท่วงทำนองที่สอดรับกันอย่างดีที่สุดกับนิเวศวิทยาแนวใหม่และวิทยาศาสตร์แนวใหม่
คนที่มีความคิดที่ยิ่งใหญ่บางคนในยุโรปได้อุทิศตัวให้กับการเล่นแร่แปรธาตุอย่างเอาจริงเอาจัง แม้ว่าจะไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการในลัทธิคาธอลิคก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น St. Thomas Aquinas ได้ใช้เวลาหลายปีในการศึกษาถึงเรื่องราวอันนี้. แม้ว่าส่วนใหญ่แล้ว Isaac Newton จะรับผิดชอบสำหรับการสร้างโลกทัศน์แบบกลไกและโลกทัศน์แบบลดทอน(mechanical and reductionist world-view) ซึ่งได้ส่งให้การเล่นแร่แปรธาตุผลุบลงไปใต้ดินในคริศตศตวรรษที่ 17 แต่เขาได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ของตัวเอง ณ Cambridge ทำงานอยู่กับเรื่องของการเล่นแร่แปรธาตุ
ในการค้นพบเกี่ยวกับแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ทางด้านสัญลักษณ์ของมัน Carl Jung ยอมรับในความเข้าใจทางจิตวิทยาอันลึกซึ้งของการเล่นแร่แปรธาตุ และรับสารภาพว่ามันสามารถทำให้เขาเข้าใจถึงกระบวนการที่แท้จริงของการตระหนักในความสามารถของตนได้อย่างเต็มที่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การเล่นแร่แปรธาตุได้ดึงดูดใจศิลปินและบรรดานักประพันธ์ที่ยิ่งใหญ่จำนวนมากให้ผูกติดและเห็นความสำคัญเกี่ยวกับมันมานานหลายต่อหลายศตวรรษ รวมไปถึง Hieronymus Bosch, Albrecht Durer, Goethe, Victor Hugo และ W.B. Yeats.
บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายต่างอ้างอิงถึงงานของพวกเขา ในฐานะที่เป็นงานที่เรียกว่า the magnum opus (งานยิ่งใหญ่โดยเฉพาะงานของนักประพันธ์หรือศิลปิน - the Great Work). มันเกี่ยวพันกันกับ"งานนอก"(outer work)ของการทำการทดลองต่างๆในห้องทดลองของพวกเขา และ"งานใน"(inner work)เกี่ยวกับการทำให้งานมีความสมบูรณ์ของพวกเขา. ไม่มีการทดลองเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุที่ขาดเสียซึ่งมิติทางด้านศีลธรรมและจิตวิญญาน. มันเป็นการแปรรูปวัตถุสสารภายนอก ในขณะเดียวกันมันก็แปรเปลี่ยนภายในทางจิตวิญญานด้วย. อันที่จริง การค้นพบเกี่ยวกับก้อนหินของนักปรัชญาเป็นเครื่องหมายอันหนึ่งของการตระหนักในความสามารถของตนอย่างเต็มที่ของบรรดานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลาย
มักจะมีการตีความเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุเป็น 2 ลักษณะเสมอ นั่นคือ the exoteric และ esoteric (เป็นเรื่องของสาธารณะ-ภายนอก และเรื่องของความลึกลับ-ภายใน) เป็นเรื่องของ practical และ Spiritual (ปฏิบัติการที่เป็นจริง และเรื่องจิตวิญญาน). พวกมันปรากฎตัวคล้ายดังกับหนังสือที่เปิดและปิด แต่อันที่จริงมันเหมือนกับสองหน้าของเหรียญเดียวกันมากกว่า
ในเชิงศักยภาพ พลังอำนาจของมันค่อนข้างจะรุนแรงคล้ายระเบิด ด้วยเหตุดังนั้น บรรดานักเล่นแร่แปรธาติทั้งหลาย ตามขนบจารีตแล้ว มักจะถ่ายทอดความรู้ของพวกเขาโดยคำพูดจากครูถึงศิษย์. และเมื่อไรก็ตามที่พวกเขาตีพิมพ์ทฤษีและการค้นพบต่างๆของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงคริสศตวรรษที่ 16-17 พวกเขาก็จะใช้สัญลักษณ์ประหลาดๆ และเขียนในรูปของปริศนา เพื่อว่าความรู้ต่างๆเหล่านั้นมันจะไม่ส่งทอดไปผิดมือนั่นเอง
ผลงานการเล่นแร่แปรธาตุต่างๆบนระดับของความแตกต่างหลากหลาย
ในกระบวนการเล่นแร่แปรธาตุที่คลาสสิค เป็นการแสวงหาหนทางที่จะสร้างสรรค์การผสมผสานกันระหว่าง
"ปรอท" กับ "กำมะถัน" เข้าด้วยกันในหลอดทดลองเหนือเตาเผา. การหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
บ่อยครั้งได้รับการวาดออกมาในรูปของภาพความสัมพันธ์กันทางเพศ(sexual imagery).
ปรอทและกำมะถันได้ถูกแทนด้วยภาพของดวงอาทิตย์(Sol)และดวงจันทร์(Luna). การผสมผสานหรือการแต่งงานของทั้งคู่ได้สรรค์สร้างกะเทย(hermaphrodite)ขึ้นมา
ซึ่งโดยลำดับมันได้ผลิตก้อนหินของนักปรัชญาขึ้น. โดยการก่อให้เกิดหลักการชายและหญิงที่เป็นสากลที่สัมพันธ์กันในการสมรสกันทางเคมี
นักเล่นแร่แปรธาตุพยายามที่จะฟื้นคืนสภาพอันมีเอกภาพดั้งเดิมของโลกขึ้นมา
โดยขนบประเพณี ขั้นตอนที่แตกต่างในกระบวนการเล่นแร่แปรธาตุได้รับการสังเกตุหรือพิจารณาโดยปรากฎการณ์ของสีสรรที่ต่างไป นั่นคือผ่านจากสีดำไปเป็นสีขาว และสีแดงในที่สุด. ในเวลาเดียวกัน ปฏิบัติการต่างๆในเชิงกายภาพได้แสดงสัญลักษณ์ของกระบวนการทางจิตวิทยาเกี่ยวกับการตระหนักในความสามารถของตัวตนได้อย่างเต็มที่ นั่นคือ แต่ละคนจะผันผ่านจากความไม่รู้ไปสู่ความรู้, หรือผันผ่านความสับสนไปสู่ภาวะที่กลมกลืน
ในอีกระดับหนึ่งนั้น กระบวนการเล่นแร่แปรธาตุเกี่ยวกับการสลายตัว และการเปลี่ยนจากสภาวะที่เป็นของเหลวกลายไปเป็นก้อนที่หนาหนืด(coagulation) ได้สะท้อนหรือเป็นตัวแทนกระบวนการของชีวิตทั้งหมด, รวมไปถึงเรื่องของความตายและการเกิดใหม่. ด้วยเหตุนี้ การเล่นแร่แปรธาตุจึงปฏิเสธการแบ่งแยกระหว่างกายกับจิต; อันที่จริง มันแสวงหาหนทางการทำให้ปรากฎเป็นรูปเป็นร่างของจิตวิญญาน, และการทำให้เป็นเรื่องของกายสภาพเป็นเรื่องของจิตวิญญานขึ้นมา ข้อเท็จจริงคือว่า การเล่นแร่แปรธาตุมันทำงานอยู่บนระดับที่แตกต่างกันหลายระดับมาก - นั่นคือ ในระดับที่เกี่ยวกับกายภาพ, จิตวิทยา, และจิตวิญญาน - โดยไม่มีข้อสงสัยต่อคำอธิบายอันดึงดูดใจที่เป็นสากลของมัน
การเล่นแร่แปรธาตุได้พัฒนาขึ้นมาอย่างเป็นอิสระในประเทศจีน, อินเดีย และอียิปต์ เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว. อันที่จริง ทั้งสามประเทศที่กล่าวนามมานี้มีตำนานต่างๆอันเก่าแก่ซึ่งว่าไว้ว่า การเล่นแร่แปรธาตุถูกนำข้ามน้ำข้ามทะเลมาโดยบุคคลพิเศษ - ซึ่งถูกรู้จักในฐานะที่เป็นทายาทต่างๆของเทพแห่งแสงสว่างของจีน, the Roshi (ผู้นำทางจิตวิญญานของชุมชนนักบวชในพุทธศาสนานิกายเซน)ในทางตอนใต้ของอินเดีย, และบรรดาเพื่อนๆของ Horus (เทพแห่งแสงสว่างที่มีศีรษะเป็นเหยี่ยวของอียิปต์)
มันเป็นไปได้ที่ว่า การเล่นแร่แปรธาตุคือส่วนประกอบที่เป็นเนื้อแท้ที่ได้รับการซ่อนเร้นของวิทยาศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์ของอารยธรรมที่สูญหายไปใช่ไหม ? ถึงแม้ว่า การเล่นแร่แปรธาตุจะถูกแสดงออกในเรื่องในภาษาศาสนาและวิทยาศาสตร์ของวัฒนธรรมที่แตกต่าง แต่มันคือปรากฎการณ์ที่เป็นสากลอันหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย และความเชื่อพื้นฐานเบื้องต้นของมันต่างๆ มักจะเป็นอย่างเดียวกันเสมอๆ
เป็นดังที่มัน(อาจจะ)เป็น กล่าวคือ นับจากช่วงเวลาแรกสุด บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุชาวจีนทั้งหลาย โดยหลักการแล้ว ได้ให้ความสนใจในการค้นหายาอายุวัฒนะ ซึ่งมีค่าเท่าๆกันกับเรื่องของห้อนหินของนักปรัชญา. การทำงานภายในขนบจารีตของลัทธิเต๋า พวกเขาได้จำแนกความแตกต่างระหว่างการเล่นแร่แปรธาตุแบบ wei tan และ nei tan, นั่นคือ การเล่นแร่แปรธาตุแบบ outer elixir และแบบ inner elixir (ยาแก้สารพัดโลกภายนอกและภายใน). นับแต่โบร่ำโบราณได้น้อมนำไปสู่การค้นหาเกี่ยวกับพืชสมุนไพรและยาที่เป็นน้ำแร่จำนวนมาก ในขณะที่ช่วงหลังต่อมาพยายามแสวงหาการที่จะสงวนรักษาพลังความกระฉับกระเฉงของชีวิตและการยืดอายุออกไปโดยการบริหารร่างกาย, การทำสมาธิ, การควบคุมวิธีการหายใจ, และเทคนิคการมีเพศสัมพันธ์บางอย่าง
ดังที่ท่านเล่าจื้อผู้ยิ่งใหญ่ได้ตั้งข้อสังเกตุอย่างปราดเปรื่องว่า: สิ่งที่ตรงข้ามหรือขัดแย้งกับเต๋าจะไม่อาจยืนหยัดได้ยาวนาน". พ้นไปจากขนบจารีตแบบ nei tan อันนี้ จะปรากฏการบริหารร่างกายแบบ qigong (จี้กง - ระบบการออกกำลังกายและควบคุมการหายใจแบบจีนวิธีการหนึ่ง) และ tai chi (ไท้จี้) เช่นเดียวกับการทำสมาธิที่เปล่งประกายออกไปรายรอบ ซึ่งรู้จักกันในฐานะที่เป็น"ความลึกลับของดอกไม้ทองคำ). เทคนิคต่างๆเหล่านี้ยังคงได้รับการปฏิบัติกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้โดยนักบวชและแม่ชีในลัทธิเต๋าของจีน
ในอินเดีย การแสวงหาน้ำอมฤต - amrita - น้ำทิพย์ของพระผู้เป็นเจ้า และพืชโสม - soma - ได้รับการกล่าวว่าจะทำให้ไม่มีวันตาย สิ่งเหล่านี้ได้มีการพูดถึงในคัมภีร์พระเวท ซึ่งจารึกขึ้นมาตั้งแต่ประมาณ 1500 ปีก่อนคริสตศักราช. การเล่นแร่แปรธาตุ แรกสุดได้รับการพัฒนาขึ้นมาในฐานะที่เป็นเครื่องมือของการแพทย์อายุรเวช(Ayurveda medicine) ซึ่งแสวงหาการที่จะรื้อฟื้นความกลมกลืนดั้งเดิมของสุขภาพ
มันยังคงเป็นการแพทย์กระแสหลักในอินเดียและธิเบตมาจนกระทั่งทุกวันนี้. ไม่เหมือนหรือแตกต่างกันกับสิ่งที่คู่กันของตะวันตก มันใช้วิธีการแบบองค์รวมและยอมรับความสำคัญของร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญานในการบำบัดรักษาโรค. การเล่นแร่แปรธาตุในอินเดียถูกรู้จักในฐานะ rasayana - วิถีของปรอท - และการแพทย์ที่สร้างขึ้นมาจากปรอท และโลหะอื่นๆที่ยังคงมีใช้กันอยู่อย่างกว้างขวาง. สาขาของการแพทย์เกี่ยวโยงกับโรคของคนชรา(geriatrics)ในอายุรเวชซึ่งได้รับการเรียกว่า rasayana. Rasa หรือ mercury (ปรอท) ถูกรู้จักในฐานะเมล็ดพันธุ์ของพระศิวะ พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทำลายและการเกิดใหม่(the god of destruction and rebirth)
การเล่นแร่แปรธาตุเกี่ยวกับการแปรเปลี่ยนทางจิตวิญญานถือเป็นแก่นแกนหลักอันหนึ่งในวัฒนธรรมอินเดีย. ในงานเฉลิมฉลองเทศกาล Kumbh Mela จัดเป็นเทศกาลซึ่ง 12 ปีมีครั้ง โดยนักแสวงบุญชาวฮินดูกว่า 30 ล้านคนจะลงอาบน้ำในแม่น้ำคงคาและยมุนาอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อชำระบาปของพวกเขาและรับน้ำอมฤต
มันยังเป็นส่วนที่สำคัญอันหนึ่งของตันตระ ซึ่งถือเป็นขนบประเพณีทางจิตวิญญานที่โอบกอดโลกนี้เพื่อที่จะมีชัยเหนือมัน ตันตริกเป็นการรวมกันระหว่างโยคะกับเทคนิคทางเพศที่พัฒนาขึ้นมาในขั้นสูงเข้าด้วยกัน รวมถึงการควบคุมการหายใจและการทำสมาธิเพื่อยกระดับพลังงานกุณฑลินี(พลังแอบแฝงของเพศหญิง) และแปรรูปจิตวิญญานที่หยาบไปสู่จิตวิญญานอันละเอียดอ่อน
การเล่นแร่แปรธาตุของตะวันตกถือกำเนิดขึ้นในอียิปต์ ศัพท์คำว่า"alcemy"(การเล่นแร่แปรธาตุ)มาจากภาษาอาราบิคสำหรับอียิปต์ - Al Kemia, หมายความว่า "ดินแดนอันดำมืด"(The Black Land); เป็นอ้างอิงถึงผืนดินอันอุดมสีเข้มที่ถูกทิ้งไว้หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมประจำปีของแม่น้ำไนล์
เทพเจ้า Thoth เทพแห่งดวงจันทร์หัวเป็นนกของอิยิปต์ ซึ่งเป็นเทพแห่งความเฉลียวฉลาด การเรียนรู้และศิลปะ เทพเจ้าองค์นี้กรีกรู้จักในนามว่า Hermes, ได้ถูกพิจารณาว่าเป็นบิดาแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ. ตำรับตำราเล่มแรกๆที่ได้รับการเขียนขึ้นปรากฎอยู่ในห้องสมุดอเล็กซานเดรียในราวศตวรรษที่ 2 ซึ่งเป็นเรื่องราวรวมกันของวิทยาศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระหรือนักบวชชาวอิยิปต์กับปรัชญากรีก. ไม่จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 12 ที่ การเล่นแร่แปรธาตุได้มาถึงยุโรปโดยผ่านมาทางชนชาวมุสลิม. ถัดมาไม่นาน มันได้รับการเอาอย่างหรือเลียนแบบในฐานะที่เป็นรูปแบบหลักของวิทยาศาสตร์ในช่วงต้นๆ
คำถามยังคงมีอยู่ แม้ว่าการเล่นแร่แปรธาตุ อันที่จริง มีมิติอันหนึ่งเกี่ยวกับนิเวศวิทยาก็ตาม. บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายได้ทำงานร่วมกับธรรมชาติ โดยไม่มีอะไรที่สวนทางกับธรรมชาติเลย. พวกเขากล่าวว่า ธรรมชาติรับใช้ศิลปะ และศิลปะรับใช้ธรรมชาติ. เป้าหมายของพวกเขาจะไม่ไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขธรรมชาติ แต่จะทำงานร่วมกับเวลา
ความเชื่อที่ว่าโลหะทุกชนิดจะเจริญงอกงามในอุทรของพระแม่ธรณี และทองคำนั้นคือความสมบูรณ์ซึ่งพวกมันทั้งหมดกำลังดิ้นรนฟันฝ่าอย่างหนักเพื่อไปให้ถึง บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุปรารถนาที่จะเร่งกระบวนการทางธรรมชาติในห้องทดลองของพวกเขา. จริงๆแล้ว นักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายไม่ได้สนใจที่จะบรรลุถึงความมั่งคั่งร่ำรวยแต่อย่างใด - พวกเขาต่างรู้อยู่เต็มอกเกี่ยวกับความสิ้นเปลืองอันไร้ประโยชน์ที่ผันผ่านไปของพวกเขา - ในการแสวงหาความสว่างวัฒนาทางจิตวิญญาน(spiritual enlightenment)และการบรรลุถึงชีวิตอันเป็นอมตะ. ด้วยศิลปะของพวกเขา, พวกเขาพยายามที่จะช่วยให้ธรรมชาติไปสู่ศักยภาพของการคลี่คลายตัวของมันออกมา และไปสู่การบรรลุถึงวัตถุประสงค์ในเชิงสร้างสรรค์ของมัน
ในข้อเท็จจริง, การเล่นแร่แปรธาตุปรากฎตัวออกมาในรูปของส่วนหน้าสุดของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในความเข้าใจของวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องของสสาร, พลังงาน และความสำนึก. การเล่นแร่แปรธาตุพูดตรงๆกับพวกเขาเหล่านั้น ซึ่งท้าทายต่อนักวัตถุนิยมที่ยังหลงเหลืออยู่และความคิดแบบกลไก และรับเอาวิธีการแบบที่เป็นองค์รวมมากกว่าอันหนึ่งมาใช้กับธรรมชาติ
บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายได้อธิบายจักรวาลคล้ายๆกับฟิสิกส์สมัยใหม่ ในฐานะที่เป็น"สนามของพลังงาน", ส่วนโค้งที่แปรเปลี่ยนอันหนึ่งของพลังงาน. พวกเขาต่างรู้อยู่เต็มที่เกี่ยวกับหลังความไม่แน่นอนของ Heisenberg(Heisenberg's Uncertainty Principle), ซึ่งกล่าวว่าผู้สังเกตุการณ์ย่อมมีผลต่อสิ่งที่ถูกสังเกตุอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และมันไม่สามารถที่จะมีความแตกต่างตายตัวระหว่างเรื่องของ"การรับรู้"กับ"วัตถุของการรับรู้"
บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายไม่เคยยอมรับมายาคติของวัตถุนิยมในวิทยาศาสตร์: นับแต่ที่เรามีส่วนร่วมอยู่ในธรรมชาติอย่างไม่อาจหลุดออกจากมันได้, เราไม่สามารถที่จะพูดถึงธรรมชาติโดยปราศจากการพูดถึงตัวของเราเอง. แม้แต่ทฤษฎีไร้ระเบียบ(chaos theory), ซึ่งยอมรับเรื่องของความไม่แน่นอนว่าเป็นหัวใจสำคัญของสภาวการณ์, อันนี้ได้สะท้อนถึงความเข้าใจของนักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายเกี่ยวกับสิ่งต่างเป็นจำนวนมากของความผันแปรต่างๆในขณะที่ทำงานอยู่กับธรรมชาติ
ในเวลาเดียวกัน การเล่นแร่แปรธาตุได้คาดทำนายล่วงหน้าได้ดีที่สุดเกี่ยวกับนิเวศวิทยาสมัยใหม่. การพูดถึงเรื่องของ Gaia (โลกในฐานะองค์ระบบขนาดมหึมา) ในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิต ถือว่าเป็นการพูดถึงเรื่องที่เก่าแก่มากเรื่องหนึ่งในภาษาของการเล่นแร่แปรธาตุ. บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายมักจะมองจักรวาลไม่ใช่ในฐานะเครื่องจักรที่ตายแล้ว แต่จะมองมันในฐานะองค์ระบบที่มีชีวิต มันยืนหยัดโดยตัวของมันเอง และก่อเกิดโดยตัวของมันเอง ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างถูกเชื่อมโยงเข้าไว้ด้วยกัน
พวกเขายอมรับคล้ายๆกับนักนิเวศวิทยาสมัยใหม่ในเรื่องเครือข่ายอันละเอียดอ่อนของความสัมพันธ์ในข่ายใยของธรรมชาติ. สำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งที่เล็กๆทำให้ความงดงามอันวิเศษของสิ่งทั้งหมดมีความสมบูรณ์ขึ้นมา. มันมีเอกภาพในความหลากหลายของโลก: "ทั้งหมดคือหนึ่งเดียว และหนึ่งเดียวคือทั้งหมด(All is One and One is All)"
ความเคารพนับถือรู้สึกได้โดยนักสิ่งแวดล้อมสมัยใหม่จำนวนมาก สำหรับธรรมชาติ มักจะอยู่ในก้นบึ้งลึกลงไปในหัวใจของบรรดานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลาย พวกเขาฟังความน่าเกรงขาม และฟังความเงียบอันเป็นสุ้มเสียงของผืนแผ่นดิน และความกลมกลืนของดาวเคราะห์ดวงนี้
ภายในโลกทัศน์เกี่ยวกับชีวิตและเป็นพลวัตของพวกเขา บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายต่างยอมรับความสอดคล้องลงรอยสนิทสนมกันระหว่างสวรรค์และผืนโลก. เทียบกันกับจักรวาลขนาดเล็กของแต่ละปัจเจกบุคคล อันเป็นกระจกเงาสะท้อนของจักรวาลขนาดใหญ่ของมหาจักรวาล(universe)(บนและล่างเป็นอย่างเดียวกัน) ดังนั้น มันจึงมีเอกลักษณ์ระหว่างบุคคลและดาวเคราะห์ (เป็นทั้งภายในและภายนอก). นักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลาย มักจะให้เหตุผลว่า มันมีสิ่งที่เรียกว่า Anima mundi, หรือโลกของวิญญาน ซึ่งวิญญานของแต่ละปัจเจกบุคคล ทั้งหมดบังเกิดขึ้น ณ ที่นั้น. พวกเขาเชื่อว่ามันมีดวงดาวอยู่ในเรือนร่างของพวกเรา เช่นเดียวกับบนฟากฟ้า
ในตะวันตก แพทย์ทางเลือกหรือแพทย์ที่มาเติมเต็ม รากเหง้าต่างๆของมันดำรงอยู่ในการเล่นแร่แปรธาตุ. บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุก็คล้ายๆกับ Paracelsus (นักเล่นแร่แปรธาตุและแพทย์ชาวสวิสส์ 1493-1541)ที่เน้นถึงความสำคัญของอาณาเขตอันลึกลับละเอียดอ่อนของความสำนึกในการบำบัดรักษา และพิจารณาคนในฐานะส่วนทั้งหมด นั่นคือ ทั้งร่างกาย วิญญาณ และจิตวิญญานไปพร้อมกัน
Homoeopathy ด้วยหลักการของมันเกี่ยวกับการรักษา"เหมือนกับเหมือน" ค้นพบต้นกำเนิดของมันในการเล่นแร่แปรธาตุ. ไม่เพียงบรรดาสาศิษย์ของ Jung เท่านั้น แต่บรรดานักบำบัดโรคสมัยใหม่พูดกันถึงศัพท์แสงต่างๆที่มาจากการเล่นแร่แปรธาตุ เช่น initiation(การเริ่มต้น), transformation(การแปรสภาพ) และ integration(การรวมกันหรือผสมกัน), เกี่ยวกับการผันผ่านจากภาวะที่เป็นสีเทาๆของความกดดันอันหนักอึ้ง ไปสู่สภาพเงื่อนไขของความเป็นทองคำอันเป็นสภาวะของชีวิตมนุษย์ที่สมบูรณ์อันหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ ก้อนหินของนักปรัชญาจึงเป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์เกี่ยวกับความเป็นทั้งหมด(wholeness) การเล่นแร่แปรธาตุได้ให้แนวทางต่อการจะอยู่อย่างไรให้ชีวิตยืนยาวและดีพร้อม และในความประสานกลมกลืนกับตนเอง กับธรรมชาติ และกับจักรวาล
ไม่เหมือนกันกับบรรดานักวิทยาศาสตร์เหล่านั้น ซึ่งหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังเสื้อคลุมของวัตถุนิยม บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุรู้สึกถึงความรับผิดชอบอย่างลึกซึ้งต่อผลงานของพวกเขา และให้การยอมรับถึงอันตรายของการผลักดันธรรมชาติไปสู่ภาวะที่สุดขั้ว. พวกเขาเชื่อว่า การแทรกแซงธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์นั้น คือการกระทำที่มีศักยภาพอันจะก่อให้เกิดภัยอันตราย และไม่ควรที่จะดำเนินการใดๆอย่างสะเพร่า
พวกเขารู้ว่าบรรดานักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่กำลังเล่นกับไฟ; นับจากจุดนี้ต่อไปในอนาคต คำเตือนของพวกเขาได้เตือนเราถึงอันตรายที่ร้ายแรงเกี่ยวกับพลังงานปรมาณู(atomic energy) สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่เคยมีวิทยาศาสตร์ที่คุณค่าหรือค่าตอบแทนต่างๆของมันได้มาฟรีๆ. ต่อพวกเขาแล้วมองว่า คุณค่าหรือค่าตอบแทนเกี่ยวพันกับทุกๆขั้นตอนของงานอันยิ่งใหญ่. พวกเขาทำงานเพื่อผลประโยชน์หรือกำไรของทั้งหมด นั่นคือ ของสังคม, ของดาวเคราะห์, และของจักรวาล.
ในการสืบหาหรือค้นคว้าไปทั่วโลกของข้าพเจ้า สำหรับความลึกลับเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุ ข้าพเจ้าได้เผยให้เห็นถึงเบ้าหลอมที่ลุกเป็นไฟหรือการทดสอบที่เต็มไปด้วยความเผ็ดร้อนของปัญญาญานโบราณ มันเตือนเราให้ตระหนักว่า เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาน เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตทางสังคม ซึ่งเราต่างเก็บเกี่ยวสิ่งที่เราหว่านเพาะลงไป และซึ่งชีวิตนี้เป็นการเตรียมตัวเพื่อไปสู่ความตาย และตัวความตายเองนั้นเป็นเพียงอีกขั้นตอนหนึ่งในการเดินทางของพวกเรา
มันเสนอแนะว่า โลกของเราใบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ไร้เหตุผลและไร้ระเบียบ(the world is not arbitrary and chaotic) แต่มันมีระเบียบกฎเกณฑ์และวัตถุประสงค์ที่อยู่ข้างใต้อันหนึ่ง. เหนืออื่นใดทั้งหมด เช่นดั่งศิลปะและวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการแปรเปลี่ยน การเล่นแร่แปรธาตุได้ประคองมืออกมาเพื่อค้ำจุนโอกาสหรือความหวังเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านจากความสับสนไร้ระเบียบไปสู่ความกลมกลืน, จากความมืดไปสู่ความสว่าง
พวกเราทั้งหมดสามารถตื่นขึ้นมาจากการงีบหลับหรือการเสียเวลานอนไปกับลัทธิวัตถุนิยม เพื่อจะตื่นขึ้นมาสัมผัสกับพลังอันส่องสว่างของความรู้ทางจิตวิญญาน. สิ่งเหล่านี้อาจเป็นห้วงเวลาของความมืดดำ แต่ความดำมืดมันเป็นสิ่งที่มาก่อนการถือกำเนิดของชีวิตใหม่
หลังจากหลายปีที่ได้เดินทางท่องไป ด้วยการวิจัยและศึกษา ข้าพเจ้ามีความมั่นใจว่า บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายไม่เพียงตั้งคำถามเบื้องต้นขึ้นมาเกี่ยวกับชีวิตและความตายเท่านั้น แต่สามารถให้ความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งและลึกซึ้ง ในเรื่องของธรรมชาติเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ โครงสร้างของจักรวาลและคุณลักษณะพิเศษเกี่ยวกับจิตใจของมนุษย์
บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุไม่เพียงเป็นบุคคลพิเศษผิดธรรมดาและมีสีสรรไปจากอดีตเท่านั้น แต่ยังอาจพิสูจน์ถึงความเป็นศาสดาพยากรณ์(prophet)แห่งอนาคตด้วย. ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกว่าวิทยาศาสตร์แบบกลไกและวิทยาศาสตร์แบบแบ่งซอยแยกส่วนของเราเมื่อ 300 ปีหลังที่ผ่านมานี้, ค่อนข้างมากกว่าการเล่นแร่แปรธาตุ, ได้พิสูจน์ถึงการเบี่ยงเบนไปจากปกติในประวัติศาสตร์ทางความคิดของมนุษย์
ภายในทศวรรษถัดไป มันอาจเป็นการเปิดเผยที่สำคัญอันหนึ่งที่มาจากการตัดขาดของวิทยาศาสตร์ หรืออาจจะเป็นการกลับหัวกลับหางความรู้อันน่าตื่นเต้น และหยิบยกเอานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายซึ่งเคยถูกทอดทิ้งเอาไว้ ณ ที่ใดก็ตามขึ้นมา. มันอาจจะให้ทางเข้าแก่เราไปสู่ระดับต่างของความสำนึก ซึ่ง ณ ปัจจุบันเป็นสิ่งที่ยังซ่อนเร้นอยู่
วิทยาศาสตร์และเรื่องของจิตวิญญาน ถัดจากนี้ไป จะไม่ถูกมองในฐานะที่เป็นศัตรูอีกต่อไป พิธีกรรมจะหวนกลับมาสู่การทดลอง และทัศนะจะเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัย. และโดยการทำให้เกิดความเป็นเอกภาพของความรู้ มันจะทำให้วิทยาศาสตร์ดำรงความศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งหนึ่ง และฟื้นคืนความลึกซึ้งของบรรดานักเล่นแร่แปรธาตุ และความสอดคล้องต้องกันกับห้วงความรู้สึกแห่งหัวใจ สำหรับความงาม และความดีของโลกขึ้นมา
แนะนำผู้เขียน
Peter Marshall เป็นนักเขียนคนหนึ่ง หนังสือเล่มล่าสุดของเขาชื่อ The Philosopher's Stone: A Quest for Secrets of Alchemy ได้รับการตีพิมพ์ขึ้นโดยสำนักพิมพ์ Macmillan. ทัศนะของเขาเกี่ยวกับนิเวศวิทยาเชิงปลดปล่อย(liberation ecology)ได้รับการพัฒนาขึ้นมาในหนังสือของเขาเรื่อง Riding the Wind: A New Philosophy for a New Era (Continuum, 2000).
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา I ประวัติ ม.เที่ยงคืน
e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
สำหรับสมาชิกที่ต้องการ download ข้อมูล อาจใช้วิธีการง่ายๆดังต่อไปนี้
1. ให้ทำ hyper text ข้อมูลทั้งหมด
2. copy ข้อมูลด้วยคำสั่ง Ctrl + C
3. เปิด word ขึ้นมา (microsoft-word หรือ word pad)
4. Paste โดยใช้คำสั่ง Ctrl + V
จะได้ข้อมูลมา ซึ่งย่อหน้าเหมือนกับต้นฉบับทุกประการ
(กรณีตัวหนังสือสีจาง ให้เปลี่ยนสีเป็นสีเข้มในโปรแกรม Microsoft-word)
Philosopher's
Stone
The Wedding of Alchemy and Ecology
ก้อนหินของนักปรัชญา : การแต่งงานของนิเวศวิทยากับการเล่นแร่แปรธาตุ
Peter Marshall
สมเกียรติ ตั้งนโม : เรียบเรียง
บทความชิ้นนี้แปลจากนิตยสาร
Resurgence ฉบับประจำเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม 2001
เมื่อมองดูแวบแรก "นิเวศวิทยา"กับ"การเล่นแร่แปรธาตุ" อาจดูเหมือนเป็นเพื่อนร่วมเรียงเคียงหมอน(bedfellows)ที่ดูแปลกหน้าระหว่างกัน. "การเล่นแร่แปรธาตุ" คือศิลปะและวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการแปรรูปหรือแปลงสภาพ เป้าหมายสูงสุดของมันก็คือ การค้นพบ"ก้อนหินของนักปรัชญา" ซึ่งตามข้อกล่าวอ้าง เป็นเรื่องของการแปรเปลี่ยน"โลหะพื้นฐาน"ให้เป็น"ทองคำ" และยืดชีวิตของมันออกไปอย่างไม่มีกำหนด
แต่พวกเราอาจถามขึ้นมาว่า แน่นอน มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติที่รุนแรงของเรา ที่ทำให้ต้องประสบกับภาวะสับสนยุ่งเหยิงอันน่าเศร้า ด้วยการที่ดาวเคราะห์ดวงนี้ปรับตัวให้อบอุ่นขึ้น ผืนแผ่นดินและท้องทะเลกลายเป็นพิษ และฤดูใบไม้ผลิค่อยๆงอกงามมากขึ้นๆอย่างเงียบเชียบใช่ไหม ?
หรือคำถามที่ว่า การเล่นแร่แปรธาตุ มันไม่เหมือนกันกับส่วนของวิทยาศาสตร์ที่รุนแรง