R
release date
100546
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 266 เดือนพฤษภาคม 2546 หัวเรื่อง "ก้อนหินของนักปรัชญา : การเล่นแร่แปรธาตุ"เรียบเรียงโดย สมเกียรติ ตั้งนโม จากต้นฉบับเรื่อง Philosopher's Stone by Peter Marshall
บทความชิ้นนี้แปลจากนิตยสาร Resurgence ฉบับประจำเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม 2001
เผยแพร่บนเว็ปไซค์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ครั้งแรก วันที่ 10 พฤษภาคม 2546 (ความยาวประมาณ 8 หน้ากระดาษ A4)
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การเล่นแร่แปรธาตุ ุได้ดึงดูดใจศิลปินและบรรดานักประพันธ์ที่ยิ่งใหญ่จำนวนมาก ให้ผูกติดและเห็นความสำคัญเกี่ยวกับมันมานานหลายต่อหลายศตวรรษ รวมไปถึง Hieronymus Bosch, Albrecht Durer, Goethe, Victor Hugo และ W.B. Yeats
Johann Wolfgang von Goethe 1749-1832 German poet
เผยแพร่ครั้งแรกวันที่ 10 พฤษภาคม 2546 : หากสมาชิกและผู้สนใจท่านใด ประสบปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลดขนาดของ font ลง จะแก้ปัญหาได้

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ


Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ

สนใจสมัครเป็นสมาชิก
กรุณาคลิก member page
ส่วนผู้ที่ต้องการดูหัวข้อบทความ
ทั้งหมด ที่มีบริการอยู่ขณะนี้
กรุณาคลิกที่ contents page
และผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
หรือประกาศข่าว
กรุณาคลิกที่ปุ่ม webboard
ข้างล่างของบทความชิ้นนี้

หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
midnightuniv(at)yahoo.com

ซึ่งพยายามผลักให้โลกในฐานะองค์ระบบขนาดมหึมาเสมือนสิ่งที่มีชีวิต(Gaia)ไปพ้นจากเขตแดนต่างๆทางธรรมชาติของตัวเองใช่ไหม ? หรือ การเล่นแร่แปรธาตุเป็นอะไรบางอย่างที่มากกว่าเรื่องของการเสกเป่าหรือคาถาเวทมนต์(mumbo-jumbo) ภายใต้เงื่อนไขที่ดีที่สุด มันเป็นการเบิกโรงหรือการเปิดฉากไปสู่วิชาเคมีอย่างที่เรารู้จักในปัจจุบัน, และภายใต้เงื่อนไขที่เลวที่สุด มันคือความเชื่อทางไสยศาสตร์ที่อันตรายใช่หรือไม่ ?

ตามข้อเท็จจริง การเล่นแร่แปรธาตุไม่ใช่เพียงแค่ให้การสนับสนุนบางสิ่งบางอย่างอันเป็นประโยชน์ หรือสร้างประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลให้กับวงการวิทยาศาสตร์และการแพทย์เวชกรรมไปทั่วโลกเท่านั้น แต่มันยังมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อความรู้ทางปรัชญา, ศาสนา, จิตวิทยา, วรรณคดี, สถาปัตยกรรม และศิลปะด้วย

การเล่นแร่แปรธาตุเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเก่าแก่โบร่ำโบราณ แต่ในเวลาเดียวกันมันก็สอดคล้องอย่างยิ่งกับยุคสมัยของเรา มันคือวิทยาศาสตร์แบบองค์รวม ซึ่งได้พูดถึงความคิดจิตใจและจินตนาการไปพร้อมกัน. บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายเข้าใจว่า ความรู้ที่แท้จริงนั้นไม่ต้องการเพียงเหตุผลและข้อพิสูจน์เท่านั้น แต่มันต้องการสหัชญานหรือการหยั่งรู้(intuition)และการส่องสว่าง(iluumination)ด้วย. พวกเขาต่างตระหนักว่า มันมีสติปัญญาอันหนึ่งของหัวใจ เช่นเดียวกับสติปัญญาของสมอง

ถึงแม้ว่ามันจะมีรัศมีอันเปล่งปลั่งที่วิเศษและลึกลับ แต่การเล่นแร่แปรธาตุก็ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเป็นกระแสล่าง(undercurrent)ของวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกอย่างมั่นคงและมีพลัง. และมันอยู่ในท่วงทำนองที่สอดรับกันอย่างดีที่สุดกับนิเวศวิทยาแนวใหม่และวิทยาศาสตร์แนวใหม่

คนที่มีความคิดที่ยิ่งใหญ่บางคนในยุโรปได้อุทิศตัวให้กับการเล่นแร่แปรธาตุอย่างเอาจริงเอาจัง แม้ว่าจะไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการในลัทธิคาธอลิคก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น St. Thomas Aquinas ได้ใช้เวลาหลายปีในการศึกษาถึงเรื่องราวอันนี้. แม้ว่าส่วนใหญ่แล้ว Isaac Newton จะรับผิดชอบสำหรับการสร้างโลกทัศน์แบบกลไกและโลกทัศน์แบบลดทอน(mechanical and reductionist world-view) ซึ่งได้ส่งให้การเล่นแร่แปรธาตุผลุบลงไปใต้ดินในคริศตศตวรรษที่ 17 แต่เขาได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ของตัวเอง ณ Cambridge ทำงานอยู่กับเรื่องของการเล่นแร่แปรธาตุ

ในการค้นพบเกี่ยวกับแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ทางด้านสัญลักษณ์ของมัน Carl Jung ยอมรับในความเข้าใจทางจิตวิทยาอันลึกซึ้งของการเล่นแร่แปรธาตุ และรับสารภาพว่ามันสามารถทำให้เขาเข้าใจถึงกระบวนการที่แท้จริงของการตระหนักในความสามารถของตนได้อย่างเต็มที่

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การเล่นแร่แปรธาตุได้ดึงดูดใจศิลปินและบรรดานักประพันธ์ที่ยิ่งใหญ่จำนวนมากให้ผูกติดและเห็นความสำคัญเกี่ยวกับมันมานานหลายต่อหลายศตวรรษ รวมไปถึง Hieronymus Bosch, Albrecht Durer, Goethe, Victor Hugo และ W.B. Yeats.

บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายต่างอ้างอิงถึงงานของพวกเขา ในฐานะที่เป็นงานที่เรียกว่า the magnum opus (งานยิ่งใหญ่โดยเฉพาะงานของนักประพันธ์หรือศิลปิน - the Great Work). มันเกี่ยวพันกันกับ"งานนอก"(outer work)ของการทำการทดลองต่างๆในห้องทดลองของพวกเขา และ"งานใน"(inner work)เกี่ยวกับการทำให้งานมีความสมบูรณ์ของพวกเขา. ไม่มีการทดลองเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุที่ขาดเสียซึ่งมิติทางด้านศีลธรรมและจิตวิญญาน. มันเป็นการแปรรูปวัตถุสสารภายนอก ในขณะเดียวกันมันก็แปรเปลี่ยนภายในทางจิตวิญญานด้วย. อันที่จริง การค้นพบเกี่ยวกับก้อนหินของนักปรัชญาเป็นเครื่องหมายอันหนึ่งของการตระหนักในความสามารถของตนอย่างเต็มที่ของบรรดานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลาย

มักจะมีการตีความเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุเป็น 2 ลักษณะเสมอ นั่นคือ the exoteric และ esoteric (เป็นเรื่องของสาธารณะ-ภายนอก และเรื่องของความลึกลับ-ภายใน) เป็นเรื่องของ practical และ Spiritual (ปฏิบัติการที่เป็นจริง และเรื่องจิตวิญญาน). พวกมันปรากฎตัวคล้ายดังกับหนังสือที่เปิดและปิด แต่อันที่จริงมันเหมือนกับสองหน้าของเหรียญเดียวกันมากกว่า

ในเชิงศักยภาพ พลังอำนาจของมันค่อนข้างจะรุนแรงคล้ายระเบิด ด้วยเหตุดังนั้น บรรดานักเล่นแร่แปรธาติทั้งหลาย ตามขนบจารีตแล้ว มักจะถ่ายทอดความรู้ของพวกเขาโดยคำพูดจากครูถึงศิษย์. และเมื่อไรก็ตามที่พวกเขาตีพิมพ์ทฤษีและการค้นพบต่างๆของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงคริสศตวรรษที่ 16-17 พวกเขาก็จะใช้สัญลักษณ์ประหลาดๆ และเขียนในรูปของปริศนา เพื่อว่าความรู้ต่างๆเหล่านั้นมันจะไม่ส่งทอดไปผิดมือนั่นเอง

ผลงานการเล่นแร่แปรธาตุต่างๆบนระดับของความแตกต่างหลากหลาย
ในกระบวนการเล่นแร่แปรธาตุที่คลาสสิค เป็นการแสวงหาหนทางที่จะสร้างสรรค์การผสมผสานกันระหว่าง "ปรอท" กับ "กำมะถัน" เข้าด้วยกันในหลอดทดลองเหนือเตาเผา. การหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว บ่อยครั้งได้รับการวาดออกมาในรูปของภาพความสัมพันธ์กันทางเพศ(sexual imagery). ปรอทและกำมะถันได้ถูกแทนด้วยภาพของดวงอาทิตย์(Sol)และดวงจันทร์(Luna). การผสมผสานหรือการแต่งงานของทั้งคู่ได้สรรค์สร้างกะเทย(hermaphrodite)ขึ้นมา ซึ่งโดยลำดับมันได้ผลิตก้อนหินของนักปรัชญาขึ้น. โดยการก่อให้เกิดหลักการชายและหญิงที่เป็นสากลที่สัมพันธ์กันในการสมรสกันทางเคมี นักเล่นแร่แปรธาตุพยายามที่จะฟื้นคืนสภาพอันมีเอกภาพดั้งเดิมของโลกขึ้นมา

โดยขนบประเพณี ขั้นตอนที่แตกต่างในกระบวนการเล่นแร่แปรธาตุได้รับการสังเกตุหรือพิจารณาโดยปรากฎการณ์ของสีสรรที่ต่างไป นั่นคือผ่านจากสีดำไปเป็นสีขาว และสีแดงในที่สุด. ในเวลาเดียวกัน ปฏิบัติการต่างๆในเชิงกายภาพได้แสดงสัญลักษณ์ของกระบวนการทางจิตวิทยาเกี่ยวกับการตระหนักในความสามารถของตัวตนได้อย่างเต็มที่ นั่นคือ แต่ละคนจะผันผ่านจากความไม่รู้ไปสู่ความรู้, หรือผันผ่านความสับสนไปสู่ภาวะที่กลมกลืน

ในอีกระดับหนึ่งนั้น กระบวนการเล่นแร่แปรธาตุเกี่ยวกับการสลายตัว และการเปลี่ยนจากสภาวะที่เป็นของเหลวกลายไปเป็นก้อนที่หนาหนืด(coagulation) ได้สะท้อนหรือเป็นตัวแทนกระบวนการของชีวิตทั้งหมด, รวมไปถึงเรื่องของความตายและการเกิดใหม่. ด้วยเหตุนี้ การเล่นแร่แปรธาตุจึงปฏิเสธการแบ่งแยกระหว่างกายกับจิต; อันที่จริง มันแสวงหาหนทางการทำให้ปรากฎเป็นรูปเป็นร่างของจิตวิญญาน, และการทำให้เป็นเรื่องของกายสภาพเป็นเรื่องของจิตวิญญานขึ้นมา ข้อเท็จจริงคือว่า การเล่นแร่แปรธาตุมันทำงานอยู่บนระดับที่แตกต่างกันหลายระดับมาก - นั่นคือ ในระดับที่เกี่ยวกับกายภาพ, จิตวิทยา, และจิตวิญญาน - โดยไม่มีข้อสงสัยต่อคำอธิบายอันดึงดูดใจที่เป็นสากลของมัน

การเล่นแร่แปรธาตุได้พัฒนาขึ้นมาอย่างเป็นอิสระในประเทศจีน, อินเดีย และอียิปต์ เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว. อันที่จริง ทั้งสามประเทศที่กล่าวนามมานี้มีตำนานต่างๆอันเก่าแก่ซึ่งว่าไว้ว่า การเล่นแร่แปรธาตุถูกนำข้ามน้ำข้ามทะเลมาโดยบุคคลพิเศษ - ซึ่งถูกรู้จักในฐานะที่เป็นทายาทต่างๆของเทพแห่งแสงสว่างของจีน, the Roshi (ผู้นำทางจิตวิญญานของชุมชนนักบวชในพุทธศาสนานิกายเซน)ในทางตอนใต้ของอินเดีย, และบรรดาเพื่อนๆของ Horus (เทพแห่งแสงสว่างที่มีศีรษะเป็นเหยี่ยวของอียิปต์)

มันเป็นไปได้ที่ว่า การเล่นแร่แปรธาตุคือส่วนประกอบที่เป็นเนื้อแท้ที่ได้รับการซ่อนเร้นของวิทยาศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์ของอารยธรรมที่สูญหายไปใช่ไหม ? ถึงแม้ว่า การเล่นแร่แปรธาตุจะถูกแสดงออกในเรื่องในภาษาศาสนาและวิทยาศาสตร์ของวัฒนธรรมที่แตกต่าง แต่มันคือปรากฎการณ์ที่เป็นสากลอันหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย และความเชื่อพื้นฐานเบื้องต้นของมันต่างๆ มักจะเป็นอย่างเดียวกันเสมอๆ

เป็นดังที่มัน(อาจจะ)เป็น กล่าวคือ นับจากช่วงเวลาแรกสุด บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุชาวจีนทั้งหลาย โดยหลักการแล้ว ได้ให้ความสนใจในการค้นหายาอายุวัฒนะ ซึ่งมีค่าเท่าๆกันกับเรื่องของห้อนหินของนักปรัชญา. การทำงานภายในขนบจารีตของลัทธิเต๋า พวกเขาได้จำแนกความแตกต่างระหว่างการเล่นแร่แปรธาตุแบบ wei tan และ nei tan, นั่นคือ การเล่นแร่แปรธาตุแบบ outer elixir และแบบ inner elixir (ยาแก้สารพัดโลกภายนอกและภายใน). นับแต่โบร่ำโบราณได้น้อมนำไปสู่การค้นหาเกี่ยวกับพืชสมุนไพรและยาที่เป็นน้ำแร่จำนวนมาก ในขณะที่ช่วงหลังต่อมาพยายามแสวงหาการที่จะสงวนรักษาพลังความกระฉับกระเฉงของชีวิตและการยืดอายุออกไปโดยการบริหารร่างกาย, การทำสมาธิ, การควบคุมวิธีการหายใจ, และเทคนิคการมีเพศสัมพันธ์บางอย่าง

ดังที่ท่านเล่าจื้อผู้ยิ่งใหญ่ได้ตั้งข้อสังเกตุอย่างปราดเปรื่องว่า: สิ่งที่ตรงข้ามหรือขัดแย้งกับเต๋าจะไม่อาจยืนหยัดได้ยาวนาน". พ้นไปจากขนบจารีตแบบ nei tan อันนี้ จะปรากฏการบริหารร่างกายแบบ qigong (จี้กง - ระบบการออกกำลังกายและควบคุมการหายใจแบบจีนวิธีการหนึ่ง) และ tai chi (ไท้จี้) เช่นเดียวกับการทำสมาธิที่เปล่งประกายออกไปรายรอบ ซึ่งรู้จักกันในฐานะที่เป็น"ความลึกลับของดอกไม้ทองคำ). เทคนิคต่างๆเหล่านี้ยังคงได้รับการปฏิบัติกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้โดยนักบวชและแม่ชีในลัทธิเต๋าของจีน

ในอินเดีย การแสวงหาน้ำอมฤต - amrita - น้ำทิพย์ของพระผู้เป็นเจ้า และพืชโสม - soma - ได้รับการกล่าวว่าจะทำให้ไม่มีวันตาย สิ่งเหล่านี้ได้มีการพูดถึงในคัมภีร์พระเวท ซึ่งจารึกขึ้นมาตั้งแต่ประมาณ 1500 ปีก่อนคริสตศักราช. การเล่นแร่แปรธาตุ แรกสุดได้รับการพัฒนาขึ้นมาในฐานะที่เป็นเครื่องมือของการแพทย์อายุรเวช(Ayurveda medicine) ซึ่งแสวงหาการที่จะรื้อฟื้นความกลมกลืนดั้งเดิมของสุขภาพ

มันยังคงเป็นการแพทย์กระแสหลักในอินเดียและธิเบตมาจนกระทั่งทุกวันนี้. ไม่เหมือนหรือแตกต่างกันกับสิ่งที่คู่กันของตะวันตก มันใช้วิธีการแบบองค์รวมและยอมรับความสำคัญของร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญานในการบำบัดรักษาโรค. การเล่นแร่แปรธาตุในอินเดียถูกรู้จักในฐานะ rasayana - วิถีของปรอท - และการแพทย์ที่สร้างขึ้นมาจากปรอท และโลหะอื่นๆที่ยังคงมีใช้กันอยู่อย่างกว้างขวาง. สาขาของการแพทย์เกี่ยวโยงกับโรคของคนชรา(geriatrics)ในอายุรเวชซึ่งได้รับการเรียกว่า rasayana. Rasa หรือ mercury (ปรอท) ถูกรู้จักในฐานะเมล็ดพันธุ์ของพระศิวะ พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทำลายและการเกิดใหม่(the god of destruction and rebirth)

การเล่นแร่แปรธาตุเกี่ยวกับการแปรเปลี่ยนทางจิตวิญญานถือเป็นแก่นแกนหลักอันหนึ่งในวัฒนธรรมอินเดีย. ในงานเฉลิมฉลองเทศกาล Kumbh Mela จัดเป็นเทศกาลซึ่ง 12 ปีมีครั้ง โดยนักแสวงบุญชาวฮินดูกว่า 30 ล้านคนจะลงอาบน้ำในแม่น้ำคงคาและยมุนาอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อชำระบาปของพวกเขาและรับน้ำอมฤต

มันยังเป็นส่วนที่สำคัญอันหนึ่งของตันตระ ซึ่งถือเป็นขนบประเพณีทางจิตวิญญานที่โอบกอดโลกนี้เพื่อที่จะมีชัยเหนือมัน ตันตริกเป็นการรวมกันระหว่างโยคะกับเทคนิคทางเพศที่พัฒนาขึ้นมาในขั้นสูงเข้าด้วยกัน รวมถึงการควบคุมการหายใจและการทำสมาธิเพื่อยกระดับพลังงานกุณฑลินี(พลังแอบแฝงของเพศหญิง) และแปรรูปจิตวิญญานที่หยาบไปสู่จิตวิญญานอันละเอียดอ่อน

การเล่นแร่แปรธาตุของตะวันตกถือกำเนิดขึ้นในอียิปต์ ศัพท์คำว่า"alcemy"(การเล่นแร่แปรธาตุ)มาจากภาษาอาราบิคสำหรับอียิปต์ - Al Kemia, หมายความว่า "ดินแดนอันดำมืด"(The Black Land); เป็นอ้างอิงถึงผืนดินอันอุดมสีเข้มที่ถูกทิ้งไว้หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมประจำปีของแม่น้ำไนล์

เทพเจ้า Thoth เทพแห่งดวงจันทร์หัวเป็นนกของอิยิปต์ ซึ่งเป็นเทพแห่งความเฉลียวฉลาด การเรียนรู้และศิลปะ เทพเจ้าองค์นี้กรีกรู้จักในนามว่า Hermes, ได้ถูกพิจารณาว่าเป็นบิดาแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ. ตำรับตำราเล่มแรกๆที่ได้รับการเขียนขึ้นปรากฎอยู่ในห้องสมุดอเล็กซานเดรียในราวศตวรรษที่ 2 ซึ่งเป็นเรื่องราวรวมกันของวิทยาศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระหรือนักบวชชาวอิยิปต์กับปรัชญากรีก. ไม่จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 12 ที่ การเล่นแร่แปรธาตุได้มาถึงยุโรปโดยผ่านมาทางชนชาวมุสลิม. ถัดมาไม่นาน มันได้รับการเอาอย่างหรือเลียนแบบในฐานะที่เป็นรูปแบบหลักของวิทยาศาสตร์ในช่วงต้นๆ

คำถามยังคงมีอยู่ แม้ว่าการเล่นแร่แปรธาตุ อันที่จริง มีมิติอันหนึ่งเกี่ยวกับนิเวศวิทยาก็ตาม. บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายได้ทำงานร่วมกับธรรมชาติ โดยไม่มีอะไรที่สวนทางกับธรรมชาติเลย. พวกเขากล่าวว่า ธรรมชาติรับใช้ศิลปะ และศิลปะรับใช้ธรรมชาติ. เป้าหมายของพวกเขาจะไม่ไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขธรรมชาติ แต่จะทำงานร่วมกับเวลา

ความเชื่อที่ว่าโลหะทุกชนิดจะเจริญงอกงามในอุทรของพระแม่ธรณี และทองคำนั้นคือความสมบูรณ์ซึ่งพวกมันทั้งหมดกำลังดิ้นรนฟันฝ่าอย่างหนักเพื่อไปให้ถึง บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุปรารถนาที่จะเร่งกระบวนการทางธรรมชาติในห้องทดลองของพวกเขา. จริงๆแล้ว นักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายไม่ได้สนใจที่จะบรรลุถึงความมั่งคั่งร่ำรวยแต่อย่างใด - พวกเขาต่างรู้อยู่เต็มอกเกี่ยวกับความสิ้นเปลืองอันไร้ประโยชน์ที่ผันผ่านไปของพวกเขา - ในการแสวงหาความสว่างวัฒนาทางจิตวิญญาน(spiritual enlightenment)และการบรรลุถึงชีวิตอันเป็นอมตะ. ด้วยศิลปะของพวกเขา, พวกเขาพยายามที่จะช่วยให้ธรรมชาติไปสู่ศักยภาพของการคลี่คลายตัวของมันออกมา และไปสู่การบรรลุถึงวัตถุประสงค์ในเชิงสร้างสรรค์ของมัน

ในข้อเท็จจริง, การเล่นแร่แปรธาตุปรากฎตัวออกมาในรูปของส่วนหน้าสุดของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในความเข้าใจของวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องของสสาร, พลังงาน และความสำนึก. การเล่นแร่แปรธาตุพูดตรงๆกับพวกเขาเหล่านั้น ซึ่งท้าทายต่อนักวัตถุนิยมที่ยังหลงเหลืออยู่และความคิดแบบกลไก และรับเอาวิธีการแบบที่เป็นองค์รวมมากกว่าอันหนึ่งมาใช้กับธรรมชาติ

บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายได้อธิบายจักรวาลคล้ายๆกับฟิสิกส์สมัยใหม่ ในฐานะที่เป็น"สนามของพลังงาน", ส่วนโค้งที่แปรเปลี่ยนอันหนึ่งของพลังงาน. พวกเขาต่างรู้อยู่เต็มที่เกี่ยวกับหลังความไม่แน่นอนของ Heisenberg(Heisenberg's Uncertainty Principle), ซึ่งกล่าวว่าผู้สังเกตุการณ์ย่อมมีผลต่อสิ่งที่ถูกสังเกตุอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และมันไม่สามารถที่จะมีความแตกต่างตายตัวระหว่างเรื่องของ"การรับรู้"กับ"วัตถุของการรับรู้"

บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายไม่เคยยอมรับมายาคติของวัตถุนิยมในวิทยาศาสตร์: นับแต่ที่เรามีส่วนร่วมอยู่ในธรรมชาติอย่างไม่อาจหลุดออกจากมันได้, เราไม่สามารถที่จะพูดถึงธรรมชาติโดยปราศจากการพูดถึงตัวของเราเอง. แม้แต่ทฤษฎีไร้ระเบียบ(chaos theory), ซึ่งยอมรับเรื่องของความไม่แน่นอนว่าเป็นหัวใจสำคัญของสภาวการณ์, อันนี้ได้สะท้อนถึงความเข้าใจของนักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายเกี่ยวกับสิ่งต่างเป็นจำนวนมากของความผันแปรต่างๆในขณะที่ทำงานอยู่กับธรรมชาติ

ในเวลาเดียวกัน การเล่นแร่แปรธาตุได้คาดทำนายล่วงหน้าได้ดีที่สุดเกี่ยวกับนิเวศวิทยาสมัยใหม่. การพูดถึงเรื่องของ Gaia (โลกในฐานะองค์ระบบขนาดมหึมา) ในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิต ถือว่าเป็นการพูดถึงเรื่องที่เก่าแก่มากเรื่องหนึ่งในภาษาของการเล่นแร่แปรธาตุ. บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายมักจะมองจักรวาลไม่ใช่ในฐานะเครื่องจักรที่ตายแล้ว แต่จะมองมันในฐานะองค์ระบบที่มีชีวิต มันยืนหยัดโดยตัวของมันเอง และก่อเกิดโดยตัวของมันเอง ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างถูกเชื่อมโยงเข้าไว้ด้วยกัน

พวกเขายอมรับคล้ายๆกับนักนิเวศวิทยาสมัยใหม่ในเรื่องเครือข่ายอันละเอียดอ่อนของความสัมพันธ์ในข่ายใยของธรรมชาติ. สำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งที่เล็กๆทำให้ความงดงามอันวิเศษของสิ่งทั้งหมดมีความสมบูรณ์ขึ้นมา. มันมีเอกภาพในความหลากหลายของโลก: "ทั้งหมดคือหนึ่งเดียว และหนึ่งเดียวคือทั้งหมด(All is One and One is All)"

ความเคารพนับถือรู้สึกได้โดยนักสิ่งแวดล้อมสมัยใหม่จำนวนมาก สำหรับธรรมชาติ มักจะอยู่ในก้นบึ้งลึกลงไปในหัวใจของบรรดานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลาย พวกเขาฟังความน่าเกรงขาม และฟังความเงียบอันเป็นสุ้มเสียงของผืนแผ่นดิน และความกลมกลืนของดาวเคราะห์ดวงนี้

ภายในโลกทัศน์เกี่ยวกับชีวิตและเป็นพลวัตของพวกเขา บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายต่างยอมรับความสอดคล้องลงรอยสนิทสนมกันระหว่างสวรรค์และผืนโลก. เทียบกันกับจักรวาลขนาดเล็กของแต่ละปัจเจกบุคคล อันเป็นกระจกเงาสะท้อนของจักรวาลขนาดใหญ่ของมหาจักรวาล(universe)(บนและล่างเป็นอย่างเดียวกัน) ดังนั้น มันจึงมีเอกลักษณ์ระหว่างบุคคลและดาวเคราะห์ (เป็นทั้งภายในและภายนอก). นักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลาย มักจะให้เหตุผลว่า มันมีสิ่งที่เรียกว่า Anima mundi, หรือโลกของวิญญาน ซึ่งวิญญานของแต่ละปัจเจกบุคคล ทั้งหมดบังเกิดขึ้น ณ ที่นั้น. พวกเขาเชื่อว่ามันมีดวงดาวอยู่ในเรือนร่างของพวกเรา เช่นเดียวกับบนฟากฟ้า

ในตะวันตก แพทย์ทางเลือกหรือแพทย์ที่มาเติมเต็ม รากเหง้าต่างๆของมันดำรงอยู่ในการเล่นแร่แปรธาตุ. บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุก็คล้ายๆกับ Paracelsus (นักเล่นแร่แปรธาตุและแพทย์ชาวสวิสส์ 1493-1541)ที่เน้นถึงความสำคัญของอาณาเขตอันลึกลับละเอียดอ่อนของความสำนึกในการบำบัดรักษา และพิจารณาคนในฐานะส่วนทั้งหมด นั่นคือ ทั้งร่างกาย วิญญาณ และจิตวิญญานไปพร้อมกัน

Homoeopathy ด้วยหลักการของมันเกี่ยวกับการรักษา"เหมือนกับเหมือน" ค้นพบต้นกำเนิดของมันในการเล่นแร่แปรธาตุ. ไม่เพียงบรรดาสาศิษย์ของ Jung เท่านั้น แต่บรรดานักบำบัดโรคสมัยใหม่พูดกันถึงศัพท์แสงต่างๆที่มาจากการเล่นแร่แปรธาตุ เช่น initiation(การเริ่มต้น), transformation(การแปรสภาพ) และ integration(การรวมกันหรือผสมกัน), เกี่ยวกับการผันผ่านจากภาวะที่เป็นสีเทาๆของความกดดันอันหนักอึ้ง ไปสู่สภาพเงื่อนไขของความเป็นทองคำอันเป็นสภาวะของชีวิตมนุษย์ที่สมบูรณ์อันหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ ก้อนหินของนักปรัชญาจึงเป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์เกี่ยวกับความเป็นทั้งหมด(wholeness) การเล่นแร่แปรธาตุได้ให้แนวทางต่อการจะอยู่อย่างไรให้ชีวิตยืนยาวและดีพร้อม และในความประสานกลมกลืนกับตนเอง กับธรรมชาติ และกับจักรวาล

ไม่เหมือนกันกับบรรดานักวิทยาศาสตร์เหล่านั้น ซึ่งหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังเสื้อคลุมของวัตถุนิยม บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุรู้สึกถึงความรับผิดชอบอย่างลึกซึ้งต่อผลงานของพวกเขา และให้การยอมรับถึงอันตรายของการผลักดันธรรมชาติไปสู่ภาวะที่สุดขั้ว. พวกเขาเชื่อว่า การแทรกแซงธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์นั้น คือการกระทำที่มีศักยภาพอันจะก่อให้เกิดภัยอันตราย และไม่ควรที่จะดำเนินการใดๆอย่างสะเพร่า

พวกเขารู้ว่าบรรดานักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่กำลังเล่นกับไฟ; นับจากจุดนี้ต่อไปในอนาคต คำเตือนของพวกเขาได้เตือนเราถึงอันตรายที่ร้ายแรงเกี่ยวกับพลังงานปรมาณู(atomic energy) สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่เคยมีวิทยาศาสตร์ที่คุณค่าหรือค่าตอบแทนต่างๆของมันได้มาฟรีๆ. ต่อพวกเขาแล้วมองว่า คุณค่าหรือค่าตอบแทนเกี่ยวพันกับทุกๆขั้นตอนของงานอันยิ่งใหญ่. พวกเขาทำงานเพื่อผลประโยชน์หรือกำไรของทั้งหมด นั่นคือ ของสังคม, ของดาวเคราะห์, และของจักรวาล.

ในการสืบหาหรือค้นคว้าไปทั่วโลกของข้าพเจ้า สำหรับความลึกลับเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุ ข้าพเจ้าได้เผยให้เห็นถึงเบ้าหลอมที่ลุกเป็นไฟหรือการทดสอบที่เต็มไปด้วยความเผ็ดร้อนของปัญญาญานโบราณ มันเตือนเราให้ตระหนักว่า เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาน เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตทางสังคม ซึ่งเราต่างเก็บเกี่ยวสิ่งที่เราหว่านเพาะลงไป และซึ่งชีวิตนี้เป็นการเตรียมตัวเพื่อไปสู่ความตาย และตัวความตายเองนั้นเป็นเพียงอีกขั้นตอนหนึ่งในการเดินทางของพวกเรา

มันเสนอแนะว่า โลกของเราใบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ไร้เหตุผลและไร้ระเบียบ(the world is not arbitrary and chaotic) แต่มันมีระเบียบกฎเกณฑ์และวัตถุประสงค์ที่อยู่ข้างใต้อันหนึ่ง. เหนืออื่นใดทั้งหมด เช่นดั่งศิลปะและวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการแปรเปลี่ยน การเล่นแร่แปรธาตุได้ประคองมืออกมาเพื่อค้ำจุนโอกาสหรือความหวังเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านจากความสับสนไร้ระเบียบไปสู่ความกลมกลืน, จากความมืดไปสู่ความสว่าง

พวกเราทั้งหมดสามารถตื่นขึ้นมาจากการงีบหลับหรือการเสียเวลานอนไปกับลัทธิวัตถุนิยม เพื่อจะตื่นขึ้นมาสัมผัสกับพลังอันส่องสว่างของความรู้ทางจิตวิญญาน. สิ่งเหล่านี้อาจเป็นห้วงเวลาของความมืดดำ แต่ความดำมืดมันเป็นสิ่งที่มาก่อนการถือกำเนิดของชีวิตใหม่

หลังจากหลายปีที่ได้เดินทางท่องไป ด้วยการวิจัยและศึกษา ข้าพเจ้ามีความมั่นใจว่า บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายไม่เพียงตั้งคำถามเบื้องต้นขึ้นมาเกี่ยวกับชีวิตและความตายเท่านั้น แต่สามารถให้ความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งและลึกซึ้ง ในเรื่องของธรรมชาติเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ โครงสร้างของจักรวาลและคุณลักษณะพิเศษเกี่ยวกับจิตใจของมนุษย์

บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุไม่เพียงเป็นบุคคลพิเศษผิดธรรมดาและมีสีสรรไปจากอดีตเท่านั้น แต่ยังอาจพิสูจน์ถึงความเป็นศาสดาพยากรณ์(prophet)แห่งอนาคตด้วย. ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกว่าวิทยาศาสตร์แบบกลไกและวิทยาศาสตร์แบบแบ่งซอยแยกส่วนของเราเมื่อ 300 ปีหลังที่ผ่านมานี้, ค่อนข้างมากกว่าการเล่นแร่แปรธาตุ, ได้พิสูจน์ถึงการเบี่ยงเบนไปจากปกติในประวัติศาสตร์ทางความคิดของมนุษย์

ภายในทศวรรษถัดไป มันอาจเป็นการเปิดเผยที่สำคัญอันหนึ่งที่มาจากการตัดขาดของวิทยาศาสตร์ หรืออาจจะเป็นการกลับหัวกลับหางความรู้อันน่าตื่นเต้น และหยิบยกเอานักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายซึ่งเคยถูกทอดทิ้งเอาไว้ ณ ที่ใดก็ตามขึ้นมา. มันอาจจะให้ทางเข้าแก่เราไปสู่ระดับต่างของความสำนึก ซึ่ง ณ ปัจจุบันเป็นสิ่งที่ยังซ่อนเร้นอยู่

วิทยาศาสตร์และเรื่องของจิตวิญญาน ถัดจากนี้ไป จะไม่ถูกมองในฐานะที่เป็นศัตรูอีกต่อไป พิธีกรรมจะหวนกลับมาสู่การทดลอง และทัศนะจะเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัย. และโดยการทำให้เกิดความเป็นเอกภาพของความรู้ มันจะทำให้วิทยาศาสตร์ดำรงความศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งหนึ่ง และฟื้นคืนความลึกซึ้งของบรรดานักเล่นแร่แปรธาตุ และความสอดคล้องต้องกันกับห้วงความรู้สึกแห่งหัวใจ สำหรับความงาม และความดีของโลกขึ้นมา

แนะนำผู้เขียน
Peter Marshall เป็นนักเขียนคนหนึ่ง หนังสือเล่มล่าสุดของเขาชื่อ The Philosopher's Stone: A Quest for Secrets of Alchemy ได้รับการตีพิมพ์ขึ้นโดยสำนักพิมพ์ Macmillan. ทัศนะของเขาเกี่ยวกับนิเวศวิทยาเชิงปลดปล่อย(liberation ecology)ได้รับการพัฒนาขึ้นมาในหนังสือของเขาเรื่อง Riding the Wind: A New Philosophy for a New Era (Continuum, 2000).

 

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา I ประวัติ ม.เที่ยงคืน

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

 

สำหรับสมาชิกที่ต้องการ download ข้อมูล อาจใช้วิธีการง่ายๆดังต่อไปนี้

1. ให้ทำ hyper text ข้อมูลทั้งหมด
2. copy ข้อมูลด้วยคำสั่ง Ctrl + C
3. เปิด word ขึ้นมา (microsoft-word หรือ word pad)
4. Paste โดยใช้คำสั่ง Ctrl + V
จะได้ข้อมูลมา ซึ่งย่อหน้าเหมือนกับต้นฉบับทุกประการ
(กรณีตัวหนังสือสีจาง ให้เปลี่ยนสีเป็นสีเข้มในโปรแกรม Microsoft-word)

 

บทความฟรีของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน สำหรับผู้สนใจ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการนำไปใช้ประโยชน์ เฉพาะทางด้านวิชาการเท่านั้น

Philosopher's Stone
The Wedding of Alchemy and Ecology
ก้อนหินของนักปรัชญา : การแต่งงานของนิเวศวิทยากับการเล่นแร่แปรธาตุ
Peter Marshall
สมเกียรติ ตั้งนโม : เรียบเรียง
บทความชิ้นนี้แปลจากนิตยสาร Resurgence ฉบับประจำเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม 2001

เมื่อมองดูแวบแรก "นิเวศวิทยา"กับ"การเล่นแร่แปรธาตุ" อาจดูเหมือนเป็นเพื่อนร่วมเรียงเคียงหมอน(bedfellows)ที่ดูแปลกหน้าระหว่างกัน. "การเล่นแร่แปรธาตุ" คือศิลปะและวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการแปรรูปหรือแปลงสภาพ เป้าหมายสูงสุดของมันก็คือ การค้นพบ"ก้อนหินของนักปรัชญา" ซึ่งตามข้อกล่าวอ้าง เป็นเรื่องของการแปรเปลี่ยน"โลหะพื้นฐาน"ให้เป็น"ทองคำ" และยืดชีวิตของมันออกไปอย่างไม่มีกำหนด

แต่พวกเราอาจถามขึ้นมาว่า แน่นอน มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติที่รุนแรงของเรา ที่ทำให้ต้องประสบกับภาวะสับสนยุ่งเหยิงอันน่าเศร้า ด้วยการที่ดาวเคราะห์ดวงนี้ปรับตัวให้อบอุ่นขึ้น ผืนแผ่นดินและท้องทะเลกลายเป็นพิษ และฤดูใบไม้ผลิค่อยๆงอกงามมากขึ้นๆอย่างเงียบเชียบใช่ไหม ?

หรือคำถามที่ว่า การเล่นแร่แปรธาตุ มันไม่เหมือนกันกับส่วนของวิทยาศาสตร์ที่รุนแรง