มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 540 เรื่อง หนากว่า 6700 หน้า ในรูปของ CD-ROM ในราคา 120 บาท
(รวมค่าส่ง) สนใจสั่งซื้อได้ที่ ...
midnightuniv@
yahoo.com หรือ
ส่งธนาณัติถึง ...
สมเกียรติ ตั้งนโม : ไปรษณีย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 50202
กรุณาส่งธนาณัติไปยัง สมเกียรติ ตั้งนโม : คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถนนสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50202
บทวิจารณ์นี้ได้รับการเผยแพร่บนเว็ปไซต์เมื่อวันที่
31 มีนาคม 2548
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
6 หน้ากระดาษ A4)
Bishonen โศกนาฏกรรมเกย์ฉบับคลาสสิก
นัทธนัย ประสานนาม
ภาพยนตร์ฮ่องกงมีเสน่ห์เฉพาะตัว มีประวัติยาวนาน รวมทั้งเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญ เอกลักษณ์ของภาพยนตร์ฮ่องกงเป็นสิ่งที่นักวิชาการทั้งในเอเชียและในโลกตะวันตกให้ความสนใจเสมอมา ท่ามกลางภาพยนตร์ประเภทอันธพาลครองเมือง หรือการวาดลวดลายกังฟูในแบบของเฉินหลงและ เจ็ท ลีหรือใครต่อใครที่บัดนี้โกอินเตอร์กันไปหมดแล้ว ในปี 1998 มีภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความฮือฮาให้เกิดในฮ่องกง ภาพยนตร์ที่อ้างถึงเป็น 'ภาพยนตร์เกย์' บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชายรักร่วมเพศที่สังคมตะวันออกยังคงขมวดคิ้วใส่เมื่อถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับเสรีภาพของคนกลุ่มนี้
Bishonen เป็นผลงานกำกับของหยวนฟาน ทศวรรษ 90 นับเป็นช่วงรุ่งเรืองของภาพยนตร์เกย์ มีอีกหลายเรื่องที่คนไทยรู้จักกันดี เป็นต้นว่าเรื่อง Happy together (1997) ของหว่อง กาไว นำแสดงโดยเลสลี จางผู้ล่วงลับ กับเหลียงเฉาเหว่ย หรือเรื่อง Hold You Tight (1998) กำกับโดยแสตนลี กวาง สืบเนื่องจากนโยบายเซนเซอร์ของทางราชการ ภาพยนตร์เกย์และเลสเบียนของฮ่องกงจัดอยู่ใน "ประเภท 3" ซึ่งผลงานในทศวรรษนี้นับว่ามีการเสนอภาพเกย์อย่างชัดเจนมากกว่ายุคอื่นที่ผ่านมา
ในประเทศไทยภาพยนตร์เรื่อง Bishonen เป็นที่รู้จักกันอย่างดีของคอหนังเกย์ ความนิยมจะเป็นรองก็แต่เรื่อง Formula 17 หนังเกย์ขำๆจากไต้หวันที่มีเพิ่งเข้ามาฉายเมื่อปลายปี 2547 และตอนนี้ก็ปั๊มแผ่นขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ชื่อเรื่อง Bishonen หยวนฟานน่าจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากการ์ตูนญี่ปุ่น ในภาษาญี่ปุ่น Bishonen หมายถึงเด็กหนุ่มที่มีเสน่ห์เย้ายวนน่าหลงใหลมากเป็นพิเศษ หลายครั้งความหมายถูกนำไปผูกโยงเข้ากับลักษณะความนุ่มนวลแบบผู้หญิงในตัวของหนุ่มๆพวกนี้ หากต้องการเห็นภาพที่ชัดขึ้นให้ลองนึกถึงลักษณะของตัวการ์ตูนผู้ชายที่หน้าตาคมสัน จมูกโด่ง ตาเป็นประกาย สูงเพรียว ที่ตัวละครผู้หญิงตาโตกลมใสจ้องมองราวกับจะถูกดูดเข้าไป ลักษณะแบบ Bishonen ปรากฏในตัวละครเอกของภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ลักษณะภายนอกไม่สำคัญเท่ากับจิตใจและอารมณ์ของตัวละคร ที่เป็นตัวแปรในการกำหนดความสัมพันธ์แบบคู่ขารวมทั้งความรักที่เกิดขึ้น
ภาพยนตร์เล่าเรื่องแบบย้อนกลับไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน เรื่องเปิดขึ้นตรงที่เจ็ท (ฟงเต๋อหลุน) โสเภณีชายของเอสเอ็มบีคลับ เดินไปตามท้องถนน หลังจากที่เขาติดต่อนัดแนะกับลูกค้าแล้ว เขาบังเอิญไปพบกับแซม (แดเนียล วู) และคานา (ซูฉี) ที่ห้องแสดงงานศิลปะ เจ็ทสนใจแซมทันที ที่ผ่านมาเขาขึ้นเตียงกับคนมานับไม่ถ้วน แต่แซมเป็นคนแรกที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนี้
อาฉิงเพื่อนร่วมงานในคลับจึงหวังช่วยเจ็ทด้วยการลงโฆษณาประกาศในหนังสือพิมพ์ วันหนึ่งเขาได้พบกับแซมโดยบังเอิญ เดทครั้งแรกของเขาสองคนคือการกินก๋วยเตี๋ยวด้วยกัน แซมดีกับเจ็ทมาก แต่เจ็ทกลับรู้สึกเหมือนเขายังไม่อาจข้ามผ่าน "พรมแดนที่มองไม่เห็น" ระหว่างเขากับแซมได้ หลายครั้งที่เขาไปเดินเล่นด้วยกัน แซมเดินมาส่งเจ็ทที่บ้าน แล้วลากลับไปโดยปฏิเสธคำเชิญ "ดื่มอะไรหน่อยไหม?" ของเจ็ท กล้องแช่จนเห็นชัดว่าประตูปิดลง
อดีตที่ผิดพลาดเพราะแรงปรารถนา
อดีตอันหม่นมัวของแซมมาแสดงตัวให้เห็นหลังจากที่แซมพบกับอาฉิงโดยบังเอิญ แต่เดิมอาฉิงกับแซมทำงานเป็นเสมียนในบริษัทเดียวกัน
ในเวลานั้นแซมอายุเพียง 17 -18 อาฉิงเรียกเขาว่าอาเฟย มาบัดนี้แซมกลายเป็นตำรวจ
เขาทำเป็นไม่รู้จักอาฉิง หนังเล่าย้อนกลับไปให้เห็นว่า ในเวลานั้นเฟยกับอาฉิง
"เป็นเสมือนพี่น้อง
ที่ไม่เคยมีความทุกข์ใจ"
วันหนึ่งเฟยให้พัดกระเบื้องแก่อาฉิงเป็นของขวัญวันเกิด
อาฉิงจึงตัดสินใจที่จะแสดงความรู้สึกที่เก็บซ่อนมานานต่อเฟย ทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน
อาฉิงมีความสุขมาก "หลายครั้งที่เขาตื่นขึ้นมาเห็นอาเฟยอยู่ข้างกาย เขาบอกตัวเองว่าเขาโชคดีและมีความสุขมาก
อยากให้ช่วงเวลานั้นคงอยู่ตลอดไป"
ความผูกพันระหว่างเฟยกับอาฉิงเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจของอาฉิงให้ชื่นบาน แต่ระหว่างที่เฟยคบกับอาฉิงนั้นเฟยได้พบ
เค.เอส. เกย์หนุ่มผู้ทะเยอทะยานจะเป็นนักร้องที่โด่งดัง เค. เอส.ให้เบอร์เฟยไว้
วันหนึ่งเขาโทร.กลับไป เมื่อทั้งสองได้พบกันอีกครั้งที่ห้องพักของเค.เอส. ทั้งสองก็มีความสัมพันธ์กันทันที
เสียงผู้เล่าบอกเราว่า "อาฉิงดีกับเขามากและเขาก็คิดว่าจะซื้อสัตย์ต่ออาฉิง
แล้วเขาก็คิดว่าถ้าความรักมันลึกซึ้งจริง
ทำไมเพียงแค่พบคนแปลกหน้าเขาก็เปลี่ยนไป" คำตอบก็คือ สิ่งที่เขามีต่ออาฉิงนั้นหาใช่ความรักไม่
แต่คือความใกล้ชิดผูกพันที่ทำให้เผลอใจ ทั้งนี้สิ่งที่ยึดโยงตัวเขากับเค.เอส.ไว้
ก็ไม่ใช่ความรักอีกเช่นกัน
หนังพยายามแสดงให้เราเห็นว่าเค.เอส.เป็นเกย์ที่มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างมาก และสิ่งนี้เองที่ปลุกอารมณ์ปรารถนาในตัวของเฟยซึ่งยังไม่ประสีประสากับเรื่องเหล่านี้ สังเกตจากการที่เฟย ตาเป็นประกายสดใสเมื่อฟังเค.เอส.เล่าถึงความใฝ่ฝันของตัวเอง ภาพการร่วมรักในห้องอาบน้ำกระจกฝ้าอันเร่าร้อน แสดงให้เห็นอารมณ์อันรุนแรง เค.เอส. พูดอยู่เสมอว่า "ผมคือดาวบนท้องฟ้า ผมจะทำให้คุณหลงรักโดยไม่รู้สึกตัว" เรื่องราวก็ดำเนินไปเช่นนั้นจนกระทั่งเค.เอส.ถูกทวงหนี้
อาเฟยในตอนนั้นรู้เพียงแต่ว่าต้องหาทางช่วยเค.เอส.คนที่เขาอยู่ด้วยแล้วมีความสุข เฟยกลับไปหาอาฉิงอีกครั้ง เสียงเล่าในหนังบอกอย่างเจ็บปวดว่า "ในโลกนี้ ทุกคนทุ่มเททุกอย่างเพื่อคนที่เรารัก แล้วเราก็ไปหาคนที่หลงรักเรา เพราะคนที่หลงรักเราจะเสียสละมากกว่าคนที่เรารัก" อาฉิงตัดสินใจไปทำงานขายบริการที่เอสเอ็มบีคลับเพื่อหาเงินมาให้อาเฟย แต่เค.เอส.สร้างหนี้ไม่หยุดหย่อน อาเฟยเองจึงต้องไปถ่ายภาพเปลือยกับกุชชี่
เรื่องการถ่ายภาพเปลือยชายในเครื่องแบบนี้เป็นข่าวที่ฮือฮาในฮ่องกงตอนนั้น หยวนฟานได้นำมาสอดแทรกในหนังของเขา ในที่สุดอาเฟยก็กลายเป็นผู้ชายของเอสเอ็มบี เขาเสียสละทุกสิ่งที่จะหนุนให้เค.เอส.ได้ตามความฝันของตัว เสียงเล่าบอกเราว่าอาเฟยไม่ได้เสียใจ เพราะสิ่งนี้เขาเป็นคนเลือกเอง แต่การตัดสินใจนี้เป็น 'ประสบการณ์' สำคัญของตัวละคร ที่ว่าไม่ได้เสียใจนั้นอาจจริงเพียงส่วนเดียว เพราะถ้าเราพิจารณาจากความคาดหวังของพ่อที่มีต่อตัวเขาแล้ว การกระทำนี้ย่อมนำมาซึ่งความละอายแก่ใจและความรู้สึกหมดความนับถือตัวเอง เฟยทิ้งกุญแจไว้ที่ห้องของเค.เอส. แล้วจากมาโดยไม่ร่ำลา
ลูกชายผู้แสนอบอุ่น-คนรักที่แสนเย็นชา
ต่อมาเฟยเปลี่ยนเป็นคนใหม่ กลายเป็นตำรวจตามรอยพ่อของเขา กลบฝังความหลังที่ผ่านมาห้าปี
แล้วให้คนเรียกว่า "แซม" วันหนึ่งแซมพาเจ็ทไปยังที่ลับส่วนตัวของเขา
บนยอดตึกที่เขาจะมาเพื่อปลดปล่อยอารมณ์เมื่อมีความทุกข์ การบอกเล่าเรื่องราวส่วนตัวของเขาเป็นเสมือนคำเชื้อเชิญให้เจ็ทก้าวล่วงเข้ามาสู่ดินแดนของเขา
"ผมก็ไม่รู้ทำไมถึงบอกคุณมากขนาดนี้ แต่ผมยินดีที่ได้พูดกับคุณ" แต่ออกจะเป็น
irony ตรงที่ว่า 'เขายังไม่ได้เปิดประตู' หรือยังไม่ได้เปิดใจอย่างเต็มที่นั่นเอง
คำเชิญของแซมเปรียบเหมือนเสียงที่ตะโกนอยู่หลังบานประตู เจ็ทได้ฟังจนเข้าใจแต่ก็ไม่อาจผ่านไปได้
วันหนึ่งเจ็ทบอกแม่ของแซมว่าเขามีความรัก เมื่ออยู่ด้วยกันเจ็ทถามแซมว่าไม่อยากรู้หรือว่าเขารักใคร
แซมน่าจะรู้อยู่แก่ใจ แต่เขากลับตอบว่า "คุณคงบอกผมเองเมื่อคุณต้องการ"
หลายครั้งที่หนังวนเวียนให้เราเห็นภาพประตูที่ปิดลง สื่อให้เห็นการกดกลั้นความปรารถนาของแซม มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจ็ทแสร้งทำว่าลืมกุญแจ เขาขอมาค้างกับแซมเพราะเขาคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะได้เป็นของกันและกัน แต่แซมขอตัวออกไปนอนที่โซฟานอกห้อง สาเหตุที่ประตูของแซมยังคงต้องปิดสนิทอยู่เช่นนั้นมีสองประการ
ประการแรก คืออดีตที่ผิดพลาดเพราะแรงปรารถนา
นั่นคงเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เขาไม่กล้าปล่อยตัวปล่อยใจไปกับใครอีก
ประการที่สองคือความคาดหวังของพ่อแม่ ความนับถือที่แซมมีต่อพ่อ อิทธิพลของพ่อที่มีต่อแซม
เป็นเสมือนพันธนาการที่รัดรึงเขาไว้ ไม่ให้โลดเต้นไปตามอารมณ์เหมือนที่แล้วมา
อิทธิพลของพ่อแม่มีส่วนอย่างมากในการกำหนดชีวิตของเขา แซมเลือกเป็นตำรวจตามอย่างพ่อ พ่อของเขาเป็นคนซื่อตรงลาออกจากตำรวจมาขับรถแท็กซี่ เพราะทนความคดโกงในกรมไม่ได้ แซมช่วยงานบ้าน ทำอาหารอร่อยยิ่งกว่าแม่ของเขาเสียอีก มีอยู่ครั้งหนึ่งเจ็ทได้คุยกับแม่ของแซมเพียงลำพัง ความพยายามทำตัวเป็นคนดีอย่างที่พ่อคาดหวังนี้เองที่ทำให้แม่ของเขาหนักใจ
แม่ของแซมเล่าว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง แม่เห็นเขาสูบบุหรี่ที่ระเบียง เขาหันมาขอโทษ แล้วเขาก็ไม่สูบบุหรี่อีกเลย"เขาต้องการให้ทุกคนเห็นว่าเขาเป็นคนดี แค่คนเราไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ตลอดเวลา เขาต้องการเป็นเหมือนพ่อเขา ไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง" แม่ยังกำชับเจ็ทให้เตือนแซมบ้าง
มีอีกตอนหนึ่งที่แสดงให้เห็นความคาดหวังของพ่อที่มีต่อตัวเขา คือตอนที่พ่อพูดถึงการดูแลกล้วยไม้ของเขาให้แซมฟัง "น้ำพอแต่ไม่ควรมากเกิน ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป แสงพอแต่ไม่ให้โดนแดดโดยตรง สำคัญที่ความรักและเอาใจใส่ ดูเหมือนว่าง่ายแต่ยากที่จะทำตาม" การที่พ่อดูแลกล้วยไม้อย่างดีก็เพราะอยากเห็นมันเติบโตขึ้นมาอย่างสวยงาม เช่นเดียวกับความหวังของพ่อที่เขาดูแลแซมอย่างดีเพราะต้องการเห็นแซมเติบโตไปในเส้นทางที่ดีงาม แต่ระหว่างต้นไม้กับคนนั้น มีความแตกต่างมากกว่าที่พ่อของแซมจะคาดคิด
ประตูที่เปิดออกอีกครั้ง
วันหนึ่งแซมกับเจ็ทไปเล่นวอลเลย์บอลชายหาดด้วยกันกับเพื่อนๆของแซม เจ็ทเกิดขาแพลง
แซมพาเขามาส่งบ้าน แซมพบอาฉิงที่พักอยู่บ้านเดียวกับเจ็ทในฐานะเพื่อนร่วมงานในเอสเอมบี
แซมลากลับ ทันที หนังแสดงให้เห็นการเผชิญหน้าของคนทั้งสามในพื้นที่เดียวกัน คือเจ็ท
แซมและอาฉิง นี่คือการมาบรรจบกันของอดีตที่น่าละอายกับปัจจุบันที่รอวันจะพัฒนาต่อไป
เรื่องขมวดตัวจนมาถึงไคลแมกซ์ตอนนี้
แซมหนีกลับบ้าน นั่งครุ่นคิดลำพัง เจ็ทตามมาทันที เขาทุบประตูอยู่นานกว่าแซมจะเปิด
ประตูที่เป็นรูปธรรมกับประตูที่เป็นนามธรรม สัญญะสำคัญของเรื่องก็มาบรรจบกันตอนนี้เช่นกัน
เจ็ทที่ทุบประตูร่ำร้องอยู่ภายนอกสุดจะทนได้ต่อไป พอแซมเปิดประตูเจ็ทต่อว่าเขา
ตบหน้าเขาและปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหลายให้ผุดพลุ่งออกมา ทั้งความรู้สึกของแซมเองก็เช่นกัน
ทั้งสองยืนจูบกันอยู่ประตูห้องแซม "ประตูเปิดอ้าอยู่!" แล้วทั้งสองก็เติมเต็มความปรารถนาของกันและกัน
ไม่นานนักมีเสียงเปิดประตูดังขึ้น แซมรู้ว่ามีคนมาเห็นเข้า แต่พอเขาออกไปดู ประตูก็ปิดลงต่อหน้าเขา
เขาให้เจ็ทกลับไปก่อน เมื่อแซมเผชิญหน้ากับพ่อ เขาไม่อาจมองพ่อของเขาได้เต็มตา
สายตาที่พ่อมองเขามีน้ำตาคลอ เต็มไปด้วยความเจ็บปวดผิดหวัง แซมกลับเข้ามาพิงประตูร้องไห้ในห้อง
เขาเขียนจดหมายฝากคานาไว้ให้เจ็ท แซมไปที่ๆเขาชอบที่สุด ดาดฟ้าของตึกยามค่ำคืน
แสงไฟจากตึกสูงงามระยิบ แล้วแซมก็โดดดิ่งลงไปสู่ความมืดมิดเบื้องล่าง!
แซมตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง เพราะเขาทนไม่ได้กับความผิดที่เขารู้สึกว่ามันใหญ่หลวงมากเกินจะแบกรับไหว เขาถามตัวเองว่า "ทำไมเขาปล่อยให้ความรักของเขาทำลายคนที่เขารัก" จริงๆแล้วแซมเหมือนถูกฆ่าให้ตายทันทีด้วยสายตาของพ่อที่จ้องมองเขาโดยไม่ได้กล่าวคำใด ความเงียบเหล่านี้แท้จริงเป็นมากกว่าคำพูดแสดงความรู้สึกนับล้านคำ สายตาของพ่อโบยตีเขา และพ่อเองก็คงไม่รู้ว่าความรักความทุ่มเทที่เขามีต่อแซมนั่นเอง เป็นสิ่งที่ผลักไสลูกชายคนเดียวของเขาไปสู่ความตาย ประตูของแซมที่เปิดออกอีกครั้งไม่ได้เพียงปลดปล่อยแรงปรารถนาของเขาให้เป็นอิสระเท่านั้น แต่ยังได้ชักพาความหายนะมาสู่ชีวิตเขาด้วย
ฉากที่นับว่าโรแมนติคที่สุดของเรื่องนี้ น่าจะเป็นตอนที่เจ็ทได้อ่านจดหมายของแซมที่แนบโฆษณาที่อาฉิงไปลงให้ในหนังสือพิมพ์ ข้อความในจดหมายตอนหนึ่งมีอยู่ว่า "เจ็ท ผมจริงใจต่อคุณ ผมเก็บโฆษณาแผ่นนี้ไว้ หวังไว้ว่าจะให้คุณดูก่อนเราแยกจากกัน เพื่อให้คุณรู้ว่าผมห่วงและจริงใจต่อคุณ"
นัยสำคัญอยู่ตรงที่ว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแซมก็สนใจเจ็ทเช่นกัน เขาเองก็รักเจ็ทแต่ไม่กล้าที่จะแสดงออกอย่างเต็มที่ โฆษณาที่เขาเก็บไว้แล้วกล่าวว่าจะให้เจ็ทดูก่อนแยกจากกันนั้น แสดงให้เห็นความตระหนักอันได้มาจากประสบการณ์ของแซมที่ว่า ความรักแบบเกย์อาจไม่ยั่งยืน แต่ความรักที่ทั้งคู่มีต่อกันนั้นเกิดจากการคบหาเรียนรู้กัน มากว่าจะเกิดจากแรงปรารถนาในเบื้องต้นอย่างในกรณีของเค.เอส.
คืนนั้นเป็นคืนแรกที่เจ็ทนอนหลับสบาย เพราะเขารู้ว่าเขาได้รับความรักแท้ เขาฝันถึงแซมที่ใส่เครื่องแบบเต็มยศเดินขึ้นบันได สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนลับสายตา
นาฏกรรมเกย์ในบริบทอันหลากหลาย
หนังเรื่องนี้นับว่าถ่ายทอดความสัมพันธ์ของเกย์ได้อย่างสมจริงและหลากหลาย ในแง่ที่ไม่ได้แสดงให้เห็นแต่ภาพด้านที่เป็นอุดมคติ
ว่าจะรักกันชั่วฟ้าดินสลาย หรือมุ่งแสดงภาพลบที่เกย์จะ "มั่ว" กันอย่างไม่หยุดหย่อนหรือเป็นแบบ
"one-night stander" หนังแสดงให้เห็นว่าการร่วมรักนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่มิใช่เครื่องพิสูจน์ความรัก แตกต่างจากแซมและเจ็ทที่ได้พยายามพัฒนาความสัมพันธ์อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
นอกจากนั้นอิทธิพลของพ่อและแม่ในสังคมตะวันออกที่มีส่วนกำหนดชีวิตลูกทุกคน เป็นสิ่งที่หยวนฟานให้ความสำคัญ และหากเราจะพิจารณาหนังเรื่องนี้ในฐานะโศกนาฏกรรมแบบอริสโตเติล แซมก็น่าจะจัดให้เป็น Tragic Hero ได้ เขามีความสมบูรณ์แบบในหลายด้านทั้งนิสัยใจคอและรูปลักษณ์ แต่ความบกพร่อง (Tragic Flaw) ที่ชักพาเขาไปสู่ความหายนะในตอนท้ายคือความรู้สึกที่ว่าเขาจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง การที่แซมตัดสินใจปลิดชีวิตของตนเท่ากับว่าเขาเองก็พยายามที่จะปฏิเสธตัวตนที่อยู่ภายในตัวเขาแต่กลับทำไม่สำเร็จ
มิติของอดีตที่มากำหนดตัวตนของแซมในปัจจุบันพิสูจน์ว่า เราอาจมีคนรักได้หลายคน แต่ความรักแท้จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว และจะคงอยู่อย่างน้อยที่สุดก็ในใจของคนที่ได้รักและคนที่ถูกรักตลอดไป
ความรักแท้อาจไม่ใช่ความรักที่สุขสมหวัง ไม่ใช่ความรักที่สังคมเห็นพ้อง แต่รักสัมผัสได้ด้วยใจโดยไม่ต้องเอ่ยคำว่ารัก เหมือนกับที่แซมเขียนในจดหมายเพียงว่า "ผมห่วงและจริงใจต่อคุณ" คำโปรยตอนจบของเรื่องเป็นบทสรุปที่แสนซาบซึ้ง
"ความรักแห่งหัวใจ ไม่แปรเปลี่ยนตามกาลเวลา แม้ว่าระยะเวลาจะสั้นเพียงพริบตา ความรักจะสถิตอยู่ชั่วนิรันดร์ ไม่มีใครสามารถมาเปลี่ยนทิศทางมันได้ ถ้าคุณเคยมีความรัก ความรักคือคำตอบอยู่ในตัวมันเอง"
นี่คือการเชิดชูความรักของเกย์ที่เกย์ได้ชมแล้วต้องปาดน้ำตาเพราะเห็นใจแซมกับเจ็ท ในขณะที่คนเป็นพ่อเป็นแม่จะต้องน้ำตาตก เพราะสงสารพ่อของแซมที่มีลูกเป็นเกย์!?
หากนำเรื่องของแซมมาเปรียบเทียบกับหนังเรื่อง Formula 17 เรื่องนี้เป็นสุขนาฏกรรมขนานแท้เป็นเหมือนชีวิตในฝันของเกย์ ไป๋เทียนหนานพระเอกของเราเป็นโรคกลัวความใกล้ชิด (fear of intimacy) หลังจากผิดหวังในรัก เขามีคู่นอนไม่ซ้ำหน้าแต่ไม่เคยจูบใคร และไม่มีความรักที่จะให้ใคร จนกระทั่งเขาได้พบโจเทียนไฉ เกย์อายุน้อยจากชนบทที่ไม่เคยพบรัก
เรื่อง Formula 17 ไม่น่าจะต่างอะไรกับเรื่อง Beauty and the Beast ที่นางเอกเป็นผู้ถอนคำสาปให้แก่พระเอก เรื่องจบอย่างมีความสุขแบบเทพนิยายที่มักจบว่า " and they live happily ever after" มีผู้กล่าวว่าหนังเรื่องนี้เป็น coming of age ของเกย์ และเป็น Utopia ของเกย์ด้วยเพราะดูเหมือนว่าความรักจะไร้อุปสรรคจากคนรอบข้าง มีแต่ตัวละครเกย์ที่คอยสนับสนุนคู่พระนาง ต่างจากเรื่อง Bishonen โดยสิ้นเชิงที่ตัวละครได้เรียนรู้ชีวิตอันเจ็บปวด ตัวละครเกย์มีปฏิสัมพันธ์กับเพศอื่น ครอบครัว ตลอดจนสังคม ซึ่งน่าจะเป็นรูปแบบชีวิตจริง (ที่มักจะจบลงด้วยความเศร้า?)
และหากจะนำภาพยนตร์เกย์จีนทั้งสองเรื่องนี้มาเปรียบเทียบกับภาพยนตร์บ้านเรา ก็ยังน่าสงสัยอยู่ว่าเหตุใดจึงไม่มีภาพของเกย์ที่มี "ชีวิต" อย่างในหนังจีนสองเรื่องนี้ เพราะเราจะคุ้นเคยกับ โกซิกซ์ สตรีเหล็ก พรางชมพู ปล้นนะยะ ฯลฯ ซึ่งภาพส่วนใหญ่จะเป็นแบบผลิตซ้ำ (stereotype) ถ้ากะเทยเป็นตัวเอกก็เป็นแค่ตัวตลก ถ้าเป็นตัวร้ายก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในตอนจบ นอกจากภาพ "ตัวตลกผู้มีชัย และนางมารร้ายผู้พ่ายแพ้" แล้ว ก็หนังไม่กี่เรื่องที่พยายาม "ตีแผ่" ชีวิตของเกย์ ซึ่งยังไม่รอบด้านพอ
น่าสังเกตว่าเมื่อกล่าวถึงชายรักร่วมเพศ การเสนอภาพจะถูกบีบตัดเหลือแค่ภาพของกะเทย เป็นโก๊ะตี๋ที่แต่งหน้าเข้มจัด เป็นจุงโคชิกะผูกแกละสองข้างผู้รวยอารมณ์ขัน หรือเป็นโหน่งที่รูปร่างกำยำแปรผกผันกับจิตใจสวยสะพรั่ง ข้อจำกัดอันนี้จึงเป็นสิ่งที่ควรศึกษาให้ถ่องแท้ต่อไป
อนึ่ง อาจเป็นเพราะข้อจำกัดดังกล่าวที่ทำให้เมื่อสำรวจความนิยมในภาพยนตร์เกย์แล้ว คอหนังเกย์กลับยกเอาคำ "คลาสสิก" และ "ยอดนิยม" ไปปะให้หนังจีนอย่าง Bishonen แสดงให้เห็นว่าหนังเกย์ไทยอาจจะยังไม่พร้อมที่จะถูกพิสูจน์ด้วยกาลเวลา อย่างไรก็ตาม ที่เรื่อง Bishonen ยังคงเป็นหนังคลาสสิกของเกย์ต่อไป อาจไม่ใช่เพราะเดินตามรอยโศกนาฏกรรมคลาสสิกของอริสโตเติลเท่านั้น แต่เป็นเพราะความรักอมตะแบบในหนังยังไม่ปรากฏในชีวิตจริง
การได้เฝ้ามองแซมและเจ็ทก็เท่ากับเติมเต็มความขาดพร่องดังกล่าวในใจ โดยเฉพาะสำหรับ "ชาวดอกไม้" แล้ว การรอคอยอุดมคติเช่นนั้นก็อาจเปรียบได้กับการเดินไปบนหนทางยาวไกล ไม่มีแม้แต่หลักไมล์ให้เป็นที่สังเกต เมื่อเดินไปสุดทางแล้วก็อาจมีเพียงทางตันและถนนขาดที่รออยู่ !
รายการอ้างอิง
(1) Andrew Grossman. "Hong Kong Film."
[online] Available from: http://www.glbtq.com/arts/hong_kong_film.html [October
23, 2004].
(2) "bi sho nen." [online] Available from: http://www.bishoneninfo.curvedspaces.com/ [October 22, 2004].
(3) Christ Berry. "Queer Film in East Asia." [online] Available from: http://www.lib.latrobe.edu.au/AHR/archive/Issue-July-1996/berry.html [October 22, 2004].
(4) "Definition of 'Bishonen'." [online] Available from: http://www.phenixsol.com/Miko/ [October 22, 2004].
(5) Yu Sen-lun. "Same-sex
comedy gives Taiwanese movies a lift." [online] Available from:
http://www.taipeitimes.com/News/feat/archives/2004/04/02/2003116440 [December
4, 2004].
สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา
3
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
e-mail :
midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 500 เรื่อง หนากว่า 6000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 120 บาท(รวมค่าส่ง)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com