บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ 460 หัวเรื่อง
เบื้องหลังความรุนแรงที่ตากใบ
วิทยากร เชียงกูล
คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม
มหาวิทยาลัยรังสิต
The
Midnight University
Website
ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
คลิกไปหน้า homepage มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเบื้องหลังบางประการ
ความรุนแรงที่ตากใบ
เราเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙
วิทยากร เชียงกูล
คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
หมายเหตุ : บทความเดิมชิ้นนี้ได้รับการเผยแพร่
บนเว็ปไซท์ของ ม.เที่ยงคืน เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๗
(บทความชิ้นนี้ยาวประมาณ
4 หน้ากระดาษ A4)
ในการไปร่วมงานชุมนุมรำลึกถึง เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อ
6 ตุลาคมที่ผ่านมา ผมได้กล่าวปาฐกถาแสดงความหวังว่า สิ่งที่เรากำลังทำกันอยู่จะไม่ใช่เป็นเพียงพิธีกรรมตามธรรมเนียมปฏิบัติ
หากจะเป็นการชุมนุมเพื่อช่วยกันแสวงหาบทเรียนจากประวัติศาสตร์ ที่จะช่วยให้พวกเราที่ยังมีชีวิตอยู่
เกิดข้อคิดและพลังใจที่จะช่วยกันต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ และความเป็นธรรมในแผ่นดินนี้ต่อไป
แต่แค่ 3 สัปดาห์ต่อมาก็เกิดความรุนแรงกรณีสลายการชุมชุมของประชาชนที่ตากใบ นราธิวาส
ซึ่งทำให้คนเสียชีวิตไป 85 คน อีกอย่างน่าเศร้า
เมื่อเราย้อนไปมองทำให้เราเข้าใจได้ว่าเหตุการณ์ 6 ตุลาคมเมื่อ 28 ปีที่แล้ว คือความรุนแรงที่ชนชั้นผู้ปกครองในยุคนั้น ปลุกระดมให้กองกำลังกลุ่มหนึ่งเกิดความเข้าใจผิด กลัวและเกลียดชัง ถึงขนาดมารุมล้อมสังหารหมู่นักศึกษา ประชาชน ที่ชุมนุมเรียกร้องสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตยโดยสันติวิธี อย่างขาดสติของอารยชน เป็นความคิดและการตัดสินใจที่โง่เขลา และเห็นแก่ตัวอย่างถึงที่สุดของชนชั้นผู้ปกครองในยุคนั้น
สิ่งที่ชนชั้นผู้ปกครองยุค 6 ตุลาคม 2519 ทำลายล้างไม่ใช่กลุ่มนักสังคมนิยมอย่างที่พวกเขาอ้าง สิ่งที่พวกเขาทำลายล้างคือ ขบวนการนักศึกษาประชาชน ผู้มีอุดมคติเพื่อสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตย หากชนชั้นผู้ปกครองไม่โง่เขลาและเห็นแก่ตัวระยะสั้นมากจนเกินไป และใจกว้างเปิดโอกาสให้เยาวชนและประชาชน เข้ามีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศ ไปสู่สังคมแบบสันติประชาธรรม มาตั้งแต่ 28 ปีที่แล้ว ป่านนี้ประเทศไทยคงจะพัฒนาไปได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมาก
จะไม่เกิดความรุนแรงพฤษภาคม 2535 ไม่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำปี 2540 ไม่เกิดระบบเผด็จการทุนนิยมผูกขาดแบบบริวาร ที่ครอบงำมอมเมาประชาชนส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบัน การแก้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้น่าจะรู้จักใช้สมองมากกว่ากำลัง และเยาวชนจะเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาของประเทศ มากกว่าจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของตัวปัญหาเสียเอง
เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 แม้จะเจ็บปวด แต่มีคุณค่า ถ้าเรารู้จักใช้บทเรียนให้เป็นประโยชน์ที่จะไม่ทำผิดซ้ำซาก ในรอบ 28 ปีที่ผ่านมา ชนชั้นนำไม่ได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์มากพอที่จะรู้จักแก้ปัญหาความขัดแย้ง และความแตกต่างอย่างสันติวิธีและสร้างสรรค์ การใช้กำลังปราบปราม การสังหารและทำร้ายผู้เรียกร้องสิทธิเสรีภาพที่เกิดขึ้น ที่ถนนราชดำเนินเดือนพฤษภาคม 2535 ยังคงเกิดขึ้นที่บ่อนอก, หินกรูด, จะนะ, กรือแซะ และตากใบ
คงเกิดขึ้นเนื่องจากชนชั้นนำยังคงมีกรอบความคิดแบบอำนาจนิยม และทุนนิยมผูกขาดแบบสุดโต่ง มองประชาชนกลุ่มที่คัดค้านนโยบายแผ่อำนาจและผูกขาดของชนชั้นนำเป็นศัตรู ที่จะต้องจัดการเอาชนะให้ได้ในทุกวิถีทางรวมทั้งการใช้ความรุนแรง
ความรุนแรงที่เกิดจากการใช้อำนาจรัฐอย่างผิด ๆ เหล่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นแบบชั่วครั้งชั่วคราว เพียงเพราะเป็นปัญหาพิเศษของคนบางกลุ่มบางพื้นที่เท่านั้น หากเป็นความรุนแรงที่อยู่ภายใต้โครงสร้างของแนวทางการพัฒนาประเทศแบบทุนนิยมผูกขาด ที่เป็นบริวารของระบบทุนนิยมโลก พวกชนชั้นนำอ้างว่ากำลังพัฒนาประเทศตามแนวทางเสรีประชาธิปไตย แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นเสรีแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา และประชาธิปไตยแบบระบบอุปถัมภ์ที่ขึ้นอยู่กับทุนและอำนาจ
ระบอบเสรีประชาธิปไตยที่แท้จริงจะต้องประกอบด้วย ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ประชาธิปไตยทางสังคม และประชาธิปไตยทางการเมืองที่ประชาชนมีสิทธิอำนาจในการใช้ทรัพยากรอย่างเสมอภาค และการแข่งขันจะต้องเป็นธรรม มีการยอมรับความหลากหลายของประชากรกลุ่มต่าง ๆ ที่มีความคิดความเชื่อการทำมาหากิน และวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่สิทธิในการเลือกตั้ง และสิทธิในการซื้อเสียงขายเสียงที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน
โครงสร้างของการพัฒนาแบบกอบโกย ล้างผลาญ เพื่อประโยชน์ของนายทุนผูกขาด ไม่เพียงแต่สร้างความรุนแรงที่เกิดจากความขัดแย้งเรื่องทรัพยากรโดยตรงเท่านั้น แต่ยังสร้างความรุนแรงในทางอ้อมเพิ่มขึ้นหลายเท่า ซึ่งเป็นผลมาจากการขูดรีดทรัพยากรที่ให้คนยากจนเพิ่มขึ้น และมอมเมาให้คนนิยมแสวงหาการบริโภคสูงสุด แบบตัวใครตัวมัน อย่างขาดจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม
การฆ่าฟัน, ปล้นจี้, ลักขโมย, ข่มขืน, ประทุษร้าย, ฆ่าตัวเองหรือฆ่าคนใกล้ชิดเพราะความเครียด และปัญหาสังคมชนิดต่าง ๆ ไม่ใช่เป็นแค่ความรุนแรงที่เกิดจากปัจเจกชนที่มีปัญหาเพียงบางคนเท่านั้น แต่เป็นความรุนแรงที่สร้างขึ้นโดยรัฐทุนนิยมผูกขาดแบบบริวาร ที่มุ่งพัฒนาแบบกอบโกยล้างผลาญ เน้นการเติบโตของการบริโภคทางวัตถุ โดยไม่สนใจแนวทางการพัฒนาแบบแบ่งปัน, กระจายทรัพย์สิน, รายได้, การศึกษา, การมีงานทำ, สิทธิเสรีภาพ (ทั้งของประชาชนทั่วไป และชนกลุ่มน้อย) , ความเป็นธรรมสู่ประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นเจ้าของประเทศ เจ้าของทรัพยากร และไม่สนใจการพัฒนาคุณภาพชีวิตและจิตใจ
ชนชั้นนำหลงไหลได้ปลื้มกับตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการบริโภคที่ฟุ่มเฟือยในเมืองใหญ่ พวกเขามองไม่เห็น ไม่เข้าใจว่า นโยบายการพัฒนาประเทศแบบไล่ตามเศรษฐกิจทุนนิยมโลกของพวกเขา เกี่ยวโยงกับการสร้างปัญหาความรุนแรงในสังคมไทยอย่างไร เพราะพวกเขามองเห็นแต่ประโยชน์ระยะสั้นของตัวเองและพรรคพวก มองปัญหาต่าง ๆ แบบแยกส่วน เห็นเฉพาะปรากฏการณ์เป็นเรื่อง ๆ แต่ไม่เข้าใจภาพใหญ่ของโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมทั้งหมดที่เชื่อมกันอย่างเป็นองค์รวม
คนจนเพิ่มก็เพราะคนรวยกอบโกยมากเกินไป ความรุนแรงเพิ่มขึ้นก็เพราะความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่จะแบ่งปันกันอย่างสันติวิธีลดลง
สถานะการณ์ใน 3 จังหวัดภาคใต้ขยายตัว เพราะกลุ่มคนที่กบฎต่ออำนาจรัฐใช้ยุทธวิธีทางการเมืองยั่วยุให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรง เพื่อขยายแนวร่วมของพวกตน และรัฐบาลก็หลงกลโดยใช้แต่กำลังทหารเข้าจัดการ แทนที่จะรู้จักใช้การเมืองทำการทหาร เหมือนการแก้ปัญหาคอมมิวนิสต์ในช่วงปี 2523 - 2525
ปัญหาความรุนแรงในระบบโครงสร้างเศรษฐกิจแบบทุนนิยมผูกขาดแบบบริวาร, ปัญหาความโง่เขลา เห็นแก่ตัวของชนชั้นนำ ซึ่งมอมเมาให้คนส่วนใหญ่หลงไหลได้ปลื้มไปด้วย ไม่ได้เป็นปัญหาที่เกิดจากแค่ตัวบุคคลหรือกลุ่มคนที่ขึ้นมามีอำนาจรัฐในเวลานี้เท่านั้น แต่เป็นปัญหาที่เกิดมาจากกรอบคิดใหญ่ที่โง่เขลา และเห็นแก่ตัวของชนชั้นนำทั้งชนชั้น
ประเด็นจึงไม่ได้อยู่แค่ที่ว่า ทำอย่างไรจะช่วยเผยแพร่ความคิดให้ประชาชนรู้เท่าทันระบอบทักษิณเท่านั้น ประชาชนควรต้องรู้เท่าทันกลุ่มนักการเมืองอื่นที่มีกรอบคิดใหญ่ไม่แตกต่างกันด้วย
ประเด็นไม่ได้อยู่แค่การโค่นล้มระบบทักษิณ
เพื่อเปิดให้กลุ่มอื่นมาบริหารประเทศแทน ประเด็นคือทำอย่างไรจะช่วยกันศึกษา และเผยแพร่ให้ประชาชนส่วนใหญ่
รู้เท่าทันชนชั้นนำผู้โง่เขลา และเห็นแก่ตัวทั้งชนชั้น รู้เท่าทันแนวคิดของบริษัทข้ามชาติที่ครอบงำชนชั้นนำของประเทศ
ปฏิรูปการศึกษา และสื่อสารมวลชนเพื่อช่วยให้ประชาชนมีวุฒิภาวะมากพอ ที่จะเข้าใจความซับซ้อนของปัญหาการพัฒนาประเทศ
มีใจกว้างที่จะยอมรับความหลากหลายของกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชาวมุสลิมใน 3 จังหวัดภาคใต้,
เกษตรกรรายย่อย, สมัชชาคนจน, ชาวเขา, ชนกลุ่มน้อยและผู้ด้อยโอกาส, ผู้ได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายพัฒนากระแสหลัก
กลุ่มต่าง ๆ
การจะยุติความรุนแรงและการขูดรีดทั้งคนและธรรมชาติได้ เราจะต้องโค่นล้มความโง่เขลา,
ความเห็นแก่ตัวที่อยู่ภายในใจของชนชั้นนำ ซึ่งรวมทั้งอาจจะอยู่ในใจของพวกเราบางคนในบางระดับให้ได้
สงครามในปัจจุบันไม่ใช่เป็นสงครามระหว่าง "อุดมการณ์ทุนนิยม"กับ"อุดมการณ์สังคมนิยม" เหมือนสมัย 28 ปีที่แล้ว แต่เป็นสงครามระหว่าง "ความโง่เขลาบวกกับเห็นแก่ตัวในระยะสั้น" และ"ความฉลาดเห็นการณ์ไกล เห็นแก่ส่วนรวมในระยะยาว" เป็นสงครามระหว่างการพัฒนาแบบอำนาจนิยมเพื่อกอบโกยล้างผลาญ ที่เน้นการเพิ่มความเจริญเติบโตทางวัตถุของพวกนายทุนผูกขาด และการพัฒนาแบบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกัน เน้นคุณภาพชีวิต การพัฒนาอย่างยั่งยืนของฝ่ายประชาชน
ในสงครามแย่งชิงทรัพยากรที่สร้างความขัดแย้งในทุกหย่อมหญ้าในทุกวันนี้
ไม่มีที่ว่างที่จะให้เราซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลางให้ยืนอยู่เฉย ๆ เหมือนกับเป็นคนนอกได้
ถ้าเราไม่เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อยุติความรุนแรงและการขูดรีดทำลายล้าง
เราก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบอบที่สร้างความรุนแรงและการขูดรีดทำลายล้างไป
ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม
เมื่อประชาชนหลายแสนคนเลือกที่จะออกจากบ้าน ไปประท้วงทรราชในเดือนตุลาคมปี 2516
และ 2519 ส่วนหนึ่งในใจลึก ๆ ของพวกเขาก็คือ พวกเขาเลือกที่จะทำในสิ่งที่ทำให้เขานับถือตัวเอง
ภูมิใจในตัวเองว่า เขาไม่ต้องการเป็นข้าทาสบริวารของทรราชอีกต่อไป นี่คือจุดหมายของความเป็นคน
นี่คือจุดหมายของชีวิต ที่ไม่ได้อยู่เพียงแค่การแสวงหาอำนาจและเงินทอง ซึ่งเป็นเพียงสิ่งที่ไม่จิรังยั่งยืน
เพราะเราทุกคนผลสุดท้ายแล้วต้องแก่ เจ็บและตายไปด้วยกันทุกคน คนที่ยังนับถือตัวเองได้เท่านั้น ที่จะไม่เป็นทาสในทางจิตใจ ที่จะเป็นอิสระชน ที่จะมีโอกาสช่วยกันยุติความรุนแรงและการขูดรีดทำลายล้างในแผ่นดินที่ชื่อว่าอิสระได้อย่างแท้จริง
หากประเทศไทยยังมีคนที่ยังนับถือตัวเอง ยังมีชีวิตและยังใฝ่ฝันถึงโลกที่ดีกว่าอยู่ ยังมีคนที่กล้าลุกขึ้นมาตอบว่าไม่ คนที่ไม่ยอมจำนน คนที่ยังพยายามแก้ไขปัญหาและสร้างสรรค์อย่างมีวุฒิภาวะเพิ่มขึ้น ประเทศเราก็ยังมีความหวังว่าเราจะแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศไปในทางที่สวยงามขึ้น ดีขึ้นสำหรับคนส่วนใหญ่อย่างสันติวิธีได้
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนลำดับที่ 461
กรณีเหตุการณ์ที่อำเภอตากใบ รัฐมีความจำเป็นต้องเร่งดำเนินการให้ความจริงกระจ่างขึ้นโดยเร็ว
อันเนื่องจากเป็นสถานการณ์ที่มีความอ่อนไหวอย่างมาก การปล่อยให้ความไม่ชัดเจนในการแก้ปัญหาภาคใต้ดำเนินต่อไป
จะไม่เป็นผลดีต่อการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ภาคใต้
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจึงมีข้อเรียกร้องต่อสังคมและต่อรัฐดังต่อไปนี้
๑. ขอให้สังคมไทยใช้สติเพื่อทำความเข้าใจต่อสถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แทนการใช้อารมณ์หรืออคติที่เกิดจากการครอบงำโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และโดยสื่อ ที่สยบยอมต่ออำนาจรัฐ
๒. การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีผลกระทบต่อชีวิต ร่างกาย สิทธิเสรีภาพในทุกๆกรณี จำเป็นที่จะต้องมีมาตรการที่รัดกุมและมีหลักประกันในการปฏิบัติเยี่ยงมนุษย์ รวมถึงการให้ความคุ้มครองสิทธิพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ
ในอนาคตสำหรับหน่วยงานที่รับผิดชอบในการแก้ปัญหาการชุมนุม และสังคมต้องใช้ความรู้และเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา ที่ข้ามพ้นวิธีการอันมักง่ายด้วยรูปแบบวิธีการที่อาศัยความรุนแรง๓. บนแนวทางที่รัฐได้ดำเนินการมาโดยตลอดในการแก้ปัญหาภาคใต้ โดยไม่ให้ความสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม ไม่เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และรัฐบาลไม่ควรบิดเบือนและสร้างความมั่นใจผิดๆต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
๔. ให้มีคณะกรรมการคู่ขนานในการทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เข้ามาเป็นผู้จัดตั้งคณะกรรมการดังกล่าวโดยมีตัวแทนจากหลายฝ่ายในการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ และเปิดเผยต่อสาธารณะ รวมถึงการทำหน้าที่ในการเปิดรับข้อมูล หลักฐานจากทุกๆฝ่าย
๕. รัฐบาลควรยุติการใส่ร้ายป้ายสีต่อประชาชนที่มาชุมนุม เพื่อมิให้เกิดความรู้สึกแบ่งแยกและทวีความเกลียดชังในหมู่ประชาชนขยายออกกว่าที่เป็นอยู่ อันจะทำให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปได้ยากลำบากมากยิ่งขึ้น โดยหากบุคคลใดที่มีหลักฐานชัดเจนว่ากระทำความผิดก็ให้ดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมาย รวมถึงยุติการเป็นผู้ให้ข่าวแต่ฝ่ายเดียว จนกว่าจะได้รับข้อเท็จจริงจากคณะทำงานตรวจสอบที่เป็นกลาง
๖. นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บริหารสูงสุด และแม่ทัพภาค ๔ ต้องแสดงความรับผิดชอบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่านี้ แทนการปัดความรับผิดชอบไปให้แก่เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย
๗. สื่อมวลชน ต้องทำหน้าที่สื่อสารความจริงอย่างรอบด้าน และเป็นธรรมทั้งต่อเหยื่อของความรุนแรงและต่อสังคม รวมถึงสื่อต้องทำหน้าที่สืบค้นความจริงเบื้องหลังปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้สังคมมีฐานข้อมูลความรู้ที่ถูกต้อง
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน และสมัชชานักวิชาการเพื่อคนจน
เครือข่ายพระนักพัฒนาภาคเหนือ
คณาจารย์นิติศาสตร์ มช.
สถาบันสิทธิชุมชน
สถาบันสื่อทางเลือก
ศูนย์สตรีศึกษา มช.
คณาจารย์เพื่อประชาธิปไตย มช.
สถาบันเสริมสร้างพลังชุมชน
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์เพื่อสังคม
มูลนิธิกฎหมาย ผู้หญิง กับการพัฒนา
สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา
3
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
e-mail
: midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 440 เรื่อง หนากว่า 5000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา
120 บาท(รวมค่าส่ง)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่
midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง
จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
การฆ่าฟัน, ปล้นจี้, ลักขโมย, ข่มขืน, ประทุษร้าย, ฆ่าตัวเองหรือฆ่าคนใกล้ชิดเพราะความเครียด และปัญหาสังคมชนิดต่าง ๆ ไม่ใช่เป็นแค่ความรุนแรงที่เกิดจากปัจเจกชนที่มีปัญหาเพียงบางคนเท่านั้น แต่เป็นความรุนแรงที่สร้างขึ้นโดยรัฐทุนนิยมผูกขาดแบบบริวาร ที่มุ่งพัฒนาแบบกอบโกยล้างผลาญ เน้นการเติบโตของการบริโภคทางวัตถุ โดยไม่สนใจแนวทางการพัฒนาแบบแบ่งปัน กระจายทรัพย์สิน รายได้
สงครามในปัจจุบันไม่ใช่เป็นสงครามระหว่าง "อุดมการณ์ทุนนิยม"กับ"อุดมการณ์สังคมนิยม" เหมือนสมัย 28 ปีที่แล้ว แต่เป็นสงครามระหว่าง "ความโง่เขลาบวกกับเห็นแก่ตัวในระยะสั้น" และ"ความฉลาดเห็นการณ์ไกล เห็นแก่ส่วนรวมในระยะยาว" เป็นสงครามระหว่างการพัฒนาแบบอำนาจนิยมเพื่อกอบโกยล้างผลาญ ที่เน้นการเพิ่มความเจริญเติบโตทางวัตถุของพวกนายทุนผูกขาด และการพัฒนาแบบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกัน เน้นคุณภาพชีวิต การพัฒนาอย่างยั่งยืนของฝ่ายประชาชน ในสงครามแย่งชิงทรัพยากรที่สร้างความขัดแย้งในทุกหย่อมหญ้าในทุกวันนี้ ไม่มีที่ว่างที่จะให้เราซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลางให้ยืนอยู่เฉย ๆ เหมือนกับเป็นคนนอกได้