Website
ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ 438 หัวเรื่อง
ปัญหาเด็กถูกทำร้ายในสังคมไทย
สมชาย บำรุงวงศ์
นักวิชาการอิสระ
สมาชิกมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ปัญหาเด็กถูกทำร้ายในสังคมไทย
ชะตากรรมของเด็กๆภายใต้โครงสร้างอำนาจ
สมชาย บำรุงวงศ์
(นักวิชาการอิสระ)
สมาชิกมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บทความชิ้นนี้ยาวประมาณ
5 หน้ากระดาษ A4)
หมายเหตุ
: บทความนี้เดิมชื่อ
ประเทศที่เป็นโรคหิวเงิน และเด็กๆเป็นโรคไม่มีความสุข
เด็กหญิงอายุสามขวบและห้าขวบ ทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะดี
บิดาเป็นเจ้าของกิจการใหญ่โต แต่ขาดสำนึกของความเป็นมนุษย์ ล่วงเกินทางเพศบุตรสาวทั้งสองโดยไม่เลือกสถานที่เช่นในบ้าน
ในรถยนต์ ในห้างสรรพสินค้า แม้ว่ามารดาจะพาหลบหนี แต่เขาได้พยายามติดตามจนพบและล่วงเกินทางเพศอีกครั้งหนึ่ง
การกระทำเช่นนี้กับบุตรสาวทั้งสองคนรวมเป็นเวลาสองปี..............
เด็กหญิงวัยหนึ่งขวบถูกคนรับใช้ทำร้ายทารุณจนบาดเจ็บสาหัส อาการปางตาย โดยใช้วิธีซ้อม เตะ ทุบตีจนม้ามแตก ตับและปอดฉีก คนใช้อ้างว่าเพราะรำคาญเสียงร้อง..............
หนูน้อยวัยเพียงสองขวบถูกทารุณอย่างโหดเหี้ยม ด้วยน้ำมือของพ่อเลี้ยง โดยทุบตีจนตับแตก และไล่ตีทั้งๆที่บาดเจ็บ ตามลำตัวถูกบุหรี่จี้จนนับแผลไม่ถ้วน เด็กน้อยต้องทุกข์ทรมาน นอนร้องครวญครางเนื่องจากมีเลือดคั่งในสมองผสมกับอาหารบูดเสียอยู่ในช่องท้อง..............
เด็กหญิงอายุสามขวบ ถูกแม่และพ่อเลี้ยงทำร้ายทารุณจนบาดเจ็บสาหัส โดยใช้วิธีเฆี่ยนตีจนผิวหนังหลุดลุ่ย ถูกบังคับให้วิ่งกลางแจ้ง เมื่อวิ่งไม่ไหวก็จะถูกทำโทษ โดยการเตะอย่างรุนแรง และถูกพ่อเลี้ยงขว้างลูกเหล็กกระแทกศีรษะจนเด็กบาดเจ็บทางสมอง สภาพภายในร่างกายบอบช้ำมาก มีเลือดเสียคั่งอยู่ตามบริเวณร่างกาย................
เด็กหญิงอายุสิบเอ็ดขวบ ถูกครูข่มขืนกระทำชำเรา โดยอ้างให้เด็กช่วยเหลืองานวันหยุดโรงเรียน ครูกระทำบนพื้นห้องเรียน บนโต๊ะเรียนของเด็ก ห้องน้ำ ห้องพักครู บ้านพักครู ที่บ้านครู ฯลฯ หลังข่มขืนเสร็จทุกครั้งครูจะข่มขู่ฆ่าอีก ทั้งยังมีพรรคพวกร่วมอาชีพคอยช่วยเหลือ รวมไปถึงการใช้เงินทองเป็นเครื่องต่อรองกับเด็กจนไม่มีใครสามารถช่วยเหลือเด็กได้..............
เด็กหญิงอายุสิบสี่ปี กำพร้าแม่ ถูกพ่อบังเกิดเกล้าข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้มีดจี้ที่อกเธอ หลังจากนั้นซื้อยาคุมให้กิน พ่อของเธอกระทำเช่นนี้นานเกือบเดือน...............
เด็กหญิงอายุสิบสี่ปีถูกพ่อล่วงเกินทางเพศ จึงหนีออกมาหางานทำโดยเป็นลูกจ้างทำความสะอาดบ้าน ทว่าโชคร้าย เพราะนายจ้างทำร้ายทารุณเธอด้วยวิธีการต่างๆนานาเช่น ใช้มีดปังตอฟันบริเวณศีรษะและขา ใช้ไม้กวาดและค้อนตีที่ลำตัวนับไม่ถ้วน ใช้ตะหลิวร้อนๆนาบใบหน้า ฯลฯ...........
(ย่อจากข้อมูลของมูลนิธิคุ้มครองเด็ก ที่ปรากฏอยู่ท้ายเล่มของหนังสือชื่อ เด็กที่ถูกเรียกว่า "มัน" แพรวสำนักพิมพ์ ต.ค. 2545)
เด็กทุกรายที่กล่าวมาได้รับความช่วยเหลือและดูแลจากมูลนิธิคุ้มครองเด็ก
นี่เป็นเพียงตัวอย่างอันน้อยนิดของเด็กที่ถูกทำร้าย และได้รับการช่วยเหลือ ในความเป็นจริงเด็กที่ถูกทำร้ายไม่ว่าจะในระดับอ่อนๆจนถึงขั้นรุนแรง มีมากเกินกว่าที่หูตาของมูลนิธิฯ, หน่วยงานที่เกี่ยวกับเด็กจะสอดส่องไปถึง เด็กจำนวนอีกมากเหล่านี้ต้องตกอยู่ในสภาพทนทุกข์หรือถึงกับเสียชีวิตไป ในจำนวนนี้เด็กบางคนใช้วิธีหลบหนี เริ่มออกห่างบ้าน อาจเริ่มทดลองใช้ชีวิตเร่ร่อนแบบชั่วคราวก่อน คือยังกลับเข้าบ้านเป็นครั้งคราว แต่มีเด็กจำนวนหนึ่งซึ่งไม่น้อยเลยที่ได้ตัดขาดตัวเองจากครอบครัว ออกเร่ร่อนอย่างถาวร และนั่นคือที่มาของเด็กที่ถูกเรียกว่า "เด็กเร่ร่อน"
ผมเพิ่งได้อ่านงานวิจัยภาคสนามของ สมพงษ์ จิตระดับ (ตีพิมพ์ปีพ.ศ. 2540) เรื่อง "วัฒนธรรมเด็กเร่ร่อนในท้องถนน" อ่านแล้วก็ให้หดหู่ใจที่ได้รับรู้ว่า เด็กเหล่านี้ต้องมีชีวิตที่เลวร้าย หลุดลอยออกไปจากความหมายของความเป็นเด็ก ความเป็นมนุษย์ ตกเป็นทาสของยาเสพย์ติด - เป็นทาสบริการกาม บ้างเป็นโรคเอดส์ ต้องดิ้นรนต่อสู้ไปตามสัญชาตญาณของการเอาชีวิตรอด มีชีวิตในความหมายที่เป็นแค่เศษชีวิตในท่ามกลางสังคมแห่งการพัฒนาอันเสื่อมทรามนี้
เวลาที่เด็กถูกทำร้ายแล้วเป็นข่าว มันเรียกความสนใจจากสังคมได้ดี แต่มักจบลงที่สังคมได้รับรู้ ได้ทอดถอนใจ ได้ก่นด่าไอ้คนเลวๆเป็นครั้งเป็นคราวไปแค่นั้น แล้วก็จบกันไป ในสังคมบริโภคข่าวที่ข่าวเกิดและตายทุกวัน(ปัจจุบันเป็นนาที) อะไรที่ไม่เป็นข่าวใหญ่ข่าวดัง สังคมก็จะไม่จับตา ยิ่งถ้าไม่เป็นข่าว ก็เท่ากับว่าสังคมไม่ได้รับรู้ เมื่อไม่ได้รับรู้ก็เสมือนหนึ่งว่าไม่มีเหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้น ในโลกที่เราหัวหมุนอยู่ในทะเลข่าว จึงมีแต่ข่าวที่ดังและสว่างอย่างพลุเท่านั้นที่จะเรียกความสนใจจากเราได้
ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ ข่าวเดิมๆที่ไม่ใช่ข่าวแปลกใหม่อะไร เป็นข่าวที่เกิดซ้ำเกิดซากก็เกิดขึ้นอีก
.......เด็กกลุ่มใหญ่ทุบกำแพงแล้วหลบหนีออกจากสถานพินิจฯ(บ้านเมตตา) เจ้าหน้าที่อ้างว่าสาเหตุที่เด็กคิดหลบหนี เพราะความเข้มงวดกวดขันค้นหาสิ่งผิดกฎหมายในหอนอน........
[กรณีที่คล้ายกันเกิดขึ้นที่สถานพินิจฯ จ. สุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 14-15 กรกฎาคม 2547. ใน พ.ศ. 2545 เด็กร่วมร้อยก่อหวอดประท้วง อ้างว่าเพราะถูกบังคับให้กินข้าวคลุกทราย (เจ้าหน้าที่ปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง) และเรียกร้องให้ปรับปรุงสวัสดิการความเป็นอยู่ แต่การเจรจาไม่เป็นผลและเหตุการณ์บานปลายจนเกิดการเผาอาคารกันขึ้น ตำรวจต้องเข้าระงับเหตุ.......]
กรณีบ้านเมตตา เจ้าหน้าที่อ้างว่าเพราะความเข้มงวดในกฎระเบียบ ทำให้เด็กคิดหลบหนีเพราะกลัวความผิด ส่วนกรณีที่ จ.สุราษฎร์ธานี เด็กอ้างว่าเพราะต้องกินข้าวคลุกทรายและเรื่องสวัสดิการ ไม่ว่าข้ออ้างที่ทั้งสองฝ่ายยกขึ้นมา จะจริงหรือไม่เพียงใดก็ตาม เท่าที่ผมได้รับรู้มา ผมไม่เชื่อว่าจะมีเด็กคนไหนไม่คิดอยาก(หนี) ออกไปจากสถานที่แบบนี้ ไม่ว่าจะกล้าหรือไม่กล้าก็ตาม และแน่นอนย่อมมีเด็กบางส่วนที่กล้าเสี่ยง และคงไม่มีใครไร้เดียงสาถึงกับเชื่อว่าจู่ๆเพียงแค่สาเหตุล่าสุด(ตามที่อ้างกัน)นั่นเอง ที่ทำให้เด็กคิดประท้วง-หลบหนี
ทั้งสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือ "การระเบิดออก" และก่อนที่อะไรๆจะระเบิดออก มันย่อมต้องผ่านการกดดันสะสมมาก่อน ใช่ว่าอะไรๆจะเกิดระเบิดออกมาง่ายดายด้วยสาเหตุเพียงครั้งเดียว
และทุกครั้งที่เกิดกรณีอย่างนี้ กระบวนการแก้ปัญหาของหน่วยงานที่รับผิดชอบก็เป็นแบบเดิมๆ คือไล่ตามจับตัวกลับมา จากนั้นเจ้ากรมเจ้ากระทรวงก็ออกมาให้สัมภาษณ์ อธิบายสาเหตุที่เด็กหลบหนีว่าเป็นเพราะเหตุนั้นเหตุนี้ จะต้องมีมาตรการในการป้องกันแก้ไขอย่างนั้นอย่างนี้ต่อไปอย่างไร แล้วก็จบกันไป ส่วนการจัดการภายในจริงๆจะเป็นอย่างไร อย่างที่พูดไว้หรือไม่? ไม่ปรากฏว่ามีสื่อใดติดตามนำมาเสนออีกเลย เพียงเป็นข่าวทางโทรทัศน์-หนังสือพิมพ์อยู่วันสองวัน แล้วก็เงียบหายไป ที่สำคัญ ไม่มีใครให้โอกาสเด็กเหล่านั้นได้เปิดปากพูดระบายถึงสาเหตุ(ในความรู้สึกของเด็ก)ที่ทำให้คิดหลบหนี ทุกอย่างถูกแถลงออกมาจากปากของพวกที่ต้องรักษาหน้าของตัวเองเพียงฝ่ายเดียวทั้งสิ้น รวมความก็คือ ที่เด็กๆหลบหนีเพราะเด็กไม่ดีเอง ไม่ใช่ผู้ใหญ่ ผู้คุม หน่วยงานไม่ดี แล้วเด็กๆก็ถูกปิดปากต่อไป...........
งานวิจัยชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า เด็กที่เร่ร่อนอยู่ตามท้องถนนหลายคนก็คือเด็กที่เคยอยู่สถานพินิจฯ-สถานสงเคราะห์มาก่อน แต่หลบหนีออกมาได้ เด็กเหล่านี้พูดตรงกันหมด สรุปใจความสั้นๆได้ว่า ที่ต้องหลบหนีออกมาเพราะทนความ "โหด" ในนั้นไม่ไหว เด็กที่หลบหนีออกมาได้ ถ้าไม่ระวังตัวให้ดีพอก็อาจถูกจับส่งกลับเข้าไปอีก(บ้างถูกทำให้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย! อันเนื่องจากการกวาดล้าง เพื่อไม่ให้มีเด็กเร่ร่อนในช่วงเทศกาล งานสำคัญ เช่นการแข่งขันกีฬาระดับประเทศ เพราะกลัวเสียภาพลักษณ์ของประเทศ) และถ้าเด็กคนนั้นต้องกลับไปพบกับโจทก์หน้าเดิม ในสถานที่เดิมอีก เราคงนึกภาพสิ่งที่จะเกิดกับเด็กคนนั้นได้ไม่ยาก
สถานพินิจฯก็คือสถานกักกัน ไม่ว่าจะตั้งชื่อให้ดูสูงส่งเพียงใด ความจริงก็คือคุกนั่นเอง(พูดให้ดีหน่อยก็คือคุกอย่างอ่อน) และคุกก็คือคุก มีคุกที่ไหนในโลกที่ช่วยกู้ช่วยยกระดับความเป็นมนุษย์ให้พ้นไปจากความเสื่อมทรามได้บ้าง ถ้าไม่กลายเป็นคนเสื่อมทรามยิ่งขึ้น ก็คงเป็นได้แค่คนเซื่องๆคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนคนๆนั้นก็เป็นแค่คนที่หมดสิ้นความเป็นมนุษย์ไปแล้วนั่นเอง
ประเทศที่มีสันดานแบบอำนาจนิยม ให้ได้ก็แต่ความสงบราบคาบ ไม่ใช่ความสงบร่มเย็น สงบราบคาบคือผิวนอก และเมื่อใดที่มันบวมเป่งพร้อมจะปริแตก สิ่งที่อยู่ข้างในก็จะระเบิดออกมา และครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเกิด "การระเบิดออก" อำนาจนิยมก็จะรี่เข้าไป จัดการกับปัญหาด้วยวิธีเด็ดยอดแบบเดิมๆ แบบพระเอกปราบผู้ร้าย เป็นสูตรสำเร็จวิเศษเพียงสูตรเดียว สูตรเพียงสูตรเดียวที่สมองของอำนาจนิยมสามารถผลิตออกมาได้ ขณะที่รากเน่าๆของปัญหาก็ยังคงผลิตดอกผลแห่งปัญหาของมันต่อไป ไม่เคยมีสักครั้งที่ปัญหา(ของผู้ที่ถูกกระทำ)จะได้รับการแก้ไขด้วยความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจและบริสุทธิ์ยุติธรรม
คำว่า "การแก้ปัญหาแบบบูรณาการ" อันเป็นแนวทางที่ถูกที่ควร ที่ควรถูกนำมาใช้อย่างจริงจัง แต่ในความเป็นจริงที่มันถูกนำเสนอขึ้นมานั้น ก็เพียงเพื่อให้คนจำพวกหนึ่งได้มีคำเท่ๆไว้พล่ามเพิ่มขึ้นมาอีกคำหนึ่งเท่านั้นเอง
การแก้ปัญหาแบบบูรณาการ(อย่างแท้จริง) ไม่อาจเกิดขึ้นได้กับระบบแห่งประเทศนี้ เพราะถึงที่สุดแล้วมันจะบูรณาการลงไปถึงโคนรากของปัญหา ซึ่งนั่นหมายถึงการต้องทำลายโครงสร้างหลักๆแห่งระบบกาฝากลงทั้งหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ระบบจะยอมรับแนวทางแก้ปัญหาที่หวนกลับมาทำลายตัวมันเอง ทำลายระบบกาฝากที่มันสถาปนาขึ้นมา แต่เพื่อให้ฟังดูว่าการแก้ปัญหากำลังมาถูกทาง(โดยวาจา) ทันยุคทันสมัยไม่ล้าหลัง จะมีคำไหนเท่ !กว่าคำนี้อีกหรือ แต่มันก็เป็นได้แค่คำสวยหรูที่เอาไว้ฉาบทาปกปิดความไม่จริงใจในการแก้ปัญหาเท่านั้นเอง
เด็กที่ถูกทำร้ายที่ไม่อาจอยู่ในความดูแลของครอบครัวอีกต่อไปและเด็กเร่ร่อน เป็นเหมือนยอดของภูเขาน้ำแข็ง ซึ่งหมายถึงยังมีเด็กที่ถูกทำร้ายอีกมากที่ยังอยู่ในสถาบันครอบครัว เป็นก้อนน้ำแข็งส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้ำลงไป และอยู่ในสภาพรอวันที่จะโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา งานวิจัยชิ้นนี้บอกว่ายอดของมันมีแต่จะโผล่เพิ่มขึ้น ไม่ลดลงเลย และดูเหมือนผู้ใหญ่ในประเทศนี้ก็ไม่ได้สำเหนียกถึงส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้ำนั้น ตราบใดที่ยังไม่มีส่วนยอดของปัญหาโผล่ประจานขึ้นมา (ให้เด็ดยอด) พวกเขาก็ไม่เห็นว่านั่นจะเป็นปัญหาสำคัญใหญ่โตอะไรจนต้องตระหนกตกตื่น แค่คอยแก้ปัญหา(แบบลูบหน้าปะจมูก)ไปตามหน้าข่าวแต่ละวันก็ไล่ตามกันไม่ทันอยู่แล้ว ข่าวดังข่าวร้อนประเดี๋ยวเดียวก็ถูกแซงด้วยข่าวที่ร้อนกว่า ข่าวที่เย็นแล้วตายแล้วก็โยนมันทิ้งไป!
ประเทศภายใต้การปกครองของชนชั้นนำที่เป็นพวกเมาจีดีพี เมาการส่งออก ใช้ข้ออ้างของคำว่า "พัฒนา" ใช้ประชาชนบังหน้าและเอาลงเป็นทาส กอบโกยความมั่งคั่งใส่ตัว ประเทศที่จิตใจของชนชั้นนำเห็นแก่ได้และจอมปลอมเช่นนี้ อาจนำพาประเทศไปบนหนทางที่ดี เพื่อเป็นประเทศที่ดีได้หรือ?
มันคงเป็นได้แค่ประเทศที่เอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบทรัพยากรได้เก่งที่สุด อยุติธรรมที่สุด ไร้คุณธรรมที่สุดเท่านั้นเอง ตราบเท่าที่ยังพัฒนาในความหมายของสัตว์หิวเงิน หิววัตถุฟุ้งเฟ้อไม่รู้จักจบจักสิ้น หน้ามืดตามัวอยู่แต่กับเงิน วัดทุกอย่างด้วยเงิน เงินคือความสำเร็จ เงินคือความสุข เงินคือความรัก เงินคือเกียรติ เงินคือความเจริญ เงินคือ........ เด็กก็ยังคงถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง ถูกเขี่ยออกให้พ้นทางมุ่งสู่ "สวรรค์" ของพวกผู้ใหญ่ต่อไป
ประเทศเช่นนี้นี่เองคือประเทศที่ผลิตความฉ้อฉลจอมปลอมออกมา ผลิตผู้ใหญ่เลวและเด็กพิกลพิการออกมา เป็นประเทศที่คุณธรรมป่วยไข้เจ็บปวด เป็นประเทศที่ขยิบตา - หาเงินกับยาเสพย์ติด เป็นประเทศที่ชื่นชอบการทำบาป แต่ขณะเดียวกันก็ต้องการลืมบาปที่กระทำไป ประเทศที่มีวัดให้คนไปทำบุญไหว้พระ และมีพระที่บอกว่าการฆ่าไม่บาป
เป็นประเทศของความใจดำอำมหิต ที่สามารถทนดูเด็กในสภาพไม่ต่างจากสุนัขจรจัดหิวโซได้ ทนดูเด็กๆคุ้ยเขี่ยหาเศษอาหารในถังขยะได้ ประเทศแห่งพุทธศาสนาของเรานี่เอง ที่ยังหาประโยชน์จากเด็กที่เร่ขายเนื้อหนังบริการกาม เด็กเร่ร่อนที่มีแต่เพิ่มขึ้นทั้งที่เป็นแบบชั่วคราวและฝังตัวอยู่ตามแหล่งชุมนุมชน เหล่านี้จึงเป็นทัศนียภาพและสินค้าทางกามชั้นดี ที่มีลูกค้าทั้งไทย - เทศแวะเวียนมาเลือกชมซื้อหา ที่ยังไม่ได้บรรจุไว้ใน unseen Thailand !
น่าเห็นใจคนที่มีจิตใจดีงามอย่างครูข้างถนน องค์กรฯ มูลนิธิฯ ที่คอยช่วยเหลือรองรับเด็กๆที่ถูกกระทำย่ำยีจากระบบอำมหิตนี้ คอยเช็ดเลือดทำแผล ขณะที่ผู้ใหญ่ในประเทศนี้ยังสามารถยืนชมความน่าสังเวชใจเหล่านี้ได้เป็นปกติสุข ยังไม่สำเหนียก ยังชื่นชมและยังโห่ร้องให้กับระบบอันเสื่อมทรามนี้ต่อไป ภายใต้คำขวัญ "เยาวชนคืออนาคตของชาติ"
สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I ประวัติ ม.เที่ยงคืน
e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 400 เรื่อง หนากว่า 4500 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 120 บาท(รวมค่าส่ง)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
ขณะนี้มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้ผลิตบทความทั้งหมดบนเว็ปในรูปของซีดีรอมเพื่อจำหน่าย
สนใจ สั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com
ประเทศที่มีสันดานแบบอำนาจนิยม ให้ได้ก็แต่ความสงบราบคาบ ไม่ใช่ความสงบร่มเย็น สงบราบคาบคือผิวนอก และเมื่อใดที่มันบวมเป่งพร้อมจะปริแตก สิ่งที่อยู่ข้างในก็จะระเบิดออกมา และครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเกิด "การระเบิดออก" อำนาจนิยมก็จะรี่เข้าไป จัดการกับปัญหาด้วยวิธีเด็ดยอดแบบเดิมๆ แบบพระเอกปราบผู้ร้าย เป็นสูตรสำเร็จวิเศษเพียงสูตรเดียว สูตรเพียงสูตรเดียวที่สมองของอำนาจนิยมสามารถผลิตออกมาได้ ขณะที่รากเน่าๆของปัญหาก็ยังคงผลิตดอกผลแห่งปัญหาของมันต่อไป
ผมเพิ่งได้อ่านงานวิจัยภาคสนามของ
สมพงษ์ จิตระดับ (ตีพิมพ์ปีพ.ศ. 2540) เรื่อง "วัฒนธรรมเด็กเร่ร่อนในท้องถนน"
อ่านแล้วก็ให้หดหู่ใจที่ได้รับรู้ว่า เด็กเหล่านี้ต้องมีชีวิตที่เลวร้าย หลุดลอยออกไปจากความหมายของความเป็นเด็ก
ความเป็นมนุษย์ ตกเป็นทาสของยาเสพย์ติด - เป็นทาสบริการกาม บ้างเป็นโรคเอดส์
ต้องดิ้นรนต่อสู้ไปตามสัญชาตญาณของการเอาชีวิตรอด มีชีวิตในความหมายที่เป็นแค่เศษชีวิตในท่ามกลางสังคมแห่งการพัฒนาอันเสื่อมทรามนี้