2
0
0
4
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ 388 หัวเรื่อง
สื่อและผลกระทบต่อมนุษย์
สมเกียรติ ตั้งนโม
คณะวิจิตรศิลป์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เผยแพร่ เพื่อสาธารณประโยชน์
หากนักศึกษาหรือสมาชิก ประสบ
ปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลดขนาดของ font ลง
จะแก้ปัญหาได้
midnightuniv(at)yahoo.com
ดูละครแล้วย้อนดูตัว
Campbell กับโครงร่างทฤษฎีสื่อ
แนวจิตวิทยา
สมเกียรติ ตั้งนโม
คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
บทความชิ้นนี้แปลมาจากหนังสือเรื่อง
Media and Society
ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 เขียนโดย Michael O' Shaughessy และ Jane Stadler
สำนักพิมพ์ Oxford University Press ปีที่พิมพ์ 2002
(ในส่วนของ Part 3, Chapter 11 เรื่อง Joseph Cambell and Carl Jung หน้า 170-175)
หมายเหตุ: บทความเรื่องนี้ เป็นบทความต่อเนื่องจากเรื่อง
"สื่อในมุมมองมานุษยวิทยาและจิตวิเคราะห์" บทความลำดับที่ 387 ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บทความนี้ยาวประมาณ
11 หน้ากระดาษ A4)
ความนำ
การอ่านในฐานะที่เป็นประสบการณ์อันลึกลับอย่างหนึ่ง (Reading
as a Mystical Experience)
เราได้ให้ข้อสรุปสั้นๆ เกี่ยวกับวิธีการศึกษาบางอย่างถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อผู้คนทั้งหลายได้ดูเรื่องราวที่สร้างขึ้น
เราต้องการที่จะลงความเห็นโดยการสะท้อนถึงประสบการณ์เกี่ยวกับการดู ว่ามันเหมือนกับอะไร
และสิ่งนี้นำไปเปรียบเทียบกับความเป็นจริงได้อย่างไร เช่น ประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน
เป็นต้น
เพื่อนของผมคนหนึ่งเคยถามผมเป็นครั้งคราวว่า ทำไมผมจึงดูภาพยนตร์มากมายเช่นนั้น และเขาบอกเป็นนัยว่า ส่วนหนึ่งในชีวิตจริงของผมกำลังขาดหายไป ข้อคิดและคำวิจารณ์ของเขาพูดทำนองว่า ผมกำลังมีประสบการณ์ในลักษณะตัวแทนต่างๆ(surrogate experiences) โดยผ่านภาพยนตร์เหล่านั้น มากกว่าจะกระทำบางสิ่งด้วยตัวของผมเองจริงๆ ดูประหนึ่งว่า การอ่านหรือการดูชีวิตจริง ไม่ใช่สิ่งเดียวกับการเป็นอยู่ในชีวิตจริง
ในทำนองเดียวกัน ผมรู้สึกประหลาดใจเช่นกันเมื่อเห็นว่า ผู้คนจำนวนมากเพียงใดที่จับจ้องรายการกีฬาต่างๆ มากกว่าการเข้าไปมีส่วนร่วมในเกมส์กีฬาเหล่านั้นด้วยตัวของพวกเขาเอง - มันดูเหมือนมีความหมายอย่างเดียวกับการกล่าวว่า การมีส่วนร่วมนั้นได้ให้ความรู้สึกพึงพอใจมากกว่าการเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์
ส่วนหนึ่งนั้นผมเห็นด้วยกับเพื่อน และในขณะที่ผมมีอายุมากขึ้น ดูเหมือนว่า มันเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะมีประสบการณ์กับสิ่งต่างๆมากมายสำหรับตัวเองยิ่งกว่าเพียงแค่อ่านหรือดูพวกมันเท่านั้น
แต่ทว่า ประสบการณ์เกี่ยวกับการดูเรื่องราวที่สร้างขึ้น ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ประสบการณ์ในลักษณะตัวแทนเท่านั้น กล่าวคือ ในตัวของมันเองนั้น มันเป็นรูปแบบหนึ่งของประสบการณ์มนุษย์ที่เข้มข้น มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจริงที่ให้ผลเกี่ยวกับความรู้สึกพึงพอใจอย่างลึกซึ้ง ความพอใจเหล่านี้สามารถถูกนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งเหล่านั้นที่พบได้ในการทำสมาธิ, การประกอบพิธีกรรม, และความเชื่อในเรื่องลี้ลับ
ต้นตอกำเนิดเกี่ยวกับเรื่องที่สร้างขึ้นและเรื่องเล่าต่างๆ วางอยู่ในปกรณัมโบราณและพิธีกรรมต่างๆทางศาสนา; เรื่องราวทั้งหลายทำหน้าที่รับใช้วัตถุประสงค์ทางจิตวิญญานโดยตรง. "ประสบการณ์จากเรื่องที่แต่งขึ้น"(fiction experience) เชื้อเชิญเราให้เข้าไปสู่ภาวะที่ผันแปรของความสำนึก, วิถีของการดำรงอยู่ที่แตกต่างออกไปอันหนึ่ง อันนี้สามารถจะเป็นสิ่งที่เข้มข้นมากกว่าประสบการณ์ในชีวิตจริงมากมาย มันอาจเป็นเรื่องของจิตวิญญานอันลึกซึ้ง เติมเต็มเราด้วยความประหลาดใจและการเปิดเผย ดังนั้นมันจึงช่วยเหลือเราได้ในการดำรงอยู่ในชีวิตประจำวัน; มันได้ให้พื้นที่และเวลาสำหรับการใคร่ครวญ ยินยอมให้เราวางความเป็นอยู่ของตัวเราลงในทัศนียภาพต่างๆ; และมันอาจช่วยสร้างสรรค์เราขึ้นมาใหม่ ดังที่ถูกเสนอโดยคำว่า"การพักผ่อนหย่อนใจ"
เทียบกันกับความฝันต่างๆ ซึ่งบางครั้งค่อนข้างเข้มข้นยิ่งกว่าประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของเรา ด้วยเหตุนี้ การจ่อมจมอยู่ในเรื่องราวที่แต่งขึ้นจึงสามารถที่จะกระตุ้นหัวใจของเรา, ภาวะจิตใจ, และอารมณ์ความรู้สึกในหนทางต่างๆที่น่าพอใจเป็นพิเศษได้
ขณะที่ประสบการณ์จากเรื่องราวที่สร้างขึ้น ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆภายนอก - มันประกอบด้วยเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ - อันที่จริงแล้ว มันยอมให้เราเดินเข้าไปสู่การเดินทางภายใน ในขณะที่เราบริโภคเรื่องราวที่แต่งขึ้นมาต่างๆ เราได้ทิ้งปฏิบัติการต่างๆทางโลกเกี่ยวกับขีวิตประจำวันเอาไว้เบื้องหลัง เพื่อท่องเที่ยวลึกลงไปสู่หัวใจของเราเอง ค้นพบความเชื่อต่างๆที่เป็นแกนของตัวเรา ความรู้สึกต่างๆ และความปรารถนาทั้งหลาย
ความคิดต่างๆเหล่านี้คือคำนำที่ดีอันหนึ่งในผลงานของ Joseph Campbell ผู้ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่า เรื่องราวที่สร้างขึ้นต่างๆและชีวิตจริงสามารถได้รับการเรียงร้อยเข้าด้วยกันอย่างน่าพิศวง
โครงสร้างการเล่าเรื่องและมายาคติ:
Joseph Campbell
Narrative Structure and Myth: Joseph Campbell
วิธีการเกี่ยวกับโครงสร้างการเล่าเรื่องซึ่งเราจะทำการสำรวจในที่นี้คือ
ผลงานของ Joseph Campbell ผู้ซึ่งได้อธิบายถึงแบบแผนทั่วไป แบบแผนที่หวนกลับมาอีกต่างๆในรูปแบบทั้งมวลเกี่ยวกับการเล่าเรื่องราว
Campbell ไม่ใช่คนเดียวที่พยายามค้นหาแบบแผนทั่วๆไปอันนั้น ผลงานเชิงโครงสร้างนิยมของ Vladimir Propp, ผู้ที่ได้ทำการวิเคราะห์คุณลักษณะร่วมกันของเทพนิยาย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีมากในการศึกษาเรื่องสื่อ(media studies)(Propp 1975; Turner 1993, pp.68-71) เขาได้ตรวจสอบเทพนิยายต่างๆ และสรุปว่า แบบแผนที่ปรากฏขึ้นมาบ่อยๆนั้น เกี่ยวพันกับการวางตัวละครต่างๆ และการพล็อตรูปแบบการกระทำทั้งหลายขึ้นมา สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานของเทพนิยายทั้งหมด
ตามความคิดเห็นของ Propp ตัวละครทั้งหลายประกอบด้วยตัวร้าย, ผู้อุทิศให้(ผู้จัดหา - บริจาค), ผู้ช่วย, เจ้าหญิง(หรือบุคคลซึ่งกำลังถูกค้นหา), พระราชบิดาของเจ้าหญิง, ผู้ส่งสารหรือคอยนำสาร, พระเอก(หรือเหยื่อ), และตัวเอกที่เป็นตัวปลอม
การดำเนินเรื่องของภาพยนตร์จะเข้าข่ายหรือตกอยู่กรอบการวิเคราะห์ของ Propp และจะเผยตัวละครชุดหนึ่งที่มีลักษณะในทำนองนี้ออกมา ยกตัวอย่างเช่น ตัวละครหลักๆในภาพยนตร์เรื่อง Star Wars จะเข้ากันกับตัวอย่างแบบฉบับตัวละครของ Propp อย่างเหมาะเจาะ
ตัวร้าย ------------------------ Darth Vader
ผู้ให้ -------------------------- Ben Kenobi
ผู้ช่วย ------------------------- Han Solo
เจ้าหญิง ---------------------- Princess Leah
ผู้ส่งสาร ---------------------- R2D2
พระเอก ----------------------- Luke Skywalker
พระเอกปลอม-ไม่ซื่อ --------- Darth Vader
(Turner 1988, p.71)โครงสร้างของ Propp ประกอบด้วย 6 ขั้นตอนคือ
1. การเตรียมการ (preparation)
2. ความสลับซับซ้อน (complication)
3. การโยกย้าย - เปลี่ยนแปลง (transference)
4. การต่อสู้ (Struggle)
5. การกลับมา (return)
6. การยอมรับ (recognition)
โครงสร้างที่กล่าวถึงข้างต้น สามารถถูกนำไปประยุกต์ใช้อย่างได้ผลกับเนื้อหาข้อมูลภาพยนตร์ต่างๆเป็นจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตาม ผลงานของ Propp ก็ไม่ได้ไปไกลมากนักจากการค้นพบและการอธิบายด้วยแบบแผนต่างๆเหล่านี้
ในทำนองเดียวกัน วิธีการของ Campbell ก็เป็นไปในลักษณะนั้น เขาได้ค้นหาแบบแผนต่างๆในเชิงโครงสร้างด้วยเช่นกันเกี่ยวกับปกรณัมต่างๆ, เทพนิยาย, และเรื่องเล่าทั้งหลายจากทั่วทุกมุมโลก แต่เขาได้ก้าวหน้าพ้นไปจากนี้ โดยอธิบายถึงสิ่งที่โครงสร้างดังกล่าวมันมีความหมายสำหรับมนุษย์
ในวิธีการข้างต้น ผลงานของเขาจึงมีวัตถุประสงค์ในทำนองเดียวกับผลงานของ Levi-Strauss. Campbell, Jung, และ Levi-Strauss ทั้งหมดมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำความเข้าใจบทบาทและความหมายของปกรณัมต่างๆและเรื่องเล่าทั้งหลายในสังคมมนุษย์
Campbell ได้ให้ทัศนะที่แตกต่างไปมากอันหนึ่งเกี่ยวกับสื่อต่างๆ ต่อวิธีการศึกษาทั้งหลายซึ่งเราได้มีการนำเสนอมาแล้วตามลำดับ ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ของเรา ได้ไปเน้นที่การสร้างทางสังคมของตัวแทนการแสดงออกต่างๆ
เราได้เสนอวิธีการหลายๆอย่างสำหรับการรื้อสร้าง(deconstructing)ข้อมูลนานาชนิด การรื้อสร้าง คือกระบวนการอันหนึ่งที่ทำให้เราตระหนักหรือรับรู้ถึงความหมายในเชิงอุดมคติและเชิงสังคมที่จารึกลงไป และเปิดเผยว่า สื่อต่างๆได้ถูกผลิตขึ้นมาโดยกลุ่มของสังคมที่ทรงอิทธิพล และมันทำหน้าที่เป็นตัวแทนค่านิยมของสังคมที่ทรงอำนาจนั้น วิธีการรื้อสร้างนี้เป็นวิธีการศึกษาในเชิงวิพากษ์ ซึ่งได้ให้เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆกับคุณเพื่อท้าทายสื่อต่างๆ
แต่อย่างไรก็ตาม Campbell ได้นำพาไปสู่กรอบงานหรือโครงร่างทางทฤษฎีที่แตกต่างไปเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทฤษฎีต่างๆของเขา ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากผลงานของนักจิตวิทยานามว่า Carl Jung, และจุดมุ่งหมายของเขาเป็นการยกย่องสรรเสริญเกี่ยวกับเนื้อหาข้อมูลสื่อ มากยิ่งกว่าจะเป็นการวิพากษ์ในลักษณะเตือนสติ เขาไม่ได้ให้การเอาใจใส่กับประเด็นเกี่ยวกับการสร้างทางสังคม หรือการเมืองเกี่ยวกับการเป็นตัวแทนการนำเสนอ
ด้วยเหตุที่เราไปเน้นที่การสร้างความเป็นจริงของสังคม, Campbell กลับไปเน้นที่แง่มุมต่างๆที่เป็นสากลเกี่ยวกับธรรมชาติมนุษย์และสังคมต่างๆของมนุษย์. เขาเสนอว่า เราสามารถที่จะเห็นถึงแบบแผนต่างๆของมนุษย์ในลักษณะสากลและความจริงในปกรณัมต่างๆ, ในตำนานทั้งหลาย, และความเชื่อนานาชนิดทางด้านศาสนา
ผลงานของ Campbell เป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่ายในหนังสือหลายเล่ม, ในเนื้อหาข้อมูลที่วิจารณ์ผลงานของเขา และในการสัมภาษณ์ทางวีดิโอ (Campbell 1972, 1988a, 1988b, 1991; Golden 1992)ได้ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับความคิดของเขา เนื้อหาต่อไปนี้เป็นข้อสรุปอย่างสั้นอันหนึ่งเกี่ยวกับแง่มุมที่เป็นแกนกลางเกี่ยวกับผลงานของ Campbell
Joseph
Campbell และ การเดินทางของวีรบุรุษ
ผลงานของ Campbell ได้สำรวจตรวจตราปกรณัมต่างๆ, ตำนาน, และความเชื่อทั้งหลายในทางศาสนา,
ซึ่งพบได้ทั่วโลกในสังคมที่แตกต่างกัน เขาแสดงให้เห็นว่า มันมีความคล้ายคลึงกันในเนื้อหาสาระที่เป็นแกนกลาง
ซึ่งพบได้ในเรื่องเล่าต่างๆเหล่านี้ทั้งหมด และเรื่องเล่าทั้งหลายสามารถได้รับการมองในฐานะที่เป็นพิมพ์เขียวอันหนึ่ง
ซึ่งแสดงให้เราเห็นว่า เราจะกระทำการอย่างไรในโลกใบนี้เพื่อค้นหาความสว่างหรือความเข้าใจ,
ความสมปรารถนา, และการบรรลุถึงศักยภาพความเป็นมนุษย์ของพวกเรา เขาได้ให้เหตุผลว่าพวกมันมีแบบแผนหรือโครงสร้างที่โดดเด่นและสำคัญอันหนึ่ง
โครงสร้างอันนี้ดำเนินรอยตามสิ่งที่เขาเรียกว่า "การเดินทางของวีรบุรุษ" หรือ the hero's journey มันเกี่ยวพันกับตัวเอกตัวหนึ่งซึ่งได้ผ่านการทดสอบ, การต่อสู้ดิ้นรน, และผ่านปัญหาต่างๆในวิถีทางที่บรรลุถึงเป้าหมายของเขาหรือเธอ
อันนี้คล้ายคลึงกับการวิเคราะห์ของ Propp แต่ขณะที่ Propp เพียงบันทึกถึงข้อเท็จจริงซึ่งมันเป็นโครงสร้างอันหนึ่งนั้น (และในงานชิ้นหลังๆของเขา ได้สำรวจถึงบริบทในทางประวัติศาสตร์-สังคม ซึ่งเรื่องเล่าต่างๆได้ผุดขึ้นมา) Campbell เสนอว่า โครงสร้างอันนี้ได้จัดหาเค้าโครงอันหนึ่ง ซึ่งเรื่องเล่าต่างๆสามารถสอนเราว่า เราจะกระทำอย่างไรในฐานะที่เป็นมนุษย์ ถ้าเผื่อว่าเราสำนึกถึงศักยภาพในลักษณะที่เป็นวีรุบุรุษของเรา
ตามความคิดของ Campbell พวกเราทั้งหมด(ทั้งชายและหญิง)ต่างเป็นวีรชน โดยศักยภาพที่จะค้นพบความสมปรารถนาในความเป็นวีรชนในตัวของพวกเรา. เพื่อที่จะทำสิ่งนี้ เราจะต้องดำเนินไปบนหนทางของวีรชนคนหนึ่ง โดยดำเนินรอยตามความปิติสุขของเรา
ไอเดียอันนี้เกี่ยวกับ"การดำเนินรอยตามความปิติสุขของคุณ"(following your bliss)[bliss - a state of extreme happiness] เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งในผลงานของ Campbell เขาเสนอว่า พวกเราแต่ละคนนั้นสามารถค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่เคลื่อนเข้ามาและสัมผัสกับเราจริงๆ วัฒนธรรมของพวกเราควรที่จะสนับสนุนให้ผู้คนค้นพบสิ่งนี้ และต่อจากนั้นให้ดำเนินรอยตามมันไป เพียงโดยการติดตามความปิติสุขของเรา เราสามารถที่จะสำนึกศักยภาพและความสุขของเราได้
เขายังบันทึกต่อไปด้วยว่า แรงกดดันของสังคมร่วมสมัย อย่างเช่น ความจำเป็นหรือภาวะฉุกเฉินเกี่ยวกับความรอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระบบเศรษฐกิจต่างๆ และความกดดันที่มีต่อเราที่จะทำตัวให้เข้ากับสังคมหรือลงรอยกับมันนั้น อันนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ให้การสนับสนุนต่อเรื่องนี้ ด้วยเหตุดังนั้น พวกเราจึงเผชิญหน้ากับความท้าทายเกี่ยวกับการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกระทำในสิ่งที่สังคมกดดันเราให้กระทำ หรือดำเนินรอยตามจิตวิญญานของตัวเราเองอย่างใดอย่างหนึ่ง
เขาให้เหตุผลว่า ในช่วงแรก ซึ่งเรียกกันว่าสังคมในยุคบุพกาลต่างๆ ค่อนข้างสามารถจะกระตุ้นสนับสนุนให้ผู้คนกระทำสิ่งนี้ได้มากกว่าสังคมในยุคอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ซึ่งมีลักษณะสังคมแบบฆราวาส เป็นสังคมทุนนิยม, ซึ่งสังคมในยุคหลังๆได้สูญเสียความสามารถอันนี้ไป
Campbell ได้ให้ความสนใจในพลังของความฝันต่างๆ วลีที่ว่า"ติดตามความปิติสุขของคุณไป"สำหรับคุณแล้ว มันหมายถึงอะไร? ในฐานะที่เป็นหนทางหนึ่งของการเชื่อมกับจิตไร้สำนึกของคุณ ขอให้มาลองทำแบบฝึกหัดดังต่อไปนี้
ก่อนที่คุณจะเข้านอน ขอให้ลองเขียนคำถามว่า "อะไรคือความปิติสุขของฉัน?"สัก 30-50 เที่ยว และหลังจากนั้นให้นำกระดาษนี้ไปไว้ใต้หมอน และขอให้วนเวียนอยู่กับคำถามนี้ในสมองเสมอก่อนที่คุณจะหลับ ซึ่งอันนี้อาจจะทำให้มันซึมซ่านเข้าไปในจิตไร้สำนึกของคุณ และหวังว่าคำตอบจะเผยตัวของมันออกมาในความฝันต่างๆของคุณ
เตรียมดินสอหรือปากกาและกระดาษเอาไว้ข้างตัว เพื่อว่าเวลาที่คุณตื่นขึ้นมา ในทันทีจะได้สามารถบันทึกความฝันนั้นได้ พอถึงรุ่งเช้าให้คุณบันทึกความฝันต่างๆอีกครั้ง ลองอ่านสิ่งที่ได้เขียนลงไปบนกระดาษ และถามตัวเองว่า ความฝันต่างๆของคุณได้แสดงให้เห็นสิ่งที่เป็นความปิติสุขของตัวคุณใช่หรือไม่. คุณได้ติดตามความปิติสุขของตัวเองในชีวิตมากน้อยแค่ไหน?
ทฤษฎีต่างๆของ Campbell ในเรื่องความฝัน สามารถได้รับการอธิบายในฐานะที่เป็นสากลด้วยเหตุผล 2 ประการ (ดังที่ทฤษฎีต่างๆของ Jung สามารถทำเช่นนั้นได้ เกี่ยวกับจิตไร้สำนึกร่วม[collective unconscious])
1. พวกเขาได้วางความคล้ายคลึงกันข้ามวัฒนธรรม, ปกรณัม, และศาสนาที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น วัฒนธรรมอะบอริจิน, คริสเตียน, และอิสลาม, ได้รับการกล่าวว่ามีส่วนร่วมในเรื่องเล่าพื้นฐานต่างๆในอย่างเดียวกัน
2. ความฝันทั้งหลายของผู้คน ดังที่เผยออกมาผ่านวิธีการจิตวิเคราะห์ของ Freudian และ Jungian ดูเหมือนว่าได้สะท้อนถ่ายเรื่องเล่าต่างๆที่เป็นสากลอย่างเดียวกันเหล่านี้ออกมา รวมถึงรูป(icons)และภาพต่างๆ(images) แต่เป็นไปในระดับปัจเจก ผลลัพธ์ที่ตามมา Campbell ถือว่า เส้นทางพัฒนาการอันหนึ่งได้ถูกสร้างขึ้นสู่ระดับจิตของมนุษย์(human psyche) คล้ายพิมพ์เขียวทั่วๆไปทางพันธุกรรมอันหนึ่ง อันนี้ได้ไปเชื่อมโยงข้ามสังคมและวัฒนธรรมของมนุษย์ทั้งมวล และเป็นบางสิ่งซึ่งพวกเรามีอยู่ร่วมกัน มันมีศักยภาพที่ทำให้เราลงรอยร่วมกัน. ทฤษฎีต่างๆของเขาถูกวางอยู่บนพื้นฐานการรวมกันของเรือนร่างหนึ่งของหลักฐานที่มาสนับสนุนจากทั่วโลก
ขั้นตอนต่างๆเกี่ยวกับการเดินทางของตัวเอก(hero's journey) ที่ได้รับการวางกรอบหรือโครงร่างโดย Campbell ในหนังสือของเขาเรื่อง The Hero with a Thousand Face (Campbell 1972, pp. ix-x) มีดังนี้:
1. การพรัดพราก(departure)
การเรียกร้องให้ผจญภัย
การปฏิเสธเสียงเรียกร้องนั้น
ความช่วยเหลือจากสิ่งที่เหนือธรรมชาติ
การข้ามผ่านธรณีประตูครั้งแรก
ภายในท้องปลาวาฬ2. การเริ่มต้น
เส้นทางแห่งการทดสอบ
การพบกับเทพธิดา
ผู้หญิงในฐานะผู้มีเสน่ห์เย้ายวนใจ
การคืนดีกับพ่อ
การได้รับการยกย่องให้เป็นพระเจ้า
ผลประโยชน์ที่ได้รับสูงสุด3. การกลับมา
การปฏิเสธที่จะหวนกลับมา
การต่อสู้กับอำนาจเวทมนต์ร์วิเศษ
การช่วยเหลือจากภายนอก
การข้ามผ่านธรณีประตูเพื่อหวนกลับไป
ปรมาจารย์ของทั้งสองโลก
อิสรภาพของการดำรงอยู่ชีวิต
ในหนังสือ The Hero with a Thousand Faces เขาได้บรรยายถึงขั้นตอนต่างๆเหล่านี้แต่ละขั้นอย่างละเอียด(ซึ่งขนานกันไปกับงานของ Propp), ตัวอย่างต่างๆเกี่ยวกับการค้นหาของพวกเขาในความมากมายหลากหลายของเรื่องเล่า Campbell เสนอว่า
คล้ายๆกับปกรณัมโบราณและเรื่องเล่าเก่าๆ การดำเนินเรื่องของภาพยนตร์และโทรทัศน์ก็คือปกรณัมสมัยใหม่ของพวกเรา ซึ่งพวกมันได้รวมการนำเสนอภาพโครงสร้างต่างๆเกี่ยวกับตัวเอกในลักษณะอย่างเดียวกันเหล่านี้เอาไว้
ตามความคิดของ Campbell การวิเคราะห์เกี่ยวกับพวกมัน จะเผยให้เห็นความจริงในลักษณะเดียวกันเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ เกี่ยวกับความเป็นวีรชน(heroism) และเกี่ยวกับเส้นทางต่างๆที่นำไปสู่ความสว่างและความงอกงามเต็มที่ อันนี้ได้ถูกนำเสนออกมาเป็นภาพในภาพยนตร์ต่างๆ อย่างเช่น Satr Wars (ซึ่งกำกับโดย George Lucas) และภาพยนตร์เรื่อง The Matrix
ในที่นี้เป็นการคัดลอกเกี่ยวกับคำพูดของ Campbell กับ Bill Moyers , สำหรับ Bill Moyers นั้นเป็นนักสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์อเมริกันคนหนึ่ง เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่อง Star Wars และการเดินทางของตัวเอก. Campbell ได้อธิบายถึงแง่มุมอันหนึ่งเกี่ยวกับการผจญภัย, ท้องของปลาวาฬ, ในรายละเอียดบางอย่าง. อันนี้จะให้ไอเดียคุณเกี่ยวกับว่า แบบแผนทั้งหมด สามารถมองลึกลงไปในมันได้อย่างไร
Moyers : ครั้งแรกที่ผมได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Star Wars ผมคิดในใจว่า นี่เป็นเรื่องเล่าที่เก่าแก่โบร่ำโบราณมากเรื่องหนึ่งในเครื่องแต่งกายสมัยใหม่ที่สุด เรื่องเล่าเกี่ยวกับคนหนุ่มที่ถูกเรียกร้องให้ผจญภัย พระเอกที่ออกไปเผชิญหน้ากับการทดสอบและประสบการณ์ที่ยากลำบากต่างๆ และหวนกลับมาหลังจากที่ได้รับชัยชนะกับผลประโยชน์สำหรับชุมชน
Campbell : แน่นอน Lucas กำลังใช้ตัวละครต่างๆในปกรณัมมาตรฐาน ภาพของชายชราคนหนึ่งในฐานะที่ปรึกษา ทำให้ผมนึกไปถึงปรมาจารย์ทางด้านการต่อสู้ด้วยดาบของชาวญี่ปุ่น ผมรู้จักกับบุคคลเหล่านั้นบางคน และ Ben Kenobi มีบุคลิกภาพบางอย่างของพวกเขาเหล่านั้นอยู่บ้าง
Moyers : ปรามาจารย์ทางด้านการใช้ดาบทำอะไรบ้าง?
Campbell : เขาเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญทั้งหมดเกี่ยวกับการใช้ดาบ การบ่มเพาะของตะวันออกเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้(martial art) ซึ่งไปพ้นจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยพบในจิมเนเซียมอเมริกันต่างๆ. คนเหล่านี้มีความเข้าใจในเทคนิคทางด้านจิตวิทยา เช่นเดียวกับเทคนิคทางด้านร่างกายอันหนึ่งที่ไปด้วยกัน คุณสมบัติในเชิงบุคลิกอันนี้มีอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง Star Wars
Moyers : มันเป็นบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับปกรณัมโบราณด้วยเช่นกันที่ว่า พระเอกได้รับการช่วยเหลือจากคนแปลกหน้า ผู้ซึ่งได้แสดงให้เห็นและได้ให้เครื่องมือบางอย่างกับตัวพระเอก ...
Campbell : เขาไม่เพียงให้เครื่องมือทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังให้คำสัญญาหรือข้อผูกพันทางจิตใจและแกนกลางของจิตวิทยาด้วย คำสัญญาผูกพันนั้นย้อนหลังไป หรือพ้นจากระบบความตั้งใจ คุณคือหนึ่งเดียวกับเหตุการณ์
Moyers : ฉากที่ผมชอบมากก็คือ ตอนที่พวกเขาต่างอยู่กันในเครื่องอัดขยะ และผนังเหล็กกำลังบีบตัวเข้ามา และผมคิดว่า "นั่นมันคล้ายกับการอยู่ท้องของปลาวาฬที่ได้กลืนกิน Jonah เข้าไป
Campbell : นั่นคือที่ที่พวกเขาอยู่ การตกเข้าไปในอยู่ในท้องปลาวาฬ
Moyers : อะไรคือนัยสำคัญของปกรณัมเกี่ยวกับท้องปลาวาฬ
Campbell : ท้องปลาวาฬเป็นสถานที่มืดมิด ที่ซึ่งการย่อยอาหารเกิดขึ้นและพลังงานใหม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา เรื่องราวของ Jonah ในท้องปลาวาฬเป็นตัวอย่างที่ดีเรื่องหนึ่งของแนวเรื่องที่ลึกลับ ซึ่งในความเป็นจริง นั่นเป็นสากล เกี่ยวกับตัวเอกที่ตกอยู่ในท้องปลาและผลสุดท้ายได้หลุดออกมาอีกครั้ง และได้เปลี่ยนแปลงไป
Moyers : ทำไมตัวเอกจึงต้องกระทำเช่นนั้น
Campbell : มันคือการตกเข้าไปในความมืด ในทางจิตวิทยาแล้ว ปลาวาฬเป็นตัวแทนของพลังอำนาจของชีวิตที่ถูกล็อคหรือกักอยู่ในจิตไร้สำนึก. ในเชิงอุปมาอุปมัย น้ำคือจิตไร้สำนึกต่างๆ และสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างที่อยู่ในน้ำก็คือ ชีวิตหรือพลังงานของจิตไร้สำนึก ซึ่งครอบคลุมหรือท่วมท้นบุคลิกภาพและจิตสำนึก และจะต้องถูกทำให้พลังอำนาจของมันน้อยลงมา เอาชนะมันและควบคุมมันให้อยู่
ในขั้นตอนแรกของการผจญภัยอันนี้ ตัวเอกจะละทิ้งจากอาณาจักรที่คุ้นเคย ซึ่งเขามีมาตรการบางอย่างเกี่ยวกับการควบคุม และได้มาสู่ธรณีประตูหรือจุดเริ่มต้น ขอให้เราใช้คำว่าขอบของทะเลสาบหรือมหาสมุทร ที่ซึ่งสัตว์ประหลาดตนหนึ่งจากปลักนรกหรือห้วงเหวอเวจีได้มาพบกับเขา มันจึงมีความเป็นไปได้ต่อมา 2 ประการ
ในเรื่องเล่าเกี่ยวกับแบบฉบับของ Jonah, พระเอกได้ถูกกลืนกิน และถูกนำไปสู่นรกอเวจี ซึ่งต่อมาภายหลังได้รับการฟื้นคืนชีพ - ความแปรปรวนอันหนึ่งเกี่ยวกับความตายและแนวเรื่องของการฟื้นคืนชีพ. บุคลิกภาพแห่งความสำนึก ในที่นี้ ได้มาเชื่อมต่อกับแรงกระตุ้นอันหนึ่งของพลังงานของจิตไร้สำนึก ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ และตอนนี้จะต้องทนทุกข์กับการทดสอบต่างๆ และการเผยตัวของการเดินทางท่องไปในท้องทะเลที่กว้างใหญ่ยามค่ำคืนอันแสนน่ากลัว ขณะเดียวกัน ก็ได้เรียนรู้เพื่อที่จะยอมรับพลังอำนาจอันนี้ของความมืดมิดด้วยความยากลำบาก และการปรากฏตัวขึ้นมาของวิถีชีวิตใหม่ในท้ายที่สุด
ความเป็นไปได้อีกประการหนึ่งก็คือ พระเอก ในการเผชิญหน้ากับพลังอำนาจของความมืด เขาอาจเอาชนะและฆ่ามันลง ดังที่ Siegfried และ St. George ได้กระทำ เมื่อพวกเขาได้ฆ่ามังกรที่โหดร้ายได้. แต่ขณะที่ Siegfried เรียนรู้ เขาจะต้องดื่มเลือดของมังกรตัวนั้น เพื่อที่จะนำเอาบางสิ่งบางอย่างของมังกรมาสู่ตัวเขา นั่นคือพลังอำนาจของมังกรนั่นเอง
เมื่อ Siegfried ได้ฆ่ามังกรร้ายตายลงและได้ดื่มกินเลือดของมังกร เขาก็ได้ยินเสียงเพลงแห่งธรรมชาติ เขาได้มีชัยอยู่เหนือความเป็นมนุษย์ของเขา และได้เชื่อมโยงตัวของเขาเองอีกครั้งกับพลังอำนาจของธรรมชาติ ซึ่งมันคือพลังอำนาจต่างๆเกี่ยวกับชีวิตของเรา และที่ซึ่งจิตวิญญาณนของเราโยกย้ายหรือถอนตัวออกมาจากมัน
คุณได้เห็นความสำนึกที่มันกำลังวิ่งพล่าน แต่มันเป็นองค์ประกอบส่วนที่สองของชีวิตมนุษย์ และมันไม่ต้องการให้ตัวของมันเองตกอยู่ในการควบคุม กล่าวคือ มันจะต้องยอมจำนนและรับใช้เรือนร่างของความเป็นมนุษย์. เมื่อมันตกอยู่ในการควบคุม คุณก็จะได้คนอย่าง Darth Vader ในภาพยนตร์เรื่อง Star Wars คนที่ข้ามไปสู่ด้านที่มีเจตนาอย่างมีสำนึก (Campbell 1988, pp.178-81)
ภาพยนตร์เรื่อง Star Wars และภาพยนตร์เรื่อง Mad Max ของ George Miller ได้รับการวางรากฐานโดยตรงและได้รับแรงบันดาลใจจากทฤษฎีต่างๆของ Campbell. ความสำเร็จจนเป็นที่นิยมของภาพยนตร์เหล่านี้บอกกับเราว่า พวกมันได้สะท้อนถ่ายถึงความเชื่อและความรู้สึกต่างๆของผู้ชมอย่างลึกซึ้ง
เดิมที Campbell ได้สร้างทฤษฎีต่างๆของเขาขึ้นมาบนการวิเคราะห์เกี่ยวกับปกรณัมโบราณและเรื่องเล่าต่างๆที่มีอยู่ก่อนหน้านั้น ปัจจุบันมันกลายเป็นการพลิกกลับหรือความตรงข้ามที่น่าสนใจอันหนึ่ง. Lucas และ Miller ล่วงรู้เกี่ยวกับผลงานของ Campbell และใช้ประโยชน์มันในการสร้างเรื่องเล่าต่างๆของพวกเขาขึ้นมา. บรรดานักเขียนบทภาพยนตร์ปัจจุบันนี้ เรียนรู้และใช้ทฤษฎีของ Campbell ในฐานะที่เป็นพื้นฐานอันหนึ่งสำหรับเขียนเรื่องเล่าต่างๆของพวกเขา (Vogler 1992)
Campbell ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์สำหรับฐานที่มั่นในแบบ Jungian ของเขา และหนทางที่ทฤษฎีต่างๆของเขา สามารถถูกนำไปอยู่ในแนวเดียวกันกับอุดมคติอันหนึ่งเกี่ยวกับลัทธิปัจเจกชนนิยม. แง่มุมต่างๆที่เป็นสากลเกี่ยวกับทฤษฎีทั้งหลายของ Campbell ถูกมองโดยคนบางคนที่ได้รับมุมมองมาจากทัศนียภาพแบบตะวันตกว่า ซึ่งมันล้มเหลวที่จะเห็นและยอมรับความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรม
การโฟกัสหรือเพ่งความสนใจลงไปที่ตัวเอกได้ไปสนับสนุนอุดมคติอันเป็นแบบฉบับของคนอเมริกันเกี่ยวกับพลังอำนาจของปัจเจก ยิ่งกว่าที่จะให้การยอมรับความสำคัญของสังคมในฐานะที่เป็นองค์รวม
ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับการวิจารณ์ต่างๆเหล่านี้ ผู้เขียนพบว่าผลงานของ Campbell มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและน่าประทับใจ; ไอเดียต่างๆ แน่นอน เชื่อมโยงกับความคิดทั้งหลายของผู้คนเป็นจำนวนมากทุกวันนี้ และที่น่าสนใจคือว่า เราสามารถพบเห็นการนำเสนอของพวกเขาได้ในงานโฆษณาต่างๆอย่างหลากหลายบนจอโทรทัศน์ ที่ให้การยกย่องคนธรรมดาในฐานะที่เป็น"วีรบุรุษ" หรือกระทั่งในสโลแกนหรือคำขวัญทั้งหลาย อย่างเช่น Nike's "just do it". เราสามารถพบเห็นสิ่งที่กระตุ้นหรือสนับสนุนเราให้ติดตามความปิติสุขของเรา
แบบไหนกัน เกี่ยวกับวิธีการวิเคราะห์สื่อที่คุณพบว่ามันทำให้เชื่อถือได้มากที่สุด อันนี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะฝึกฝนตัวของคุณเองที่จะค้นหาแบบแผนต่างๆในข้อมูลเนื้อหาสื่อ ไม่ว่าพวกมันจะอยู่ในรูปของแบบแผนต่างๆเชิงโครงสร้าง (อย่างเช่น การสังเคราะห์ในเชิงวิภาษวิธี[dialectic synthesis - การสังเคราะห์ความขัดแย้ง] และ การดำเนินเรื่องแบบวงกลม[cyclical narratives]) ระหัสและธรรมเนียมต่างๆทั่วๆไป, ลายเซ็นผู้กำกับหรือผู้สร้างภาพยนตร์, สัญลักษณ์ต่างๆที่ข้ามวัฒนธรรม และบทบาทหน้าที่ต่างๆของตัวละคร, และความกลัวที่เป็นสากล, ความปรารถนาต่างๆ, รวมไปถึงขั้นตอนพัฒนาการทั้งหลาย
ให้ดูฉากช่วงเริ่มต้นภาพยนตร์เรื่อง The Matrix เมื่อ Morpheus ได้ให้ Neo เลือกที่จะยอมรับความจริงว่าเขารู้มัน, หรือตั้งคำถามกับมันและถูกปลดปล่อยจาก matrix. ลองพิจารณาดูว่า ฉากนี้สัมพันธ์กับโครงสร้างเกี่ยวกับการเดินทางของตัวเอกในทฤษฎีของ Campbell อย่างไร
แบบฝึกฝนความคิดเห็น (Exercise
Commentary)
เมื่อ Neo เผชิญหน้ากับทางเลือกระหว่างยาเม็ดสีแดงและสีเขียว ระหว่างการตื่นขึ้นมากับความจริง
หรือจะยังคงอยู่ในโลกของความฝัน ซึ่งชะตากรรมของเขาได้ถูกกำหนดโดยเทคโนโลยี เขาเลือกที่จะละทิ้งจากดินแดนอันคุ้นเคย
เข้าไปสู่สถานที่อันมืดมิด ที่ซึ่งพลังงานใหม่ได้รับการสร้างสรรค์และปรากฎขึ้นมา(ท้องของปลาวาฬ)
และมันถูกทำให้แปรรูปไป
หลังจากที่ Neo เลือกยาเม็ดสีแดง เขาได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่สามารถได้รับการตีความในฐานะที่เป็นการเกิดใหม่(หรือการฟื้นคืนชีพ) ช่วงระหว่างที่เขาปรากฏตัวขึ้นมาจากเยื่อบุคล้ายๆกับถุงน้ำคร่ำ และได้ถูกแยกออกจากสิ่งซึ่งคล้ายๆสายสะดือที่เชื่อมต่อพลังชีวิตของเขากับ matrix. ถัดจากนั้นเขาได้เคลื่อนย้ายลงมาในท่อแคบๆและโผล่ออกมาจากพื้นที่ที่ปิดล้อม พื้นที่ซึ่งหล่อเลี้ยงไปด้วยน้ำสู่แสงสว่าง
คุณคิดว่าบรรดาผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง The Matrix มีความคุ้นเคยกับผลงานของ Campbell และอาศัยมันเป็นฐานความรู้ดังที่พวกเขาสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมาหรือไม่? หรือคุณคิดว่าความผันแปรเกี่ยวกับเรื่องเล่าของ Neo ได้ถูกเล่าขานซ้ำแล้วซ้ำเล่าในข้อมูลสื่อต่างๆที่ต่างกันออกไป เพราะพวกเขาเล่าถึงการตื่นขึ้นมาชนิดหนึ่ง ซึ่งเราทั้งหลายต่างต้องการที่จะเรียนรู้ เพื่อที่จะยอมรับมัน?
เพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อความ กรุณาอ่านต่อบทความลำดับที่ 387 คลิกไปอ่านได้จากที่นี่
สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I ประวัติ ม.เที่ยงคืน
e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
สำหรับสมาชิกที่ต้องการ download ข้อมูล อาจใช้วิธีการง่ายๆดังต่อไปนี้
1. ให้ทำ hyper text ข้อมูลทั้งหมด
2. copy ข้อมูลด้วยคำสั่ง Ctrl + C
3. เปิด word ขึ้นมา (microsoft-word หรือ word pad)
4. Paste โดยใช้คำสั่ง Ctrl + V
จะได้ข้อมูลมา ซึ่งย่อหน้าเหมือนกับต้นฉบับทุกประการ
(กรณีตัวหนังสือสีจาง ให้เปลี่ยนสีเป็นสีเข้มในโปรแกรม Microsoft-word)
Campbell ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์สำหรับฐานที่มั่นในแบบ Jungian ของเขา และหนทางที่ทฤษฎีต่างๆของเขา สามารถถูกนำไปอยู่ในแนวเดียวกันกับอุดมคติอันหนึ่งเกี่ยวกับลัทธิปัจเจกชนนิยม. แง่มุมต่างๆที่เป็นสากลเกี่ยวกับทฤษฎีของ Campbell ถูกมองโดยคนบางคนที่ได้รับมุมมองมาจากทัศนียภาพแบบตะวันตกว่า ซึ่งมันล้มเหลวที่จะเห็นและยอมรับความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรม
นักวิจารณ์ Roland Barthes ได้เพิ่มเติมอีกมิติหนึ่งเข้ามาในการคิดถึงผู้ชมและการขานรับหรือตอบโต้ของพวกเราต่อเรื่องที่แต่งขึ้น เมื่อเขาได้สนทนาถึงเรื่องความพึงพอใจเกี่ยวกับการอ่านเรื่องราวที่สร้างขึ้นมาต่างๆ. เขาได้ใช้คำในภาษาฝรั่งเศสว่า Jouissance (bliss - ความสุขที่สมบูรณ์ หรือความพึงพอใจระดับจิตวิญญาน) และจำแนกความต่างๆของคำนี้จากคำว่า Plaisir (pleasure - ความพึงพอใจ) ซึ่งเป็นอารมณ์ความรู้สึกในระดับธรรมดา
แน่นอน Lucas กำลังใช้ตัวละครต่างๆในปกรณัมมาตรฐาน
ภาพของชายชราคนหนึ่งในฐานะที่ปรึกษา ทำให้ผมนึกไปถึงปรมาจารย์ทางด้านการต่อสู้ด้วยดาบของชาวญี่ปุ่น
ผมรู้จักกับบุคคลเหล่านั้นบางคน และ Ben Kenobi มีบุคลิกภาพบางอย่างของพวกเขาเหล่านั้นอยู่บ้าง
Moyers :
ปรามาจารย์ทางด้านการใช้ดาบทำอะไรบ้าง?
Campbell :
เขาเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญทั้งหมดเกี่ยวกับการใช้ดาบ การบ่มเพาะของตะวันออกเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้(martial
art) ซึ่งไปพ้นจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยพบในจิมเนเซียมอเมริกันต่างๆ. คนเหล่านี้มีความเข้าใจในเทคนิคทางด้านจิตวิทยา
เช่นเดียวกับเทคนิคทางด้านร่างกายอันหนึ่งที่ไปด้วยกัน คุณสมบัติในเชิงบุคลิกอันนี้มีอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง
Star Wars
Moyers : อะไรคือนัยสำคัญของปกรณัมเกี่ยวกับท้องปลาวาฬ
Campbell
: มันคือการตกเข้าไปในความมืด
ในทางจิตวิทยาแล้ว ปลาวาฬเป็นตัวแทนของพลังอำนาจของชีวิตที่ถูกล็อคหรือกักอยู่ในจิตไร้สำนึก.
ในเชิงอุปมาอุปมัย น้ำคือจิตไร้สำนึกต่างๆ และสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างที่อยู่ในน้ำก็คือ
ชีวิตหรือพลังงานของจิตไร้สำนึก ซึ่งครอบคลุมหรือท่วมท้นบุคลิกภาพและจิตสำนึก
และจะต้องถูกทำให้พลังอำนาจของมันน้อยลงมา เอาชนะมันและควบคุมมันให้อยู่