ชั้นเรียนมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เดือนกุมภาพันธ์ 2544
กระบวนวิชา : โลกาภิวัตน์ และท้องถิ่นวัฒนา ๑๐๑
(Globalization & Localization 101)
ภายใต้ชื่อ "วิกฤตโลก วิกฤตไทย อะไรคือทางรอด"
การบรรยายและเสวนาครั้งที่หนึ่ง หัวข้อ

"โลกาภิวัตน์กับวัฒนธรรมไทย"
ผู้นำการบรรยายและเสวนา : อานันท์ กาญจนพันธุ์
(คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)

การบรรยายครั้งนี้ จัดขึ้นวันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธุ์ 2544 เวลา 14.30 น.-17.00 น.
ที่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน วิทยาเขตวัดอุโมงค์ จ.เชียงใหม่
หมายเหตุ : การถอดเทปนี้ อาจมีบางตอนไม่สมบูรณ์และต่อเนื่อง
เนื่องจากผู้เข้าร่วมไม่ต้องการบันทึกเทปหรือใช้ไมโครโฟน
และบางคนไม่ได้เอ่ยชื่อแนะนำตัวแบบเป็นทางการเวลาพูด ดังนั้น
จึงไม่สามารถบันทึกชื่อและนามสกุลได้อย่างสมบูรณ์.
อย่างไรก็ตาม ส่วนที่หมายเหตุนี้เป็นเพียงส่วนที่เล็กน้อยมาก
จนไม่ทำให้เนื้อความหลักต้องเสียสาระสำคัญไป
อานันท์ กาญจนพันธุ์ : นำการบรรยายและเสวนา

แนะนำชั้นเรียน"โลกาภิวัตน์ 101"
วารุณี ภูริสินสิทธิ์ : ชั้นเรียนในครั้งนี้ จริงๆแล้วเราเรียกชื่อว่า
"วิกฤตโลก วิกฤตไทย อะไรคือทางรอด".
ซึ่งในการบรรยายและเสวนาทั้งหมดในเดือนนี้
จะประกอบด้วยหัวข้อใหญ่ 4 หัวข้อด้วยกันคือ
โลกาภิวัตน์กับวัฒนธรรมไทย, เศรษฐกิจในยุคโลกาภิวัตน์,
ท้องถิ่นกับโลกาภิวัตน์, และภาคประชาชนกับโลกาภิวัตน์.
เริ่มต้นตั้งแต่เสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์นี้ และอีก 3 เสาร์ข้างหน้า.

โดยครั้งแรก จุดมุ่งหมายก็คือว่า ในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจใน 3-4 ปีที่ผ่านมา, มีคำถามในสังคมมากขึ้นว่า มันเกิดอะไรขึ้นในสังคมไทย และทำไมสังคมมันเปลี่ยนแปลงหรือวิกฤตได้เร็วขนาดนี้. อันนี้เริ่มมีคนตั้งคำถามและพยายามที่จะหาคำตอบ. เราจะเห็นศัพท์ใหม่ๆเข้ามาสู่วิถีชีวิตของเรามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคำว่า โลกาภิวัตน์, กระบวนการทำให้เป็นท้องถิ่น, หรือว่า การครอบงำทางเศรษฐกิจของต่างชาติ. หรือเกิดกลุ่มที่จะพยายามมสร้างความเป็นชาตินิยม รวมไปถึงตั้งกลุ่มที่จะขับไล่โซรอสในการมาเมืองไทยเร็วๆนี้ ....เหล่านี้เป็นต้น.

สิ่งเหล่านี้มันเป็นคำถามหรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งทางมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ที่เราจะมาเรียนรู้ถึงสิ่งเหล่านี้. เพราะฉะนั้น เราจึงได้กำหนดชั้นเรียนนี้ให้ประกอบด้วย ช่วงแรกเราจะพูดถึงว่า อะไรคือโลกาภิวัตน์, และโลกาภิวัตน์ที่สัมพันธ์กับสังคมไทย ซึ่งวันนี้ก็จะเป็นมิติของวัฒนธรรม, ในเสาร์หน้าก็จะเป็นเรื่องของโลกาภิวัตน์ ซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจของบ้านเรา อันนี้ อ.ผาสุก พงษ์ไพจิตร ท่านรับจะมาเป็นผู้นำเสนอในเสาร์หน้า, และในวันเสาร์ที่สามของเดือนจะมีการคุยกันเรื่อง กระบวนการความเป็นท้องถิ่น…การที่เราพูดถึงการเป็นท้องถิ่นนี่ มันคือชาตินิยมหรือเปล่า หรือว่ามันคืออะไร ? ซึ่งในเสาร์ที่สามนี้ อ.เสน่ห์ จามริก ท่านเป็นผู้ที่เสนอแนวคิดในลักษณะนี้เป็นคนแรกๆของเมืองไทย ท่านจะมาช่วยนำเสนอในเรื่องนี้. ในสัปดาห์สุดท้ายจะเป็น, สังคมไทยจะทำอย่างไร เราต้องการอะไรเพื่อสังคมไทย ? ซึ่งในช่วง 2-3 ปีนี้ก็มีการเสนอทางออกในหลายๆทางออก และทางออกซึ่งมีการนำเสนอรวมทั้งได้รับการพูดถึงก็คือ ฉันทามติกรุงรัตนโกสินทร์.
ซึ่งผู้เสนอก็คือ อ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์
และอาจารย์จะมานำเสนอด้วยตัวเอง.

คิดว่าเป็นโอกาสที่ดีมากซึ่งเราจะได้มีโอกาสฟัง และร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่ว่า ข้อเสนอของท่านเหล่านั้นเป็นอย่างไร น่าสนใจไหม ถูกหรือไม่ถูก แล้วเราจะเลือกใช้หรือไม่เลือกใช้. ดิฉันขอเสนอภาพรวมแต่เพียงสั้นๆเอาไว้เพียงแค่นี้ และต่อไปอยากจะเรียนเชิญ อ.อานันท์ กาญจนพันธุ์ ซึ่งท่านก็ยุ่งมาก แต่ได้กรุณาสละเวลามาพูดคุยกันกับพวกเรา ก็ขอเรียนเชิญ อ.อานันท์นำเสนอได้เลยค่ะ สักประมาณ 30 นาที หลังจากนั้นก็จะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันต่อไป

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
ส่วนกลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ
สำหรับปัญหาภาพและตัวอักษรซ้อนกัน ให้ลดขนาด font ลงมาจะแก้ปัญหาได้
webboard
content
member
บทความถอดเทป ความยาวประมาณ 25 หน้า
การบรรยายครั้งที่ ๑
๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔
ผู้สนใจบทความแจกก่อนการบรรยาย โปรดคลิกไปอ่านได้จากที่นี่
click here
บทความนี้ยาวประมาณ 34 หน้ากระดาษ A4

อานันท์ กาญจนพันธุ์ : ขอบคุณครับ ที่เชิญผมมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันทุกๆคนในที่นี้ ในประเด็นที่เกี่ยวกับโลกาภิวัตน์. สำหรับเอกสารที่ได้ถ่ายเอกสารออกมา(หมายถึงเรื่อง "พลวัตของความรู้ชาวบ้านในกระแสโลกาภิวัตน์" [มีเผยแพร่อยู่ใน website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน www.geocities.com/midnightuniv สนใจรายละเอียดโปรดคลิกไปดูหน้า contents] ก็ไม่ได้เขียนเพื่อเรื่องที่จะพูดวันนี้โดยตรง อันที่จริง มันเป็นบทสุดท้ายของหนังสือซึ่งผมทำมานานแล้ว แต่ยังไม่เสร็จสักที… ผมได้ศึกษาเกี่ยวกับพิธีกรรมและความเชื่อในภาคเหนือ แล้วระหว่างที่ศึกษานั้น ก็เขียนเป็นบทความเรื่อยมา ซึ่งตอนนี้ก็จะรวมขึ้นเป็นเล่ม แล้วเอกสารนี้ก็จะเป็นบทสรุป. ที่เขียนขึ้นมาในครั้งนี้ ก็เขียนขึ้นเพื่อจะไปเสนอที่ญี่ปุ่น เขียนขึ้นมาเป็นภาษาอังกฤษ เพิ่งแปลเสร็จเป็นภาษาไทย ก็เลยคิดว่าลองเอามาให้อ่านกันเล่น ประกอบกับที่ผมจะพูด ซึ่งคงไม่เหมือนกัน เพราะผมจะพูดอีกอย่างหนึ่ง… แต่ก็มีสาระบางอันที่อาจจะไปอ่านเอาเองในนั้นได้

เรื่องที่จะคุยกันในวันนี้จะเป็นเรื่องของโลกาภิวัตน์ในแง่วัฒนธรรม ก่อนอื่นผมอยากจะพูดว่า โลกาภิวัตน์ซึ่งเราพูดกันในปัจจุบัน ที่จริงแล้วก็คือ กระบวนการพัฒนาการที่ต่อเนื่องของระบบทุนนิยมนั่นเอง ไม่ใช่เป็นอะไรที่มันมาใหม่. คือระบบทุนนิยมนั้น มีพัฒนาการที่ก้าวออกมาในหลายระดับ ตั้งแต่เริ่มต้นเข้ามาหาประโยชน์กับทรัพยากรในประเทศอื่น โดยผ่านกลไกของอาณานิคม เช่นมาเชียงใหม่ก็มาเอาไม้สักหรือะไรต่างๆออกไป. พูดง่ายๆก็คือ เป็นการมาถลุงทรัพยากรของประเทศอื่น

ขั้นต่อมาของทุนนิยมก็คือว่า พยายามที่จะมาเอาประโยชน์จากแรงงานของสังคมอื่น หมายความว่า ใช้กลไกตลาดเข้ามาหาประโยชน์จากแรงงาน ในรูปแบบการใช้แรงงานในการทำการผลิต ผ่านการส่งสินค้าออก เช่น ปลูกพืชเพื่อส่งออก ทำอุตสาหกรรมพื่อส่งออก ฯลฯ ทั้งหมดนี้คือกระบวนการของการมาเอาประโยชน์จากแรงงาน… -หลังจากที่มาเอาประโยชน์จากทรัพยากรแล้ว ก็มาเอาประโยชน์จากแรงงาน แต่ไม่ได้หมายความว่าทิ้งทรัพยากร มันยังคงสืบเนื่องมาเรื่อยๆ-

ต่อจากการเอาประโยชน์จากแรงงานแล้ว ก็พยายามที่จะมาหาประโยชน์กับทุน, ทุนต่างๆที่มีในสังคมและด้านอื่นๆ. เพราะสังคมเมื่อพัฒนาขึ้นมา มันจะมีทุนบางอย่าง และทุนนิยมก็จะมาเอาประโยชน์กับสิ่งเหล่านี้

ตัวสุดท้ายของพัฒนาการทุนนิยมก็คือ การมาเอาประโยชน์จากวัฒนธรรม. โลกาภิวัตน์ในปัจจุบันนี้ มันจะมาสู่ระดับขั้นนี้ คือขั้นที่พยายามจะเปลี่ยนวัฒนธรรมให้เป็นสินค้า. เมื่อก่อนนี้เวลาซื้อขายกัน อาจจะมีการเอาประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนหรืออะไรต่างๆเหล่านี้ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่แล้ว มันมาหาประโยชน์โดยการเปลี่ยนให้วัฒนธรรมหรือเรื่องของคุณค่า จิตใจ ให้กลายเป็นสินค้าดังที่เราได้พบกันอยู่ตลอด.

เช่นเราไปซื้อของต่างๆ เราก็ไม่ได้ซื้อเฉพาะของอันนั้น. อันที่จริงแล้ว เราไม่แน่ใจว่าเราไปซื้ออะไร ระหว่างของที่เป็นของจริงๆ กับสิ่งที่มีคุณค่าที่ใส่เข้าไป… อย่างเช่น เราไปกินแฮมเบอร์เกอร์ อันนี้ไม่รู้ว่า เราไปกินตัวแฮมเบอร์เกอร์ หรือว่าเราไปกินรสนิยมแบบอเมริกัน.

เมื่อเราเปลี่ยนคุณค่าหรือความรู้สึก ให้กลายเป็นวัฒนธรรมให้กลายเป็นสินค้า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากลักษณะนี้ก็คือว่า มันทำให้เราคิดว่า สิ่งนั้นมันเป็นของจริง แทนที่ตัวสินค้าซึ่งเป็นของจริง กลับกลายเป็นตัวที่เป็นคุณค่าที่เปลี่ยนเป็นสินค้านั้นกลายเป็นของจริง… หมายความว่า เราคิดว่ามันเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นสิ่งที่มีแก่นสาร.

ดังนั้น ดังที่ อ.วารุณี เมื่อสักครู่ได้พูดถึงคือ พอมีข่าวถึงเรื่องว่านายโซรอสจะมาเมืองไทย เราก็มีความรู้สึกต่อต้าน โดยอาศัยความรู้สึกเรื่องชาตินิยมอะไรต่างๆเข้ามา เพราะชาตินิยมหรือความเป็นไทยอะไรต่างๆเหล่านี้ มันถูกระบบทุนนิยม, ซึ่งนอกจากจะเปลี่ยนวัฒนธรรมเป็นสินค้าแล้ว มันยังทำให้ดูเสมือนหนึ่งเป็นความคิดที่เป็นจริงขึ้นมา ไม่ใช่เป็นเรื่องแค่จิตใจ ความรู้สึก, แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นของจริง สามารถจับต้องได้

สภาพการณ์อย่างนี้ ความจริงไม่ใช่สิ่งที่ใหม่. อันนี้สำหรับผมมันอยู่คาบเกี่ยวว่า จะใช้คำอธิบายในแบบนี้โดยความคิดแบบมาร์กซิสท์ หรือความคิดแบบโพสท์โมเดิร์น. คืออธิบายด้วยวิธีไหนได้ทั้งนั้น. ถ้าจะอธิบายแบบมาร์กซิสท์ สถานการณ์ที่มันกำลังเปลี่ยนไปนี้ มันทำให้…ในภาษามาร์กซิสท์เรียกว่า fetishism คือทำให้วัฒนธรรม ทำให้สิ่งที่เป็นคุณค่าเหล่านี้ ให้มามีอำนาจเหนือตัวคน ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เงินตราเป็นสิ่งที่เราผลิตขึ้นมา เป็นสื่อในการแลกเปลี่ยน เป็นเรื่องของมูลค่าอะไรต่างๆ. แต่ปรากฎว่า ในกระบวนการทางวัฒนธรรม เรากลับเปลี่ยนให้ไอ้ตัวเงินตรา ให้มันมามีอำนาจเหนือตัวคนซึ่งเป็นผู้ผลิตเงินตรานั่นเอง. ดังนั้น เงินตราในเวลานี้ มันไม่เพียงแค่เป็นเครื่องมือของมนุษย์เพื่อนำมาใช้ในการแลกเปลี่ยน แต่มันกลายมาเป็นเจ้าเหนือตัวมนุษย์. คือเราไม่ได้มองเงินตราเป็นสื่อ แต่เรามองว่ามันเป็นพระเจ้า

กระบวนการอย่างนี้ มันเกิดขึ้นกับวัฒนธรรมอย่างอื่นๆทั่วไปหมดเลย ก็คือเปลี่ยนให้ตัวนั้นมาเป็นเจ้าเหนือตัวคนซึ่งเป็นเจ้าของมันอีกทีหนึ่ง. ไม่ว่าเราจะพูดว่าไอ้ตัวนั้นคือความเป็นไทย เราคิดว่าเป็นของเรา เราพัฒนาขึ้นมา แต่ปรากฏว่าความเป็นไทยมันมาอยู่เหนือตัวคน มันมาตรอบงำเหนือตัวคน. กระบวนการที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ มันผ่านเข้ามาอยู่ในกระแสและเคลื่อนไหวของระบบทุนนิยม. พูดง่ายๆก็คือ ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่, ที่เราเรียกว่าโลกาภิวัตน์, คือกระบวนการเข้าสู่ระบบทุนนิยมที่มันสามารถจะเปลี่ยนทุกอย่างให้กลายเป็นสินค้า, ให้กลายมาเป็นสิ่งที่ครอบงำตัวคนได้หมด.

แต่ถ้าเรามองโลกาภิวัตน์ในลักษณะนี้เพียงอย่างเดียว มันก็อาจจะเป็นปัญหาเหมือนกัน. คนส่วนใหญ่มักจะมองอย่างนี้ คือมองกระแสโลกาภิวัตน์จากด้านเดียว ซึ่งก็เป็นวิธีคิดของคนส่วนใหญ่. การมองลักษณะนี้ มันจะทำให้เรารู้สึกว่าไม่มีทางออก หรือจนตรอก ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้.

ดังนั้นสิ่งที่ผมศึกษา และดูทางด้านวัฒนธรรม ผมพยายามจะมองดูว่า โลกาภิวัตน์มันมีแง่มุมที่มองดูได้ยังไงบ้าง ไม่ใช่ด้านที่มันจะมาครอบงำต่างๆอย่างเดียว ภายใต้กระแสของระบบทุนนิยม. ซึ่งที่ทุนนิยมมันสามารถทำได้ถึงเพียงนี้ก็เพราะว่า มันทำผ่านการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีของการสื่อสาร. คือเมื่อก่อนนี้มันไม่สามารถทำได้กว้างไกลขนาดนี้ เพราะการสื่อสารไม่ได้รวดเร็ว ไม่ได้กว้างขวางเหมือนอย่างปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นโฆษณา เทคโนโลยีดิจิตอล หรือ e-mail. เทคโนโลยีเหล่านี้มันเป็นเครื่องมือที่สำคัญของระบบทุนนิยม มันทำให้โลกาภิวัตน์มันมีอำนาจอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว

แต่ที่นี้ถ้าเผื่อเรามองทำนองนี้อย่างเดียว มันก็จะก่อให้เกิดปัญหาในแง่ว่า เอ๊ะ! มันยังไงกันวะ มันจะหลุดพ้นได้อย่างไร มันจะเกิดปัญหาขึ้นมา. ดังนั้น สิ่งผมอยากจะตั้งเป็นข้อสังเกตุขึ้นมาก็คือว่า โลกาภิวัตน์นั้นมันมีสองด้าน ไม่ใช่ด้านที่มากระทำกับผู้คนทั้งหลายในแง่ที่พูดไปแล้วอย่างเดียว. แต่มันมีด้านกลับอีกด้านหนึ่ง คือมันมีลักษณะ contradiction หรือลักษณะที่ขัดแย้งในตัวของมันเองด้วย. เพราะว่าอะไร ? เพราะโลกาภิวัตน์ ถ้าเผื่อจะพูดอย่างฟันธงลงไปในระยะเวลาอันสั้น ที่มันมาทำอย่างนั้นก็คือว่า มันจะมากดหรือมาลดทอนความเป็นมนุษย์ลงไปเรื่อยๆ. การที่เราจะไปยึดถือความเป็นไทยให้เป็นพระเจ้านั้น มันก็จะทำให้มนุษย์เรารู้สึกสูญเสียความเป็นมนุษย์ลงไป. เพราะว่าอะไร ? เพราะว่าความเป็นไทยนั้นมันก็จะถูกนำไปใช้ในการกีดกันคนต่างๆ.

อย่างเช่นว่า เวลานี้เราไปบอกว่า "ชาวเขาไม่ใช่คนไทย" ดังนั้นจึงจะไม่ได้สิทธิ์อะไรบางอย่าง. คือการที่ โลกาภิวัตน์ มันสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เป็นสินค้า แล้วมาเป็นเจ้าเข้าครองเหนือคนเรา เราก็จะยึดถือสิ่งนั้นไปกีดกันคนอื่น ดังนั้น เราก็จะไม่สนใจว่าชาวเขาก็เป็นมนุษย์ แต่เราบอกว่าเขาไม่ใช่ไทย. ซึ่งเราก็จะเห็นว่ามันเป็นกระแสที่เริ่มพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆในปัจจุบันนี้

จากการที่กระแสโลกาภิวัตน์มันมาเปลี่ยนไอ้ตัวนี้ในรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการผ่านการท่องเที่ยว เราจะขายสินค้าที่ความเป็นไทยต่างๆ เมื่อเราถูกสร้างจากกระวนการเหล่านี้มากเข้าๆ เราก็จะยึดถือสิ่งนี้ว่ามันเป็นสรณะหรือเป็นจริง แล้วเอาตัวนี้ไปใช้เป็นเกณฑ์วัดคนอื่นไปหมดเลย. ซึ่งมันก็ก่อให้เกิดปัญหา เพราะว่า ตกลงเรามองคนอื่นนี่ เรามองไม่เห็นความเป็นมนุษย์ของเขา เพราะว่าเราเอาตัวนี้ไปเป็นตัววัด และเราไปเชื่อว่ามันเป็นจริง

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็เป็นด้านหนึ่งของผลที่ตามมาของกระแสโลกาภิวัตน์ในด้านลึกของมัน. อีกด้านหนึ่งก็คือว่า เมื่อก่อนเราบอกว่ากระแสทุนนิยม มันทำให้คนมีความรู้สึกเป็นปัจเจกนิยมมากขึ้น. ความเป็นปัจเจกนิยมนี่มันไม่ได้เป็นขั้นตอนของกระแสโลกาภิวัตน์, แต่มันเป็นขั้นตอนก่อนหน้านั้น. คือขั้นตอนของความเป็นปัจเจกนิยม และกระแสบริโภคนิยม มันเป็นช่วงก่อนหน้านี้. แต่พอมาถึงขั้นตอนทุนนิยมที่ผมพูดถึงก่อนหน้านี้ มันยิ่งกว่าเป็นปัจเจกบุคคลอีก คือหมายความว่า ความเป็นปัจเจกบุคคลก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับ การที่เราไปยึดถือคุณค่าที่ถูกทำให้กลายเป็นสินค้า โดยทำให้มันมามีอำนาจเหนือตัวเรา จนกระทั่งตัวความเป็นคนมันไม่เหลือหรอ.

ดังนั้น กระแสโลกาภิวัตน์ มันไม่ใช่แค่เพียงเปลี่ยนคนให้กลายเป็นปัจเจกบุคคล แต่มันเปลี่ยนปัจเจกบุคคลให้ไปยึดเฉพาะสิ่งที่เป็นผลผลิตของมนุษย์เราเอง อย่างที่บอกแล้ว, เช่น ถ้าเผื่อเราไปยึดเงินตราเป็นพระเจ้า เราก็จะไม่กังวลอะไร ต่อให้เกิดปัญหาแม้แต่พ่อแม่ บางทีไม่ให้เงินลูก ลูกก็อาจจะทำร้ายพ่อแม่ได้. เพราะเราไม่เชื่อมั่นในความสำคัญของมนุษย์ เราคิดว่าอันนั้นมันเป็นความจริง มันเป็นสิ่งที่เป็นแก่นสารสำคัญของชีวิตมากเหนือกว่าความเป็นมนุษย์.

ซึ่งตรงนี้ มันเป็นผลซึ่งสืบเนื่องมาในขั้นตอนที่กำลังพัฒนามาอยู่ปัจจุบัน ดังนั้น เราก็ใช้สิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นความเป็นไทย หรืออะไรที่เรานิยามขึ้นมาใหม่ เราจะใช้สิ่งเหล่านี้มาเป็นตัวกีดกันและลดทอนความเป็นมนุษย์ของคนอื่น อะไรต่างๆ. ดังนั้น สภาพการณ์เหล่านี้ก็คือส่วนที่เรากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้

ทีนี้ผมบอกแล้วว่า ถ้าเผื่อเรามองดูว่า กระแสโลกาภิวัตน์มันเป็นเฉพาะด้านนี้อย่างเดียว มันก็คงจะเป็นปัญหา หมายความว่า ด้านที่มันลดทอนความเป็นมนุษย์ ด้านที่มันมาทำอะไรต่างๆเหล่านี้. ผมก็เลยอยากจะเสนอว่า ภายใต้กระแสดังกล่าว มันมีกระแสที่มันขัดแย้งอยู่ในตัวของมันเองบางส่วน. คือในขณะที่มีการนิยามความเป็นไทย ในกระแสโลกาภิวัตน์ก็มีการนิยามเรื่องสิทธิด้วย. นิยามเรื่องสิทธิให้เป็นเหมือนมาตรฐานให้ไปวัดคนอื่นหมดเลย เหมือนย่างที่อเมริกาใช้ความคิดเรื่องสิทธิมนุษยชน, ซึ่งเวลานี้เราก็รับเอามา, อันนี้ได้นำไปวัดประเทศต่างๆหมดเลยว่า ประเทศไหนมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน อันนี้มันก็มากับกระแสด้วย.

มีคนที่กำลังคิดว่าเรื่องสิทธิมนุษยชนซึ่งมันมากับกระแสโลกาภิวัตน์ ก็เป็นเรื่องที่ ด้านหนึ่งมันก็ถูกนำไปใช้ในการกีดกันคนอื่น เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาอาจเอาเรื่องสิทธิมนุษยชนไปกีดกันประเทศจีน อ้างที่ไม่รับซื้อสินค้าก็เพราะว่า จีนมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน.

แต่ว่า ถ้าเผื่อเรามองกระแสโลกาภิวัตน์ว่ามันเป็นกระแสที่เกิดขึ้นได้เอง โดยที่ไม่มีใครจัดการ หรือไม่มีคนเข้ามาเกี่ยวข้องเลยนี่ มันก็เป็นไปไม่ได้. เพราะว่าจริงๆแล้วนี่ แม้ว่ากระแสโลกาภิวัตน์มันจะมากับระบบทุนนิยม แต่เมื่อมันมาปรากฎในสังคมใดสังคมหนึ่ง มันไม่ใช่หมายความว่าจะมีผลอย่างนั้นอย่างเดียวนะครับ ผู้คนที่อยู่ในแต่ละสังคม ก็มีปฏิกริยาโต้ตอบกับกระแสเหล่านั้นด้วย.

ดังนั้น ส่วนที่ไปตอบโต้กับกระแสโลกาภิวัตน์ หรือส่วนที่ไปปะทะกับกระแสโลกาภิวัตน์เหล่านี้ มันก็ทำให้เกิดมีการปรับเปลี่ยนโลกาภิวัตน์เหล่านั้นไปคนละทิศคนละทาง. คือบางพวกก็ไปขานรับกับกระแสโลกาภิวัตน์โดยการตกไปอยู่ภายใต้กระแสนั้นเลย เป็นพวกบริโภคนิยม หรือเป็นผู้ที่เดินตามกระแสนั้น. แต่ที่นี้ในอีกหลายส่วนมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น

เพราะว่า...อย่างที่ผมบอกแล้วว่า ในขณะที่กระแสโลกาภิวัตน์มันทำให้คนลดทอนความเป็นมนุษย์ลงไป, แต่มนุษย์โดยทั่วๆไปแล้ว มันจะไม่ยอมสูญเสียความเป็นมนุษย์ไป. อันนี้เป็นข้อเท็จจริงเลยที่ว่า เมื่อไหร่ก็ตาม ที่คนถูกลดทอนความเป็นคนลงไปมาก มันจะมีลักษณะคล้ายๆกับปฏิกริยาตอบโต้. แต่มิได้หมายความว่าจะทำได้โดยอัตโนมัติ. การที่มนุษย์สามารถตอบโต้กับกระแสเหล่านี้ได้ มันทำโดยผ่าน...ถ้าภาษาที่ผมใช้ก็คือ "ความรู้ชาวบ้าน" หรือ popular knowledge.

ซึ่งเวลานี้เราเรียนหนังสือ เราเรียนความรู้แบบที่เป็นทางการ หรือวิทยาศาสตร์อะไรต่างๆ มันจะต่างจาก"ความรู้ชาวบ้าน". เพราะความรู้ที่เป็นทางการ หรือความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์นี่ เป็นความรู้ที่ถูกควบคุม อยู่ภายใต้สถาบัน. และจะมีกลุ่มคนที่เป็นผู้นิยาม เช่น นักวิชาการ. ดังนั้น ความรู้ที่เป็นทางการ ความู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ หรือความรู้ที่อยู่ในสถาบันต่างๆ มันไม่ได้เป็นความรู้ที่จะปลดปล่อยให้ผู้คนสามารถที่จะทำอะไรได้ตามใจชอบ. แต่ว่าตรงกันข้าม มันกลับกลายเป็นความรู้ที่พยายามจะเข้ามาควบคุมคน แต่ ความรู้ชาวบ้านจะเป็นคนละอย่างเลย

"ความรู้ชาวบ้าน"ที่ผมพูดนี้หมายถึงอะไร ? ก็หมายถึง สิ่งต่างๆที่เราอาจจะคุ้นเคย อย่างเช่น แม้แต่การเข้าทรง อาจจะเป็นเรื่องของการเคารพนับถือสิ่งต่างๆตามความเชื่อ, ไม่ว่าจะเป็นการไปไหว้ต้นไม้ คือ "ความรู้พื้นบ้าน" ก็คือ "ความรู้ที่ไม่มีใครควบคุม มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์... " คล้ายๆกับมันจะฝังลึกอยู่ในวัฒนธรรมต่างๆ ซึ่งก็จะมีรูปแบบที่ไม่เหมือนกัน แตกต่างกันออกไป.

อย่างที่ อ.นิธิ เขียนเรื่องเสด็จพ่อ ร.๕ อันนี้ก็เป็นเรื่องของ...ในแง่ผมเป็นเรื่องของ"ความรู้พื้นบ้าน" เป็นความรู้ชาวบ้านเหมือนกัน คือว่า เป็นสิ่งที่พูดง่ายๆคือ "ความรู้พื้นบ้าน"นี่ แท้จริงแล้วมันคือ"พื้นที่ทางวัฒนธรรม" ที่มันเปิดให้ผู้คนสามารถแสดงตัวตนของตัวเองออกมาได้. ดังนั้น ในสภาวการณ์ที่โลกาภิวัตน์กกำลังพยายามจะทำลายความเป็นมนุษย์นี่ มนุษย์จะแสดงความเป็นมนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อมันมีพื้นที่เหล่านี้ ซึ่งจะทำให้ตัวเองรู้ว่า "เขาเป็นใคร ?"

เมื่อสักครู่ที่ อ.วารุณี บอกว่า ที่เราพูดถึงความเป็นชุมชน หรือว่าท้องถิ่นอะไรต่างๆเหล่านี้ ที่จริงแล้ว ความเป็นชุมชนก็ดี ความเป็นท้องถิ่นก็ดี คำต่างเหล่านี้มันล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะหนึ่ง ของการแสดงความเป็นตัวตน. หมายความว่า, หลายคนก็ไม่เข้าใจว่า สิ่งเรียกว่า"สิทธิชุมชน"หรือ"ความเป็นชุมชน" แท้จริงแล้วมันไม่ใช่เป็นเรื่องของว่าคนอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันถึงจะแสดงสิ่งเหล่านี้ได้ แต่"ความเป็นชุมชน"คือการแสดงออกของความเป็นมนุษย์ในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป. คือ มนุษย์จะแสดงความเป็นมนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อเรารู้ว่า เรามีความคล้ายคลึงกับคนอื่นอย่างไร ? อันนี้เป็นประการที่หนึ่ง.

ประการที่สองก็คือว่า ความรู้สึกที่ตระหนักว่ามีคุณค่าอะไรบางอย่างที่เราเห็นร่วมกัน ที่เราจะแสดงออกมาได้ เช่นว่า เราจะแสดงออกซึ่งความเป็นชุมชนในลักษณะที่เราคิดว่า...แสดงออกผ่านในเรื่องของความเป็นเพศ อย่างเช่น ความเป็นผู้หญิง. คือขณะที่เมื่อก่อนนี้ ความเป็นผู้หญิงบางคนอาจจะมองไม่เห็น, คือมันมีอยู่แต่ว่าคนมองไม่เห็น, เพราะเนื่องจากว่ามันไม่มีความสำคัญอะไร เพราะเหตุว่ามันอยู่ภายใต้ระบบที่ผู้ชายเป็นใหญ่ครอบงำอยู่. แต่เมื่อความคิดแบบที่ผู้ชายเป็นใหญ่ได้นำมาครอบ จนกระทั่งทำให้คนทั่วๆไปรู้สึกเหมือนกับว่า ตัวเองได้ถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ลง ก็อาจจะเอาเรื่องของความเป็นผู้หญิงขึ้นมาเป็นตัวที่จะมารวมตัวกัน เพื่อที่จะไปโต้ตอบกับวัฒนธรรมที่มันมาครอบงำ. ในลักษณะอย่างนี้ มันก็จะก่อให้เกิดการรวมตัวกันขึ้น

การรวมตัวกันนี้อาจเป็นได้หลายรูปแบบ อย่างที่คนยกตัวอย่างกันมาก เกี่ยวกับการรวมตัวของพวกรถติดในกรุงเทพฯ ก็ใช้ผ่านพื้นที่ของ จส.100 เพื่อจะคุยปัญหากัน, อันนี้ก็เหมือนกัน. หมายความว่า มันแสดงถึงว่าคนเห็นปัญหาคล้ายๆกัน แล้วรู้สึกว่ามีความคิดอะไรบางอย่างร่วมกัน ก็มาสื่อสารกัน. รวมถึงการไปเคารพเสด็จพ่อ ร.๕, หรือเจ้าแม่กวนอิม, อะไรต่างๆเหล่านี้นะครับ.

ทั้งหมดเหล่านี้ก็คือความพยายามจะแสวงหาความเป็นตัวตนของตัวเอง ในลักษณะที่มีอะไรบางอย่างร่วมกันภายใต้แรงกดดันของกระแสโลกาภิวัตน์ที่จะมาเปลี่ยน ทำให้คนมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง มองไม่เห็นคุณค่าของความเป็นคน ไปยอมรับในคติอะไรบางอย่างซึ่งถูกทำให้เป็นสินค้า ถูกทำให้เป็นจริงมากขึ้น

อันนี้ผมคิดว่าเป็นกระบวนการทางวัฒนธรรมซึ่งมันอาจจะฟังดูยาก… แต่ว่า ยกตัวอย่างเช่น เรื่อง"เงินตรา"มันเห็นได้ชัดที่สุด ซึ่งเรื่องเงินตรามันจะนำไปใช้ในทุกเรื่อง หรือ"ความเป็นไทย" หรืออะไรต่างๆเหล่านี้. ทั้งหมดนี้มันจะอยู่ในแนวทางอย่างเดียวกัน นั่นก็คือ มันจะเปลี่ยนคติความเชื่อของผู้คน ที่เคยมีมาก่อนแต่ไหนแต่ไรให้กลายมาเป็นพระเจ้า. หรือถ้าเผื่อพูดตามภาษามาร์กซิสท์ ซึ่งมีอีกคำหนึ่งคือ rectification, แต่ว่ามันไม่ใช่เป็นตัวมาร์กซิสท์…เป็น George Lucas เป็นนักคิดชาวฮังกาเรี่ยน คือเขาเป็นคนคิดคำนี้ขึ้นมา คือ"การปั้นน้ำเป็นตัว". ทำให้สิ่งที่เป็นความคิดมันแข็งตัว หรือทำให้มันเป็นตัวที่เรายึดถือเป็นหลักของชีวิต เช่น ไปยึดเอาความเป็นไทยมาเป็นสรณะ มาเป็นตัวยึดเหนี่ยว หรือยึดเอาเงินตรามาเป็นตัวยึดเหนี่ยว.

ทั้งหมดนี้มันเป็นผลมาจากกระบวนการขยายตัวของระบบทุนนิยมในขั้นสุดท้าย เพราะว่า ที่มันทำอย่างนี้ได้ก็เพราะ มันสามารถที่จะเปลี่ยนไอ้สิ่งที่มันเป็น... ที่เราเรียกว่า"คติ"ให้มันกลายมาเป็นพระเจ้า, สามารถเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นสินค้าได้ เพราะคนจะนิยมชมชอบหรือสามาถที่จะขายสิ่งเหล่านี้ได้มากขึ้น โดยผ่านขบวนการระบบสารสนเทศที่ขยายตัว หรือเทคโนโลยีของการสื่อสารสมัยใหม่ ซึ่งได้มาช่วยขยายสิ่งเหล่านี้ให้เป็นที่รับทราบ หรือดื่มด่ำกับสิ่งเหล่านี้มาก. ดังนั้น อันนี้จึงเป็นสิ่งที่ผมอยากจะหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นหลักของสิ่งที่ผมจะพูดถึง.

ภายใต้กระแสเหล่านี้ ผู้คนต่างๆพยายามจะตอบโต้ และการตอบโต้ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือว่า อย่างเช่นในเรื่องของสิทธิ, เท่าที่พูดไปแล้ว. ในขณะที่สิทธิอาจจะกลายเป็นเกณฑ์ที่จะไปวัดคนอื่น ขณะเดียวกัน ประชาชนหรือกลุ่มคนที่อาจจะถูกกระทำจากกระแสโลกาภิวัตน์นี่ อาจจะใช้เรื่องสิทธิอันเดียวกันนี้มาเป็นเครื่องมือของการต่อรอง. พูดให้ง่ายก็คือ ตัวที่เป็นความคิดหรือคติที่ถูกโลกาภิวัตน์สร้างขึ้นมา โลกาภิวัตน์ไม่สามารถที่จะให้คำอธิบายหรือผูกขาดคำอธิบายนี้ได้ทั้งหมด เพราะว่าผู้คนที่อาจจะรับทราบสิ่งเหล่านั้นไม่เท่าเทียมกัน อาจจะพยายามช่วงชิงการตีความ หรือการให้ความหมายใหม่.

พูดให้ง่ายก็คือว่า ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ ถึงแม้ดูเหมือนกับว่า สื่อมวลชนจะมีบทบาทอย่างสำคัญต่อการครอบงำทางความคิด. แต่ว่าภายใต้ปัญหาต่างๆซึ่งเกิดขึ้น ผู้คนที่อยู่ในท้องถิ่น ผู้คนที่อยู่ในชีวิตประจำวันตามที่ต่างๆนี่ ก็ต้องดิ้นรนต่อสู้. ภายใต้การดิ้นรนต่อสู้นี้ เขาจะพยายามนิยามความหมายสิ่งเดียวกันนั้น ไม่ว่า"ความเป็นไทย"ก็ดี เรื่องของ"สิทธิ"ก็ดี เรื่องของ"เงินตรา"ก็ดี นิยามความหมายอย่างอื่น ซึ่งก็จะนำเอาการนิยามความหมายเหล่านี้มาเป็นการตอบโต้ โดยผ่านประเพณี หรือจารีตที่มีอยู่เดิม ซึ่งผมถือว่าเป็นความรู้ชาวบ้าน.

เช่น เราโต้ตอบกระแสโลกาภิวัตน์ อาจจะเน้นให้เรามีความเป็นนักอนุรักษ์มากขึ้น. แต่อนุรักษ์ไปอนุรักษ์มา จะอนุรักษ์แต่เพื่ออนุรักษ์ แล้วก็ไม่แคร์ความเป็นคนอย่างนี้เป็นต้น… อันนี้เราจะเห็นได้ชัดเจนในเรื่องกระแสการอนุรักษ์ที่มันมากับโลกาภิวัตน์. ดังนั้น เวลานี้เราจะอนุรักษ์ เราไล่คนออกหรือทำลายคนที่อยู่ในเขตอนุรักษ์ อะไรต่างๆเหล่านี้. อันนี้ก็จะเป็นปัญหา.

ดังนั้น ภายใต้กระแสความคิดการอนุรักษ์ที่ลงมานี้ โดยที่ไม่สนใจความเป็นคน แล้วใช้การอนุรักษ์นี้ไปกีดกันคนเสียอีก แล้วก็ทำลายคนไปอีก อันนี้มันเป็นผลมาจากลักษณะอย่างเดียวกันนะครับ. ด้วยเหตุนี้ ภายใต้การนิยามของเรื่อง"การอนุรักษ์" แปลว่า "ต้องไม่มีคน มีแต่สัตว์ได้, มีคนไม่ได้". ผู้คนที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้ก็พยายามที่จะไปโต้ตอบ ด้วยการนิยามความหมายของการอนุรักษ์ใหม่ ซึ่งก็จะทำโดยผ่านกระบวนการความรู้พื้นบ้าน เช่น การที่เรามาพูดถึงการสืบชะตาแม่น้ำ สืบชะตาต้นไม้ การบวชป่า.

ทั้งหมดเหล่านี้มันเป็นความรู้ชนิดที่ ระบบโลกาภิวัตน์หรืออำนาจรัฐก็ไม่สามารถจะควบคุมได้. เพราะมันไม่ต้องผ่านการเข้ามาในโรงเรียนถึงจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้, ถ้าคุณจะบวชป่า คุณไม่ต้องเข้ามหาวิทยาลัยคุณก็สามารถทำได้. ดังนั้น ความรู้ต่างๆเหล่านี้จึงทำให้ผู้คนที่ถูกผลกระทบต่างๆ สามารถจะนำความรู้เหล่านั้นมาใช้ในการนิยามความหมายเพื่อจะต่อสู้กับความคิดเรื่องของการอนุรักษ์ในอีกแบบหนึ่ง.

ในลักษณะอย่างนี้ เราก็จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า แม้กระแสโลกาภิวัตน์ดูเหมือนกับว่ามันจะมาครอบงำทางความคิด แต่มันไม่เบ็ดเสร็จ. เพราะในด้านกลับ มันกลับกลายเป็นการเปิดพื้นที่ให้คนอื่นสามารถมาช่วงชิงการนิยามได้ เช่นว่า โลกาภิวัตน์เปิดพื้นที่ในเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม คนอื่นก็ทำเช่นกันโดยผ่านความรู้พื้นบ้านมานิยามเรื่องการอนุรักษ์ตัวเดียวกันนี้. กระบวนการโลกาภิวัตน์เปิดพื้นที่ในเรื่องสิทธิมนุษยชน มันก็สามารถทำให้ชาวบ้านนิยามเรื่องสิทธิ์ เอามาใช้ตอบโต้ได้.

เช่น ปัจจุบันเราจะเห็นว่าเรื่องสิทธิได้กลายมาเป็นประเด็นสำคัญ. หลายคนพูดว่าเรื่องสิทธินี้มันมีในสังคมไทยมาก่อนหรือเปล่า หรือว่าเรารับมาทั้งหมด. เราอาจจะพูดได้ว่าเรื่องสิทธินี้เรารับมาจากภายนอกแน่นอน แต่ไม่ได้หมายความว่าคนในสังคมไทย จะนิยามความหมายนี้ใหม่ขึ้นมาไม่ได้ เพื่อใช้ในการตอบโต้. ตรงนี้ล่ะที่เป็นประเด็นสำคัญ

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ "ความเป็นไทย", เรื่อง"สิทธิ", เรื่อง"อนุรักษ์", เรื่อง"สิ่งแวดล้อมนิยม" ฯลฯ. ทั้งหมดเหล่านี้มันมากับกระแสโลกาภิวัตน์ทั้งนั้นเลย. แต่เราก็จะเห็นแล้วว่า มันไม่ได้หยุดนิ่ง หรือว่าเป็นไปตามกระแสโลกาภิวัตน์นิยามแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่มันก็ทำให้เกิดการนำเอาคำเหล่านี้มากลายเป็นเวทีของการช่วงชิงความหมายในสังคม. ด้วยเหตุนี้ สภาพการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ก็คือ สภาพที่เรียกว่า กระแสโลกาภิวัตน์ ในด้านหนึ่งมันพยายามจะมาครอบงำ ส่วนในอีกด้านหนึ่งมันก็เปิดพื้นที่อย่างอื่นๆ ให้ผู้คนในสังคมสามารถนำเอามาใช้เพื่อแสดงตัวตนได้มากขึ้น

ตัวอย่างในต่างประเทศจะเห็นได้หลายอย่าง เช่นว่า พวกไอนุซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่า…เวลานี้คนที่ไปญี่ปุ่นถามถึงพวกไอนุ คนก็อาจจะไม่รู้จัก เพราะว่าชนกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มที่มีขนาดเล็กมาก แต่ปรากฎว่าภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ที่มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวขยายออกไป พยายามจะไปดูวัฒนธรรมของชาวไอนุ แล้วก็เปลี่ยนวัฒนธรรมของชาวไอนุให้มาเป็นสินค้า เพื่อเอาไปขายในการท่องเที่ยว.

ด้านหนึ่งเราอาจจะเห็นว่า โอ้โฮ! เปลี่ยนความเป็นไอนุให้เป็นสินค้า ในแง่ที่เรารักและปกป้องคนที่เสียเปรียบอะไรต่างๆ อาจจะรู้สึกว่า ตายละวา! กระแสโลกาภิวัตน์กำลังกระทำกับชาวไอนุ ไปย่ำยีเขา. แต่ชาวไอนุกลับเฉยๆ, ตรงกันข้าม กลับยิ่งไปคล้ายๆกับพัฒนาวัฒนธรรมของชาวไอนุเพื่อขายใหญ่เลย. บางคนคงจะคิดไปว่า ชาวไอนุกำลังเดินไปตามกระแสโลกาภิวัตน์ กำลังขายวัฒนธรรมของตัวเอง. แต่ว่า ถ้าเรามองแบบนั้นแสดงว่าเรากำลังมองเพียงแค่ด้านเดียว.

เราไม่ทราบว่า ชาวไอนุที่อยู่ในญี่ปุ่น ถูกคนญี่ปุ่นดูถูกจนเกือบจะเรียกได้ว่าถูกเหยียบติดดินอยู่แล้ว. ดังนั้นการที่วัฒนธรรมของชาวไอนุถูกเอามาขายในตลาดท่องเที่ยว เขากลับรู้สึกว่า ทำให้พวกเขามีช่องทางที่จะไปต่อกรกับคนญี่ปุ่น ในแง่ที่ว่า เขาก็มีตัวมีตนเหมือนกับคนอื่นเหมือนกัน ไม่ใช่ nobody, ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลย. ถ้าเผื่ออยู่ในสังคมญี่ปุ่นก็คือ ไม่มีอะไรเลย.

เช่นเดียวกันกับตัวอย่างของโอกินาวาในญี่ปุ่น, โอกินาวาเป็นเกาะอีกที่หนึ่งในญี่ปุ่น. ปกติชาวโอกินาวาคล้ายๆกับ จะถูกดูถูกว่าเป็นพวกที่อยู่ห่างไกล เป็นพวกบ้านนอกอะไรต่างๆเหล่านี้. แต่คนโอกินาวานี่นะครับ... มีคนไปศึกษาว่า ปรากฎชาวโอกินาวานี่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์เต็มไปหมด เขาก็เลยสงสัยว่าทำไมชาวโอกินาวาจึงนับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งศาสนาคริสต์ก็มาตามกระแสโลกาภิวัตน์. ก็พบว่าชาวโอกินาวานี่ เขาเปลี่ยนศาสนาไปก็เพราะว่า ถ้าเผื่อเขายังคงความเป็นโอกินาวาแบบเดิม แบบที่คนญี่ปุ่นนิยามนี่นะครับ เขาก็ nobody เหมือนกัน. ดังนั้นการที่เขาไปนับถือศาสนาคริสต์ซึ่งเป็นศาสนาสากลนี่ ก็สามารถทำให้เขาแสดงความมีตัวตนของเขาออกมาได้.

ดังนั้น พูดง่ายๆก็คือว่า ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ มันมีทั้งส่วนที่ไปลดทอนความเป็นมนุษย์ ขณะเดียวกัน ภายใต้ความรู้ชาวบ้านที่กลุ่มชนทั้งหลายแหล่มีอยู่ สามารถจะใช้ความรู้ชาวบ้านเหล่านี้ไปเปลี่ยนคติที่กระแสโลกาภิวัตน์พยายามนิยามให้เป็นวัตถุ เพื่อมาใช้เป็นเครื่องมือสำหรับที่จะไปต่อสู้มาปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจกับคนใสังคมของตัวเองก็ได้. ด้วยเหตุนี้ ชาวเขาหรือคนอื่นในบ้านเราก็อาจจะพูดถึงเรื่องสิทธิต่างๆเหล่านี้ ซึ่งมากับกระแสโลกาภิวัตน์ เพื่อเอาไปใช้ต่อสู้ในการปรับเปลี่ยนสถานภาพของตัวเองภายใต้สังคมไทยก็ได้.

จะเห็นว่า กระแสโลกาภิวัตน์ มันไม่ได้มีด้านเดียว แต่มันมีด้านหลายด้านซึ่งขัดแย้งในตัวของมันเอง แต่ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นสิ่งสำเร็จรูป หรือว่าเป็นอย่างนั้นที่เราแก้ไขอะไรไม่ได้. โลกาภิวัตน์ มันเป็นแต่เพียงเวทีการต่อสู้อีกอันหนึ่ง ซึ่งทุนนิยมก็เอามาใช้, ใครๆก็เอามาใช้ได้. ดังนั้น ในเวทีอันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับว่า ความสามารถในการที่จะแย่งชิงพื้นที่ ซึ่งก็จะต้องไปแย่งชิงในพื้นที่ของสื่อมวลชน เวทีสาธารณะ. ด้วยเหตุนี้ การเปิดพื้นที่สาธารณะมากขึ้นเท่าไหร่ มันก็จะสามารถมีการเปิดให้ผู้คนสามารถที่จะเข้ามาช่วงชิงการนิยามสิ่งเหล่านี้ได้มากขึ้น

ทั้งหมดนี้ก็คงจะเป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตุเล็กๆน้อยๆ ซึ่งผมก็คิดว่าคงจะไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่ว่าเราคงจะมีเวลาซึ่งจะมาอภิปราย หรือถกเถียงกันว่า ที่ผมว่าไปนี้มันสามารถจะมาปรับเอามาคิดกันในประสบการณ์ที่เราประสบอยู่ หรือว่าจะเอามาใช้ในเชิงการอธิบาย วิเคราะห์ปัญหาต่างๆที่อยู่รอบตัวของเราได้อย่างไรบ้าง. เพราะมันเป็นแต่เพียงข้อสังเกตุ แนวคิด และมุมมองที่อยากจะหยิบขึ้นมาเพื่อใช้เป็นประเด็นคำถามหรือข้อสังเกตุสำหรับการพูดคุยกันต่อไปมากกว่า… ผมก็คิดว่าคงจะใช้เวลาไปพอดีๆนะครับ เพื่อที่จะกระตุ้น หรือท้าทายให้คิด อะไรทำนองนี้…

วารุณี : อาจารย์อานันท์ ก็ได้เสนอประเด็นหลายๆประเด็นที่น่าสนใจไปแล้วนะคะ ตอนนี้ก็จะถึงเวลาที่ผู้ฟังร่วมแสดงความคิดเห็น ซึ่งก็ขอเชิญชวน... ไม่ต้องรู้สึกกลัวนะคะ เพราะเห็นคนหน้าแก่ๆอยู่เต็มไปหมด จึงทำให้ไม่กล้าพูด. พูดเถิดคะ เพราะว่าอย่างน้อยนี่ ในอายุที่ต่างกันหลายสิบปีนี่ก็อาจจะเกิดการแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างที่แต่ละฝ่ายนึกไม่ถึงเหมือนกัน เชิญเลยคะ

ผู้เข้าร่วมชั้นเรียน : ผมชื่ออัฐนะครับ เป็นคนที่มีความรู้น้อยนะครับ ศึกษามาน้อย สติปัญญาก็มีอยู่น้อยครับ. ทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า"โลกาภิวัตน์"นี่ ผมก็ยังรู้สึกสับสนอยู่ครับว่า จริงๆแล้วมันคืออะไรกันแน่นะครับ รบกวนให้อาจารย์ช่วยเหลือคนที่สติปัญญาน้อยอย่างผมหน่อยนะครับ ว่า ถ้าเกิดจะนิยามมันอย่างสั้นๆกระชับๆนี่ "โลกาภิวัตน์"มันน่าจะหมายถึงอะไรกันแน่. แล้วก็ผมก็สงสัยอยู่ว่า โลกาภิวัตน์มันเป็นกระบวนการ เป็นวิธีการของระบบทุนนิยม หรือว่ามันเป็นผลที่เกิดขึ้นจากสภาพกระบวนการนั้นกันแน่.

ยกตัวอย่างผมนึกถึงสงครามครูเสด จุดมุ่งหมายของสงครามครูเสดคือไปรบกัน แต่ผลที่ได้ก็คือ การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน. เปรียบเทียบกับทุกวันนี้ เหมือนกับการทำสงครามทางเศรษฐกิจกันอยู่ในระบบทุนนิยม โลกาภิวัตน์มันเป็นจุดมุ่งหมายหรือเปล่าครับ หรือว่ามันเป็นเพียงแค่ผลที่มันเกิดขึ้นมาเอง หรือว่าเป็นทั้งสองอย่างเลย คือ เป็นทั้งกระบวนการและเป็นทั้งผลด้วย.

และเมื่อสักครู่นี้ อาจารย์พูดอยู่ตอนหนึ่งที่บอกว่า ความเป็นไทยเป็นผลมาจากโลกาภิวัตน์. ผมสงสัยว่า โลกาภิวัตน์มันไม่ใช่เป็นตัวทำลายความเป็นไทยหรือครับ. ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการแต่งกายก็ได้ครับ การแต่งกายในทุกวันนี้ เราก็ได้รับอิทธิพลจากโลกาภิวัตน์ ดูอย่างทุกคนที่ใส่เสื้อผ้ากันมาทุกวันนี้นะครับ คนเมืองก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเมืองมา หรือคนที่มาจากภาคกลางก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าของตัวเองมา. ส่วนใหญ่ใส่เสื้อผ้าแบบโลกาภิวัตน์กันมา. ตรงนี้โลกาภิวัตน์ไม่ได้ทำลายความเป็นไทยหรือความเป็นคนเมืองตรงนี้หรือครับ

อานันท์ : ที่บอกว่ามันทำลายความเป็นไทย แท้ที่จริงมันไปทำลายความเป็นไทยอย่างที่เราควบคุมได้ไป แต่มันไปสร้างความเป็นไทยชนิดที่เป็นสินค้าขึ้นมา เพราะฉะนั้น เวลานี้เราไม่เห็นกันหรือครับว่า ไอ้ความเป็นไทยนั้นมันขายกันไปทั่วโลก ไม่ใช่เป็นเรื่องของคนไทย. คุณควบคุมไม่ได้ คุณสามารถไปกินอาหารไทยที่ไหนในโลกก็ได้ แต่พอกินแล้ว มันจะไทยหรือไม่ไทยคุณควบคุมไม่ได้. ผมไปกินอาหารไทยที่ปารีสนี่ ปรากฎว่าคนเวียดนามขาย...มันกลายเป็นความเป็นไทยที่คุณควบคุมไม่ได้ เพราะมันกลายเป็นสินค้าไปแล้ว

แต่เรื่องที่ถามว่า โลกาภิวัตน์มันเป็นยังไง เมื่อสักครู่ผมก็พูดไปแล้วว่า คือไม่ใช่เป็นสิ่งที่ใครเขาตั้งใจ มันเป็นกระบวนการที่ติดตามมาของระบบทุนนิยม จนเดี๋ยวนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะมีใครคุม. บอกว่าโซรอสคุม หรือใครคุม... มันไม่มีใครคุมได้. มันเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องมา เพราะว่ามันเป็นขั้นตอนพัฒนาการของมัน ซึ่งเป้าหมายมันชัดเจนคือเพื่อที่จะสร้างกำไรสูงสุด มันก็ต้องมีวิธีพัฒนาการของระบบของมันเอง. ซึ่งแน่นอน มันก็อาจจะมีกลไกบางอย่างที่เอื้อให้เป็นไปอย่างนั้น... เช่นระบบการสื่อสาร ซึ่งมันทำให้กระบวนการอันนั้นมันขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว.

กระบวนการที่ไปตักตวงผลประโยชน์จากทรัพยากรเขานี่ มันเป็นร้อยๆปี, หมายความว่าสมัยอาณานิคม, แล้วก็มาเอาแรงงานของเรา นี่ก็เพิ่งไม่กี่ปีมานี้เอง. มาเอาแรงงานจริงๆนี้ก็คือสมัยจอมพลสฤษฎ์ขึ้นมา พูดง่ายๆคือ มาให้คุณปลูกข้าวหรือพืชเกษตร ยิ่งคุณปลูกมาเท่าไหร่คุณก็เป็นหนี้มากขึ้นเท่านั้น. นี่ก็คือกระบวนการมาตักตวงแรงงาน มาเอาประโยชน์จากแรงงาน.

แต่ไอ้ที่เพิ่งมาเอาประโยชน์จากวัฒนธรรม มาสร้างวัฒนธรรมให้เป็นสินค้านี่ ผมคิดว่ามันคงจะไม่เกินยี่สิบปีมานี้เอง มันเร็วมากเลยนะครับ. สิ่งเหล่านี้มันมีกลไกบางอย่างที่อยู่ในระบบของทุนนิยม ซึ่งมันสร้างขึ้นมาพร้อมกับระบบ. ตั้งแต่ตัวแรกที่มันสร้างขึ้นมาที่ทำให้เงินดอลล่าร์เป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนกันทั่วโลก และจนกระทั่งมาถึงเป็นองค์กรโลก. สิ่งเหล่านี้มันค่อยๆพัฒนากันขึ้นมา ดังนั้น มันก็เลยเป็นสิ่งที่อาจจะเรียกว่า เรามองไม่เห็น และมองไม่เห็นตัวคนว่าเป็นใคร แต่ว่ามันเป็นกระบวนการที่พัฒนามาพร้อมด้วยกลไกประกอบเหล่านี้

ส่วนนิยามความหมายของ"โลกาภิวัตน์" ผมไม่รู้ว่าจะนิยามมันยังไง ผมไม่สามารถนิยามมันออกมาเป็นคำๆอย่างนั้นได้ คือ มันเป็นกระบวนการพัฒนาขั้นตอนสุดท้ายของทุนนิยม ที่เปลี่ยนให้สิ่งที่เป็นสื่อของการซื้อขายแลกเปลี่ยน จากเดิมที่เป็นทรัพยากร แรงงาน มันมาเอาแม้กระทั่งวัฒนธรรม ความรู้สึก คุณค่า จิตใจของผู้คนให้เป็นสินค้าไปด้วย ก็คงจะนิยามได้แบบนี้.

เกรียงศักดิ์ : ประเด็นนี้ก็คิดอย่างที่อาจารย์เสนอได้ ถ้าพูดว่า โลกาภิวัตน์ก็เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งมันถูกโยนโครมออกมา แล้วมันก็มากำหนดคนอะไรต่างๆ เพราะฉะนั้น มันก็มีปฏิกริยาของคนในที่ต่างๆที่จะนิยามมัน จะพูดแบบนี้ได้ไหมครับที่จะนิยามและนำมาใช้

อานันท์ : มันเป็นกระบวนการซึ่งในระบบทุนนิยมเอง ก็ไม่ใช่หมายความว่าที่มีใครเป็นผู้กำหนดมันทั้งหมด. ทุนนิยมมันก็มีการต่อสู้ในระบบทุนนิยม คือหมายถึง พวกที่เคยเอาประโยชน์จากทรัพยากร มันก็ทำให้คนอื่นไม่ได้ประโยชน์. หมายความว่า พวกเอาประโยชน์อย่างเช่น บริษัทอีสท์อินเดียของอังกฤษอะไรต่างๆ มันก็ไปทำให้คนอื่นเสียประโยชน์. คนอื่นก็พยายามจะหาวิธีการที่จะมาหาประโยชน์จากระบบที่มันขยายตัวไปทั่วโลกนี่ แทนที่จะมาเอาจากทรัพยากรอย่างเดียว มันก็มาเอา... มาหาทางมาเก็บตักตวงจากแรงงานคนอื่น.

พูดง่ายๆก็คือ มันไม่ใช่มีใครตั้งใจ แต่ว่ามันมีการต่อสู้อยู่ภายในตัวของมันเอง เพื่อจะช่วงชิงความได้เปรียบของการหากำไร เป็นการแสวงหากำไรทุกวิถีทาง. ทุนนิยมมัน creative, มันสร้างสรรค์...มันพยายามหาคำใหม่ๆขึ้นมาเพื่อแสวงหากำไร...เป็นการช่วงชิงหาประโยชน์กันอยู่ตลอดเวลา

วารุณี : ในช่วง 10 ปีนี้เราถูกกระหน่ำด้วยคำพูดของ"ความเป็นไทย" เราถูกกระหน่ำความคิดว่าเรามีความเป็นไทยอยู่ ซึ่งดิฉันคิดว่า...และในขณะนี้ เราก็พยายามจะบอกว่า เวลาเราไปถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย, ส่วนใหญ่ที่เราเห็นตามทีวีนะคะ คือหน่วยงานของรัฐนี่ หรือคนที่อยู่ในะบบ จะพูดเหมือนกันว่าเป็นผลจากวัฒนธรรมตะวันตก หรืออย่างที่บางคนพูดว่าเป็นผลจากโลกาภิวัตน์.

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือว่า "ความเป็นไทย"นี่ มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ? ซึ่งอาจารย์อานันท์บอกว่า มันถูกสร้างขึ้นในช่วงหลังมานี้เอง... ทีนี้ถ้าเราฟังโดยไม่คิดอะไร เราคิดว่ามันมีสิ่งที่เราเรียกว่า "ความเป็นไทย". แต่ถ้าเรามาคิดกันจริงๆว่า ความเป็นไทยคืออะไร ? บางทีเราหาคำตอบไม่ได้นะคะ. เพราะจริงๆ ถ้าเราพูดถึงเผ่าพันธุ์ของเรา มันก็ปนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นจีน เป็นไทย เป็นลาว เป็นแขก อะไรปนกันไปหมด. คือ...มันเป็นอะไรล่ะ ความเป็นไทยอันนี้. จริงๆแล้วมันมีไหมอะไรแบบนี้ ?

ผู้เข้าร่วมเสวนา : ถ้าเราคิดว่า "โลกาภิวัตน์" ก็คือคำใหม่ที่บัญญัติขึ้นในสังคมปัจจุบันนี้ เมื่อระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานะคะ แต่คำว่า"โลกาภิวัตน์"มันน่าจะมีตั้งแต่มีมนุษย์แล้วล่ะ หรือแม้กระทั่งในสมัยพุทธกาล หรือสมัยพระเยซู พวกฮิบรูก็จะถูกดูถูกโดยพวกโรมัน หรือพวกอารยันก็จะดูถูกคนพื้นเมืองอะไรต่างๆ มันมีมาเรื่อยๆ เพียงแต่ว่าภาษาที่พูดมันเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง.

ทีนี้ที่เรามองว่า เราถูกปัญหาจากข้างนอกมากระทบเรา ไม่ว่าจะเป็นทุนนิยม หรือวิธีการต่างๆซึ่งมากระทบเรา เอาประโยชน์จากเรา หรือว่ามันขายโลกาภิวัตน์ มันขายความเป็นชาติ ...จริงๆแล้วทั้งหมดนี่ มันขึ้นอยู่กับว่า คำว่าโลกาภิวัตน์หรือสิ่งซึ่งกระทำต่อเรา มันเกิดขึ้นมาจากคำๆเดียวก็คือ"กิเลส" อันนี้จะได้ไหม ? เพราะถ้าหากเรามองตัวตนของเราจากข้างในแล้ว ว่า ชีวิตเราที่เกิดมานี้เราต้องการอะไร ? อะไรที่จะทำให้เรามีความสุขแต่เพียงเท่านั้น, มันจะเป็นจีวองชี่ หรือว่าเวอซาเช่ หรือว่าเป็นอะไร ? เรา need สิ่งเหล่านั้น เราต้องการหรือเปล่า. ถ้าเราไม่ต้องการ เราก็มีเพียงปัจจัยสี่ที่จำเป็นเท่านั้นเอง.

ถ้าเราปล่อยให้กิเลสมันเข้ามาครอบงำเรา แล้วเราก็ปล่อยให้สิ่งจากข้างนอกเข้ามาโจมตีเราตลอดเวลา เรา...คงเป็นสังคมที่ซับซ้อนและแก้ไขไม่ได้. แต่ถ้าเรามองเพียงว่า ตัวเราต้องการอะไร และอะไรที่ทำให้เรามีความสุข. ความสุขที่มีมาจากสิ่งฟุ้งเฟ้อหรือเปล่า. ถ้าเรามีความสุขจากการมีชีวิตที่เรียบง่าย เราก็น่าจะปลอดพ้นจากสิ่งที่เข้ามาโจมตีเราซึ่งเรียกว่ากิเลส. ถ้าเรามามองที่ตัวตนเราจริงๆแล้ว เราอาจจะปลอดพ้นจากการถูกจู่โจมจากข้างนอกได้. ถ้าเราจะแก้ไปทีละจุด เราคงต้องแก้เป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่นจุด เพราะสังคมมันซ้บซ้อนมาก. เราจะแก้ที่จุดไหนล่ะ ถ้าเราไม่แก้ที่ตัวเราเอง. จะเรียกว่าปลุกระดมพวกเราหรือเปล่า ให้พวกเราย้อนมองตัวเอง มีชีวิตที่เรียบง่ายเท่านั้นเอง...เราจะปลอดภัยไหม ? ขอบคุณค่ะ

 

I กรุณาคลิกไปอ่านหน้าต่อไป I

I กลับไปหน้าเริ่มต้น I สารบัญบทความทั้งหมดของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

I สมัครสมาชิก I