"The deeper you can manipulate living structures the more you can control food and medicine." ยิ่งคุณสามารถจัดการควบคุม |
ดร.วันทนา ศิวะ
เป็นนักวิทยาศาสตร์ทางด้านฟิสิกส์ |
"เราจะจัดให้มีการยกย่องสรรเสริญเกี่ยวกับความหลากหลายในแบบของเราด้วยการต่อต้าน"
การสัมภาษณ์ ดร.วันทนา ศิวะ
"ยิ่งคุณสามารถจัดการควบคุมโครงสร้างชีวิตได้ลึกมากเท่าไร คุณก็จะยิ่งควบคุมอาหารและยาได้มากขึ้นเท่านั้น" Dr.Vandana Shiva เป็นนักวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์, นักนิเวศวิทยา, นักเคลื่อนไหว, บรรณาธิการ และนักเขียนหนังสือซึ่งมีผลงานหลายเล่มด้วยกัน. ในประเทศอินเดีย เธอได้ก่อตั้งกระบวนการกลุ่ม"นวธัญญะ"ขึ้นมา, ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวอันหนึ่งเกี่ยวกับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และสิทธิของชาวนาและเกษตรกร. เธอเป็นผู้บริหารมูลนิธิเกี่ยวกับการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี และนโยบายทรัพยากรทางธรรมชาติ. หนังสือเล่มล่าสุดที่เธอได้เขียนขึ้นมาคือ Biopiracy : The Plunder of Nature and Knowledge (โจรสลัดชีวภาพ : การปล้นสดมภ์ทางด้านธรรมชาติและความรู้). การสัมภาษณ์ ดร.วันทนา ศิวะ ครั้งนี้ทำขึ้นใน St.Louis, Missouri ในคราวที่จัดให้มีการประชุมในระดับรากหญ้าเป็นครั้งแรกในเรื่อง biodevastation : Genetic Engineering (การล้างผลาญทางชีวภาพ: เรื่องของวิศวพันธุกรรม), ในวันที่ ๑๘ มกราคม ๑๙๙๘. ดร.วันทนา ศิวะ เป็นผู้บรรยายคนสำคัญสำหรับการประชุมในครั้งนี้. สำหรับการสัมภาษณ์ กระทำโดยนิตยสาร In Motion Magazine.
In Motion Magazine : Why are patents the new form of colonialism ?
(ทำไม สิทธิบัตรต่างๆจึงกลายเป็นรูปแบบใหม่ของลัทธิอาณานิคม ?) http://www.inmotionmagazine/shiva.html
ดร.วันทนา ศิวะ : สิทธิบัตรต่างๆในทุกวันนี้ มันคือภาพฉายซ้ำเรื่องของการทำให้เป็นอาณานิคม ดั่งที่มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อประมาณ ๕๐๐ ปีก่อนในหลายๆทางด้วยกัน. อันนี้น่าสนใจมาก แม้แต่ในยุคนั้นเองก็ตาม. คุณทราบไหมว่า เมื่อตอนที่ Columbus และคนอื่นๆซึ่งเป็นกัปตันเรือเช่นเดียวกันกับเขาเตรียมออกเรือและการผจญภัยไปในโลกกว้างนั้น, พวกเขาจะเริ่มต้นการเดินทางด้วยเอกสารฉบับหนึ่งซึ่งได้รับการเรียกขานว่า"เอกสารกรรมสิทธิ์"(หรือหมายสิทธิบัตร)(the letters patent) ซึ่งเอกสารฉบับนี้จะให้อำนาจแก่นักผจญภัยทั้งหลาย ในการอ้างกรรมสิทธิ์ในดินแดนที่พวกเขาไปพบไม่ว่าที่ใดก็ตามในโลก ซึ่งไม่ได้ถูกปกครองโดยชาวคริสเตียนผิวขาว ในฐานะผู้เป็นเจ้าของในที่ดินและทรัพย์สมบัติเหล่านั้น. สิทธิบัตรในสมัยนี้เกี่ยวกับชีวิต ดูเหมือนว่าจะมีคุณสมบัติในทำนองเดียวกัน. มันเป็นกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งได้รับการออกโดยสำนักงานสิทธิบัตรของโลก ที่โดยพื้นฐานแล้ว มันเป็นการบอกกับบริษัทต่างๆว่า ถ้าหากว่ามีการค้นพบความรู้หรือชีววัตถุต่างๆขึ้นมา, ไม่ว่าจะเป็นพืช, เมล็ดพันธุ์, ตัวยาต่างๆ ซึ่งคนผิวขาวไม่เคยรู้จักมาก่อน บริษัทต่างๆสามารถที่จะอ้างถึงประโยชน์ และทำกำไรเกี่ยวกับมันได้อย่างเต็มที่ และถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง. ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นพื้นฐานที่มาของปรากฎการณ์ที่เราเรียกว่า"โจรสลัดทางชีวภาพ"(biopiracy), ยกตัวอย่างเช่น เมล็ดพันธุ์ต่างๆ อย่าง เมล็ดพันธุ์ข้าว Basmati, มันเป็นข้าวซึ่งมีกลิ่นหอมจากอินเดีย, ซึ่งเราได้เพาะปลูกมันมานับเป็นศตวรรษๆ, สิทธิในหุบเขาของเรา ทุกวันนี้มันกำลังถูกอ้างในฐานะที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่โดยบริษัท Rice Tec ไปแล้ว. หรือพืชจำพวกสะเดา, ซึ่งเราได้ใช้ประโยชน์จากมันมานับพันปี เพื่อควบคุมแมลงรบกวนต่างๆ, ใช้เพื่อทำยา, ซึ่งได้รับการบันทึกเอาไว้ในรูปตำราต่างๆของเราทุกคน. สะเดาเป็นสิ่งที่ปู่ย่าตายาย และคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเราได้ใช้ประโยชน์จากมันในชีวิตประจำวันตามบ้านเรือน, เพื่อปกป้องเมล็ดข้าว, ป้องกันผ้าไหมและผ้าขนสัตว์ เพื่อควบคุมแมลงร้ายที่จะมาทำลาย ตอนนี้มันได้รับการปฏิบัติในฐานะที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ถือครองโดยบริษัท Geace, ซึ่งเป็นบริษัททางด้านเคมีภัณฑ์ไปแล้ว. การแพร่ระบาดของความเป็นโจรสลัด มันเหมือนกันมากกับการแพร่ระบาดของโจรสลัดซึ่งได้ถูกขนานนามว่า ลัทธิอาณานิคมเมื่อ ๕๐๐ ปีมาแล้ว. ดิฉันคิดว่า ในไม่ช้านี้ เราต้องเรียกวัฏฏจักรของโจรสลัดโดยผ่านสิทธิบัตรต่างๆนี้ว่า การทำให้เป็นอาณานิคมครั้งใหม่(recolonialization) ในฐานะที่เป็นอาณานิคมอย่างใหม่ ซึ่งมีความแตกต่างไปจากอดีตเพียงแค่ - อาณานิคมสมัยก่อนมันเป็นการเข้ามาครอบครองดินแดนที่ไม่ใช่ของคนผิวขาว, แต่อาณานิคมอย่างใหม่นี้ มันเป็นการเข้ามาครอบครองสิ่งที่มีชีวิตของดินแดนนั้น(ที่ไม่ใช่ของคนผิวขาว). นิตยสาร In Motion : เมื่อสักครู่นี้ ตอนที่คุณพูดในที่ประชุม คุณบอกว่าคุณอยากจะนำเราเข้าไปสู่ทัศนียภาพของโลกที่สาม. คุณสามารถที่จะนำเราเข้าไปสู่ภาพนั้นโดยการสนทนากันนี้อีกครั้งได้ไหม ? ดร.วันทนา ศิวะ : โลกที่สามคือส่วนหนึ่งของโลก ซึ่งกำลังกลายเป็นอาณานิคมต่างๆในการทำให้เป็นอาณานิคมครั้งล่าสุด. มันไม่ใช่โลกที่ยากจน ขาดความอุดมสมบูรณ์ หรือมีแต่ความเสื่อมถอย ด้วยเหตุดังนั้น ตามข้อเท็จจริงในหลักเหตุผล โลกที่สามจึงได้ถูกทำให้เป็นอาณานิคม เพราะว่ามันมีความอุดมสมบูรณ์มากนั่นเอง. โคลัมบัสออกเดินเรือเพื่อที่จะไปควบคุมการค้าเครื่องเทศจากอินเดีย, มันเป็นเพียงแค่ว่า เขาได้จอดเรือและลงเหยียบผืนแผ่นดินผิดทวีปเท่านั้น และเรียกผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมในดินแดนแห่งนั้นว่าอินเดียน เป็นเพราะคิดว่าเขาได้มาถึงอินเดียแล้วนั่นเอง. ส่วนละตินอเมริกาได้ถูกทำให้เป็นอาณานิคมก็เนื่องมาจากทองคำที่ดินแดนแห่งนี้มีอยู่. ไม่มีประเทศต่างๆเหล่านี้ที่ขาดความอุดมสมบูรณ์หรือยากจนเลย. แต่ในทุกวันนี้ ดินแดนที่คนผิวขาวเข้ามายึดครองถูกเรียกว่าเป็นดินแดนแห่งความยากจนของโลก เพราะความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ได้ถูกระบายถ่ายเทหรือดูดออกไปนั่นเอง. ผู้คนที่อยู่รอดในประเทศโลกที่สาม เพราะ แม้ว่าความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์จะถูกนำเอาไปจากพวกเขาเป็นจำนวนมาก แม้ว่าทองคำของพวกเขาและดินแดนได้ถูกยึดเอาไปก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังมีความหลากหลายทางชีวภาพอยู่. พวกเขายังคงมีทรัพยากรอย่างสุดท้ายในรูปของเมล็ดพันธุ์, พืชสมุนไพรที่ใช้ทำยา, อาหารปศุสัตว์, ซึ่งยอมให้พวกเขาเข้าถึงผลผลิต มันยอมให้พวกเขาได้มาบรรจบกับความต้องการต่างๆในด้านสุขภาพและโภชนาการ. แต่มาถึงตอนนี้ ทรัพยากรอย่างสุดท้ายของคนยากคนจน ผู้ซึ่งได้ถูกทอดทิ้งและตัดสิทธิ์กีดกันโดยวัฎฎจักรล่าสุดของการทำให้เป็นอาณานิคม ซึ่งกำลังถูกเข้ามาครอบครองหรือยึดเอาไป โดยผ่านเรื่องของสิทธิบัตร. เมล็ดพันธุ์พืชต่างๆซึ่งชาวไร่ชาวนาได้เคยเก็บรักษาเอาไว้อย่างอิสระ, แลกเปลี่ยนกันโดยเสรี, และใช้ประโยชน์มันอย่างเอนกอนันต์, กำลังได้รับการปฏิบัติในฐานะที่เป็นสมบัติต่างๆของบริษัทของคนผิวขาวทั้งหลาย. การก่อตัวขึ้นมาใหม่เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยเรื่องทรัพย์สิน กำลังถูกทำให้เป็นรูปเป็นร่างในฐานะที่เป็นสนธิสัญญาว่าด้วยเรื่องของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา(intellectual property rights treaties), โดยผ่านองค์การการค้าโลก ซึ่งพยายามที่จะกีดกันชาวไร่ชาวนาของประเทศโลกที่สาม จากการเข้าถึงเมล็ดพันธุ์พืชของพวกเขาเองได้อย่างอิสระ, และการนำมาแลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์กันได้อย่างเสรี. โดยเหตุนี้ ชาวนาชาวไร่และเกษตรกรทั้งหมด, ผู้คนในภาคเกษตรทั้งหลายทั่วโลกจึงกำลังซื้อเมล็ดพันธุ์กันในทุกๆปี จากการสร้างตลาดใหม่ขึ้นมาอันหนึ่งเพื่ออุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์พืชของโลก. ๘๐ เปอร์เซนต์ของคนอินเดียกำลังตกอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับความต้องการต่างๆในด้านสุขภาพ โดยผ่านพืชที่นำมาใช้ทำยา ซึ่งขึ้นอยู่บริเวณหลังบ้านของพวกเขา หรือเจริญงอกงามในทุ่งหญ้า ในป่า ซึ่งผู้คนมีอิสระที่จะไปเก็บหรือไปหามาใช้ได้. ไม่มีใครจำเป็นต้องจ่ายเงินใหกับของขวัญที่ธรรมชาติมอบเอาไว้ให้เหล่านี้. แต่ทุกวันนี้ พืชสมุนไพรเหล่านั้นทุกๆอย่าง กำลังได้รับการขึ้นทะเบียนสิทธิบัตร และภายใน ๕ หรือ ๑๐ ปีในอนาคต เราจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันหนึ่งที่ยากลำบากสำหรับพวกเรา ซึ่งบริษัทอุตสาหกรรมทางด้านเภสัชกรรมในลักษณะทำนองเดียวกันนี้ จะก่อความเสียหายให้กับวิถีสุขภาพของพวกเราอย่างรุนแรง. และเมื่อถึงตอนนั้น มันก็จะแปรเปลี่ยนผลิตผลทางด้านสุขภาพ และความปลอดภัยไปในรูปของยาที่ทำขึ้นมาจากพืชสมุนไพร, ยาจีน, ยาที่ใช้กลิ่นในการบำบัด หรือที่เรียกว่า aromatic medicine จากอินเดีย, ไปเป็นเรื่องของผลประโยชน์ และจะมาขัดขวางการใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ของคนพื้นเมือง. พวกเขาจะมาทำให้สิทธิของคนพื้นเมืองเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย และพวกเขาจะดำเนินการไปตามขั้นตอนนั้น, พวกเขายึดครองฐานทรัพยากร, พวกเขายึดครองพันธุ์พืช, พวกเขายึดครองการจำหน่าย, พวกเขายึดครองตลาด, และทำให้ประชาชนถูกตัดสิทธิ์กีดกันในการเข้าถึงสิ่งเหล่านั้นอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและสมบูรณ์. สิ่งซึ่งเรากำลังมองดูอยู่ในเวลานี้ คือสถานการณ์อันหนึ่งซึ่งโลกที่สาม อันเป็นดินแดนที่สำคัญที่คอยถนอมรักษาความหลากหลายทางชีวภาพเอาไว้ เป็นผู้ผลิตหลักทางด้านอาหารของโลก ที่ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มีความผูกพันอยู่กับการผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหาร, กำลังถูกความพยายามทำให้มันกลายไปเป็นสังคมบริโภค. แต่คุณไม่สามารถที่จะมีสังคมบริโภคโดยมีประชากรที่ยากจนเป็นพื้นฐานได้ และด้วยเหตุนี้สิ่งที่คุณจะมีและทำคือ การกีดกัน, ทำให้เกิดความขาดแคลน, โรคร้าย, ความหิว, โรคระบาด, ความบกพร่องทางด้านโภชนาการ, ภาวะข้าวยากหมากแพง และสงครามกลางเมือง. สิ่งที่กำลังถูกหว่านเพาะ มันคือความโลภของบริษัทต่างๆซึ่งกำลังขโมยทรัพยากรอย่างสุดท้ายของคนจนไป. อันที่จริง มันคือเมล็ดพันธุ์ต่างๆ ความรุนแรงที่ไม่อาจควบคุมได้ และความเสื่อมสลายของสังคมต่างๆในสัดส่วนที่ใหญ่มาก. นิตยสาร In Motion : คุณให้ความวางใจในมัน, แต่สิ่งที่ดูเหมือนกุญแจสำคัญซึ่งได้เข้ามาแทนที่หรือยึดครองคือ RAFI (Rural Advancement Foundation International - มูลนิธิเพื่อความก้าวหน้าของท้องถิ่น นานาชาติ) ซึ่งผู้คนเรียกว่า "terminator technology"(เทคโนโลยีแห่งการสิ้นสุด). คุณสามารถที่จะพูดถึงเรื่องนี้ได้ไหม ? ดร.วันทนา ศิวะ : เมื่อเราหว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปในท้องนา ก็จะมีบทสวดหรือคาถาซึ่งชาวนาทุกคนในอินเดียจะท่องจนขึ้นใจว่า: ขอให้เมล็ดพันธ์เหล่านี้อย่าอ่อนแรง, ขอให้มันไม่มีวันหมดเรี่ยวแรง, ขอให้มันออกลูกออกหลานในปีต่อไป". เกษตรกรทั้งหลายมีความภูมิใจที่จะกล่าวว่า : "อันนี้คือเมล็ดพันธุ์รุ่นที่สิบแล้ว ที่ฉันได้หว่านเพาะลงไปในแปลงนา", "อันนี้คือเมล็ดพันธุ์รุ่นที่ห้าแล้วที่ฉันได้หว่านเพาะลงไปในไร่นา". วันหนึ่งต่อไปข้างหน้า ฉันจะนำมันไปแลกเปลี่ยนกันภายในหุบเขาของฉัน และชาวไร่ชาวนาก็ได้นำเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวบาสมาติอันมีกลิ่นหอมมา และกล่าวว่า "นี่คือรุ่นที่ห้าแล้วที่เรากำลังเพาะปลูกมันในครอบครัวของพวกเรา". ตราบเท่าที่มนุษย์ยังปฏิบัติกับมัน ในฐานะที่เป็นภารกิจของพวกเขาในการสงวนรักษาเมล็ดพันธุ์เหล่านี้เอาไว้ เขาก็จะมั่นใจได้ถึงความต่อเนื่องของมัน. แต่คำสวดอ้อนวอนที่ขอให้เมล็ดพันธุ์อย่าได้หมดเรี่ยวแรงลงไป ดูเหมือนว่ากำลังถูกเปลี่ยนแปลงไปในคำสวดดังกล่าว กลายเป็นคำอ้อนวอนที่ว่า, "ขอให้เมล็ดพันธุ์นี้สิ้นสุดลง เพื่อว่าฉันจะได้หากำไรได้เพิ่มขึ้นทุกๆปี" ซึ่งนี่คือคำสวดอ้อนวอนที่บริษัท Monsanto กำลังท่องออกมาโดยผ่านเทคโนโลยีที่ทำให้สิ้นสุด(terminator technology) - มันเป็นเทคโนโลยีอันหนึ่ง, ซึ่งเป้าหมายของมันนั้น เพียงเพื่อปกป้องเมล็ดพันธุ์จากการเจริญงอกงามหรือแตกตัว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องเสียเวลาในการตรวจสอบหรือควบคุมแต่อย่างใดเลย. ไม่ใช่ว่า มันไม่มีความหมาย, เมล็ดพันธุ์ลูกผสม เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดีเลยสำหรับการเก็บรักษา. มันเป็นครั้งแรกที่พวกเขาค้นพบเครื่องมืออันหนึ่งที่จะบีบบังคับให้บรรดาชาวนาชาวไร่ทั้งหลายต้องหวนกลับมาหาพวกเขา หรือกลับมาสู่ตลาดทุกๆปี. แต่ความแตกต่างก็คือ เมล็ดพันธุ์ลูกผสมไม่ได้ให้เมล็ดพันธุ์ที่ดี. มันไม่ใช่ว่าพวกเขาล้มเหลวที่จะเพาะเมล็ดพันธุ์. พวกเขายังแยกสายพันธุ์ของพวกมัน. พวกเขาจะยังให้ธัญพืชบางชนิดแก่คุณ. คุณจะไม่มีวันฉิบหายหรือล่มสลายอย่างแน่นอน. สิทธิบัตรต่างๆเป็นการขัดขวางชาวนาจากการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์เอาไว้. แต่ด้วยสิทธิบัตรต่างๆ คุณยังต้องทำการตรวจตราหรือคอยควบคุม, คุณยังต้องระดมพวกนักสืบเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า ชาวนาทั้งหลายจะไม่เก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆเอาไว้. เทคโนโลยีแบบขาดห้วงหรือสิ้นสูญ(terminator) มันเป็นเทคโนโลยีที่ปลอดภัยอย่างมากสำหรับบริษัทต่างๆ อย่าง Monsanto เพราะพวกเขาไม่จำต้องมีการตรวจตราหรือควบคุมแต่อย่างใดเลย, และยังไม่ต้องเป็นกังวลต่อการแยกสายพันธุ์ใดๆ, มาถึงตอนนี้ โดยพื้นฐานแล้ว คุณเพียงทำให้มันสิ้นสุดลง. แต่นี่ไม่เพียงเป็นความรุนแรงต่อชาวนาชาวไร่เท่านั้น ซึ่งพวกเขามีสิทธิโดยพื้นฐาน, ในทัศนะของดิฉัน, ที่จะเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ของพวกเขาเอาไว้. ภาระหน้าที่ของชาวนาชาวไร่ หรือเกษตรกรทั้งหลาย คือการปกป้องพื้นแผ่นดิน, ธำรงรักษามันให้มีความอุดมสมบูรณ์, และรักษาความร่ำรวยของเมล็ดพันธุ์พืช. นั่นคือส่วนหนึ่งของการเป็นชาวนาหรือเกษตรกร. ชาวนาไม่ใช่คนขับรถแทรกเตอร์ราคาถูก, นั่นมันเป็นนิยามของยุคสมัยใหม่ว่า ชาวนาเป็นใคร ? นิยามความหมายที่แท้ของการเป็นชาวนาหรือเกษตรกรคือ คนๆหนึ่ง ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องกับผืนดินและผูกพันอยู่กับเมล็ดพันธุ์พืช พวกเขาจะทำหน้าที่เก็บรักษาเมล็ดพันธุ์รุ่นต่อไปในอนาคตเอาไว้ สงวนรักษามันให้มีพลังขึ้นมาใหม่ และสร้างความอุดมสมบูรณ์. การแสวงหาสำหรับเทคโนโลยีข้างต้นนี้ มันมาจากความรุนแรงที่มีต่อพื้นฐานทางด้านจริยธรรม. เรื่องของจริยธรรมนั้นชาวนาและเกษตรกรทั้งหลายจะต้องมี ถ้าเผื่อว่าเขาเป็นชาวนาและเกษตรกรที่ดี. แต่ที่ลึกลงไปยิ่งกว่านั้น เพราะตอนนี้มันได้กลายเป็นความรุนแรงอันหนึ่งซึ่งมีผลต่อธรรมชาติด้วย ทั้งนี้เนื่องมาจาก วิธีที่บริษัท Monsanto พูดว่า "เราจะหยุดยั้งวิวัฒนาการ เพราะวิวัฒนาการมันได้สร้างอิสรภาพขึ้นมานั่นเอง". (ต่อ - คลิกไปหน้าถัดไป) |