Free Documentation License
Copyleft : 2006, 2007, 2008
Everyone is permitted to copy and distribute verbatim copies of this license
document, but changing it is not allowed.

หากนักศึกษา และสมาชิกประสงค์ติดต่อ
หรือส่งบทความเผยแพร่บนเว็บไซต์
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กรุณาส่ง email ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
midnightuniv(at)yahoo.com
midarticle(at)yahoo.com

กลางวันคือการเริ่มต้นเดินทางไปสู่ความมืด ส่วนกลางคืนคือจุดเริ่มต้นไปสู่ความสว่าง เที่ยงวันคือจุดที่สว่างสุดแต่จะมืดลง
ภารกิจของมหาวิทยาลัยคือการค้นหาความจริง อธิบายความจริง ตีความความจริง และสืบค้นสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความจริง
บทความวิชาการทุกชิ้นของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างถาวรเพื่อใช้ประโยชน์ในการอ้างอิงทางวิชาการ
ภาพประกอบดัดแปลงเพื่อใช้ประกอบบทความทางวิชาการ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการนำไปใช้ประโยชน์ทางวิชาการ
ขณะนี้ทางมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังเปิดรับงานแปลทุกสาขาวิชาความรู้ ในโครงการแปลตามอำเภอใจ และยังเปิดรับงานวิจัยทุกสาขาด้วยเช่นกัน ในโครงการจักรวาลงานวิจัยบนไซเบอร์สเปซ เพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชน สนใจส่งผลงานแปลและงานวิจัยไปที่ midnightuniv(at)yahoo.com

The Midnight University
Why have there been no great women artists?
Nochlin 1971/1988

สุนทรียศาสตร์แนวเฟมินิสท์
ปรัชญาศิลป์ : ศิลปะและสุนทรียศาสตร์แนวสตรีนิยม
สมเกียรติ ตั้งนโม : เรียบเรียง
คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

บทความเรียบเรียงนี้ ดำเนินตามแนวเรื่องสุนทรียศาสตร์แนวสตรีศึกษา จากต้นฉบับเรื่อง
Feminist Aesthetics ของ Carolyn Korsmeyer : State University of New York / Buffalo
ซึ่งครอบคลุมประเด็นเกี่ยวกับ
ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ที่มีกลิ่นอายของเพศสภาพ
อคติเกี่ยวกับเรื่องของความมีอัฉริยภาพในทางศิลปะที่ผูกขาดโดยผู้ชายมาแต่อดีต
และการวิจารณ์ศิลปะและสุนทรียศาสตร์ของนักสิทธิสตรี
midnightuniv(at)yahoo.com

(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 991
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๙
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 27.5 หน้ากระดาษ A4)




ปรัชญาศิลป์ : ศิลปะและสุนทรียศาสตร์แนวสตรีนิยม
สมเกียรติ ตั้งนโม : เรียบเรียง (คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)

ความนำ
สุนทรียศาสตร์ของเฟมินิสท์หรือของนักสตรีนิยม(Feminist aesthetics) ไม่ใช่ป้ายฉลากของสุนทรีย์ศาสตร์ในแนวทางอย่างเช่น เป็นศัพท์ของ"ทฤษฎีคุณความดี"(virtue theory) และ"ญานวิทยาธรรมชาติ"(naturalized epistemology)ในแบบฉบับต่างๆ ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมของจริยศาสตร์และทฤษฎีทั้งหลายทางความรู้ อันที่จริง การอ้างอิงถึงสุนทรียศาสตร์เฟมินสท์ต้องการที่จะจำแนกให้เห็นภาพชุดหนึ่ง ที่ติดตามคำถามทั้งหลายเกี่ยวกับทฤษฎีทางปรัชญา และสมมุติฐานต่างๆ ของผู้หญิง ซึ่งพิจารณาถึงเรื่องของศิลปะและสุนทรียภาพอย่างเป็นหมวดหมู่

ถึงอย่างไรก็ตาม สำหรับนักสิทธิสตรีโดยทั่วไปแล้วสรุปว่า ดังที่ปรากฏในภาษาที่เป็นกลางๆ และโดยเฉพาะในทางทฤษฎีเกี่ยวกับปรัชญา โดยแท้จริงแล้วทุกขอบเขตความรู้สาขาวิชาต่างๆ มันค้ำยันเครื่องหมายของเพศสภาพเอาไว้ในกรอบโครงร่างทางแนวคิดพื้นฐาน และสำหรับในที่นี้ คนที่ทำงานอยู่ในเรื่องของสุนทรียศาสตร์ ได้สืบค้นเข้าไปในวิธีการที่เพศสภาพได้มีอิทธิพลต่อการก่อตัวทางความคิดเกี่ยวกับศิลปะ, ในตัวของศิลปินทั้งหลาย, และในคุณค่าทางสุนทรียภาพ

ทัศนียภาพต่างๆ ของนักสิทธิสตรีในเรื่องของสุนทรียศาสตร์ ได้รับการปรับให้เข้ากับอิทธิพลทางวัฒนธรรม ซึ่งพยายามอยู่เหนือความเป็นอัตวิสัย นั่นคือ วิธีการที่ศิลปะได้สะท้อนและทำให้การก่อตัวทางสังคมเกี่ยวกับเพศสภาพ, เรื่องทางเพศ, และเอกลักษณ์ดำรงอยู่อย่างถาวร

สุนทรียศาสตร์โดยปรกติแล้ว ค่อนข้างเป็นเรื่องของสหวิทยาการมากกว่าขอบเขตความรู้อื่นๆ ทางด้านปรัชญา สำหรับสนามความรู้นี้มันเชื่อมโยงกับปฏิบัติการต่างๆ ทางศิลปะ และสาขาวิชาการเกี่ยวกับการวิจารณ์. ทัศนียภาพต่างๆ ของนักสิทธิสตรีในเรื่องของสุนทรียศาสตร์ได้รับการช่วยเหลือไม่เพียงจากบรรดานักปรัชญาเท่านั้น แต่ยังได้รับการสนับสนุนจากบรรดานักประวัติศาสตร์ศิลป์ รวมถึงบรรดานักดุริยางคศิลป์, และเหล่านักทฤษฎีทางวรรณกรรม, ภาพยนตร์, นาฏกรรม, ท่ามกลางนักอื่นๆ อีกจำนวนมากด้วย

มันมีความเกี่ยวพันและนัยะเชิงปฏิบัติ สำหรับการค้นพบที่ปรากฏตัวขึ้นมาจากการค้นคว้าต่างๆ ของนักสิทธิสตรี กล่าวในที่นี้คือ การวิเคราะห์เกี่ยวกับกรอบโครงร่างทางแนวคิดเชิงประวัติศาสตร์ ซึ่งควบคุมสุนทรียศาสตร์และปรัชญาศิลปเอาไว้ ที่ได้ช่วยอธิบายถึงความแตกต่างอย่างมากของชายและหญิงที่เป็นนักปฏิบัติการอันทรงอิทธิพลทางศิลปะ

ทฤษฎีทางปรัชญาทั้งหลายที่ถูกปรับมาใช้โดยบรรดานักสิทธิสตรี ยังมีอิทธิพลอย่างสูงในการวิจารณ์และตีความเกี่ยวกับศิลปะและวัฒนธรรมป๊อปปูล่าร์ และบางครั้งในการพัฒนาเกี่ยวกับการปฏิบัติการของศิลปกรรมร่วมสมัย มากยิ่งไปกว่านั้นสุนทรียศาสตร์ของเฟมินิสท์ยังติดตามการค้นคว้า และการวิจารณ์ซึ่งได้มาถึงคุณค่าต่างๆ ณ จุดที่เป็นรากฐานที่แท้จริงของปรัชญา โดยได้ทำการสำรวจแนวคิดต่างๆ ที่บ่อยครั้ง ไม่ได้อ้างอิงโดยตรงถึงผู้ชายและผู้หญิงแต่อย่างใด แต่กระนั้นก็ตาม ลำดับชั้นสูงต่ำของมันยังถูกทำให้ชุ่มโชกไปด้วยนัยสำคัญเกี่ยวกับเรื่องเพศสภาพอย่างมาก

สำหรับขอบเขตของบทความชิ้นนี้ จะกล่าวถึงสาระสำคัญ 3 ข้อด้วยกันคือ
1. ศิลปะและศิลปิน : ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์
2. การสร้างสรรค์ และความมีอัฉริยภาพ
3. หมวดหมู่ทางสุนทรียภาพ และการวิจารณ์ของนักสิทธิสตรี

1. ศิลปะและศิลปิน : ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์
(Art and Artists: Historical Background)

มุมมองของนักสตรีนิยมในเรื่องสุนทรียศาสตร์เกิดขึ้นมาครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ 1970s จากการรวมตัวกันระหว่างนักกิจกรรมทางการเมืองในโลกศิลปกรรมร่วมสมัย กับ นักวิจารณ์เกี่ยวกับขนบจารีตทางประวัติศาสตร์ในด้านปรัชญาและศิลปะ. สิ่งเหล่านี้ได้พัฒนาไปเชื่อมต่อกับการถกเถียงกันต่างๆ หลังสมัยใหม่ในเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรมและสังคม ซึ่งเกิดขึ้นในมามากมายหลายในหลายขอบเขตของความรู้ทางสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์

อันที่จริงการถกเถียงกันพวกนี้ บ่อยทีเดียวเริ่มต้นขึ้นจากการประเมินคุณค่าเกี่ยวกับมรดกทางปรัชญาตะวันตก มรดกซึ่งไม่มีที่ใครที่ไหนท้าทายมันมากไปกว่าในโลกศิลปะ ด้วยเหตุดังนั้น นัยะสำคัญของขบวนการศิลปกรรมร่วมสมัยจำนวนมาก รวมถึงผลงานของนักสิทธิสตรีและหลังสิทธิสตรี ที่ได้ถูกทำให้น่าเร้าใจและชัดเจนขึ้นโดยความเข้าใจคุณค่าต่างๆ ทางขนบจารีตและทฤษฎีต่างๆ ซึ่งพวกเธอได้กล่าวถึงและท้าทาย

เป้าหมายทางประวัติศาสตร์ที่ร่ำรวยสุดสำหรับการวิจารณ์ตามแนวสิทธิสตรีเกี่ยวกับปรัชญาศิลปะ ได้ถูกกำหนดทิศทางลงไปที่แนวคิดของศิลปกรรมทางด้านวิจิตรศิลป์(fine arts) ซึ่งอ้างอิงถึงศิลปะว่าได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา ส่วนใหญ่แล้วเพื่อความเพลิดเพลินทางสุนทรีย์ สำหรับผลงานทางด้านวิจิตรศิลป์ในที่นี้ได้รวมเอางานทางจิตรกรรม, ประติมากรรม, วรรณกรรม, และดนตรีเข้ามาเป็นแกนหลัก ขณะเดียวกันก็เบียดขับงานฝีมือ, ศิลปะป๊อปปูล่าร์, และงานบันเทิงออกไป

ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับแนวคิดศิลปะ คือความคิดเกี่ยวกับอัฉริยภาพในการสร้างสรรค์ของศิลปิน ซึ่งมักจะถูกเข้าใจในฐานะที่เป็นผู้ครอบครองทัศนะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะอันหนึ่งเกี่ยวกับการแสดงออกในผลงานศิลปะต่างๆ. มันเป็นขนบจารีตทางวิจิตรศิลป์ของจิตรกรรมที่นักประวัติศาสตร์ศิลป์ Linda Nochlin มีอยู่ในใจในปี 1971 เมื่อเธอได้ตั้งคำถามอันเป็นที่โจษขานของเธอว่า "ทำไมจึงไม่มีศิลปินหญิงที่ยิ่งใหญ่เลย(ในโลกศิลปะ) ?" (Why have there been no great women artists?") (Nochlin 1971/1988)

นับจากมีการเพิ่มเติมคำคุณศัพท์ "fine" (ประณีต-วิจิตร) เข้ามา มันก็ได้บรรจุนัยะแฝงและความเกี่ยวพันอันลึกซึ้งเกี่ยวกับเพศสภาพของบรรดาศิลปินเข้าไปแล้ว ภูมิหลังบางอย่างของประวัติศาสตร์ทางความคิดที่เก่าแก่ เกี่ยวกับศิลปะและศิลปิน โดยแรกสุด มันเป็นที่ต้องการเพื่อที่จะเข้าใจถึงความหลากหลายเกี่ยวกับคำตอบต่างๆ ที่สามารถถูกจัดหามาให้โดยคำถามอันนั้น

การสืบค้นนี้ได้วางเราให้เข้าใจเรื่องสื่อต่างๆ, สาระสำคัญ, และสไตล์ต่างๆ ที่บรรดาศิลปินแนวสิทธิสตรีร่วมสมัย และบรรดานักทฤษฎีทั้งหลายกำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า มากยิ่งไปกว่านั้น ได้มีการสืบค้นเข้าไปสู่รากเหง้าที่มีมาแต่โบราณเกี่ยวกับปรัชญาศิลปะ ซึ่งเผยให้เห็นโครงสร้างคุณค่าอันเหนียวแน่นที่มีนัยะสำคัญเกี่ยวกับเพศสภาพอยู่ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า มันเป็นสิ่งที่ยังคงยืนหยัดสืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้

สำหรับศัพท์คำว่า"art"(ศิลปะ) ไม่ใช่คำย่อสำหรับคำว่า"fine art"(วิจิตรศิลป์)เสมอไป. คล้ายๆ กับศัพท์แสงส่วนใหญ่ที่อ้างถึงหมุดหลักทางความคิดต่างๆ ของขนบจารีตทางสติปัญญาตะวันตก ต้นกำเนิดของมันอาจสืบย้อนกลับไปได้ถึงเรื่องราวโบราณอันสูงส่ง. ศัพท์ในภาษากรีกที่ทุกวันนี้เรามักแปลเป็น"ศิลปะ"(art) มาจากคำว่า "techne" ซึ่งเป็นศัพท์ที่ถูกแปลให้เท่ากับ"skill"(ทักษะ)นั่นเอง, และในความหมายกว้างที่สุดของมันได้ถูกใช้กับผลผลิตที่จำแนกความแตกต่างระหว่าง "งานอันเกิดจากความพยายามของมนุษย์"กับ"วัตถุต่างๆ ที่สร้างขึ้นโดยธรรมชาติ"

รูปแบบของ techne ซึ่งคล้ายคลึงกับแนวคิดสมัยใหม่ของเรามากที่สุดเกี่ยวกับศิลปะ ก็คือศิลปะล้อเลียนหรือเลียนแบบ(mimetic or imitative) นั่นคือ การผลิตซ้ำ สิ่งที่เป็นวัตถุชิ้นหนึ่งหรือการแสดงออกถึงไอเดีย/ความคิดอันหนึ่งในเชิงพรรณาหรือละคร. ประติมากรรมเลียนแบบรูปลักษณ์ของมนุษย์ เป็นตัวอย่าง, ดนตรีเลียนแบบเสียงต่างๆ ของธรรมชาติหรือเสียงพูด - หรือเป็นนามธรรมมากขึ้น - อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ทั้งหลาย, ละครและบทกวีมหากาพย์เลียนแบบเหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นอยู่

ธรรมชาติของศิลปะที่เป็นลักษณะการเลียนแบบนั้น ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางนับเวลาเป็นศตวรรษๆ โดยบรรดานักแสดงความเห็นส่วนใหญ่ รวมถึง Aristotle ซึ่งต่างให้การยกย่องสรรเสริญความสามารถของศิลปินเลียนแบบ ที่สามารถจับฉวยเอาความจริงบางอย่างเกี่ยวกับโลกและชีวิตมาแสดงได้อย่างงดงามและเต็มไปด้วยทักษของพวกเขา. นักประวัติศาสตร์ชาวโรมัน Pliny the Elder ได้บันทึกคำยกย่องเชิดชูบรรดาจิตรกรทั้งหลาย ซึ่งสามารถที่จะนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ของพวกเขาได้ด้วยเส้นและสีอย่างถูกต้องสมจริง ซึ่งไม่ได้ผิดแผกแตกต่างไปจากปรากฏการณ์ของพวกมันตามธรรมชาติเลย

เป็นไปได้ที่การสนทนากันทางปรัชญาในช่วงต้นๆ เกี่ยวกับศิลปะในขนบประเพณีของกรีกปรากฎขึ้นในหนังสือเรื่อง"อุตมรัฐ"(Republic)ของเพลโต ซึ่งไม่เหมือนกับบุคคลร่วมยุคร่วมสมัยของเขา เพลโตพิจารณาเรื่องของการเลียนแบบหรือการสำเนาความจริงว่าเป็นสิ่งที่อันตราย ในหนังสือเรื่อง"อุตมรัฐ" และได้สืบสาวขยายกว้างออกไปถึงเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติของความยุติธรรม(the nature of justice). สำหรับอุตมรัฐโสกราตีสและเพื่อนๆ ของเขาจินตนาการถึงสังคมในอุดมคติแห่งหนึ่งที่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด และควบคุมรูปแบบต่างๆ ทางด้านศิลปะ อย่างเช่น การละคร, ดนตรี, จิตรกรรม, และประติมากรรม

ตามความคิดอภิปรัชญา/เมตาฟิสิกส์ของเพลโต โลกนามธรรม(โลกอุดมคติ)ของแบบ(Form)ได้ครอบครองความเป็นจริง(reality)ในระดับที่สูงสุด อันนี้สูงกว่ากรณีตัวอย่างต่างๆ ในโลกทางกายภาพ และด้วยเหตุดังนั้น ความหยั่งรู้หรือความเข้าใจโดยตรงเกี่ยวกับ"แบบต่างๆ"จึงมีมากกว่า และใกล้ความจริงกว่า ซึ่งจิตใจมนุษย์สามารถเข้าถึงได้

การเลียนแบบทั้งหลาย(imitations) อย่างเช่น งานจิตรกรรม ประติมากรรม การละครเพียงล้อเลียนหรือจำลองปรากฏการณ์ของวัตถุทางกายภาพต่างๆ เท่านั้น ซึ่งเป็นการถอยห่างจากความเป็นจริงลงมาถึง 3 ระดับ (ดังที่เพลโตเสนอในหนังสือเรื่อง"อุตมรัฐ" ในบทที่ 10 [Republic X])

โลกนามธรรม/โลกในอุดมคติ .... โลกของแบบ ................ ม้า (ความเป็นม้าในโลกของแบบ)
โลกกายภาพ/โลกมนุษย์ ............. โลกของสิ่งเฉพาะ ........ ม้า (ที่เราเห็นในโลกมนุษย์)
โลกการเลียนแบบ/โลกศิลปะ ...... ผลงานจิตรกรรม ......... ภาพม้า (ที่เราเห็นในภาพวาด)

มายาการซึ่งเป็นตัวแทนการจำลองหรือการเลียนแบบจากความจริง มันทำหน้าที่ในการสร้างความพึงพอใจ, ความเย้ายวนใจ, และเป็นการล่อลวง มากยิ่งไปกว่านั้น ศิลปะอย่างเช่นกวีนิพนธ์แนวโศกนาฏรรมได้ตรึงความสนใจของเรา ให้ผูกพันกับอารมณ์ความรู้สึกอย่างเหนียวแน่นและทรงพลัง อย่างเช่น ความกลัว ซึ่งทำให้คุณความดีของบุคคลที่แกล้วกล้าอ่อนแอลง แต่ในทางตรงข้ามก็ก่อให้เกิดความรู้สึกเพลิดเพลินในเวลาเดียวกันด้วย

ตามการวิเคราะห์ของเพลโตเกี่ยวกับจิตวิญญานของมนุษย์ องค์ประกอบต่างๆ อันไร้เหตุผลของวิญญานเป็นอำนาจที่ทรงพลัง ซึ่งอาจเบี่ยงเบนสติปัญญาไปจากความเข้าใจที่เยือกเย็นของปัญญาญาน ดังนั้น ความพึงพอใจต่างๆ ที่ศิลปะล้อเลียนมา จึงเป็นความสุ่มเสี่ยงมากพอ ดังนั้นศิลปะจะต้องถูกควบคุมอย่างระมัดระวังในสังคมที่มีการปกครองที่ดี

การกล่าวหาว่าการจำลองหรือการเลียนแบบ เป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือไม่มีความสำคัญของเพลโต ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเกี่ยวพันไปถึงเรื่องของเพศสภาพแต่อย่างใดโดยตรง แม้ว่าระบบคิดอันทรงอิทธิพลของเขาจะมีความเกี่ยวพันและนัยะบางอย่างที่สำคัญโดยอ้อม ซึ่งเป็นรอยแยกกับเรื่องที่มีนัยสำคัญทางเพศสภาพก็ตาม

ในบุริมสิทธิ์ของเขาสำหรับการแสวงหาทางปรัชญา เพื่อบรรลุถึงความรู้เกี่ยวกับ"แบบ" ที่อยู่เหนือขึ้นไป ด้วยความหมกมุ่นในความพึงพอใจต่างๆ ของการเลียนแบบ ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถพบเห็นลำดับชั้นสูงต่ำของคุณค่าต่างๆ ที่เรียงลำดับโลกอันเป็นนิรันดร (หรือนามธรรม, โลกแห่งสติปัญญาของแบบต่างๆ ในอุดมคติ) ซึ่งโลกอันเป็นนิรันดรนี้เหนือกว่าโลกของสิ่งที่เป็นอยู่เพียงแค่ชั่วคราว(transient), โลกของสิ่งเฉพาะ(particular), และโลกเกี่ยวกับความรู้สึกของวัตถุต่างๆ ทางกายภาพ ซึ่งก็คือโลกของเรานั่นเอง

ลำดับชั้นสูงต่ำนี้สนับสนุนแนวคิดทวินิยมระหว่าง"จิต"กับ"กาย" ที่ได้รับการทำให้สัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับความอสมมาตรเกี่ยวกับเพศสภาพ และนั่นคือเป้าหมายเบื้องต้นอันหนึ่งของการวิจารณ์ในการวิเคราะห์ของนักสตรีนิยมทั้งหลายมาโดยตลอด

บรรดานักปรัชญาสตรีนิยมตระหนักถึงแนวคิดบางอย่างที่ปรากฏขึ้นมาในความคิดแบบรวมกันเป็นคู่ต่างๆ (binary combinations) นั่นคือ จิต - กาย, ความเป็นสากล - สิ่งเฉพาะ, เหตุผล - อารมณ์, สติสัมปชัญญะ - ความอยากความปรารถนา, และอะไรอื่นๆในทำนองเดียวกันนี้ ซึ่งรวมถึง ชาย - หญิง ด้วย สิ่งเหล่านี้มิใช่เพียงคู่ที่มีความสัมพันธ์กันเท่านั้น พวกมันได้ถูกจัดลำดับเป็นคู่ๆ ซึ่งอันแรกได้รับการยึดถือให้มีความเหนือกว่าอันที่สองโดยธรรมชาติ(Gatens 1991, p.92)

"ความเป็นสากล"ได้ถูกพิจารณาว่าเหนือกว่า"การเป็นสิ่งเฉพาะ" เพราะมันนำเสนอความรู้ที่เป็นการทั่วไปมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น "เหตุผล"มีความเหนือกว่า"อารมณ์ความรู้สึก" เพราะมันมีสมรรถนะอันน่าเชื่อถือและน่าไว้วางใจกว่านั่นเอง

ความชื่นชมในเรื่อง"ความเป็นสากล"ก็ดี หรือเรื่องของ"เหตุผล"ก็ดี ทั้งคู่ข้างต้นเป็นตัวแทนแสดงออกถึงความลำเอียงระหว่างภววิสัย(objective)ที่เหนือกว่าอัตวิสัย(subjective), ซึ่งเป็นแนวความคิดต่างๆ ที่มีนัยสำคัญอันซับซ้อนโดยเฉพาะในทางสุนทรียศาสตร์ สิ่งที่มากไปกว่านั้นก็คือ ประเภทของความรู้สึกพึงพอใจต่างๆ ที่การจำลองหรือเลียนแบบมา ได้ไปกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกและความปรารถนา มันดึงดูดไปสู่เรื่องทางกายมากกว่าเรื่องทางสติปัญญา

ด้วยเหตุนี้ เราจึงพบว่าในการประเมินคุณค่าที่ประหลาดๆ เกี่ยวกับศิลปะจำลองหรือเลียนแบบในฐานะที่เป็นการประเมินค่าเกี่ยวกับสติปัญญาและความเป็นนามธรรม เหนือกว่าอารมณ์ความรู้สึกและลักษณะของสิ่งเฉพาะ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ก่อให้เกิดอะไรอย่างชัดแจ้ง ซึ่งเพศสภาพมีสมมุติฐานต่างๆ เกี่ยวกับการสนทนากันนี้ เพราะ"ชาย"และ"หญิง" ("male" and "female")(บางครั้งผสมกับ ลักษณะของเพศชาย และ ลักษณะของเพศหญิง - "masculine" and "feminine,") คือรากเหง้าวงศ์วานต่างๆ ของความเป็นคู่เกี่ยวกับสิ่งที่ตรงข้ามกันทั้งหลาย ซึ่งมีอยู่ในปรัชญาตะวันตกนับตั้งแต่ไพธากอรัสเป็นต้นมา ขณะเดียวกันก็ไม่มีการอ้างอิงโดยตรงถึงผู้สร้างสรรค์ที่เป็นผู้หญิงในเรื่อง"อุตมรัฐ"

โดยเหตุนี้ ปรัชญาดังกล่าวเกี่ยวกับศิลปะ จึงมีส่วนร่วมเกี่ยวกับแนวคิดเพศสภาพ ณ แก่นแกนที่แท้จริงของมันมาแต่ต้น. ความเกี่ยวกับและมีนัยะของแนวความคิดดังกล่าวสำหรับบรรดาศิลปินทั้งหลาย มันได้ค่อยๆ วิวัฒน์ไปสู่รูปแบบที่แจ่มชัดขึ้นด้วยการก่อเกิดของการจัดจำแนกหมวดหมู่สมัยใหม่ของงานทางด้านวิจิตรศิลป์ และบรรดาผู้สร้างสรรค์งานศิลปะทั้งหลาย

บรรดานักวิชาการหลายคนมีความเห็นแย้งกันเกี่ยวกับวันเวลาที่เกิดการจำแนกหมวดหมู่พิเศษเกี่ยวกับศิลปะ ที่ระบุว่าเป็น"วิจิตรศิลป์"(fine arts) หรือ การสร้างสรรค์เกี่ยวกับงานทัศนศิลป์ (beaux arts) บางคนอ้างว่า แนวความคิดดังกล่าวเริ่มปรากฏตัวขึ้นในสมัยเรอเนสซองค์ (ราวคริสตศตวรรษที่ 14 -16) ขณะที่หลายคนถกว่า มันไม่มีการแยกหมวดหมู่ดังกล่าวจนกระทั่งมาถึงคริสศตวรรษที่ 18 ที่งานทางด้านวิจิตรศิลป์ก่อเกิดขึ้นมาอย่างแท้จริง ในฐานะการถูกแยกหมวดหมู่ที่แตกต่างออกมาหมวดหนึ่ง(Kristeller 1952-3; Shiner 2000) ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ความคิดที่ว่าศิลปะ โดยสาระแล้ว เป็นการจำลองหรือการเลียนแบบนั้น ไม่ได้เป็นความคิดที่มีความเข้มแข็งอีกต่อไป และมันค่อยๆ ให้ที่ทางแก่แนวคิดโรแมนติกทางด้านศิลปะในฐานะเป็นการแสดงออกส่วนตัวของศิลปิน

คริสตศตวรรษที่ 18 เป็นช่วงยุคสมัยซึ่งมองความเจริญเติบโตในทางวรรณคดี การเปรียบเทียบศิลปะต่างๆ กับอีกประเภทหนึ่ง ที่มีส่วนร่วมปันในหลักการต่างๆ และทฤษฎีทั้งหลายเกี่ยวกับความพึงพอใจที่มีลักษณะเฉพาะอันหนึ่ง ซึ่งได้มาจากวัตถุทั้งหลายทางธรรมชาติและศิลปะ อันกลายมาเป็นสิ่งที่รู้จักกันในฐานะ"ความเพลิดเพลินทางสุนทรีย์"

การโฟกัสงานวิจิตรศิลป์ โดยเฉพาะในฐานะคุณค่าต่างๆ ทางสุนทรีย์อย่างบริสุทธิ์ของผลงานศิลปะ และการวางตำแหน่งมันลงยังใจกลางมากๆ อันนี้ ถือว่าเป็นแนวคิดทางศิลปะที่ถูกทำให้ค่อนข้างคับแคบ กล่าวคือมันทำให้งานวิจิตรศิลป์ถูกทำความเข้าใจซาบซึ้งในความงามของมัน หรือคุณความดีทางสุนทรีย์อื่นๆ แตกต่างไปจากงานศิลปะโดยทั่วไป ตัวอย่างเช่น

ศิลปะที่ผลิตขึ้นมาเป็นเครื่องใช้ไม้สอยเพื่อประโยชน์บางอย่างโดยเฉพาะ เช่น เฟอร์นิเจอร์, เบาะรองนั่ง, เครื่องใช้ในครัวต่างๆ ศิลปะเหล่านี้ได้รับการระบุในฐานะที่เป็น"งานฝีมือ"(craft), และขณะที่ประโยชน์ใช้สอยของพวกมันและความต้องการทางด้านทักษะได้รับการยอมรับ แต่ในเวลาเดียวกันก็ทำให้วัตถุที่จัดอยู่ในประเภท"งานฝีมือ" ได้รับการพิจารณาในฐานะที่เป็นความสำเร็จและความคิดริเริ่ม"น้อยกว่าการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะแบบวิจิตรศิลป์"อย่างไม่ต้องสงสัย

การสร้างสรรค์ของศิลปิน เป็นสิ่งที่ได้รับการพินิจพิจารณาในฐานะที่เป็นงานประเภทหนึ่งของการแสดงออกส่วนตัวค่อนข้างมาก ซึ่งอันนี้ทำให้ภาพเกี่ยวกับปัจเจกศิลปินมีคุณค่าในตัวเองปรากฏออกมาภายนอก. ในทางตรงข้าม งานฝีมือ มีเป้าประสงค์อยู่ที่เรื่องของประโยชน์ใช้สอยในทางปฏิบัติซึ่งถือว่ามีคุณค่าน้อยกว่า

นัยะสำคัญเกี่ยวกับข้อแตกต่างระหว่าง"วิจิตรศิลป์"กับ"งานฝีมือ" สำหรับการประเมินคุณค่าของผลผลิตการสร้างสรรค์เป็นเรื่องที่มีแก่นสาร. ขณะที่มันมีวัตถุสสารมากมายที่ถูกเบียดขับออกไปจากหมวดหมู่ของงานประณีตชั้นเลิศ หรือวิจิตรศิลป์ ซึ่งบรรดาผู้สร้างพวกมันคือผู้ชาย. ส่วนวัตถุเหล่านั้นที่เป็นสิ่งของเครื่องใช้ในบ้าน การสร้างสรรค์มันเป็นของผู้หญิงมากกว่า ซึ่งได้ถูกเบียดขับให้ไปอยู่ชายขอบทั้งหมด โดยการจัดหมวดหมู่ดังกล่าวและคุณค่าที่ตามมาของมัน (Parker and Pollock 1981). ด้วยเหตุดังนั้น ศิลปะภายในบ้านตามจารีตประเพณี จึงถูกเคลื่อนย้ายไปจากประวัติศาสตร์ศิลป์

การเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์นี้ได้เสนอถึงเหตุผลอันหนึ่งที่ว่า ตัวอย่างเช่น งานจิตรกรรม มีจิตรกรผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่น้อยมาก กล่าวคือ ความพยายามทั้งหลายในการสร้างสรรค์ของผู้หญิงในทางประวัติศาสตร์ เป็นไปได้ว่า ได้ถูกกำกับให้ทำการผลิตเครื่องใช้ไม้สอยภายในบ้านต่างๆ เมื่อสิ่งเหล่านี้ได้รับการสับเปลี่ยนไปสู่หมวดหมู่ของ"งานฝีมือ" ด้วยเหตุดังนั้น การมีอยู่ของผู้หญิงในงานประเภทวิจิตรศิลป์ทั้งหลายจึงหดเล็กลงตามไปด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น การเกิดขึ้นมาของความสนใจในวิจิตรศิลป์ ได้ทำให้ศิลปะแบบประณีตศิลป์เหล่านั้นปรากฏตัวขึ้นมาสู่สาธารณะเป็นการเฉพาะ สถาบันสมัยใหม่อย่างเช่นพิพิธภัณฑ์ ได้นำเสนอผลงานจิตรกรมและประติมากรรมต่างๆ ออกแสดง ห้องแสดงคอนเสริททำให้การแสดงดนตรีต่อสาธารณชนจำนวนมากมีความเป็นไปได้(Shiner 2000) นี่คือยุคหนึ่งของประวัติศาสตร์เมื่อความคิดต่างๆ เกี่ยวกับความถูกต้องเหมาะสมทางสังคม เป็นสิ่งที่ผิดแผกแตกต่างไป สำหรับเรื่องของชาย-หญิง ในหมู่ชนชั้นกลางและชนชั้นสูง, ซึ่งเป็นผู้บริโภคที่สำคัญของงานทางด้านวิจิตรศิลป์

ขณะที่มันได้รับการพิจารณาให้เป็นเรื่องกำไรภายในบ้านอย่างหนึ่ง สำหรับเด็กผู้หญิงที่จะสามารถเล่นดนตรีอยู่ที่บ้านเพื่อครอบครัวและแขกผู้มาเยือน และนำงานศิลปะของพวกเธอตกแต่งผนังภายในบ้านด้วยความสามารถที่วิจิตรบรรจง แต่สำหรับการนำเอาผลงานเหล่านั้นออกแสดงสู่สาธารณะ ด้วยพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษอย่างเดียวกันนั้น ได้รับการพิจารณาอย่างกว้างๆ ในฐานะที่เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมและไม่ใช่คุณลักษณะของเพศหญิง

ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ผู้หญิงซึ่งมีพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษกระทำในพื้นที่ต่างๆ อย่างเช่น ดนตรี มีแนวโน้มที่ยังคงเป็นเรื่องของมือสมัครเล่น ค่อนข้างมากกว่าที่จะพยายามกระทำในโลกของมืออาชีพที่เป็นสาธารณะมากกว่า ซึ่งคอยตรวจตราพัฒนาการสำคัญของรูปแบบต่างๆ ทางศิลปะ (อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อยกเว้นบางประการด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น นักดนตรีอย่าง Clara Schumann และ Fanny Mendelssohn Hensel เป็นต้น, แต่พวกเธอเหล่านั้นถือเป็นคนส่วนน้อยอยู่ดีในเชิงเปรียบเทียบ)

ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ศิลปินหญิงทั้งหลายในวงการศิลปกรรมต่างๆ ยังคงนั่งอยู่ยังเบาะหลังของเพื่อนร่วมอาชีพที่เป็นชายของพวกเธอ ซึ่งพวกเธอต้องถอยออกมา หรือถูกปฏิเสธการศึกษาและการฝึกฝนที่ตระเตรียมขึ้นมาให้กับพวกเธออย่างเป็นมาตรฐานจริงๆ สำหรับผู้ฟังที่เป็นสาธารณชน
(Nochlin ได้บันทึกไว้ว่า จิตรกรหญิงจำนวนมากเท่าไร ที่ได้ถูกฝึกมาโดยพ่อที่เป็นศิลปิน ผู้ซึ่งสามารถตระเตรียมและฝึกฝนให้พวกเธอได้เป็นศิลปินขึ้นมา มิฉะนั้นแล้วพวกเธอก็ยากที่จะได้รับการฝึกปรือให้เป็นเช่นนั้นได้ ในทำนองเดียวกัน อาจกล่าวได้ว่ากรณีของนักดนตรีหญิงก็เช่นกัน [Citron 1993; McClary 1991])

คำอธิบายทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ ได้ให้ความกระจ่าง และความเข้าใจความตรงข้ามกันอีกคู่หนึ่งที่ถูกทำเครื่องหมายโดยเพศสภาพ นั่นคือ "พื้นที่สาธารณะ" และ"พื้นที่ส่วนตัว" (public - private). ลักษณะที่เป็นคู่นี้ได้รับการสืบสาวอย่างเป็นการเฉพาะ โดยบรรดานักทฤษฎีสตรีนิยมทางการเมือง และยังมีนัยสำคัญที่น่าพิจารณาสำหรับปรัชญาศิลป์ด้วย (Pollock 1988)

จากข้อมูลข้างต้นทำให้เราตระหนักว่า แนวคิดเกี่ยวกับศิลปะซึ่งพิจารณาจากแง่มุมผลงานทางด้านวิจิตรศิลป์ ถือว่าเป็นแนวคิดเกี่ยวกับเพศสภาพอย่างไร ซึ่งจากกระบวนทัศน์เหล่านี้ทำให้เห็นว่า ผลงานส่วนใหญ่นั้นได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยนักสร้างสรรค์ต่างๆ ที่เป็นผู้ชาย อันนี้ได้ทำให้เราใคร่ครวญถึงบรรทัดฐานที่มีการกีดกันผู้หญิงออกไปจากงานวิจิตรศิลป์ ซึ่งมีหลักฐานอยู่ในปฏิบัติการทางด้านศิลปะสตรีนิยมร่วมสมัย

บรรดาศิลปินสตรีนิยม(feminist artists) ผู้ซึ่งค่อนข้างกระตือรื้อร้นในขบวนการเคลื่อนไหวคลื่นลูกที่สองของผู้หญิงในช่วงทศวรรษที่ 1970s อย่างเช่น Faith Ringgold และ Miriam Schapiro, ได้ร่วมกันนำเอาวัสดุทางด้านงานฝีมือต่างๆ อย่างเช่น เส้นใยและเศษผ้าเข้ามาร่วมแสดงในผลงานของพวกเธอ(Lauter 1993). ผลงานของพวกเธอได้ปลุกให้วัสดุต่างๆ ที่มีอยู่ภายในบ้าน และมีความสัมพันธ์กับความเป็นผู้หญิงปรากฏตัวขึ้นมาสู่ความสนใจ สิ่งเหล่านี้เรียกร้องให้มีการเอาใจใส่เกี่ยวกับแรงงานของผู้หญิง ซึ่งได้ถูกมองข้ามไปเป็นเวลานานเข้ามาสู่ขนบจารีตทางศิลปะ ซึ่งค่อนข้างให้ภาพที่แตกต่างออกไปและมีคุณค่าแก่ความสนใจไม่น้อยไปกว่างานวิจิตรศิลป์ทางด้านจิตรกรรมและประติมากรรมเลยทีเดียว

อันที่จริง วัตถุที่เป็นงานฝีมือในตัวของพวกมันเองนั้น อย่างเช่น ผ้านวมคลุมเตียงที่มีการเย็บปักถักร้อยอย่างงดงาม(quilts) มาถึงปัจจุบัน ในบางโอกาสได้จัดเป็นหัวข้อหนึ่งของการแสดงนิทรรศการศิลปะในพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ทางด้านวิจิตรศิลป์, การยอมรับอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความแตกต่างที่เป็นปัญหาระหว่าง"งานวิจิตรศิลป์"กับ"งานฝีมือ" ได้ค่อยๆละลายหายไปโดยการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการประเมินคุณค่าทางวัฒนธรรม

ผลงานประเภทต่างๆเหล่านี้เสนอว่า จากจุดยืนความคิดเห็นหนึ่ง ผู้หญิงมิได้หายไปหรือไม่ใช่ไม่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ศิลปะ ดังที่ประวัติศาสตร์ศิลป์ได้ทำการกลั่นกรองและสกัดรูปแบบต่างๆ ทางศิลปะจำนวนมากออกไป ซึ่งผู้หญิงมีส่วนในพลังงานเหล่านั้นของพวกเธอตามขนบจารีตโดยตรง

มากยิ่งไปกว่านั้น หลักการต่างๆ ของการคัดสรร ซึ่งได้ใส่เรื่องของเพศสภาพเข้าไปสู่ความคิดทางด้านวิจิตรศิลป์ อย่างไรก็ตาม แนวความคิดเกี่ยวกับศิลปินก็มีความลำเอียงเกี่ยวกับเรื่องของเพศสภาพของมันเช่นเดียวกัน มากต่อมากของช่วงยุคสมัยใหม่ ตัวอย่างต่างๆ ที่ดีที่สุดเกี่ยวกับงานทางด้านวิจิตรศิลป์ได้ถูกทำความเข้าใจในฐานะที่เป็นผลิตผลของการสร้างสรรค์ของบรรดาศิลปิน ด้วยพรสวรรค์พิเศษที่มีค่าเท่ากับ"อัฉริยภาพ" และอัฉริยภาพเหล่านี้เป็นลักษณะเฉพาะอันหนึ่งซึ่งครอบครองความหมายทางเพศสภาพอย่างสำคัญเป็นการเฉพาะ

2. ความคิดสร้างสรรค์ และอัฉริยภาพ
(Creativity and Genius)

ขณะที่อัฉริยภาพเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยาก ตามความคิดของบรรดานักทฤษฎีส่วนใหญ่ บ่อน้ำของมนุษย์ซึ่งอัฉริยภาพได้ผุดขึ้นมามีเพียงผู้ชายเท่านั้น. ทั้ง Rousseau, Kant, และ Schopenhauer ทั้งหมดต่างประกาศว่า ผู้หญิงครอบครองคุณลักษณะต่างๆ และความสามารถทางสติปัญญาที่อ่อนแอเกินไปที่จะผลิตความมีอัฉริยภาพขึ้นมาได้ คำตัดสินอันนี้เป็นตัวแทนกรณีตัวอย่างที่ชี้เฉพาะอันหนึ่ง ของทฤษฎีทั่วๆ ไปที่ถือว่า ผู้ชายมีคุณภาพทางความคิดจิตใจที่แข็งแกร่งและสำคัญกว่า ในการเปรียบเทียบกับผู้หญิงทั้งหลายที่เป็นคู่กันของมนุษย์แต่จืดจางกว่า

อย่างน้อยที่สุด นับแต่อริสโตเติลเป็นต้นมา ความมีเหตุผลและสติปัญญาอันแหลมคมได้ถูกพิจารณาในฐานะที่เป็นเรื่องของ"ลักษณะเฉพาะของความเป็นชาย" ที่ผู้หญิงเข้าครอบครองในระดับที่น้อยกว่า. ผู้หญิงโดยมาตรฐานได้รับการมองว่ามีสติปัญญาน้อย แต่ค่อนข้างอ่อนไหวและมีอารมณ์ความรู้สึกมาก

ตามความเห็นในบางทฤษฎีเกี่ยวกับการสร้างสรรค์ การมีอารมณ์ความรู้สึกอันนี้และความรู้สึกอ่อนไหวเป็นคุณความดีในการให้แรงดลบันดาล และดังนั้นในสนามความรู้ของสุนทรียศาสตร์ จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเป็นการตอบสนองการใช้ประโยชน์ในเชิงบวกอยู่มาก ซึ่งคุณสมบัติต่างๆ เหล่านี้อาจถูกนำเสนอในพื้นที่อื่นๆ ของปรัชญา

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมันเกิดอัฉริยภาพขึ้น บรรดาศิลปินชายจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดของมัน นั่นคือ ความมีอัฉริยภาพทางศิลปะอันยิ่งใหญ่เป็นอะไรที่มากกว่าความฉลาดหลักแหลมทางสติปัญญา เขามีทั้งลักษณะอ่อนไหวทางอารมณ์ และสามารถปรับมันมาใช้ได้อย่างประณีต ด้วยเหตุดังนั้น จึงครอบครองคุณลักษณะต่างๆ ซึ่งโดยจารีตแล้ว ได้รับการปิดป้ายเป็นทั้ง"ลักษณะของความเป็นชาย"และ"ลักษณะของความเป็นหญิง"(masculine and feminine)ในเวลาเดียวกัน

Christine Battersby มีรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนยาวนานเกี่ยวกับแนวความคิดเรื่องอัฉริยภาพ ซึ่งมีรากต่างๆ อยู่ในเรื่องราวโบราณ(Battersby 1989). โดยช่วงเวลาดังกล่าว มันได้พัฒนามาถึงรูปแบบโรแมนติกที่ทรงพลังของคริสตศตวรรษที่ 18-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกี่ยวกับการกีดกันบรรดาศิลปินหญิงออกไปจากพื้นที่ศิลปะ

อัฉริยภาพทางศิลปะ ได้รับการยกย่องสรรเสริญไม่เพียงในเรื่องของความคิดสติปัญญาที่เข้มแข็ง ซึ่งมักจะถือว่าเป็นคุณสมบัติของผู้ชายอย่างมีน้ำหนักมากกว่าของผู้หญิงเท่านั้น แต่มันยังเป็นเรื่องของความอ่อนไหวและความคิดสร้างสรรค์ มันมีส่วนเท่าๆ กันกับคุณสมบัติทั้งหลายที่ทึกทักกันขึ้นของลักษณะความเป็นหญิงด้วย. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคริสตศตวรรษที่ 19 แหล่งต้นตอ"อันไร้เหตุผล"(nonrational)เกี่ยวกับแรงดลใจ ได้รับการสรรเสริญเยินยอสำหรับการอยู่เหนือกฎเกณฑ์ต่างๆ ของเหตุผล และนำเอาบางสิ่งบางอย่างใหม่ๆ เข้ามาสู่ชีวิตและการดำรงอยู่

การอุปมาอุปมัยความเป็นหญิงเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องการตั้งครรภ์, การออกแรงเบ่ง, และการให้กำเนิด, ได้ถูกหยิบยืมมาอย่างเสรีในการอธิบายต่างๆ เกี่ยวกับการสร้างสรรค์ทางศิลปะ ในเวลาเดียวกันบรรดาศิลปินหญิงจริงๆ ได้รับการละเลยหรือไม่ได้รับความสนใจในฐานะการเป็นตัวแทนต่างๆ ของผลผลิตทางสุนทรีย์ที่สูงสุดอันนั้น

ขณะที่คริสตศตวรรษที่ 19 คืบคลานเข้ามา … การอุปมาอุปมัยต่างๆ เกี่ยวกับความเป็นมารดาของชายกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ - ดังงานเหล่านั้นของการผดุงครรภ์โดยผู้ชาย. ศิลปินมีความนึกคิด, ตั้งครรภ์, ออกแรงเบ่ง(ด้วยความเหนื่อยยากและเจ็บปวด), ให้กำเนิด, และ(ในภาวะปิติยินดีอย่างเหลือล้นอย่างไม่อาจควบคุม ของความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน) การให้กำเนิดทารก. สิ่งเหล่านี้เป็นจินตนาการของการกำเนิดทารกตามธรรมชาติ ที่ผู้ชายเป็นผู้สร้างสรรค์อันประณีต (Battersby 1989: 73)

คำอธิบายเรื่องอัฉริยภาพด้วยภาพต่างๆ ของสตรีนิยม มิได้ช่วยเชื่อมสะพานระหว่างศิลปินชายและศิลปินหญิง ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากหนทางที่แตกต่างกัน ซึ่งความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาได้ถูกฟูมฟักขึ้น อันที่จริงการคลอดบุตร ได้รับการพิจารณาในฐานะที่เป็นผลลัพธ์อันหนึ่งของบทบาทเชิงชีววิทยาที่เป็นธรรมชาติของผู้หญิง; อารมณ์ความรู้สึกที่มีลักษณะเฉพาะของพวกเธอ และความรู้สึกอ่อนไหวต่างๆ ได้รับการพิจารณาในทำนองเดียวกันในฐานะที่เป็นการแสดงออกของสิ่งที่เป็นธรรมชาติซึ่งมอบให้กับพวกเธอ

ด้วยเหตุดังนั้น การแสดงออกทางศิลปะของพวกเธอจึงได้ถูกจัดหมวดหมู่"ในฐานะเป็นความสำเร็จ/สัมฤทธิผล" น้อยกว่า "การนำเสนอหรือการแสดงออกโดยธรรมชาติ" ผลที่ตามมา การแสดงออกทางความรู้สึกในงานศิลปะของผู้หญิง บ่อยครั้งจึงได้รับการมองในฐานะที่เป็นการแสดงของอารมณ์ความรู้สึกตามธรรมชาติ ซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

ในขณะที่ความรู้สึกต่างๆ ที่เข้มแข็งซึ่งแสดงออกในงานของผู้ชาย ได้รับการตีความในฐานะที่เป็นอารมณ์ที่นำพาหรือถ่ายทอดด้วยการควบคุมและความเชี่ยวชาญ. โดยเหตุนี้ อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ในงานศิลปะของผู้หญิง จึงถูกมองในฐานะที่เป็นผลพลอยได้ที่ไม่ตั้งใจ(byproduct)ของธรรมชาติ. ซึ่งในทางตรงข้าม อัฉริยภาพของศิลปินชายได้ผลิตการสร้างสรรค์สิ่งใหม่อันหนึ่งขึ้นมา ที่อยู่เหนือการบงการของธรรมชาติ (Korsmeyer, 2004: ch.3)

โดยทั่วไปแล้ว การประเมินผลมีความผิดแผกกันมากเกี่ยวกับความสามารถต่างๆ และบทบาททั้งหลายทางสังคมระหว่างผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งได้มาขัดขวางหรือสกัดกั้นความสำเร็จเชิงประวัติศาสตร์ของผู้หญิงในทางด้านวิจิตรศิลป์ และไม่มีการปกป้องพวกเธออย่างใดทั้งสิ้น บรรดานักประวัติศาสตร์ทั้งหลายทางด้านดนตรีและศิลปะ ได้มีการประเมินผลกันใหม่เกี่ยวกับบันทึกผลงานทางด้านวิจิตรศิลป์ และทำให้นักปฏิบัติการหรือศิลปินหญิงจำนวนมากได้กลายมาเป็นที่สนใจของสาธารณชนในวงการศิลปะและทางวิชาการศิลปะ แม้ว่าจะมีศิลปินหญิงที่ยิ่งใหญ่ค่อนข้างน้อยมาก แต่พวกเธอมิใช่ว่าไม่มีอยู่เลยจากบันทึกประวัติศาสตร์

มากยิ่งไปกว่านั้น มีรูปแบบบางอย่างทางด้านศิลปะที่ผู้หญิงเป็นผู้บุกเบิก อย่างเช่น นวนิยายร้อยแก้ว นวนิยายนี้ค่อนข้างเป็นรูปแบบใหม่อันหนึ่งในตะวันตก และมันเริ่มเป็นรูปแบบทางศิลปะอันเป็นที่นิยมกันขึ้นมา ซึ่งตลาดของงานเหล่านี้ได้ให้โอกาสหลายหลากสำหรับบรรดานักประพันธ์หญิงให้ได้มาซึ่งเงินทองตามสมควร.

อย่างไรก็ตาม ผลงานต่างๆ ของพวกเธอมักจะไม่ได้รับการยอมรับอย่างสูงสุดสำหรับผลงานเหล่านั้น อันที่จริงแล้ว ค่อนข้างจะถูกวิจารณ์ในเชิงดูถูกเกี่ยวกับความนิยมในงานของพวกเธอ แต่อย่างไรก็ตาม บางคนในจำนวนนั้น อย่างเช่น George Eliot และ Charlotte Bront?, ได้สร้างสรรค์ผลงานอันทรงคุณค่า และได้รับการต้อนรับมาอย่างยาวนาน และกระทั่งได้รับการสรรเสริญในเชิงที่ยังโต้เถียงกันอยู่ในความมี"อัฉริยภาพ"

ในเวลาเดียวกัน ความสงสัยโดยทั่วไปอันหนึ่งเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของหลักการเกี่ยวกับศิลปะที่ยิ่งใหญ่ต่างๆ ของอดีต มีข้อมูลจำนวนมากของความรู้สตรีนิยมในวิชาการต่างๆ เกี่ยวกับการวิจารณ์ ซึ่งได้มีการประเมินกันใหม่เกี่ยวกับบันทึกต่างๆ ในทางประวัติศาสตร์ทางด้านจิตรกรรม, ประติมากรรม, ดนตรี, และวรรณกรม และได้มีการปรับปรุงหลักการเหล่านั้น เพื่อรวมเอาผลงานที่ถูกทอดทิ้งหรือไม่เคยได้รับความเอาใจใส่ของผู้หญิงเข้ามาด้วย

การค้นพบใหม่เกี่ยวกับผลงานของผู้หญิงในอดีต ถือเป็นหนึ่งในความพยายามที่สำคัญของนักวิชาการหญิงในช่วงระหว่างคลื่นลูกที่สองของลัทธิสตรีนิยม ที่ถือเป็นยุคซึ่งได้พบเห็นการก่อตัวขึ้นมาของแนวทางการศึกษาต่างๆ เกี่ยวกับสตรีศึกษาในวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเป็นจำนวนมาก ทั้งในอเมริกาเหนือและยุโรป. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปีแรกของการศึกษาทางด้านนี้ จุดประสงค์หลักทางด้านวิชาการก็คือ ต้องการให้ผู้หญิงมีโอกาสที่เท่าเทียมในเรื่องการยอมรับ เพื่อที่จะน้อมนำไปสู่เป้าหมายเกี่ยวกับความเท่าเทียมกันทางเพศในด้านศิลปะต่างๆ ดังที่เราจะได้พบเห็นในไม่ช้า ซึ่งนี่ได้พิสูจน์ถึงเป้าประสงค์ชั่วคราวขั้นตอนหนึ่ง ในการพัฒนาเกี่ยวกับผลงานในทางสุนทรีย์ศาสตร์ของสตรีนิยม

ได้มีการถกเถียงกันค่อนข้างมากท่ามกลางนักวิชาการสตรีนิยม ที่ได้ให้ความเอาใจใส่เกี่ยวกับการประเมินคุณค่าต่างๆ ซึ่งเชื่อมโยงกับอัฉริยภาพและความสำเร็จทางศิลปะ บางคนได้ให้เหตุผลว่า ความคิดเรื่องอัฉริยภาพ ได้รับการหล่อหลอมขึ้นมาอย่างน่าสงสัย เนื่องจากความแตกต่างกันอย่างยิ่งในการศึกษาที่ใช้กับผู้คน และนั่นคือสิ่งที่ควรได้รับการโยนทิ้งไป

ยิ่งไปกว่านั้น การประคับประคองความสำเร็จของปัจเจกชน ซึ่งทำให้เกิดการละเลยหรือไม่ให้ความเอาใจใส่ต่อการสร้างสรรค์ร่วมกันและของชุมชน โดยหันไปให้การสนับสนุนความเป็นวีรบุรุษ/เอกบุรุษของความเป็นชาย (ในข้อเท็จจริง ศิลปะแนวสตรีนิยมของทศวรรษที่ 1970s บ่อยครั้ง เป็นงานที่ทำร่วมกัน, อันนี้เป็นการปฏิเสธอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความคิดเรื่องการสร้างสรรค์ของปัจเจกบุคคล โดยหันมาให้ความเอาใจใส่กับความร่วมมือกันทำงานในท่ามกลางหมู่ของผู้หญิงด้วยกัน)

นักสตรีนิยมอีกหลายคนไม่เห็นด้วย และได้สร้างบรรทัดฐานอื่นที่เป็นทางเลือกเกี่ยวกับการทำงานในความสัมฤทธิผลต่างๆ ของผู้หญิง โดยได้ให้เหตุผลว่า เราสามารถที่จะตระหนักและเข้าใจขนบจารีตต่างๆ เกี่ยวกับความมีอัฉริยภาพของผู้หญิงได้ในการทำงาน ในรูปงานศิลปะที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้หญิง (Battersby, 1989) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถกเถียงกันอันนี้ ได้นำเข้าไปสู่การสนทนากันอย่างกว้างขวางในเรื่องเกี่ยวกับศิลปะของผู้หญิง ซึ่งสามารถเป็นตัวแทนขนบจารีตสตรีนิยมเกี่ยวกับการสร้างสรรค์ (Ecker, 1986; Hein and Korsmeyer, 1993, sect. II)

ถ้าอันนี้หมายความว่า ผลงานทั้งหลายของศิลปินหญิงมักแสดงออกถึงคุณภาพเชิงสุนทรีย์ของสตรีนิยมบางอย่าง เพราะผู้สร้างสรรค์มันคือผู้หญิง หากเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ ส่วนใหญ่เกี่ยวกับคำตอบของนักสตรีนิยมในทางลบ ยอมรับว่าฐานะตำแหน่งทางสังคมต่างๆ (ในเชิงประวัติศาสตร์, เรื่องชาติ, และอื่นๆ) ได้มีการยัดเยียดความแตกต่างมากมายให้กับผู้หญิง โดยให้การยอมรับการมีส่วนร่วมของผู้หญิงน้อยมากต่อผลงานของพวกเธอ(Felski, 1989, 1998). ในอีกด้านหนึ่ง นักวิชาการบางคนได้ให้เหตุผลว่า บรรดาศิลปินและนักประพันธ์หญิง บ่อยครั้งได้ผลิตสุ้มเสียงในทางตรงข้าม ภายใต้ขนบจารีตรายรอบพวกเธอซึ่งสามารถได้รับการพิจารณาและอ้างอิงถึง"สุนทรียภาพ"ของตัวเอง ใครก็ตามซึ่งยืนหยัดอยู่บนข้อถกเถียงนี้ ต้องขึ้นอยู่กับขอบเขตของหลักฐานค่อนข้างมากที่พิจารณาว่าตรงประเด็นกับคำถามอันนั้น (Devereaux, 1998)

การเรียกร้องต่างๆ สำหรับจารีตอันหนึ่งเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ของผู้หญิง โดยกว้างแล้ว ได้ถูกวิจารณ์สำหรับการทำให้เป็นแก่นแท้ของผู้หญิง และละเลยความแตกต่างทางสังคมและประวัติศาสตร์ที่มีอยู่อย่างมากมายของพวกเธอ. ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น ดังที่ Cornelia Klinger ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ ในการไตร่ตรองย้อนลึกลงไปถึงขนบจารีตทางศิลปะของผู้หญิง ซึ่งอันนี้ดูเหมือนว่าค่อนข้างมีความช่ำชองมากกว่าป้ายฉลากของ"สารัตถะนิยม(essentialism)ที่แสดงนัยะ เพราะพวกเธอไปพ้นจากลัทธิเสรีนิยมแบบความเสมอภาค และยอมรับอิทธิพลต่างๆ ที่มีมาอย่างยาวนานของเพศสภาพในการก่อตัวขึ้นมาของสุนทรียภาพ (Klinger, 1998, p. 350)

3. หมวดหมู่ทางสุนทรีย์และการวิจารณ์ของเฟมินิสท์
(Aesthetic Categories and Feminist Critiques)

ก่อนหน้านี้ได้มีการทบทวนกันถึงภาพสะท้อนสตรีนิยมในเชิงทฤษฎีศิลปะ ซึ่งได้พูดถึงประวัติศาสตร์ของผู้หญิงในทางด้านศิลปกรรมต่างๆ ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อถกเถียงและปฏิบัติการต่างๆของนักสตรีนิยมร่วมสมัยว่าเป็นอย่างไร. สิ่งสำคัญเท่าๆ กันคือเรื่องของการประเมินคุณค่าต่างๆ ที่ประกอบด้วยกรอบแนวคิดมากมายทางสุนทรียศาสตร์ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีอิทธิพลที่สุดบางอย่างเกี่ยวกับการวิเคราะห์วิจารณ์แนวสตรีนิยมที่ได้ปรากฏตัวขึ้นมา

การวิจารณ์แนวสตรีนิยมจำนวนมาก ได้รับการโฟกัสลงที่ปรัชญาในคริสตศตวรรษที่ 18 เนื่องมาจากผลงานที่มีอิทธิพลส่วนใหญ่ในเรื่องความงาม, ความพึงพอใจ, และรสนิยม/รสชาติ ซึ่งได้รับการเขียนขึ้นในช่วงเวลานั้น ต่อมาได้กลายเป็นตำราหลักอันเป็นรากฐานสำหรับทฤษฎีต่างๆ ร่วมสมัย

"รสนิยม/รสชาติ"อ้างอิงถึงคุณสมบัติที่อนุญาตให้มีการตัดสินที่ดีเกี่ยวกับศิลปะ และความงามของธรรมชาติ. ขณะที่การอุปมาอุปมัยเกี่ยวกับการรับรู้ได้ถูกนำมาจากผัสสะทางด้านรสชาติ ทฤษฎีเหล่านี้อันที่จริงเกี่ยวกับเรื่องความพึงพอใจในการมอง, การฟัง, และการจินตนาการ นับจากการที่มันได้รับการสันนิษฐานว่า ประสบการณ์ด้านรสนิยม/รสชาติที่แท้เป็นเรื่องร่างกายและอัตวิสัยมากเกินไปที่จะยอมให้กับประเด็นปัญหาทางปรัชญาที่น่าสนใจต่างๆ

การตัดสินต่างๆ ทางด้านรสนิยม/รสชาติ ได้นำเอารูปแบบเฉพาะอันหนึ่งของความพึงพอใจมาใช้ ซึ่งในท้ายที่สุดได้กลายมาเป็นที่รู้จักในฐานะ"ความพึงพอใจทางสุนทรีย์"(aesthetic pleasure) (ศัพท์คำหนึ่งที่เข้าไปอยู่ในภาษาอังกฤษ เพียงเมื่อต้นคริสตศตวรรษที่ 19 มานี้เอง)

แนวคิดทางทฤษฎีหลักๆ เกี่ยวกับยุคนี้เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยนัยสำคัญทางเพศสภาพ แม้ว่าการตามรอยเรื่องเพศสภาพในความวกวนของงานเขียนต่างๆ ของช่วงเวลาดังกล่าว จะเป็นภาระที่ค่อนข้างหนักและซับซ้อน โดยบทบาทที่ไม่เสถียรภาพของเรื่องทางเพศในทฤษฎีต่างๆ เกี่ยวกับความพึงพอใจทางสุนทรีย์

ตามการวิเคราะห์ที่เข้มงวดและขึงขังส่วนใหญ่ของมัน ที่นำมาสู่อิทธิพลทางสุนทรียศาสตร์และปรัชญาศิลปะเข้าใจกันว่า ความเพลิดเพลินทางสุนทรีย์ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศแต่อย่างใด นั่นคือ ความพึงพอใจทางสุนทรีย์ไม่ใช่เรื่องของผัสสะ, หรือความพออกพอใจทางเนื้อหนัง/ร่างกาย เพราะมันเป็นอิสระจากข้อพิจารณาต่างๆ ในเชิงปฏิบัติ และได้ชำระล้างความปรารถนาออกไป

ความปรารถนา 2 ชนิดที่ได้เข้ามาขัดจังหวะการพิจารณาใคร่ครวญทางสุนทรีย์ส่วนใหญ่แล้วก็คือ "ความหิวกระหาย"และ"ความปรารถนาทางเพศ" ซึ่งเป็นความพึงพอใจเรื่อง"ผลประโยชน์"พอๆ กับเรื่องของ"ความดีเลิศ". ความพึงพอใจทางสุนทรีย์เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์(disinterested)(อันนี้เป็นการใช้ศัพท์ของ Kant - 1724 1804) และเป็นเรื่องของการพิจารณาใคร่ครวญ-ไตร่ตรอง(contemplative)

มันเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ ซึ่งได้ไปขจัดแนวโน้มหรือความปรารถนาแบบปัจเจกของผู้ดู ที่แบ่งแยกผู้คนในการตัดสินต่างๆ ของพวกเขา และนั่นได้ให้ความกระจ่างในใจร่วมกัน กระทั่งความลงรอยกันที่เป็นสากลเกี่ยวกับวัตถุต่างๆ ของความงาม

ในเชิงอุดมคติ รสนิยม/รสชาติคือปรากฏการณ์ที่เป็นสากลอันหนึ่งอย่างมีศักยภาพ แม้ว่าความละเอียดอ่อนของมัน ดังที่ Hume (1711-1776) เสนอไว้, ต้องการการฝึกฝนและการฝึกปฏิบัติ. ในบางระดับ ความต้องการนั้นเกี่ยวกับรสนิยม/รสชาติ อาจได้รับการมองในฐานะที่เป็นสะพานเชื่อมความแตกต่างท่ามกลางผู้คน. แต่ทว่ามันเป็นองค์ประกอบหรือปัจจัยหนึ่งของเวลาว่างที่ฝังตรึงอยู่ในคุณค่าต่างๆของวิจิตรศิลป์ และบรรดานักวิจารณ์ได้ให้เหตุผลว่า รสนิยม/รสชาติ เป็นความสบาย ความปลอดภัยที่เป็นส่วนตัว(ensconce) และการแบ่งแยกทางชนชั้นที่เป็นระบบ (Shusterman 1993; Mattick 1993)

ในเวลาเดียวกัน บรรดานักทฤษฎีทั้งหลายต่างยกย่องความเป็นไปได้ต่างๆ เกี่ยวกับรสนิยม/รสชาติ ที่เป็นที่สากล แต่อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งพวกเขาได้ดึงเอาความแตกต่างในเรื่องเพศสภาพเข้ามาในปฏิบัติการของมัน นักทฤษฎีเป็นจำนวนมากให้เหตุผลว่า หญิงและชายครอบครองรสนิยม/รสชาติ ที่ต่างกันในเชิงระบบ หรือครอบครองสมรรถภาพสำหรับความเข้าใจซาบซึ้งทางศิลปะและผลิตผลทางวัฒนธรรมอื่นๆ ต่างกัน

ความแตกต่างที่โดดเด่นมากสุด เกิดขึ้นกับแก่นแกนทางสุนทรีย์ 2 ชนิดในคริสตศตวรรษที่ 18 นั่นคือเรื่องของ"ความงาม"และ"ความน่าพรั่นพรึง"(beauty and sublimity). [คำว่า sublimity มีความหมายถึงความสง่างาม ความดีเลิศ หรือความงามชนิดหนึ่งที่ให้แรงบันดาลใจในทางชื่นชม หรือสร้างความหวาดหวั่นพรั่นพรึง. โดยความหมายที่คลุมๆดังกล่าว ในที่นี้จึงขอใช้คำแทน sublimity ว่า "ความน่าพรั่นพรึง"]

1. วัตถุต่างๆ ของ"ความงาม"(Objects of beauty) ได้รับการอธิบายในฐานะที่มีขอบเขต, มีขนาดเล็ก, มีความละเอียดอ่อน, อันเป็นคุณสมบัติต่างๆ ที่ทำให้เป็นผู้หญิง(feminized traits)

2. วัตถุใดๆ ก็ตามที่มีลักษณะของความน่าพรั่นพรึง(objects that are sublime), ตัวอย่างที่ดีต่างๆของมัน ส่วนมากได้รับการดึงมาจากธรรมชาติที่ไม่อาจควบคุมได้, ไร้ขอบเขต, หยาบและขรุขระ, ทำให้น่ากลัวหรือหวาดหวั่น - อันเป็นคุณสมบัติต่างๆ ของลักษณะความเป็นชาย(masculinize traits)

ป้ายฉลากทางเพศสภาพเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่มั่นคงถาวรแต่อย่างใด สำหรับความน่ากลัวของธรรมชาติ มีประวัติศาสตร์อันเข้มข้นมายาวนานเท่าๆกัน เกี่ยวกับการอรรถาธิบายในฐานะที่มันเป็นพลังอำนาจของผู้หญิงในเรื่องของความสับสนไร้ระเบียบ(feminine forces of chaos) [Battersby 1998]. กล่าวอย่างสั้นๆ วัตถุต่างๆทางสุนทรีย์ ได้นำพาความหมายทางเพศสภาพไปกับแนวคิดต่างๆ ของมัน เกี่ยวกับเรื่องความงามและความน่าพรั่นพรึง(beauty and sublimity)

ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นไปในทำนองเดียวกันกับคนที่ซาบซึ้งในสุนทรียภาพด้วย. ดังที่ Kant ได้นำเสนอในงานช่วงแรกๆ ของเขาเรื่อง Observations on the Feeling of the Beautiful and Sublime (1763), จิตใจของผู้หญิงเป็นจิตใจที่งดงามอันหนึ่ง แต่ผู้หญิงไม่มีความสามารถที่จะทำความเข้าใจซาบซึ้งในเรื่องความก้าวร้าว ความรุนแรง และความร้ายกาจ และไม่อาจเข้าใจในความสูงส่งน่าพรั่นพรึงที่เผยออกมา

การขาดโอกาสของผู้หญิงจากประสบการณ์เกี่ยวกับความน่าพรั่นพรึงนี้ ได้ไปจำกัดพวกเธอจากความสามารถที่จะเข้าใจในนำหนักทางศีลธรรมและการดำรงอยู่ของอำนาจ/พลัง ความยิ่งใหญ่ของทั้งธรรมชาติและศิลปะ. ความพึงพอใจทางสุนทรีย์เกี่ยวกับความน่าพรั่นพรึงได้ถูกสร้างขึ้นมาบนความน่ากลัวอย่างขัดกับความรู้สึกของคนทั่วๆ ไป

การประกอบสร้างต่างๆ เกี่ยวกับความอ่อนแอที่ถูกสมมุติขึ้นมาเป็นของผู้หญิง และข้อจำกัดต่างๆ ทางศีลธรรมนี้ เป็นเช่นเดียวกันกับข้อจำกัดทั้งหลายทางสังคมของพวกเธอ ซึ่งได้ไปสนับสนุนหรือมีส่วนทำให้แนวคิดหนึ่งเกี่ยวกับความน่าพรั่นพรึง เป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ของผู้ชาย. ข้อถกเถียงกันทั้งหลายเหล่านี้ในเรื่องธรรมชาติและแนวคิดเกี่ยวกับความน่าพรั่นพรึง ก่อให้เกิดข้อโต้เถียงต่างๆ ของนักสตรีนิยมในเรื่อง ความสามารถที่จะเข้าใจในประวัติศาสตร์ของวรรณคดี ขนบจารีตอีกอย่างหนึ่งของความน่าพรั่นพรึงที่ถือว่าเป็น"ความน่าพรั่นพรึงแบบผู้หญิง"(female sublime) (Freeman 1995, 1998; Battersby 1998)

การชำระล้างเกี่ยวกับความพึงพอใจทางเพศ จากความเพลิดเพลินทางสุนทรีย์ด้วยความระมัดระวังอันนี้ คลุกเคล้าปนเปกับการใช้ร่างกายของผู้หญิงในลักษณะที่ขัดกับความรู้สึกทั่วไป ในฐานะที่เป็นตัวอย่างต่างๆ ของวัตถุทางสุนทรีย์. ท่ามกลางสิ่งต่างๆ ที่เป็นความเห็นลงรอยกันอย่างเป็นธรรมชาติกับธรรมชาติมนุษย์

- สำหรับ Hume แล้วโอนเอียงไปทางดนตรี, ที่สร้างความเบิกบานที่ดี, และเป็นเรื่องของเพศหญิง

- ส่วน Kant กล่าวว่า "ผู้ชายได้พัฒนารสนิยมของตัวเขาขึ้นมา ในขณะที่ผู้หญิงทำให้ตัวของเธอเองเป็นวัตถุหนึ่งของรสนิยม/รสชาติของทุกคน"(Kant 1798/1978, p. 222)

- Edmund Burke ได้ทำให้ความงามเป็นเรื่องของกามวิสัยอย่างเปิดเผย เมื่อเขาพิจารณาใคร่ครวญถึงความนุ่มนวลและความละเอียดอ่อนของเส้น ที่เป็นเครื่องหมายของวัตถุที่มีความงามต่างๆ ซึ่งเตือนให้นึกถึงเส้นโค้งทั้งหลายบนเรือนร่างของผู้หญิง (Burke 1757/1968)

ถ้าผู้หญิงเป็นวัตถุต่างๆ ของความพึงพอใจทางสุนทรีย์ หากเป็นเช่นนั้น ความปรารถนาที่แท้จริงของผู้ดูก็จะต้องได้รับการทำให้มีระยะห่าง(distance) และต้องเอาชนะเพื่อที่จะมีความรู้สึกเพลิดเพลินกับสุนทรียภาพได้อย่างบริสุทธิ์. ผลลัพธ์อันนี้เป็นความเกี่ยวพันที่มีนัยะหนึ่งถึงความคิดเรื่องความพึงพอใจที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์(disinterested pleasure)

ความต้องการนี้ มันดูเหมือนว่าจะยอมรับหรือทึกทักว่าเป็นมาตรฐานทางความคิดอันหนึ่งที่เป็นเรื่องของผู้ชาย และเป็นเรื่องของคนที่รักเพศตรงข้าม(heterosexual). แต่แน่นอน ผู้หญิงยังคงเป็นประธานต่างๆ ซึ่งได้ถูกพลิกแพลงไปใช้กับเรื่องรสนิยม/รสชาติ. อันนี้มีนัยะว่า ผู้หญิงเป็นทั้งประธานและกรรมทางสุนทรีย์ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาในเวลาเดียวกัน

การไม่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์(disinterestedness)มีประวัติศาสตร์มายาวนาน มันได้แสดงถึงคุณลักษณะเฉพาะของทฤษฎีต่างๆ เกี่ยวกับทัศนคติทางสุนทรีย์ที่นิยมกันในคริสตศตวรรษที่ 20 ซึ่งได้ให้เหตุผลว่า เงื่อนไขอันดับแรกสำหรับความซาบซึ้งอย่างเต็มที่กับศิลปะทุกชนิด ก็คือระยะห่าง(distance), ซึ่งค่อนข้างเป็นท่าทีของการไตร่ตรองและการครุ่นคิดเกี่ยวกับผลงานศิลปะ

ข้อสันนิษฐานในทำนองเดียวกันเกี่ยวกับวิธีการที่เหมาะสมในการดูงานศิลปะ มันนอนเนื่องอยู่เบื้องหลังการวิจารณ์แนวรูปทรงนิยม(formalist - หมายถึงศิลปะที่ขจัดเอาเนื้อหาทิ้งไป เหลือแต่รูปทรงล้วนๆ และเทคนิคในการสร้างงานศิลปะ เพื่อสนองความชื่นชมโดยตรง) และมีอิทธิพลครอบงำการตีความทางด้านทัศนศิลป์มาหลายทศวรรษ ซึ่งนั่นได้แสดงให้เห็นคุณลักษณ์พิเศษของบรรทัดฐานในการตีความในรูปแบบงานศิลปะอื่นๆ ด้วย อย่างเช่น วรรณคดี และดนตรี (McClary 1991, p. 4; Devereaux 1998; Brand 2000)

คุณค่าของความเพลิดเพลินทางสุนทรีย์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ เกิดขึ้นมาภายใต้การใคร่ครวญอย่างละเอียดในเชิงวิพากษ์อย่างหนักในส่วนของแนวทางสตรีนิยม ซึ่งได้มีการรื้อสร้างความคิดนี้และให้เหตุผลว่า ท่าทีที่ปราศจากเรื่องผลประโยชน์ที่สมมุติกันขึ้นนั้น อันที่จริงแล้ว เป็นการซ่อนเร้นหรือการกำบังตัวอันหนึ่ง และเป็นเรื่องของพวกถ้ำมอง(voyeurism)ที่มีการควบคุมนั่นเอง

แบบฉบับของศิลปะที่ได้เข้ามาสู่การพินิจพิจารณาอย่างละเอียดเป็นการเฉพาะ ในเทอมต่างๆ ของความเกี่ยวพันที่มีนัยะกับความเพลิดเพลินที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ คืองานศิลปะทางด้านทัศนศิลป์ และจำนวนมากของข้อถกเถียงกันในเชิงเหตุผลเกี่ยวกับสิ่งที่ได้กลายมาเป็นที่รู้จักในฐานะ"การจ้องมองของผู้ชาย"(the male gaze) ซึ่งได้รับการผลิตขึ้นจากทฤษีต่างๆ ทางด้านภาพยนตร์และบรรดานักประวัติศาสตร์ศิลป์ และต่อมาได้รับการค้นคว้าโดยบรรดานักปรัชญาทั้งหลาย

คำว่า"การจ้องมองของผู้ชาย"(male gaze) อ้างอิงถึงการวางกรอบเกี่ยวกับวัตถุทั้งหลายทางทัศนศิลป์ ซึ่งผู้ดูได้รับการวางหรือกำหนดอยู่บนตำแหน่งของลักษณะความเป็นชาย(masculine position)ในการทำความเข้าใจซาบซึ้งกับศิลปะ. โดยการตีความวัตถุต่างๆ ทางศิลปะที่มีลักษณะหลากหลายเท่าๆ กับงานจิตรกรรมทั้งหลายเกี่ยวกับภาพเปลือยและภาพยนตร์ฮอล์ลีวูด บรรดานักทฤษฎีเหล่านี้ได้สรุปว่า ผู้หญิงที่ถูกวาดหรือพรรณาในงานศิลปะ โดยได้รับการวางอย่างมีมาตรฐานในฐานะที่เป็นวัตถุต่างๆ ของความเอาใจใส่ (อันนี้คล้ายคลึงกันมากกับ Burke ที่จัดให้ผู้หญิงเป็นวัตถุทางสุนทรีย์มาแต่เดิม) และบทบาทในเชิงรุกค่อนข้างมากเกี่ยวกับการมองนั้น สมมุติว่าเป็นคล้ายๆ ตำแหน่งของผู้ชายที่กำลังจ้องมอง

ดังที่ Laura Mulvey เสนอว่า ผู้หญิงได้ถูกกำหนดให้อยู่ในสถานะที่เป็นฝ่ายรับของการถูกจ้องมอง - ในทางตรงข้าม ผู้ชายกลายเป็นประธานที่เป็นฝ่ายรุกซึ่งเป็นผู้มองจ้อง (Mulvey 1989). ผลงานศิลปะต่างๆ ในตัวมันเอง ได้มีการชี้แนะหรือกำหนดตำแหน่งของการมองที่เป็นอุดมคติต่างๆ. ขณะที่ผู้หญิงจำนวนมากก็ซาบซึ้งในศิลปะเหล่านี้เช่นกัน แน่นอน ท่าทีดังกล่าวพวกเธอยอมรับว่า เพื่อที่จะซาบซึ้งในผลงานต่างๆ ในวิธีการนั้น พวกเธอจึงต้องมีเจตนาที่จะสวมเอาท่าทีหรือทัศนคติการรับรู้แบบผู้ชายเข้าไปด้วย

ทฤษฎีต่างๆ เกี่ยวกับการจ้องมองของผู้ชายมีอยู่อย่างหลากหลายมาก รวมไปถึงทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ซึ่งมีอิทธิพลในการครอบงำการตีความทางด้านภาพยนตร์, (Mulvey 1989; Doane 1991) แต่การทึกทักหรือสันนิษฐานเอาเองและระเบียบวิธีของพวกเขานั้น ได้ถูกโต้แย้งโดยบรรดานักปรัชญาทั้งหลายที่ค่อนข้างปรับไปสู่ศาสตร์ของกระบวนการรับรู้ และปรัชญาวิเคราะห์ที่เหมาะสมต่างๆ (Freeland 1998a; Carroll 1995)

เรื่องราวทั้งหลายเกี่ยวกับการจ้องมองของผู้ชาย สามารถถูกพบได้ในลัทธิสตรีนิยมสายอัตถิภาวนิยม(existentialist feminism) ของ Simone de Beauvoir (Beauvoir 1953) อันนี้เป็นการสังเกตการณ์ต่างๆ จากความคิดในเชิงประจักษ์ ซึ่งยืนยันความมีอิทธิพลครอบงำเกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้ชายในสิ่งสร้างทางวัฒนธรรมต่างๆ โดยปราศจากการรับเอาโครงสร้างทางปรัชญาใดๆมาใช้. ทฤษฎีทั้งหลายเหล่านี้แตกต่างกันในการวินิจฉัยของมัน เกี่ยวกับสิ่งที่ได้ให้กำเนิด"ความเป็นชาย"ในผู้สังเกตที่เป็นอุดมคติสำหรับงานศิลปะ

สำหรับบรรดานักทฤษฎีจิตวิเคราะห์ เราจะต้องเข้าใจการปฏิบัติการของความไร้สำนึกที่มีอยู่เหนือจินตนาการเกี่ยวกับการมอง เพื่อที่จะอธิบายหรือให้เหตุผลการดำรงอยู่ของความปรารถนาในวัตถุต่างๆ ทางทัศนศิลป์. ส่วนนักทฤษฎีด้านอื่นๆ ถือว่า เงื่อนไขทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมนั้นเพียงพอที่จะทำความเข้าใจซาบซึ้งโดยตรงกับศิลปะ ในหนทางต่างๆ ที่เป็นสิทธิพิเศษทางความคิดเห็นของความเป็นชาย

ทั้งๆ ที่มีความแตกต่างในทางทฤษฎีซึ่งมีนัยสำคัญจำนวนมาก และได้มีการวิเคราะห์เกี่ยวกับการจ้องมอง โดยค่อยๆ เข้ามาบรรจบกันในข้อสรุปของพวกเขาที่ว่า งานศิลปะเป็นจำนวนมากที่สร้างขึ้นในขนบจารีตยูโร-อเมริกัน ได้วางหรือกำหนดผู้ที่เข้าใจซาบซึ้งในเชิงอุดมคติในตำแหน่งประธานที่เป็นผู้ชาย(a masculine subject-position). อันนี้ได้มีการถกเถียงกันบนเรื่องของการมีอิทธิพลครอบงำเกี่ยวกับตำแหน่งของผู้ชายในงานศิลปะทั้งมวล

สำหรับประธานต่างๆ ของความซาบซึ้ง ไม่สามารถถูกเข้าใจได้อย่างง่ายๆ ในฐานะที่เป็นเรื่องของ"ความเป็นชาย" แต่มันต้องการความเอาใจใส่มากขึ้นไปกว่านี้ถึงเรื่องทางเพศ(sexuality), เชื้อชาติ, และสัญชาติ(Silverman 1992; hooks 1992). บางครั้ง การอ่านอย่างง่ายๆ เกี่ยวกับการจ้องมองได้ชักจูงหรือลวงให้ใครคนใดคนหนึ่ง ไปเพิ่มเติมความแหลมคมเกี่ยวกับความแตกต่างในเรื่องเพศสภาพขึ้นมาเกินจริงไป สู่ผู้ดูที่เป็นชายและวัตถุของการจ้องมองที่เป็นหญิง แม้ว่าบรรดานักสตรีนิยมส่วนใหญ่ พยายามที่จะหลีกเลี่ยงในเรื่องของคติลดทอน(reductionism)ดังกล่าวก็ตาม

ทั้งๆ ที่มีความแตกต่างกัน แต่ทฤษฎีทั้งหลายเกี่ยวกับการจ้องมองก็ปฏิเสธความคิดที่ว่า การรับรู้เป็นการรับรู้แบบยอมจำนน ทั้งหมดของวิธีการเหล่านี้ยอมรับว่าภาพ, ผัสสะทางสุนทรีย์อันเป็นแก่นสำคัญ, มันครอบครองอำนาจ นั่นคืออำนาจในการทำให้เป็นรูปธรรม - ควบคุมวัตถุที่ถูกจ้องมองสู่การพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนและครอบครองมัน

การจ้องมองของผู้ชายเป็นเครื่องมือทางทฤษฎีอันหนึ่งเกี่ยวกับคุณค่าที่ไม่อาจประเมินได้ ในการเรียกร้องความสนใจสู่ข้อเท็จจริงที่ว่า การจ้องมองเป็นปฏิบัติการอันหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นกลางยากของจักษุประสาท. ดังที่ Naomi Scheman กล่าว:

การมองเป็นผัสสะที่ปรับไปสู่การแสดงออกได้ดีที่สุด - การทำให้ไม่เกี่ยวกับมนุษย์(dehumanization): มันทำงาน ณ ที่ห่างไกลหนึ่งและไม่ต้องการการแลกเปลี่ยน, มันนำเสนอหรือให้ข้อมูลหมวดหมู่ง่ายๆ จำนวนมาก มันทำให้ผู้รับสามารถติดตรึงกับวัตถุดังกล่าวเอาไว้อย่างถูกต้อง แม่นยำ และการจ้องมองเป็นหนทางหนึ่งของการทำให้วัตถุทางสายตาเป็นที่รับรู้ ซึ่งเธอคือวัตถุทางสายตาอันนั้น. การมองเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง ดังที่มันเป็นในงานทัศนศิลป์ และอะไรก็ตามอื่นๆที่มันอาจเกี่ยวเนื่อง(Scheman, 1993, p. 159.)

ทฤษฎีทั้งหลายเกี่ยวกับการมองได้เน้นถึงกิจกรรมของการมอง ความเป็นนายของมันและการควบคุมเกี่ยวกับวัตถุทางสุนทรีย์. ทฤษฎีเหล่านี้ปฏิเสธการแบ่งแยกความปรารถนาจากความพึงพอใจ กลับคืนสู่แก่นแกนของความงามที่เป็นเรื่องของกามวิสัยหรืออีโรติก, เป็นการจ้องมองที่มีความอยากความปรารถนา ที่ไม่ได้ถูกขจัดออกไปจากการไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางสุนทรีย์

งานจิตรกรรมภาพเปลือยต่างๆของผู้หญิง(female nudes), ซึ่งนักวิชาการเฟมินิสคนหนึ่งได้ให้เหตุผลอย่างจริงจัง เกี่ยวกับนิยามงานศิลปกรรมสมัยใหม่ทางด้านจิตรกรรม(Nead, 1992) ซึ่งโดยอุดมคติต่างๆ ทางสุนทรีย์ มันได้ยักย้ายศิลปะไปสู่การเพิ่มขึ้นของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ. โดยในทางทัศนศิลป์ ความสัมพันธ์ต่างๆ เหล่านั้นเป็นการแสดงออกในการมอง นั่นคือวิธีการที่มันถูกวาดขึ้นในผลงาน และวิธีการที่มันถูกกำกับควบคุมในส่วนของผู้สังเกตที่อยู่นอกผลงานนั้น กลายเป็นการปรับไปสู่ตำแหน่งการมองที่กำหนดของผลงานทัศนศิลป์ ซึ่งได้นำพาความปรารถนาและความรู้สึกทางกามวิสัยที่ถูกกดทับไปสู่ความเอาใจใส่ และให้ความสว่างเกี่ยวกับผู้ดูงานศิลปะ อย่างเช่นเอกลักษณ์ทางเพศ และเชื้อชาติ

++++++++++++++++++++++++

บรรณานุกรม


- Banes, Sally. (1998). Dancing Women: Female Bodies on Stage. London: Routledge.
- Battersby, Christine. (1989). Gender and Genius: Towards a Feminist Aesthetics. Bloomington: Indiana University Press.
- __________. (1998). The Phenomenal Woman: Feminist Metaphysics and the Patterns of Identity. New York: Routledge.
- Beauvoir, Simone de. The Second Sex. (1989/49).Trans. H.M. Parshley. New York: Vintage Books.
- Bindman, David. (2002). Ape to Apollo: Aesthetics and the Idea of Race in the 18th Century. Ithaca: Cornell University Press.
- Brand, Peg Zeglin, ed. (2000). Beauty Matters. Bloomington: Indiana University Press.
- Brand, Peggy Zeglin and Carolyn Korsmeyer. Eds. (1995). Feminism and Tradition in Aesthetics. University Park, PA: Pennsylvania State University Press.
- Burke, Edmund. (1957/1968). A Philosophical Enquiry into the Origin of Our Ideas of the Sublime and Beautiful. ed. James T. Boulton. Notre Dame: University of Notre Dame Press.
- Butler, Judith.(1993). Bodies That Matter: On the Discursive Limits of "Sex." New York: Routledge.
- __________. (1990). Gender Trouble: Feminism and the Subversion of Identity. New York: Routledge.
- Campbell, Sue. (1997). Interpreting the Personal: Expression and the Formation of Feelings. Ithaca: Cornell University Press.
- Carroll, No?l. (1995). "The Image of Women in Film: A Defense of a Paradigm." Feminism and Tradition in Aesthetics. Peggy Zeglin Brand and Carolyn Korsmeyer, Eds. University Park, PA: Pennsylvania State University Press: 371-391.
- __________. (2000). Theories of Art Today. Madison: University of Wisconsin Press.
- Chadwick, Whitney. (1990). Women, Art, and Society. London: Thames and Hudson, Ltd.
- Chicago, Judy and Edward Lucie-Smith. (1999). Women and Art: Contested Territory. New York: Watson-Guptill.
- Citron, Marcia J. (1993). Gender and the Musical Canon. Cambridge: Cambridge University Press.
- Copjec, Joan. (2002). Imagine There's No Woman: Ethics and Sublimation. Cambridge, MA: MIT Press.
- Creed, Barbara. (1993). The Monstrous Feminine: Film, Feminism, Psychoanalysis. London: Routledge.
- Curran, Angela. (1998). "Feminism and the Narrative Structures of the Poetics." Feminist Interpretations of Aristotle. Cynthia Freeland, ed. University Park, Pa: Pennsylvania State University Press, pp. 289-326.
- Danto, Arthur. (1981), The Transfiguration of the Commonplace: A Philosophy of Art. Cambridge, MA: Harvard University Press.
- Davies, Stephen. (1991). Definitions of Art. Ithaca: Cornell University Press.
- Devereaux, Mary. (2003). "Feminist Aesthetics." The Oxford Handbook of Aesthetics. Jerrold Levinson, ed. New York: Oxford University Press, pp. 647-666.
- __________. (1998) "Autonomy and its Feminist Critics." Encyclopedia of Aesthetics, Vol. 1. Michael Kelly, Ed. New York: Oxford University Press: 179-182.
- __________. (1995). "Oppressive Texts, Resisting Readers, and the Gendered Spectator." Feminism and Tradition in Aesthetics. Peggy Zeglin Brand and Carolyn Korsmeyer, eds. University Park, Pa: Pennsylvania State University Press, pp. 121-41.
- Dickie, George. (1996). The Century of Taste: The Philosophical Odyssey of Taste in the Eighteenth Century. New York: Oxford University Press.
- Doane, Mary Ann. (1991). Femmes Fatales: Feminism, Film Theory, Psychoanalysis. New York: Routledge.
- Eaton, Anne. (2005). "Feminist Aesthetics and Criticism." Encyclopedia of Philosophy, 2nd ed. Macmillan.
- Ecker, Gisela, ed. (1986). Feminist Aesthetics. Trans. Harriet Anderson. Boston: Beacon Press.
- Felski, Rita. (1989). Beyond Feminist Aesthetics: Feminist Literature and Social Change. Cambridge, MA: Harvard University Press.
- __________. (1998). "Critique of Feminist Aesthetics." Encyclopedia of Aesthetics, Vol. 2. Michael Kelly, ed. New York: Oxford University Press: 170-72.
- Florence, Penny and Nicola Foster. eds. (2000). Differential Aesthetics: Art Practices, Philosophy, and Feminist Understandings. Aldershot, UK: Ashgate.
- Freeland, Cynthia. (2001). But Is It Art? An Introduction to Art Theory. New York: Oxford University Press.
- __________. (1998a). "Film Theory." A Companion to Feminist Philosophy. Malden, MA: Blackwell: 353-360.
- __________. (1998b). The Naked and the Undead. New York: Westview.
- Freeman, Barbara Claire. (1995). The Feminine Sublime: Gender and Excess in Women's Fiction. Berkeley and Los Angeles: University of California Press.
- __________. (1998). "Feminine Sublime."Encyclopedia of Aesthetics, Vol 4. Michael Kelly, ed. New York: Oxford University Press: 331-34.
- Gatens, Moira. (1991). Feminism and Philosophy: Perspectives on Difference and Equality. Bloomington: Indiana University Press.
- Grosz, Elizabeth. (1994).Volatile Bodies: Toward a Corporeal Feminism. Bloomington: Indiana University Press.
- Hein, Hilde and Carolyn Korsmeyer, eds. (1993). Aesthetics in Feminist Perspective. Bloomington: Indiana University Press.
- hooks, bell. (1992). "The Oppositional Gaze." Black Looks. Boston: South End Press, 1992.
- Howes, David, ed. (1991). The Varieties of Sensory Experience. Toronto: University of Toronto Press.
- Irigaray, Luce. (1974/85). Speculum of the Other Woman. Trans. Gillian C. Gill. Ithaca: Cornell University Press.
- Kant, Immanuel.(1798/1978) Anthropology from a Pragmatic Point of View. Trans. Victor Lyle Dowdell. Carbondale: Southern Illinois University Press.
- __________. (1790/1987). Critique of Judgment. Trans. Werner Pluhar. Indianapolis: Hackett.
- Kaplan, E. Ann. (1990). Psychoanalysis and Cinema. New York: Routledge, 1990.
- Klinger, Cornelia. (1998). "Aesthetics." A Companion to Feminist Philosophy. Alison M. Jaggar and Iris Marion Young, eds. Malden, MA: Blackwell: 343-352.
- __________. (1997). "The Concepts of the Sublime and the Beautiful in Kant and Lyotard." Feminist Interpretations of Immanuel Kant. Robin May Schott, ed. University Park, Pa: Pennsylvania State University Press, 1997: 191-211.
- Korsmeyer, Carolyn. (2004). Gender and Aesthetics: An Introduction. London: Routledge.
- _________. "Perceptions, Pleasures, Arts: Considering Aesthetics." Philosophy in a Feminist Voice: Critiques and Reconstructions. Janet Kourany, ed. Princeton: Princeton University Press1998: 145-72.
- Kristeller, Paul Osker. (1951-52). "The Modern System of the Arts: A Study in the History of Aesthetics," Parts I and II, Journal of the History of Ideas 112 and 113: 496-527, 17-46. Also in Essays on the History of Aesthetics. Peter Kivy, ed. Rochester, NY: University of Rochester Press, 1992.
- Kristeva, Julia. (1982). The Powers of Horror: An Essay on Abjection. Trans. Leon S. Roudiez. New York: Columbia University Press.
- Lauter, Estella. (1993). "Re-enfranchising Art: Feminist Interventions in the Theory of Art." Aesthetics in Feminist Perspective. Hilde Hein and Carolyn Korsmeyer, Eds. Bloomington: Indiana University Press: 21-34.
- Lorraine, Ren?e. (1993). "A Gynecentric Aesthetic." Aesthetics in Feminist Perspective. Hilde Hein and Carolyn Korsmeyer, Eds. Bloomington: Indiana University Press: 35-52.
- Lippard, Lucy. (1995). The Pink Glass Swan: Selected Essays on Feminist Art. New York: The New York Press.
- McClary, Susan. (1991) Feminine Endings: Music, Gender, and Sexuality. Minnesota: University of Minnesota Press.
- Mattick, Paul Jr. Ed. (1993). Eighteenth-Century Aesthetics and the Reconstruction of Art. Cambridge: Cambridge University Press.
- Moi, Toril. (1985). Sexual/Textual Politics: Feminist Literary Theory. London: Metheun.
- Mulvey, Laura. (1996). Fetishism and Curiosity. Bloomington: Indiana University Press, 1996.
- __________. (1989). Visual and Other Pleasures. London: Macmillan, 1989.
- Nead, Lynda. (1992). The Female Nude: Art, Obscenity and Sexuality. London: Routledge.
- Nochlin, Linda. (1988). "Why Have There Been No Great Women Artists?" Women, Art, and Power and Other Essays. New York: Harper and Row.
- Parker, Rozsika and Griselda Pollock. (1981). Old Mistresses: Women, Art and Ideology. New York: Pantheon Books.
- Pollock, Griselda. (1988). Vision and Difference: Femininity, Feminism and the Histories of Art. London: Routledge.
- Reckitt, Helena, ed. (2001). Art and Feminism. New York: Phaidon.
- Scheman, Naomi. (1993). "Thinking about Quality in Women's Visual Art." Engenderings: Constructions of Knowledge, Authority, and Privilege. New York: Routledge.
- Shiner, Larry. (2001). The Invention of Art: A Cultural History. Chicago: University of Chicago Press.
- Shusterman, Richard. (1993.) "On the Scandal of Taste." Mattick, Paul Jr., Ed. Eighteenth-Century Aesthetics and the Reconstruction of Art. Cambridge: Cambridge University Press: 96-119.
- Silverman, Kaja. (1992). Male Subjectivity at the Margins. New York: Routledge.
- Silvers, Anita. (1998). "Feminism: An Overview." Encyclopedia of Aesthetics. Michael Kelly, ed. New York: Oxford University Press: Vol 2, 161-67.
- Steiner, Wendy. (2001). Venus in Exile: The Rejection of Beauty in Twentieth-Century Art. New York: The Free Press.
- Woodmansee, Martha. (1994). The Author, Art, and the Market: Rereading the History of Aesthetics. New York: Columbia University Press.
- Worth, Sarah. (1998). "Feminism and Aesthetics." The Routledge Companion to Aesthetics. Berys Gaut and Dominic McIver Lopes, Eds. London: Routledge.
- Zegher, M. Catherine de, ed. (1996). Inside the Visible: an elliptical traverse of 20th century art in, of, and from the feminine. Cambridge, MA: MIT Press.

ข้อมูลอื่นๆที่สามารถค้นคว้าเพิ่มเติม
- American Society for Aesthetics.
- Feminist Aesthetics, maintained by Kristin Switala, Center for Digital Discourse and Culture, Virginia Tech.
- Feminist Aesthetics in the Performing Arts, Bibliography maintained by the University of Wisconsin System Women's Studies Librarian.

หมายเหตุ : บทความชิ้นนี้เรียบเรียงมาบางส่วน จากงานชิ้นสมบูรณ์เรื่อง Feminist Aesthetics ของ Carolyn Korsmeyer : State University of New York / Buffalo

 





สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3
I สารบัญเนื้อหา 4 I สารบัญเนื้อหา 5
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม



มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด กว่า 980 เรื่อง หนากว่า 16000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com


สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com

 



010849
release date
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนรวบรวมบทความทุกสาขาวิชาความรู้ เพื่อเป็นฐานทรัพยากรทางความคิดในการส่งเสริมให้ภาคประชาชนเข้มแข็ง เพื่อพัฒนาไปสู่สังคมที่ยั่งยืน มั่นคง และเป็นธรรม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้ผลิตแผ่นซีดี-รอม เพื่อการค้นคว้าที่ประหยัดให้กับผู้สนใจทุกท่านนำไปใช้เพื่อการศึกษา ทบทวน และอ้างอิง สนใจดูรายละเอียดท้ายสุดของบทความนี้




นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจทุกท่าน สามารถ
คลิกอ่านบทความก่อนหน้านี้ได้ที่ภาพ
หากสนใจดูรายชื่อบทความ ๒๐๐ เรื่อง
ที่ผ่านมากรุณาคลิกที่แถบสีน้ำเงิน
A collection of selected literary passages from the Midnightuniv' s article. (all right copyleft by author)
Quotation : - Histories make men wise; poet witty; the mathematics subtile; natural philosophy deep; moral grave; logic and rhetoric able to contend.... There is no stond or impediment in the wit, but may be wrought out by fit studies: like as diseases of the body may have appropriate exercise. Bacon, of studies
ประวัติศาสตร์ทำให้เราฉลาด; บทกวีทำให้เรามีไหวพริบ; คณิตศาสตร์ทำให้เราละเอียด; ปรัชญาธรรมชาติทำให้เราลึกซึ้ง; ศีลธรรมทำให้เราเคร่งขรึม; ตรรกะและวาทศิลป์ทำให้เราถกเถียงได้… ไม่มีอะไรสามารถต้านทานสติปัญญา แต่จะต้องสร้างขึ้นด้วยการศึกษาที่เหมาะสม เช่นดังโรคต่างๆของร่างกาย ที่ต้องดำเนินการอย่างถูกต้อง
สารานุกรมมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน จัดทำขึ้นเพื่อการค้นหาความรู้ โดยสามารถสืบค้นได้จากหัวเรื่องที่สนใจ เช่น สนใจเรื่องเกี่ยวกับโลกาภิวัตน์ ให้คลิกที่อักษร G และหาคำว่า globalization จะพบบทความต่างๆตามหัวเรื่องดังกล่าวจำนวนหนึ่ง
The Midnight University
the alternative higher education
ศิลปะและสุนทรียศาสตร์แนวเฟมินิสท์
บทความลำดับที่ ๙๙๑ เผยแพร่ครั้งแรกวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๙
H
home
back home
R
related

ข้อความบางส่วนจากบทความ
ขณะที่อัฉริยภาพเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยาก ตามความคิดของบรรดานักทฤษฎีส่วนใหญ่ บ่อน้ำของมนุษย์ซึ่งอัฉริยภาพได้ผุดขึ้นมามีเพียงผู้ชายเท่านั้น. ทั้ง Rousseau, Kant, และ Schopenhauer ทั้งหมดต่างประกาศว่า ผู้หญิงครอบครองคุณลักษณะต่างๆ และความสามารถทางสติปัญญาที่อ่อนแอเกินไปที่จะผลิตความมีอัฉริยภาพขึ้นมาได้ คำตัดสินอันนี้เป็นตัวแทนกรณีตัวอย่างที่ชี้เฉพาะอันหนึ่ง ของทฤษฎีทั่วๆ ไปที่ถือว่า ผู้ชายมีคุณภาพทางความคิดจิตใจที่แข็งแกร่งและสำคัญกว่า ในการเปรียบเทียบกับผู้หญิงทั้งหลายที่เป็นคู่กันของมนุษย์แต่จืดจางกว่า

อย่างน้อยที่สุด นับแต่อริสโตเติลเป็นต้นมา ความมีเหตุผลและสติปัญญาอันแหลมคมได้ถูกพิจารณาในฐานะที่เป็นเรื่องของ"ลักษณะเฉพาะของความเป็นชาย" ที่ผู้หญิงเข้าครอบครองในระดับที่น้อยกว่า. ผู้หญิงโดยมาตรฐานได้รับการมองว่ามีสติปัญญาน้อย แต่ค่อนข้างอ่อนไหวและมีอารมณ์ความรู้สึกมาก

ขณะที่มันได้รับการพิจารณาให้เป็นเรื่องกำไรภายในบ้านอย่างหนึ่ง สำหรับเด็กผู้หญิงที่จะสามารถเล่นดนตรีอยู่ที่บ้านเพื่อครอบครัวและแขกผู้มาเยือน และนำงานศิลปะของพวกเธอตกแต่งผนังภายในบ้านด้วยความสามารถที่วิจิตรบรรจง แต่สำหรับการนำเอาผลงานเหล่านั้นออกแสดงสู่สาธารณะ ด้วยพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษอย่างเดียวกัน(กับผู้ชาย)นั้น ได้รับการพิจารณาอย่างกว้างๆ ในฐานะที่เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมและไม่ใช่คุณลักษณะของเพศหญิง