นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจทุกท่าน หากประสงค์จะตรวจดูบทความอื่นๆที่เผยแพร่บนเว็ปไซค์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ท่านสามารถคลิกไปดูได้จากตรงนี้ ไปหน้าสารบัญ
ผลงานวิชาการชิ้นนี้ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็ปไซต์ วันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ : ไม่สงวนสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์ทางวิชาการ
เว็ปไซต์นี้สร้างขึ้นเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอุดมศึกษาได้โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
สำหรับผู้สนใจส่งบทความทางวิชาการเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชน กรุณาส่งผลงานของท่านมายัง midarticle(at)yahoo.com หรือ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
The author of this work hereby waives all claim of copyright (economic and moral) in this work and immediately places it in the public domain... [copyleft] กรุณานำบทความไปใช้ต่อโดยอ้างอิงแหล่งที่มาตามสมควร

The Midnight University

นิติรัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์การเมือง
แม่อายสะอื้นถึงเศรษฐศาสตร์การเมืองเชิงเปรียบเทียบ
ชำนาญ จันทร์เรือง
อาจารย์พิเศษทางกฎหมาย สมาชิกมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

หมายเหตุ
บทความ ๒ ชิ้นต่อไปนี้ ได้รับการจากผู้เขียน และเคยได้รับการตีพิมพ์แล้วบนหน้าหนังสือพิมพ์
๑. คดีแม่อาย : คดีปกครองประวัติศาสตร์
๒. ประชาธิปไตย ทุนนิยม และสังคมนิยม


(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
บทความฟรี มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 701
เผยแพร่บนเว็ปไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๘

(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 5.5 หน้ากระดาษ A4)



๑. คดีแม่อาย : คดีปกครองประวัติศาสตร์

ทันทีที่เสร็จสิ้นการอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดของตุลาการศาลปกครองเชียงใหม่ในวันที่ 8 ก.ย.2548 น้ำตาแห่งความปลื้มปีติของผู้คนไม่ว่าจะเป็นผู้ฟ้องคดี หรือผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์วันพิพากษาคดีประวัติศาสตร์ในวันนั้นต่างก็โผกอดกันร่ำไห้ด้วยความยินดี ที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศอำเภอแม่อายที่ให้จำหน่ายรายชื่อและรายการบุคคลรวม 1,243 คน ทำให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากประกาศดังกล่าวกลับสู่สภาพเดิม

และที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ที่พบเห็นในวันนั้น ก็คือ การที่ผู้คนกว่า 500 คนพากันประณมมือไหว้บริเวณหน้าที่ทำการศาลปกครองเชียงใหม่และกล่าวคำว่า "ขอบคุณศาลปกครอง" อย่างพร้อมเพรียง ซึ่งเรื่องราวความเป็นมาเป็นไปที่แท้จริงจะเป็นอย่างไร

เรื่องก็มีอยู่ว่า ชาวแม่อายจำนวนหนึ่งเดิมเคยมีสัญชาติไทยและเคยมีบัตรประจำตัวประชาชน แต่ได้ย้ายไปทำกินในที่แห่งอื่น เมื่อกลับมาอยู่ภูมิลำเนาเดิม และได้มาขอทำบัตรประจำตัวประชาชนที่อำเภอแม่อาย แต่ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่อ้างว่า กรณีที่เกิดไฟไหม้เสียหาย จึงไม่มีข้อมูลจัดทำทะเบียนบ้านหรือบัตรประจำตัวประชาชนได้

ประกอบกับในช่วงปี 2520 ทางราชการกวดขันเกี่ยวกับหลักฐานทะเบียนราษฎร โดยได้ออกประกาศว่าหากครอบครัวใดไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร จะต้องถูกผลักดันออกจากราชอาณาจักร ชาวแม่อายเกรงจะถูกผลักดันออกนอกราชอาณาจักร จึงต้องไปจัดทำประวัติเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศไทย ทำให้สถานะของกลุ่มชาวแม่อายเปลี่ยนไป กลายเป็นกลุ่มบุคคลผู้มีรายการบุคคลอยู่ในทะเบียนบ้าน สำหรับบุคคลที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ในลักษณะชั่วคราวหรือเข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง (ทร.13) โดยมีสถานะเป็นชนกลุ่มน้อยในไทย ซึ่งกรมการปกครองได้จัดทำทะเบียนประวัติแยกเป็นกลุ่มไว้

ต่อมาในช่วงปี 2541-2544 ชาวแม่อายแต่ละรายหรือรวมกันเป็นกลุ่ม ได้ทยอยยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนอำเภอแม่อาย เพื่อขอแก้ไขสัญชาติให้เป็นสัญชาติไทยและบางส่วนได้ยื่นคำร้องเพื่อขอเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน (ทร.14)
นายอำเภอแม่อายในขณะนั้นพิจารณาแล้ว จึงได้มีคำสั่งอนุมัติให้เพิ่มชื่อให้กลุ่มชาวแม่อายดังกล่าวในทะเบียนบ้าน (ทร.14)

ต่อมากระทรวงมหาดไทยได้รับการร้องเรียนเป็นหนังสือ ในนามชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านอำเภอแม่อาย ว่ามีการกระทำร่วมกันทุจริตโดยเจ้าหน้าที่และราษฎรในอำเภอแม่อาย ทำบัตรประจำตัวประชาชนและแก้ไขสัญชาติโดยมิชอบ กรมการปกครองจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีตามข้อร้องเรียน พบว่าบางคำร้องมีรายการไม่ถูกต้อง เนื่องจากมีประวัติเป็นชนกลุ่มน้อยและมิได้มีสัญชาติไทย อธิบดีกรมการปกครองจึงสั่งการให้นายอำเภอแม่อายดำเนินการจำหน่ายรายการที่ไม่ถูกต้องออกจากทะเบียนบ้าน (ทร.14) จำนวน 1,243 คน

นายอำเภอแม่อายได้ออกประกาศลงวันที่ 5 ก.พ.2545 เรื่องจำหน่าย ยกเลิกเพิกถอนรายการบุคคล กรณีการขอแก้ไขสัญชาติไทยและเพิ่มชื่อลงในทะเบียนบ้าน (ทร.14) ในอำเภอแม่อาย ชาวแม่อาย 866 คนจึงนำคดีไปฟ้องศาลปกครองเชียงใหม่ ซึ่งศาลปกครองเชียงใหม่พิพากษาว่า ประกาศอำเภอแม่อายนั้น เป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากก่อนออกคำสั่ง ไม่แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ และไม่เปิดโอกาสให้ผู้ฟ้องคดีได้โต้แย้งแสดงพยานหลักฐาน อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

ศาลปกครองพิพากษาให้เพิกถอนประกาศอำเภอแม่อาย ลงวันที่ 5 ก.พ.2545 เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับผู้ฟ้องคดีทั้ง 840 คนที่เหลือจากที่ศาลได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีไปแล้วบางส่วน จากเดิม 866 คน เพราะบางส่วนได้รับการอนุมัติให้เพิ่มชื่อ กลับเข้าทะเบียนบ้าน (ทร.14) ไปแล้ว และบางส่วนก็ถอนฟ้องไปเสียก่อนที่ศาลปกครองเชียงใหม่จะมีคำพิพากษา

คู่กรณีทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด โดยนายอำเภอแม่อายอุทธรณ์ว่า การจำหน่ายบุคคลออกจากทะเบียนบ้าน (ท.ร.14) ตามประกาศได้ดำเนินการที่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ฟ้องคดีก็อุทธรณ์ว่าที่ศาลปกครองชั้นต้น พิพากษาเพิกถอนเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ฟ้องคดีทั้ง 840 คน โดยมิได้เพิกถอนประกาศทั้งฉบับ ทำให้ที่เหลืออีก 403 คน ไม่ได้รับผลของคำพิพากษานี้

ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า ประกาศของนายอำเภอแม่อายเป็นการออกคำสั่งทางปกครองคำสั่งใหม่ โดยเกิดจากดุลยพินิจของนายอำเภอแม่อายเอง มิได้เกิดจากคำขอโดยเจตนาของผู้ฟ้องคดีทั้งหมดแต่อย่างใด นายอำเภอแม่อายจึงควรต้องแจ้งข้อเท็จจริงให้ผู้ได้รับผลกระทบทุกคนได้ทราบ ก่อนที่จะออกคำสั่งทางปกครองตามมาตรา 30 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539

เมื่อนายอำเภอแม่อายมิได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอน อันถือเป็นสาระสำคัญของการออกคำสั่งทางปกครอง ประกาศของนายอำเภอแม่อายจึงเป็นคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อประกาศของนายอำเภอแม่อายเป็นคำสั่งทางปกครองที่มิชอบด้วยกฎหมายแล้ว จึงมีผลให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งดังกล่าวรวม 1,243 คน กลับคืนสู่สถานะเช่นเดิม ตามสถานะที่นายอำเภอแม่อายได้เคยมีคำสั่งอนุมัติไว้ทั้งหมด

ที่ศาลปกครองชั้นต้นจึงได้พิพากษาให้เพิกถอนประกาศนั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย แต่ไม่เห็นพ้องด้วยที่จะให้คำพิพากษามีผลเฉพาะผู้ฟ้องคดีเพียง 840 คนเท่านั้น จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้เพิกถอนประกาศของนายอำเภอแม่อายทั้งฉบับ และให้มีผลต่อผู้ถูกกระทบจากประกาศทุกคน

การที่นำคดีแม่อายมาเล่าให้สู่กันฟังนี้ มิได้มุ่งหวังที่จะชี้ว่าใครเป็นผู้แพ้ใครเป็นผู้ชนะหรือใครเป็นผู้ร้ายใครเป็นพระเอก แต่มุ่งหวังที่จะยกให้เห็นเป็นอุทาหรณ์ว่า การที่หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะออกคำสั่งทางปกครอง ไปกระทบสิทธิของประชาชนแล้ว จะต้องเปิดโอกาสให้เขาทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ และมีโอกาสได้โต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตน หาไม่แล้วก็จะมีผลดังเช่นคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ที่ได้นำมาเล่าให้ฟังนี้ ครับ


๒. ประชาธิปไตย ทุนนิยม และสังคมนิยม

ในยุคสมัยที่เรากำลังหายใจเข้าเป็นเงินหายใจออกเป็นจีดีพีกันอยู่ในปัจจุบันนี้ เราถูกทำให้เชื่อว่า เมื่อปกครองด้วยระบบประชาธิปไตยแล้วระบบเศรษฐกิจต้องเป็นทุนนิยมเท่านั้น ผู้เขียนจึง
จะยกตัวอย่างมาให้เห็นว่าเป็นเช่นว่านั้นจริงหรือ

คำว่าประชาธิปไตยมีมาแต่สมัยกรีก ประชาธิปไตยหรือ democracy มาจาก demos (people หรือ ประชาชน) + kratein (to rule หรือ ปกครอง) ฉะนั้นเมื่อแปลโดยศัพท์แล้ว democracy หรือ ประชาธิปไตย แปลว่าการปกครองโดยประชาชน (rule by people) หรืออาจเรียกได้ว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน

ประชาธิปไตย
คำว่าประชาธิปไตยนอกจากจะหมายถึงการปกครองแล้ว ยังหมายถึงปรัชญาของสังคมมนุษย์ หรือวิถีชีวิตที่ยึดถืออุดมคติหรือหลักการที่กำหนดพฤติกรรมระหว่างมนุษย์ในสังคม ในแง่ของการปกครองจะเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการกำหนดนโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนรวม รัฐบาลที่เกิดขึ้นจึงเป็นเสมือนเครื่องมือในการช่วยให้ประชาชนได้บรรลุจุดหมายปลายทางของสังคมการเมือง นั่นคือความผาสุกของประชาชนทั้งปวง โดยมีลักษณะที่สำคัญคือ

๑) เสรีภาพ : เสรีภาพที่บุคคลอยู่อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องสอดคล้องกับหลักการเรื่องความมั่นคง ความปลอดภัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และสวัสดิการของส่วนรวม

๒) โอกาส : โอกาสที่บุคคลจะสามารถดำเนินงานหรือกิจการต่างๆ ตามความต้องการตน ทุกคนควรจะได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกันในการที่จะพัฒนาศักยภาพต่างๆ ตามความสามารถของ
ตนเอง

และหัวใจของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ไม่ว่าจะเป็นระบบรัฐสภาตามแบบของอังกฤษ หรือประธานาธิบดีตามแบบของอเมริกา แม้กระทั่งระบบกึ่งรัฐสภาหรือกึ่งประธานาธิบดีของฝรั่งเศสก็ตาม หัวใจที่ว่านั้นก็คือการเลือกตั้งและรัฐธรรมนูญ โดยการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนจะผ่านการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้ในแต่ละประเทศ

การที่ประเทศใดจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยหรือไม่นั้นมาตรวัดที่สำคัญที่สุดก็คือต้องมีการเลือกตั้งและต้องเป็นการเลือกตั้งที่มีอิสระเสรี มิใช่การถูกบังคับให้เลือกดังเช่นประเทศเผด็จการ

ทุนนิยม
ส่วนคำว่าทุนนิยมนั้น เป็นระบบเศรษฐกิจที่มีลักษณะที่สำคัญดังนี้

๑) การมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนบุคคลเป็นปัจจัยที่สำคัญ ซึ่งหมายความรวมถึงการอนุญาตให้เอกชนสามารถถือครองทรัพย์สินได้มากเท่าที่จะหามาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

๒) การแข่งขันเสรี ลัทธิทุนนิยมสนับสนุนให้มีการแข่งขันกันอย่างเสรี การแข่งขันเสรีจะทำให้ผู้ขายเสนอราคาที่เหมาะสมที่สุดด้วยศักยภาพการผลิตที่ดีที่สุด คนที่ไม่เหมาะสมกับการผลิตประเภทนั้นๆ จะถูกกันออกจากตลาด และเหลือแต่ผู้ผลิตที่มีประสิทธิภาพ

๓) ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ซึ่งหมายถึงระบบที่อนุญาตให้เอกชนสามารถลงทุนในการผลิต หรือใช้จ่ายเงินเพื่อหาซื้อสินค้าและบริการ ได้ทุกอย่างตามความสามารถและความต้องการ โดยไม่มีกฎระเบียบหรือข้อบังคับจากรัฐบาล ซึ่งพวกทุนนิยมเชื่อว่าในที่สุดจะทำให้ราคาของสินค้าและบริการอยู่ในจุดสมดุล คือจุดที่ผู้ซื้อและผู้ผลิตมีคาวามเห็นตรงกันว่าราคาอยู่ในช่วงที่เหมาะสม

๔) อิสระในการบริหาร ลัทธิทุนนิยมต้องการอิสระในการบริหารงานโดยปราศจากการแทรกแซงของรัฐบาล เพราะในความคิดของพวกทุนนิยมเชื่อว่ารัฐบาลไม่มีทางเข้าใจได้หมดว่าเอกชนต้องการอะไร

สังคมนิยม
ส่วนคำว่าสังคมนิยมนั้น เป็นระบบเศรษฐกิจที่มีการวางแผนจากส่วนกลาง เพื่อ
ผลประโยชน์ของชุมชนโดยส่วนรวม ลัทธินี้จึงอยู่คนละด้านกับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่เอกชนมีสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้ตามต้องการ สามารถที่จะแข่งขันกันอย่างไรก็ได้เพื่อผลกำไรอันสูงสุด ระบบสังคมนิยมเกิดขึ้นมาเพื่อต่อต้านระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เพราะถือว่าระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมนั้น นายจ้างคือผู้มีปัจจัยการผลิต อันได้แก่ ที่ดิน ทุน และการประกอบการ ส่วนแรงงานมีฐานะเป็นเพียงปัจจัยการผลิตอย่างหนึ่งเท่านั้น แรงงานจึงต้องพึ่งพานายจ้าง และด้วยจำนวนแรงงานที่มีอย่างมากมายแรงงานจึงมักถูกกดขี่อย่างไร้มนุษยธรรม นอกจากนั้นการประกอบธุรกิจของเอกชนที่มุ่งแต่กำไรสูงสุด อาจก่อให้เกิดผลเสียแก่สังคม เช่น ปัญหาการว่างงาน อาชญากรรม ปัญหาสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

ลัทธิสังคมนิยมมีลักษณะที่สำคัญดังนี้

๑) มีการวางแผนเศรษฐกิจจากส่วนกลางหรือรัฐบาล โดยลัทธิสังคมนิยมเชื่อว่า หากรัฐบาลมีการวางแผนทางเศรษฐกิจไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดีโดยไม่ปล่อยให้เอกชนดำเนินงานกันเองอย่างไร้ระเบียบ จะทำให้สามารถหลีกเลี่ยงวิกฤติเศรษฐกิจและปัญหาสังคม เช่น ปัญหาเงินเฟ้อ เงินฝืด การว่างงาน ฯลฯ โดยการวางแผนเศรษฐกิจดังกล่าวถือหลักการว่า ต้องเป็นประโยชน์กับสังคมที่เป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม

๒) รัฐบาลเข้ามาควบคุมกิจการที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภคของประชาชน
กิจการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า ประปา และถนนหนทาง จะอยู่ภายใต้การ
ดูแลของรัฐ เนื่องจากเป็นกิจการที่ประชาชนมีความจำเป็นต้องใช้ การที่รัฐบาลเข้ามาดูแลสาธารณูปโภค
ดังกล่าวย่อมเกิดผลดีแก่สังคมเป็นส่วนรวม

ผู้ที่คัดค้านลัทธิสังคมนิยมมองว่า หากการวางแผนจากส่วนกลางมีความผิดพลาด สังคมโดยรวมต้องประสบกับความล้มเหลวพร้อมกัน ในขณะที่ลัทธิทุนนิยมเชื่อว่ากำไรจะเป็นตัววัดว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจใดจะอยู่รอดหรือต้องหายไปจากตลาด ด้วยเหตุนี้ ลัทธิทุนนิยมจึงถูกกล่าวหาว่าเป็นลัทธิที่มองเห็นคนเป็นผลกำไร มือใครยาวสาวได้สาวเอา และทำให้เกิดช่องว่างของมาตรฐานการครองชีพ

จะเห็นได้ว่าทั้งระบบทุนนิยมและสังคมนิยมต่างก็มีข้อดีและข้อเสียด้วยกันทั้งคู่
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีประเทศใดประเทศหนึ่งใช้ระบบใดระบบหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว แต่ละประเทศจะเลือกใช้ทั้งสองระบบ โดยจะมีสัดส่วนของความเป็นทุนนิยมและเสรีนิยมผสมอยู่ในระบบเศรษฐกิจของตัวเองมากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่ความเหมาะสมของแต่ละประเทศ ดังที่เราจะพบเห็นได้ในประเทศในยุโรปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบสแกนดิเนเวียน ที่ใช้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่ใช้ระบบเศรษฐกิจเป็นไปในทางสังคมนิยมหรือที่เรียกกันว่า "รัฐสวัสดิการ"นั่นเอง

น่าแปลกใจที่ประเทศที่มีรายได้ต่อหัวสูงกว่าประเทศไทยเราหลายเท่าตัวกลับใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมหรือรัฐสวัสดิการ แต่เหตุไฉนประเทศไทยเราที่มีรายได้ต่อหัวเพียงเล็กน้อย
จึงกล้าประกาศตัวเองว่า"เราต้องยอมรับว่าประเทศเราเป็นประเทศทุนนิยม" ทั้งๆ ที่คนจนเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศเรา

หรือว่าคนจนถูกกำจัดไปจากสารบบความเป็นคนไทยไปหมดแล้ว จึงไม่ต้องนำมานับรวมไว้ ครับ

 

 

 




บทความที่นำเสนอก่อนหน้านี้ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
หากนักศึกษาและสมาชิกท่านใตสนใจ
สามารถคลิกไปอ่านได้จากที่นี่...คลิกที่ภาพ

 

สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I สารบัญเนื้อหา 3
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

 

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด กว่า 700 เรื่อง หนากว่า 10000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

 

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com

 

 

 

คำโปรย คัดลอกมาจากบทความ เพื่อให้มองเห็นเนื้อความที่น่าสนใจบางส่วน
H
ภาพประกอบดัดแปลงเพื่อใช้ประกอบบทความฟรีสำหรับนักศึกษา จัดทำโดยมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เพื่อให้ทุกคนที่สนใจศึกษาสามารถ เข้าถึงอุดมศึกษาได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมใดๆทั้งสิ้น
ขอขอบคุณ www.thaiis.com ที่ให้ใช้พื้นที่ฟรี

เรื่องมีอยู่ว่า ชาวแม่อายจำนวนหนึ่งเดิมเคยมีสัญชาติไทยและเคยมีบัตรประจำตัวประชาชน แต่ได้ย้ายไปทำกินในที่แห่งอื่น เมื่อกลับมาอยู่ภูมิลำเนาเดิม และได้มาขอทำบัตรประจำตัวประชาชนที่อำเภอแม่อาย แต่ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่อ้างว่า กรณีที่เกิดไฟไหม้เสียหาย จึงไม่มีข้อมูลจัดทำทะเบียนบ้านหรือบัตรประจำตัวประชาชนได้

ประกอบกับในช่วงปี 2520 ทางราชการกวดขันเกี่ยวกับหลักฐานทะเบียนราษฎร โดยได้ออกประกาศว่าหากครอบครัวใดไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร จะต้องถูกผลักดันออกจากราชอาณาจักร ชาวแม่อายเกรงจะถูกผลักดันออกนอกราชอาณาจักร จึงต้องไปจัดทำประวัติเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศไทย ทำให้สถานะของกลุ่มชาวแม่อายเปลี่ยนไป

R
related topic
141048
release date
คลิกไปหน้าสารบัญ(1)
คลิกไปหน้าสารบัญ
(2)
คลิกไปหน้าสารบัญ(3)
คลิกไปหน้าสารบัญ(4)
เพื่อดูบทความใหม่สุด
เว็ปไซต์เผยแพร่ความรู้
เพื่อสาธารณประโยชน์

หากนักศึกษาหรือสมาชิก ประสบปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลด text size ของ font ลง
จะช่วยแก้ปัญหาได้
ที่ศาลปกครองชั้นต้นได้พิพากษาให้เพิกถอนประกาศนั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย แต่ไม่เห็นพ้องด้วยที่จะให้คำพิพากษามีผลเฉพาะผู้ฟ้องคดีเพียง 840 คนเท่านั้น จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้เพิกถอนประกาศของนายอำเภอแม่อายทั้งฉบับ