มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ
Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
สนใจสมัครเป็นสมาชิก
กรุณาคลิก member page
ส่วนผู้ที่ต้องการดูหัวข้อบทความ
ทั้งหมด ที่มีบริการอยู่ขณะนี้
กรุณาคลิกที่ contents page
และผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
หรือประกาศข่าว
กรุณาคลิกที่ปุ่ม webboard
ข้างล่างของบทความชิ้นนี้
หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
midnightuniv(at)yahoo.com
สัญญศาสตร์
- Semiology
การศึกษาเรื่องเครื่องหมาย - The Study of of Signs
จากต้นฉบับของ Michael O'Shaughnessy and Jane Stadler, Media and Society:
An Introduction. Oxford University Press, 2002.
(translated and edited by Somkait Tangnamo)
แปลและเรียบเรียงโดย
สมเกียรติ ตั้งนโม
(บทความนี้ยาวประมาณ 10 หน้ากระดาษ A4)
คำว่า Semiology ถูกรู้จักในชื่อของ Semiotics ด้วย มันเริ่มต้นในฐานะที่เป็นวิธีการศึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์เรื่องภาษา แต่ปัจจุบันได้ถูกนำมาใช้เพื่อวิเคราะห์เรื่อง"ระบบเครื่องหมายต่างๆว่ามันทำงานอย่างไร"(how all sign systems work).
มันจะสำรวจถึงหลักตรรกะและระเบียบวิธีที่อยู่เบื้องหลังการสื่อสาร และแสดงให้เราเห็นว่าจะสามารถทำความเข้าใจอย่างเป็นระบบได้อย่างไร โดยผ่านวิธีการทางสัญญศาสตร์(semiotic method) รวมไปถึงสิ่งที่การสื่อสารต่างๆหมายความถึง. มันเป็นศาสตร์ที่สนใจในเรื่องของความหมาย และเอาใจใส่ในเรื่องของวิธีการต่างๆที่ความหมายได้รับการผลิตขึ้นมาและถูกส่งต่อหรือถ่ายทอด
Semiology (สัญญศาสตร์) ได้รับการนิยามในฐานะที่เป็นศาสตร์ของเรื่องเครื่องหมาย(The Science of Signs) หรือการศึกษาเรื่องเครื่องหมาย(The Study of Signs) หรือระบบเครื่องหมาย(Sign Systems). สัญญศาสตร์(Semiology)เสนอว่า การสื่อสารทั้งมวลได้วางอยู่บนรากฐานของระบบเครื่องหมายต่างๆ ซึ่งทำงานโดยผ่านกฎเกณฑ์และโครงสร้างบางอย่าง
ภาษา(คำ)[language - word]เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นระบบเครื่องหมายที่มีอิทธิพลมากสุดสำหรับมนุษย์ แต่โลกของเรานี้มันเต็มไปด้วยระบบเครื่องหมายอื่นๆ - เช่น สัญญานไฟจราจร, เครื่องหมายบนท้องถนน, แถบป้ายที่คลิกไปยังที่ต่างๆบนเว็ปไซค์(navigation bars), การเรียบเรียง การตัดต่อ และแบบแผนการใช้ภาพในงานภาพยนตร์และโทรทัศน์ สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์, เสื้อผ้า, สไตล์ของทรงผม, สัญญานมือ, ระหัสมอซ(morse codes)ที่ใช้กับโทรเลข, และอื่นๆอีกมากมาย. รูปแบบทั้งหมดของสื่อคือระบบของเครื่องหมาย. ระบบทั้งหมดสามารถถูกนำมาวิเคราะห์ได้โดยใช้หลักการทางสัญญศาสตร์
สัญญศาสตร์(Semiology)ได้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงปลายของคริสตศตวรรษที่ 19 ในฐานะที่เป็นเครื่องมือการทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษา. ผู้ที่สร้างมันขึ้นมาคือ Ferdinand de Saussure(Saussure 1974; Culler 1976; Gordon 1996). นับจากทศวรรษที่ 1930s เป็นต้นมา มันได้รับการพัฒนาโดย C.S.Peirce และคนอื่นๆ, โดยเฉพาะ Peirce พยายามแสวงหาเพื่อทำความเข้าใจระบบเครื่องหมายที่ไม่ใช่ภาษา(non-language sign systems)[Peirce 1958]
ระเบียบวิธีของ Saussure, Peirce และคนอื่นๆได้นำมาใช้นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960s ในฐานะที่เป็นเครื่องมือเกี่ยวกับวิเคราะห์ผลผลิตทางด้านสื่อ(media peoducts)[Fiske 1990; Hall 1997; Hawkes 1977 และ 1996]. ในหนังสือของ Roland Barthes ที่ชื่อว่า Mythologies (Barthes 1973) ถือว่าเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับ "สัญญศาสตร์(Semiology)" ในช่วงต้นๆในการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับสื่อ(media studies) และแม้แต่ในยุคของมันเอง ปัจจุบันหนังสือเล่มนี้ยังคงอ่านเข้าใจได้และเป็นตำราที่สอดคล้องกับเรื่องนี้อยู่
แบบจำลองของการสื่อสารเกี่ยวกับเครื่องหมาย สามารถทำความเข้าใจได้ตามตัวอย่างข้างล่างนี้
Sender ---------- Message / sign System --------- Receiver
สารใดๆ(message), ความหมายใดๆ(meaning), สามารถสื่อสารได้โดยผ่านเครื่องหมายต่างๆและระบบของเครื่องหมาย. เครื่องหมายถือเป็นรูปลักษณ์กลางหรือสิ่งสำคัญของสัญญศาสตร์(Semiology). เครื่องหมายอันหนึ่ง มันคือสัญญะ(signal)ที่สื่อสารบางสิ่งบางอย่างกับเรา ธรรมชาติของเครื่องหมายสามารถทำความเข้าใจได้ใน 2 ทางที่คล้ายๆกัน:
1. เครื่องหมายต่างๆทำงานบนพื้นฐานที่ว่า เครื่องหมายทำหน้าที่เป็นตัวแทนหรือยืนยันถึงบางสิ่งบางอย่าง - เช่น ความหมาย(meaning), แนวความคิด(concept), หรือไอเดีย(idea) ในสิ่งซึ่งมันอ้างอิงถึง
2. ทุกๆเครื่องหมายมันจะประกอบด้วย Signifier และ Signified (ดังภาพประกอบต่อไป) สำหรับ Signifier มันคือรูปแบบอะไรก็ตามที่ถูกนำมาใช้เพื่อถ่ายทอดความหมาย(material form is used as to convey meaning): เช่น ตัวหนังสือ, ภาพ, เสียง, และอื่นๆ. ส่วน Signified คือแนวความคิด(concept)ที่ภาพ เสียง หรือตัวหนังสือสื่อออกมา
การใช้หนทางแรกในการทำความเข้าใจธรรมชาติของเครื่องหมาย เราสามารถเห็นได้ว่าตัวอักษร d-o-g ได้สร้างคำว่า dog ขึ้นมา. การสร้างตัวอักษรหรือคำๆนี้ขึ้นมา มันได้บัญญัติเครื่องหมายที่ทำหน้าที่หรือเป็นตัวแทนไอเดียเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทเคไน(canine - คล้ายสุนัข)ที่มีสี่ขา. ไอเดียหรือแนวคิดมโนคติเกี่ยวกับ"หมา"(dog) คือสิ่งที่ Peirce เรียกว่า the referent มันคือสิ่งซึ่งเครื่องหมายดังกล่าวกล่าวกำลังอ้างถึง
Sign ------------ Signifier + Signified
การใช้วิธีการที่สองในการทำความเข้าใจเครื่องหมายต่างๆ เราสามารถแสดงภาพที่แตกต่างกันระหว่าง Signifier และ Signified ได้โดย การคิดเรื่องของเครื่องหมาย"dog"กันอีกครั้ง. Signifier คือตัวอักษร d-o-g จัดมาเรียงกันเป็นคำว่า dog (หรืออันนี้เรียกว่า signifier ซึ่งนอกจากจะเป็นตัวหนังสือแล้ว อาจจะเป็นภาพก็ได้ เช่นเป็นภาพของสุนัขบางสายพันธุ์). สำหรับ Signified ก็คือไอเดียหรือมโนคติ รวมไปถึงแนวความคิดเกี่ยวกับสุนัข
Sign = dog ------------ Signifier - letter d-o-g + Signified - the concept of a dog
ตัวอย่างอันหนึ่งที่แสดงให้เห็นความต่างระหว่าง Signifier และ Signified คือ สถานการณ์ที่ชายคนหนึ่งได้มอบดอกกุหลาบให้กับหญิงสาวคนหนึ่ง การแสดงอาการเช่นนั้นสามารถถูกทำความเข้าใจได้ในฐานะที่เป็นเครื่องหมาย
ดอกกุหลาบในที่นี้คือ Signifier และสิ่งที่เป็น Signified คือ ความรักของผู้ชายคนนั้นหรือความดึงดูดใจหรือสนใจต่อหญิงสาว. ดอกกุหลาบไม่จำเป็นต้องแสดงออกถึงเรื่องความรักเสมอไป สิ่งซึ่งหมายถึงคือ อากัปกริยาดังกล่าว. เครื่องหมาย(sign)วางอยู่บนพื้นฐาน ระหัส หรือหลักเกณฑ์(code)ที่มีร่วมกัน หรือจารีต ซึ่งดอกกุหลาบสามารถแสดงถึง หรือ เป็นตัวแทน"ความรัก"
ดูเหมือนว่า อันนี้อาจจะเป็นหนทางที่ค่อยๆสลับซับซ้อนมากขึ้นของการทำความเข้าใจสาร(message) แต่มันเป็นประโยชน์มากสำหรับการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับสื่อ เพราะมันได้ดึงความสนใจของเราไปสู่กระบวนการเกี่ยวกับ การทำหน้าที่เป็นตัวแทน(re-presentation - การนำเสนอใหม่อีกครั้ง)หรือ signification (การบ่งชี้ - การทำหน้าที่เครื่องหมาย)เกี่ยวกับการกระทำต่างๆของสื่อ: สารต่างๆที่สื่อ, เครื่องหมายของมัน, ที่ทำงานอยู่บนพื้นฐานของบางสิ่งบางอย่างซึ่งแสดงออกถึงบางสิ่งบางอย่าง; เครื่องหมายทั้งหมดมันรวมเอาทั้ง Signifier และ Signified เอาไว้ด้วยกัน
อันนี้ช่วยให้เราเห็นถึงโครงสร้างที่เกี่ยวพันในการส่งสารของสื่อ และเตือนเราว่าสิ่งที่เรากำลังเห็นนั้น มันไม่ใช่"ความจริง"(แม้ว่ามันจะมองดูคล้ายความจริงมากก็ตาม) แต่เครื่องหมาย(sign)และ Signifier นั้นมีเป้าหมายที่จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนโลกของความเป็นจริง
มันมีแง่มุมหรือรูปลักษณ์มากมายเกี่ยวกับการวิเคราะห์เชิงสัญญศาสตร์. ในการสำรวจว่า เครื่องหมายต่างๆสื่อสารกันอย่างไร สัญญศาสตร์ทำงานอย่างไร เราจะต้องโฟกัสลงไปที่ประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้ ซึ่งจะถูกตรวจตราลงไปในรายละเอียดเป็นข้อๆ คือ
- เครื่องหมายต่างๆ มันสื่อสารโดยผ่าน"รหัส"(กฎเกณฑ์) และ"ขนบธรรมเนียม"(codes and conventions)
- เครื่องหมายและขนบจารีตเหล่านี้ถูกปันส่วนร่วมกันในทางวัฒนธรรม
- พวกมันขึ้นอยู่กับความรู้เชิงวัฒนธรรม
- เครื่องหมายต่างๆ มันสื่อสารโดยผ่านระบบของความแตกต่าง
- เครื่องหมายต่างๆ สื่อสารโดยผ่านตัวเครื่องหมาย(denotation) และการสื่อความหมาย(connotations)
เครื่องหมาย สื่อสารโดยผ่านระหัส(กฎเกณฑ์)
และขนบธรรมเนียมต่างๆ
ระบบเครื่องหมายทั้งมวลมีชุดของแก่นแกนหรือรากฐานชุดหนึ่ง ที่ได้รับการรวมกันขึ้นมาภายใต้กฎเกณฑ์,
รหัส, และขนบจารีตบางอย่าง. อย่างเช่น ภาษาอังกฤษวางอยู่บนพื้นฐานตัวอักษร 26
ตัว, ซึ่งสามารถนำมารวมกันเป็น"คำๆ"และแบบแผนทางไวยากรณ์ได้. เราต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจระหัสหรือหลักเกณท์ที่ถูกต้องดังกล่าวเพื่อที่จะสื่อสาร:
ยกตัวอย่างเช่น ตัวอักษร d-o-g คือรหัสเพื่อใช้ในการอธิบายถึงสัตว์สี่ขาประเภทหนึ่ง
เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขน เลี้ยงลูกด้วยนม. ส่วนประโยคต่างๆได้มาประกอบกันตามขนบธรรมเนียมของไวยากรณ์
คำว่า"รหัส"(code-หลักเกณฑ์))และ"ขนบธรรมเนียม"(convention)คือคำกุญแจที่สำคัญในการศึกษาเกี่ยวกับสื่อ. สารของสื่อทั้งหมดได้ใช้"รหัส"และสื่อสารโดยผ่านขนบธรรมเนียมต่างๆ
รหัสและขนบธรรมเนียมเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรามีส่วนร่วมกันในทางวัฒนธรรม - พวกมันขึ้นอยู่กับความรู้เชิงวัฒนธรรม อันนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะระบบเครื่องหมายต่างๆจะทำงานประสบความสำเร็จได้ก็แต่เพียง การที่ผู้คนทั้งหลายต่างรู้และมีส่วนร่วมปันในความรู้เกี่ยวกับรหัสในอย่างเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น ภาษาญี่ปุ่น หรือภาษารัสเซียเป็นระบบเครื่องหมายหนึ่งที่มีรหัส หรือหลักเกณฑ์และขนบจารีตของตัวมันเอง แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับเรามันเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย ถ้าหากว่าเราไม่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่น หรือภาษารัสเซียได้
กฎเกณฑ์เกี่ยวกับฟุตบอลของออสเตรเลีย, สมาพันธ์กีฬารักบี้, และกีฬาฟุตบอลอังกฤษ(soccer)สามารถเป็นที่เข้าใจของพวกเราได้; ในทำนองเดียวกับกับจังหวะเต้นรำแบบแทงโก้, จังหวะวอลทซ์ และชา-ชา(cha-cha) คือจังหวะเต้นรำที่จะต้องเรียนก่อนที่พวกเราจะสนุกเพลิดเพลินไปกับมัน. กิจกรรมต่างๆเหล่านี้จะเป็นที่เข้าใจก็ต่อเมื่อเราได้เรียนรู้รหัสหรือหลักเกณฑ์ของมันแล้วเท่านั้น
ภาษาที่ต่างออกไปคือตัวอย่างหนึ่งที่ดีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์หรือขนบธรรมเนียมที่แตกต่าง ที่นำมาใช้เป็นตัวแทนหรือแสดงออกสำหรับโลกเรา. ตัวอักษร d-o-g คือเครื่องหมายในรหัสภาษาอังกฤษ. ฝรั่งเศสใช้ตัวอักษร c-h-i-e-n. ทุกๆภาษามีคำที่ต่างกันไป. เพื่อที่จะเข้าใจเครื่องหมายที่แตกต่างกันเหล่านี้คุณจะต้องร่ำเรียนรหัสหรือภาษานั้นๆ
แต่อย่างไรก็ตาม ความรู้ทางวัฒนธรรมคือบางสิ่งบางอย่างที่มากไปกว่าความรู้ง่ายๆธรรมดาของสิ่งที่รหัสอันนั้นหมายถึง. มันคือการรู้สึกรู้ทราบเกี่ยวกับสิ่งต่างๆทั้งหมดที่อาจได้รับการเสนอแนะโดยรหัส. ประเด็นต่อมาเราจะลงลึกไปในรายละเอียดที่ประณีตซับซ้อนเกี่ยวกับเรื่องนี้
เครื่องหมายต่างๆสื่อสารโดยผ่าน"ระบบของความแตกต่าง"
สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของ Saussure ในการวิเคราะห์เกี่ยวกับภาษาก็คือ
ความเข้าใจที่ว่า คำต่างๆมันไม่ได้หมายถึงสิ่งใดเลยในตัวของมันเอง. ความหมายต่างๆของมันขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่า
คำต่างๆคือส่วนหนึ่งของระบบของความต่างๆ(part of a system of difference): พวกมันทำหน้าที่ในเรื่องความหมายที่มีความสัมพันธ์กับคำอื่นๆ
ยกตัวอย่างเช่น "up" ไม่ได้หมายถึงอะไรเลย เว้นแต่ว่าเราสามารถที่จะสร้างความสัมพันธ์ของมันกับคำและแนวคิดคำว่า "down". เราเพียงสามารถเข้าใจสิ่งที่"หมา"เป็น ในความสัมพันธ์กับความรู้ของเราเกี่ยวกับสัตว์ชนิดอื่นๆ - เช่น แมว, หมาป่า, ม้า, และอื่นๆ. จากสิ่งซึ่งเรารู้ พวกมันมีความแตกต่าง
สัญญานไฟจราจรสีแดงมันไร้ความหมายโดยสิ้นเชิงในตัวมันเอง; มันจะมีความหมายก็ต่อเมื่อมันอยู่ในบริบทและรหัสของสีแดง ในฐานะที่ตรงข้ามกับไฟสีเขียวและไฟสีเหลือง เหล่านี้เราเริ่มที่จะเข้าใจหรือรู้เรื่องเกี่ยวกับมันโดยผ่านระบบหนึ่งของความแตกต่าง
เครื่องหมายต่างๆสื่อสารโดยผ่านการบ่งชี้และการสื่อความหมาย(denotations
and connotations)
เครื่องหมายต่างๆนั้น มันทำงานอยู่ด้วยกัน
2 ระดับของความหมาย: นั่นคือ ระดับแรกเป็นเรื่องของความหมายบ่งชี้ และระดับที่สองคือการสื่อความหมาย
Denotation(การบ่งชี้)
ในการพิจารณาถึงสิ่งที่ตัวหนังสือมันบ่งชี้ถึงอะไร เราจะต้องวิเคราะห์มันในระดับของการอธิบายหรือพรรณา(descriptive level)โดยเฉพาะ โดยไม่ต้องค้นลงไปถึงสิ่งที่มันอาจแสดงนัยะ. มันง่ายที่จะถามคำถามขึ้นมาว่า"อะไรอยู่ที่นั่น?" อันนี้เป็นการพยายามที่จะอธิบายโดยปราศจากความคิดเห็น, การประเมินคุณค่า, หรือการตัดสินใดๆ, มันเป็นเรื่องของภาพๆหนึ่งณ ระดับนี้ เครื่องหมายต่างๆใกล้เคียงกับความเป็นอิสระจากเรื่องของคุณค่าเท่าที่จะเป็นไปได้. ยกตัวอย่างเช่น ในระดับของการบ่งชี้(denotative level) "ธงชาติอเมริกันมีรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประกอบด้วยเส้นแนวนอนสีแดง สลับกับสีขาว และมีสี่เหลี่ยมที่เล็กลงมา พื้นสีเป็นสีน้ำเงินที่อยู่บนมุมซ้ายของผืนธง ภายในกรอบสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินบรรจุรูปดาวสีขาวเอาไว้ ซึ่งได้เรียงตัวกันเป็นแถวคล้ายตารางหมากรุก
Connotation(การสื่อความหมาย)
สัญญศาสตร์(semiology)เสนอว่า เครื่องหมายทั้งหมดมันจะพ่วงเอาการสื่อความหมายหรือความสัมพันธ์มากับมันด้วยชุดหนึ่ง นั่นคือ มันจะเตือนผู้ดูถึงความรู้สึก, ความเชื่อ, หรือไอเดียบางอย่าง ที่มันติดมากับ signifier. มันเป็นภารกิจของเราเมื่อต้องการวิเคราะห์ภาพต่างๆโดยวิถีทางของสัญญศาสตร์ เพื่อถามถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดของการสื่อความหมาย(connotatuion)อันนั้นว่าเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับเครื่องหมายที่เฉพาะเจาะจง หรือแก่นแกนในภาพนั้นๆวัตถุต่างๆ, สีสรร, เสื้อผ้า, คำพูด, สไตล์การพิมพ์, แสง, มุมกล้อง, ภาษาท่าทาง, และอื่นๆสามารถที่จะพ่วงความหมายทั้งหมดไปได้
ขอให้กลับไปยังตัวอย่างเกี่ยวกับธงชาติอเมริกันที่กล่าวไว้ข้างต้น เราสามารถหมายเหตุได้ว่า ธงชาติได้ถูกทำให้เกี่ยวข้องกับ(มีการสื่อความหมายเกี่ยวกับ) เสรีภาพ และความยุติธรรม(อย่างน้อยที่สุดสำหรับคนอเมริกันส่วนใหญ่). เราอาจหมายเหตุได้ด้วยว่า รูปดาวได้ถูกนำไปสัมพันธ์กับความดีเลิศ, ชื่อเสียง, ความโด่งดัง, สวรรค์, ความฝัน, และอื่นๆ. พื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าสีน้ำเงินเป็นตัวแทนของท้องฟ้า ดวงดาวแต่ละดวงเป็นสิ่งแทนรัฐแต่ละรัฐในอเมริกา และดวงดาวเหล่านี้ได้ถูกรวมเข้าด้วยกัน แทนที่มันจะกระจัดกระจายในลักษณะส่งๆไปทั่วพื้นที่บนผืนธง
วิธีการที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับการอรรถาธิบายลักษณะของการวิเคราะห์อันนี้ และวิธีการอันหนึ่ง คุณอาจพบโดยบังเอิญในที่อื่นๆที่เป็นเรื่องของสัญลักษณ์: อันนี้เสนอว่า วัตถุหรือภาพที่มีลักษณะเฉพาะต่างๆสามารถพ่วงความหมายเชิงสัญลักษณ์ไปกับมันได้. อย่างเช่น สีแดง เป็นสัญลักษณ์ของอารมณ์รุนแรง โทสะ อันตราย และเรื่องทางเพศในวัฒนธรรมตะวันตก (หมายเหตุในที่นี้ว่า สัญลักษณ์เป็นเรื่องเฉพาะทางวัฒนธรรม: ในประเทศจีน สีแดงสื่อความหมายถึงความโชคดีและความเจริญรุ่งเรือง รวมไปถึงความเป็นคอมมิวนิสม์)
ข้อสังเกตในที่นี้คือว่า อย่างไรก็ตาม สัญลักษณ์มีแนวโน้มที่จะเสนอแนะถึงบางสิ่งบางอย่างที่มีเจตนาโดยตั้งใจของผู้สร้างภาพนั้นๆขึ้นมา การสื่อความหมายจะดึงความสนใจของเราไปสู่การอ่าน ที่ทำขึ้นมาโดยผู้ดูทั้งหลาย และการสื่อความหมายเหล่านี้อาจได้รับการนำไปรวมเข้าด้วยกันกับผู้สร้างภาพนั้นๆขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว. Peirce ได้ให้ความหมายเกี่ยวกับคำว่า"สัญลักษณ์"(symbolic) เป็นการเฉพาะมาก
การสื่อความหมาย(connotation)คือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้ดูหรือผู้ชมรับรู้อยู่กับภาพๆหนึ่ง การสื่อความหมายนั้นมันทำงานใน 2 ระดับด้วยกัน: นั่นคือ
1. ระดับของปัจเจก และ
2. ระดับของวัฒนธรรมสำหรับเป้าประสงค์ของเรา เราเพียงสนใจในระดับวัฒนธรรม และวิถีทางที่การสื่อความหมายช่วยให้เรามองเห็นปฏิกริยาระหว่างเครื่องหมายและคุณค่าต่างๆของวัฒนธรมหนึ่ง แต่เราต้องการที่จะทำความเข้าใจทั้งสองระดับนี้
1. การสื่อความหมายในระดับของปัจเจก (individual connotations) ประสบการณ์ต่างๆที่เรามีในชีวิต เป็นเรื่องของปัจเจกที่ได้ก่อรูปก่อร่างสร้างวิธีการมองโลกและการตอบโต้กับโลกของเราขึ้นมา อันนี้มันทำงานในแง่มุมหรือรูปการณ์ทั้งหมดเกี่ยวกับการเป็นอยู่ของเรา รวมไปถึงการโต้ตอบของเราต่อภาพด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าเด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้ดมกลิ่นกุหลาบเป็นครั้งแรก และมันเป็นเวลาเดียวกันกับการที่เธอมีประสบการณ์ที่น่ากลัว ในกาลต่อมา กลิ่นหรือการมองเห็นภาพกุหลาบอาจจะเป็นการเตือนความทรงจำ หรือทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาได้. การมองเห็นดอกกุหลาบอาจนำพาการสื่อความหมายส่วนตัวอันนี้ต่อเนื่องไปสำหรับเด้กผู้หญิงคนดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ การให้ดอกกุหลาบกับเด็กผู้หญิงคนนี้จึงอาจสร้างความกลัวขึ้นมามากกว่าความรู้สึกหนึ่งเกี่ยวกับความซาบซึ้งในความรัก
ขณะเดียวกัน มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะรับรู้ถึงการมีอยู่ของการสื่อความหมายส่วนตัว(individual connotations)อันนี้ และระมัดระวังเกี่ยวกับสิ่งข้างต้น เมื่อเราทำการวิเคราะห์เรื่องของความหมาย พวกมันจะไม่เป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในเชิงสัญญศาสตร์(semiotic analysis) เพราะว่าพวกมันไม่ได้สื่อความหมายไปตามปกติ ดังที่คนอื่นๆมีส่วนร่วม(ในความหมายนั้น)
2. การสื่อความหมายเชิงวัฒนธรรม (cultural connotations) ในระดับที่สองของการสื่อความหมาย ชี้ถึงวิธีการซึ่งวัตถุที่แตกต่างกันได้พ่วงเอาความสัมพันธ์และการสื่อความหมายไปพร้อมกันกับมันด้วย ซึ่งมันได้รับการมีส่วนร่วมกันในด้านความหมายกับผู้คนจำนวนมากในวัฒนธรรมหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น ของขวัญที่เป็น"ดอกกุหลาบ"ได้รับการยอมรับในเชิงวัฒนธรรมในฐานะที่ได้นำพาการสื่อความหมายที่โรแมนติคมาด้วย
การวิเคราะห์ของ John Fisk เกี่ยวกับความหมายที่ผูกติดมากับประเด็นเรื่องของยีนส์(ผ้ายีนส์หรือการเกงยีนส์)ว่า มันมีการสื่อความหมายที่แตกต่างกัน อย่างเช่น เสรีภาพ อิสรภาพ ความเป็นหนุ่มสาว และความเท่าเทียม ซึ่งถูกนำไปสัมพันธ์เชื่อมโยงโดยกลุ่มต่างๆของผู้คนกับยีนส์(Fiske 1989, pp.1-21)
การรู้สึกรู้ทราบเกี่ยวกับการสื่อความหมายเหล่านี้จะทำให้เรารู้ถึงความหมายเชิงวัฒนธรรมในเรื่องของภาพ. การสื่อความหมายนั้นจะไม่เหมือนกันสำหรับวัฒนธรรมทั้งหมด ซึ่งอันนี้เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับเราเสมอ ในการคิดถึงเรื่องเกี่ยวกับบริบทของภาพๆหนึ่ง และความรู้ทางวัฒนธรรมที่ผู้ดูหรือผู้พบเห็นจะเข้าใจแตกต่างกันไป. และนอกจากนี้ การสื่อความหมายมักจะไม่ถูกรับรู้หรือมีส่วนร่วมโดยคนทุกคนในวัฒนธรรมหนึ่งด้วย แต่เท่าที่เรามองเห็น พวกมันต่างถูกปันความหมายโดยผู้คนจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ และพวกมันจะเป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์ถึงความหมายที่เป็นไปได้ของใจความทั้งหมด
เครื่องหมาย ไอคอน, อินเดคซ์,
และซิมบอลลิค (Iconic, indexical, and symbolic signs)
การวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องของเครื่องหมายของ C.S. Peirce ได้นำเสนอการจัดหมวดหมู่เพิ่มเติมเกี่ยวกับการวิเคราะห์เพิ่มเติมโดยการแบ่งเครื่องหมายออกเป็น
3 แบบด้วยกันคือ Iconic, indexical, symbolic.
เครื่องหมายไอคอน(Iconic signs) คือเครื่องหมายที่คล้ายคลึงกับสิ่งที่มันบ่งถึง. ภาพถ่ายหรือภาพยนตร์ทั้งหมด จัดอยู่ในจำพวก iconic เพราะว่า ภาพดังกล่าวแท้จริงแล้วมันดูเหมือนกับสิ่งที่มันอ้างอิงถึงนั่นเอง. ในทำนองเดียวกัน ภาพงานจิตรกรรมหรือแผนภาพ(diagrams)ที่ดูเหมือนกับสิ่งซึ่งมันบ่งชี้ก็จัดเป็น iconic ด้วย
เครื่องหมายอินเดคซ์(indexical signs) คือเครื่องหมายที่ชี้บ่งหรือชี้ถึงบางสิ่งบางอย่างอื่นๆ (หมายเหตุ: ดัชนีในหน้าท้ายๆของหนังสือคือสิ่งหนึ่งที่เราใช้สำหรับการชี้ ซึ่งดัชนีในหน้าหนังสือมันทำหน้าที่ให้เราย้อนกลับไปสู่หน้าที่ที่มีข้อความนั้นๆปรากฎอยู่) ยกตัวอย่างเช่น ลูกบิดประตูเป็นเครื่องหมายที่ชี้บ่งว่า ใครคนหนึ่งที่อยู่ ณ ที่นั้นต้องการที่จะเข้าไป; หรือการที่เราเห็นควันก็รู้ได้ว่ามีไฟ เป็นต้น. เทอร์โมมิเตอร์, มิเตอร์วัดความเร็ว, นาฬิกาอนาล็อค, หรือกราฟ คือตัวอย่างต่างๆที่เกี่ยวกับข้องกับดัชนี(indexes) เพราะมันเป็นตัวชี้บ่ง ชี้ถึง เพื่อบอกถึงอุณหภูมิ, ความเร็ว, เวลา, และอื่นๆนั่นเอง.
เครื่องหมายสัญลักษณ์(symbolic signs) คือเครื่องหมายที่แสดงถึงบางสิ่งบางอย่าง, แต่มันไม่ได้คล้ายคลึงกับสิ่งที่มันบ่งชี้ ตัวอย่างที่ชัดเจนมากที่สุดก็คือภาษา ซึ่งได้ใช้สัญลักษณ์ต่างๆ ตัวอักษร คำต่างๆ เพื่อแสดงถึงสิ่งที่ได้รับการอธิบายหรือระบุถึง. ในทำนองเดียวกัน เครื่องหมายจราจรและเครื่องหมายทางด้านคณิตศาสตร์ ปกติแล้ว มันคือสัญลักษณ์. ประเด็นที่สำคัญในที่นี้คือว่า มันไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องมีความเชื่อมโยงกันระหว่างเครื่องหมายกับสัญลักษณ์; คำว่า signs (เครื่องหมาย) คือคำว่า arbitrary (ตามอำเภอใจ-คิดเอาเอง) ในคำพูดของ Saussure.
หนทางง่ายๆอันหนึ่งในการจดจำเรื่องเครื่องหมายที่แตกต่างกันเหล่านี้ก็คือ การหวนกับไปคิดถึงหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณ. ภาพของเครื่องพิมพ์บนแถบเครื่องมือถูกเรียกว่า icon เพราะมันมองดูเหมือนกับเครื่องพิมพ์. ส่วนเคอร์เซอร์ที่เป็นรูปลูกศรที่มันปรากฎขึ้นมาเวลาที่คุณใช้เมาส์เพื่อที่จะเรียกดูเมนูหรือเลือกไฟล์มาทำงาน หรือทำหน้าที่ต่างๆ อันที่จริงแล้ว มันกำลังบ่งชี้เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มขึ้นกับคุณ ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นเครื่องหมายดัชนี(indexical sign)
เสียงซึ่งบอกว่าคุณมี - email ใหม่ หรือเสียงบีฟที่คอมพิวเตอร์ทำขึ้น เมื่อคุณไปกดแป้นพิมพ์ผิด ก็คือ index ด้วยเช่นกัน เพราะมันทำหน้าที่กระตุ้นให้คุณไปตรวจสอบ email ใน in-box หรือช่องจดหมาย หรือบ่งชี้ว่าคุณได้ทำอะไรผิดพลาด
แป้นเกือบทุกตัวบนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ของคุณจะมีสัญลักษณ์อยู่บนทุกแป้น ยกตัวอย่างเช่น เครื่องหมาย $ มิได้หมายถึงเรื่องเงิน หรือชี้บ่งว่า หน้านี้เป็นหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องของค่าเงินตราโดยเฉพาะ; มันเป็นสัญลักษณ์ง่ายๆอันหนึ่งที่เป็นตัวแทนเรื่องเงิน. ขึ้นอยู่กับบริบทของมัน, $ สามารถที่จะเป็นสัญลักษณ์ของความโลภ (ยกตัวอย่างเช่น ตัวการ์ตูนต่างๆ บ่อยครั้งมันถูกเขียนคู่กับเครื่องหมายดอลลาร์ในลูกตาของตัวการ์ตูน เมื่อการ์ตูนตัวนั้นไปปล้นธนาคาร, ค้นพบขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่, หรือไม่ก็ได้แจ็คพอท)
ลองมองไปรอบๆถึงตัวอย่างบ่งชี้ที่เป็นเครื่องหมาย iconic, indexical, และ symbolic เป็นไปได้มากที่ว่า คุณสามารถที่จะพบเห็นตัวอย่างต่างๆเกี่ยวกับเครื่องหมาย iconic และ symbolic ในสถานการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆทางสังคมรายรอบตัวส่วนใหญ่
ภาษา, หรือรหัส, ของภาพทางสายตา
(The Language, or code, of visual images)
เมื่อจะทำการวิเคราะห์ถึงความหมายที่ถูกสร้างขึ้นมาในงานภาพถ่ายหรือภาพนิ่งต่างๆ
เราจะต้องพิจารณาถึงรหัสหรือโคด(code)ของการเป็นตัวแทนในเชิงเทคนิค(technical
representation) และโคดของเนื้อหา(codes of content)
รหัสหรือหลักเกณฑ์ของการเป็นตัวแทนเชิงเทคนิค(Codes of technical representation)
เราสามารถวิเคราะห์ภาพถ่ายใดๆก็ตามได้โดยการตั้งคำถามดังต่อไปนี้: ภาพนั้นได้รับการถ่ายขึ้นมาอย่างไร? (How has it been photographed) คำตอบต่อคำถามข้างต้นอาจรวมถึงปัจจัยต่างๆดังนี้: มุมกล้อง, การกรอบภาพ(cropping) การโฟกัส ใช้ฟิล์มขาวดำหรือฟิล์มสี การจัดแสงเป็นอย่างไร. ทั้งหมดเหล่านี้จะให้การสนับสนุนถึงความหมายของภาพดังกล่าวเราสามารถจ้องมองลงไปที่สิ่งเหล่านี้ทีละอย่าง และตั้งคำถามถึงสิ่งที่ได้รับการชี้แนะหรือแสดงถึง(denoted) และสิ่งที่ได้รับการสื่อความหมาย(connoted) ยกตัวอย่างเช่น มุมกล้องที่มีลักษณะเฉพาะจะมีการสื่อความหมายบางอย่างออกมา
รหัสหรือหลักเกณฑ์ของเนื้อหา(Codes of content)
เราสามารถวิเคราะห์ภาพต่างๆได้โดยถามคำถามดังต่อไปนี้: อะไรที่ถูกถ่าย? (what has been photographed?) ซึ่งคำตอบต่อคำถามดังกล่าวอาจรวมประเด็นหรือปัจจัยต่างๆดังนี้: วัตถุต่างๆ, ฉากหรือสถานที่, เสื้อผ้า/เครื่องแต่งกาย, ภาษาท่าทาง(body language), ตำแหน่งของร่างกาย, และสีสรร. ปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ช่วยสนับสนุนถึงความหมายของภาพ ดังที่มันบ่งชี้และสื่อความหมายถึงบางสิ่งบางอย่าง
หลักเกณฑ์หรือรหัสทั้งสองข้อข้างต้นเกี่ยวกับภาพตัวแทนในเชิงเทคนิค(codes of technical representation) และหลักเกณฑ์หรือรหัสเกี่ยวกับเนื้อหา(codes of content)ต้องการการพิจารณา เมื่อต้องกระทำการวิเคราะห์ออกมาเป็นใจความเรื่องราว(textual analysis)เกี่ยวกับภาพต่างๆ. เราจะต้องถามว่า ปัจจัยเหล่านี้ในแต่ละอย่างมันให้การสนับสนุนอย่างไร, ในฐานที่เป็น signs หรือ signifier, ต่อความหมายเกี่ยวกับใจความ(เรื่องราว)
มันยังมีเรื่องของสัญญศาสตร์อื่นๆอีกมาก และคุณสามารถสำรวจเรื่องพวกนี้ได้โดยผ่านการอ่านเพิ่มเติมในที่ต่างๆมากขึ้น แต่ข้อมูลที่ให้มาข้างต้นทั้งหมดตามที่วางเอาไว้เป็นข้อๆ จะช่วยคุณได้มากพอที่จะเริ่มต้นเข้าไปเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ภาพต่างๆอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เข้าใจถึงข้อใหญ่ใจความหรือเรื่องราวต่างๆที่ภาพทั้งหลายนำเสนอ
หมายเหตุ: ข้อมูลต้นฉบับที่นำมาแปลนี้ผิดพลาดบางอย่าง ดังคำชี้แจงของ Dr. Rebecca Zorach ซึ่งส่ง mail มาถึงดังนี้...
For your translation, please note that in the Semiology chapter they make a mistake about the approximate date of C.S. Peirce's work; he was a contemporary of Saussure, who died around the same time, NOT someone who worked "From the 1930s onwards"!!!
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา I ประวัติ ม.เที่ยงคืน
e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
สำหรับสมาชิกที่ต้องการ download ข้อมูล อาจใช้วิธีการง่ายๆดังต่อไปนี้
1. ให้ทำ hyper text ข้อมูลทั้งหมด
2. copy ข้อมูลด้วยคำสั่ง Ctrl + C
3. เปิด word ขึ้นมา (microsoft-word หรือ word pad)
4. Paste โดยใช้คำสั่ง Ctrl + V
จะได้ข้อมูลมา ซึ่งย่อหน้าเหมือนกับต้นฉบับทุกประการ
(กรณีตัวหนังสือสีจาง ให้เปลี่ยนสีเป็นสีเข้มในโปรแกรม Microsoft-word)
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 289 หัวเรื่อง "Semiology : การศึกษาเรื่องเครื่องหมาย" แปลและเรียบเรียงโดย สมเกียรติ ตั้งนโม อาจารย์ประจำ สาขาจิตรกรรม คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เครื่องหมายไอคอน(Iconic signs) คือเครื่องหมายที่คล้ายคลึงกับสิ่งที่มันบ่งถึง. ภาพถ่ายหรือภาพยนตร์ทั้งหมด จัดอยู่ในจำพวก iconic เพราะว่า ภาพดังกล่าวแท้จริงแล้วมันดูเหมือนกับสิ่งที่มันอ้างอิงถึงนั่นเอง. ในทำนองเดียวกัน ภาพงานจิตรกรรมหรือแผนภาพ(diagrams)ที่ดูเหมือนกับสิ่งซึ่งมันบ่งชี้ก็จัดเป็น iconic ด้วย
เครื่องหมายอินเดคซ์(indexical signs) คือเครื่องหมายที่ชี้บ่งหรือชี้ถึงบางสิ่งบางอย่างอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น ลูกบิดประตูเป็นเครื่องหมายที่ชี้บ่งว่า ใครคนหนึ่งที่อยู่ ณ ที่นั้นต้องการที่จะเข้าไป; หรือการที่เราเห็นควันก็รู้ได้ว่ามีไฟ เป็นต้น. เทอร์โมมิเตอร์, มิเตอร์วัดความเร็ว, นาฬิกาอนาล็อค, หรือกราฟ คือตัวอย่างต่างๆที่เกี่ยวกับข้องกับดัชนี(indexes) เพราะมันเป็นตัวชี้บ่ง ชี้ถึง เพื่อบอกถึงอุณหภูมิ, ความเร็ว, เวลา, และอื่นๆนั่นเอง