บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ 622 หัวเรื่อง
จอมพล ป. กับโทษประหารชีวิต:
ดร. สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
บทความฟรีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
The Midnight 's article
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 600 เรื่อง หนากว่า 8000 หน้า ในรูปของ CD-ROM ในราคา 120 บาท(รวมค่าส่ง)
สนใจสั่งซื้อที่ midnightuniv(at)yahoo.com - midnight2545(at)yahoo.com
หรือ ส่งธนาณัติถึง สมเกียรติ
ตั้งนโม : ไปรษณีย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 50202
กรุณาส่งธนาณัติแลกเงินไปยัง
สมเกียรติ ตั้งนโม : คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถนนสุเทพ อำเภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่ 50202
อย่าลืมเขียนชื่อ ที่อยู่ ของผู้รับตัวบรรจงด้วยครับ เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการจัดส่งทางไปรษณีย์
(การจัดส่งทางไปรษณีย์ จะลงทะเบียนทุกฉบับ)
ประวัติศาสตร์ไทย
จอมพล
ป. กับโทษประหารชีวิต:
ข้อมูลเพิ่มเติมบางประการที่อาจเกี่ยวข้องกับกรณีประหารชีวิตคดีสวรรคต
ดร.
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ภาควิชาประวัติศาสตร์
มหาวิทยาลยธรรมศาสตร์
บทความชิ้นนี้ได้รับมาทาง
email จากผู้เขียน
เผยแพร่บนเว็ปไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม
๒๕๔๘
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 6 หน้ากระดาษ A4)
ดังที่ผมได้ชี้ให้เห็นในบทความเรื่อง "๕๐ ปี การประหารชีวิต ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๘" (ฟ้าเดียวกัน ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๒ เมษายน-มิถุนายน ๒๕๔๘ หน้า ๖๔-๘๐) ความทรงจำหรือข้ออ้างของจอมพล ป. ที่ว่า เขาได้พยายามช่วยชีวิตจำเลยคดีสวรรคตทั้ง ๓ ด้วยการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ถึง ๓ ครั้งนั้น ไม่เป็นความจริง
อย่างไรก็ตาม ผมได้พบข้อมูลเล็กๆน่าสนใจขิ้นหนึ่ง ซึ่งแม้จะไม่เกี่ยวกับการประหารชีวิตจำเลยในคดีสวรรคตทั้ง ๓ โดยตรง แต่ก็อาจจะมีนัยยะที่พาดพิงถึงกันได้ นั่นคือ ในปลายปี ๒๔๙๓ ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งหนึ่ง จอมพล ป. ได้เสนอให้ยกเลิกโทษประหารชีวิต น่าเสียดายว่า ช่วงนั้น คณะรัฐมนตรีไม่มีการจัดทำรายงานการประชุมโดยละเอียด มีเพียง "หัวข้อการประชุม" ซึ่งสรุปประเด็นที่พิจารณาและมติอย่างสั้นๆ ดังนี้
๑. เรื่อง โทษประหารชีวิต (ท่านนายกรัฐฒนตรีพิจารณาเห็นว่าโทษประหารชีวิตเป็นโทษที่ร้ายแรงที่สุด ควรจะได้เลิกเสีย จึงเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอรับหลักการออกกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ)
มติ ให้ส่งกระทรวงยุติธรรมพิจารณา. (1)
แต่ที่ชวนให้สะดุดใจก็คือ สำหรับคดีการเมือง ขณะนั้นคดีที่จำเลยต้องเผชิญกับโทษร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต
ก็มีเพียงคดีสวรรคตเท่านั้น (คดีกบฏอย่างกบฏเสนาธิการ ๑ ตุลาคม ๒๔๙๑ และกบฏวังหลวง
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ เมื่อมีการดำเนินคดีก็ไม่ถึงขั้นเสนอโทษประหารชีวิต รวมทั้งกบฏแมนฮัตตัน
๒๔๙๔ หรือกบฏ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๕ ในเวลาต่อมาด้วย)
ในปี ๒๔๙๓ คดีสวรรคตยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาสชั้นต้น จอมพลเองได้ขึ้นเป็นพยานโจทก์ในปีนั้นด้วยซ้ำ ดังนั้น คงยากที่เขาจะลืมหรือไม่คิดถึงนัยยะของการเลิกโทษประหารชีวิตสำหรับคดีสวรรคตเสียเลย แต่ในทางกลับกัน ขณะนั้นจอมพลก็ไม่เคยมีท่าทีไปในทางที่ตีความได้ว่าเป็นห่วงต่อจำเลยในคดีสวรรคต คำให้การต่อศาลของเขา ตามรายงานข่าวหนังสือพิมพ์ ออกมาในลักษณะที่ปรักปรำฝ่ายจำเลยโดยอ้อม (ต่อปรีดีมากกว่าต่อตัว ๓ จำเลย) (2)
ผมไม่มีหลักฐานว่า หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งนั้นแล้ว กระทรวงยุติธรรมได้นำเรื่องโทษประหารชีวิตไปพิจารณาตามมติคณะรัฐมนตรีหรือไม่ หรือคณะรัฐมนตรีเองได้นำเรื่องนี้กลับเข้าพิจารณาอีกหรือไม่ หรือมีมติในที่สุดอย่างไร ปัจจุบันรายงาน (หรือหัวข้อ) การประชุมคณะรัฐมนตรีของปี ๒๔๙๔ และ ๒๔๙๕ ตลอดทั้ง ๒๔ เดือน ได้หายไปจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ในระหว่างเวลานั้นยังมีการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญและเปลี่ยนรัฐบาลอีกด้วย
แต่ที่แน่นอนคือ ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๔๙๔ ให้ประหารชีวิต ชิต สิงหเสนี และศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๔๙๖ ให้ประหารชิต และบุศย์ ปัทมศริน นั่นคือ ถึงปลายปี ๒๔๙๖ หรือ ๒ ปีหลังการประชุมครม.ดังกล่าว โทษประหารชีวิตก็ยังคงมีอยู่
แต่ในต้นปี ๒๔๙๗ ได้มีการหยิบยกปัญหาโทษประหารชีวิตขึ้นมาพิจารณาในคณะรัฐมนตรีอีก ที่น่าสนใจคือ การหยิบยกครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างรัฐบาลกับในหลวง ในประเด็นที่ว่าควรมีการให้อภัยลดโทษประหารชีวิตแก่นักโทษบางรายหรือไม่ หัวข้อการประชุมคณะรัฐมนตรี ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ ดังนี้ (ขีดเส้นใต้เน้นความของผม)
๒๓. (ข้อความขีดเส้นใต้) เรื่อง โทษประหารชีวิต และเรื่องนักโทษเด็ดขาดชาย ชด พุ่มไสว และนักโทษเด็ดขาดชาย เลี้ยน เสือหัวย่าน ขอพระราชทานอภัยลดโทษ (ข้อความขีดเส้นใต้) (เนื่องจากราชเลขาธิการแจ้งว่า ตามที่กราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานอภัยลดโทษให้แก่นักโทษเด็ดขาดชายชด พุ่มไหว ซึ่งต้องโทษฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา กำหนดโทษประหารชีวิต และนักโทษเด็ดขาดชาย เลี้ยน เสือหัวย่าน ต้องโทษฐานชิงทรัพย์และฆ่าเจ้าทรัพย์ตาย กำหนดโทษประหารชีวิต ลดลงเป็นจำคุกตลอดชีวิตทั้งสองรายนั้น
ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว มีพระราชกระแสว่า เหตุผลที่อ้างมาเพื่อขอพระราชทานอภัยลดโทษให้แก่นักโทษเด็ดขาดชายทั้งสองรายนี้ ดูยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะพิจารณาเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลได้ กฎหมายเรื่องการลงโทษประหารชีวิตก็ได้มีมาในประเทศไทยเป็นเวลาช้านานและสืบต่อเนื่องมาจนบัดนี้ เมื่อมีกฎหมายบังคับอยู่ ถ้าจะลดหย่อนผ่อนโทษตามเหตุผลที่อ้างมานี้ ก็จะกระทบกระเทือนระดับการวางโทษของศาล
อนึ่ง ในเรื่องนี้ได้มีพระราชกระแสใคร่ทรงทราบข้อนโยบายเกี่ยวกับโทษประหารชีวิตเพื่อประกอบพระราชดำริอีกด้วย
ท่านนายกรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้วเห็นว่า (ข้อความขีดเส้นใต้) นโยบายเกี่ยวกับโทษประหารชีวิตก็ไม่มีอะไรนอกจากว่าใคร่ขอให้เลิกโทษประหารชีวิต (ข้อความขีดเส้นใต้) และได้ขอให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา จัดทำอธิบายนโยบายในเรื่องนี้ประกอบด้วยตัวอย่างซึ่งมีในต่างประเทศ ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาได้จัดทำบันทึกเรื่องโทษประหารชีวิตเสร็จแล้วเสนอมา
คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นว่า โทษประหารชีวิตนั้นในหลักการยังไม่สมควรยกเลิกกฎหมายขณะนี้ แต่ได้มีนโยบายว่า ในเวลาปรกติจะไม่ลงโทษประหารชีวิตแก่ผู้ที่มีความรู้น้อยและโฉดเขลาเบาปัญญา จึงได้ขอพระราชทานอภัยลดโทษเป็นการแปลงโทษจากประหารชีวิตเป็นจำคุกตลอดชีวิต และการลงโทษเบาลงนั้นก็เป็นการเมตตาในทางมนุษยธรรม ซึ่งฝ่ายตุลาการก็คงจะเป็นที่ชื่นชมยินดี
อย่างไรก็ดี คณะรัฐมนตรีเห็นว่า พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ พระองค์ทรงเจริญพระเมตตากรุณาแก่ประชาชนของพระองค์อยู่เป็นนิจ จึงได้กราบบังคมทูลขอพระมหากรุณามา หากจะทรงโปรดวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นแล้ว ก็เป็นพระราชอำนาจ
สำหรับเรื่องนี้ ก็สุดแต่จะทรงพระมหากรุณา รัฐบาลก็พร้อมที่จะปฏิบัติตามพระราชประสงค์)
มติ เห็นชอบด้วย ให้นำความกราบบังคมทูลต่อไป (3)
น่าสังเกตว่า ถ้าบันทึกการประชุมอย่างย่อๆนี้ถูกต้อง ตัวจอมพล ป.เอง พูดถึงความเห็นของเขาต่อโทษประหารชีวิตในลักษณะทั่วไปครอบคลุมหมด ไม่มีข้อยกเว้น (ดูประโยคที่ผมขีดเส้นใต้) แม้ว่าคณะรัฐมนตรีของเขาดูเหมือนจะไม่คิดไปไกลเท่าเขา (ดูย่อหน้าถัดมา) ถ้าจอมพลมีความเห็นเช่นนั้นจริงๆ ถึงจุดนั้น (มกราคม ๒๔๙๗) คงยากที่พูดว่าเขาไม่คิดถึงกรณีสวรรคตด้วยเลย (แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เราไม่อาจสรุปได้เด็ดขาดจากหลักฐานที่มีอยู่)
เดือนเศษต่อมา ในหลวงทรงให้ราชเลขาธิการอัญเชิญพระราชกระแสตอบรัฐบาลในเรื่องนี้ ขอให้สังเกตภาษาที่ทรงใช้ ผมคิดว่า ไม่เป็นปัญหาเลยว่าข้อความของรัฐบาลประเภท "คณะรัฐมนตรีเห็นว่า พระมหากษัตริย์...ทรงเจริญพระเมตตากรุณาแก่ประชาชนของพระองค์อยู่เป็นนิจ..." ไม่เป็นที่ต้องพระราชหฤทัยนัก ดูเหมือนจะทรงอ่านในลักษณะที่ตรงข้ามกับความหมายตามตัวอักษรของข้อความเลยทีเดียว:
7. (ข้อความขีดเส้นใต้) เรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษ (โทษประหารชีวิต) (ข้อความขีดเส้นใต้) (ราชเลขาธิการได้เชิญพระราชกระแสเกี่ยวกับเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษมาว่า พระองค์ใช่ว่าจะมีพระราชหฤทัยเหี้ยมโหด ไม่มีความเมตตาปราณีแก่เพื่อนมนุษย์ และมีพระราชประสงค์จะให้ประหารชีวิตคนก็หาไม่ ที่ได้ทรงทักท้วงไปก็เพราะทรงเห็นว่าเรื่องควรจะได้รับการพิจารณาโดยรอบคอบและโดยมีเหตุผลจริงๆ เพื่อการได้ดำเนินไปตามตัวบทกฎหมายไม่เสียระดับเป็นการรั้งเหนี่ยวมิให้เกิดอาชญากรรมอันอุกฤษฎ์ดังนี้มากขึ้น
อย่างไรก็ดี เมื่อทางรัฐบาลได้กราบบังคมทูลนโยบายในเรื่องนี้ขึ้นมา และทั้งยังยืนยันขอให้พระราชทานอภัยโทษจากโทษประหารชีวิต เป็นทางแผ่พระราชเมตตาโดยอ้างว่านักโทษทั้ง 3 นี้ กระทำความผิดไปโดยโฉดเขลาเบาปัญญาฉะนี้แล้ว ก็ทรงพร้อมที่จะพระราชทานอภัยโทษลดลง ตามที่เสนอขอพระมหากรุณามาเท่าที่อยู่ในพระราชอำนาจจะทรงทำได้ โดยเฉพาะนักโทษเด็ดขาดชาย ขาวทองคำ ก็เป็นอันทรงพระมหากรุณาให้ลดโทษจากประหารชีวิตเป็นจำคุกตลอดชีวิต ส่วนนักโทษเด็ดขาดชาย ชด พุ่มไหว กับนักโทษเด็ดขาดชาย เลี้ยน เสียหัวย่าน นั้นข้องพระราชหฤทัยว่า จะไม่อยู่ในพระราชอำนาจที่จะทรงสั่งการพระราชทานอภัยลดโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้ เพราะผ่านพ้นกำหนดเวลา 60 วัน ทรงเกรงว่าถ้าทรงสั่งไปจะเป็นการขัดกับบทกฎหมายนั้น
คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นว่า บทกฎหมายเกี่ยวแก่เรื่องนี้ คือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 262 ตามบทกฎหมายนี้เห็นว่าเป็นบทบัญญัติที่กำหนดเวลาไว้ว่า ให้นำตัวไปประหารชีวิตได้เมื่อใด มิใช่เป็นบทบัญญัติที่ห้ามมิให้มีการพระราชทานอภัยโทษ เมื่อพ้นหกสิบวันแล้ว ฉะนั้นเมื่อยังมิได้มีการนำตัวไปประหารชีวิตเมื่อพ้นหกสิบวันแล้ว ก็ยังพระราชทานอภัยโทษให้ได้อยู่ ไม่ขัดต่อกฎหมายเพราะความประสงค์ของมาตรา 262 นี้ เป็นแต่ให้อำนาจฝ่ายบริหารที่จะนำตัวไปประหารชีวิตได้ในเมื่อพระมหากษัตริย์ไม่มีพระบรมราชโองการมาภายในเวลาที่กำหนด
สำหรับเรื่องนี้รัฐบาลกำลังติดต่อกับพระมหากษัตริย์และรอฟังพระบรมราชวินิจฉัยอยู่ จึงยังมิได้นำตัวไปประหารชีวิต เมื่อมาตรา 262 ไม่บังคับให้ต้องนำตัวไปประหารชีวิตเมื่อพ้นหกสิบวัน เป็นแต่อนุญาตให้นำตัวไปประหารชีวิตได้ จึงยังทรงมีพระราชอำนาจที่จะพระราชทานอภัยโทษได้)
มติ ให้นำความกราบบังคมทูลไปตามนัยดังกล่าวนี้
อนึ่ง ให้ถือเป็นหลักการว่านักโทษเด็ดขาดที่ต้องโทษประหารชีวิตนั้น ให้ขอพระราชทานอภัยลดโทษลงเป็นตลอดชีวิต และให้ถือหลักว่า ไม่มีการลดโทษให้อีกในทุกกรณี และในทางนโยบายนั้นยังไม่ยกเลิกกฎหมายว่าด้วยโทษประหารชีวิต. (4)
จะเห็นว่า ตามมตินี้ คณะรัฐมนตรี
"ถือเป็นหลักการ" ว่า โทษประหารชีวิตให้ขอพระราชทานอภัยลดโทษเหลือเป็นจำคุกตลอดชีวิต
แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ยกเลิกโทษประหารชีวิต ในทางปฏิบัติ เมื่อถึงปลายปีนั้นที่มีการพิจารณาฏีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยคดีสวรรคต
คณะรัฐมนตรีจึงอ้างได้ว่า "เรื่องนี้เป็นการประทุษร้ายแก่บุคคลสำคัญของประเทศ
ตามหลักการของกระทรวงมหาดไทยซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยแล้วนั้น จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้"
(ผมไม่เคยเห็นบันทึกการพิจารณา "เห็นชอบด้วย" ของคณะรัฐมนตรีต่อ "หลักการของกระทรวงมหาดไทย"
ที่ว่านี้)
ในส่วนของราชสำนักนั้น
ผมคิดว่า กรณีนี้ทำให้เราทราบว่า ในหลวงทรงให้ความสนพระทัย และทรงพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนในฏีกาขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิต
แม้ในคดีอาญาธรรมดา
เชิงอรรถ
1. หัวข้อการประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ ๘๑/๒๔๙๓ วันจันทร์ที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๔๙๓2. จอมพล ป.ให้การในฐานะพยานโจทก์เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๔๙๓ ตามรายงานของ สยามนิกร ฉบับวันต่อมา เขาได้กล่าวต่อศาลตอนหนึ่งว่า
"ก่อนเสด็จสวรรคตประมาณ ๒-๓ อาทิตย์ พล.ต.ต.เผ่า ได้มาบอกกับพยานว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสรับสั่งให้เข้าเฝ้า ซึ่งพล.ต.ต.เผ่าบอกแต่เพียงว่า ในหลวงต้องการพบ พลตรีเผ่า ได้ทราบมาจากในวัง ซึ่งพยานเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร พยานได้บอกกับพล.ต.ต.เผ่าว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระประสงค์เช่นนั้น พยานก็ยินดีที่จะเข้าเฝ้า พยานได้ให้พล.ต.ต.เผ่า ไปตกลงว่าจะให้เข้าเฝ้าที่ไหนและเวลาไร แล้วพล.ต.ต.เผ่าก็ได้มาแจ้งให้ทราบ ซึ่งพยานได้ตอบไปว่า ที่ไหนก็ได้ ตามความสะดวกของพระองค์ เมื่อก่อนในหลวงสวรรคต ประมาณ ๑ สัปดาห์ ว่าจะให้เข้าเฝ้าที่วังสระปทุม หรือในวังหลวงที่พระที่นั่งบรมพิมาน พยานจำไม่ได้แน่ ต่อมาเรื่องก็เลยเงียบไป จนกระทั่งในหลวงสวรรคต"ผมตีความว่า ฝ่ายโจทก์พยายามสร้างภาพปรักปรำปรีดี ในลักษณะเดียวกับที่พวกนิยมเจ้าชอบสร้างข่าวลือที่รู้จักกันดีว่า ปรีดีไม่พอใจในหลวงอานันท์อย่างมาก ต่อการที่ในหลวงอานันท์ทรงเสด็จเยาวราช โดยการนำเสด็จของควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คือพยายามจะบอกว่า ปรีดีอาจไม่พอใจที่ในหลวงอานันท์ทรงติดต่อกับจอมพล ป.เช่นเดียวกัน,
3. หัวข้อการประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ ๘/๒๔๙๗ วันพุธที่ ๒๗ มกราคม ๒๔๙๗
4. หัวข้อการประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 15/2497 วันพุธที่ 3 มีนาคม 2497
บทความวิชาการฟรีที่ผ่านมา
ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
หากนักศึกษาและสมาชิกท่านใตสนใจ
สามารถคลิกไปอ่านได้จากที่นี่...คลิกที่ภาพ
สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา
3
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
e-mail :
midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 600 เรื่อง หนากว่า 8000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 120 บาท(รวมค่าส่ง)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นว่า
บทกฎหมายเกี่ยวแก่เรื่องนี้ คือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 262
ตามบทกฎหมายนี้เห็นว่าเป็นบทบัญญัติที่กำหนดเวลาไว้ว่า ให้นำตัวไปประหารชีวิตได้เมื่อใด
มิใช่เป็นบทบัญญัติที่ห้ามมิให้มีการพระราชทานอภัยโทษ เมื่อพ้นหกสิบวันแล้ว
ฉะนั้นเมื่อยังมิได้มีการนำตัวไปประหารชีวิต
เมื่อพ้นหกสิบวันแล้ว ก็ยังพระราชทานอภัยโทษให้ได้อยู่