ผลงานภาพประกอบดัดแปลง ใช้ประกอบบทความบริการฟรีของ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

R
relate topic
010748
release date

บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ 603 หัวเรื่อง
การเมืองในลาตินอเมริกา
เรื่องยุ่งๆหลังบ้านสหรัฐ
ภัควดี วีระภาสพงษ์ : เรียบเรียง
บทความบริการฟรี ม.เที่ยงคืน
The Midnight 's article

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ

Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ

หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com

เผยแพร่ เพื่อสาธารณประโยชน์
หากนักศึกษาหรือสมาชิก ประสบ
ปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลดขนาดของ font ลง จะ
สามารถแก้ปัญหาได้

midnightuniv(at)yahoo.com
midnight2545(at)yahoo.com
midarticle(at)yahoo.com
นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจทุกท่าน หากประสงค์จะตรวจดูบทความอื่นๆที่เผยแพร่บนเว็ปไซค์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ท่านสามารถคลิกไปดูได้จากตรงนี้ ไปหน้าสารบัญ
เว็ปไซท์นี้มีการคลิกโดยเฉลี่ยต่อวัน 21,878 สูงสุด 32,795 สำรวจเมื่อเดือน พ.ค. 48
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนขอขอบคุณ www.thaiis.com ที่กรุณาให้ใช้พื้นที่ฟรีในการเผยแพร่งานวิชาการ เพื่อประโยชน์ต่อสังคม

คลิกไปหน้า homepage มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

การเมืองในแถบลาตินอเมริกา
เอกวาดอร์: อีกโดมิโนของการแข็งข้อที่หลังบ้านสหรัฐฯ
ภัควดี วีระภาสพงษ์ : เรียบเรียง


หมายเหตุ : บทความชิ้นนี้เรียบเรียงมาจาก
Green Left Weekly http://www.greenleftweekly.org.au
The Guardian http://www.guardian.co.uk
Wikipedia, the free encyclopedia

เผยแพร่บนเว็ปไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๘

(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 7 หน้ากระดาษ A4)




ข้อความ : ปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา สำนักข่าวทั่วโลกรายงานถึงวิกฤตการณ์ทางการเมืองในประเทศเอกวาดอร์ ในวันที่ 22-23 เมษายน ชาวเอกวาดอร์ในเมืองหลวงคีโต ลุกฮือขึ้นขับไล่ประธานาธิบดีลูซีโอ กูตีเยร์เรซ ที่ครองตำแหน่งจากการเลือกตั้งมาตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ. 2003 จนกูตีเยร์เรซต้องขอลี้ภัยที่สถานทูตบราซิล และรองประธานาธิบดีอัลเฟรโด ปาลาเซียว ขึ้นรักษาการแทนชั่วคราว

สื่อมวลชนกระแสหลักรายงานว่า ชนวนของการลุกฮือครั้งนี้เกิดมาจากความลุแก่อำนาจของกูตีเยร์เรซเอง ปัญหาเกิดขึ้นมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เมื่อคณะผู้พิพากษาศาลฎีกาเปิดพิจารณาคดีตามคำร้องขอของฝ่ายค้าน เพื่อหาหลักฐานว่าประธานาธิบดีกูตีเยร์เรซ มีความผิดฐานฉ้อราษฎร์บังหลวงจริงหรือไม่ แต่ในเดือนธันวาคม กูตีเยร์เรซก็จัดการไล่คณะผู้พิพากษาออกทั้ง 31 คน และแต่งตั้งคณะผู้พิพากษาใหม่ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มอำนาจของตัวเองขึ้นมาแทน

สื่อมวลชนกระแสหลักยังระบุในทำนองว่า นายปาโค มอนคาโย นายกเทศมนตรีของเมืองคีโต และผู้นำของพรรคฝ่ายซ้ายประชาธิปไตย (ID) ที่เป็นพรรคฝ่ายค้านคือแกนนำของการประท้วง แม้การรายงานของสื่อกระแสหลักในกรณีของเอกวาดอร์อาจไม่ถึงขั้นบิดเบือน แต่มันก็ให้ภาพเพียงผิวเผิน ที่สำคัญ มันไม่ได้บอกกล่าวให้โลกรู้เลยว่า เอกวาดอร์คือพื้นที่อีกแห่งหนึ่งในละตินอเมริกา ที่ประชาชนกำลังประกาศขอแยกทางจากลัทธิเสรีนิยมใหม่และระบอบประชาธิปไตยผู้แทน

ตัวละครใหม่ในการแสดงชุดเดิม
กูตีเยร์เรซไม่ใช่ประธานาธิบดีคนแรกของเอกวาดอร์ ที่ถูกประชาชนลุกฮือขึ้นขับไล่ออกจากตำแหน่ง แต่เขาเป็นคนที่สามในรอบ 8 ปี กล่าวคือในปี ค.ศ. 1997. ค.ศ. 2000 และครั้งล่าสุดคือในปีนี้

ในปี ค.ศ. 1997 อดีตประธานาธิบดีอับดาลา บูคาราม ซึ่งมีฉายาว่า "El loco" ("ไอ้บ้า") ต้องหนีออกจากเอกวาดอร์ หลังจากนั่งบัลลังก์ประธานาธิบดีได้แค่ 7 เดือน เขาถูกข้อหาฉ้อราษฎร์บังหลวง หลังจากสภาคองเกรสของเอกวาดอร์ถอดเขาออกจากตำแหน่งด้วยเหตุผล "ความบกพร่องทางจิต"

หลังจากลี้ภัยอยู่ในปานามานานถึง 8 ปี บูคารามคือเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้การเมืองของเอกวาดอร์ร้อนแรงขึ้นมา กูตีเยร์เรซนั้นเคยรับราชการในกองทัพสมัยที่บูคารามดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อกูตีเยร์เรซเดินทางไปเยี่ยมเขาในปานามาเมื่อเดือนกันยายน จึงมีการคาดหมายกันว่า บูคารามกำลังหาหนทางกลับคืนสู่ประเทศเอกวาดอร์ โดยอาศัยข้อแลกเปลี่ยนให้พรรคการเมืองของบูคาราม ช่วยสกัดไม่ให้พรรคฝ่ายค้านดำเนินการถอดถอนกูตีเยร์เรซออกจากตำแหน่ง

พอถึงเดือนธันวาคม ประธานาธิบดีกูตีเยร์เรซก็อาศัยเสียงข้างมาก -ที่มากแค่เฉียดฉิว-- ในสภาคองเกรส ไล่คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาออก และแต่งตั้งคณะผู้พิพากษาชุดใหม่ที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิด กูตีเยร์เรซยังแต่งตั้งกิลเยอร์โม คาสโตรเป็นประธานศาลฎีกาคนใหม่ คาสโตรมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับบูคารามมายาวนาน

ในวันที่ 31 มีนาคม คาสโตรก็จัดการให้บูคาราม พร้อมทั้งอดีตประธานาธิบดีอัลแบร์โต ดาฮิก และอดีตประธานาธิบดีกุสตาโว โนโบอา พ้นจากข้อหาคอร์รัปชั่นทั้งหมด เป็นการกรุยทางให้อดีตผู้นำทั้งสามสามารถเดินทางกลับเข้าประเทศและหวนคืนมาเล่นการเมืองได้อีกครั้ง

เมื่อกลับคืนสู่ประเทศเอกวาดอร์ อดีตประธานาธิบดีบูคารามกล่าวปราศรัยต่อกลุ่มผู้สนับสนุนราว 20,000 คน ที่เมืองท่าไกวอะคีล เขาเน้นไปที่ประเด็นการคอร์รัปชั่นและความยากจนในเอกวาดอร์ พร้อมกับประกาศว่า "ผมกลับมาเอกวาดอร์เพื่อเจริญรอยตามแบบอย่างของชาเวซ และการปฏิวัติในแนวทางโบลิวาร์อันยิ่งใหญ่" เป็นการสมอ้างถึงขบวนการฝ่ายซ้ายในเวเนซุเอลา ซึ่งมีแนวทางการปฏิรูป โดยนำทรัพยากรน้ำมันของประเทศมาใช้เป็นทุนสนับสนุนการปฏิรูปสังคม เช่น การศึกษาและสาธารณสุข

บูคารามยังแสดงจุดยืนต่อต้านข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐอเมริกา และประกาศว่าจะจัดการต่อกรณีที่กองทัพอากาศสหรัฐฯ ใช้ฐานทัพในเอกวาดอร์เพื่อสอดแนมและพ่นสารเคมีทำลายพืชโคคาทางตอนใต้ของประเทศโคลอมเบีย

แม้จะฟังดูน่าเลื่อมใส แต่คำปราศรัยแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในการเมืองเอกวาดอร์

ย้อนกลับไปที่เหตุการณ์เมื่อปี ค.ศ. 2000 หลังจากประชาชนชาวเอกวาดอร์ที่มีสมาพันธ์ชาวพื้นเมือง สหภาพแรงงานและนักศึกษา ช่วยกันโค่นล้มรัฐบาลของประธานาธิบดียามีล มาหวัดลงได้สำเร็จ แต่การออกแรงของประชาชนครั้งนั้นก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะทันทีที่รองประธานาธิบดีกุสตาโว โนโบอา ขึ้นรักษาการแทน เขาก็ประกาศว่าจะปฏิรูปเอกวาดอร์ให้เป็น "ระบบเศรษฐกิจแบบเงินดอลลาร์" ซึ่งมีความหมายถึง "ราคาสินค้าแบบโลกที่หนึ่ง ค่าจ้างแบบโลกที่สาม" รัฐบาลโนโบอากลายเป็นรัฐบริวารที่สหรัฐฯ หนุนหลังด้วยกำลังทหารอย่างเต็มที่ โนโบอานั้นมีชื่อเล่นที่วอชิงตันเรียกด้วยความเอ็นดูว่า "Nobody"

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่สำหรับประชาชนระดับรากหญ้า ในการหาเสียงเลือกตั้งปลายปี ค.ศ. 2002 กูตีเยร์เรซ ซึ่งเคยเป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนการลุกฮือโค่นล้มประธานาธิบดีมาหวัด เป็นตัวเก็งในการชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ เขาเสนอตัวเป็น "ชาเวซแห่งเอกวาดอร์" สัญญาว่าจะกวาดล้างการคอร์รัปชั่น ถอนฐานทัพสหรัฐฯ ออกไปและนำพาประเทศถอนตัวจากลัทธิเสรีนิยมใหม่

เขาได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างท่วมท้น โดยได้รับเสียงสนับสนุนจากฝ่ายซ้ายด้วย แต่พอได้รับเลือกตั้งเข้ามา กูตีเยร์เรซก็เปลือยโฉมหน้าให้เห็นว่า เขาเป็นแค่หุ่นเชิดของสหรัฐฯ อีกตัวหนึ่งเท่านั้นเอง เขาผูกสัมพันธ์ทางการทหารกับสหรัฐฯ แนบแน่นยิ่งขึ้น ก่อหนี้กับไอเอ็มเอฟมากกว่าเดิม สนับสนุนสงครามอิรัก แปรรูปสาธารณูปโภคพื้นฐาน ตกลงเจรจาการค้าเสรีกับสหรัฐฯ และอนุมัติให้มีการสำรวจน้ำมันในเขตคุ้มครองของชาวพื้นเมือง และเขตที่ควรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเอาไว้

ปัญหาคอร์รัปชั่นที่หมักหมมในเอกวาดอร์ยังคงเหมือนเดิม ประธานาธิบดีกี่คน ๆ ที่ประกาศตัวว่าต่อต้านคอร์รัปชั่น ล้วนแต่ "ตกหลุมที่ตัวเองขุดไว้" ทั้งนั้น และประธานาธิบดีทุกคนที่ประกาศแนวทางนโยบายเศรษฐกิจแบบประชานิยม-สังคมนิยมระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง เมื่อขึ้นสู่อำนาจ ก็ล้วนแล้วแต่ส่งเสริมแนวทางเสรีนิยมใหม่เหมือนกันหมด

ฉากเก่าๆ : แผ่นดินมั่งคั่ง ประชาชนยากจน
สาธารณรัฐเอกวาดอร์ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ อยู่ระหว่างโคลอมเบียกับเปรู ชื่อประเทศมาจากคำในภาษาสเปนที่หมายถึง "เส้นศูนย์สูตร" เพราะเอกวาดอร์ตั้งคร่อมเส้นศูนย์สูตร บริเวณแห่งนี้ในสมัยโบราณเคยรุ่งเรืองด้วยวัฒนธรรมชาวพื้นเมือง โดยเฉพาะอาณาจักรอินคา ก่อนจะมาพินาศด้วยน้ำมือของชาวสเปนและตกเป็นเมืองขึ้นหลายร้อยปี

จนมาได้เอกราชในปี ค.ศ. 1822 และเข้าร่วมในสาธารณรัฐแกรนโคลอมเบีย (Republic of Gran Colombia) ซึ่งประกอบด้วย เวเนซุเอลา, ปานามา, โคมลอมเบีย และเอกวาดอร์ ภายใต้การนำของวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของอเมริกาใต้ ซีโมน โบลิวาร์ (Simon Bolivar) ก่อนจะแยกตัวออกมาเป็นสาธารณรัฐในปี ค.ศ. 1830 เอกวาดอร์ผ่านมาหมดแล้วทั้งรัฐบาลประชานิยม เผด็จการทหาร วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และการปรับโครงสร้างภายใต้อิทธิพลของไอเอ็มเอฟ

เอกวาดอร์ก็เช่นเดียวกับเวเนซุเอลา คือเป็นประเทศที่มีแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ แต่รายได้ของรัฐบาลกลับตกหล่นสูญหายไปกับการคอร์รัปชั่นขนานใหญ่ ที่สร้างความเสียหายร้ายแรงแก่ประเทศ เศรษฐกิจของเอกวาดอร์อยู่ในภาวะย่ำแย่มายาวนาน ทั้ง ๆ ที่อุดมไปด้วยน้ำมันและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว แต่จีดีพีประมาณ 50% กลับหมดไปกับการจ่ายคืนหนี้ต่างประเทศ ตัวเลขการว่างงานของทางการอยู่ที่ 10% แต่ประชากรเกือบ 50% ดำรงชีพอยู่ในความยากจน

เอกวาดอร์คือหนูทดลองอีกตัวหนึ่งของลัทธิเสรีนิยมใหม่ ภายใต้การอำนวยการของวอชิงตัน ไอเอ็มเอฟ และธนาคารโลก ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา เอกวาดอร์ถูกบังคับให้ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและเปิดเสรีทางการตลาด ผลลัพธ์ก็คือมาตรฐานการครองชีพที่ตกต่ำดิ่งเหว อัตราเงินเฟ้อถึง 60% ความถดถอยทางเศรษฐกิจ (ติดลบถึง 7% ในปี ค.ศ. 1999) วิกฤตการณ์ที่เกิดซ้ำซากทุกครั้งหมายถึงเงินกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น การปรับโครงสร้างที่เข้มงวดขึ้น และการแปรรูปกิจการของรัฐมากกว่าเดิม

การเปิดตลาดเสรีหมายถึงต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และราคาสินค้าที่ตกต่ำลง อันเป็นผลมาจากสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศที่เข้ามาทุ่มตลาด ภาวะนี้สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชุมชนชาวนาและชาวอินเดียนแดงพื้นเมือง การนัดหยุดงานและการประท้วงของมวลชนกลายเป็นเรื่องชาชิน ประชาชนชาวเอกวาดอร์เริ่มสูญสิ้นศรัทธาต่อระบบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งผู้แทน ซึ่งมีทางเลือกแค่เปลี่ยนหน้าคนที่จะมาทำตัวเป็นบริวารรับใช้นโยบายจากวอชิงตัน

Que se vayan todos! ประชาชนเรียนรู้และไม่หลงลืม
ในขณะที่สื่อกระแสหลักให้ภาพว่า การประท้วงโค่นล้มประธานาธิบดีครั้งนี้ มีแกนนำคือนายปาโค มอนคาโย นายกเทศมนตรีเมืองหลวงคีโต และนายกเทศมนตรีไฮเม เนบอทแห่งเมืองท่าไกวอะคีล ซึ่งทั้งสองเป็นผู้นำพรรคฝ่ายค้านในเอกวาดอร์ด้วย แต่หากมองจากสายตาของขบวนการประชาชน นักการเมืองทั้งสองเป็นแค่เฟืองเล็ก ๆ ในการลุกฮือครั้งนี้

การประท้วงเมื่อวันที่ 13 เมษายน ซึ่งมอนคาโยเป็นแกนนำนั้น ไม่ใช่การประท้วงครั้งแรก แต่เป็นครั้งหนึ่งในคลื่นการประท้วงหลายต่อหลายครั้ง ในวันที่ 11 เมษายน กลุ่มผู้ประท้วงราว 100 คน จากขบวนการสังคมต่าง ๆ บุกเข้ายึดวิหารประจำนครหลวง แม้จะไม่ได้รับน้ำและอาหารเลย พวกเขาก็ยืนยันจะไม่ยอมออกจากวิหารจนกว่าอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาจะได้รับการแต่งตั้งคืนสู่ตำแหน่ง ในขณะที่สมาพันธ์ชนชาติพื้นเมืองแห่งเอกวาดอร์ (Confederation of Indigenous Nations of Ecuador-CONAIE) บุกเข้ายึดตึกกระทรวงศึกษาธิการ

ส่วนในการประท้วงเมื่อวันที่ 13 เมษายน แม้ว่านายกเทศมนตรีมอนคาโยสั่งหยุดการขนส่งมวลชน ปิดสำนักงานเทศบาลและโรงเรียนในเมืองหลวง พร้อมกับนำขบวนประท้วงออกมาตะโกนบนท้องถนนว่า "ลูซีโอออกไป! ประชาธิปไตย เอา! เผด็จการ ไม่เอา!" แต่ก็มีประชาชนทั่วไปมาร่วมประท้วงด้วยไม่มากนัก

แต่ชนวนสำคัญอยู่ตรงที่ประธานาธิบดีกูตีเยร์เรซกลับสั่งให้ตำรวจปราบจลาจล ปราบปรามขบวนประท้วงในวันนั้นด้วยความรุนแรงเกินกว่าเหตุ มีการใช้แก๊สน้ำตาและจับกุมผู้ประท้วง เมื่อข่าวตำรวจใช้กำลังปราบผู้ชุมนุมประท้วงแพร่ออกไป สถานีวิทยุอิสระแห่งหนึ่งในเมืองคีโต คือสถานีวิทยุลา ลูนา (LA LUNA) เชื้อเชิญผู้ฟังให้โทรศัพท์มาแสดงความคิดเห็นออกอากาศ ชาวเอกวาดอร์จำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวและชนชั้นกลาง ยกหูมาพูดคุยออกอากาศกันอย่างเนืองแน่น พวกเขาแสดงความคับข้องใจต่อการคอร์รัปชั่นและลัทธิเครือญาติทางการเมืองที่หมักหมมมายาวนาน ผู้ฟังไม่ได้กล่าวหาแค่กูตีเยร์เรซ แต่ประณามการเมืองทั้งระบบ และเรียกร้องให้ชาวเมืองหลวงออกมาร่วมกันประท้วง

เย็นวันนั้นเอง ประชาชนมาชุมนุมกันราว 5000 คน เคาะหม้อและกระทะ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการประท้วงในอาร์เจนตินาสมัยที่เกิดวิกฤตการณ์เมื่อปลายปี ค.ศ. 2001 ตกค่ำ ขบวนประท้วงใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ สถานีวิทยุอิสระกลายเป็นศูนย์กลางในการปลุกระดม ประชาชนจำนวนมากพูดออกอากาศเชิญชวนให้ผู้คนออกมาที่ท้องถนน และกระตุ้นให้คนที่ฟังวิทยุออกไปพูดคุยกับญาติพี่น้องเพื่อนบ้าน เพื่อระดมพลังประชาชนออกมา

กูตีเยร์เรซพยายามประนีประนอมให้ผู้ประท้วงสงบลง เขาปลดคณะผู้พิพากษาศาลสูงชุดใหม่ออกในวันที่ 15 เมษายน และประกาศภาวะฉุกเฉินในเมืองคีโต แต่ต้องรีบยกเลิกในวันต่อมา การประท้วงขยายวงออกไปถึงเมืองรอบนอก นักศึกษามหาวิทยาลัยออกมาปิดถนน และปาหินกับระเบิดขวดใส่ตำรวจและรถถัง

การลุกฮือครั้งนี้จึงมีแกนนำที่แตกต่างไปจากการลุกฮือในสมัยปี ค.ศ. 2000 ในครั้งนั้น แกนนำคือสมาพันธ์ CONAIE ซึ่งเป็นสมาพันธ์ที่เกิดจากการจับมือกัน ขององค์กรชาวอินเดียนแดงพื้นเมืองราว 10 องค์กรในเอกวาดอร์ สมาพันธ์สามารถจับมือกับองค์กรชาวนา สหภาพแรงงาน ทหารชั้นผู้น้อย และพระระดับรากหญ้าของคริสตจักร ปลุกระดมประชาชน จนสามารถบุกยึดตึกรัฐสภา กระทรวงยุติธรรมและทำเนียบรัฐบาลไว้ได้

พวกเขาจัดตั้งคณะปกครองประเทศสามฝ่ายที่ประกอบด้วยผู้นำของ CONAIE, พลเรือนที่เป็นตัวแทนของชนชั้นกลาง และทหารชั้นผู้น้อย แต่ความพยายามครั้งนี้ถูกแทรกแซงจากสหรัฐอเมริกาภายใต้ประธานาธิบดีคลินตัน สหรัฐฯ ขู่ว่าจะคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อเอกวาดอร์ คณะปกครองประชาชนจึงถูกโค่นล้ม และรองประธานาธิบดีโนโบอาขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ตามมาด้วยการกวาดจับผู้นำชาวนา และสหภาพแรงงานไปเป็นจำนวนมาก

แต่หลังจากนั้น ความนิยมในสมาพันธ์เริ่มเสื่อมถอยลง ทั้งนี้เพราะประธานสมาพันธ์คนก่อนออกมาประกาศสนับสนุนกูตีเยร์เรซในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง แม้ว่าประธานคนนั้นจะถูกขับออกจากสมาพันธ์ทันที แต่เขาก่อให้เกิดความแตกแยกขึ้นมาในองค์กรของชาวพื้นเมือง บทบาทของสมาพันธ์ในการลุกฮือครั้งล่าสุดจึงอ่อนแรงลงไป

อย่างไรก็ตาม มีบางสาขาของสมาพันธ์ CONAIE ออกมาชุมนุมปิดถนนในหลายพื้นที่ของเอกวาดอร์ ประธานสมาพันธ์คนปัจจุบันเรียกร้องให้ระดมมวลชนระดับประเทศ มีการปิดถนนและประท้วงในหลายเมืองเล็ก เพื่อสนับสนุนการประท้วงใหญ่ในเมืองหลวง

ในเมืองคีโต สถานการณ์เลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว ตำรวจใช้แก๊สน้ำตา ในวันที่ 19 เมษายนนักหนังสือพิมพ์ชาวชิลี ฮูลิโอ การ์เซีย เสียชีวิตจากอาการขาดอากาศหายใจเนื่องจากสำลักแก๊สน้ำตา

คืนนั้นเอง การประท้วงก็บานปลาย ประชาชนกว่า 30,000 คน ออกมาสู้รบกับตำรวจบนท้องถนนจนตีสาม บ่ายวันรุ่งขึ้น ขบวนประท้วงที่นำโดยนักเรียนนักศึกษาและประชาชนกว่าแสนคน ออกมาปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลพร้อมกับตะโกนว่า "ลูซีโอออกไป" และ "Que se vayan todos"

"Que se vayan todos" คำขวัญที่เป็นหัวใจในการประท้วงที่อาร์เจนตินา ตามตัวอักษรนั้นแปลว่า "พวกมันจงไสหัวไปให้หมด" พวกมัน ที่ว่านี้หมายถึง ชนชั้นนักการเมือง ทั้งชนชั้น ทุกคน ทุกพรรค ประชาชนไม่ต้องการชนชั้นนี้อีกแล้ว ประชาชนจะตัดสินใจนโยบายทุกอย่างในประเทศเอง

หลังจากกูตีเยร์เรซต้องหนีออกจากทำเนียบด้วยเฮลิคอปเตอร์และไปขอลี้ภัยที่สถานทูตบราซิล รองประธานาธิบดีปาลาเซียว ออกไปปราศรัยต่อหน้าประชาชนหลายร้อยคน เรียกร้องให้ประชาชนในประเทศลงประชามติเพื่อสร้างรัฐธรรมนูญใหม่ แต่เขาไม่ยอมให้เลื่อนการเลือกตั้งจากเดิมที่กำหนดไว้ในปลายปี 2006

มวลชนตอบโต้เขาด้วยเสียงตะโกนสะท้านก้องว่า "สมัชชาประชาชน!" "ยุบสภาโจรทิ้งเดี๋ยวนี้!" และ "ไสหัวไปให้หมด!"

แม้ว่าปาลาเซียวจะถือเป็นฝ่ายซ้ายที่อยู่ตรงข้ามกับกูตีเยร์เรซมาตลอด และย้ำสัญญาว่าจะนำพาประเทศออกจากลัทธิเสรีนิยมใหม่ แต่บทเรียนที่ประชาชนต้องผิดหวังกับนักการเมืองคนแล้วคนเล่า ทำให้พวกเขาไม่ยอมไว้วางใจนักการเมืองคนไหนง่าย ๆ สภาคองเกรสของเอกวาดอร์นั้นถูกมองว่าฉ้อฉล และขวาจัดยิ่งกว่ากูตีเยร์เรซเสียอีก

ผู้ประท้วงไม่ยอมให้ปาลาเซียวหนีหน้าไปไหน พวกเขาเรียกร้องให้สภาคองเกรสลาออก ตะโกนว่าจะไม่ยอมถูกหลอกอีก พวกเขาบุกเข้ายึดตึกรัฐสภาและเปิดประชุมสภาประชาชนเพื่อหาทางออกต่อวิกฤตการณ์ทางการเมืองและกฎหมายของประเทศ ลงมติให้สร้างสภาประชาชนแบบนี้ทั่วทั้งประเทศเพื่อนำไปสู่สมัชชาระดับชาติ เรียกร้องให้รัฐบาลพักชำระหนี้ต่างประเทศเป็นเวลา 10 ปี และไล่กองทัพสหรัฐฯ ออกไป

ในอีกด้านหนึ่ง สมาพันธ์ CONAIE และขบวนการสังคมอื่น ๆ แสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะเลิกให้ความสำคัญต่อการเลือกตั้ง และหันมาสร้างขบวนการมวลชนขนาดใหญ่แทน ประธานสมาพันธ์ CONAIE ลูอิส มาคัส เรียกร้องให้ประชาชนชาวเอกวาดอร์ออกมาต่อสู้ทุกวัน จนกว่าจะได้ "ประชาธิปไตยที่แท้จริง" มาคัสแสดงท่าทีชัดเจนว่า CONAIE จะไม่ผูกพันธมิตรกับพรรคการเมืองกระแสหลักพรรคไหนทั้งนั้น แต่มีแนวทางที่จะสร้างขบวนการของพลเรือน เพื่อหาทางออกจากความโสมมของการเมืองและวาระของลัทธิเสรีนิยมใหม่

CONAIE จัดการประชุมร่วมกันของตัวแทนจากกลุ่มขบวนการกว่า 60 กลุ่ม ที่ประชุมมีมติให้สร้าง "ขั้วอิสระ" โดยมีกลุ่มการเมืองที่ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองจับมือเป็นพันธมิตรกัน เป้าหมายคือล้มล้างระบอบคณาธิปไตยที่ฉ้อฉล และสร้างสรรค์ "รัฐบาลที่มีความเป็นประชาธิปไตย และเป็นตัวแทนชาวเอกวาดอร์ทั้งมวลอย่างแท้จริง"

ชาวเอกวาดอร์แสดงออกถึงความต้องการที่จะปรับเปลี่ยน และสร้างเสริมสถาบันประชาธิปไตยให้มั่นคงแข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อจะได้ไม่ต้องย้อนกลับไปอยู่ในวงจรชั่วร้ายอีก พวกเขาเรียนรู้แล้วว่า เพียงแค่การลุกฮือครั้งใหญ่เพื่อโค่นล้มรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย วีรชนที่ต้องทิ้งชีวิตไปในการต่อสู้เป็นสิ่งที่แย่ วีรชนที่ยังมีชีวิตอยู่อาจแย่ยิ่งกว่า และวีรชนที่เข้าไปเล่นการเมืองคือสิ่งที่แย่ที่สุด

ประชาชนไม่ควรฝากความหวังไว้กับใครอีกนอกจากตัวเอง ปฏิบัติการทางการเมืองที่มีความหมาย ไม่ใช่การเข้าคูหากาบัตรเลือกตั้ง ไม่ใช่การลุกฮือขึ้นก่อจลาจล แต่การดำเนินการทางการเมืองในชีวิตประจำวันทุก ๆ วันต่างหาก ที่จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

ละตินอเมริกาเลี้ยวซ้าย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเอกวาดอร์คือคลื่นอีกลูกหนึ่งในกระแสเลี้ยวซ้ายของภูมิภาคละตินอเมริกา บราซิลได้ประธานาธิบดีลูลาจากพรรคแรงงาน เวเนซุเอลามีประธานาธิบดีชาเวซที่มีฐานเสียงจากประชาชนรากหญ้า และพยายามนำพาประเทศไปสู่การปฏิรูปสังคมตามแนวทางโบลิวาร์

ปลายปีที่แล้ว อุรุกวัยได้ประธานาธิบดีคนใหม่คือนายทาบาเร วาซเควซ จากพรรคสังคมนิยม และเป็นประธานาธิบดีคนแรกของอุรกวัยที่มาจากพรรคฝ่ายซ้าย ในชิลี พรรคการเมืองฝ่ายซ้ายเริ่มชนะการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น และมีแผนการที่จะจับมือเป็นแนวร่วมพันธมิตรกับพรรคคอมมิวนิสต์ เพื่อเตรียมลงเลือกตั้งประธานาธิบดีในปลายปีนี้ ในโบลิเวีย แม้ว่ารัฐบาลจะไม่ใช่ฝ่ายซ้าย แต่ขบวนการประชาชนชาวพื้นเมืองสร้างความเข้มแข็งจนสามารถกดดันรัฐบาล และล้มคว่ำกฎหมายแปรรูปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า

ละตินอเมริกาที่เป็น "หลังบ้าน" ของมหาอำนาจสหรัฐอเมริกาและพื้นที่ทดลองลัทธิเสรีนิยมใหม่อย่างเข้มข้นที่สุด กำลังกลายเป็นภูมิภาคที่ต่อต้านการแปรรูป การค้าเสรีและระบบทุนนิยมอย่างเข้มแข็งที่สุด รวมทั้งกำลังเป็นพื้นที่สร้างสรรค์และทดลองแนวคิดปฏิบัติใหม่ นั่นคือ แนวทางประชาธิปไตยทางตรงหรือประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ที่อาจเป็นการทะลวงกรอบทฤษฎีการเมืองครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคปัจจุบัน

ภัควดี วีระภาสพงษ์
เรียบเรียงจาก
Green Left Weekly http://www.greenleftweekly.org.au
The Guardian http://www.guardian.co.uk
Wikipedia, the free encyclopedia

 

 

 

สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I สารบัญเนื้อหา 3
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

 

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด กว่า 590 เรื่อง หนากว่า 7800 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 120 บาท(รวมค่าส่ง)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

 

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com




 

เย็นวันนั้นเอง ประชาชนมาชุมนุมกันราว 5000 คน เคาะหม้อและกระทะ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการประท้วงในอาร์เจนตินาสมัยที่เกิดวิกฤตการณ์เมื่อปลายปี ค.ศ. 2001 ตกค่ำ ขบวนประท้วงใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ สถานีวิทยุอิสระกลายเป็นศูนย์กลางในการปลุกระดม ประชาชนจำนวนมากพูดออกอากาศเชิญชวนให้ผู้คนออกมาที่ท้องถนน และกระตุ้นให้คนที่ฟังวิทยุออกไปพูดคุยกับญาติพี่น้องเพื่อนบ้าน เพื่อระดมพลัง

ย้อนกลับไปที่เหตุการณ์เมื่อปี ค.ศ. 2000 หลังจากประชาชนชาวเอกวาดอร์ที่มีสมาพันธ์ชาวพื้นเมือง สหภาพแรงงานและนักศึกษา ช่วยกันโค่นล้มรัฐบาลของประธานาธิบดียามีล มาหวัดลงได้สำเร็จ แต่การออกแรงของประชาชนครั้งนั้นก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะทันทีที่รองประธานาธิบดีกุสตาโว โนโบอา ขึ้นรักษาการแทน เขาก็ประกาศว่าจะปฏิรูปเอกวาดอร์ให้เป็น "ระบบเศรษฐกิจแบบเงินดอลลาร์" ซึ่งมีความหมายถึง "ราคาสินค้าแบบโลกที่หนึ่ง ค่าจ้างแบบโลกที่สาม" รัฐบาลโนโบอากลายเป็นรัฐบริวารที่สหรัฐฯ หนุนหลังด้วยกำลังทหารอย่างเต็มที่ โนโบอานั้นมีชื่อเล่นที่วอชิงตันเรียกด้วยความเอ็นดูว่า "Nobody"
(คัดลอกมาบางส่วนจากบทความ : ภัควดี วีระภาสพงษ์ เรียบเรียง)

ผลงานวิชาการชิ้นนี้ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็ปไซต์ วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ : บทความทั้งหมดของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ไม่สงวนสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์ทางวิชาการ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนขอขอบคุณ
เจ้าของพื้นที่ www.thaiis.com ที่กรุณาให้ใช้พื้นที่ฟรีในการเผยแพร่งานวิชาการ
เว็ปไซต์ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ออกแบบขึ้นมาเพื่อใช้กับ Display properties : screen area 600 X 800 pixels ซึ่งจะให้ภาพที่คมชัดและสมบูรณ์ที่สุด
H

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด กว่า 600 เรื่อง หนากว่า 8000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM ในราคา 120 บาท(รวมค่าส่ง) สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com

หรือ ส่งธนาณัติถึง
สมเกียรติ ตั้งนโม : ไปรษณีย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 50202
กรุณาส่งธนาณัติแลกเงินไปยัง สมเกียรติ ตั้งนโม : คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50202 และอย่าลืมเขียนชื่อ ที่อยู่ ของผู้รับตัวบรรจงด้วยครับ เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการจัดส่งทางไปรษณีย์

บทความวิชาการฟรีที่ผ่านมา ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน หากนักศึกษาและสมาชิกท่านใตสนใจ สามารถคลิกไปอ่านได้จากที่นี่...คลิกที่ภาพ