บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ 592 หัวเรื่อง
บทสัมภาษณ์นอม ชอมสกี - Jan 05
ภัควดี วีระภาสพงษ์ : เรียบเรียง
นักแปลอิสระ
บทความฟรีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
The
Midnight 's article
Website
ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
คลิกไปหน้า homepage มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สัมภาษณ์
นอม ชอมสกี (มกราคม 2005)
หน้าที่ของปัญญาชนคือการวิจารณ์การเมือง
ภัควดี
วีระภาสพงษ์ : เรียบเรียง
จาก :Noam Chomsky interviewed by David McNeill
The Independent, January 24, 2005
หมายเหตุ : บทความนี้เดิมอยู่ที่กระดานข่าวขนาดยาวมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ชื่อหัวข้อ
"สัมภาษณ์ นอม ชอมสกี (มกราคม 2005)"
นำมาเผยแพร่บนเว็ปเพจนี้ เพื่อนักศึกษาและสมาชิกผู้สนใจทุกท่านที่ไม่นิยมอ่านกระดานข่าว
เผยแพร่บนเว็ปไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๗
มิถุนายน ๒๕๔๘
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
7 หน้ากระดาษ A4)
สัมภาษณ์ นอม ชอมสกี (มกราคม 2005)
ข้อความ
: เมื่อดูจากคำยกย่องที่สรรเสริญเขาจนเลิศลอย
"นักคิดที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งในศตวรรษที่ 20" (เดอะ นิวยอร์กเกอร์)
"กล่าวได้ว่าเป็นปัญญาชนที่สำคัญที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่" (นิวยอร์กไทมส์)
ช่างคาดเดาได้ยากเหลือเกินว่า เราจะได้พบกับอะไรเมื่อนอม ชอมสกีเดินเข้ามาในห้อง
อาจจะเป็นรัศมีขาวบริสุทธิ์ หรือมาดนักวิชาการขาใหญ่มากบารมี หรือกลิ่นไอกำมะถันของมารร้าย
เพราะนอกจากคำยกย่อง เขายังเคยถูกบริภาษว่าเป็นคนที่ "ดูหมิ่นความจริงอย่างลึกซึ้ง"
(หนังสือ The Anti-Chomsky Reader) และมีใจให้พวกฟาสซิสต์อิสลาม (คริสโตเฟอร์
ฮิทเช่นส์)
ดังนั้น จึงน่าประหลาดใจไม่น้อย เมื่อชายหลังค่อมเล็กน้อย หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส บุคลิกเรียบร้อยขี้อาย เดินเข้ามาในห้องทำงานที่สถาบัน MIT (สถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์) ในเมืองบอสตัน รินกาแฟให้ตัวเองถ้วยหนึ่งและเอ่ยขอโทษที่ทำให้ผมต้องนั่งรอ
ตรงตามเสียงร่ำลือที่เคยได้ยินมา ศาสตราจารย์ชอมสกีเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตัว พูดเสียงเบาและให้เวลาเต็มที่แก่คนทุกคน เขาอดทนตอบอีเมล์เป็นพัน ๆ ฉบับที่ส่งมาถึงทุกสัปดาห์ อันเป็นงานหนักที่กินเวลาไปถึงวันละ 7 ชั่วโมง โดยลงชื่อในจดหมายทุกฉบับอย่างเรียบง่ายว่า "นอม" "เขาไม่เคยแบ่งแยกว่าใครเล็กใครใหญ่" เบฟ สโตล ผู้ช่วยที่ทำงานกับชอมสกีมานานบอก "เขาเป็นอย่างที่คนที่รักเขาบอกว่าเขาเป็น คือเป็นคนที่ใส่ใจในคนอื่น ๆ อย่างลึกซึ้ง"
ในบรรดาถ้อยคำทั้งหมดที่มีคนพูดถึงชอมสกี สมญานามที่โบโนแห่งวงยูทูขนานนามแก่เขาว่า "ขบถโดยไม่เคยหยุดพัก" ("rebel without a pause") น่าจะเป็นฉายาที่เหมาะที่สุด ในวัย 76 ปี และทั้งที่เพิ่งต่อสู้กับโรคมะเร็งมาหมาด ๆ แต่ดูเหมือนชอมสกียิ่งทำงานหนักกว่าเดิม จากที่เดิมก็มีผลงานมากมายอยู่แล้ว หิ้งหนังสือทั่วโลกคำรามด้วยงานเขียนทางการเมืองของเขา เสียงของเขาถ่ายทอดให้ได้ยินจากการสัมภาษณ์สดทางวิทยุทุกสัปดาห์ นอกจากอีเมล์และการเขียนบล็อกจำนวนมากแล้ว เขายังแสดงปาฐกถาอีกหลายร้อยครั้งในหลายสิบเมืองทุก ๆ ปี
"มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11" เขากล่าว "เหตุการณ์นั้นมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาอย่างซับซ้อน ซึ่งผมคิดว่าประเทศอื่น ๆ ในโลกไม่ค่อยเข้าใจดีนัก ภาพที่ออกมาก็คือ ดูเหมือนชาวอเมริกันทุกคนกลายเป็นพวกคลั่งชาตินิยมที่เอาแต่โบกธงรบ ภาพนั้นมันไร้สาระ ความจริงก็คือ เหตุการณ์ครั้งนี้เปิดหูเปิดตาคนเป็นจำนวนมากและทำให้ชาวอเมริกันมากมายต้องหยุดคิดว่า 'ฉันควรค้นคว้าดูว่าเรามีบทบาทอย่างไรและทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น' "
ทัศนะของชอมสกีที่มีต่อบทบาทของอเมริกาเป็นที่ทราบกันดีทั่วโลก ตลอดเวลาถึงสี่สิบปีที่เขาดำเนินกิจกรรมทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง โดยคอยรื้อทำลายวาทกรรมต่าง ๆ ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาตบตาชาวโลก นับตั้งแต่สงครามเวียดนาม ซึ่งเขาตีแผ่ให้เห็นว่า เป้าหมายที่แท้จริงของรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ใช่การเอาชนะสงครามและยึดครองเวียดนาม เวียดนามนั้นไม่มีความหมายทางเศรษฐกิจอะไรเลยสำหรับสหรัฐฯ
เป้าหมายที่แท้จริงของสหรัฐฯ คือการทำลายเวียดนามลงให้ราบคาบ ไม่ให้ประเทศนี้มีโอกาสฟื้นตัวได้อีกหรือฟื้นตัวได้ยาก เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู เพื่อบอกแก่ประเทศเล็ก ๆ อื่น ๆ ให้รู้ว่า หากประเทศไหนคิดจะสร้างแนวทางการพัฒนาเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นแนวทางชาตินิยมอิสระหรือคอมมิวนิสต์หรืออะไรก็ตาม หากประเทศไหนคิดจะแตกแถวออกจากอิทธิพลของสหรัฐฯ ไม่ว่าประเทศนั้นจะเล็กจ้อยร่อยและไร้ความสำคัญขนาดไหน รัฐบาลสหรัฐฯ ก็พร้อมที่จะทุ่มเทงบประมาณและชีวิตพลเมืองของตนเองเพื่อขยี้ประเทศนั้นให้ย่อยยับเป็นผุยผง เพราะการแข็งข้อของประเทศเล็ก ๆ เป็นเสมือนเชื้อไวรัสที่อาจติดลามไปสู่ประเทศอื่น และหากการพัฒนาของประเทศนั้นเกิดประสบความสำเร็จขึ้นมา มันอาจกลายเป็น "แอปเปิลเน่า" ให้ประเทศอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
เมื่อเกิดเหตุการณ์วินาศกรรมตึกแฝดของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เขาออกมาเตือนสติรัฐบาลสหรัฐฯ ว่า เหตุน่าสลดนี้มีรากเหง้าอยู่ที่ "ความโกรธแค้นและสิ้นหวัง" ที่เกิดจากการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ เอง การหลับหูหลับตาใช้ความรุนแรงตอบโต้ รังแต่จะกระตุ้นให้การก่อการร้ายขยายวงออกไปมากขึ้น รวมทั้งคำกล่าวหาอันลือลั่นของเขาที่บอกว่า ประธานาธิบดี อเมริกันทุกคนตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา สมควรถูกตัดสินประหารชีวิตภายใต้กฎหมายอาชญากรสงคราม
ดังที่อรุณธาตี รอย เคยกล่าวถึงชอมสกีไว้ว่า เขามี "สัญชาตญาณแบบนักอนาธิปไตยที่ไม่เคยไว้วางใจอำนาจ" เขาเปรียบเสมือนกรดในกระเพาะของสัตว์ป่าสหรัฐฯ ที่คอยบ่อนทำลายอาการวางก้ามของตัวมันเอง
ในกรณีของอิรักนั้น ชอมสกีวิจารณ์มานานแล้วว่า สหรัฐฯ สร้างภาพของซัดดัม ฮุสเซนและอิรักให้น่ากลัวเกินจริง เพื่อสร้างความกลัวให้เกิดแก่สังคมอเมริกัน (เขาเคยกล่าวว่า สังคมอเมริกันเป็นสังคมที่ถูกกระตุ้นด้วยความกลัวตลอดเวลา) ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงนั้น อิรัก "ถูกทำลายไปตั้งนานแล้ว ใคร ๆ ก็รู้ว่ามันเป็นประเทศที่อ่อนแอที่สุดในภูมิภาคนี้ ไม่อย่างนั้น สหรัฐฯ ก็ไม่กล้าไปบุกหรอก นั่นคือเหตุผลที่ไม่มีประเทศไหนในโลกกลัวอิรักเลย นอกจากประชาชนในสหรัฐอเมริกา
ประชาชนในประเทศที่เกลียดชังซัดดัม ฮุสเซน เช่น อิหร่านและคูเวต ก็ไม่เคยกลัวเขา เพราะรู้ว่าอิรักอ่อนแอจนแทบหลุดเป็นชิ้น ๆ และคงอยู่ได้เหมือนเอาสก๊อตช์เทปแปะเอาไว้ การคว่ำบาตรอิรักฆ่าประชาชนไปหลายแสนคน และบีบให้ประชาชนต้องจำใจพึ่งพิงซัดดัมเพื่อความอยู่รอด ไม่อย่างนั้น ชาวอิรักคงโค่นล้มซัดดัมลงจากอำนาจตั้งนานแล้ว..."
"แต่ดังที่อดีตผู้ประสานงานด้านมนุษยธรรมเพื่อช่วยเหลืออิรักของสหประชาชาติ เดนิส ฮัลลิเดย์ และฮันส์ ฟอน ชโปเนค พยายามชี้ให้เห็นหลายต่อหลายครั้ง การคว่ำบาตรที่ผ่านมาต่างหากที่ทำให้ชาวอิรักต้องพึ่งพิงซัดดัม การคว่ำบาตรต่างหากที่ทำให้ซัดดัมเข้มแข็ง ส่วนชาวอิรักต้องพินาศ ประเทศนี้ไม่มีกำลังทหารแล้ว ผมหมายความว่า แค่ผลักเบา ๆ ประเทศนี้ก็ล้มทั้งยืน"
ตอนแรกชอมสกีเชื่อว่า การรุกรานอิรัก "น่าจะเป็นการยึดครองทางทหารที่ง่ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์" เขาบอกว่า "ผมนึกว่าสงครามน่าจะจบลงในสองวันและการยึดครองน่าจะสำเร็จลุล่วงในทันที" แต่แล้วเขาต้องประหลาดใจกับผลของการรุกรานที่ออกมา สงครามอิรักกำลังกลายเป็นหนามยอกอกสหรัฐฯ อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้ง ๆ ที่ "ฝ่ายต่อต้านสหรัฐฯ ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภายนอก อาจจะมีบ้างเล็กน้อย แต่ก็แทบไม่มีความสำคัญอะไรเลย แต่ผลที่ออกมาก็คือ การยึดครองอิรักดูเหมือนยากลำบากยิ่งกว่าเยอรมันยึดครองยุโรปในสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพนาซียังไม่เจอปัญหาขนาดนี้ในยุโรป"
"สหรัฐฯ ทำอีท่าไหนก็ไม่รู้ แต่ดันทำให้มันกลายเป็นความหายนะอย่างเหลือเชื่อไปจนได้ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะวิธีการที่กองทัพปฏิบัติต่อประชาชนชาวอิรัก พวกเขาปฏิบัติต่อประชาชนในแบบที่รังแต่จะก่อกวนให้เกิดการต่อต้าน ความเกลียดชังและความกลัว"
ชอมสกีเล่าว่า "ราวหนึ่งปีก่อน ผมบังเอิญเจอเพื่อนคนหนึ่งที่ผมบอกไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่เขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในองค์กรบรรเทาทุกข์ที่ใหญ่มากองค์กรหนึ่ง เขามีประสบการณ์มาทั่วโลกและเคยทำงานในสถานที่ที่เลวร้ายมาก สิ่งที่เขาบรรยายเกี่ยวกับกรณีอิรักก็คือ เขาไม่เคยเห็นอะไรที่ไหนในโลกที่รวมไว้หมดทั้งความยะโสโอหัง ความงี่เง่าและความไร้ประสิทธิภาพ (เหมือนอย่างกองทัพสหรัฐฯ ในอิรัก)"
"ตอนแรก สหรัฐฯ ตั้งใจจะบริหารอิรักเหมือนอาณานิคมสมัยก่อน สหรัฐฯ พยายามเปิดระบบเศรษฐกิจของอิรักทั้งหมดให้ต่างชาติเข้าไปเทคโอเวอร์ ไม่พยายามแม้แต่จะเสแสร้งว่ามีจุดประสงค์ทางการเมืองใด ๆ แต่แล้วสหรัฐฯ กลับถูกต้อนจนมุมด้วยการต่อต้านของชาวอิรัก ในที่นี้ ผมไม่ได้หมายถึงระเบิดพลีชีพ แต่หมายถึงประชาชนภายใต้การนำของซิสตานี (อยาตุลเลาะห์ อาลี อัล-ซิสตานี ผู้นำทางศาสนานิกายชีอะห์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในอิรัก) ซึ่งดื้อแพ่งไม่ยอมรับคำบัญชาใด ๆ จากรัฐบาลยึดครอง สหรัฐฯ ถูกต้อนให้ต้องถอยไปตั้งรับทีละก้าว ๆ และในที่สุดก็ต้องจำยอมให้จัดการเลือกตั้งและไม่กล้าใช้มาตรการแบบสุดขั้ว"
ต่อการเลือกตั้งในอิรักนั้น การพูดถึงอำนาจอธิปไตย เอกราชและระบอบประชาธิปไตยในอิรักนั้น ชอมสกีบอกว่ามันเป็นแค่ "คำพูดขำขันที่น่าทุเรศ" เขายืนยันว่า
"ผมมองไม่เห็นความเป็นไปได้เลยที่อังกฤษและสหรัฐอเมริกา จะยอมให้อิรักมีอำนาจอธิปไตยเป็นเอกเทศของตนเอง แค่คิดยังแทบเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ คุณลองคิดดูสิว่า ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ อิรักจะดำเนินนโยบายแบบไหน กระนั้นก็ตาม อังกฤษและสหรัฐฯ ยังล้มเหลวอย่างไม่น่าเชื่อ มันไม่สามารถบรรลุจุดมุ่งหมายดั้งเดิมของการทำสงคราม นั่นคือ การขัดขวางไม่ให้ชาวอิรักปกครองอิรัก ถ้าหากต้องการให้ชาวอิรักปกครองอิรักจริง ๆ สหรัฐฯ คงไม่สนับสนุนซัดดัม ฮุสเซน ในสมัยที่เขาบทขยี้กลุ่มกบฏชีอะห์เมื่อปี ค.ศ. 1991 และคงไม่ดำเนินการคว่ำบาตรที่ทำให้ซัดดัมไม่กระเด็นตกเก้าอี้เหมือนทรราชย์คนอื่น ๆ แต่ดูเหมือนเป้าหมายนี้กลับไม่บรรลุผล มันเหลือเชื่อจริง ๆ"
การสัมภาษณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งในอิรัก ชอมสกีทำนายผลการเลือกตั้งไว้ว่า ชีอะห์จะเป็นฝ่ายได้เสียงข้างมากในการเลือกตั้ง ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมายืนยันการวิเคราะห์ของเขา (ชอมสกีคงไม่ชอบคำว่า ทำนาย-ผู้แปล) ชอมสกีเห็นว่า สหรัฐฯ และอังกฤษคงไม่พอใจกับผลการเลือกตั้งแบบนี้ แต่มันไม่มีทางเลือกอื่น "รัฐบาลอิรักจะมีเสียงข้างมากเป็นฝ่ายชีอะห์ นี่อาจเป็นก้าวแรกที่อิรักจะพยายามรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับอิหร่าน ไม่ใช่ว่าชาวอิรักนิยมชมชอบ Khamenai (ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน) อิรักต้องการเป็นอิสระ แต่มันเป็นความสัมพันธ์ที่จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ แม้แต่ตอนที่ซัดดัมยังครองอำนาจ เขาก็เริ่มรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับอิหร่านบ้างแล้ว"
"มันอาจปลุกปั่นให้เกิดการปกครองตนเองในระดับหนึ่งขึ้นในพื้นที่ที่ชาวชีอะห์เป็นประชากรส่วนมากของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งบังเอิญเป็นพื้นที่ที่มีน้ำมันมากที่สุดด้วย คุณสามารถวาดภาพต่อไปได้ว่า ในอนาคตอันไม่ไกลนัก มันเป็นไปได้ที่จะมีพื้นที่ที่ชาวชีอะห์ครองความเป็นใหญ่ ซึ่งครอบคลุมทั้งอิหร่าน อิรัก และพื้นที่ผลิตน้ำมันในซาอุดีอาระเบีย เท่ากับชาวชีอะห์ผูกขาดแหล่งน้ำมันหลักของโลก สหรัฐฯ จะยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้หรือ? ไม่มีทาง
ยิ่งกว่านั้น หากอิรักเป็นอิสระ มันย่อมพยายามฟื้นฟูฐานะของการเป็นผู้นำในโลกอาหรับ นั่นหมายถึงอิรักจะพยายามสะสมอาวุธและตั้งป้อมประจันหน้ากับศัตรูใกล้ตัว ซึ่งก็คืออิสราเอล อิรักอาจหาทางพัฒนาอาวุธทำลายล้างขึ้นมาเพื่อต่อต้านอิสราเอล ดังนั้น จึงไม่มีทางเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ กับอังกฤษจะยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น"
ชอมสกีเชื่อว่า การเปรียบเทียบอิรักกับเวียดนามเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ทั้งนี้เพราะเวียดนามไม่ใช่จุดชี้เป็นชี้ตายในเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ "ทรัพยากรในเวียดนามไม่มีความสำคัญสักเท่าไร ส่วนอิรักนั้นแตกต่างออกไป มันเป็นมุมสุดท้ายในโลกที่มีแหล่งน้ำมันดิบมหาศาล อาจใหญ่ที่สุดหรือเกือบใหญ่ที่สุดในโลก กำไรจากตรงนั้นต้องไหลเข้ากระเป๋าให้ถูกใบ นั่นคือ บรรษัทด้านพลังงานของสหรัฐฯ รองลงไปก็คืออังกฤษ และการควบคุมแหล่งพลังงานนั้นไว้ได้ จะทำให้สหรัฐฯ อยู่ในฐานะมหาอำนาจที่มีอิทธิพลครอบงำทั้งโลก"
หลังเหตุวินาศกรรม 9/11 เรื่องที่น่าแปลกใจไม่น้อยคือการที่ชอมสกีแตกคอกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ฝ่ายซ้ายบางส่วน โดยเฉพาะคอลัมนิสต์ชื่อดังอย่าง คริสโตเฟอร์ ฮิทเช่นส์ ซึ่งกล่าวหาชอมสกีว่า "แก้ตัวให้พวกฟาสซิสต์คลั่งศาสนา" และสร้างภาพให้ผู้ก่อการร้าย 9/11 และลัทธิจักรวรรดินิยมของสหรัฐอเมริกาจน "ไม่มีใครเลวกว่าใคร" ฮิทเช่นส์วิจารณ์ว่า "ความเห็นใจที่ชอมสกีมีให้แก่หมาจนตรอก กลับกลายเป็นการให้ท้ายแก่หมาบ้า"
ชอมสกีโต้แย้งว่า "ผมไม่สนใจเสียงโวยวายด่าว่าของคนเหล่านั้นหรอก มันหมายความว่าอะไรที่ว่าเปรียบเทียบ 9/11 กับอาชญากรรมของสหรัฐอเมริกา? คุณเปรียบเทียบ 9/11 กับสิ่งที่เรียกว่า 9/11 อีกเหตุการณ์หนึ่งในอเมริกาใต้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ในวันที่ 11 กันยายน 1973 ในชิลี ประธานาธิบดี (อัลเยนเด) ถูกฆ่าตาย ระบอบประชาธิปไตยที่เก่าแก่ที่สุดในละตินอเมริกาถูกทำลายสิ้นซาก
ตัวเลขที่เป็นทางการของประชาชนที่ถูกสังหารคือ 3,000 คน ตัวเลขจริง ๆ อาจมากกว่านั้นถึงสองเท่า ถ้าเทียบเป็นสัดส่วนกับจำนวนประชากรของสหรัฐอเมริกา มันเทียบเท่ากับคนถึง 100,000 คน มันก่อตั้งระบอบเผด็จการที่โหดร้ายป่าเถื่อนที่สุด เป็นไวรัสที่แพร่ระบาดไปทั่วทั้งภูมิภาคละตินอเมริกา และก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ของภัยสยองโดยน้ำมือรัฐ" (การรัฐประหารในชิลีและประเทศอื่น ๆ ในละตินอเมริกา ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและซีไอเอ)
"นั่นเอามาเปรียบเทียบกับ 11 กันยายน 2001 ได้อย่างไร? ถ้านับเป็นตัวเลขและผลพวงทางสังคมที่ตามมา มันเลวร้ายยิ่งกว่าหลายเท่า แต่มันไม่เข้าท่าเลยที่เอามาเปรียบเทียบกัน มันต่างก็เป็นความโหดร้ายรุนแรงทั้งนั้น และความโหดร้ายที่เราต้องใส่ใจเป็นอันดับแรก คือความโหดร้ายที่เราสามารถยับยั้งได้"
ชอมสกีถูกวิพากษ์วิจารณ์มานานแล้วว่า เขาจับผิดแต่สหรัฐอเมริกา โดยละเลยความผิดของประเทศอื่น ๆ เขาตอบโต้และยืนยันเสมอมาว่า หน้าที่อันดับแรกของการเป็นปัญญาชนอเมริกัน คือการวิพากษ์วิจารณ์ประเทศของตัวเอง เพราะยังมีโอกาสแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรได้ มันไม่มีประโยชน์ที่จะไปเที่ยววิพากษ์วิจารณ์ประเทศอื่น นั่นเป็นหน้าที่ของปัญญาชนในประเทศนั้น ๆ
"เมื่ออังกฤษกับสหรัฐฯ บุกอิรัก มีการคาดการณ์กันแล้วว่า มันจะกระตุ้นภัยคุกคามของการก่อการร้าย ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น นี่หมายความว่า อังกฤษกับสหรัฐฯ สนับสนุนให้เกิดการก่อการร้ายแบบ 9/11 ที่อาจโจมตีสหรัฐฯ อีก ไม่ช้าก็เร็ว การก่อการร้ายในแบบญิฮาดกับการมีอาวุธทำลายล้างจะต้องเกิดขึ้นพร้อมกันจนได้ และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคงเลวร้ายสุดคาดคิด ดังนั้น ถ้าเราไม่อยากให้มีการก่อการร้ายจริง ๆ เราก็ต้องไม่ไปกระตุ้นให้มันเกิดขึ้น"
ในการจัดการกับการก่อการร้าย ชอมสกีเชื่อว่า ควรใช้วิธีเดียวกับที่อังกฤษใช้เป็นผลสำเร็จระดับหนึ่งในการจัดการกับขบวนการไออาร์เอในไอร์แลนด์เหนือ "การหยุดยั้งการก่อการร้ายไม่ได้ยากเย็นจนทำไม่ได้...ทันทีที่อังกฤษให้หน่วยข่าวกรองหันมาสนใจกับความคับแค้นของประชาชน แทนที่จะตอบโต้ด้วยความรุนแรงกว่าเดิม มันก็เกิดความก้าวหน้าในการคลี่คลายปัญหาได้จริง ๆ ทุกวันนี้ ไอร์แลนด์เหนืออาจไม่ถึงกับเป็นสวรรค์ แต่เมืองเบลฟาสต์ก็ไม่ได้เป็นอย่างเมื่อ 10 ปีก่อน..."
วิธีการที่อังกฤษจัดการกับการก่อการร้ายอย่างได้ผลคือ ถือว่า "การก่อการร้ายคือคดีอาชญากรรม ดังนั้น คุณก็ตามจับตัวคนผิด ใช้กำลังบ้างเท่าที่จำเป็น แล้วนำตัวคนผิดมาดำเนินคดีในศาลอย่างยุติธรรม...ถ้าเราต้องการลดภัยคุกคามลงจริง ๆ ก็ต้องใช้มาตรการอย่างที่อังกฤษทำ คือให้ความสนใจต่อความไม่เป็นธรรมที่ประชาชนได้รับ หนังสือของผู้เชี่ยวชาญทุกเล่มที่ผมอ่านและหน่วยข่าวกรองทุกหน่วยที่ผมรู้จัก ก็พูดอย่างนี้เหมือนกันหมด"
"การใช้ความรุนแรงตอบโต้ทุกชนิดคือของขวัญที่มอบให้แก่ผู้ก่อการร้าย การตอบโต้ด้วยความรุนแรงโดยพลเรือนโดนลูกหลงไปด้วย ก็เท่ากับคุณมอบของขวัญให้โอซามา บินลาดิน คุณกำลังให้เครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อที่เขากำลังต้องการอยู่พอดี เขาจะได้พูดว่า 'เราต้องปกป้องอิสลามจากพวกตะวันตกที่พยายามทำลายเรา เรากำลังต่อสู้ในสงครามป้องกันตัว' "
ต่อคำถามเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิดที่แพร่สะพัดอยู่ในอินเตอร์เน็ตนับตั้งแต่เกิดวินาศกรรม 9/11 ซึ่งกล่าวหาว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีส่วนพัวพันที่ทำให้เกิดเหตุวินาศกรรมครั้งนี้ ชอมสกีบอกว่า เราไม่ควรไปเสียเวลากับทฤษฎีพวกนี้
"ผมเคยอ่านเจอมาบ้างและถูกถามอยู่บ่อย ๆ มีสมมติฐานแบบอ่อนที่อาจเป็นไปได้ แต่ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงในความคิดของผม กับสมมติฐานแบบรุนแรงที่เกือบจะเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ สมมติฐานแบบอ่อนก็คือ รัฐบาลสหรัฐฯ รู้ว่าจะเกิดเรื่องและไม่พยายามหาทางหยุดยั้ง สมมติฐานแบบรุนแรงคือพวกเขามีส่วนพัวพันโดยตรงเลยทีเดียว ในทัศนะของผม หลักฐานที่พยายามหามาสนับสนุนทฤษฎีพวกนี้เกิดมาจากความไม่เข้าใจในเบื้องต้นว่า หลักฐานคืออะไร ไม่เข้าใจว่าอะไรคือคุณสมบัติของการเป็นหลักฐานและมองประเด็นไม่ออก แม้แต่ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่มีการควบคุมเข้มงวด เราก็จะพบปรากฏการณ์ที่อธิบายไม่ได้เต็มไปหมด ความบังเอิญแปลก ๆ ความขัดแย้งโดยเปลือกนอก ฯลฯ
ถ้าลองอ่านงานเขียนในวารสารทางวิทยาศาสตร์ คุณจะพบตัวอย่างแบบนี้มากมาย ในโลกความเป็นจริง ความไร้ระเบียบยิ่งท่วมท้น และปรากฏการณ์แบบนี้อาจมีมากทะลุฟ้า นอกจากนั้น คนในรัฐบาลต้องเป็นบ้าแน่ ๆ หากพยายามทำอะไรแบบนั้น เพราะมันต้องเกี่ยวพันกับคนจำนวนมาก มันต้องมีข่าวรั่วออกมาแน่ ๆ อย่างรวดเร็วด้วย แล้วพวกเขาคงถูกจับไปยิงเป้าและพรรครีพับลิกันคงดับสนิทไปชั่วกาลนาน มันคงเป็นแบบนี้ไม่ว่าแผนการจะสำเร็จหรือล้มเหลว และโอกาสที่จะทำสำเร็จมีริบหรี่มาก"
"อีกส่วนหนึ่งคือบอกว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้โศกนาฏกรรมครั้งนี้รับใช้จุดประสงค์ของตนเอง นี่เป็นความจริงแน่นอนและเห็นกันอยู่ชัด ๆ ผมพูดมาตั้งแต่ให้สัมภาษณ์ครั้งแรกหลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่กี่ชั่วโมงว่า ระบบอำนาจนิยมทุกประเทศในโลกนี้จะทำแบบนั้นแน่ รวมทั้งวอชิงตัน ซึ่งพวกเขาก็ทำจริง ๆ --นั่นเป็นการคาดการณ์ที่ง่ายที่สุด จนแทบไม่มีความหมายเลย"
ภัควดี วีระภาสพงษ์ เรียบเรียงจาก
Noam Chomsky interviewed
by David McNeill
The Independent, January 24, 2005
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา
3
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
e-mail
: midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 580 เรื่อง หนากว่า 7500 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา
120 บาท(รวมค่าส่ง)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่
midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง
จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
ชอมสกีถูกวิพากษ์วิจารณ์มานานแล้วว่า เขาจับผิดแต่สหรัฐอเมริกา โดยละเลยความผิดของประเทศอื่น ๆ เขาตอบโต้และยืนยันเสมอมาว่า หน้าที่อันดับแรกของการเป็นปัญญาชนอเมริกัน คือการวิพากษ์วิจารณ์ประเทศของตัวเอง เพราะยังมีโอกาสแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรได้ มันไม่มีประโยชน์ที่จะไปเที่ยววิพากษ์วิจารณ์ประเทศอื่น นั่นเป็นหน้าที่ของปัญญาชนในประเทศนั้น ๆ
ในการจัดการกับการก่อการร้าย ชอมสกีเชื่อว่า ควรใช้วิธีเดียวกับที่อังกฤษใช้เป็นผลสำเร็จระดับหนึ่งในการจัดการกับขบวนการไออาร์เอในไอร์แลนด์เหนือ "การหยุดยั้งการก่อการร้ายไม่ได้ยากเย็นจนทำไม่ได้...ทันทีที่อังกฤษให้หน่วยข่าวกรองหันมาสนใจกับความคับแค้นของประชาชน แทนที่จะตอบโต้ด้วยความรุนแรงกว่าเดิม มันก็เกิดความก้าวหน้าในการคลี่คลายปัญหาได้จริง ๆ ทุกวันนี้ ไอร์แลนด์เหนืออาจไม่ถึงกับเป็นสวรรค์ แต่เมืองเบลฟาสต์ก็ไม่ได้เป็นอย่างเมื่อ 10 ปีก่อน..." วิธีการที่อังกฤษจัดการกับการก่อการร้ายอย่างได้ผลคือ ถือว่า "การก่อการร้ายคือคดีอาชญากรรม ดังนั้น คุณก็ตามจับตัวคนผิด ใช้กำลังบ้างเท่าที่จำเป็น แล้วนำตัวคนผิดมาดำเนินคดีในศาลอย่างยุติธรรม...
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 580 เรื่อง หนากว่า 7500 หน้า
ในรูปของ CD-ROM ในราคา 120 บาท(รวมค่าส่ง) สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com
หรือ ส่งธนาณัติถึง สมเกียรติ
ตั้งนโม : ไปรษณีย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 50202
กรุณาส่งธนาณัติแลกเงินไปยัง
สมเกียรติ ตั้งนโม : คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
50202 และอย่าลืมเขียนชื่อ ที่อยู่ ของผู้รับตัวบรรจงด้วยครับ เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการจัดส่งทางไปรษณีย์