ผลงานภาพประกอบดัดแปลง ใช้ประกอบบทความบริการฟรีของ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

R
relate topic
160548
release date

บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ 576 หัวเรื่อง
วิวาทะความรุนแรงกับสันติวิธี
ดร. เกษียร เตชะพีระ
คณะรัฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

บทความฟรีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
The Midnight 's article

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ

Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ

หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com

เผยแพร่ เพื่อสาธารณประโยชน์
หากนักศึกษาหรือสมาชิก ประสบ
ปัญหาภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลดขนาดของ font ลง จะ
สามารถแก้ปัญหาได้

midnightuniv(at)yahoo.com
midnight2545(at)yahoo.com
midarticle(at)yahoo.com
นักศึกษา สมาชิก และผู้สนใจทุกท่าน หากประสงค์จะตรวจดูบทความอื่นๆที่เผยแพร่บนเว็ปไซค์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ท่านสามารถคลิกไปดูได้จากตรงนี้ ไปหน้าสารบัญ
เว็ปไซท์นี้มีการคลิกโดยเฉลี่ยต่อวัน 14119-26256 ครั้ง สำรวจเมื่อเดือนสิงหาคม 47
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนขอขอบคุณ www.thaiis.com ที่กรุณาให้ใช้พื้นที่ฟรีในการเผยแพร่งานวิชาการ เพื่อประโยชน์ต่อสังคม

คลิกไปหน้า homepage มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

จดหมายวิวาทะระหว่างความรุนแรงกับสันติวิธี
วิวาทะบิน ลาเดน กับคานธี ทำไมจึงก่อการร้าย
ดร. เกษียร เตชะพีระ
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

หมายเหตุ: รวมบทความที่เคยตีพิมพ์แล้วของเกษียร เตชะพีระ ในหนังสือพิมพ์มติชน
ระหว่างกลางเดือนเมษายน - กลางเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๘
เรื่อง วิวาทะบิน ลาเดน กับคานธี ทำไมถึงก่อการร้าย / ทั้งหมด ๔ ตอน
แปลเรียบเรียงจาก Bhikhu Parekh, "Why terror?", Prospect, 97 (20 April 2004);
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 20 หน้ากระดาษ A4)

 


1. วิวาทะบิน ลาเดน กับคานธี ทำไมถึงก่อการร้าย
ถ้าหากทุกวันนี้มหาตมะ คานธี ยังมีชีวิตอยู่ มหาประกาศกแห่งความไม่รุนแรงจะท้าทายโลกทัศน์ของโอซามา บิน ลาเดน อย่างไร?

นี่คือโจทย์ที่ ภิกขุ ปาเร็ค (Bhikhu Parekh) ศาสตราจารย์ปรัชญาการเมืองและสมาชิกสภาขุนนางอังกฤษผู้ประพันธ์หนังสือเกี่ยวกับมหาตมะ คานธี 3 เล่มตั้งขึ้น อันเป็นที่มาของวิวาทะสมมุติระหว่างบิน ลาเดน กับคานธีในบทความของเขาชื่อ "Why terror?" ลงในนิตยสาร Prospect ของอังกฤษฉบับที่ 93 ประจำเดือนเมษายน ค.ศ.2004

ซึ่งผู้เขียนขอนำมาถ่ายทอดเป็นพากย์ไทยไว้ในคอลัมน์นี้เพื่อประโยชน์แก่การเข้าใจและวิเคราะห์วิจารณ์ฐานคติวิธีคิดของกลุ่มก่อการร้ายอิสลามหัวรุนแรง

คำนำของภิกขุ ปาเร็ค
เฉกเช่นผู้คนหลายล้านทั่วโลก ผมเห็นว่าเหตุการณ์มหกรรมอำมหิต 11 กันยายนเลวร้ายเหลือที่จะรับได้ และประณามปฏิบัติการก่อการร้ายครั้งนั้นอย่างสิ้นเชิง แต่ถึงจะมีสงครามต่อต้านการก่อการร้าย เราก็ยังคงเห็นเหตุสยดสยองเกิดเพิ่มอีกเช่นที่มาดริดเป็นต้น อะไรเล่าที่ผลักไสมือระเบิดเหล่านั้น? พวกเขาทำใจอยู่กับกรรมที่ตนก่อได้อย่างไร? ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวัฏจักรแห่งความรุนแรงนี้หรือ? จะหาใครมีคุณสมบัติเหมาะแก่การให้คำปรึกษาเรื่องนี้ดีไปกว่ามหาตมะ คานธี มหาประกาศกแห่งความไม่รุนแรงคงมิได้อีกแล้ว

ข้อถกเถียงแลกเปลี่ยนระหว่างคานธีกับบิน ลาเดน ในจินตนาการของผมต่อไปนี้พยายามจะทำ 2 อย่างได้แก่
1) ทำความเข้าใจโลกทัศน์อันวิปริตผิดเพี้ยนซึ่งบันดาลใจบิน ลาเดน ให้ได้บ้างอย่างน้อยบางส่วน และ
2) สำรวจทางเลือกทางหนึ่งซึ่งถูกละเลยไป

ขอท่านผู้อ่านโปรดเข้าใจว่าบิน ลาเดน ของผมนั้น เป็นภาพสร้างทางปัญญาหรืออุปลักษณ์(metaphor) ซึ่งมุ่งอ้างอิงแนวคิดอันเป็นแบบฉบับทั่วไป ของผู้นับถือศาสนาอิสลามหัวรุนแรงที่สนับสนุนการก่อการร้าย มากกว่าตัวบิน ลาเดน เองจริงๆ

มหาตมะ คานธี ที่รัก
2 ตุลาคม ค.ศ.2003


นับแต่พลพรรคของผมโจมตีสถานทูตอเมริกันในเคนยา, เรือรบยูเอสเอสโคลในเยเมน, จนถึงตึกเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ในนิวยอร์กและตึกเพนตากอนในวอชิงตัน ดี.ซี. ต่อมา พวกเขาและผมก็ถูกประกาศหมายหัวเป็นศัตรูของโลกอารยะที่อาจโดนไล่ล่า ทรมาน และสังหารได้เหมือนสัตว์ป่า ผมไม่แปลกใจปฏิกิริยาของอเมริกาดอก แต่ผมอดสลดหดหู่ใจต่อปฏิกิริยาที่เป็นอริของเพื่อนชาวมุสลิมของผมบางคนไม่ได้ ผมรู้สึกติดค้างพวกเขาทางใจใคร่จะอธิบายให้ฟังว่า ทำไมพวกเราถึงทำสิ่งที่พวกเราทำ ทำไมเราจึงไม่แยแสคำบิดเบือนป้ายสีที่สุมประดังใส่เรา และทำไมเราจึงอาจก่อการเช่นนั้นอีก เนื่องจากปฏิบัติการทางการเมืองทุกอันย่อมไม่อาจเข้าใจได้นอกบริบททางประวัติศาสตร์ของมัน ผมจึงต้องขอเริ่มโดยเท้าความประวัติสักเล็กน้อย

อิสลามเป็นศาสนาอันยิ่งใหญ่ ที่สืบเนื่องจากและเป็นจุดสมบูรณ์แบบของศาสนา อันมีที่มาจากอับราฮัมอีกสองศาสนา อิสลามรับรองศาสนาทั้งสองว่าเป็นสัจจะแท้จริง นบนอบบูชาศาสดาพยากรณ์ของสองศาสนานั้น อีกทั้งอดกลั้นต่อและเคารพทั้งสองศาสนาเสมอมา ด้วยพลังทั้งทางศีลธรรมและจิตวิญญาณแห่งสัจธรรมอันลึกซึ้งของตน

อิสลามอันเป็นศาสนาที่มาทีหลังทางประวัติศาสตร์ก็สามารถชนะใจสมัครภักดีของคนเป็นล้านๆ ในที่ต่างๆ ของโลกได้อย่างรวดเร็ว อิสลามบันดาลใจชาวมุสลิมให้แข็งขันกระตือรือร้น และศรัทธาทุ่มเทเสียจนกระทั่งกองทัพมุสลิมฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการเข้าพิชิตศึกครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้อิสลามกลายเป็นศาสนาที่เรืองอำนาจยิ่งใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

ชาวคริสเตียนผู้ริษยาแรงดึงดูดใจและรังเกียจอำนาจของอิสลามมาช้านาน ได้พยายามบั่นทอนความน่าเชื่อถือและบ่อนทำลายอิสลามโดยล้อเลียนความเชื่อ ป้ายสีบิดเบือนพระศาสดา และดำเนินสงครามศาสนาต่ออิสลาม แต่อิสลามก็รอดพ้นทั้งหลายทั้งปวงนี้มาได้ และสร้างจักรวรรดิอันใหญ่โตขึ้นหลายแห่ง โดยมีจักรวรรดิออตโตมันอันยิ่งใหญ่เป็นแห่งสุดท้าย

เมื่อบังเกิดโลกสมัยใหม่ อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศยุโรปอื่นๆ ก็เริ่มสร้างอุตสาหกรรมด้วยแรงกิเลสตัณหาแห่งความกระหายอำนาจและกระสันต์กำไร อันเป็นฐานรากของทุนนิยมและจักรวรรดินิยม พวกเขาเข้าพิชิตพื้นที่อันกว้างใหญ่ของโลกและเริ่มดันแปลงโฉมอาณานิคมให้เหมือนตน

ขณะเดียวกันเนื่องจากสังคมมุสลิมทั้งหลายเองก็ทรยศหลักศาสนาของตัว และเสื่อมทรามถดถอยลง จึงตกเป็นเหยื่อโดยง่าย ด้วยอาวุธอันเหนือกว่า อังกฤษและฝรั่งเศสปราบจักรวรรดิออตโตมันลงราบคาบ แบ่งแยกมันออกเป็นเขตแคว้นการเมืองเทียมๆ แต่งตั้งคนฉ้อฉลขึ้นกินเมืองทำให้มันอ่อนแอและแตกแยกกันเข้าไว้ แล้วใช้มันธำรงรักษาอำนาจของตนไว้ตลอดไป

หลังสงครามปี ค.ศ.1939-1945 พวกเขาก็ริบบ้านเกิดเมืองนอนไปจากชาวปาเลสไตน์ หยิบยื่นแผ่นดินผืนใหญ่ให้ชาวยิว และสร้างบ่อเกิดกลัดหนองแห่งความอยุติธรรมขึ้นในรูปประเทศอิสราเอล เอาเข้าจริงแต่ไหนแต่ไรมาสังคมมุสลิมก็มีชุมชนชาวยิวอันใหญ่โตรวมอยู่ด้วยเสมอและคอยพิทักษ์ปกป้องพวกเขายิ่งกว่าสังคมยุโรปด้วยซ้ำไป แต่การให้ชาวยิวได้รัฐของตนเองด้วยการเอารัดเอาเปรียบชาวปาเลสไตน์และตั้งมันอยู่ใจกลางโลกอาหรับนั้นนับว่าทั้งยั่วยุและอยุติธรรม

เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้าแทนที่นานาประเทศยุโรปซึ่งอ่อนแอลงในคริสต์ทศวรรษที่ 1950 มันยังคงดำเนินโครงการนี้ต่อไป และออกแบบจักรวรรดิของตัวเองที่แนบเนียนกว่าขึ้นมา ในนามของการป้องกันโลกตะวันตกไว้จากภัยคุกคามโซเวียต มันก่อตั้งและหนุนหลังระบอบหุ่นเชิดในหลายแห่งของโลก โดยเฉพาะในบรรดาสังคมมุสลิมแห่งตะวันออกกลาง เจ้าของน้ำมันซึ่งอเมริกาต้องอาศัยมาสร้างความเจริญรุ่งเรือง

อเมริกากระทั่งยังลำเอียงเข้าข้างอิสราเอลกระเท่เร่กว่าพวกยุโรปด้วยซ้ำไป โดยทุ่มความช่วยเหลือต่างประเทศของตนจำนวนมากให้อิสราเอล ติดอาวุธอิสราเอลและยุยงส่งเสริมความมักใหญ่ใฝ่ขยายดินแดนของอิสราเอล ความล่มสลายของสหภาพโซเวียตทำให้สหรัฐอเมริกาสำคัญตนผิดว่าไร้เทียมทาน และสำแดงความผยองลำพองออกมาอย่างเลิกเกรงใจใคร

ทุกวันนี้สหรัฐอเมริกาปักใจเด็ดเดี่ยวจะเปลี่ยนโลกทั้งใบเป็นแบบอเมริกัน และปรับโครงสร้างทุกสังคมเสียใหม่ไปในแนวทางโลกวิสัย ทุนนิยม เสรีนิยมและบริโภคนิยม กองกำลังทหารอเมริกันตั้งประจำอยู่ใน 120 ประเทศและกดดันรัฐบาลประเทศเหล่านั้นให้ทำตามคำสั่งตน มันเข้าควบคุมบรรดาสถาบันเศรษฐกิจและการเมืองสำคัญระหว่างประเทศและใช้มันหาประโยชน์เข้าตัว ถ้าทำแบบนั้นไม่ได้ผล มันก็หันไปติดสินบนและขู่จะแฉโพยความลับเพื่อให้ได้ดั่งใจ และถ้านั้นยังล้มเหลวอีก มันก็จะดำเนินการตามลำพังโดยไม่นำพากฎหมายหรือสถาบันระหว่างประเทศใดๆ ไม่มีรัฐบาลใดจะพ้นเงื้อมมือมันไปได้

แม้ว่ารัฐบาลพรรครีพับลิกันปัจจุบัน จะสำแดงความมักใหญ่ใฝ่จักรวรรดิของตนออกมาอย่างไร้ยางอาย แต่ใช่ว่ารัฐบาลคลินตันชุดก่อนจะดีกว่าก็หาไม่ พวกนั้นก็ดำเนินนโยบายเดียวกันนั่นแหละ ชั่วแต่พึ่งพาแรงกดดันทางเศรษฐกิจและการเมืองมากกว่าจะใช้การข่มขู่คุกคามด้วยแสนยานุภาพทางทหารเท่านั้นเอง

แม้เราจะต้องต่อสู้จักรวรรดิอเมริกาทุกหนแห่งทั่วโลก แต่ผมมุ่งปลดปล่อยบรรดาสังคมมุสลิมเป็นหลัก ทั้งนี้ ไม่เพียงเพราะผมสังกัดสังคมดังกล่าวเท่านั้น แต่ยังเพราะมันเป็นข้อต่อที่อ่อนเปราะที่สุดในสายโซ่จักรวรรดินิยม และความสำเร็จของผมที่นั่นจะเป็นแบบอย่างปลุกใจที่อื่นๆ ด้วย

ผมมีเป้าหมาย 4 ประการคือ

1) ขับไล่ชาวอเมริกันออกจากสังคมมุสลิม

2) ทำลายอิสราเอลในฐานะรัฐต่างหากของชาวยิวลง แล้วสร้างประเทศปาเลสไตน์อันเสรี ที่ซึ่งชาวยิวอยู่ได้ในฐานะชนกลุ่มน้อยที่ได้รับการปกป้องคุ้มครอง

3) ขับโค่นสมุนฉ้อฉลของอเมริกาในสังคมมุสลิมและปรับโครงสร้างสังคมเหล่านั้นเสียใหม่ตามหลักการอิสลามที่แท้จริง และประการสุดท้าย

4) ฟื้นฟูความรุ่งโรจน์แต่กาลก่อนของอิสลาม โดยผนึกชุมชนอิสลามทั้งมวล (umma) เข้าด้วยกันเป็นเอกภาพและประกันให้มุสลิมได้ปกครองประเทศมุสลิมแต่กาลก่อนเช่นปาเลสไตน์, บูคารา, เลบานอน, ปากีสถาน, บังกลาเทศ, ชาด, เอริเทรีย, โซมาเลีย, ฟิลิปปินส์, พม่า, เยเมนใต้, ทัชเคนต์ และแอนดาลูเซีย

ความรุนแรงเป็นหนทางเดียวที่จะบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ เพราะมันเป็นภาษาเดียวที่สหรัฐอเมริกาเข้าใจ ความรุนแรงของเราจำต้องอาศัยการก่อการร้ายเป็นฐาน เพราะชาวมุสลิมที่ด้อยอาวุธยุทธภัณฑ์ย่อมไม่อาจทัดเทียมแสนยานุภาพอเมริกันได้หากรบกันซึ่งหน้า ถึงแม้ความรุนแรงในการก่อการร้ายของเราจะพุ่งเป้าใส่ "สัญลักษณ์แห่งอำนาจทางทหารและเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา" เป็นอันดับแรก แต่จะให้เราละเอียดลออละเมียดละไมเสียจนไม่โดนพลเรือนเลยก็คงไม่ได้ อย่าลืมว่าสหรัฐอเมริกาเองก็ไม่เคยละเว้นพลเรือนเวลาทำสงครามกับเรา

เด็กชาวอิรักเกือบ 500,000 คนต้องล้มตายก็เพราะการแซงก์ชั่นที่สหรัฐอเมริกาคอยให้ท้าย พลเมืองสหรัฐเองเป็นผู้เลือกรัฐบาลของตนโดยเสรี มักจะสนับสนุนนโยบายรัฐบาล (หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้ประท้วงคัดค้านและปลีกตัวออกจากนโยบายเหล่านั้นในจำนวนมากมาย) และฉะนั้นจึงต้องถือว่าสมรู้ร่วมคิดกับเวรกรรมที่รัฐบาลตนก่อไม่โดยตรงก็โดยอ้อม

ผมอยากจะชี้แจงเพิ่มเติมอีกสองประเด็น

ประเด็นแรก การก่อการร้ายของเราเป็นปฏิกิริยาคืนสนอง เราแค่กำลังตอบโต้ความรุนแรงในการก่อการร้ายของสหรัฐอเมริกาเท่านั้นเอง ชาวอเมริกาปล้นชิงทรัพย์สินและน้ำมันของเรา โจมตีศาสนาของเรา เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเรา ทำกับเราเหมือนเบี้ยในเกมหมากรุกระดับโลกของมัน แล้วยังบังอาจถือดีมาเรียกเราว่าผู้ก่อการร้ายอีก ทั้งๆ ที่เราแค่กำลังป้องกันตัวเองจากการก่อการร้ายของมันเท่านั้น

ประเด็นที่สอง ผมแยกแยะระหว่างการก่อการร้าย "ที่น่าสรรเสริญ" กับ "ที่พึงประณาม" การก่อการร้ายเพื่อล้มล้างระบอบทรราช, การครอบงำของต่างชาติ, ผู้ปกครองทุจริตฉ้อฉลและผู้ทรยศจัดเป็นประเภทแรก ส่วนการก่อการร้ายที่ยัดเยียดหรือค้ำยันสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้ให้ยืนนานออกไปจัดเป็นประเภทหลัง พลพรรคของผมไม่เคยฆ่าเยี่ยงคนขลาดหรือหาประโยชน์ใส่ตัวจากปฏิบัติการของพวกเขา พวกเขาเสียสละความสุขสบายอาชีพการงานครอบครัว กระทั่งชีวิตปกติของตน และแสดงให้ประจักษ์ด้วยการพลีชีพว่า พวกเขาได้รับการชักนำด้วยแรงจูงใจอันสูงส่งสุดยอด

การก่อการร้ายของเราชอบด้วยศีลธรรมและศาสนา หาได้มีธาตุแท้เป็นอาชญากรรมดังที่นักวิจารณ์ชาวตะวันตกกล่าวอ้างไม่ นโนธรรมสำนึกของเราแจ่มกระจ่าง และผมขอกล่าวต่อเพื่อนชาวมุสลิมของผมว่า การฆ่าชาวอเมริกันและพันธมิตรไม่ว่าพลเรือนหรือทหารถือเป็นหน้าที่ประจำตัวของมุสลิมทุกคน

ระลึกถึง
โอซามา


2. "วิวาทะบิน ลาเดนกับคานธี : วิพากษ์แนวคิดอิสลามหัวรุนแรง"
จดหมายตอบของคานธี (ส่วนแรก)

โอซามาที่รัก
1 พฤศจิกายน ค.ศ.2003

เมื่อฉันฟังเธอนะ น้องโอซามา มันเตือนใจฉันอย่างแรงกล้าให้หวนรำลึกถึงการเสวนาของฉันกับผู้ก่อการร้ายร่วมชาติ ซึ่งเริ่มในลอนดอนเมื่อปี ค.ศ.1909 และดำเนินต่อเนื่องไปจนเกือบวาระสุดท้ายแห่งชาติของฉัน กรณีของเธอก็เหมือนกับพวกเขานั่นแหละ กล่าวคือฉันเห็นว่าเธอใช้เหตุผลวิปริตผิดเพี้ยน และการสดุดีความรุนแรงของเธอนั้นช่างน่าทุเรศสิ้นดี

ไม่ว่าเธอจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เอาเข้าจริงเธอคิดและพูดเหมือนนักจักรวรรดินิยม เธอเสนอภาพประวัติศาสตร์อิสลามที่ชำระซะเกลี้ยงเกลาแล้ว อย่าลืมว่าการพิชิตศึกและจักรวรรดิทั้งหลายทั้งปวงล้วนเนืองนองไปด้วยเลือด การกดขี่และความอยุติธรรม และการพิชิตศึกและจักรวรรดิในประวัติศาสตร์ของเธอก็เช่นกัน เจ้ามุสลิมในอินเดียได้ทำลายวิหารฮินดู ปล้นทรัพย์สินฮินดูและเปลี่ยนศาสนาของมวลชนอันไพศาลด้วยสินบนผสมกับกำลัง พวกเขายังได้ทำลายวัฒนธรรมประเพณีและโครงสร้างสังคมอัฟริกานั้น รวมทั้งพยายามลบล้างความทรงจำเกี่ยวกับอดีตก่อนอิสลามทิ้งด้วย และแม้พวกเขาจะปฏิบัติต่อชาวคริสเตียนและยิวดีกว่าแต่ก่อน แต่ก็ไม่เคยให้ฐานะพลเมืองเสมอภาคแก่คนเหล่านั้นเลย

แต่เอาเถอะเรื่องทั้งหมดนี้มันก็นานมาแล้ว ป่วยการจะมานั่งพิลาปรำพันถึงมันและโทษว่าใครต่อใคร ทว่าเราก็มีหน้าที่ต้องยอมรับความจริงอันครบถ้วนของอดีต และมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวที่จะไม่ทำมันซ้ำรอย น่าเสียดายที่เธอไม่ได้ทำดังว่านี้ มิหนำซ้ำยังปักใจจะฟื้นฟูการปกครองของมุสลิมในบรรดาประเทศที่เธอเอ่ยถึงอีกเล่า

เธอกล่าวโจมตีจักรวรรดินิยมยุโรปก็เพราะมันทำให้จักรวรรดินิยมของเธอสิ้นสุด และเธอกล่าวโจมตีชาวอเมริกันก็เพราะพวกเขาขัดขวางไม่ให้เธอฟื้นฟูจักรวรรดินิยมของเธอขึ้นมาใหม่ ในฐานที่เธอเองก็เป็นนักจักรวรรดินิยม เธอจึงไม่มีสิทธิทางศีลธรรมใดๆ ที่จะกล่าวโจมตีแผนการจักรวรรดินิยมของคนอื่น

เธอพร่ำพูดเรื่องสังคมอิสลามที่แท้จริง ซึ่งเธออยากจะรื้อฟื้นความรุ่งเรืองของมันขึ้นมา พูดตรงๆ นะว่าฉันไม่เห็นมันจะดึงดูดใจฉันหรือเพื่อนชาวมุสลิมส่วนใหญ่ของเธอตรงไหนเลย เธอต้องการจะผสมผสานรัฐรวมศูนย์ เศรษฐกิจอุตสาหกรรมและอาวุธนิวเคลียร์ เข้ากับค่านิยมและการปฏิบัติแบบอิสลามชุดหนึ่ง นี่เป็นโครงงานใหญ่ที่ลักลั่นแยกแย้งกันเอง เพราะลงเธอเลือกรับเอาสถาบันทางเศรษฐกิจ การเมืองและอื่นๆ แห่งความทันสมัยแล้ว เธอไม่มีทางหนีตรรกะของมันไปพ้น

นับวันเธอจะยิ่งเหมือนสังคมตะวันตกเข้าไปทุกทีและถูกดูดเข้าไปในกระบวนการโลกาภิวัตน์ และนั่นย่อมหมายถึงเข้าไปในจักรวรรดิอเมริกันด้วย อันเป็นสิ่งที่เธอบอกว่าไม่ต้องการนั่นเอง

ยิ่งกว่านั้นสถาบันเหล่านี้มิอาจธำรงอยู่ได้โดยไม่สร้างวัฒนธรรมอันเหมาะสม พลิกโฉมสถาบันสังคม, การศึกษาและอื่นๆ อย่างขุดรากถอนโคน รวมทั้งบ่อนทำลายค่านิยมทางศาสนาและศีลธรรมประดาที่เธอถนอมรักนั่นแหละ เธอต้องการสร้างสังคมมุสลิมอันทรงพลังที่สามารถยืนทางโลกตะวันตกได้ แต่ถ้าเธอจะเอาจริงเรื่องสร้างสังคมที่ดีแน่แท้แล้วละก็ เธอควรจะเลิกเปรียบตัวเองกับโลกตะวันตกเสียที เธอควรจะเริ่มด้วยค่านิยมอันยิ่งใหญ่ของอิสลามแทน เชื่อมโยงมันเข้ากับสภาพการณ์และความใฝ่ฝันของประชาชนของเธอ และสมานลักษณ์เอาบรรดาค่านิยมและสถาบันตะวันตกที่จะทำให้สังคมของเธอมั่งคั่งไพบูลย์ขึ้นเข้ามา

ก็อย่างที่เธอยอมรับนั่นแหละ สังคมมุสลิมได้เสื่อมถอยลง แต่คำอธิบายของเธอเรื่องนี้ผิดถนัด สังคมมุสลิมเสื่อมถอยก็เพราะมันหยุดนิ่ง เหลื่อมล้ำ ถือหลักผู้ชายเป็นใหญ่ ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และขาดจิตวิญญาณของการสืบค้นทางวิทยาศาสตร์ เสรีภาพของปัจเจกบุคคลและสมรรถนะที่จะปฏิบัติการแบบรวมหมู่และร่วมมือ ในเรื่องต่างๆ เหล่านี้เราต้องเรียนรู้จากโลกตะวันตกอีกมาก

ตัวฉันเองก็เป็นนักเรียนที่สำนึกคุณของโลกตะวันตก ได้เรียนรู้มากจากประเพณีแบบเสรีนิยม คริสเตียนและสังคมนิยมของเขา และประสานมันเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวิถีชีวิตและวิธีคิดของอินเดียอย่างเหมาะสม การแบ่งโลกอย่างหยาบๆ ออกเป็นตะวันตกกับตะวันออกไม่ช่วยอะไร เพราะมันทำให้แต่ละข้างแต่ละฝ่ายเป็นแบบเดียวกันเกินไป และขัดขวางการเสวนาที่อำนวยประโยชน์แก่กันและกัน

เธอบอกว่าโลกตะวันตกนั้นกลวงเปล่าทางจิตวิญญาณ และเรียกพลเมืองของเขาว่าพวกนอกศาสนา ความจริงแล้วถึงแม้โลกตะวันตกจะนิยมบริโภคและนิยมทหาร แต่พลเมืองของเขาจำนวนมากก็มีมโนธรรมสำนึกทางสังคมแข็งแรง ความห่วงใยคนยากจนเอย รัฐสวัสดิการเอย ความปรารถนาจะสร้างสังคมที่เป็นธรรมเอย และการกดดันเรียกร้องความยุติธรรมระดับโลก และการแทรกแซงเพื่อมนุษยธรรมเอย ทั้งหลายทั้งปวงที่เอ่ยมาล้วนเป็นตัวอย่างของการนี้

ศาสนาก็สำคัญยิ่งต่อคนมากหลายในโลกตะวันตก และพวกเขาบางคนก็กระตือรือร้นใคร่เสวนาวิสาสะรวมทั้งหยิบยืมจากศาสนาที่ไม่ใช่คริสเตียนทั้งหลาย เธอคิดผิดถนัดว่าชาวมุสลิมผูกขาดเรื่องจิตวิญญาณ จิตวิญญาณไม่ใช่เรื่องว่าเธอละหมาด ถือศีลอด และไปมัสยิดบ่อยแค่ไหน แต่เป็นเรื่องว่าเธอรับใช้เพื่อนมนุษย์และดำเนินชีวิตตามหลักคุณธรรมอันยิ่งใหญ่แห่งความอ่อนน้อมถ่อมตน เมตตากรุณา อดกลั้นอดออมและรักสรรพสิ่งในสากลโลกหรือไม่อย่างใด ฉันต้องขอบอกว่าฉันไม่ค่อยเห็นหลักฐานของคุณธรรมเหล่านี้ในตัวเธอเท่าใดนัก

ดูเธอจะเชื่อว่าศาสนาอิสลามนั้นสมบูรณ์แบบ แต่ศาสนาทั้งปวงก็ล้วนมีทั้งสัจธรรมและความผิดพลาดด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งกว่านั้น โอซามา เธออ้างว่าหยั่งรู้หลักการแท้จริงของอิสลามดีกว่าใครอื่น และไม่ยอมรับความเห็นต่าง เธอปัดปฏิเสธการปรับประยุกต์หลักการเหล่านี้อย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้เข้ากับโลกซึ่งต่างกันสุดกู่กับสมัยแรกที่หลักการดังกล่าวถูกป่าวประกาศออกมา

และเมื่อเธอร้องขอให้รัฐอิสลามยัดเยียดหลักการเหล่านี้แก่คนในบังคับของตน ก็เท่ากับเธอปฏิเสธไม่ให้เสรีภาพทางศาสนาขั้นพื้นฐานแก่พวกเขา นี่ย่อมเป็นหนทางที่แน่ใจได้ที่สุดเลยว่า มันจะทำให้ทั้งศาสนาของเธอและรัฐนั้นเสื่อมทรามลง และยังจะยับยั้งความเจริญงอกงามทางศีลธรรมและจิตวิญญาณของประชาชนของเธออีกด้วย

ศาสนิกที่แท้ย่อมต้องการจะดำเนินชีวิตตามคุณธรรมและความเชื่อแห่งศาสนาของตน หากรัฐต้องบังคับให้เขาทำตามมันแล้วไซร้ ก็เห็นชัดเลยว่าศาสนาของเขาได้หมดสิ้นความเชื่อแห่งศาสนาของตน หากรัฐต้องบังคับให้เขาทำตามมันแล้วไซร้ ก็เห็นชัดเลยว่าศาสนาของเขาได้หมดสิ้นความหมายสำหรับเขาไปเสียแล้ว รัฐที่ตั้งอยู่บนฐานศาสนานั้น จึงเท่ากับลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งดูหมิ่นดูแคลนพระผู้เป็นเจ้าและจิตวิญญาณของมนุษย์ด้วย

เธอโทษชาวยุโรปหรืออเมริกันว่าเป็นเหตุแห่งสภาพลำบากยากแค้นอันน่าสังเวชของเธอ แต่เธอไม่เคยโทษอิสลามเลย เธอลืมความจริงพื้นๆ ไปว่าไม่มีคนนอกหน้าไหนจะเข้ามาหยั่งเท้าไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมได้ในสังคมหนึ่งๆ เว้นแต่มันจะเน่าในเอง

ทำนองเดียวกับที่ร่างกายคนเราย่อมไม่เพลี่ยงพล้ำแก่โรคภัยไข้เจ็บ เว้นแต่มันได้สูญเสียคุณสมบัติในการฟื้นฟูตัวเองขึ้นใหม่ไป เธอควรจะหยุดโทษว่าคนอื่นเสียที แล้วรวมศูนย์พลังงานของเธอไปฟื้นฟูบูรณะและกระตุ้นพลังชีวิตใหม่ให้สังคมของเธอด้วยการให้การศึกษาและจัดตั้งมวลชน

เธอพูดถูกที่ว่าผู้ปกครองมุสลิมจำนวนมากเป็นแค่สมุนรับใช้ฉ้อฉลของมหาอำนาจภายนอก แต่เธอลืมไปว่าผู้ปกครองของเราไม่ใช่เผ่าพันธุ์ต่างดาว หากเป็นเงาขยายใหญ่ของตัวเองเอง เราสร้างพวกเขาขึ้นมาตามรูปโฉมของเรา และฉะนั้นเราจึงต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่พวกเขาเป็นและทำด้วย

โอซามา เธอเป็นผู้ไม่มีขันติ ไม่มีแผนบูรณะฟื้นฟูสังคมขึ้นใหม่ และไม่ปรารถนาจะจัดการแก้ไขมูลเหตุเบื้องลึกแห่งความเสื่อมโทรมทางสังคม เธอคิดจะอาศัยกลุ่มนักเคลื่อนไหวทางศาสนา ที่จัดตั้งกันกระชับแน่นไปเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ถ้าได้อำนาจมาเมื่อไหร่ พวกเขานั่นแหละก็จะเสื่อมทรามลง อหังการขึ้นและเผด็จการด้วยเหมือนกัน

ขณะที่เธอกล่าวโจมตีชาวอเมริกันซ้ำซาก เธอก็ว่าร้ายชาวยิวไม่ขาดปากด้วย และมักจะแสดงแนวคิดความรู้สึกที่ไม่เพียงแต่ต่อต้านรัฐของชาวยิวเท่านั้น แต่ยังต่อต้านเผ่าพันธุ์ยิวอย่างก้าวร้าวอีกต่างหาก ฉันไม่เห็นด้วยกับเธอเลยแม้สักนิด ฉันไม่เหมือนเธอตรงที่ฉันเคยอยู่และทำงานร่วมกับชาวยิวมา ชื่นชมคุณสมบัติทางภูมิปัญญาและศีลธรรมของพวกเขา และรู้จักตัวตนและประวัติศาสตร์ของพวกเขาเป็นอย่างดี

ชาวยิวบางคนเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของฉันในแอฟริกาใต้ และคนหนึ่งยังออกเงินซื้อฟาร์มที่เราทดลองก่อตั้งและใช้ชีวิตเป็นคอมมูนร่วมกันด้วย ฉันเรียกคนยิวว่า "พวกจัณฑาลแห่งคริสต์ศาสนา" เพราะถึงแม้พวกเขาจะเป็นน้ำเนื้อหนึ่งเดียวกับประเพณีศาสนายิว-คริสเตียน แต่ก็กลับถูกชาวคริสเตียนขับออกจากหมู่ หลีกเลี่ยง เหยียดหยาม และปฏิบัติต่ออย่างลบหลู่ โดยที่มหกรรมอำมหิตของพวกนาซีเป็นเพียงตัวอย่างอันน่าสยดสยองอเนจอนาถที่สุดเท่านั้น

ฉันรู้ดีว่าเหยื่อของเมื่อวานอาจกลายเป็นผู้กดขี่พรุ่งนี้ได้ง่ายๆ แล้วก็หันไปใช้ทุกข์ทรมานในอดีตของตนเป็นข้ออ้าง หรือแม้แต่ความชอบธรรมให้แก่การปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างทารุณโหดร้าย หลายปีหลังนี้อิสราเอลได้ประพฤติตนอย่างอยุติธรรมโดยสหรัฐอเมริกาคอยสนับสนุน พฤติกรรมที่ผิดของอิสราเอลจักต้องถูกท้าทาย แต่เธอไม่พึงแข็งกระด้างเฉยชาต่อผลที่ความทุกข์ทรมานในอดีตมีต่อชาวยิว

เป็นธรรมดาอยู่เองที่พวกเขาจะถูกหลอนใจจากความทรงจำทางประวัติศาสตร์อันขมขื่น รู้สึกจิตใจไม่มั่นคงอย่างลึกซึ้ง และบางครั้งแม้แต่จะวางใจคนนอกผู้ปรารถนาดีก็ยังยากเลย ในที่สุดพวกเขาก็พบบ้านและก็พอจะเข้าใจได้ว่า พวกเขาย่อมรู้สึกหวงแหนมันอย่างแรงกล้าว ปัญหาอยู่ตรงบ้านใหม่ของพวกเขากลับไปทำให้ชาวปาเลสไตน์ไร้บ้าน และยังความทุกข์ทรมานแสนสาหัสแก่ชาวปาเลสไตน์

เราต้องหาทางให้ความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย ฉันเองกระตือรือร้นสนใจแนวคิดที่จะให้มีหนึ่งรัฐสองชาติ (bi-national state) สำหรับทั้งยิวและอาหรับแบบเดียวกับที่ฉันอยากให้มีประเทศอินเดียที่เป็นเอกภาพเหมือนกัน แต่ถึงฉันจะพยายามหยุดยั้งมันอย่างใด ในที่สุดอินเดียก็ถูกแยกประเทศ ฉันยอมรับมันด้วยหวังว่า เมื่อสองพี่น้องที่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ต่างคนต่างแยกย้ายไปตั้งบ้านของตัวเองต่างหากจากกัน และได้ระบายถ่ายเทความเป็นอริออกจากตัว แล้วพวกเขาจะไม่เพียงแต่อยู่ร่วมกันอย่างสันติเท่านั้น แต่บางทียังอาจจะกระทั่งฟื้นฟูสายสัมพันธ์อันหยั่งลึกใหม่ และใกล้ชิดสนิทสนมกันขึ้นด้วย

ฉะนั้น โอซามา เธอต้องยอมรับการดำรงอยู่ของอิสราเอล ให้พวกเขารู้สึกมั่นคงดังที่ต้องการ และเพียรพยายามให้พวกเขาหยั่งซึ้งว่า ภารกิจของชาวปาเลสไตน์นั้นยุติธรรม ตราบใดที่เธอยังคุกคามอิสราเอล ก็เท่ากับว่าเธอทำให้ประชาชนอิสราเอลตื่นกลัว และผลักไสพวกเขาเข้าไปสู่อ้อมแขนของผู้นำที่ปฏิกิริยาและนิยมทหารที่สุดของอิสราเอล

ชาวอิสราเอลที่สติดีมีเหตุผลรู้ว่า พวกเขาต้องอยู่ท่ามกลางสังคมอาหรับ และสังคมเหล่านั้นจักไม่ล้าหลังและแตกแยกอยู่เยี่ยงนี้ตลอดไป


3. วิวาทะ บิน ลาเด็นกับคานธี ทางเลือกการต่อสู้โดยสันติวิธี
จดหมายตอบของคานธีถึงโอซามา บิน ลาเด็น(ส่วนหลัง)

โอซามาที่รัก
1 พฤศจิกายน ค.ศ.2003
.......................................................
ท้ายที่สุด ฉันต้องขอหันไปพูดถึงวิธีการก่อการร้ายของเธอ ฉันรับมันไม่ได้ด้วยเหตุผลทั้งด้านความสัมฤทธิผลเชิงปฏิบัติและทางด้านศีลธรรม มันจะไม่ช่วยให้เธอบรรลุเป้าหมายของเธอดอก มันไม่สามารถไล่พวกอเมริกันไปได้ ตรงกันข้ามพวกนั้นจะใช้แสนยานุภาพของตนฟาดค่ายและเครือข่ายก่อการร้ายทั้งหลายของเธอแหลกเป็นจุณ อย่างที่เคยทำมาแล้วในอัฟกานิสถานและที่อื่นๆ

พวกอเมริกันไม่อินังขังขอบกฎหมายระหว่างประเทศ หรือแม้แต่วิธีดำเนินการตามรัฐธรรมนูญของตน และเธอไม่มีหวังเลยเมื่อเผชิญคู่ต่อสู้ที่ปักใจเด็ดเดี่ยวเช่นนั้น ต่อให้พวกเขายอมจากไป วิธีการของเธอก็ไม่สามารถจะเอาชนะคนพื้นเมืองที่สมคบกับอเมริกันได้ อย่าว่าแต่ฟื้นหลังสังคมมุสลิมขึ้นมาเลย ไม่เคยมีแม้สักตัวอย่างเดียวในประวัติศาสตร์ที่ผู้ก่อการร้าย จะสร้างสังคมที่มีมนุษยธรรมและแข็งแรงรุ่งเรืองขึ้นมาได้

โอซามา วันนี้เธอใช้การก่อการร้ายต่อต้านชาวอเมริกันและผู้ปกครองมุสลิม แต่วันพรุ่งประชาชนของเธอเองนั่นแหละจะใช้มันต่อต้านเธอ โดยอ้างความชอบธรรมอย่างเดียวกัน แล้ววงจรอุบาทว์นี้จะจบลงเมื่อใด?

ฉันยังคัดค้านวิธีการของเธอในทางศีลธรรมด้วย ชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และการคร่าชีวิตคนเป็นสิ่งชั่วร้ายในตัวของมันเอง นอกจากนี้ ไม่ว่าคนเราจะเลวทรามต่ำช้าเพียงใด ก็ไม่มีวันที่เขาจะเสื่อมทรามเสียจนกระทั่งไม่มีทางจะเปลี่ยนใจเขาหรือทำให้เขาวางตัวเป็นกลางได้ด้วยแรงกดดันทางศีลธรรมอย่างมีการจัดตั้ง

คนเราก่อกรรมชั่วเพราะถูกมิจฉาทิฐิเข้าครอบ หรือถูกขับดันด้วยโทสาคติ หรือเนื่องจากกระแสอิทธิพลของสังคมวงกว้างซึ่งโน้มน้าวพวกเขาให้ทำสิ่งที่โดยส่วนตัวแล้ว พวกเขาอาจจะไม่เห็นด้วย จะเห็นได้ว่าการใช้ความรุนแรงไม่ได้แก้ไขสภาวการณ์ต่างๆ เหล่านี้แต่อย่างใดเลย

ดังที่ฉันได้แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้วว่าการต่อต้านแบบไม่รุนแรงอย่างมีการจัดตั้ง เป็นหนทางเดียวที่ชอบด้วยศีลธรรมและได้ผลในการต่อสู้กับความชั่วร้าย มันรบเร้าอุทธรณ์ต่อสำนึกของคู่ต่อสู้ในมนุษยภาพที่เรามีร่วมกัน ปลุกมโนธรรมของเขาขึ้นมา ปลอบเขาให้มั่นใจว่าไม่ต้องกลัวเราทำร้าย และเรียกระดมอำนาจของมติมหาชนมาช่วย มันยังถ่วงหน่วงเวลาให้อารมณ์เย็นลง และได้ใช้เหตุผลไตร่ตรอง ยกระดับความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายให้สูงขึ้น แหย่ให้พวกเขาบอกจุดร่วมกันออกมา หลีกเลี่ยงการแบ่งขั้วจอมปลอมและไม่ทิ้งความเกลียดชังซึ่งกันและกันไว้เป็นมรดกตกทอดยืนยาว เธอไม่ควรมัวหลงเล่นเกมของคู่ต่อสู้ของเธอและติดกับปฏิกิริยาลูกโซ่แบบแรงมาก็แรงไปไม่จบสิ้น

ขอเธอจงเข้าแบกรับภาระแห่งกรรมชั่วของเขา ทำตัวเสมือนหนึ่งมโนธรรมสำนึกของเขา และพลิกเปลี่ยนบริบทเงื่อนไขแห่งความขัดแย้งของเธอเสียใหม่ ฉันเรียกปฏิบัติการนี้ว่าการทำศัลยกรรมจิตวิญญาณ เพื่อขจัดปัดเป่าพิษภัยแห่งโทสาคติ และเรียกระดมพลังงานทางศีลธรรมของคู่ต่อสู้มาผลักดันภารกิจร่วมกัน

ลองดูกรณีของชาวปาเลสไตน์นั่นปะไร พวกเขาใช้ความรุนแรง อิสราเอลก็ตอบโต้ด้วยความรุนแรงหนักขึ้น ผลลัพธ์คือนับวันทั้งสองสังคมก็ยิ่งกลับกลายเป็นใจทมิฬหินชาติเข้าทุกที

คราวนี้ลองนึกดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าชาวปาเลสไตน์ทำตามคำแนะนำของฉัน พวกเขาจะเลิกละการคุกคามพลเมืองอิสราเอลอย่างสิ้นเชิง ยอมรับชาวอิสราเอลเป็นพี่น้อง รบเร้าอุทธรณ์ต่อสำนึกความยุติธรรมและประวัติศาสตร์แห่งการถูกลบหลู่ดูหมิ่นศักดิ์ศรีมายาวนานของชาวอิสราเอล และพยายามทำให้ชาวอิสราเอลหยั่งซึ้งว่ากำลังก่อความทุกข์ทรมานปานใดแก่ชาวปาเลสไตน์ อีกทั้งกำลังสร้างความบอบช้ำเสียหายเพียงไหนแก่จิตใจและสังคมของตัวเอง

หากจำเป็น ชาวปาเลสไตน์ก็จะดำเนินปฏิบัติการต่อต้านแบบไม่รุนแรงและอารยะ ขัดขืนอย่างมีการจัดตั้งที่ดีเพื่อทำให้ความไม่เป็นธรรมของอิสราเอลโดดเด่นเป็นที่สนใจ และท้ารัฐบาลอิสราเอลให้ลงมืออย่างเลวร้ายที่สุด ฉันนึกไม่ออกว่าจะมีรัฐบาลอิสราเอลชุดใดต่อให้เป็นรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีเอเรียล ชารอน ก็ตาม จะกล้าฆ่าผู้ประท้วงโดยสันติปราศจากอาวุธขณะที่ทั้งโลกกำลังจ้องมอง

แต่ถ้าเขาทำ, ไม่เพียงแต่ทั่วโลกรวมทั้งชาวยิวพลัดถิ่นในต่างแดนจะประณามเท่านั้น หากประชาชนอิสราเอลเองก็จะแตกแยกกันเพราะเรื่องนี้ด้วย ฉันยังปลงใจเชื่อด้วยว่าทหารอิสราเอลบางนาย จะขัดขืนคำสั่งรัฐบาลดังที่เริ่มทำกันบ้างแล้วตอนนี้

การประท้วงโดยสันติมีข้อได้เปรียบต่างจากกระแสคลื่นการใช้ความรุนแรงปัจจุบันตรงที่ มันจะทำให้ความรุนแรงของฝ่ายอิสราเอลสูญสิ้นความชอบธรรม ช่วยปลุกขวัญกำลังใจและยกฐานะทางศีลธรรมของชาวปาเลสไตน์ และเรียกระดมมติโลกมาเข้าข้างปาเลสไตน์ด้วย

เธอคงจะพูดเหมือนอย่างที่สมัครพรรคพวกของเธอบางคนพูดนั่นแหละนะ ว่าความไม่รุนแรงเป็นปกติวิสัยของชาวฮินดู แต่แปลกแยกจากธรรมเนียมอิสลาม อันนี้ไม่จริง ชาวฮินดูเองมีประเพณีใช้ความรุนแรงมายาวนานและโดยนิสัยใจคอแล้วก็เป็นคนรุนแรงพอๆ กับคนกลุ่มอื่นนั่นแหละ กว่าฉันจะชักจูงพวกเขาให้หันมายอมรับความไม่รุนแรงได้ ก็ต้องรณรงค์กันอยู่นานและมีตัวอย่างความสำเร็จของการต่อสู้แบบไม่รุนแรงให้เห็นหลายๆ ครั้งเสียก่อน

ส่วนชาวมุสลิมนั้น เธอเองก็น่าจะรู้ว่ามุสลิมมีประเพณีการต่อต้านแบบไม่รุนแรงมายาวนานด้วยเหมือนกัน แขกปาทานผู้มีนิสัยดุร้ายในจังหวัดชายแดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศปากีสถาน ปัจจุบันได้ยอมรับและนำมันมาใช้จนประสบผลสำเร็จใหญ่หลวงภายใต้การชี้นำของอับดุล กัฟฟาร์ ข่านเพื่อนของฉัน ไม่มีศาสนาไหนส่งเสริมหรือต่อต้านความรุนแรงในตัวศาสนานั้นเองดอก มันขึ้นอยู่กับผู้นำศาสนาที่จะต้องตีความมันให้เหมาะสมและชี้นำสานุศิษย์ไปให้สอดคล้องกัน

ด้วยพรจากพระผู้เป็นเจ้าและรักแด่เธอ
มหาตมะ คานธี

3. จดหมายโต้กลับของโอซามา บิน ลาเด็น ถึงคานธี

มหาตมะ คานธี ที่รัก
1 มกราคม ค.ศ.2004

ผมต้องขอสารภาพว่า ไม่เคยมีเหตุให้ผมอ่านงานเขียนหรือสนใจติดตามชีวิตของคุณมาก่อน คุณไม่ได้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ประเทศมุสลิมเหมือนในโลกตะวันตก และทั้งหมดเท่าที่ผมเคยได้ยินได้ฟังมาก็คือ คุณเป็นผู้นำชาวฮินดูของอินเดียที่ไม่อาจครองใจภักดีของชาวมุสลิมได้ และสู้กับอังกฤษด้วยวิธีที่ยอมตกเป็นฝ่ายถูกกระทำและค่อนข้างหน่อมแน้มเยี่ยงผู้หญิง แต่บางอย่างที่คุณพูดก็กระตุ้นผมให้สนใจพอที่จะไปหาอ่านและครุ่นคิดเกี่ยวกับชีวิตและผลงานของคุณ ซึ่งทำให้แม้ตอนนี้ผมจะเห็นสถานการณ์ต่างไปบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ปลงใจเชื่อตามที่คุณชักจูง

คุณบิดเบือนประสบการณ์ในอินเดียของคุณและขยายมันไปครอบคลุมสังคมต่างๆ ที่นำมันมาประยุกต์ใช้ไม่ได้เหมือนดังที่นักศีลธรรมทั้งปวงทำนั่นแหละ เนื่องจากเอาเข้าจริงกองกำลังอังกฤษไม่ได้ยึดครองประเทศของคุณ พวกมันก็เลยต้องพึ่งพาคนท้องถิ่นให้สนับสนุน ซึ่งเป็นธรรมดาอยู่เองที่ย่อมเหนี่ยวรั้งจำกัดพวกมันพอสมควร

คนอังกฤษมีท่าทีกำกวมต่อจักรวรรดิของตน และบ้างก็คัดค้านมัน ฉะนั้นคุณย่อมวางใจได้เสมอว่าจะมีมติมหาชนอังกฤษกลุ่มหนึ่ง ที่เห็นอกเห็นใจคอยเรียกร้องผลักดันข้อเสนอเพื่อเอกราชของคุณ ตอนที่คุณเข้าครอบงำเวทีการเมืองอินเดียไว้ได้นั้น พวกอังกฤษก็หมดเรี่ยวแรงแล้ว หะแรกเนื่องจากสงครามปี ค.ศ.1914-1918 และต่อมาก็เพราะเศรษฐกิจโลกตกต่ำครั้งใหญ่ เหตุการณ์ที่นำไปสู่สงครามปี ค.ศ.1939-1945 และตัวสงครามนั้นเอง ยิ่งบั่นทอนกำลังพวกอังกฤษลงไปอีก

ดังนั้น จึงต้องนับว่าคุณโชคดีที่เผชิญคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอ ผู้ไม่มีทั้งกะจิตกะใจและวัตถุปัจจัยที่จะปกครองประเทศคุณต่อไปได้ คุณควรจะระลึกไว้ด้วยว่า คุณอยู่ในสมัยที่โลกมีหลายศูนย์อำนาจ โดยต่างฝ่ายต่างก็กำกับควบคุมกัน และไม่มีศูนย์ไหนได้เป็นนายเหนือคนอื่นหมด แม้แต่จักรวรรดิอังกฤษก็ไม่ยกเว้น แต่บริบทเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ที่ผมต้องปฏิบัติการอยู่นี้ ต่างจากสมัยคุณชนิดกลับหน้ามือเป็นหลังมือ

กล่าวคือ มันถูกครอบงำโดยมหาอำนาจเดียวที่ปกแผ่ไปทั่วโลก มหาอำนาจนี้รู้สึกเริงชัยหลังชนะสงครามเย็น และก็เลยคิดว่าตอนนี้จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ เศรษฐกิจของมันถูกขับเคลื่อนด้วยความอยากกำไรไม่รู้อิ่ม และก็เลยกระสันต์จะเปลี่ยนโลกทั้งใบไปเป็นตลาดที่ปลอดภัยสำหรับขายสินค้าอเมริกัน ระบบการเมืองของมันถูกครอบงำโดยเงินและกลุ่มกดดันที่เห็นแก่ตัวทั้งหลาย มันจับคนขังคุกมากกว่าประเทศร่ำรวยอื่นใดทั้งหมด มันมีชนชั้นคนจนที่ใหญ่โตกว่าประเทศร่ำรวยอื่นใดเหมือนกัน มันก่อสงครามทั้งแบบปิดลับ, ตัวแทน และเปิดเผยมากกว่าประเทศอื่นใดในโลก

แต่กระนั้นสหรัฐอเมริกาก็ยังหลงทนงว่ารูปแบบการปกครองของตนดีที่สุดในโลก และยืนกรานอย่างหน้าไม่อายแม้แต่นิดว่า ตนมีสิทธิและหน้าที่ที่จะส่งออกมันไปยังประเทศอื่นๆ การสำคัญตนว่าถูกต้องดีงาม, จิตใจเร่าร้อนแบบหมอสอนศาสนา, การยึดมั่นผลประโยชน์แห่งชาติตนเอง, อาการสายตาสั้นทางศีลธรรมและอำนาจท่วมท้นล้นฟ้าทั้งหลายทั้งปวง ที่มาผนวกรวมกันอย่างน่าเกรงขามในประเทศหนึ่งประเทศเดียวนี้ ได้เปลี่ยนสถานการณ์โลกไปอย่างขุดรากถอนโคน

คานธี, ความคิดของคุณนั้นเป็นของโลกที่ตายแล้ว และช่วยอะไรบรรดาผู้ที่ต่อสู้ความยุติธรรมทุกวันนี้ไม่ได้เลย เราต้องหยุดยั้งพวกอเมริกันไว้เพื่อเห็นแก่สันติภาพ, เสถียรภาพ และความยุติธรรมของโลก เพื่อการนี้เราต้องอาศัยไม่เพียงแต่อำนาจทางทหารเท่านั้น หากยังต้องมีวิสัยทัศน์ที่เหนือกว่าเกี่ยวกับมนุษย์และสังคม ซึ่งตอบสนองแรงปรารถนาและความทะยานอยากอันลึกซึ้งที่สุดของวิญญาณมนุษย์

ยุโรปให้สิ่งนี้แก่เราไม่ได้ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมตะวันตกเดียวกัน และเพราะมักระเหี้ยนกระหือรือเกินไปที่จะขอส่วนแบ่งสินศึกจากจักรวรรดิอเมริกัน

มีแต่อิสลามเท่านั้นที่เสนอทางเลือกให้

อิสลามมีทั้งวิสัยทัศน์ของสังคมที่ดีแท้ และเจตจำนงมุ่งมั่นที่จะทำให้มันประจักษ์เป็นจริง อิสลามยังเพียบพร้อมด้วยโภคทรัพย์ที่จำเป็น, ความเข้มแข็งด้านกำลังคน, และประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์อันยาวนานในการปกครองโลกพหุชาติพันธุ์และพหุศาสนา ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดที่บรรดาประเทศมุสลิมจะต้องสามัคคีกัน หาอาวุธนิวเคลียร์มาเข้าควบคุมโภคทรัพย์น้ำมันของตนและนำโลกไปในทิศทางที่ดีขึ้น

คุณเรียกสิ่งนี้ว่าจักรวรรดินิยม ผมพอเข้าใจความกลัวของคุณและขอรับประกันกับคุณว่า เราไม่ได้หาทางยัดเยียดทรรศนะของเราให้คนอื่น มิพักต้องพูดถึงไปจัดการดูแลสังคมของพวกเขา เราต้องการเพียงฟื้นฟูอารยธรรมอิสลามขึ้นในอดีต ประเทศมุสลิมทั้งหลาย และเรามั่นใจว่านานวันไปวิสัยทัศน์ทางศีลธรรมและจิตวิญญาณของอิสลามจะชนะใจภักดีของชาวโลกที่เหลือเอง

สงครามเย็นนั้นถูกครอบงำโดยการปะทะกันระหว่างอุดมการณ์วัตถุนิยมสองอุดมการณ์ ได้แก่ ลัทธิทุนนิยมกับลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่อิสลามสนองทางเลือกที่เหนือกว่าอุดมกาณ์ทั้งสองให้ อนาคตจึงย่อมเป็นของเรา

คุณปฏิเสธภาวะสมัยใหม่ แต่ผมไม่ปฏิเสธ โลกสมัยใหม่นั้นจะคงอยู่ที่นี่แหละ มันมีข้อดีน่าชื่นชมมากพอควร และใครก็ตามที่เลือกผละจากมันไป ก็รังแต่จะทำให้ตัวเองหมดน้ำยา ผมไม่ต้องการทางเลือกต่างหากจากภาวะสมัยใหม่อย่างคุณ แต่ต้องการภาวะสมัยใหม่ที่เป็นทางเลือก กล่าวคือ สังคมที่ดึงเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้และจัดวางมันให้รับใช้อิสลาม ผมต้องการอาวุธนิวเคลียร์ รัฐสมัยใหม่ การสร้างอุตสาหกรรมและอะไรต่อมิอะไรอย่างอื่น ซึ่งหากปราศจากสิ่งเหล่านี้เสียแล้ว ประชาชนของผมก็จะตกอยู่ในสภาพขึ้นต่อความปรานีของโลกตะวันตกต่อไป

แต่ผมไม่ต้องการวัฒนธรรมโลกวิสัย เสมอภาคนิยมและเสรีนิยมสมัยใหม่ รวมทั้งความชั่วร้ายเลวทรามทั้งหลายทั้งปวงที่พ่วงมากับมัน ไม่ว่าอเทวนิยม, บทบาททางเพศอันสับสน, ความสำส่อนเสเพล, รักร่วมเพศ, ความเห็นแก่ตัว, บริโภคนิยมและอื่นๆ การสังเคราะห์ทางวัฒนธรรมแบบที่ให้วิญญาณอิสลามกับภาวะสมัยใหม่นั้นเป็นไปได้และคู่ควรกับการต่อสู้ให้ได้มันมา

ผมไม่ถือว่าความรุนแรงเป็นสิ่งชั่วร้ายในตัวของมันเองแบบคุณ ผมตัดสินความรุนแรงบนพื้นฐานเป้าหมายของมัน และความสามารถของมันที่จะทำให้เป้าหมายเหล่านั้นประจักษ์เป็นจริง ความจริงแล้วการต่อสู้แบบไม่รุนแรงของคุณมีปฏิบัติการก่อการร้ายคอยประกบเป็นเงาอยู่ตลอด และเจ้าปฏิบัติการก่อการร้ายนี่แหละที่ทำให้พวกอังกฤษตื่นตระหนกและอ่อนแอลง และฉะนั้นจึงควรต้องได้การยกย่องว่าช่วยให้อินเดียบรรลุเอกราชเท่าๆ กับความไม่รุนแรงของคุณ

วิธีการต่อสู้ทุกวิธีต้องอาศัยเงื่อนไขที่แน่นอนบางอย่างจึงจะสำเร็จ ความไม่รุนแรงอาศัยเงื่อนไขที่ว่าคู่ต่อสู้เป็นวิญญูชน, มีเสรีภาพที่จะก่อการประท้วงและมีสื่อมวลชนที่เที่ยงตรงพอสมควร คุณมีครบทั้งสามอย่าง แต่ผมไม่มี เราไม่มีเสรีภาพพลเมืองที่คุณได้รับ

ลองเราหันไปประท้วงแบบไม่รุนแรงดูสิ พวกอเมริกันกับลิ่วล้อของมันก็จะแทรกซึมเข้ามาในขบวนแถวของเรา สร้างความแตกแยก ปล่อยข่าวลวง และถ้าทำทั้งหมดนี้แล้วยังล้มเหลวอีก มันก็จะใช้กำลังขย้ำฉีกเนื้อเรานั่นปะไร แล้วมันก็จะใช้สื่อลูกโลกเชื่องๆ พวกนั้นหลอกล่อชักจูงมติมหาชนให้เข้าข้างมันอีก

ถ้าคุณต้องการข้อพิสูจนมากไปกว่านี้ จงดูกลวิธีที่พวกอเมริกันกับอังกฤษได้ใช้และยังคงใช้มาให้ความชอบธรรมแก่สงครามกับอิรักเมื่อเร็วๆ นี้ก็แล้วกัน พวกมันประกาศขึงขังว่ามีข้อพิสูจน์อันมิอาจโต้แย้งได้ว่าอิรักมีอาวุธมหาวินาศ แต่แล้วจนทุกวันนี้ก็ยังหาไม่เจอ

เมื่อฮันส์ บลิกซ์(อดีตหัวหน้าคณะผู้ตรวจอาวุธของสหประชาชาติ-ผู้แปล) เอ่ยปรามขึ้นมาบ้าง ก็กลับถูกด่าว่าสาดเสียเทเสีย รายงานที่รอบคอบระมัดระวังของหน่วยข่าวกรองอังกฤษและอเมริกันถูกแต่งเติมโดยนักการเมือง ผู้พิสูจน์ให้เห็นว่าตนเองไร้เกียรติยิ่งกว่าสายลับของตนเสียอีก แม้แต่ข้อมูลว่าพลเรือนชาวอิรักตายไปในสงครามมากน้อยเท่าไหร่ก็ยังไม่ยอมบอกเราเลย

ส่วนตัวเลขทหารอิรักที่บาดเจ็บล้มตายนั้นน่ะ ไม่มีใครเอาเป็นธุระด้วยซ้ำ ราวกับว่าชีวิตทหารอิรักคนหนึ่งๆ ไม่มีค่าอะไรเลย ข่าวความโหดเหี้ยมอำมหิตที่ทหารสหรัฐกระทำต่อพลเรือนอิรักทุกวี่วันก็บอกเราน้อยมาก และจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีทหารสหรัฐคนใดถูกเอาตัวขึ้นศาลเลย มิพักต้องพูดถึงถูกลงโทษ(จนถึงช่วงที่บทความนี้ตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายนศกก่อน, แต่ปัจจุบันนี้เริ่มมีบ้างแล้ว-ผู้แปล)

เมื่อพิจารณาความเป็นจริงทั้งหมดนี้แล้ว การประท้วงอย่างไม่รุนแรงย่อมไม่มีโอกาสสำเร็จเลยเด็ดขาด ชาวโลกจะไม่ล่วงรู้ด้วยซ้ำไปว่าเราโดนย่ำหยามให้อัปยศและทำทารุณอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างไรบ้าง มิพักต้องพูดถึงว่าจะมาช่วยกดดันแทนเรา

คานธี คุณจนด้วยคำตอบเมื่อมาร์ติน บูเบอร์(ค.ศ.1878-1965 นักปรัชญาชาวอิสราเอลผู้ถือกำเนิดในออสเตรีย-ผู้แปล) ถามว่าคุณจะให้คำแนะนำอะไรแก่ชาวยิวที่ตกเป็นเหยื่อค่ายกักกันของฮิตเล่อร์ ก็อย่างที่เขาชี้ให้เห็นนั่นแหละ ที่ใดไม่มีสักขีพยานที่นั่นก็ย่อมไม่มีมรณสักขี(martyrdom) มีแต่ชีวิตที่สูญเปล่า

ศาสนาอิสลามต่างจากศาสนาฮินดูตรงที่มองความรุนแรงด้วยทรรศนะที่ใจกว้างกว่า และอนุญาตกระทั่งสั่งให้ใช้มันภายใต้สภาพการณ์ที่แน่นอน พระศาสดาเองก็ใช้ความรุนแรง รวมทั้งสาวกของท่านและผู้นำทางการเมืองและศาสนาชาวมุสลิมที่ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ ก็เช่นกัน ต่อให้ผมวิงวอนร้องขอให้ใช้ความไม่รุนแรง เพื่อนชาวมุสลิมของผมก็จะไม่ยอมรับ สมัครพรรคพวกของอัลดุล กัฟฟาร์ ข่าน นั้นใช้ความไม่รุนแรงอยู่พักเดียวแล้วก็เลิกและหันไปใช้ความรุนแรงแทน ผมไม่เห็นหนทางอื่นใดที่จะไปสั่นคลอนแสนยานุภาพของพวกอเมริกันได้

ความรุนแรงคือวิธีที่เราใช้กำจัดพวกโซเวียตในอัฟกานิสถาน อเมริกาเข้าใจความข้อนี้และให้ความช่วยเหลือทุกอย่างที่เราต้องการ และเพราะเหตุนี้เองพวกมันถึงได้หวาดกลัวดาบนั้นคืนสนองนัก

ก็อย่างที่ผมพูดไว้หลายครั้งนั่นแหละ การต่อสู้กับพวกโซเวียตเป็น "ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ" อันลึกซึ้งสำหรับผมและเพื่อนนักรบ และถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่ส่งผลชี้ขาดวิธีคิดของเรา มันทำให้เราเชื่อมั่นตนเองมหาศาล ขยายขอบฟ้าโลกทัศน์การเมืองของเรา ช่วยเราสร้างเครือข่ายระดับโลกขึ้นมา และทำให้เราสามารถข้ามพ้นชาตินิยมอาหรับคับแคบที่ส่วนใหญ่เน้นชาติพันธุ์ ไปสู่วิสัยทัศน์แห่งเอกภาพของโลกอิสลามที่กว้างกว่า ผมขอยึดวิธีการที่ผมกับพรรคพวกพบว่ามันสำเร็จ ดีกว่าจะไปลองวิธีการของคุณ

คุณพร่ำบอกผมว่าผมไม่ควรลดตัวลงไปอยู่ในระดับเดียวกับคู่ต่อสู้ของผม หากควรปฏิบัติตามหลักการที่สูงส่งกว่า ทำไมผมต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ? ถ้าคนอื่นตีผม ผมก็ตีมันคืน ถ้าพวกมันทำร้ายผมหรือประชาชนของผม ผมก็ทำร้ายพวกมัน ทำไมผมจะต้องไปทนทุกข์ทรมานในการไถ่บาปให้คู่ต่อสู้ของผมด้วยล่ะ?

ผมน่ะเป็นสาวกของพระศาสดามูฮัมหมัดนะ ไม่ใช่ของพระเยซู

แด่คุณ
โอซามา

 

4. วิวาทะบิน ลาเดนกับคานธี วิจารณ์แห่งวิจารณ์
จดหมายตอนปิดท้ายของคานธีถึงบิน ลาเดน

โอซามาที่รัก
30 มกราคม ค.ศ.2004

ในจดหมายฉบับที่แล้วเธอนำเสนอข้อวินิจฉัยต่อไปนี้คือ

1) ชาวอเมริกันได้เริ่มดำเนินโครงการจักรวรรดินิยมเพื่อครองโลก
2) สังคมมุสลิมทั้งหลายควรถูกปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่บนพื้นฐานหลักอิสลามที่แท้จริง
3) ไม่มีทางทำสิ่งนี้ได้เว้นแต่จะไล่ชาวอเมริกันออกไปให้พ้นสังคมของเธอ และโค่นคนพื้นเมืองที่สมคบกับอเมริกัน และ
4) ความรุนแรงจากการก่อการร้ายเท่านั้น จะบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้

สำหรับข้อถกเถียงแรก เธอผิดที่ตีขลุมว่าคนอเมริกันทั้งหมดเป็นอย่างนั้น คนที่นั่นบางกลุ่มตรงกับคำพรรณนาของเธอ แต่กลุ่มอื่นไม่ได้เป็นเช่นนั้น คนอเมริกันจำนวนมากเดือดเนื้อร้อนใจอย่างลึกซึ้งและวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่รัฐบาลอเมริกันทำในนามของพวกเขา และได้ลุกขึ้นมาประท้วงสงครามในอิรักเมื่อเร็วๆ นี้

ในบรรดาผู้สนับสนุนรัฐบาลปัจจุบัน มีบ้างที่ทำไปเพราะรู้สึกหวาดกลัวหลังเกิดเหตุการณ์ 11 กันยายน ความเชื่อที่พวกเขาเคยมีว่าประเทศของตน คงกระพันชาตรีต่อการโจมตีของต่างชาตินั้น ได้ถูกทำลายแหลกลาญไปแล้ว และพวกเขาอยู่ด้วยความกลัวว่าจะถูกโจมตีอีก บุชรับประกันกับพวกเขาว่าสงครามต่อต้านการก่อการร้ายทั่วโลกของตน จะให้ความมั่นคงที่พวกเขาโหยหา พวกเขาก็เลยคล้อยตามบุชไป แต่ตราบที่เธอยังพูดจาอย่างที่ทำอยู่ ก็เท่ากับเธอไปเสริมสร้างอาการหวาดระแวงและสนับสนุนนโยบายของบุชในหมู่พวกเขา

ตรงกันข้าม ถ้าเธอพูดจาภาษาสันติภาพเสียและเชื่อมต่อกับพลังฝ่ายก้าวหน้าในอเมริกา เธออาจมีโอกาสดีกว่านี้ที่จะประสบความสำเร็จ

สำหรับข้อถกเถียงประการที่สองของเธอ ฉันไม่เห็นด้วยเอาเลย ประสบการณ์ในอดีตและปัจจุบันทั้งปวงยืนยันทรรศนะของฉันที่ว่า การให้ศาสนาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัฐจะทำให้ทั้งคู่เสื่อมลง ศาสนานั้นมีตำแหน่งแห่งที่โดยชอบในชีวิตสาธารณะ และนับเป็นแหล่งความศรัทธายึดมั่นและพลังจูงใจอันสำคัญของประชาชน แต่นั่นเป็นคนละเรื่องกับการบอกว่ารัฐควรจะตั้งอยู่บน, บังคับใช้, หรือชี้นำโดยหลักศาสนา

อย่าลืมว่าขึ้นชื่อว่ารัฐแล้วย่อมตั้งอยู่บนการบังคับขับไส ส่วนศาสนาย่อมตั้งอยู่บนเสรีภาพ ทั้งสองสิ่งไม่มีทางเข้ากันได้ โดยเฉพาะในกรณีของเธอสถานการณ์ยิ่งย่ำแย่ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า เธอไม่ได้มีทรรศนะเกี่ยวกับศาสนา ที่เปิดกว้าง, อดกลั้นและพลวัตแต่อย่างใด หากเป็นแบบหยุดนิ่ง, ทะนงตนว่าถูกต้องและเคร่งคัมภีร์ นี่ทำให้เธอยึดมั่นจะให้มีพรรคการเมือง-ศาสนา ที่จัดตั้งกันอย่างเหนียวแน่นรัดกุมคอยชี้นำชีวิตบุคคลและชีวิตในสังคมในทุกๆ ด้านอันเป็นวิถีทางที่จะนำไปสู่การทำลายศาสนา สร้างรัฐก่อการร้ายขึ้นมา และเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นหุ่นพยนต์ไร้วิญญาณอย่างแน่นอนที่สุด

ถามจริงๆ เถอะ นี่เธอไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยหรือจากประสบการณ์หายนะ ของอิหร่านและประเทศที่เธอเรียกว่า "ดินแดนแห่งมัสยิดศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง" หรือนัยหนึ่งซาอุดีอาระเบียของเธอเอง ทั้งที่สองประเทศนั้นกำลังเริ่มหยั่งซึ้งถึงความจำเป็นที่จะต้องแยกศาสนาออกจากรัฐแล้วตอนนี้?

ข้อวินิจฉัยประการที่สามของเธอจริงแค่บางส่วน หลังเราอภิปรายกันเมื่อครั้งก่อน ฉันลองตรวจดูประวัติการแทรกแซงของสหรัฐอเมริกาในกิจการของสังคมมุสลิมต่างๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วนขึ้น มันทำให้ฉันซาบซึ้งดีกว่าเก่าเกี่ยวกับทรรศนะของเธอที่ว่า ไม่มีทางที่เธอจะบรรลุการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายสำคัญในสังคมของเธอได้เลย หากไม่ยุติการกระทำของสหรัฐ เสียก่อน อย่างไรก็ตาม การขจัดชาวอเมริกันออกไปในทางกายภาพไม่ได้หมายความว่าเธอจะสามารถเนรเทศค่านิยมและชีวทัศน์แบบอเมริกันให้พ้นไปด้วย หากประชาชนของเธอยังเสน่หามันอยู่

เธอจะสู้กับความคิดได้ก็แต่ด้วยความคิดเท่านั้นและดังนั้นจึงต้องมีทางเลือกที่พัฒนาให้ชัดเจนกว่านี้ด้วย

ยิ่งกว่านั้นตราบใดที่สังคมของเธอยังแตกแยกร้าวฉาน ไม่เป็นธรรมและปราศจากสำนึกอันแรงกล้าในเสรีภาพและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแล้ว ตราบนั้นมันก็ยังคงอ่อนแอเกินกว่าจะต้านทานการหลอกล่อและครอบงำจากภายนอกได้

การโจมตีก่อการร้ายต่อคนนอกหรือตัวแทนในประเทศของพวกเขา อาจทำให้เธอดีอกดีใจจนตัวลอยเนื้อเต้นและช่วยสนองอัตตาของเธอได้ แต่มันไม่บรรลุอะไรที่ยั่งยืนเลย ที่ถูกแล้วเธอต้องสร้างกลุ่มผู้ปฏิบัติงานที่เป็นนักปฏิรูปและนักเคลื่อนไหวขึ้นมา เข้าไปทำงานในหมู่มวลชน เปิดพื้นที่ให้การเคลื่อนไหวด้วยปฏิบัติการประท้วงที่รอบคอบเข้าที และสร้างขบวนการที่มีฐานะมวลชนอันกว้างขวางและทรงพลานุภาพพอจะประกอบส่วนสร้างสังคมของเธอขึ้นมาใหม่

เมื่อสังคมของเธอพัฒนาสำนึกในเอกลักษณ์รวมหมู่ และจิตใจอิสระอันเข้มแข็งขึ้นมาแล้ว อเมริกาก็จะไม่มีปัญญาครอบงำมันได้เลย

ประการสุดท้าย ฉันคิดว่าเธอพลาดหนักที่ปฏิเสธความไม่รุนแรง มาร์ติน ลูเธอร์ คิงได้ใช้ความไม่รุนแรงฟันฝ่าความป่าเถื่อนของบรรดามลรัฐทางใต้ของอเมริกาไปบรรลุสิทธิพลเมืองแก่ชาวอเมริกันผิวดำ และทำให้พวกเขาภาคภูมิใจและมั่นใจในตัวเอง

ชาวอิหร่านก็ได้ใช้ความไม่รุนแรงต่อต้านกษัตริย์ชาห์จนสำเร็จเช่นกัน ยิ่งกองทหารของพระองค์ฆ่าฟันผู้ประท้วงที่บริสุทธิ์ล้มตายไปมากเท่าไร ระบอบปกครองของพระองค์ก็ยิ่งล่มสลายเร็วเท่านั้น ถึงแก่ทหารบางนายละทิ้งพระองค์ด้วยซ้ำไป

เธอบอกว่าเพื่อนร่วมชาติของฉันใช้ความรุนแรงและว่าฉันเองก็อนุญาตให้ทำเช่นนั้น ความจริงก็คือเพื่อนร่วมชาติของฉันบางคนหันไปใช้ความรุนแรงจริงๆ เมื่อถูกยั่วยุจนเหลืออดเหลือทน ส่วนตัวฉันเองถึงแม้ฉันจะบอกว่าที่พวกเขาทำไปเช่นนั้นเป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่ฉันยังคงประณามมัน อดอาหารด้วยความสำนึกเสียใจ และกระทั่งขออภัยเจ้าอาณานิคมผู้ปกครองที่เกิดเหตุเช่นนั้นขึ้น

การยอมอโหสิให้ปฏิบัติการรุนแรงโดยปัจเจกบุคคลผู้หมดหวังไม่ยั้งคิดนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การยึดถือความรุนแรงเป็นหลักการใจกลางของการต่อสู้มันแตกต่างกันเป็นคนละเรื่องเลยทีเดียว

เธอพูดถูกแล้วว่ามรณสักขีนั้นต้องมีสักขีพยาน และบทบาทของสื่อมวลชนสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จของการนี้ สื่อมวลชนบางส่วนมีอคติลำเอียงและยินยอมพร้อมใจเหลือเกินที่จะทำตามคำขอของรัฐบาล แต่สื่อมวลชนส่วนอื่นก็ไม่เป็นเช่นนั้น และก็ไม่เห็นมีเหตุผลใดที่เธอจะไม่สามารถเปิดสื่อสิ่งพิมพ์ของตัวเองขึ้นมา เพื่อนำเสนอทรรศนะของเธออย่างที่ฉันเคยทำ และสถานีโทรทัศน์อัลจาซีราได้ทำอยู่ตอนนี้

อีกทั้งเธอก็ไม่ควรจะขยายความอำนาจของสื่อมวลชนในสังคมพหุนิยมจนเลยเถิดเกินจริง สื่อมวลชนน่ะจะละเลยการประท้วงที่ไม่รุนแรงไปเสียทั้งหมดไม่ได้หรอก เพราะมันจะทำให้พวกเขาไม่น่าเชื่อถือ ตาสีตาสายายมียายมาทั่วไปก็รู้ๆ อยู่ว่าสื่อมวลชนมีอคติลำเอียงและคิดเผื่อไว้แล้วอย่างเหมาะสม ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางจะอธิบายขอบเขตอันใหญ่โตของการคัดค้านสงครามอิรักในประเทศอย่างอังกฤษได้

ฉันอยากไปไกลถึงขนาดพูดว่า เพราะเธอขยายความอำนาจของสื่อมวลชนเกินจริงนี่แหละ เธอก็เลยติดกับที่คู่ต่อสู้ของเธอดักไว้ ขอแต่เพียงภารกิจของเธอเป็นธรรมและการดำเนินงานเพื่อภารกิจนั้นเป็นไปโดยสันติ และมีมนุษยธรรมเสียอย่าง มันก็จะยึดกุมความสนใจของผู้คนเอง ประสบการณ์ของฉันช่วยยืนยันความข้อนี้

ต่อให้เธอไม่เลื่อมใสความไม่รุนแรง ป่านฉะนี้เธอน่าจะรู้แล้วว่าวิธีการของเธอได้ทำร้ายประชาชนของเธอเองอย่างหนักหนาสาหัสเหลือประมาณ มิหนำซ้ำเธอยังบ่อนเบียนความน่าเชื่อถือของศาสนาอันยิ่งใหญ่ลงไปด้วย เดี๋ยวนี้คนเป็นล้านๆ โยงอิสลามเข้ากับความรุนแรงและการทำลายล้างราวกับเป็นสัญชาตญาณเลยทีเดียว

เธอยังทำให้ชุมชนอิสลามทั้งมวลแตกแยกร้าวฉานกัน เป็นเหตุให้พรรคพวกของเธอถูกทรมานและเหยียดหยาม รวมทั้งทำให้ชีวิตของชาวมุสลิมพลัดถิ่นต่างแดนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องทนทุกข์ทรมานด้วย เธอได้ให้ข้ออ้างแก่รัฐบาลบุชที่จะปล่อยให้ใช้ความรุนแรงอย่างกว้างขวาง และดำเนินโครงการอวดเบ่งอำนาจไปทั่วโลก

ถึงเวลาที่เธอควรจะเติบโตหลุดพ้นอาการหมกมุ่นกับความตาย และการทำลายล้างอย่างไร้เดียงสา, ละเลิกความเร่าร้อนกระตือรือร้นราวพระศรีอาริย์มาโปรดสัตว์ของเธอ, และอ่อนน้อมถ่อมตนสักนิด ตั้งสติสัมปชัญญะสักหน่อย แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงอย่างไรศาสนาของฉันก็ห้ามฉันเลิกราไม่เอาธุระกับมนุษย์ไม่ว่าคนไหน ต่อให้เป็นเธอก็ตาม

แด่เธอ
มหาตมะ คานธี

 


 

สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ

ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I สารบัญเนื้อหา 3
ประวัติ ม.เที่ยงคืน

webboard(1) I webboard(2)

e-mail : midnightuniv(at)yahoo.com

หากประสบปัญหาการส่ง e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com

ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม

 

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด กว่า 570 เรื่อง หนากว่า 7200 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 120 บาท(รวมค่าส่ง)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com

 

สมเกียรติ ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com




 

H

เธอพร่ำพูดเรื่องสังคมอิสลามที่แท้จริง ซึ่งเธออยากจะรื้อฟื้นความรุ่งเรืองของมันขึ้นมา... เธอต้องการจะผสมผสานรัฐรวมศูนย์ เศรษฐกิจอุตสาหกรรมและอาวุธนิวเคลียร์ เข้ากับค่านิยมและการปฏิบัติแบบอิสลามชุดหนึ่ง นี่เป็นโครงงานใหญ่ที่ลักลั่นแยกแย้งกันเอง เพราะลงเธอเลือกรับเอาสถาบันทางเศรษฐกิจ การเมืองและอื่นๆ
แห่งความทันสมัยแล้ว เธอไม่มีทางหนีตรรกะของมันไปพ้น

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด กว่า 570 เรื่อง หนากว่า 7200 หน้า ในรูปของ CD-ROM ในราคา 120 บาท(รวมค่าส่ง) สนใจสั่งซื้อได้ที่
midnightuniv(at)yahoo.com
หรือ ส่งธนาณัติถึง
สมเกียรติ ตั้งนโม : ไปรษณีย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 50202

กรุณาส่งธนาณัติแลกเงินไปยัง
สมเกียรติ ตั้งนโม : คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถนนสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50202
อย่าลืมเขียนชื่อ ที่อยู่ ของผู้รับตัวบรรจงด้วยครับ เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการจัดส่งทางไปรษณีย์

ทุกวันนี้สหรัฐอเมริกาปักใจเด็ดเดี่ยวจะเปลี่ยนโลกทั้งใบเป็นแบบอเมริกัน และปรับโครงสร้างทุกสังคมเสียใหม่ไปในแนวทางโลกวิสัย ทุนนิยม เสรีนิยมและบริโภคนิยม กองกำลังทหารอเมริกันตั้งประจำอยู่ใน 120 ประเทศและกดดันรัฐบาลประเทศเหล่านั้นให้ทำตามคำสั่งตน มันเข้าควบคุมบรรดาสถาบันเศรษฐกิจและการเมืองสำคัญระหว่างประเทศและใช้มันหาประโยชน์เข้าตัว ถ้าทำแบบนั้นไม่ได้ผล มันก็หันไปติดสินบนและขู่จะแฉโพยความลับเพื่อให้ได้ดั่งใจ และถ้านั้นยังล้มเหลวอีก มันก็จะดำเนินการโดยไม่นำพากฎหมายหรือสถาบันระหว่างประเทศใดๆ ไม่มีรัฐบาลใดจะพ้นเงื้อมมือมันไปได้...แม้เราจะต้องต่อสู้จักรวรรดิอเมริกาทุกหนแห่งทั่วโลก แต่ผมมุ่งปลดปล่อยบรรดาสังคมมุสลิมเป็นหลัก
ผลงานวิชาการชิ้นนี้ เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็ปไซต์ วันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ : ไม่สงวนสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์ทางวิชาการ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนขอขอบคุณ
เจ้าของพื้นที่ www.thaiis.com ที่กรุณาให้ใช้พื้นที่ฟรีในการเผยแพร่งานวิชาการ
เว็ปไซต์ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ออกแบบขึ้นมาเพื่อใช้กับ Display properties : screen area 600 X 800 pixels ซึ่งจะให้ภาพที่คมชัดและสมบูรณ์ที่สุด