บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ 569 หัวเรื่อง
สัญลักษณ์นิยมในงานศิลปะ
สมเกียรติ ตั้งนโม
สาขาจิตรกรรม คณะวิจิตรศิลป์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
The Midnight 's article
Website
ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
คลิกไปหน้า homepage มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สุนทรียศาสตร์
- ทฤษฎีความงาม
ทำความเข้าใจสัญลักษณ์นิยมในงานศิลปะ
สมเกียรติ
ตั้งนโม
สาขาจิตรกรรม คณะวิจิตรศิลป์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
หมายเหตุ:
ผลงานชิ้นนี้เรียบเรียงจากงานเขียนเรื่อง
...
Aesthetics, An Introduction, by George Dickie.
Pegasus, A Division of the Bobbs-Merrill Company, Inc., New York, 1971.
200 pp.
เผยแพร่บนเว็ปไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน วันที่ ๖ พฤษภาคม
พ.ศ. ๒๕๔๘
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
10 หน้ากระดาษ A4)
สัญลักษณ์นิยมในงานศิลปะ
(Symbolism in Art)
สัญลักษณ์ต่างๆ แต่เดิมเป็นเรื่องซึ่งมีความสัมพันธ์อยู่กับบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลึกลับและเวทมนต์ ปัจจุบันบรรดาศิลปินได้นำเอาสัญลักษณ์ต่างๆมาใช้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องของเวทมนต์แต่อย่างใด อีกทั้งมันไม่ใช่เรื่องลึกลับเกี่ยวกับกระบวนการทางสัญลักษณ์ แม้ว่าในบางกรณีกระบวนการอันนั้นอาจเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนก็ตาม
สัญลักษณ์ไม่ใช่สิ่งที่มีคุณค่าซึ่งมีอยู่แต่เดิมในงานศิลปะ สัญลักษณ์เป็นวิธีการอันหนึ่งของการถ่ายทอดความหมาย ซึ่งจะถ่ายทอดได้ดีหรือไม่ดี เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับตัวศิลปิน ในทำนองเดียวกัน สัญลักษณ์สามารถถูกนำมาใช้ได้อย่างมีรสนิยมหรือรู้จักเลือกเฟ้นและเหมาะสม หรือมันอาจถูกใช้มากจนเกินไปก็ได้ นอกจากนี้สัญลักษณ์ยังสามารถที่จะช่วยยกระดับผลงานทางด้านศิลปะ หรือสามารถที่จะเป็นภาระอันหนักหน่วงของศิลปะก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าศิลปินมีความฉลาดเฉลียวในการนำมาใช้มากน้อยแค่ไหน
สัญลักษณ์ต่างๆซึ่งพวกเราเกี่ยวข้องด้วยส่วนใหญ่ มักจะเป็นเรื่องของคำ บางครั้งก็เป็นภาพ แต่อย่างไรก็ตาม คำอธิบายที่ให้ไว้เกี่ยวกับสัญลักษณ์ต่างๆในที่นี้ จะเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ทั้งหลายในงานศิลปะ อย่างเช่นในงานจิตรกรรม, บทกวี, บทละคร, และอื่นๆในทางวิจิตรศิลป์
ในงานจิตรกรรม ยกตัวอย่างเช่น แกะตัวหนึ่งที่ได้รับการวาดขึ้น และสิ่งที่ถูกวาดออกมาตามลำดับอาจทำหน้าที่ในฐานะสัญลักษณ์อันหนึ่งของบางสิ่งบางอย่าง อย่างเช่น เกี่ยวกับองค์พระเยซูคริสต์ ในทำนองเดียวกัน ในผลงานทางวรรณกรรม บางสิ่งบางอย่างที่ถูกอธิบายและมันอาจมาทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นสัญลักษณได้เช่นกัน สัญลักษณ์ต่างๆในงานศิลปะและในคำต่างๆมีบทบาทหน้าที่ในเชิงสัญลักษณ์ร่วมกันเกี่ยวกับการแบกรับความหมายเอาไว้ และ คำอธิบายเกี่ยวกับสัญลักษณ์ที่ให้ไว้ ณ ที่นี้ จะแสดงให้เห็นภาพลักษณ์ร่วมกันดังกล่าว
ก่อนความพยายามที่จะสร้างหลักนิยามความหมายขึ้นมาเกี่ยวกับสัญลักษณ์ในงานศิลปะ จะเป็นประโยชน์หรือช่วยได้มาก หากเราจะได้ยกตัวอย่างหลายๆประเภทขึ้นมาเกี่ยวกับสัญลักษณ์นิยมต่างๆอันนั้น และอธิบายว่ามันทำงานอย่างไร?
สัญลักษณ์และความหมาย
Goren Hermeren ได้อิงอาศัยงานของ Panofsky อ้างถึงกรณีเกี่ยวกับการนำสัญลักษณ์มาใช้.
ในงานจิตรกรรมของ Jan van Eyck, ได้เขียนภาพพระบัลลังก์ ซึ่งมีรูปของนกพีรีแกนเป็นทองเหลืองประดับอยู่.
นกพีรีแกนเป็นสัญลักษณ์ตามขนบประเพณีของชาวคริสเตียนหมายถึงองค์พระเยซูคริสต์
อันนี้เป็นกรณีที่น่าสนใจ เพราะว่านกพีรีแกนดูเหมือนว่าคล้ายตัวเลือกซึ่งไม่น่าเป็นไปได้สำหรับสัญลักษณ์ที่ชี้เฉพาะอันนี้
พื้นฐานสำหรับสัญลักษณ์นิยม คือความเชื่อที่กล่าวเอาไว้ในตำราสมัยกลางที่เรียกว่า bestiary (เป็นตำราที่ว่าด้วยภาพสัตว์ที่มีอยู่จริงและในจินตนาการ พร้อมด้วยการตีความเกี่ยวกับนัยสำคัญทางศีลธรรมของสัตว์แต่ละชนิด ในส่วนความเข้าใจผิดเป็นจำนวนมากซึ่งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ธรรมชาติก็ถูกเก็บรักษาไว้ในคำอธิบายเหล่านี้ด้วย) ของคริสตศตวรรษที่ 12 ที่ว่า นกพีรีแกนคือ บรรพบุรุษที่อุทิศตัว
ตามตำรา bestiary,
นกพิรีแกนหนุ่มได้โจมตีพ่อแม่ของพวกมันด้วยปีก และนกพีรีแกนพ่อแม่ก็ตีกลับและฆ่านกพิรีแกนหนุ่มเสีย
แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น 3 วัน แม่นกพีรีแกนได้จิกหน้าอกของเธอ และปล่อยให้เลือดไหลหลั่งออกจากร่างลดลงบนศพของนกพิรีแกนหนุ่ม
และด้วยเหตุนี้จึงทำให้มันฟื้นคืนชีพขึ้นมา คุณลักษณะดังกล่าวของนกพีรีแกนเกี่ยวกับพลังที่ทำให้ฟื้นคืนชีพได้
มาทำหน้าที่รับใช้ ในฐานะที่เป็นพื้นฐานสำหรับการเป็นตัวแทนสัญลักษณ์ขององค์พระเยซูคริสต์
ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวถูกอ้างว่ามีพลังอำนาจในทำนองเดียวกันกับพระเยซูคริสต์
สำหรับตัวอย่างเกี่ยวกับสัญลักษณ์นิยมในทุกวันนี้ พิจารณาจากเรื่องสั้นของ
Hemingway, ในเรื่อง .A Clean, Well-Lighted Place" โดยประโยคเริ่มต้นของเรื่อง
ชายชราคนหนึ่งได้รับการอธิบายในฐานะที่เป็น "ชายชราที่นั่งจ่อมอยู่ในร่มเงาของต้นไม้ที่ตรงข้ามกับแสงไฟ".
บรรทัดต่อมาเป็นโหลๆ ได้กล่าวถึงชายชราคนนี้ "ชายชราที่นั่งจ่อมอยู่ในร่มเงาของต้นไม้ค่อยๆเคลื่อนไหวอย่างช้าๆและแผ่วเบาในสายลม". ต่อมาอีกสองสามบรรทัด เขาได้ถูกอธิบายง่ายๆว่า "เป็นคนแก่ที่กำลังนั่งอยู่ในร่มเงาไม้". ภาพที่พูดซ้ำถึงสามครั้งสามครานี้เกี่ยวกับการนั่งอยู่ใต้เงาไม้ เป็นสัญลักษณ์อันหนึ่งอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความตายที่ใกล้เข้ามาทุกทีและความว่างเปล่า
Isabel Hungerland ได้อ้างตัวอย่างอันหนึ่งเกี่ยวกับสัญลักษณ์นิยมจากภาพยนตร์เรื่อง Lost Horizon. ขณะที่พระลามะชั้นสูงแห่ง Shangri-La มรณภาพ, กล้องได้โฟกัสไปที่เทียนที่จุดสว่างที่ถูกทำให้ดับวูบลงโดยกระแสลม เรารู้ว่าพระลามะชั้นสูงถึงแก่มรณภาพเมื่อตอนที่แสงเทียนนั้นดับวูบลง ทั้งนี้เพราะเทียนดับเป็นสัญลักษณ์เกี่ยวกับการมรณภาพของท่านนั่นเอง
ในงานจิตรกรรมที่อยู่ด้านหลังแท่นบูชา
Grunewald Isenheim, "The Crucifixion"(ภาพองค์พระเยซูถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขน
- ดูภาพประกอบ) ลูกแกะตัวหนึ่งยืนอยู่ที่ส่วนล่างของไม้กางเขน ลูกแกะตัวนั้นได้แบกไม้กางเขนเล็กๆอันหนึ่งเอาไว้บนไหล่ของมัน
และห้อยลงมาที่ขาหน้าด้านขวา
ลูกแกะกับไม้กางเขน แน่นอนเป็นสัญลักษณ์ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นการบูชาหรือบวงสรวงต่อองค์พระเยซูคริสต์ อันนี้คือเรื่องราวหลักสำคัญของจิตรกรรม The Crucifixion. ไม้กางเขนในตัวมันเองเป็นสัญลักษณ์อันหนึ่งของศาสนาคริสต์ เปรียบเทียบกับธงเป็นสัญลักษณ์ของชาติๆหนึ่ง และนกอินทรีบนเหรียญ 25 เซนต์ของสหรัฐก็เป็นสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์บางอย่างซึ่งถือว่าเป็นเครื่องหมายประจำชาติ อย่างเช่น ความเข้มแข็งและความสูงส่งสง่างาม
Hungerland อ้างว่าสัญลักษณ์นิยมเกี่ยวพันกับความเชื่อทางไสยศาสตร์จำนวนหนึ่ง
เธอสันนิษฐานว่ามันมีอยู่ในใจ อย่างกรณีที่เกี่ยวกับตัวเลขต่างๆซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบางรัฐหรือบางเหตุการณ์
ยกตัวอย่างเช่น เลข 7 เป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี และเลข 13 เป็นสัญลักษณ์ของโชคร้าย
เป็นต้น
ถ้าหากว่าสิ่งที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ได้รับการนำมาพิจารณากันอย่างจริงจังในกรณีของสัญลักษณ์
ด้วยเหตุดังนั้น รูปลักษณ์บางอย่างก็สามารถที่จะบันทึกหรือตั้งเป็นข้อสังเกตเกี่ยวกับสัญลักษณ์ได้
คือ
1) สัญลักษณ์ ดังที่บางคนเข้าใจไม่จำต้องเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่น ตัวเลขตัวหนึ่งไม่ใช่รูปธรรม และแน่นอน คำต่างๆก็ไม่ใช่รูปธรรม(concrete)เช่นเดียวกัน อันนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สัญลักษณ์ส่วนใหญ่ในงานศิลปะเป็นรูปธรรม แต่ในการกำหนดนิยามความหมายเกี่ยวกับ"สัญลักษณ์" อัตลักษณ์ต่างๆที่แท้อันเป็นแบบเดียวกันของสัญลักษณ์ต่างๆสามารถถูกนำมาใช้ได้
2) สิ่งต่างๆซึ่งสัญลักษณ์ทั้งหลายได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทน ยกตัวอย่างเช่น บุคคล(พระเยซูคริสต์), เหตุการณ์และภาวะหนึ่ง(ความตายและความว่างเปล่า), เหตุการณ์บางเหตุการณ์(มรณกรรมของพระลามะชั้นสูง), การกระทำ(การบูชาขององค์พระเยซูคริสต์), สถาบัน (คริสตจักร หรือ ประเทศ), และคุณสมบัติ(ความเข้มแข็งและความสง่างามสูงส่ง). สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีเหตุผลใดๆ ซึ่งจะพยายามมากำหนดหรือจำกัดแบบฉบับของสิ่งต่างๆ ที่สามารถได้รับการนำมาทำเป็นสัญลักษณ์ได้
3) ในกรณีของงานทางด้านทัศนศิลป์ สัญลักษณ์ไม่ได้ถูกวาดขึ้นมาในฐานะที่เป็นตัวแทนภาพนั้นตรงๆ และในกรณีของวรรณกรรม สัญลักษณ์ไม่ได้อธิบายสิ่งที่มันเป็นตัวแทนถ้อยคำบรรยายแบบซื่อๆ สัญลักษณ์ต่างๆได้ถ่ายทอดความหมายในวิธีการที่เป็นลักษณะอ้อมๆมากกว่าการจะวาดหรืออธิบายออกมาตรงๆ พวกมันสร้างขึ้นมาบนสิ่งเหล่านั้น และเพิ่มเติมหรือยกระดับภาพเขียนและคำอธิบายให้มีความหมายหรือมีนัยสำคัญมากขึ้น
4) สัญลักษณ์ได้ทำหน้าที่"เป็นตัวแทน"ที่กำหนดหรือยอมรับกันบางอย่าง ซึ่งมันทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์. สัญลักษณ์จะรับภาระในการเปลี่ยนแปลงความคิดของคนเราไปสู่บางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างจากตัวมันเอง และการเปลี่ยนแปลงนั้นมิได้เป็นไปในลักษณะความสัมพันธ์แบบไม่ตั้งใจ. การเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ที่แน่นอนของสัญลักษณ์ ซึ่งได้ให้ที่ทางอันหนึ่งในระบบความหมายที่แน่นอน
5) ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆอ้างว่าเป็นเครื่องหมายทางธรรมชาติ อย่างเช่น เมฆต่างๆมีความหมายบ่งถึงฝน หรือ ควันเป็นเครื่องหมายบ่งถึงไฟ เป็นต้น. เครื่องหมายต่างๆทางธรรมชาติขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ในเชิงเป็นเหตุเป็นผลระหว่าง เครื่องหมาย กับ สิ่งที่มันบ่งถึง. ปกติแล้ว เครื่องหมายต่างๆทางธรรมชาติแตกต่างไปจากสัญลักษณ์, เป็นไปได้ที่ว่า เพราะสัญลักษณ์อันหนึ่งบรรลุถึงสถานะของการเป็นสัญลักษณ์ในฐานะที่เป็นผลลัพธ์เกี่ยวกับการกระทำของบุคคลบางคน, ในขณะที่เครื่องหมายทางธรรมชาติ เป็นอิสระจากการกระทำของบุคคลหนึ่งบุคคลใดอย่างสิ้นเชิง. ในกรณีของเครื่องหมายทางธรรมชาติ, เป็นเพียงการที่ใครบางคนบันทึกถึงกฎเกณฑ์หรือลักษณะประจำที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน(causal regularity) แต่อย่างไรก็ตาม มีความคลุมเครือแน่ๆอันหนึ่งในที่นี้ และจะต้องระมัดระวังด้วยเมื่อพิจารณาถึงเครื่องหมายเหล่านี้
มาถึงตรงนี้ นิยามความหมายอันหนึ่ง อาจเป็นความพยายามที่จะจัดหาหรือตระเตรียมกันขึ้นมา แต่ดัง Hungerland ว่าไว้, ความหลากหลายของวิธีการซึ่งคำ"สัญลักษณ์"ได้ถูกนำมาใช้ เป็นไปได้มากเลยทีเดียวว่า ไม่มีนิยามความหมายใดๆสามารถที่จะครอบคลุมมันเอาไว้ทั้งหมดได้
สิ่งที่ต้องทำก็คือการโฟกัสลงไปยังตัวอย่างต่างๆชุดหนึ่ง ซึ่งวาดหวังว่าจะเป็นตัวแทนส่วนใหญ่ของการใช้"สัญลักษณ์" และสิ่งซึ่งวาดหวังกันว่าคล้ายคลึงกันเพียงพอเหล่านั้น จะตระเตรียมพื้นฐานขึ้นมา สำหรับนิยามความหมายอันหนึ่งเกี่ยวกับมัน
(ตัวอย่างของนิยามความหมายเกี่ยวกับ"สัญลักษณ์)
สัญลักษณ์คือ
บางสิ่งบางอย่างซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทน ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยคนบางกลุ่ม
และสิ่งนั้นไม่ใช่เครื่องหมายทางธรรมชาติ. คำถามซึ่งสำคัญที่สุดที่ได้รับการยกขึ้นมาในนิยามความหมายอันนี้ก็คือ
เกี่ยวกับ การยอมรับหรือการกำหนดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เป็นตัวแทน(the
establishment of the standing for relation)
บางที หนทางที่ดีที่สุดในการอธิบายอันนี้ก็คือเริ่มต้นด้วยการพูดถึงเกี่ยวกับสัญลักษณ์ต่างๆซึ่งยอมรับกันแล้ว อย่างเช่น สัญลักษณ์"ไม้กางเขน". นับเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้วที่ไม้กางเขนมีศูนย์กลางอยู่ในที่ทางเกี่ยวกับพิธีกรรมของคริสตศาสนา เนื่องจากวิธีการเกี่ยวกับการได้รับความทุกข์ทรมานขององค์พระเยซูคริสต์
สัญลักษณ์ต่างๆนั้น อย่าง กางเขน คือชนิดหนึ่งของพื้นฐานที่สำคัญมาก สำหรับบรรดาศิลปินทั้งหลายในการเขียนรูป. ศิลปินสามารถเชื่อได้ว่าสมาชิกทั้งหมดซึ่งเป็นผู้ดูงานของเขาจะทราบว่า สัญลักษณ์กางเขนบ่งชี้ถึงอะไร หากว่าใช้มันในผลงานของเขา
สัญลักษณ์ต่างๆนั้น เหมือนกันมากๆกับคำธรรมดาๆต่างๆซึ่งสมาชิกทั้งมวลของชุมชนรู้ถึงความหมายเกี่ยวกับมัน แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ที่พูดถึงไม้กางเขน หรือสัญลักษณ์อื่นๆซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างมั่นคงแล้ว ไม่ได้แสดงว่าสัญลักษณ์ต่างๆได้รับการยอมรับกันอย่างไร แต่พูดเพียงว่าพวกมันคือสัญลักษณ์ต่างๆที่ถูกยอมรับเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น
ไม้กางเขนได้ถูกยอมรับให้เป็นสัญลักษณ์อันหนึ่งขึ้นมาได้อย่างไร
?
ใครบางคนอาจคาดเดาเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆของการยอมรับมันได้ เช่น ชนชาวคริสเตียนช่วงต้นๆบางคน
จะต้องวาดมันหรือวางแบบไม้กางเขนลงในการมีอยู่ของคริสเตียนคนอื่นๆ ผู้ซึ่งรู้ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับการได้รับความทุกข์ทรมานขององค์พระเยซูคริสต์
เพื่อที่จะเพิ่มเติมหรือยกระดับพิธีกรรมอันหนึ่งขึ้นมา หรือบางทีก็เพื่อสถาปนาเอกลักษณ์ของตนในฐานะที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของนิกาย
หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ
ไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม เนื่องมาจากการใช้ไม้กางเขนในเหตุการณ์พื้นฐานอันหนึ่งของประวัติศาสตร์ของชนชาวคริสเตียน การเขียนภาพนั้นหรือการวางแบบไม้กางเขนดังกล่าวได้กลายมาเป็นการยอมรับ ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ของคริสตศาสนา
ด้วยเหตุนี้ ชนชาวคริสเตียนในยุคต้นๆบางคน โดยการกระทำที่ยอมรับขนบธรรมเนียมนั้นที่ว่า ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์อันหนึ่ง, และขนบประเพณีดังกล่าวก็ให้การยอมรับ และถูกใช้โดยบรรดาเหล่าสานุศิษย์และบรรดาของชุมชนคริสเตียน ในช่วงเวลานั้น นัยสำคัญเชิงสัญลักษณ์ดังกล่าวเกี่ยวกับไม้กางเขน ได้กลายมาเป็นที่รู้จักกันในหมู่ผู้ซึ่งไม่ใช่คริสเตียนด้วยเช่นกัน
ขนบธรรมเนียมต่างๆอาจเป็นที่ยอมรับกันอย่างเป็นทางการและอย่างไม่เป็นทางการ อย่างเช่น ธงชาติต่างๆเป็นสัญลักษณ์ของแต่ละประเทศ เป็นไปได้ที่ว่า ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นที่ยอมรับกันอย่างเป็นทางการ อันนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในบางช่วงขณะแรกๆของประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกานั้น สมาชิกบางคนในรัฐสภาได้เสนอว่า ธงชาติควรจะประกอบด้วยดาว 13 ดวงและมีแถบ 13 แถบ เป็นต้น ซึ่งได้ถูกรับเอามาเป็นธงชาติของสหรัฐ และข้อเสนอดังกล่าวได้ถูกยอมรับโดยการออกเสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภา แต่อย่างไรก็ตาม การยอมรับเกี่ยวกับสัญลักษณ์ส่วนใหญ่เป็นไปในลักษณะที่ไม่เป็นทางการ และมีไว้เพื่อคนบางคนซึ่งใช้กับบางสิ่งบางอย่างในหนทางนั้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า มันได้ถูกนำมาใช้เพื่อบ่งชี้ถึงสิ่งที่แน่นอนอันหนึ่ง
บรรดาศิลปินทั้งหลายสามารถที่จะหยิบใช้สัญลักษณ์ต่างๆซึ่งเป็นที่ยอมรับกันแล้วในผลงานต่างๆของพวกเขา แต่เทียบกันกับการที่พวกเขาสร้างสรรค์เรื่องราวต่างๆ, อย่างเช่น งานจิตรกรรม, และบทละครทั้งหลาย, ศิลปินต่างๆได้สร้างสัญลักษณ์หลายหลากขึ้นมาด้วยเช่นกัน
ศิลปินหลายๆคน ใช้สิ่งประดิษฐ์หลายหลากเพื่อช่วยกำหนดบางสิ่งบางอย่างในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ และไม่ต้องกังขาว่า มันมีสิ่งประดิษฐ์บางอย่างที่ยังไม่ได้คิดค้นขึ้นมา แต่ตัวอย่างต่อไปนี้จะช่วยให้ภาพประกอบถึงการที่สิ่งประดิษฐ์ทั้งหลาย ได้ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยสถาปนาสัญลักษณ์ใหม่ต่างๆขึ้นมา วิธีการก็คือ จะวาดภาพเพื่อแสดงถึงเหตุการณ์ที่ไม่ปกติหรือเป็นไปไม่ได้ในงานจิตรกรรม ซึ่งในทางตรงข้ามจะพรรณาถึงเหตุการณ์ที่ธรรมดาหรือเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อันหนึ่ง
ในงานจิตรกรรมของจิตรกรเยอรมันนามว่า Grunewald ในภาพ "The Crucifixion", ในภาพดังกล่าวตรงกลางด้านล่าง มีภาพของลูกแกะกำลังแบกไม้กางเขนเล็กๆท่อนหนึ่งไว้บนไหล่ โดยขาข้างหนึ่งได้กอดกวัดกับปลายไม้กางเขนเอาไว้ ซึ่งอันนี้เป็นกรณีของประเด็นดังกล่าวแม้ว่าลูกแกะจะไม่ใช่สัญลักษณ์ที่ยอมรับกันทั่วไป แต่ภาพๆนี้ได้มาทำหน้าที่ในฐานะสัญลักษณ์อย่างชัดเจน
ลูกแกะในงานจิตรกรรมของ Grunewald เป็นตัวอย่างของสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นสัญลักษณ์ ซึ่งถูกวางเอาไว้ตรงกลางภาพด้านล่างของงานจิตรกรรม ตรงส่วนท่อนล่างของไม้กางเขนที่องค์พระเยซูคริสต์ถูกตรึง "ลูกแกะ"ในผลงานจิตรกรรมของ Grunewald ได้ถูกเขียนขึ้นมา ซึ่งอันนี้ได้มาทำหน้าที่เป็นตัวแทนสัญลักษณ์ของพระองค์
ในงานวรรณกรรมของ Hemingway, ชายชราได้ถูกอธิบายว่ากำลังนั่งอยู่ในร่มเงาในประโยคแรกๆเลยทีเดียว ตอนจบของผลงานเป็นสถานที่อันโดดเด่นอีกที่หนึ่ง นั่นคือ สถานที่อันเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับพล็อทเรื่อง หรือกับลักษณะเฉพาะพิเศษอื่นๆ. คำอธิบายเกี่ยวกับชายชราซึ่งนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ ได้มีการอธิบายถึงสามหนในตอนเปิดเรื่องของ Hemingway, และความมืดมักจะถูกวางเคียงกันกับแสงสว่างซึ่งบ่งชี้ถึงชีวิตและความเป็นหนุ่ม. การวางเคียงกัน, ไม่ว่าจะซ้ำๆหรือไม่ก็ตาม, อาจมาช่วยสร้างความสัมพันธ์ในเชิงสัญลักษณ์ขึ้นได้
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งประดิษฐ์ต่างๆนั้น ลำพังแล้วไม่สามารถที่จะสถาปนาบางสิ่งบางอย่างในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ขึ้นมาได้ กล่าวคือ สิ่งๆหนึ่งย่อมมีลักษณะเฉพาะพิเศษต่างๆที่เหมาะสมบางอย่างอยู่ เพื่อที่จะทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ของอีกสิ่งหนึ่ง
ความเหมาะสมที่ถูกนำเสนออยู่ในผลงานศิลปะ
อย่างเช่นภาพ "The Crucifixion" มันค่อนข้างง่ายที่จะทำให้ลูกแกะเป็นสัญลักษณ์ขององค์พระคริสต์และการเสียสละของพระองค์
ทั้งนี้เพราะได้ถูกทำให้เชื่อว่า "ลูกแกะ"มีลักษณะเฉพาะพิเศษอันโดดเด่นบางอย่างของความถ่อมตัว
และเชื่อง(meekness) ซึ่งถูกถือว่าคือองค์พระเยซูคริสต์ และอันนี้คือข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ซึ่งรู้จักกันดีว่า
ลูกแกะเป็นสัตว์ที่ใช้ในการบูชายัญในขนบประเพณีของชนชาวยิว
ในกรณีของชายชราซึ่งนั่งอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ ความเชื่อมโยงง่ายๆระหว่างความมืดกับความตาย
และความสัมพันธ์ของวลีที่ว่า "หุบเขาแห่งเงามืดของความตาย"(the
valley of the shadow of death)ในเพลงสวด 23 เพลง ได้เป็นการตระเตรียมพื้นฐานได้มากพอสำหรับอธิบายถึงสถานการณ์หนึ่ง
เพื่อมารับบทบาทหน้าที่ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์
พื้นฐานของนกพีรีแกน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขององค์พระเยซูคริสต์ คือพลังอำนาจที่ได้รับการอ้างว่าสามารถฟื้นคืนชีวิตได้. ข้อเท็จจริงคือว่า ปัจจุบันไม่มีใครเชื่ออีกต่อไปแล้วว่า นกพีรีแกนมีพลังอำนาจดังกล่าว แต่อันนี้ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์อันหนึ่งขององค์พระเยซูคริสต์ อย่างไรก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้ที่ว่า ศิลปินปัจจุบันจะนำเอานกพีรีแกนมาใช้ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์อย่างนั้น เพราะส่วนใหญ่แล้วจะนำเอาภาพของลูกแกะมาใช้แทน
โดยทั่วๆไป ไม่ใช่ลูกแกะทุกๆตัวจะเป็นสัญลักษณ์ขององค์พระเยซูคริสต์เสมอไป ยกตัวอย่างเช่น ภาพของลูกแกะในงานจิตรกรรมของ Little Bopeep เป็นไปได้ที่ว่ามันไม่ใช่สัญลักษณ์ของสิ่งใดเลย
สัญลักษณ์ต่างๆเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่หรืออิงอาศัยบริบท(context dependent) วิธีการที่ปัจจัยต่างๆของผลงานศิลปะทำงานร่วมกันเพื่อทำให้ปัจจัยอันหนึ่งสามารถมีบทบาทหน้าที่ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ ได้รับการแสดงภาพประกอบหรืออธิบายได้อย่างดีโดยตัวอย่างของเทียนและพระลามะชั้นสูง เทียนเล่มที่กำลังเผาไหม้ และถัดมาได้ดับวูบลง มันคล้ายคลึงกับความสัมพันธ์บางประการกับบุคคลคนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่และจากนั้นก็ถึงแก่กรรมลง
แต่ความคล้ายคลึงกันเหล่านี้ โดยตัวของพวกมันเองแล้ว ไม่สามารถที่จะสร้างหรือสถาปนาความสัมพันธ์ในทางสัญลักษณ์ขึ้นมาได้ เทียนที่ดับวูบลงคล้ายคลึงกับยางรถที่แบนนั่นเอง แต่ในตัวอย่างนี้ มันมิได้เป็นสัญลักษณ์ของยางรถที่แบน. แน่นอน เทียนที่ดับวูบลงนั้นมีคล้ายคลึงกับเทียนที่ดับวูบลงอีกเล่มหนึ่ง แต่โดยทางการแล้วมันไม่ใช่สัญลักษณ์ของอันหลังนี้เช่นกัน. ความคล้ายคลึงยังไม่นับว่าพอ นั่นคือ มันมีปฏิบัติการที่อยู่ในบริบทแวดล้อมของผลงาน ซึ่งเลือกและกลั่นกรองความคล้ายคลึงกันต่างๆที่สอดคล้อง และสถาปนาความสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ขึ้นมา
ในภาพยนตร์เรื่อง Lost Horizon, ฉากแรกได้นำเสนอเกี่ยวกับพระลามะชั้นสูง ผู้ซึ่งอยู่ในจุดของความตาย กล้องได้ตัดไปยังฉากของเทียนเล่มหนึ่งซึ่งริบหรี่จวนจะดับก่อนที่จะมีการเปิดหน้าต่าง. ลมได้พัดเข้ามาผ่านช่องหน้าต่างและพัดให้เทียนเล่มนั้นดับวูบลง เทียนที่ดับลงแล้วเป็นสัญลักษณ์เกี่ยวกับการมรณภาพของพระลามะชั้นสูงรูปนี้ ทั้งนี้เนื่องมาจากตำแหน่งที่วางเคียงกันในเวลาทันทีของฉากสองฉาก ซึ่งได้นำเสนอความเชื่อมโยงกันระหว่างภาพสองภาพเข้ามาหากัน และนำมาซึ่งความคล้ายคลึงต่างๆอย่างสอดคล้อง ที่จะสถาปนาความสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ขึ้นมา
ศิลปินบางคนอาจพยายามที่จะสถาปนาหรือสร้างบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์แต่ทว่าล้มเหลว, ทั้งนี้เพราะเขามิได้นำเสนอปัจจัยต่างๆของผลงานของเขาให้ไปด้วยกันได้อย่างเหมาะสมนั่นเอง หรือเป็นเพราะว่าเขามิได้จัดหาหรือตระเตรียมปัจจัยต่างๆที่สำคัญมากๆบางอย่างเอาไว้
ถ้าเผื่อว่าผู้ตัดต่อภาพยนตร์เรื่อง Lost Horizon ผิดพลาดเกี่ยวกับการวางช็อทของภาพเทียน โดยวางมันไกลห่างไปจากฉากเกี่ยวกับการมรณภาพ หากเป็นเช่นนั้น มันก็จะไม่มีบทบาทหน้าที่ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์เกี่ยวกับการมรณภาพของพระลามะชั้นสูงนี้ แม้ว่ามันจะยังคงมีรัศมีของการเป็นสัญลักษณ์อันหนึ่งก็ตาม
มันเป็นไปได้ด้วยและเกิดขึ้นเช่นนั้นอยู่บ่อยๆที่ว่า บรรดาศิลปินทั้งหลายได้จัดวางสิ่งต่างๆในผลงานของพวกเขา ซึ่งมีรัศมีของการเป็นสัญลักษณ์ต่างๆ แต่ตามข้อเท็จจริง มันกลับไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นสัญลักษณ์ต่างๆขึ้นมา. มวลของ"สัญลักษณ์"เหล่านั้นในผลงานศิลปะ จะปรับตัวไปสู่การปรากฎตัวของสิ่งซึ่งมีนัยสำคัญ บางที สิ่งต่างๆที่แปลกๆบางอย่างในงานศิลปะ surrealist จะเป็นไปในลักษณะนี้ของสัญลักษณ์
Beardsley กล่าวว่าใน "In the Penal Colony"(ในอาณานิคมแห่งการลงทัณฑ์) ของ Kafka มี"บรรยากาศของการเป็นสัญลักษณ์อันลึกซึ้งและรุ่มรวย, โดยปราศจากการเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งใดๆเลยโดยเฉพาะ, หรืออย่างน้อยที่สุด สิ่งใดๆที่คุณสามารถกำหนดหรือสร้างมันขึ้นมาในผลงานอื่นๆ"
อะไรคือประเด็นของสัญลักษณ์ต่างๆในงานศิลปะ ? และบทบาทหน้าที่อะไร ที่พวกมันทำหน้าที่รับใช้ ? พื้นฐานเบื้องต้นที่สุด, สัญลักษณ์ต่างๆในงานศิลปะทำหน้าที่ถ่ายทอดความหมายหรือข้อมูล. ภาพของชายชราที่นั่งอยู่ในร่มเงาของต้นไม้ได้ถ่ายทอดความหมาย"คือการเข้าใกล้ความตาย". ลูกแกะที่ได้รับการวาดขึ้นมากับไม้กางเขนที่อยู่บนไหล่ของมัน ถ่ายทอดความหมายถึง"องค์พระเยซูคริสต์ที่ถูกตรึงกางเขน". เทียนที่ดับวูบลงได้ถ่ายทอดข้อมูล"พระลามะชั้นสูงได้ถึงแก่มรณภาพ"
ในบางกรณี ความหมายดังกล่าวที่ถูกถ่ายทอด อาจได้รับการทำให้เป็นหลักการทางด้านไวยากรณ์ได้ดีที่สุดในฐานะที่เป็นถ้อยคำ(เทียน), ส่วนในกรณีอื่นๆก็เป็นวลี(ลูกแกะกับไม้กางเขน), ประเด็นก็คือ ในรูปแบบหนึ่งหรือความหมายอื่นๆได้ถูกถ่ายทอดออกมา
ข้อมูลที่ถูกถ่ายทอดอาจเป็นข้อมูลที่เสริมเพิ่มเติมเข้ามา หรือมันอาจจะมากจนเกินไปก็ได้. ในกรณีของเทียนที่ดับวูบลงไป ข้อมูลเพิ่มเติมได้ถูกถ่ายทอดออกมา - เมื่อเทียนดับลงแล้ว เรารู้ได้ในทันทีว่าพระลามะชั้นสูงได้มรณภาพลงแล้ว
ส่วนภาพของลูกแกะกับไม้กางเขนนั้น ได้มาหนุนเสริมความหมายที่ซ้ำซาก(มากเกินไป)ใช่หรือไม่, สำหรับศูนย์กลางโฟกัสของงานจิตรกรรมคือภาพเขียนขององค์พระเยซูคริสต์ที่ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน
ใครสักคน เป็นไปได้ที่ต้องการจะพูดว่า ความหมายที่ได้รับการถ่ายทอดโดยภาพของชายชราที่กำลังนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้นั้น มันมากจนเกินไปด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพราะ สถานการณ์ของชายชราได้ถูกทำให้กระจ่างชัดอยู่แล้ว โดยแง่มุมต่างๆที่ไม่ใช่สัญลักษณ์แบบตรงไปตรงมาของเรื่องราวอันนี้
เป็นไปได้กรณีที่ว่า ส่วนใหญ่ของสัญลักษณ์ต่างๆมันเหลือเฟือหรือมากจนเกินไป และสัญลักษณ์ส่วนใหญ่สามารถที่จะได้รับการขจัดทิ้งไปได้โดยไม่สูญเสียความหมายใดๆไปเลย ยกตัวอย่างเช่น ใครคนหนึ่งอาจแสดงให้เห็นอย่างง่ายๆถึงการมรณภาพของพระลามะชั้นสูง หรือกล่าวถึงชายชรารู้สึกว่าความตายได้คืบคลานใกล้เข้ามาแล้ว
แต่ลักษณะเชิงเทคนิคอันนี้เกี่ยวกับความมากเกินไป(redundancy)จะไม่เป็นข้อบกพร่องในงานศิลปะ, และไม่แม้กระทั่งเป็นข้อเสียในการพูดจากันตามธรรมดาๆด้วย. ความมากเกินไปของการพูดจากันตามธรรมดาทำให้มั่นใจว่า สิ่งที่เราพูดนั้นจะถูกเข้าใจอย่างชัดเจน
ความหมายที่มากจนเกินไปของสัญลักษณ์จะมาช่วยเพิ่มความหนาแน่นและความอุดมสมบูรณ์ขององค์ประกอบหรือเนื้อหนังของผลงานศิลปะ
สัญลักษณ์ต่างๆสามารถที่จะเพิ่มเติมความซาบซึ้งขึ้นมาโดยทันทีได้ และธำรงรักษาหรือเพิ่มเสริมความเป็นเอกภาพของผลงานศิลปะ
ลองพิจารณาถึงงานจิตรกรรมของ Grunewald, (The Crucifixion) หากว่าไม่มีภาพของลูกแกะกับไม้กางเขนกันดู.
จากนั้นเพิ่มภาพของลูกแกะลงไปในงานจิตรกรรมชิ้นนี้. กับการมีภาพของลูกแกะ
งานจิตรกรรมชิ้นดังกล่าว มันทำให้ความหมายมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นยิ่งกว่าการไม่มีภาพของลูกแกะ
ทั้งนี้เพราะมันมีแก่นสารมากขึ้น เนื่องจากรูปของลูกแกะ จะเป็นตัวบอกว่าองค์พระเยซูคริสต์เป็นบุคคลที่ถ่อมตัว
เชื่อง ปราศจากอันตราย แต่ต้องมาถูกตรึงกางเขน
ภาพของลูกแกะได้ธำรงรักษา หรือบางทีได้เพิ่มเติมเสริมถึงความเป็นเอกภาพของงานจิตรกรรม ทั้งนี้เพราะความหมายในเชิงสัญลักษณ์ของลูกแกะมันเข้ากันหรือเหมาะเจาะกับองค์ประกอบหรือปัจจัยอื่นๆ และเรื่องราวหลักๆของงานจิตรกรรมชิ้นนี้นั่นเอง
แน่นอน มิใช่ว่าสัญลักษณ์ทุกๆอย่างจะช่วยยกระดับผลงานศิลปะขึ้นได้ กล่าวคือ สัญลักษณ์ที่ให้ไว้ อาจโน้มเอียงทำให้ผลงานศิลปะเกิดความไม่สัมพันธ์กันขึ้นมา, หรือแม้แต่สัญลักษณ์จะมีความสัมพันธ์หรือสอดคล้องกันอยู่ก็ตาม แต่หากมันมากจนเกินไป ก็อาจทำให้ผลงานนั้นเสียหายหรือแย่ลงไปได้เช่นกัน
โดยแบบฉบับแล้ว สัญลักษณ์ต่างๆจะมารับใช้เพื่อเน้นและเพิ่มพลังเรื่องราวหลักหรือเรื่องราวต่างๆของผลงานศิลปะให้หนักแน่นยิ่งขึ้น ในบางกรณี สัญลักษณ์ต่างๆที่นำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม จะช่วยให้ผลงานมีความเข้มข้นและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งคล้ายคลึงกับที่ถูกให้(ความเข้มข้นขึ้น)โดยเพลงสวดหรือท่วงทำนองเพลงซ้ำ
ลักษณะของผลที่ถูกทำโดยสัญลักษณ์ต่างๆ อาจจะไม่บรรลุผลสำเร็จด้วยการซ้ำอย่างง่ายๆ ในวิธีการพื้นฐานของการแสดงออก(การให้ภาพหรือการอรรถาธิบาย). การทำซ้ำเช่นนั้นอาจทำให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายหรือกระทั่งเหลวไหลรู้สึกว่ามันไร้สาระ นั่นคือ ลองจินตนาการเอาภาพการตรึงไม้กางเขนที่เขียนเป็นภาพเล็กๆไปแทนที่ที่ส่วนท่อนล่างของไม้กางเขนดู
ในบางตัวอย่างด้วยเช่นกัน สัญลักษณ์ยังมารับใช้เพื่อเน้นถึงลักษณะที่เฉพาะบางอย่างของสิ่งซึ่งถูกทำเป็นสัญลักษณ์ด้วย - ในตัวอย่างที่เกี่ยวกับลูกแกะกับไม้กางเขน มันหมายถึง ความว่าง่าย ความถ่อมตนขององค์พระเยซูคริสต์ และธรรมชาติเกี่ยวกับการบูชาของเหตุการณ์อันนี้(แกะถูกนำมาใช้เพื่อการบูชายัญสำหรับชนชาวยิว) ดังนั้น สัญลักษณ์ต่างๆจึงทำงานอย่างละเอียดอ่อนและในหนทางที่สลับซับซ้อน
ผลกระทบเกี่ยวกับสัญลักษณ์ต่างๆมิได้เป็นผลอันเนื่องมาจากข้อเท็จจริงง่ายๆที่ว่า พวกมันถ่ายทอดความหมายในวิธีการซึ่งแตกต่างไปจากภาพวาดหรือคำอธิบาย; ความประหยัดซึ่งพวกมันมาทำหน้าที่หรือมีบทบาทเป็นสิ่งสำคัญด้วยเช่นกัน
สัญลักษณ์อันหนึ่งอาจจะไม่เหมือนกับสุภาษิตหรือคำพังเพย(proverbial picture)ที่ว่า, ภาพมีคุณค่าเท่ากับคำพูดพันคำ, แต่มันอาจทรงคุณค่าเท่ากับคำพูดหลายๆคำหรือภาพเขียนจำนวนมาก. สัญลักษณ์หนึ่งๆ จะบรรจุข้อมูลเอาไว้เป็นจำนวนมากลงในเนื้อที่เล็กๆเนื้อที่หนึ่ง. และสัญลักษณ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันแล้ว จะมาช่วยสรุปประวัติศาสตร์และประสบการณ์ที่มีนัยสำคัญจำนวนมากเอาไว้ - มันเป็นที่รองรับหรือที่เก็บความหมายเอาไว้
อย่างน้อยที่สุด มีสิ่งต่างๆอยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งคำว่า"สัญลักษณ์"ได้ถูกนำมาใช้ ซึ่งอาจถูกแสดงออกได้ดีกว่าในวิธีการที่แตกต่างออกไป ยกตัวอย่างเช่น บางครั้งมีการพูดกันว่า Willie Loman ใน Death of a Salesman เป็นสัญลักษณ์ของคนจริงๆหรือชีวิตจริง. การกล่าวว่า Willie Loman เป็นสัญลักษณ์หนึ่งนั้นหมายความว่า อัตลักษณ์และการกระทำของเขาเป็นตัวแทนคนหรือชีวิตจริง และยักย้ายความคิดของเราไปสู่คนเช่นนั้นหรือชีวิตแบบนั้น
แต่อย่างไรก็ตาม การวางสาระหรือแก่นในกรณีต่างๆเหล่านี้ ก็จะขาดความเที่ยงตรงในการดูหรือ มีประสบการณ์กับละครเรื่องนี้. Willie Loman ไม่ได้เป็นตัวแทนคนหรือชีวิตจริงๆของคนหนึ่ง อันที่จริงเขาเป็นตัวอย่างที่แต่งขึ้นมาของผู้คนหรือชีวิตแบบนั้น. Willie Loman เป็นภาพประกอบหรือตัวอย่างมากกว่าที่จะเป็นสัญลักษณ์ ตัวอย่างอันหนึ่งจะมีพลังอำนาจมาก และตรงไปตรงไป และละเอียดอ่อนน้อยกว่าสัญลักษณ์
ทั้งการทำให้เป็นตัวอย่าง(exemplification) และการทำให้เป็นสัญลักษณ์(symbolization)ได้มาช่วยเรียกร้องความสนใจของเราต่อสิ่งต่างๆอันนั้น และแต่ละอย่างก็มีที่ทางของมันในงานศิลปะ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีเหตุผลที่ดีอันใดสำหรับการเรียกขานการทำขึ้นมาเป็นตัวอย่าง(exemplification)อันนี้ว่า เป็นชนิดหนึ่งของการทำให้เป็นสัญลักษณ์(symbolization)
Aesthetics, An Introduction (Dickie)
... Aesthetics, An Introduction, by George Dickie. Pegasus, A Division of the Bobbs-Merrill Company, Inc., New York, 1971. 200 pp.
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา
3
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
e-mail
: midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 560 เรื่อง หนากว่า 7000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา
120 บาท(รวมค่าส่ง)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่
midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง
จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
มันเป็นไปได้ด้วยและเกิดขึ้นเช่นนั้นอยู่บ่อยๆที่ว่า บรรดาศิลปินทั้งหลายได้จัดวางสิ่งต่างๆในผลงานของพวกเขา ซึ่งมีรัศมีของการเป็นสัญลักษณ์ต่างๆ แต่ตามข้อเท็จจริง มันกลับไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นสัญลักษณ์ต่างๆ. "สัญลักษณ์"เหล่านั้นในผลงานศิลปะ จะปรับตัวไปสู่การปรากฎตัวของสิ่งซึ่งมีนัยสำคัญ บางที สิ่งต่างๆที่แปลกๆบางอย่างในงานศิลปะ surrealist จะเป็นไปในลักษณะนี้ของสัญลักษณ์
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 560 เรื่อง หนากว่า 7000 หน้า ในรูปของ CD-ROM ในราคา 120 บาท(รวมค่าส่ง)
สนใจสั่งซื้อได้ที่
midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
ส่งธนาณัติถึง
สมเกียรติ ตั้งนโม : ไปรษณีย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 50202
กรุณาส่งธนาณัติแลกเงินไปยัง
สมเกียรติ ตั้งนโม : คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถนนสุเทพ อำเภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่ 50202
อย่าลืมเขียนชื่อ ที่อยู่ ของผู้รับตัวบรรจงด้วยครับ เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการจัดส่งทางไปรษณีย์
สัญลักษณ์ต่างๆ แต่เดิมเป็นเรื่องซึ่งมีความสัมพันธ์อยู่กับบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลึกลับและเวทมนต์ ปัจจุบันบรรดาศิลปินได้นำเอาสัญลักษณ์ต่างๆมาใช้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องของเวทมนต์แต่อย่างใด อีกทั้งมันไม่ใช่เรื่องลึกลับเกี่ยวกับกระบวนการทางสัญลักษณ์ แม้ว่าในบางกรณีกระบวนการอันนั้นอาจเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนก็ตาม สัญลักษณ์ไม่ใช่สิ่งที่มีคุณค่าซึ่งมีอยู่แต่เดิมในงานศิลปะ สัญลักษณ์เป็นวิธีการอันหนึ่งของการถ่ายทอดความหมาย ซึ่งจะถ่ายทอดได้ดีหรือไม่ดี เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับตัวศิลปิน ในทำนองเดียวกัน สัญลักษณ์สามารถถูกนำมาใช้ได้อย่างมีรสนิยมหรือรู้จักเลือกเฟ้นและเหมาะสม หรือมันอาจถูกใช้มากจนเกินไปก็ได้ นอกจากนี้สัญลักษณ์ยังสามารถที่จะช่วยยกระดับผลงานทางด้านศิลปะ