บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ 545 หัวเรื่อง
ข้อแย้งทางประวัติศาสตร์
เกี่ยวกับวัฒนธรรมทางสายตา
สมเกียรติ
ตั้งนโม : เรียบเรียง
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
The
Midnight 's article
Website
ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
คลิกไปหน้า homepage มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ข้อถกเถียงทางปรัชญาและประวัติศาสตร์
ข้อแย้งเชิงประวัติศาสตร์"วัฒนธรรมทางสายตา"
สมเกียรติ ตั้งนโม : เรียบเรียง
สาขาจิตรกรรม คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
หมายเหตุ:
บทความทางวิชาการนี้ เรียบเรียงมาจากเรื่อง
Picture This:
Literary Theory and the Study of Visual Culture
An address delivered at La Sapienza, Rome, Italy, March 2000
Paul Jay/Dept. of English/Loyola University Chicago
เผยแพร่ครั้งแรกวันที่
26 มีนาคม พ.ศ. 2548
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
12 หน้ากระดาษ A4)
เรียบเรียงจากคำบรรยายของ ศาสตราจารย์พอล เจย์ (บรรยายที่ La
Sapienza, Rome, Italy, March 2000)
คำบรรยายในบ่ายวันนี้ ข้าพเจ้าต้องการยกเอาคำถามบางคำถามขึ้นมาเกี่ยวกับ เราได้ทำให้แนวคิดเรื่องการศึกษาวัฒนธรรมทางสายตาเป็นประวัติศาสตร์กันอย่างไร ? สำหรับเหตุผลที่ว่า เราได้ทำให้เรื่องวัฒนธรรมทางสายตาเป็นประวัติศาสตร์กันอย่างไรนี้ จะได้รับการนำไปเชื่อมโยงอย่างแนบแน่นกับการที่เราได้ทำให้การมองและความเป็นภาพเป็นทฤษฎีกันอย่างไร ?
การศึกษาวัฒนธรรมทางสายตาได้พัฒนาขึ้นมารายรอบความคิดที่ว่า ความเป็นหลังสมัยใหม่(postmodernity) ได้ถูกครอบงำหรือรับอิทธิพลโดยตัวแทนภาพทางสายตา(visual representation)ซึ่งเป็นตัวให้ความหมาย และจากจุดนี้ทำให้มันเป็นเครื่องหมายของการตัดขาดจากความเป็นสมัยใหม่(modernity) ที่ได้ถูกครอบงำโดยเรื่องของตัวหนังสือ(textuality)
ในทัศนะของข้าพเจ้า หลักการอันนี้วางอยู่บนนิยามความหมายที่แคบมาก เกี่ยวกับ"สายตา"(visual)ในฐานะที่เป็น"ภาพ"(pictorial), และมันมีแนวโน้มว่า การเกิดขึ้นของวัฒนธรรมทางสายตา เป็นสิ่งซึ่งบังเอิญไปพ้องกันกับผลผลิตและการกระจายตัวของภาพต่างๆ ที่ถูกทำให้เกิดขึ้นมาโดยเครื่องมือกลไกและอิเล็คทรอนิคต่างๆ - อย่างเช่น ภาพถ่าย ภาพยนตร์ วิดีโอ ภาพดิจิตอล ฯลฯ
แต่อย่างไรก็ตาม สายตา(visual)และการทำให้เป็นเรื่องของสายตา(visualization) มักจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับวัฒนธรรม และในนิยามความหมายที่กว้างกว่าของวัฒนธรรมทางสายตา ได้รวมเอาสถาปัตยกรรม และรูปแบบการสร้างอื่นๆและการตกแต่งเข้าไปด้วย ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างนับจากการโฆษณา การออกแบบภายใน กระทั่งเรื่องของการตกแต่ง และการสร้างทิวทัศน์(landscaping)ขึ้นมา ซึ่งอันนี้ไม่ตรงกับไอเดียหรือความคิดที่ว่า "วัฒนธรรมทางสายตา"คือ"ปรากฏการณ์ของหลังสมัยใหม่"
มองออกไปให้กว้างมากขึ้น วัฒนธรรมทางสายตาเป็นเรื่องที่มีมายาวนานแล้ว และมีประประวัติศาสตร์ที่ค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งอันนี้ได้ไปขุดเซาะหรือทำลายความคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของมัน ที่ได้รับการหยั่งรากอยู่ในการเปลี่ยนผ่านกระบวนทัศน์ ซึ่งเกี่ยวพันกับการแตกหักจากเรื่องของตัวหนังสือ(textuality)
ข้อถกเถียงในเชิงประวัติศาสตร์อันนี้ยังได้รับการมองในลักษณะตรงไปตรงมา เมื่อมองจากมุมมองในทางทฤษฎี. การวิเคราะห์ในเชิงรื้อสร้าง(deconstructive analysis)เกี่ยวกับ"ภาพ"และ"ตัวหนังสือ" เป็นตัวอย่าง ที่ได้เผยให้เห็นว่า คำศัพท์ทั้งสองคำนี้ขึ้นอยู่กับกันและกันสำหรับความหมายของมันในโครงสร้างอันหนึ่งของความแตกต่าง ซึ่งเป็นมายาการส่วนใหญ่เมื่อมองเข้าไปในบริบทของประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน ที่ซึ่งวัตถุทางสายตาได้ถูกอ่านและข้อมูลตัวหนังสือได้รับการมองเห็น
ถ้าหากว่าเรื่องภาพและข้อมูลตัวหนังสือ ได้ถูกเชื่อมโยงเข้ากันกับการแตกหักทางประวัติศาสตร์ การแตกหักนั้นก็เกี่ยวข้องกันน้อยมากกับความแตกต่างระหว่างสื่อกลางทั้งสองชนิด ยิ่งกว่าความแตกต่างระหว่างความเชื่อมโยงของมัน กับวิกฤตที่แพร่กระจายไปทั่วในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการเป็นตัวแทน(representation)ในตัวของมันเอง อันนี้คือหนึ่งในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงความสนใจของเราจากการที่ "คำ" และ "ความหมาย" สะท้อนความจริงอย่างไร สู่ การที่พวกมันได้สร้างความจริงขึ้นมาอย่างไร
ในท้ายที่สุด การศึกษาวัฒนธรรมทางสายตา จะต้องถูกทำความเข้าใจไม่ใช่ในฐานะผลผลิตของการแตกร้าวทางประวัติศาสตร์ระหว่าง"ภาพ"และ"ตัวหนังสือ" แต่ในความเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงทางวิชาการในทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ซึ่งได้รับการขับเคลื่อนโดยพลังการรวมตัวกันของทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยม, ทฤษฎีวัฒนธรรม, ทฤษีวัตถุนิยม และทฤษฎีสตรีนิยม
ทฤษฎีต่างๆเหล่านี้ได้หลอมรวมวัฒนธรรมนิยมรากฐานและวัฒนธรรมโลกเข้าด้วยกัน ซึ่งได้แปรเปลี่ยนปฏิบัติการตามขนบธรรมเนียม"ประวัติศาสตร์ทางตัวอักษร"และ"ประวัติศาสตร์ศิลป์ไป". ในการตื่นขึ้นมาของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ภาพและตัวหนังสือ ไม่ได้ถูกแบ่งแยกออกจากกันแต่อย่างใด พวกมันโยงใยกันและกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
Nick Mirzoeff ได้เปิดตัวทันทีในบทนำวัฒนธรรมทางสายตาอันทรงคุณค่า โดยเขียนว่า "ชีวิตสมัยใหม่ได้เกิดขึ้นมาบนหน้าจอภาพ" แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการที่จะถกเถียงในประเด็นนี้ แน่นอน ในกรณีที่เรามีชีวิตอยู่ในยุคสมัยหนึ่ง ยุคซึ่งข้อมูลบนจอภาพและรายการบันเทิงสามารถพบเห็นได้ทั่วไปทุกหนแห่ง ยุคสมัยที่เกือบจะเป็นเรื่องของเวทมนต์เกี่ยวกับการผลิตซ้ำเชิงกลไกในด้านข้อมูลทางสายตา และทั้งหมดของเครื่องไม้เครื่องมือและภาวจิตหลงผิดที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันไปกับมัน
สิ่งซึ่งข้าพเจ้าต้องการทำก็คือ ใช้ข้อสังเกตการณ์ของเขาในฐานะที่เป็นจุดเปลี่ยนของการเบี่ยงเบนออกไป เพื่อตั้งคำถามถึงความเท่าเทียมหรือดุลยภาพของ"วัฒนธรรมผ่านจอภาพ" กับ "วัฒนธรรมทางสายตา" ขณะที่ความเท่าเทียมกันนั้นยังยั่วยวนใจ และมันเป็นตัวแทนการแบ่งแยกกับแก่นสารความเป็นตัวหนังสือของความเป็นสมัยใหม่อย่างถึงราก
ณ ความเสี่ยงของการลดทอนมากจนเกินไป ข้าพเจ้าต้องการที่จะแนะนำว่า มันมีอยู่สองทางในการทำให้วัฒนธรรมทางสายตาเป็นเรื่องของแนวคิดและการจัดแยกหมวดหมู่. หนทางแรกที่ข้าพเจ้าคิด ออกจะแคบมาก, ส่วนอีกหนทางหนึ่งก็อาจจะกว้างเกินไป
การศึกษาหรือการเข้าถึงวัฒนธรรมทางสายตาแบบแคบโดยการทำให้เป็นแนวคิดขึ้นมาแนวหนึ่ง มีความสัมพันธ์กับเรื่องของเทคโนโลยีของการผลิตซ้ำทางสายตาอย่างเข้มงวด ยกตัวอย่างเช่น ภาพนิ่ง ภาพยนตร์ กล้องถ่ายวิดีโอ โทรทัศน์ รูปแบบต่างๆของภาพในลักษณะที่เป็นดิจิตอล และรูปแบบอื่นๆของสื่ออีเล็คทรอนิค
วัฒนธรรมทางสายตาที่ได้รับการทำให้เป็นแนวคิดขึ้นมาจากจุดยืนหรือทัศนะอันนี้ สอดคล้องต้องกันกับชีวิตบนจอภาพ ในความหมายอย่างที่ Mirzoeff ได้ปลุกเร้า รูปแบบอันนั้นของ"ภาพ"ที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคสมัยใหม่ตอนปลายและยุคหลังสมัยใหม่ เข้าสู่แบบของการเป็นตัวแทนไฮเปอร์, ซิมูเลทด์(simulated - ลอกเลียน), ความจริงเสมือนของการสร้างภาพ ซึ่งบัญชาหรือมาควบคุมความสนใจของเรามากขึ้นๆ และได้แพร่กระจายความรู้อยู่ในวัฒนธรรมสังคม
ถ้าหากว่าเราทำให้เรื่องการมองเห็นในวัฒนธรรมทางสายตาเป็นทฤษฎีขึ้นมาในหนทางนี้
เราก็กำลังถูกน้อมนำไปอย่างไม่ลดละ สู่ข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์แนวหนึ่ง
ซึ่ง Mirzoeff และคนอื่นๆได้กระทำอยู่: นั่นคือ วัฒนธรรมทางสายตานั้นโดยสาระแล้วคือ
ปรากฏการณ์หลังสมัยใหม่ซึ่งเป็นรอยบากหรือเครื่องหมายของการแบ่งแยกเกี่ยวกับ
การปรับตัวแบบเหตุผลและตัวหนังสือของความเป็นสมัยใหม่. จากจุดยืนทัศนะอันนี้
Mirzoeff ได้กล่าวเอาไว้อย่างเหมาะสมว่า "โลกในฐานะตำราเล่มหนึ่ง ได้ถูกแทนที่โดยโลกในฐานะที่เป็นภาพๆหนึ่ง"(
"the world-as-a-text has been replaced by the world-as-a-picture")
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเผื่อว่าวัฒนธรรมทางสายตาได้ถูกนิยามกว้างไปกว่านี้ ข้อถกเถียงที่ว่ามันคือรอยบากหรือเครื่องหมาย
"การแบ่งแยกแตกหักทางประวัติศาสตร์-การเปลี่ยนกระบวนทัศน์" ก็จะกลายเป็นปัญหาเพิ่มมากขึ้น.
ถ้าหากว่าเราไม่ลดทอนเรื่องทาง"สายตา"(visual)ลงมาให้เหลือเพียงแค่"ภาพ"(pictorial)
แต่คิดถึง"สายตา"ให้กว้างไปกว่านี้แทน ซึ่งเข้าไปครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง
นับจากสิ่งภายนอกอย่างสถาปัตยกรรมและการออกแบบภายใน จนถึงการสร้างทิวทัศน์, เครื่องหมายโฆษณา, หน้าร้าน, อนุสาวรีย์, และพื้นที่การสร้างซึ่งรวมถึงถนนหนทาง, บริเวณสาธารณะของเมือง และสี่แยก, กล่าวอย่างสั้นๆ ลำดับการณ์ทั้งหมดเกี่ยวกับวัตถุทางสายตาที่เราประสบในชีวิตประจำวัน หากเป็นเช่นนั้น การจัดแบ่งหมวดหมู่เกี่ยวกับสายตาและวัฒนธรรมทางสายตา ก็จะกลายเป็นเรื่องที่มีความสลับซับซ้อนมาก และยากลำบากที่จะลดทอนสู่ข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการแบ่งแยกและการแปรเปลี่ยนกระบวนทัศน์
ชีวิตสมัยใหม่ในระดับซึ่งมีนัยสำคัญ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะบนจอภาพเท่านั้น แต่มันยังเกิดขึ้นในทิวทัศน์ทางสายตากว้างๆของชีวิตประจำวันด้วย แม้กระทั่งวัตถุซ้ำซากและเครื่องหมายต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น ที่ข้าพเจ้าจะยกขึ้นมานำเสนอ ในเทอมต่างๆของพื้นที่การสร้างที่นำมาวัดกันได้ง่ายๆ กล่าวคือ ชิคาโกมีวัฒนธรรมทางสายตาที่แตกต่างโดยพื้นฐานไปจากโรม (ขณะที่เสนอคำบรรยายนี้ ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ที่โรม)
สิ่งก่อสร้างในลักษณะแนวตั้งของชิคาโก ผิดแผกแตกต่างไปจากการวางโครงร่างที่เป็นแนวนอนของโรมอย่างเด่นชัด ส่วนใหญ่ของชีวิตทางโลกหรือฆราวาส โครงสร้างเหล็กกับกระจกที่สัมพันธ์กันของชิคาโก ซึ่งได้รับการวางโครงด้วยตารางหรือตะแกรงอย่างเข้มงวด ได้สรรค์สร้างพื้นที่ทางวัฒนธรรมขึ้นมาแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับอาคารสิ่งก่อสร้างและถนนหนทางของโรม ซึ่งโรมได้สร้างอัตลักษณ์ของตนขึ้นมา โดยมีความเกี่ยวพันกับยุคสมัยทางประวัติศาสตร์อันซับซ้อนและสไตล์พื้นเมืองต่างๆ
และโรมยังบรรจุความเป็นอนุสาวรีย์เอาไว้ สิ่งเหล่านี้เราจะไม่พบเห็นเลยในชิคาโก ผนวกกับถนนหนทางอันคดเคี้ยวม้วนไปม้วนมาเข้าไว้ด้วยกันของโรม ซึ่งเราจะไม่เห็นความเป็นเนื้อเดียวกันเช่นนั้นของตะแกรงสมัยใหม่ การอธิบายในกรณีต่างๆของความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่การสร้างและประสบการณ์ทางสายตาในวิธีการนี้ แนวคิดของเราทั้งหมดเกี่ยวกับสิ่งประกอบสร้างวัฒนธรรมทางสายตาจะขยายออกไปอย่างถึงที่สุด
จริงๆแล้ว ประเด็นของข้าพเจ้าคือว่า ถ้าเผื่อเราอธิบายวัฒนธรรมทางสายตาอย่างกว้างๆ โดยการนิยาม"สายตา"ในเทอมต่างๆที่ไม่จำกัดลงไปที่รูปลักษณ์ต่างๆของตัวแทนภาพ หากเป็นเช่นนั้น คำถามทั้งหมดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ และการแบ่งแยกประวัติศาสตร์ก็จะสลับซับซ้อนมากขึ้น
แม้ว่าเราจะจำกัดแนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมทางสายตาลงไปที่การเป็นตัวแทนภาพ วัฒนธรรมทางสายตาสำหรับข้าพเจ้าแล้ว ก็ยังดูเหมือนว่ามีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ที่สร้างไอเดียหรือความคิดเกี่ยวกับการแบ่งแยกที่ชัดเจนระหว่าง "สมัยใหม่ในฐานะตัวหนังสือ"(the modern-as-textual) และ "หลังสมัยใหม่ในฐานะภาพ"(the postmodern-as-visual) ซึ่งแนวคิดเช่นนี้ก็ยังมีปัญหาอยู่ดี
การเป็นตัวแทนภาพในโลกตะวันตก เริ่มต้นขึ้นในลักษณะที่แบนๆ มีผิวหน้าอันไร้ชีวิตชีวาของศิลปะอันเนื่องด้วยศาสนาในสมัยกลาง เปลี่ยนแปลงไปสู่ช่วงต้นของยุคฟื้นฟู(early Renaissance) ด้วยการนำเสนอวิธีการเขียนภาพแบบใช้หลักทัศนียวิทยา(perspective), การมีอารมณ์ความรู้สึก, และการเขียนภาพร่างกายคนซึ่งพัฒนาต่อมารายรอบความตราตรึงกับการเขียนภาพที่ประณีตเพิ่มขึ้นของพื้นที่ที่สร้าง ซึ่งนั่นเป็นการแข่งขันประชันกันขึ้นมาเป็นครั้งแรก
ต่อจากนั้นเกือบจะครอบงำการเพ่งความสนใจลงบนเรื่องราวทางศาสนา และถัดมาเริ่มตามมาด้วยขบวนแถวอันไม่ย่อท้อสู่ลัทธิสัจนิยม(realism) และการเขียนภาพเรื่องราวทางโลกเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน(secular depiction of everyday life) อันดับแรก มีอิทธิพลอยู่ในงานจิตรกรรม ถัดมาก็เป็นภาพถ่าย ภาพยนตร์ และต่อมาก็ในรูปของวิดีโอ และดิจิตอลเทคโนโลยี
จากจุดยืนทัศนะอันนี้จึงเป็นเรื่องยากที่จะมองว่า ความตราตรึงใจกับการมองหรือสายตาโดยตัวของมันเองสามารถถูกแยกออกมาอย่างโดดเดี่ยว ในฐานะที่เป็นปรากฏการณ์หลังสมัยใหม่ได้อย่างชัดเจน. อันที่จริง Martin Jay ได้เสนอเหตุผลในข้อถกเถียงที่เป็นไปในเชิงตรงข้ามขึ้น ในงานของเขาเกี่ยวกับ "ระบบขอบเขตของความเป็นสมัยใหม่" ซึ่งได้ให้การยืนยันว่า ยุคสมัยเรอเนสซองค์เป็นเรื่องของ"ศูนย์กลางที่ดวงตา"( ocularcentric) และนั่น "เป็นเรื่องที่ยุ่งยากที่จะปฏิเสธว่า การมองเป็นเรื่องซึ่งมีอิทธิพลในวัฒนธรรมตะวันตกสมัยใหม่"มาโดยตลอด
เท่าที่เป็นมาจวบจนกระทั่งตอนนี้ ในการตั้งคำถามถึงความคิดเกี่ยวกับการแบ่งแยก หรือการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ระหว่างเรื่องของ"ตัวหนังสือ"กับเรื่องของ"ภาพ" ข้าพเจ้าได้นำเสนอข้อถกเถียงในเชิงประวัติศาสตร์ขึ้นมาอันหนึ่ง ข้อถกเถียงดังกล่าวสามารถถูกสร้างขึ้นอย่างเข้มแข็งในเทอมต่างๆของความเป็นทฤษฎีได้
ขณะที่มันอาจมีความเป็นไปได้ ที่จะแยกความแตกต่างระหว่าง"วัตถุทางสายตา"ออกจาก"เรื่องลายลักษณ์อักษร" (ความแตกต่างที่ชัดเจนอันนี้ก็คือ ระหว่าง "หน้าของสิ่งพิมพ์ในหนังสือ" กับ "ภาพเป็นชุดๆหรือภาพฉากบนจอภาพยนตร์") มันค่อนข้างจะยุ่งยากที่จะสร้างความต่างในกรณีเกี่ยวกับกระบวนการรับรู้ ระหว่างประสบการณ์เกี่ยวกับ"ภาพ"กับตัว"หนังสือ" (นั่นคือ, ระหว่าง"การมอง"และ"การอ่าน" - seeing and reading)
Ella Shohat และ Robert Stam ได้นำเสนอประเด็นนี้ในความเรียงของเขาทั้งสอง โดยการหยิบยกเอาเรื่องของศูนย์กลางที่หลากหลาย(polycentric) เข้ามาศึกษาถึง"การบรรยายเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรมทางสายตา" ในงานชิ้นดังกล่าวพวกเขาบอกว่า - "การมอง" ไม่เคยเป็นเรื่อง"บริสุทธิ์", มันมักจะถูกเจือปนโดยผลงานของประสาทสัมผัสอื่นๆเสมอ การสัมผัสจับต้องกับข้อมูลตัวหนังสือและการสื่อสารอื่นๆ . ซึ่งตอนนี้มันไม่ใช่คำถามแล้ว"
พวกเขานำเสนอต่อว่า "เกี่ยวกับการแทนที่ความมืดบอดของจุดเปลี่ยนทางภาษา กับ ความมืดบอดใหม่ๆของจุดเปลี่ยนของภาพ". เพื่อที่จะทำให้เป็นรูปธรรม ความเสี่ยงของการมองเกี่ยวกับการสร้างความเป็นใหญ่ของสัมผัสอันสูงส่ง . การมอง" พวกเขาให้เหตุผลในท้ายที่สุดว่า, "คือภาษา เทียบกันกับภาษาในตัวของมันเองก็มีมิติของการมองอยู่ด้วย"
นักวิจารณ์วรรณกรรมชาวอเมริกัน W.J.T. Mitchell ผู้มีชื่อเสียง สำหรับงานของเขาเกี่ยวกับเรื่องภาพ, รูปภาพ, และการมอง, ได้นำเสนอประเด็นที่มีลักษณะเดียวกันนี้ เมื่อเขายืนยันถึง"การถักทอเข้ากันอย่างแนบแน่นของการเป็นตัวแทนคำบรรยายกับภาพต่างๆ" ในสิ่งที่เขาเรียกว่า "การทับซ้อนกันของประสบการณ์การมองและการอ่าน(visual and verbal experience)"
Mitchell ยืนยันว่า "ไม่มีสื่อทางสายตาและสื่อตัวอักษรที่บริสุทธิ์ นั่นคือ มันไม่มีภาพที่ปราศจากข้อความ และไม่มีข้อความที่ปราศจากภาพ". Mitchell ได้นำเอาวิธีการรื้อสร้างแบบคลาสสิคมาศึกษาเรื่องของคู่ตรงข้าม ระหว่าง"ภาพ"และ"ตัวหนังสือ"(image and text) หรือ"การมอง"กับ"เรื่องของวาทกรรม"(visual and discursive) อันนี้เป็นการยืนยันว่า "ภาพ"หรือ"ตัวหนังสือ"ไม่สามารถที่จะถูกอธิบายในฐานะที่เป็นแก่นแท้ที่บริสุทธิ์ได้ ซึ่งยืนหยัดอย่างอิสระจากกันและกัน
ดังที่ข้าพเจ้าได้หมายเหตุเอาไว้ตั้งแต่ต้น ศัพท์คำว่า "ภาพทางสายตา"และ"ตัวหนังสือ"(visual and textual) สืบทอดความหมายของพวกมันมาจากโครงสร้างทางภาษาศาสตร์เกี่ยวกับความแตกต่าง ที่ไม่ได้โยกย้ายสู่ชีวิตประจำวันได้ดีนัก ที่ซึ่ง"วัตถุทางสายตาได้ถูกอ่าน" และ"ตัวหนังสือต่างๆได้ถูกเห็น"ในกระบวนการรับรู้และตีความนั้น มันเป็นเรื่องทำนองเดียวกันนั่นเอง
วิธีการศึกษาในลักษณะรื้อสร้างของ Mitchell เกี่ยวกับการมองได้ขีดเส้นใต้หรือเน้นถึงบทบาทของทฤษฎีทางวรรณกรรมในการพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่าง วัตถุทางสายตา, วิธีการมอง, และการศึกษาวัฒนธรรม, เข้าด้วยกัน. เราสามารถที่จะสังเกตเรื่องนี้ได้ด้วยในความเรียงเรื่อง"Studying Visual Culture" ของ Irit Rogoff
Rogoff ได้ดึงเอาแนวคิดเกี่ยวกับความต่าง และไอเดียเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างข้อความ-ตัวหนังสือ(intertextuality) และการอ่านมาจากทฤษฎีทางวรรณกรรม เพื่อถกเถียงกับความคิดที่ว่า "วัตถุทางสายตา"และ"การทำให้เป็นเรื่องของการมองในตัวของมันเอง" สามารถถูกแยกขาดจากความเป็นข้อความ และกระบวนการอ่านได้
การดึงเอาภาษาศาสตร์แบบ
Saussurian และทฤษฎีแบบ Derridean มาใช้ เธอยืนยันว่า "วัฒนธรรมทางสายตา
ได้ไปโอบกอดอะไรต่างๆมากมาย เกินกว่าเรื่องการศึกษาภาพแต่เพียงลำพังเท่านั้น"
นั่นเป็นการเปิดเข้าไปสู่โลกทั้งใบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างข้อความ ซึ่งภาพต่างๆ
ได้ถูกอ่าน
และโดยอิงอาศัยอีกสิ่งหนึ่ง" อันนี้ได้เผยให้เห็น"การแสดงบทบาทอย่างอิสระของ
signifier"(ตัวแทน)
(หมายเหตุ: ในที่อื่น signifier = word หรือ image ในที่นี้แปลว่า"ตัวแทน".
ส่วน signified = concept หรือ "มโนคติ" หรือ"ความหมาย")
ถ้าหากความคิดที่ว่า เราได้เปลี่ยนจากระบวนทัศน์สมัยใหม่ซึ่งหยั่งรากอยู่ใน"วัฒนธรรมตัวหนังสือ" ไปสู่กระบวนทัศน์หลังสมัยใหม่ซึ่งหยั่งรากอยู่ใน"วัฒนธรรมภาพ" ความคิดดังกล่าวอันนี้ดูออกจะไม่เหมาะสมหรือเข้ากันได้กับมุมมองทางประวัติศาสตร์และทางทฤษฎีที่ได้กล่าวมาข้างต้น แล้วอะไรเล่าที่จะเสนอแนะถึงความสัมพันธ์ระหว่าง"ภาพ"และ"ตัวหนังสือ"ในวันเวลาของพวกเรา ?
เรายังระลึกถึงคำในหนังสือของ Frank Gillette ได้ไหม เกี่ยวกับศิลปะวิดีโอ(video art) คือคำว่า "ระหว่างกระบวนทัศน์"(between paradigms) ซึ่งในที่นี้ข้าพเจ้าใคร่จะเสริมว่า การวิเคราะห์แบบนั้น ซึ่ง ข้าพเจ้าร่างมา ณ ที่นี้คือ พวกเราได้เข้ามาใกล้กับการรื้อสร้างความแตกต่างระหว่างเรื่องของ"ภาพ"และ"ตัวหนังสือ"ไปพร้อมๆกันมากพอสมควร
ดูเหมือนว่าสำหรับข้าพเจ้าแล้ว ภารกิจข้างหน้า ไม่ควรจะใช้เวลามากจนเกินไปเพื่อแยกแยะความต่างเรื่องของ"ภาพ"ไปจากเรื่องของ"ตัวหนังสือ" และให้สิทธิพิเศษเรื่องหนึ่งเรื่องใดมากกว่าอีกเรื่องหนึ่ง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากว่า มันได้น้อมนำไปสู่การประกอบสร้างการศึกษาวัฒนธรรมทางสายตา ในฐานะที่เป็นเรื่องราวซึ่งขยายและปรับปรุงเกี่ยวกับการศึกษาสื่อ[media studies])
พวกเราทั้งหลายน่าจะดำเนินรอยตามนักวิจารณ์อย่าง Rogoff และ Mitchell ที่ได้ดึงเอา"ทฤษฎีทางวรรณกรรม"และ"ทฤษฎีทางภาพสายตา"มาใช้ เพื่อทำการสำรวจถึงความสัมพันธ์กันที่สลับซับซ้อนระหว่าง"ภาพ"และ"ตัวหนังสือ" เช่นดังที่พวกเขาได้ทำงานร่วมกัน ในการกำหนดรูปร่างเกี่ยวกับประสบการณ์ทางวัฒนธรรมของเรา
ในพัฒนาการเกี่ยวกับข้อถกเถียงอันนี้ ข้าพเจ้าไม่ต้องการจะปฏิเสธความคิดที่ว่า ข้อผูกพันของเราเกี่ยวกับการเป็นตัวแทนทางสายตา มิได้เชื่อมโยงกับช่วงขณะประวัติศาสตร์ที่สำคัญในวัฒนธรรมตะวันตกไปเสียทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าใคร่จะให้เหตุผลว่า สิ่งที่ Mirzoeff และคนอื่นๆกำลังจ้องมอง เมื่อพวกเขายืนยันหรือตั้งสมมุติฐานการแบ่งแยกประวัติศาสตร์ระหว่าง"ภาพ"และ"ตัวอักษร"นั้น เกี่ยวข้องกันน้อยมากกับการทำความเข้าใจของเรากับสื่อกลางทั้งสองนี้ในตัวมันเอง แต่ไปเกี่ยวข้องด้วยมากกับสิ่งที่ Michel Foucault เรียกว่า"การแตกหักทางด้านญานวิทยา"(epistemological break)
นับตั้งแต่ช่วงแรก ข้าพเจ้าได้ให้เหตุผลว่า เรื่องของวัฒนธรรมทางสายตา โดยการให้นิยามความหมายที่คับแคบเกี่ยวกับการมอง ซึ่งมีพื้นฐานอยู่ในการผลิตซ้ำเชิงกลไก, อีเล็คทรอนิค, และดิจิตอลบนจอภาพ, ซึ่งสามารถเชื่อมต่อวัฒนธรรมทางสายตากับความเป็นหลังสมัยใหม่โดยเฉพาะ สำหรับเหตุผลข้างต้น โดยส่วนตัวแล้วข้าพเจ้าไม่ได้คิดถึงการเกิดขึ้นมาของภาพถ่าย, ภาพยนตร์, และโทรทัศน์, ซึ่งเป็นรอยบากหรือเครื่องหมายของการเริ่มต้นขึ้นมาของรูปแบบใหม่อันหนึ่งของวัฒนธรรมทางสายตา
ข้าพเจ้าคิดว่า พวกมันเป็นรอยบากหรือเครื่องหมายแห่งการสิ้นสุดลงของรูปแบบเก่าอันหนึ่งของวัฒนธรรมทางสายตาต่างหาก ซึ่งมีพื้นฐานส่วนใหญ่อยู่บนการเป็นตัวแทนหรือมายาการแบบกระจกเงาที่สะท้อนความจริง ซึ่งภาพต่างๆเหล่านี้ได้สรรค์สร้างขึ้นมา
Mirzoeff และคนอื่นๆ แน่นอน ต่างถูกต้องในการอธิบายว่า ด้วยการพัฒนาของเทคนิคการตัดต่อภาพยนตร์ อย่างเช่น วิธีการคอลลาจ์(collage - การปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน) และการตัดบางช็อตทิ้งไปในช่วงทศวรรษที่ 1920s และ 1930s เราก็ได้เริ่มต้นที่จะมุ่งไปอย่างไม่ลดละสู่ความเข้าใจที่ชัดแจ้งว่า มาถึงตอนนี้เราต่างเข้าใจกันว่า ความจริงของภาพถ่าย, วิดีโอ, และภาพดิจิตอล, ได้เสกสรรค์ปั้นแต่งความจริงขึ้นมาอย่างสูง(highly constructed fabrications of the real.)[ความจริงเทียม]
เราได้สร้างธรรมชาติของภาพยนตร์ร่วมสมัยขึ้นมาอย่างมีสำนึก เราได้สร้างภาพวิดีโอและภาพดิจิตอล ซึ่งได้เรียกร้องความสนใจไปสู่ความเป็นศูนย์กลางของการลอกเลียน(simulation) และการจำลองในวัฒนธรรมทางสายตาของเราเองอย่างต่อเนื่อง การยืนยันหรือขีดเส้นใต้ว่า ณ ปัจจุบันเรามาไกลแค่ไหนแล้วจากอดีตความเชื่อที่มีมาเกี่ยวกับคุณสมบัติของการเป็นตัวแทนของภาพ แต่อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าไม่คิดว่าเราควรที่จะมองการเปลี่ยนแปลงนี้ว่าเป็นการเริ่มต้นขึ้นของวัฒนธรรมทางสายตา ตรงข้าม มันควรที่จะถูกมองในฐานะที่เป็นช่วงขณะที่สำคัญอันหนึ่ง ในประวัติศาสตร์อันยาวนานและสลับซับซ้อนของวัฒนธรรมทางสายตาในโลกตะวันตก
ถ้าหากว่า Mirzoeff เป็นฝ่ายถูกต้องที่ว่า เราสามารถที่จะทำรอยบากการแบ่งแยกทางประวัติศาสตร์ในการเกิดขึ้นมาของวัฒนธรรมทางสายตาของคริสตศตวรรษที่ 20 ตัวข้าพเจ้าเองก็ใคร่ที่จะยืนยันว่า การแบ่งแยกนั้นมิใช่ระหว่าง"ภาพ"และ"ตัวหนังสือ"ในตัวมันเอง แต่เป็นการแบ่งแยกระหว่าง "สมมุติฐานอันไร้เดียงสาที่เข้าใจว่า ตัวแทนภาพนั้นแทนความจริง" (สิ่งที่ Rogoff เรียกว่า "มายาการของความโปร่งใส"[the illusion of transparency] กับ "การยอมรับที่ว่าการเป็นตัวแทนต่างๆของภาพ(คล้ายๆกับรูปแบบการเป็นตัวแทนอื่นๆ) ที่มักจะเป็นตัวสร้างความจริงขึ้นมาเสมอๆ"
นับตั้งแต่ความเรียง ที่เป็นหมุดหมายสังเกตของ Benjamin เกี่ยวกับงานศิลปะในยุคของการผลิตซ้ำเชิงกลไก พวกเราต่างรับรู้กันมากขึ้นเกี่ยวกับบทบาทของการผลิตซ้ำ และการลอกเลียนที่มีบทบาทในฐานะที่เป็นปัจจัยสำคัญของการประกอบสร้าง ในการก่อตัวของสิ่งที่ดูเหมือน"ความจริง"(reality)ในวัฒนธรรมทางสายตา
เราไม่สามารถคิดในเทอมต่างๆทางทฤษฎีเกี่ยวกับการมอง โดยปราศจากการเชื่อมโยงการสืบสวนของเราสู่การเปลี่ยนแปลงทางญานวิทยาอย่างถึงที่สุด บนเส้นทางของคริสตศตวรรษที่ 20 ที่ได้แปรเปลี่ยนความคิดของเราเกี่ยวกับการเป็นตัวแทนไป พวกเราอยู่ในยุคสมัยหนึ่งซึ่งปลุกให้นักปรัชญาอเมริกันอย่าง Richard Rorty ขึ้นมา, ณ ปัจจุบัน ปรัชญา ภาษา และภาพต่างๆทางสายตา ไม่ได้ถูกคิดว่าเป็นธรรมชาติคล้ายกระจกเงา(mirroring nature)อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นการสร้างความจริง(constructing reality)ต่างๆขึ้นมา
วัฒนธรรมทางสายตาร่วมสมัยได้รับการครอบงำโดยความสำนึกอันนี้ตลอดเวลา อันที่จริง มันไปผูกมัดกับบันทึกหลักฐานต่างๆในทุกๆการผันแปร ในความหมายนี้วัฒนธรรมทางสายตาร่วมสมัย ได้มีส่วนร่วมอยู่ในการแปรเปลี่ยนศูนย์กลางญานวิทยาของคริสตศตวรรษที่ 20 นั่นคือ การผันเปลี่ยนในความคิดของเราเกี่ยวกับข้ออ้างทางปรัชญาและวรรณกรรม กับ การเป็นตัวแทนภาพ ซึ่งห่างไกลจากความคิดที่ว่าพวกมันสามารถผลิต"ภาพ"ที่โปร่งใสของความจริงขึ้นมาได้ สู่การโฟกัสลงบนบทบาทของพวกมันในการประกอบสร้างความจริงต่างๆขึ้นมาแทน
หนึ่งในสิ่งต่างๆซึ่งเชื่อมโยง"ทฤษฎีวรรณกรรม"และ"การศึกษาวัฒนธรรมทางสายตา"เข้าด้วยกัน คือขอบเขตอันนั้นที่พวกมันได้ถูกให้ข้อมูล โดยการเคลื่อนคล้อยไปจาก"ทฤษฎีพื้นฐาน"หรือ"ทฤษฎีแก่นสารของความหมาย" สู่ "ทฤษฎีหลังพื้นฐาน", "ทฤษฎีหลังแก่นสารของความหมาย"(post-foundational, post-essentialist theories of meaning)
การวิพากษ์ความหมาย ในปรัชญานับจาก Derrida ถึง Rorty, ซึ่งได้แปรเปลี่ยนการศึกษาวรรณกรรมในโลกตะวันตกไป มาถึงตอนนี้ได้ดำเนินไปสู่การศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลป์และการศึกษาเรื่องสื่อ. ด้วยการแต่งงานกันของการวิพากษ์ทางปรัชญาอันนี้ กับ ทฤษฎีต่างๆและวิธีการทั้งหลายของการศึกษาวัฒนธรรม ซึ่งเดิมทีนำเสนออยู่ในสกุลความคิดเบอร์มิงแฮม(Birmingham School) ปัจจุบันเราได้เห็นและเป็นพยานการพัฒนาเกี่ยวกับสาขาวิชาที่ผสมผสานกันอย่างมหัศจรรย์ดังกล่าว ซึ่งเราทั้งหลายตอนนี้เรียกมันว่า การศึกษาวัฒนธรรมทางสายตา
ในเทอมของสาขาวิชา(discipline) และสถาบัน(institution) มันมีความคล้ายคลึงกันเป็นพิเศษ ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของ"ประวัติศาสตร์ศิลป์"ไปสู่"การศึกษาวัฒนธรรมทางสายตา"(transformation of art history into visual culture studies) กับ การเปลี่ยนแปลงของ"การศึกษาวรรณกรรม"ไปสู่"การศึกษาวัฒนธรรม"(transformation of literary studies into cultural studies.)
การเข้าแทนที่สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์โดยการศึกษาวัฒนธรรมทางสายตา เป็นการเปิดตัวอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับขอบเขตความรู้ที่ไปพ้นจากการศึกษาด้วยความระมัดระวังเกี่ยวกับ"สายตาที่ดี"(good eye)ในงานจิตรกรรมมาตรฐานและจิตรกรของศิลปะตะวันตก ซึ่งอันนี้คู่ขนานไปกับการเปิดตัวของขอบเขตความรู้การศึกษาวรรณกรรมโดยผ่านการเข้ามาแทนที่รูปแบบนิยม(formalist)อย่างเป็นระบบ, การอ่านอย่างใกล้ชิด(close reading)ในงานมาตรฐานหรืองานซึ่งเป็นที่ยอมรับ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมการศึกษาเรื่องดังกล่าว
ในขณะที่ความสนใจของเราในการศึกษาวรรณกรรม ที่มีต่องานเขียนจินตนาการมาตรฐานได้ขยายตัวกว้างออกไปคลุมถึงภาพยนตร์, โทรทัศน์, และวิดีโอ, การศึกษาเกี่ยวกับศิลปะที่นิยามอย่างแคบๆในฐานะจิตรกรรมและประติมากรรมในประวัติศาสตร์ศิลป์ ก็ได้หลีกทางให้กับการหล่อหลอมแนวความคิดขึ้นมาใหม่เกี่ยวกับสายตา(visual) ซึ่งได้เข้าครอบคลุมสื่อกลางต่างๆอย่างเดียวกันนี้ด้วย
ทั้งสองสนามความรู้นี้ ผลหรืออิทธิพลอันเพิ่มทวีของทฤษฎีรื้อสร้าง, สตรีนิยม, มาร์กซิสท์, และวัฒนธรรมได้แปรเปลี่ยนพื้นฐานความสนใจไปจากวัตถุทางสุนทรีย์มาตรฐานและสถาบันเดิม ซึ่งได้นิยามและสนับสนุนมันในการศึกษาเกี่ยวกับรูปทรงต่างๆของการเป็นตัวแทน ซึ่งสร้างขึ้นมาภายนอกการตำหนิติเตียนอย่างคับแคบของทฤษฎีสุนทรียศาสตร์ตะวันตกแบบจารีต
การศึกษาวรรณกรรมได้เบี่ยงเบนไปจากการเกาะติดอย่างคับแคบกับตัวหนังสือ ในฐานะที่เป็นวัตถุทางสุนทรีย์แบบคัมภีร์อันไม่อาจล่วงละเมิดได้ สู่การเพ่งความสนใจทั่วๆไปมากขึ้น ต่องานเขียนที่ตัดข้ามการแบ่งแยกระหว่างวัฒนธรรมชั้นสูงกับวัฒนธรรมป๊อปปูล่าร์(มวลชน), มีการซักไซ้ถึงการแบ่งหมวดหมู่เรื่องเชื้อชาติและเพศสภาพซึ่งพัฒนามาก่อนหน้า และได้กันเอาประชาชนทั้งหมดออกไปจากความผูกพันกับสิ่งที่วัฒนธรรมชั้นสูงเรียกว่า"วรรณคดี" และครอบคลุมรูปแบบต่างๆของการเป็นตัวแทนป๊อปปูล่าร์และการเล่าเรื่อง อย่างเช่น ภาพยนตร์, โทรทัศน์, วิดีโอ และไฮเปอร์มีเดียภายในกรอบโลกาภิวัตน์และมีลักษณะข้ามชาติมากขึ้น
การเปลี่ยนไปในทำนองเดียวกันได้เกิดขึ้นในการศึกษาเกี่ยวกับภาพทางสายตาด้วยเช่นกัน สำหรับภายใต้หัวเรื่องการศึกษาวัฒนธรรมทางสายตา เราต่างรู้เห็นและเป็นพยานการวิจารณ์ในอย่างเดียวกันเกี่ยวกับผลงานศิลปะในฐานะที่เป็นวัตถุทางสุนทรีย์มาตรฐานอันไม่อาจล่วงละเมิดได้ การวิจารณ์ซึ่งมีผลหรืออิทธิพลต่อการศึกษาในลักษณะปิดตัวของงานจิตรกรรมและประติมากรรม สู่การศึกษาที่เปิดกว้างทั่วไปมากขึ้นเกี่ยวกับการเป็นตัวแทนทางสายตา(visual representation) ซึ่งรวมเอารูปแบบที่จำกัดตายตัวตามขนบประเพณีนั้นสู่ขอบเขตความรู้ของการศึกษาเรื่องสื่อ(media studies) และถูกผลิตขึ้นในพื้นที่ และโดยผู้คนที่ขุดเซาะทำลายความต่างทางขนบประเพณีระหว่าง"วัฒนธรรมชั้นสูง"กับ"วัฒนธรรมมวลชน"
การเปลี่ยนแปลงสาขาวิชาและสถาบันเหล่านี้ มีนัยะในเชิงความหมายไม่มากนักในการมองการศึกษาวัฒนธรรมทางสายตา ในฐานะที่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่แยกออกและต่างจากการศึกษาเกี่ยวกับความเป็นตัวหนังสือ(textuality)และการสร้างวาทกรรมความหมาย ข้าพเจ้าต้องการสรุปโดยการกล่าวซ้ำถึงความสำคัญของประวัติศาสตร์วัฒนธรรมทางสายตาร่วมสมัย ไปสู่ประวัติศาสตร์อันยาวนานและสลับซับซ้อนกว่าของวัฒนธรรมทางสายตา ที่ได้รับการนิยามในเทอมต่างๆซึ่งออกจะคับแคบและมีพื้นฐานอยู่ในการเป็นตัวแทนภาพ ด้วยเทอมต่างๆที่กว้างออกไปมากขึ้น ซึ่งข้าพเจ้าได้วาดเค้าโครงมาก่อนหน้านี้แล้ว
อันที่จริง ดูเหมือนว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น ความเป็นไปได้อย่างมากเกี่ยวกับการศึกษาวัฒนธรรมทางสายตาได้ให้อะไรที่ออกจะดูทื่อๆ ทึ่มๆ ไม่ได้แหลมคมอะไร ถ้าหากว่าเราจะนิยามความวัฒนธรรมทางสายตาให้มันมีลักษณะเฉพาะมากจนเกินไปในเทอมต่างๆของหลังสมัยใหม่ และในความสัมพันธ์กับการผลิตซ้ำเชิงกลไก, การผลิตซ้ำทางด้านเทคโนโลยี, และภาพดิจิตอลต่างๆ
ข้าพเจ้าคิดว่า การศึกษาวัฒนธรรมทางสายตาสามารถจะเป็นประโยชน์ เนื่องมาจากขอบเขตที่กว้างขวางของมัน โดยรวมการวิเคราะห์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่การสร้างและพื้นที่ออกแบบ กับ ประสบการณ์วัฒนธรรมทางสายตา การทำงานซึ่งเคลื่อนไปพ้นจากการศึกษาที่ชวนให้เราหลงใหล(และหลอกลวง)เกี่ยวกับการลอกเลียนทางสายตา(visual simulation) ไปสู่การคิดถึงว่า พื้นที่ว่างและพื้นที่ทางสายตาเชื่อมโยงกับ"ประสบการณ์ที่นอกเหนือไปจากภาพ"(off screen experience - ประสบการณ์นอกจอ) ที่ได้ก่อรูปก่อร่างทั้งความจริงและอัตลักษณ์ของเราทั้งหลายขึ้นมา
อันนี้เรียกร้องเราโฟกัสหรือเพ่งความสนใจการศึกษาวัฒนธรรมทางสายตามากไปกว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ในกรณีที่ทำให้เราหลงใหลอยู่กับวัฒนธรรมภาพ(screen culture - วัฒนธรรมจอภาพ). ในใจของข้าพเจ้านั้น ผลงานที่มีต่อประสบการณ์ทางสายตาของเราโดยเฉพาะเกี่ยวกับพื้นที่การสร้าง การสำรวจเกี่ยวกับรูปลักษณ์ต่างๆของสไตล์ทางวัฒนธรรม ได้รับมาจากการใช้สายตามองไปที่สิ่งก่อสร้างต่างๆ, พื้นที่สาธารณะ, และงานโฆษณา, และผลกระทบของพวกมันที่มีต่อการประกอบสร้างอัตลักษณ์ส่วนตัว และความรู้สึกของเราเกี่ยวกับการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
ถ้าเผื่อว่า สิ่งที่พวกเราพบเห็น
เราจ้องมองสิ่งต่างๆเหล่านั้นอย่างไร จะช่วยให้นิยามได้ว่าวัฒนธรรมคืออะไร
และมันก่อรูปก่อร่างอัตลักษณ์ส่วนตัวและสังคมได้อย่างไร หากเป็นเช่นนั้นแล้วละก็
ดูเหมือนว่าสำหรับข้าพเจ้า พวกเราควรจะขยายกรอบของสิ่งที่เรานิยามในฐานะที่เป็นวัฒนธรรมทางสายตาให้กว้างออกไป
- เพื่อว่ามันจะได้รวมถึงสิ่งที่พ้นไปจากจอภาพ(off screen)ที่เรายึดติด เช่นเดียวกับสิ่งที่เราเห็นบนจอภาพ(onscreen)
เข้าไว้ด้วยกัน
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา
3
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
e-mail
: midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 530 เรื่อง หนากว่า 6500 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา
120 บาท(รวมค่าส่ง)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่
midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง
จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
ในเทอมของสาขาวิชา(discipline) และสถาบัน(institution) มันมีความคล้ายคลึงกันเป็นพิเศษ ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของ"ประวัติศาสตร์ศิลป์"ไปสู่"การศึกษาวัฒนธรรมทางสายตา"(transformation of art history into visual culture studies) กับ การเปลี่ยนแปลงของ"การศึกษาวรรณกรรม"ไปสู่"การศึกษาวัฒนธรรม"(transformation of literary studies into cultural studies.)
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 530 เรื่อง หนากว่า 6500 หน้า ในรูปของ CD-ROM ในราคา 120 บาท(รวมค่าส่ง)
สนใจสั่งซื้อได้ที่
midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
ส่งธนาณัติถึง
สมเกียรติ ตั้งนโม : ไปรษณีย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 50202
กรุณาส่งธนาณัติแลกเงินไปยัง
สมเกียรติ ตั้งนโม : คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถนนสุเทพ อำเภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่ 50202
อย่าลืมเขียนชื่อ ที่อยู่ ของผู้รับตัวบรรจงด้วยครับ เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการจัดส่งทางไปรษณีย์
การเข้าแทนที่สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์โดยการศึกษาวัฒนธรรมทางสายตา เป็นการเปิดตัวอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับขอบเขตความรู้ที่ไปพ้นจากการศึกษาด้วยความระมัดระวัง เกี่ยวกับ"สายตาที่ดี"(good eye)ในงานจิตรกรรมมาตรฐาน ซึ่งอันนี้คู่ขนานไปกับการเปิดตัวของขอบเขตความรู้การศึกษาวรรณกรรม โดยผ่านการเข้ามาแทนที่รูปแบบนิยม(formalist)อย่างเป็นระบบ, การอ่านอย่างใกล้ชิด(close reading)ในงานมาตรฐานหรืองานซึ่งเป็นที่ยอมรับ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมการศึกษาเรื่องดังกล่าว ในขณะที่ความสนใจของเราในการศึกษาวรรณกรรม ที่มีต่องานเขียนจินตนาการมาตรฐานได้ขยายตัวกว้างออกไปคลุมถึงภาพยนตร์, โทรทัศน์, และวิดีโอ,