บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ 512 หัวเรื่อง
ปรัชญากฎหมายอำนาจนิยม
สมชาย
ปรีชาศิลปกุล
นิติศาสตร์ ภาควิชารัฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
The Midnight 's article
Website
ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
คลิกไปหน้า homepage มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
อำนาจนิยมกับกฎหมาย
ปรัชญากฎหมายอำนาจนิยมแบบไทยๆ
(ตอนที่ ๑-๒)
สมชาย ปรีชาศิลปกุล
สาขานิติศาสตร์ ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้ได้ตีพิมพ์แล้วในนิตยสาร
a day weekly
นำมาปรับปรุงเพื่อเผยแพร่บนเว็ปไซต์ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๔๘
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 8 หน้ากระดาษ A4)
๑. ปรัชญากฎหมายอำนาจนิยมแบบไทยๆ
"เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 27 กรกฎาคม 2547 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก
นายสุวิทย์ พรพาณิชย์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญาพร้อมองค์คณะอ่านคำสั่งคดี
นางยุพดี กิตติธนบดี น้องสาวนายเพ้งหรือองอาจ แซ่แต้หรือกิตติธนบดี อายุ
53 ปี ผู้ต้องขังคดียาเสพติดตั้งแต่ปี 2520 ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยตัวนายเพ้ง
เนื่องจากถูกคุมขังตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขัดต่อหลักนิติธรรมและประเพณีการปกครอง
ให้ยกคำร้อง
คำร้องบรรยายสรุปว่าระหว่างวันที่ 10-16 มิถุนายน 2521 นายเพ้งถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในข้อหาร่วมกันมีเฮโรอีนหนัก 92 กิโลกรัมเศษ มอร์ฟีนหนัก 58 กิโลกรัม และฝิ่นสุกหนัก 81 กิโลกรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามส่งออกไปนอกราชอาณาจักร
ต่อมานายเพ้งถูกคณะรัฐมนตรีโดยรัฐบาลพล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ นายกรัฐมนตรีและสภานโยบายแห่งชาติ (ขณะนั้น) มีคำสั่งให้จำคุกตลอดชีวิต โดยมิผ่านกระบวนการยุติธรรมหรือใช้อำนาจศาลพิจารณาพิพากษา โดยใช้อำนาจตามมาตรา 27 แห่งธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2520 ลงนามเป็นคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ศาลพิเคราะห์เห็นว่า คำสั่งนายกรัฐมนตรีเป็นคำสั่งตามความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และสภานโยบายแห่งชาติที่อาศัยอำนาจธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2520 มาตรา 27 และภายหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2521 มาตรา 169 บัญญัติให้ศาลพิพากษาอรรถคดีแล้ว แต่ไม่เคยมีการตรากฎหมายเพื่อยกเลิกอำนาจการออกคำสั่งดังกล่าว จึงเป็นผลที่ชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนี้ก็ไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ให้อำนาจศาลรื้อฟื้นการใช้ดุลพินิจการออกคำสั่งของนายกรัฐมนตรีและสภานโยบายแห่งชาติ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าคำสั่งชอบด้วยกฎหมาย ศาลไม่จำเป็นต้องยกประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 ขึ้นมาพิจารณาอีก ให้ยกคำร้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังรับฟังคำสั่งแล้ว นางยุพดี บุตรชาย บุตรสาวนายเพ้ง รวมทั้งญาติพี่น้องถึงกับร่ำไห้" (มติชนรายวัน 28 กรกฎาคม 2547 หน้า 13)
คำพิพากษาในคดีของ น.ช.เพ้ง นับเป็นภาพสะท้อนที่แจ่มชัดอันหนึ่ง ของปรัชญากฎหมายอำนาจนิยมแบบไทยๆ ที่ยังมีอิทธิพลอยู่อย่างมากในกระบวนการยุติธรรมของไทย
ข้อโต้แย้งหลักของผู้ต้องขังในคดีนี้ก็คือ การใช้อำนาจสั่งการของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น แม้จะเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา 27 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2520 แต่ก็เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อหลักนิติธรรม เพราะเป็นการลงโทษบุคคลโดยไม่ได้มีการพิจารณาตามครรลองของกระบวนการยุติธรรม
ข้อพิพาทถึงการใช้อำนาจในการบัญญัติและสั่งลงโทษบุคคลต่างๆ อันเป็นเหตุการณ์ที่มักเกิดขึ้นภายหลังการยึดอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นการร่างธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรขึ้นใช้บังคับเพียงบุคคลไม่กี่คน โดยมิได้มีกระบวนที่เปิดกว้างต่อสาธารณะ เช่น ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502, 2515, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2519, ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2520 เป็นต้น
หรือการใช้อำนาจออกคำสั่งริดลอนสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนอย่างรุนแรง เช่น ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 21 (2 พฤศจิกายน 2501) ให้อำนาจพนักงานสอบสวนในการควบคุมตัวบุคคลที่เห็นว่าประพฤติตนเป็นอันธพาลได้ไม่เกิน 30 วัน โดยไม่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กล่าวคือในการควบคุมตัวผู้ต้องหาไม่จำเป็นต้องตั้งข้อกล่าวหา สืบสวนสอบสวน, ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 43 (10 มกราคม 2502) ให้อำนาจพนักงานส่งตัวบุคคลที่ประพฤติตัวเป็นอันธพาลไปควบคุมยังสถานอบรมและฝึกอาชีพ โดยมิได้กำหนดระยะเวลาควบคุมไว้แน่นอน ฯลฯ
คำสั่งหรือกฎเกณฑ์ที่ออกโดยผู้ทำการยึดอำนาจไม่ว่าภายใต้ชื่อของคณะปฏิวัติ,
คณะรัฐประหาร หรือคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน อันเป็นผลมาจากการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในทางการเมืองเช่นนี้
ควรถูกยอมรับว่ามีสถานะเป็นกฎหมายหรือไม่
คำถามนี้มีความสำคัญเนื่องจาก เป็นการค้นหาถึงหลักการในการยอมรับความเป็นกฎหมายของกฎเกณฑ์ที่ไม่ได้ผ่านองค์กรนิติบัญญัติ
และกระบวนการบัญญัติกฎหมายตามปกติที่ต้องมีผู้แทนของประชาชน ร่วมในการพิจารณาแสดงความคิดเห็น
ตัดสินใจ ก่อนลงมติว่าจะบัญญัติเป็นกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งขึ้น
กฎเกณฑ์จากคณะผู้ยึดอำนาจโดยกำลัง นอกจากไม่ได้อาศัยกระบวนการและองค์กรนิติบัญญัติแล้ว ยังเป็นเพียงความต้องการของคณะผู้ทำการยึดอำนาจเท่านั้น จึงเป็นการใช้อำนาจที่ไม่ได้มีฐานความชอบธรรมจากตัวแทนของประชาชนรองรับ ฐานในการสร้างกฎเกณฑ์มาจากการใช้อำนาจในทางการเมืองเท่านั้น
ผลกระทบที่รุนแรงประการหนึ่งคือกฎเกณฑ์จากผู้ยึดอำนาจ มักมีเนื้อหาและกระบวนการที่ขัดกับหลักการสำคัญของระบบกฎหมายสมัยใหม่ (Modern Law)
การออกคำสั่งลงโทษนายเพ้งโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 27 ของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2520 เป็นรูปธรรมของการใช้อำนาจที่ขัดกับหลักการของระบบกฎหมายสมัยใหม่ ซึ่งให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์ และหากจะมีการลงโทษก็ต้องภายหลังจากถูกพิจารณาและไต่สวนอย่างเป็นธรรมโดยองค์กรตุลาการ คำสั่งตามมาตรา 27 นี้ทำลายทั้งหลักการและกระบวนการของกฎหมายอาญาลงอย่างสิ้นเชิง
ได้เคยปรากฏข้อโต้แย้งถึงสถานะความเป็นกฎหมายของคำสั่งจากคณะบุคคลที่ทำการยึดอำนาจเกิดขึ้น ประเด็นที่เป็นข้อพิพาทกันก็คือว่าการใช้อำนาจของคณะปฏิวัติ, รัฐประหารที่ได้ทำสำเร็จมีสถานะความชอบด้วยกฎหมายเพียงใด
คำพิพากษาฎีกาที่ 45/2496 "ใน พ.ศ. 2490 คณะรัฐประหารได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศไทยได้เป็นผลสำเร็จ การบริหารประเทศชาติในลักษณะเช่นนี้คณะรัฐประหารย่อมมีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลง แก้ไข ยกเลิก และออกกฎหมายตามระบบแห่งการปฏิวัติเพื่อบริหารประเทศชาติต่อไปได้ มิฉะนั้นประเทศชาติจะตั้งอยู่ด้วยความสงบไม่ได้ ดังนั้นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490 จึงเป็นกฎหมายอันสมบูรณ์"
คำพิพากษาฎีกาที่ 1662/2505 "เมื่อใน พ.ศ. 2501 คณะปฏิวัติได้ทำการยึดอำนาจการปกครองไทยได้เป็นผลสำเร็จ หัวหน้าคณะปฏิวัติย่อมเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบ้านเมือง ข้อความใดที่หัวหน้าคณะปฏิวัติสั่งบังคับประชาชน ก็ต้องถือว่าเป็นกฎหมาย แม้พระมหากษัตริย์จะมิได้ทรงตราออกด้วยคำแนะนำ หรือยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร หรือสภานิติบัญญัติของประเทศก็ตาม"
แนวคำพิพากษาที่เกิดขึ้นได้ให้การยอมรับว่า
คำสั่งของผู้ที่ยึดอำนาจได้เป็นผลสำเร็จมีสถานะเป็นกฎหมายที่สามารถใช้บังคับได้
จึงเท่ากับเป็นการวางหลักการในการยอมรับว่า อำนาจคือธรรม (Might is Right)
ไม่ใช่ธรรมคืออำนาจ แนวคิดเช่นนี้ไม่ได้ให้ความสนใจต่อการจะพิจารณาลงไปถึงเนื้อหาของคำสั่งว่า
มีความชอบธรรมหรือเหตุผลใดประกอบอยู่หรือไม่
(น่าคิดต่อว่าใช่หรือไม่หากจะกล่าวว่า
แนวความคิดแบบอำนาจนิยมที่ได้รับการยอมรับในกระบวนการยุติธรรม เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในอดีต
นอกจากปัจจัยทางการเมืองอื่นที่ได้รับการวิเคราะห์อย่างกว้างขวางอยู่แล้ว)
คำสั่งที่แม้มีเนื้อหาละเมิดต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนรุนแรงเพียงใด ก็ยังคงมีสถานะเป็นกฎหมายในสายตาของสถาบันตุลาการของไทย
มักเป็นที่เข้าใจและเชื่อกันว่า กระบวนการยุติธรรมของไทยเป็นองค์กรและกระบวนที่จะช่วยคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้เกิดขึ้น ในฐานะของสถาบันที่ทำหน้าที่วินิจฉัยข้อพิพาทต่างๆ อย่างเป็นธรรม จนทำให้ลืมไปว่าการตัดสินข้อขัดแย้งนั้น ตัวสถาบันตุลาการก็ต้องอยู่ภายใต้อุดมการณ์ความเชื่อต่างๆ เช่นเดียวกัน ดังที่ได้หยิบยกมาแสดงให้เห็นถึงการยอมรับต่อลักษณะของอำนาจนิยมที่เกิดขึ้น และยังคงสืบทอดมาจนกระทั่งในคดีของ น.ช. เพ้ง
ตราบเท่าที่ยังไม่สลัดหลุดไปจากปรัชญากฎหมายอำนาจนิยม ตราบนั้นกระบวนการยุติธรรมของไทยก็ยังคงต้องเผชิญกับคำถามว่า จะเป็นองค์กรที่ช่วยผดุงความเป็นธรรมในสังคมตามที่มักกล่าวอ้างและเชื่อสืบต่อกันมาได้จริงหรือ?
หมายเหตุ : มาตรา
27 ของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2520
ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีเห็นเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ระงับหรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักร
ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน หรือการกระทำอันเป็นการก่อกวนหรือคุกคามความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
หรือการกระทำอันเป็นการทำลายทรัพยากรของประเทศ หรือเป็นการบั่นทอนสุขภาพอนามัยของประชาชน
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังวันใช้ธรรมนูญการปกครองนี้และไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร
ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีและของสภานโยบายแห่งชาติ มีอำนาจสั่งการหรือกระทำการใดๆ
ได้ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำของนายกรัฐมนตรี รวมทั้งการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งหรือการกระทำหรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการหรือกระทำการใดไปตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีแจ้งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบ
๒. ปรัชญากฎหมายอำนาจนิยมแบบไทยๆ
แนวความคิดทางกฎหมายแบบอำนาจนิยมของไทยมีที่มาจากไหน?
สามารถกล่าวได้ว่าปรัชญากฎหมายอำนาจนิยมแบบไทยๆ เริ่มปรากฏให้เห็นพร้อมกับการปฏิรูประบบกฎหมายของไทยในสมัยรัชกาลที่
5 การปรับเปลี่ยนระบบกฎหมายที่เกิดขึ้น เป็นการนำเข้าความคิดของตะวันตกครั้งสำคัญ
อันมีผลต่อการสร้างระบบกฎหมาย ซึ่งรวมถึงระบบการศึกษากฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นหนึ่งในท่ามกลางบุคคลหลายคนที่มีบทบาทอย่างมากต่อการวางรากฐานของระบบกฎหมายสมัยใหม่ขึ้นในสยาม ภายหลังจากที่พระองค์สำเร็จการศึกษาด้านกฎหมายจากประเทศอังกฤษ เมื่อกลับมายังสยามในขณะนั้น ก็ได้ริเริ่มให้มีการปฏิรูประบบงานศาลและการก่อตั้งโรงเรียนกฎหมาย เพื่อจัดการเรียนการสอนทางด้านกฎหมายตามแบบสมัยใหม่ขึ้น
ในฐานะผู้ก่อตั้งโรงเรียนกฎหมายและในฐานะผู้สอน พระองค์ได้จัดพิมพ์หนังสือ คำอธิบายว่าด้วยกฎหมาย ร.ศ. 118 โดยให้คำอธิบายว่า
"กฎหมายนั้นคือ คำสั่งทั้งหลายของผู้ปกครองว่าการแผ่นดินต่อราษฎรทั้งหลาย เมื่อไม่ทำตามแล้วตามธรรมดาต้องโทษ
เราจะต้องระวังอย่าคิดเอากฎหมายไปปะปนกับความดีความชั่วฤาความยุติธรรม กฎหมายเป็นคำสั่งแบบที่เราจะต้องประพฤติตาม แต่กฎหมายนั้นบางทีก็จะชั่วได้ฤาไม่เป็นยุติธรรมได้ ความคิดว่าอะไรดี อะไรชั่ว ฤาอะไรเป็นยุติธรรม อะไรไม่เป็นยุติธรรม มีบ่อจะเกิดขึ้นหลายแห่ง เช่น ตามศาสนาต่างๆ แต่กฎหมายนั้นเกิดขึ้นได้แห่งเดียวคือจากผู้ปกครองแผ่นดิน ฤาที่ผู้ปกครองแผ่นดินอนุญาตเท่านั้น"
ยิ่งเมื่อพิจารณาประกอบกับการที่พระองค์เจ้ารพีฯ ได้รับการยกย่องในหมู่นักกฎหมายของไทยให้มีสถานะเป็น "พระบิดาแห่งกฎหมายไทย" มาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน ก็ยิ่งเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความเคารพนับถือที่มีต่อพระองค์อย่างสูงล้น ซึ่งรวมไปถึงคำสอนที่ได้รับการสืบทอดต่อมาในภายหลัง
แต่แนวความคิดนี้มิใช่เป็นสิ่งที่ถูกผลิตขึ้นโดยพระองค์เอง หากเป็นสิ่งที่ถูกหยิบยืมมาจากความรู้ที่ถูกสร้าง และแพร่หลายในตะวันตกก่อนเข้ามาสู่สังคมไทย โดยที่พระองค์เจ้ารพีฯ ได้ไปศึกษากฎหมายที่ประเทศอังกฤษที่วิทยาลัยไครส์เชิช ในมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด เมื่อ พ.ศ. 2436
ในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นยุคสมัยที่แนวความคิดทางปรัชญากฎหมายแบบสำนักบ้านเมือง (Legal Positivism) ของจอห์น ออสติน (John Austin) กำลังมีอิทธิพลอย่างมากในระบบการศึกษากฎหมายของอังกฤษ จึงย่อมหลีกไม่พ้นที่จะได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดที่กำลังเฟื่องฟูอยู่ในประเทศอังกฤษขณะนั้น
จอห์น ออสติน ได้ให้คำอธิบายถึงความหมายของกฎหมายว่ามีลักษณะที่สำคัญ 2 ประการ คือ
ประการแรก กฎหมายเป็นคำสั่งของผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง บังคับกับผู้ที่อยู่ใต้อำนาจบังคับบัญชา
ประการที่สอง การพิจารณาถึงความสมบูรณ์ของกฎหมายกับหลักศีลธรรม เป็นเรื่องที่แยกต่างหากจากกัน
(the existence of law is one thing, it merit or demerit is another)
จากคำอธิบายที่มีต่อกฎหมายดังที่กล่าวมา ทำให้แนวความคิดของออสตินถูกเรียกว่าเป็น Command Theory หรือทฤษฏีอำนาจบังคับ น้ำเสียงของการให้ความหมายต่อกฎหมายจึงเป็นการให้ความสำคัญกับผู้มีอำนาจในทางการเมือง ในการออกกฎเกณฑ์ต่างๆ มาบังคับใช้กับประชาชนที่อยู่ใต้อำนาจ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปพิจารณาถึงเนื้อหาของกฎหมายว่าจะมีลักษณะอย่างไร เพราะการดำรงอยู่ของกฎหมายเป็นเรื่องหนึ่ง ขณะที่ความชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรมของกฎหมายก็เป็นอีกเรื่องแยกต่างหาก
กล่าวให้ถึงที่สุดก็คือ เนื้อหาของกฎหมายจะดีหรือเลวร้ายอย่างไร ก็ไม่กระทบถึงความสมบูรณ์ของกฎหมาย กฎหมายอย่างไรก็ยังคงเป็นกฎหมาย
เพราะฉะนั้น หากเปรียบเทียบระหว่างคำสอนของพระองค์เจ้ารพีฯ และออสติน (ซึ่งควรมีสถานะเป็น "พระอาจารย์ของบิดาแห่งกฎหมายไทย") ก็อาจกล่าวได้ว่า เนื้อหาสาระก็อยู่ในกรอบความคิดทฤษฎีอำนาจบังคับซึ่งออสตินเป็นผู้เผยแพร่ความคิดดังกล่าว
แม้ความคิดของบุคคลทั้งสองจะเป็นสิ่งที่สืบทอดต่อกันมาจนทำให้ดูราวกับว่าเป็นแนวความคิดที่ไม่แตกต่างกัน แต่เมื่อพิจารณาถึงบริบทแวดล้อมของสังคมอังกฤษและสยามในห้วงเวลานั้น ก็จะพบว่า แนวความคิดที่ได้สั่งสอนและเผยแพร่มีผลติดตามมาซึ่งแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
สำหรับออสติน คำอธิบายเรื่องกฎหมายคือคำสั่งของรัฐ ถือกำเนิดขึ้นในช่วงที่ระบบรัฐสภาได้มีการพัฒนาพร้อมกับระบบตัวแทน การยืนยันถึงอำนาจสูงสุดของรัฐในการบัญญัติกฎหมาย จึงเป็นการสนับสนุนระบบรัฐสภา ที่มีตัวแทนของประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองให้มีอำนาจสูงสุด
ขณะที่ในสังคมสยาม การอธิบายว่ากฎหมาย คือคำสั่งของผู้ปกครองแผ่นดินของพระองค์เจ้ารพีฯ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กำลังก่อตัวขึ้น คำอธิบายในลักษณะนี้จึงเป็นการเพิ่มอำนาจความชอบธรรมแก่กษัตริย์ ซึ่งเป็นผู้นำของระบบในการออกกฎหมายหรือบัญญัติกฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นใช้บังคับ
ผลที่ติดตามมาต่อระบบการเมือง จากความคิดชุดเดียวกัน(ที่บริบทคนละอย่าง)จึงให้ความหมายในความเป็นจริงไปในทิศทางที่แตกต่างกัน
แต่นอนว่าไม่ใช่เพียงความคิดของพระองค์เจ้ารพีฯ อย่างเดียวที่ทำให้ปรัชญากฎหมายอำนาจนิยมงอกงามขึ้นในระบบกฎหมายของไทย ยังมีปัจจัยอื่นอีกหลายประการประกอบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า คำสอนของพระองค์เจ้ารพีฯ มีส่วนอย่างสำคัญต่อการวางรากฐานความคิดนี้เอาไว้
ผลที่สำคัญก็คือ ความคิดนี้ได้เปลี่ยนให้กฎหมายกลายมาเป็นเครื่องมือของรัฐ ในการบรรลุสู่เป้าหมายตามที่รัฐหรือผู้ปกครองต้องการ อันต่างไปจากความคิดทางกฎหมายแบบดั้งเดิมของไทย ที่กฎหมายต้องมีความสอดคล้องกับหลักศีลธรรม และการใช้กฎหมายก็ต้องเป็นไปเพื่อให้เกิดความยุติธรรม
การลดทอนกฎหมายให้มีสถานะเป็นเพียงเครื่องมือ จึงทำให้กฎหมายสามารถจะมีลักษณะเช่นใดก็ได้ ขอให้เป็นเพียงสิ่งที่ถูกบัญญัติขึ้นโดยรัฐหรือผู้มีอำนาจในทางการเมืองเป็นสำคัญ นับเป็นแนวทางการพิจารณากฎหมายที่สืบทอดมาจนกระทั่งปัจจุบัน ดังกรณีของ น.ช. เพ้ง ที่ถูกคำสั่งนายกรัฐมนตรีให้จำคุกโดยแม้จะไม่มีการไต่สวนใดๆ จากกระบวนการยุติธรรม ก็สามารถมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ โดยไม่เกิดความตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อยในกระบวนการยุติธรรม
กฎหมายแม้มีเนื้อหาขัดต่อหลักนิติธรรม หรือละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอย่างรุนแรง อย่างไร ก็ยังคงมีสถานะเป็นกฎหมายในระบบกฎหมายของไทยไม่เปลี่ยนแปลง
สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา
3
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
e-mail
: midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 500 เรื่อง หนากว่า 6000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา
120 บาท(รวมค่าส่ง)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่
midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง
จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
จอห์น ออสติน ได้ให้คำอธิบายถึงความหมายของกฎหมายว่ามีลักษณะที่สำคัญ
2 ประการ คือ ประการแรก กฎหมายเป็นคำสั่งของผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง
บังคับกับผู้ที่อยู่ใต้อำนาจบังคับบัญชา. ประการที่สอง การพิจารณาถึงความสมบูรณ์ของกฎหมายกับหลักศีลธรรม
เป็นเรื่องที่แยกต่างหากจากกัน (the existence of law is one thing, it merit
or demerit is another) (คัดมาจากบทความ)
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 500 เรื่อง หนากว่า 6000 หน้า ในรูปของ CD-ROM ในราคา 120 บาท(รวมค่าส่ง)
สนใจสั่งซื้อได้ที่
midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
ส่งธนาณัติถึง
สมเกียรติ ตั้งนโม : ไปรษณีย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 50202
กรุณาส่งตั๋วแลกเงินไปยัง
สมเกียรติ ตั้งนโม : คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถนนสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
50202
อย่าลืมเขียนชื่อ ที่อยู่ ของผู้รับตัวบรรจงด้วยครับ
เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการจัดส่งทางไปรษณีย์
นายเพ้งถูกคณะรัฐมนตรีโดยรัฐบาลพล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ นายกรัฐมนตรีและสภานโยบายแห่งชาติ (ขณะนั้น) มีคำสั่งให้จำคุกตลอดชีวิต โดยมิผ่านกระบวนการยุติธรรมหรือใช้อำนาจศาลพิจารณาพิพากษา โดยใช้อำนาจตามมาตรา 27 แห่งธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2520... ศาลพิเคราะห์เห็นว่า คำสั่งนายกรัฐมนตรีเป็นคำสั่งตามความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และสภานโยบายแห่งชาติที่อาศัยอำนาจธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2520 มาตรา 27 และภายหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2521 มาตรา 169 บัญญัติให้ศาลพิพากษาอรรถคดีแล้ว แต่ไม่เคยมีการตรากฎหมายเพื่อยกเลิกอำนาจการออกคำสั่งดังกล่าว จึงเป็นผลที่ชอบด้วยกฎหมาย (???)