บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ 495 หัวเรื่อง
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุธรรม
ดร. ธงชัย วินิจจะกูล
มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน
สหรัฐอเมริกา
The Midnight 's article
Website
ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545(at)yahoo.com
คลิกไปหน้า homepage มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับ
สุธรรมผ่านเหตุการณ์
6 ตุลาคม มาได้อย่างไร?
ดร. ธงชัย
วินิจจะกูล
มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา
หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้นำมาจากกระดานข่าวของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
และความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสุธรรมที่ต่อเนื่องอยู่บนกระดานข่าวหัวข้อเดียวกัน
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
7 หน้ากระดาษ A4)
สุธรรมผ่านเหตุการณ์
6 ตุลาคม มาได้อย่างไร?
ตอบ เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยเสี่ยงคุกตะราง เอาความปลอดภัยของตนเองเข้าแลก เพื่อเผยแพร่ความจริงที่เกิดขึ้นในธรรมศาสตร์ให้สาธารณชนทั้งในและนอกประเทศไทยได้รับรู้ และเสนอทัศนะต่อปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยที่ต่างไปจากรัฐบาล จนกระทั่งการสังหารโหดเมื่อ 6 ตุลาเป็นเรื่องน่าอับอายที่ปิดบังไม่ได้อีกต่อไป กลายเป็นแรงกดดันที่รัฐบาลต้องปล่อยตัวสุธรรมและเพื่อนในที่สุด
หนึ่งในผู้เอาชีวิตตนเข้าแลกเพื่อเผยแพร่ข้อมูลและความคิดที่ต่างจากรัฐบาลในกรณี 6 ตุลาคือ อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ถ้าอาจารย์ไม่ต้องตรากตรำอย่างหนัก อันมีส่วนช่วยให้สุธรรม "ผ่าน" 6 ตุลามาได้ ท่านอาจมีชีวิต 20 ปีสุดท้ายต่างออกไปก็เป็นได้
รัฐบาลในขณะนั้นถือว่าการเผยแพร่ข้อมูลที่รัฐไม่ปรารถนา และทัศนะที่ต่างออกไปเป็นภัยต่อสังคม บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ จึงมีผู้ถูกจับกุมลงโทษจำนวนมากเพียงเพราะเผยแพร่ข้อมูล 6 ตุลาที่ต่างออกไปและคิดต่างจากรัฐบาล ในขณะเดียวกันประชาชนจำนวนไม่น้อยหลงเชื่อรัฐบาลอย่างหน้ามืดตามัว เพราะความหลงคลั่งชาติ เห็นความขัดแย้งทางอุดมการณ์ในสังคมเป็นการคุกคามของต่างชาติ เห็นผู้คิดต่างเป็นศัตรูของชาติ
รัฐบาลทำทุกวิถีทางเพื่อควบคุมข่าวสารและบงการความคิดคนในประเทศ แถมต้องต่อสู้กับข้อมูลทัศนะที่เผยแพร่ในต่างประเทศ ถึงขนาดส่ง รมต.มหาดไทย เดินสายชี้แจงความจริงแบบรัฐบาลไทยไปทั่วโลก
สิ่งที่คนในประเทศรู้คือความไม่รู้ เพราะถูกปิดหูปิดตาโดยรัฐ ซึ่งเข้าควบคุมข่าวสารทันทีหลังการปราบปราม สิ่งที่คนทั้งโลกรับรู้กลับเป็นความจริงทั้ง ๆ ที่อยู่ห่างไกลลิบลับ ความคิดที่ว่าอยู่ใกล้ย่อมรู้ดีกว่า เป็นแค่การหลงตัวเองแบบหนึ่ง และมักผิดอย่างจังในกรณีคอขาดบาดตาย
คนที่ผ่านเหตุการณ์ 6 ตุลาและพฤษภามหาโหดมาแล้ว ไม่ควรยอมรับการปิดบังข้อมูลข่าวสารและทัศนะที่แตกต่าง ไม่ควรใช้ข้ออ้างความมั่นคงของชาติมาปิดหูปิดตาประชาชน เพราะนั่นคือเงื่อนไขสำคัญที่นำไปสู่การทำลายชีวิตในนามของความรักชาติ
วิกฤติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเขต 3 จังหวัดใต้สุด รวมทั้งกรณีกรือแซะและตากใบ อาจต่างกับ 6 ตุลาในหลาย ๆ ด้าน แต่กลับมีแง่มุมที่อาจช่วยเป็นกระจกสำหรับปัจจุบันได้หลายเรื่อง ที่สำคัญก็คือ ความไม่รู้มิได้เกิดจากการปิดบังข้อมูลข่าวสารเท่านั้น หากเกิดจาก "ความหลงอย่างใหญ่" ของรัฐและของสาธารณชนเองด้วยในทั้ง 2 กรณี ความหลงอย่างใหญ่ที่ว่าคือ "ลัทธิชาตินิยมไทย" หรือ"ความรักชาติแบบขาดสติ"
(อาจมีผู้แย้งว่า คือความคลั่งชาติต่างหาก มิใช่ชาตินิยม ผู้เขียนเห็นว่าทั้งสองคือความหลงประเภทเดียวกัน คือหลงในชุมชนจินตนาการ ที่ถูกยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตนของเรา ชาตินิยมจึงอาจพลิกเป็นอุบาทวกรรมได้ในฉับพลัน คนที่ส่งเสริมชาตินิยมแต่ต่อต้านความคลั่งชาติจึงกำลังเล่นกับไฟ)
จริงอยู่ว่า วิกฤติที่เกิดขึ้นคราวนี้มีปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งจากกลุ่มที่ต้องการรัฐปัตตานีอิสระ และอีกส่วนจากองค์กรก่อการร้ายสากล แต่คนไทยมุสลิมเชื้อสายมลายูโดยทั่วไปเลิกคิดถึงรัฐปัตตานีอิสระไปนานแล้ว ปัญหาพื้นฐานที่ดำรงอยู่ตลอดมาหลายชั่วอายุคน คือ รัฐและสังคมไทยพยายามบังคับให้เขาเป็นไทยตามมาตรฐานที่ขีดเส้นนิยามไว้อย่างคับแคบ หรือมิฉะนั้นก็เป็นได้แค่ "แขก" ของสังคมไทย ภายใต้การปกครองอย่างเข้มงวดหวาดระแวงของอำนาจรัฐส่วนกลาง ไม่ยอมให้เขาเป็นคนไทยมุสลิมเชื้อสายมลายูที่มีเกียรติศักดิ์ศรีเท่าเทียมคนไทยเชื้อสายอื่นศาสนาอื่น โดยรักษาอัตลักษณ์และแบบวิถีชีวิตของตนไว้มั่นคง
ความคับแคบแบบนี้เองที่ก่อความเดือดร้อนแก่คนไทยเชื้อสายอื่น ไทยที่ไม่ใช่พุทธ และไทยที่ไม่ยอมรับอุดมการณ์ไทยมาตรฐาน ความไม่พอใจรัฐมาจากการถูกเบียดเบียนข่มเหง แต่รัฐและสังคมไทยไม่ยอมรับว่ามีผู้เดือดร้อนถูกความเป็นไทยมาตรฐานเบียดเบียนข่มเหง กลับถือว่าการต่อสู้ของผู้เดือดร้อนคือความไม่รักชาติ เป็นการทำลายชาติ รัฐบาลและสื่อมวลชนข้างมากช่วยกันโหมกระพือทัศนะที่เห็นความขัดแย้งทางสังคมเป็นเรื่องการคุกคามของผู้ก่อการร้าย และศัตรูภายนอก
ความขัดแย้งที่ฝังรากลึกในประวัติศาสตร์ เป็นเชื้อมูลที่พร้อมจะปะทุขึ้นมาได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะโดยผู้ก่อการรุนแรงไม่กี่คน หรือโดยนโยบาย มาตรการ โครงการ คำพูดที่ผิดพลาดของรัฐบาลเอง ทว่าปัจจัยนี้ถูกมองข้ามไปง่าย ๆ ด้วยลัทธิชาตินิยมไทยที่อหังการถือเอาไทยเป็นใหญ่
ลัทธิชาตินิยมไทยมีทัศนะต่อดินแดนแห่งชาติแบบง่ายๆ ตื้นๆ คือยึดถือความเป็นรัฐเดี่ยวอย่างแข็งทื่อตายตัว ระบบเทศาภิบาลสมัยรัชกาลที่ 5 อาจถูกหาว่าเป็นการแยกดินแดน หากมองในทัศนะของชาตินิยมไทยสมัยนี้
ปัญหาพื้นฐานเป็นความขัดแย้งทางสังคมและการเมือง ไม่ใช่การคุกคามทำลายชาติ แต่การจัดการความขัดแย้งกลับเน้นการหาผู้อยู่เบื้องหลัง กำจัดผู้อยู่เบื้องหลัง ดังนั้น นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้วยังเป็นการสุมฟืนเข้ากองไฟ ยิ่งจัดการความขัดแย้งทางสังคมการเมือง ราวกับเป็นเรื่องศัตรูชาติที่พยายามทำลายบูรณภาพของชาติ จะยิ่งผลักไสผู้คนไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐ
ผู้ชุมนุมเรียกร้องอย่างเปิดเผยหลายพันคน จึงถูกจัดการราวกับไม่ใช่คน ไม่ว่าจะด้วยเห็นเขาทั้งหมดเป็นศัตรู หรือด้วยต้องการกวาดจับตัวการจำนวนไม่กี่คนในที่นั้นก็ตาม
เหตุผลที่รัฐบาลแถลงต่อสาธารณะชนกลับเหมาะสมดีกับสาธารณชนที่หน้ามืด หลงไปกับความรักชาติแบบขาดสติ พวกเขาพอใจกับการใช้กำลังอาวุธกับผู้ชุมนุม เชื่อฟังข้ออ้างง่ายๆ ตื้นๆ ของรัฐบาล ซึ่งใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกครั้งที่ลงมือปราบปราม และยังไม่ปรากฏสักครั้งเดียวว่าเป็นความจริง ไม่ว่า 14 ตุลา 6 ตุลา พฤษภา หรือกรณีอื่นๆ
คนที่รักชาติจนหน้ามืดเห็นผู้ชุมนุมเป็นผู้ก่อการร้าย และการชุมนุมเป็นแผนการก่อการร้าย จึงเห็นชีวิตศัตรูเป็นแค่ตัวเลขเพื่อความสะใจ ไม่ยอมรับฟังว่าชีวิตเหล่านั้นมีส่วนเกี่ยวโยงกับผู้ก่อการร้ายจริงหรือไม่ ศีลธรรมลดเหลือศูนย์จนลืมคิดว่า หากแม้เพียงหนึ่งชีวิตปราศจากความผิด การปราบปรามนั้นย่อมถือว่าเป็นฆาตกรรม
ความรักชาติแบบหน้ามืดทำให้ลืมไปว่า "ผู้ก่อการร้าย" แปลว่า รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วย ส.ส. วุฒิสมาชิก และพวกใหญ่โตคับฟ้าอีกหลายคน
ความรักชาติแบบขาดสติ ทำให้เห็นคำท้วงติงทั้งหลายเป็นการเข้าข้างศัตรู ผู้ท้วงติงถูกหาว่าไม่ใช่คนไทย
ความรักชาติแบบงมงาย ปิดทางเลือกทางการเมืองที่พยายามแสวงหาวิธีการปกครองท้องถิ่นที่เหมาะสม เพียงเพราะตกอยู่ใต้ความกลัวขึ้นสมองว่าประเทศจะล่มสลาย
ความรักชาติแบบหน้ามืด เหมารวมความรุนแรงและฆาตกรรมทุกรายเข้าด้วยกัน แล้วเรียกว่า "การฆ่ารายวัน" เพราะเห็นว่าทุกอย่างมีเหตุมาจากผู้ก่อการร้าย แทนที่จะจัดการกับฆาตกรรมอย่างเด็ดขาดตามกฎหมาย และจัดการกับความขัดแย้งทางสังคมการเมืองด้วยการเมือง กลับกระพือโหมให้จัดการทุกอย่างด้วยมาตรการทางทหาร
พฤติกรรมของผู้รักชาติจนขาดสติ
กำลังผลักไสคนไทยมุสลิมเชื้อสายมลายู เข้าสู้มุมอับ เพราะเขาไม่สนับสนุนพวกที่รุนแรง
แต่สังคมไทยกลับทำราวกับเขาเป็นตัวปัญหาเป็นศัตรูของชาติ สิ่งที่ตอกย้ำความแตกแยกบ่อยที่สุดคือ
ปากของนายกรัฐมนตรี และความหลงตัวเองของท่าน นี่คือเหตุปัจจัยของความแตกแยกที่ไร้สาระที่สุด
ไม่ใช่ VCD ตากใบ
เคยคิดไหมว่า นกสันติภาพนับล้านๆตัวนั้น ควรนำไปปล่อยในที่อื่นใดบ้าง ให้แก่ใครบ้าง นอกเหนือจากชาวไทยเชื้อสายมลายู?
ตอบ กรุงเทพฯ และทุกๆแห่งที่มีการปลุกระดมความรักชาติแบบโง่ๆ อาทิเช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์ กองบัญชาการกองกำลังทุกประเภท และทำเนียบรัฐบาลด้วย
ถ้าหากผู้เผยแพร่
VCD ตากใบมีความผิดฐานก่อให้เกิดความแตกแยก วานสุธรรมช่วยจัดการสถานีวิทยุ
โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เวบบอร์ดสำคัญๆ จำนวนมากที่ปลุกระดมความรักชาติแบบท่วมท้นด้วยความเกลียดและความกลัว
ช่วยตักเตือนคนในทำเนียบรัฐบาล และช่วยปิดปากท่านนายกรัฐมนตรีด้วย
จักเป็นพระคุณยิ่ง
สุธรรมและสังคมไทย
ผ่านเหตุการณ์ 6 ตุลา มาแล้วจริงหรือ?
14 ตุลา เกิดขึ้นเมื่อ 31 ปีก่อน 6 ตุลา 28 ปีก่อน พฤษภา 12 ปีก่อน
สุธรรมรอดมาจนเป็นรัฐมนตรีได้และสังคมไทยล่วงเลยมาหลายปีแล้ว แต่ดูเหมือนว่า สังคมไทยไม่เคย "ผ่านพ้น" 6 ตุลาจริงๆ เลย สังคมไทยยังหัวปักหัวปำกับความเป็นไทยแบบหยาบ ตื้น และโหดร้าย เบียดเบียนชนกลุ่มน้อยนานาประเภท เกลียดกลัวความแตกต่าง แบบเกลียดกลัวศัตรู จึงพร้อมจะใช้กำลังกำจัด "พวกมัน" ซะ
ลัทธิชาตินิยมยังคงเปลี่ยนคนไทยที่ปกติน่ารักให้กลายเป็นยักษ์กระหายเลือดได้ชั่วข้ามคืน แต่หลงหลอกตัวเองจนลืมส่องกระจกดูหน้ายักษ์มารของตนเอง
แม้ว่าเราต่อสู้จนเผด็จการอำนาจนิยมจบลงไป เข้าสู่ยุคใหม่ทางการเมืองที่เงินมีอำนาจมากกว่าปืนและเงินคือความรู้ แต่สังคมไทยยังคงไม่ยอมเรียนรู้วิธีการจัดการความขัดแย้งทางสังคมที่ท้าทายความเป็นไทยอย่างจัง นี่คือประเด็นสำคัญที่สุดข้อหนึ่งที่สังคมไทยควรที่จะเรียนรู้จาก 6 ตุลา แต่ไม่เคยเรียน
งานรำลึก 14 ตุลา 6 ตุลาจัดกันทุกปีจนเป็นเทศกาลเพื่อนพ้องน้องพี่ หรือเป็นพิธีกรรมของอดีตฝ่ายซ้ายที่ชอบฝันถึงอดีตเพื่อเอาอดีตมาชุบชูใจปัจจุบัน จนมีคนหมั่นไส้อยากให้เลิกจัดและ พลอยปฏิเสธคุณค่าของการรำลึกไปเสียทั้งหมด ส่วนสังคมไทยเอาแต่หลีกเลี่ยงอดีต ต้องการฝังอดีตให้เลือนหายไปอย่างเงียบๆ ไม่ขบคิดว่าเราผิดพลาดอะไรไป จึงทำให้ความขัดแย้งทางสังคมการเมืองกลายเป็นโศกนาฏกรรมขนาดนั้น ทั้งหมดนี้ไม่ก่อให้เกิดการเผชิญหน้ากับอดีตเพื่อสั่งสมวุฒิภาวะทางสังคมว่าจะจัดการกับความแตกต่างที่ท้าทายความเป็นไทยแบบคับแคบอย่างไร
ในเมื่อไม่เคยคิดจะเติบโตขึ้นจากอดีต จึงไม่เคยมีการคิดว่าจะต้องปรับปรุงรัฐ กลไกรัฐ สื่อมวลชน หรือสร้างช่องทางด้วยกฎหมายหรือสถาบันอย่างไรบ้างที่จะอำนวยให้การจัดการความขัดแย้งไม่นำไปสู่ความรุนแรงภายใต้ความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แบบหน้ามืดไร้สติอย่างที่เคยเกิดขึ้น
สังคมไทยจึงไม่เคย "ผ่านพ้น" 6 ตุลา จริงๆเลย จึงเวียนว่ายอยู่กับการใช้อาวุธต่อผู้ชุมนุมขัดแย้งกับอำนาจ ทำให้พวกเขาเป็นศัตรู ทำให้คนอื่นตกอยู่ในความกลัวและความเกลียด ตามด้วยการปิดบังข้อมูลข่าวสาร ข่มขู่จับกุมลงโทษผู้ที่เอาตัวเองเข้าเสี่ยงเพื่อเผยแพร่ข้อมูลทัศนะที่ต่างจากรัฐ
จากนั้นก็ประนีประนอมกล้อมแกล้มอยู่กันต่อไป
จนกว่าการฆ่าครั้งใหม่จะเกิดขึ้น
เสียดายชีวิตที่สังเวยความผิดพลาดซ้ำซากอย่างน่าขยะแขยงที่สุด
เพราะไม่มีใครสักคนที่ผ่าน "พ้น" เหตุการณ์ 6 ตุลา ออกไปสักที
- ไม่มี
ครั้งหนึ่ง สังคมไทยต้อนรับ
"ผมผ่าน 6 ตุลามาได้อย่างไร?" เพราะเป็นนิมิตหมายว่า สังคมไทยผ่านวิกฤตสำคัญไปอีกครั้ง
แต่ก้าวเล็กๆ ก้าวแรกของหนังสือเล่มนั้น มิได้เขียนโดยสุธรรม แสงประทุม
แต่เขียนโดยผู้คนที่เอาตัวเองเข้าเสี่ยง เพื่อเผยแพร่ข้อมูลต่อสู้กับการใช้อำนาจอย่างผิด
ๆ ใช้ความรุนแรงจัดการความขัดแย้งทางสังคมและความรักชาติแบบขาดสติ เขียนโดยอาจารย์ป๋วยและคนอื่น
ๆ อีกร้อยพันที่ไม่เคยปรากฏชื่อ เพื่อให้สุธรรมมีโอกาสรอดมาเขียนเองเป็นเล่ม
พวกเขาเอาชีวิตเข้าเสี่ยง เพราะการเผยแพร่ข้อมูลทัศนะที่ต่างออกไป ในกรณีนี้มิใช่แค่เรื่องสิทธิในการรับรู้ข่าวสารเท่านั้น แต่เป็นการเสี่ยงเพื่อให้สังคมไทยมีชีวิตที่งดงามกว่า น่าอยู่ขึ้นในอนาคต และหวังว่าจะไม่โหดร้ายอย่างยุคที่เขาเผชิญ
หากวันหนึ่งในอนาคตมีผู้เขียน "ผมผ่านเหตุการณ์ตากใบมาได้อย่างไร?" คงเป็นวันที่เรามีความสุขได้อีกครั้ง แต่ก้าวเล็ก ๆ ก้าวแรกของหนังสือเล่มนี้ เริ่มต้นวันนี้ ด้วยผู้คนที่ยอมเอาตัวเข้าเสี่ยงเพื่อเผยแพร่ข้อมูลและทัศนะที่ต่างจากรัฐบาล ด้วยหวังว่าในอนาคตจะไม่ผิดพลาดอย่างเดิม ๆ อีก
ขอภาวนาให้หนังสือเล่มหลังนี้ตีพิมพ์เมื่อสังคมไทยและเราทุกท่าน "ผ่านพ้น" 6 ตุลา พ้น พฤษภา พ้นตากใบ ออกไปแล้วจริง ๆ มิใช่หลบเลี่ยงหรือทำเป็นลืม
ข้อมูลเพิ่มเติมจากกระดานข่าว
"สุธรรมผ่านเหตุการณ์ 6 ตุลาคม มาได้อย่างไร? "ขอแบ่งปันข้อมูลเท่าที่ติดตามสืบค้นประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์ที่รัฐฯล้อมปราบ ฆ่าหมู่นักศึกษาประชาชนที่ชุมนุม เมื่อ 5-6 ตุลาคม 2519สุธรรมถูกจับพร้อมกับเพื่อนๆ ระหว่างเดินทางไปเข้าพบ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
สุธรรมและผู้นำนักศึกษาอีก 18 คน ถูกจำคุกอยู่ประมาณ 2 ปี ระหว่างนั้น มีพ่อแม่ เพื่อนพ้องน้องพี่ที่อาจหาญไปเยี่ยม ส่งจดหมายให้กำลังใจอย่างต่อเนื่องในต่างประเทศ มีการเผยแพร่ภาพเหตุการณ์ล้อมปราบ ภาพการปราบปราม ฆ่าโหดผู้ชุมนุมมือเปล่า ภาพนักศึกษาธรรมศาสตร์ ถูกผูกคอลากกลางสนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัยฯจนสิ้นลม ภาพการลากเอาผู้ชุมนุมมาเผาทั้งเป็นกลางสนามหลวง ภาพนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ถูกจับแขวนคอกับต้นมะขามกลางสนามหลวง ร่างที่ไร้วิญญาณถูกทารุณ ถูกตี ถูกเอาร้องเท้ายัดปากภาพเหล่านี้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก และดิฉันเชื่อว่าคุณสุธรรมได้เห็นค่ะ เพราะความจริงเหล่านี้ ทำให้มีเสียงเรียกร้องจากทั่วโลก เป็นแรงกดดันให้คุณสุธรรมได้รับการปลดปล่อยจากข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรมทั้งยังทำให้คุณสุธรรมได้รับทุนไปเรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนในต่างแดนเมื่อกลับมา คุณสุธรรมตัดสินใจเดินเข้าสู่เส้นทางทางการเมือง
องค์กรสิทธิมนุษยชนในประเทศ ก็ยังตามมารณรงค์ให้มีการนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองจนกฏหมายนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองผ่านสภาฯคุณสุธรรมได้รับผลพวงจากความเป็นจริงที่ถูกเล่าขาน ฟ้องด้วยภาพ โดยที่ไม่ต้องเปลืองแรงทำอะไรเลยวันดีคืนดี คุณสุธรรมก็ลุกขึ้นมาเขียนบทความลงในมติชนสุดสัปดาห์ว่า "ผมผ่านเหตุการณ์ 6 ตุลาคม มาได้อย่างไร?" แล้ววันดีคืนดีของคุณสุธรรมในปัจจุบัน คุณสุธรรมก็ลุกขึ้นมาข่มขู่ผู้เผยแพร่ภาพ ความจริงที่เกิดขึ้นที่ตากใบขอบคุณอาจารย์ธงชัยค่ะ ที่ช่วยย้ำเตือนสิ่งที่คุณสุธรรมจำไม่ได้แล้วว่า "ผ่านเหตุการณ์ 6 ตุลาคม มาได้อย่างไร?"โดย : subsb
สารบัญข้อมูล : ส่งมาจากองค์กรต่างๆ
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา
3
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
e-mail
: midnightuniv(at)yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv(at)yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 450 เรื่อง หนากว่า 5000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา
120 บาท(รวมค่าส่ง)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่
midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็ปไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง
จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
หนึ่งในผู้เอาชีวิตตนเข้าแลกเพื่อเผยแพร่ข้อมูลและความคิดที่ต่างจากรัฐบาลในกรณี 6 ตุลาคือ อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ถ้าอาจารย์ไม่ต้องตรากตรำอย่างหนัก อันมีส่วนช่วยให้สุธรรม "ผ่าน" 6 ตุลามาได้ ท่านอาจมีชีวิต 20 ปีสุดท้ายต่างออกไปก็เป็นได้ รัฐบาลในขณะนั้นถือว่าการเผยแพร่ข้อมูลที่รัฐไม่ปรารถนา และทัศนะที่ต่างออกไปเป็นภัยต่อสังคม บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ จึงมีผู้ถูกจับกุมลงโทษจำนวนมาก
วิกฤติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเขต 3 จังหวัดใต้สุด รวมทั้งกรณีกรือแซะและตากใบ อาจต่างกับ 6 ตุลาในหลาย ๆ ด้าน แต่กลับมีแง่มุมที่อาจช่วยเป็นกระจกสำหรับปัจจุบันได้หลายเรื่อง ที่สำคัญก็คือ ความไม่รู้มิได้เกิดจากการปิดบังข้อมูลข่าวสารเท่านั้น หากเกิดจาก "ความหลงอย่างใหญ่" ของรัฐและของสาธารณชนเองด้วยในทั้ง 2 กรณี ความหลงอย่างใหญ่ที่ว่าคือ "ลัทธิชาตินิยมไทย" หรือ"ความรักชาติแบบขาดสติ" (อาจมีผู้แย้งว่า คือความคลั่งชาติต่างหาก มิใช่ชาตินิยม ผู้เขียนเห็นว่าทั้งสองคือความหลงประเภทเดียวกัน คือหลงในชุมชนจินตนาการ ที่ถูกยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตนของเรา ชาตินิยมจึงอาจพลิกเป็นอุบาทวกรรมได้ในฉับพลัน คนที่ส่งเสริมชาตินิยมแต่ต่อต้านความคลั่งชาติจึงกำลังเล่นกับไฟ) จริงอยู่ว่า วิกฤติที่เกิดขึ้นคราวนี้มีปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งจากกลุ่มที่ต้องการรัฐปัตตานีอิสระ... ้
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็ปไซคทั้งหมด
กว่า 480 เรื่อง หนากว่า 5500 หน้า ในรูปของ CD-ROM ในราคา 120 บาท(รวมค่าส่ง)
สนใจสั่งซื้อได้ที่
midnightuniv(at)yahoo.com หรือ
ส่งธนาณัติถึง
สมเกียรติ ตั้งนโม : ไปรษณีย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 50202
กรุณาส่งตั๋วแลกเงินไปยัง
สมเกียรติ ตั้งนโม : คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถนนสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
50202
อย่าลืมเขียนชื่อ ที่อยู่ ของผู้รับตัวบรรจงด้วยครับ
เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการจัดส่งทางไปรษณีย์